อุปสรรคกติกาขัดขาคราฟต์เบียร์ไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

คราฟต์เบียร์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น หลังผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ไทยชนะการประกวดเบียร์ในระดับนานาชาติหลายรางวัล เช่น เบียร์ศิวิไลซ์ ที่ชนะรางวัลเหรียญเงิน ในเวที World Beer Awards 2020 และเบียร์ SPACECRAFT ที่ชนะ 6 รางวัลในเวที Asia Beer Championship 2021

ความเหมือนกันของการชนะรางวัลทั้งสองรายการคือ การเป็นเบียร์ไทยแต่รับรางวัลในนามเบียร์ที่ผลิตในประเทศเวียดนาม สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่สามารถร่วมยินดีกับความสำเร็จดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ เพราะเบียร์ที่ชนะการประกวดผลิตในชื่อประเทศอื่น

สาเหตุที่ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ต้องไปผลิตเบียร์ในประเทศอื่น เพราะสภาพแวดล้อมภายในประเทศไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ผลิตเบียร์หน้าใหม่ก้าวเข้ามามีที่ยืนในอุตสาหกรรมนี้ได้ เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มีขนาดเล็กดำเนินธุรกิจอย่างอิสระและใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมตั้งแต่การคิดสูตร หมัก บรรจุขวดและจัดจำหน่าย แต่ พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตที่ควบคุมการผลิตสุราเดิมตั้งอยู่บนมาตรฐานการผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายใต้โรงงานที่เป็นกิจจะลักษณะ ทำให้ผู้ผลิตรายย่อยไม่สามารถก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมภายใต้กฎหมายไทยได้

ปัญหาดังกล่าวนำมาสู่กระแสเรียกร้องให้มีการยกร่างกฎหมายใหม่คือ พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า (ร่างแก้ไข พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสุรารายย่อยสามารถมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้ได้ จนในท้ายที่สุดความพยายามดังกล่าวก็ไปถึงรัฐบาลและนำมาสู่การแก้ไขกฎกระทรวงผลิตสุราฉบับใหม่ที่มีการผ่อนคลาย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการผลิตสุรามากขึ้น

กฎกระทรวงฉบับนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้กับผู้ผลิตสุรา สำหรับ “คราฟต์เบียร์” กฎกระทรวงฉบับใหม่ มีการผ่อนคลายเงื่อนไขเดิมหลายอย่าง อาทิ การไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับผู้ขอใบอนุญาตผลิต และการไม่กำหนดกำลังการผลิตต่อปี

แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว กฎหมายใหม่ได้สร้างล็อกใหม่ที่อาจจะยับยั้ง การเติบโตของคราฟต์เบียร์ไทยได้ ตัวอย่าง เช่น การกำหนดให้เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตต้องมีมาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งเงื่อนไขการผลิตดังกล่าวยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ ออกมารองรับ

ความน่ากังวลที่อาจจะเกิดขึ้นคือ มาตรฐานดังกล่าวอาจจะสูงเกินกว่าที่ผู้ผลิตรายย่อยจะรับได้ ดังนั้น ในกระบวนการกำหนดหลักเกณฑ์กรมสรรพสามิตควรจะต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ผลิต โดยเฉพาะรายย่อยเพื่อให้ได้รับข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจกำหนดหลักเกณฑ์ต่อไป นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังได้กำหนดให้ผู้ผลิตผลิตเบียร์บรรจุขวด/กระป๋อง จะต้องติดตั้งระบบพิมพ์เครื่องหมายการเสียภาษี ซึ่งอาจสร้างต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และอาจเกินศักยภาพของผู้ผลิตรายย่อย โดยหนทางที่จะไม่ก่อภาระต้นทุนแก่ผู้ผลิต รายย่อยมากเกินไป คือการทำให้กฎเกณฑ์นี้มีความชัดเจน เช่น ผู้ผลิตสามารถใช้ วิธีการอื่นแทนการติดตั้งระบบพิมพ์ อาทิ การให้พนักงานติดเครื่องหมายการเสียภาษีได้หรือไม่

นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังยอมให้ ผู้ผลิตผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองภายใน ครัวเรือนได้ ซึ่งเป็นหลักการที่ก้าวหน้า แต่เมื่อ ดูรายละเอียดของกฎหมาย กลับระบุว่าผู้ที่จะ ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองต้องได้รับอนุญาตต่ออธิบดีและเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย และกฎหมายยังห้ามไม่ให้ผู้ได้รับอนุญาตผลิต เบียร์เพื่อบริโภคเองผลิตเกินปีละ 200 ลิตร และห้ามแจกจ่ายให้กับบุคคลอื่น การกำหนดเงื่อนไขนี้กระทบต่อธุรกิจคราฟต์เบียร์ไทยเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจคราฟต์เบียร์นั้นเริ่มต้นขึ้นจากผู้ผลิตมีความพยายามรังสรรค์คราฟต์เบียร์ ที่ต้องผ่านการทดลองและปรับปรุงสูตรด้วยความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ผลิตเบียร์อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายทั้งที่ยังไม่ได้ค้าขายทำกำไร หรือควรจะต้องขออนุญาต

ดังนั้น การกำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองต้องขออนุญาต และถูกควบคุมเสมือนกับเป็นผู้ผลิตในเชิงค้าขาย ก็อาจจะกลายเป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์และผู้ที่สนใจศึกษาและพัฒนาเบียร์

ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเห็น ของ ผศ.เจริญ เจริญชัย แห่งเพจสุราไทย เพจวิชาการเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิต สุราที่มีคุณภาพ ได้ให้ความเห็นว่า การกำหนด เงื่อนไขการขออนุญาตผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเอง ภายในครัวเรือนนี้สร้างความยุ่งยากเกินไปสำหรับการผลิตเบียร์บริโภคที่บ้าน ซึ่งไม่ก่อให้ เกิดผลกระทบต่อบุคคลอื่น และการผลิตเบียร์ ปีละไม่เกิน 200 ลิตร นั้นไม่เพียงพอต่อการทดลองทำและพัฒนาสูตรเบียร์

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ พบว่ากฎหมายของสิงคโปร์ ไม่ได้กำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนจะต้องขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐแบบประเทศไทย รวมถึงกฎหมายยังกำหนดให้คนที่ต้องการผลิตสามารถผลิตเบียร์ได้ถึง 30 ลิตรต่อเดือน/คน หรือ 360 ลิตรต่อปี/คน ซึ่งมากกว่าที่ประเทศไทยอนุญาตให้ผลิต และไม่ได้ห้ามแจกจ่ายเบียร์ที่ผลิตจากครัวเรือนแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดเป้าหมายของการปลดล็อกกฎหมายเพื่อการผลิตคราฟต์เบียร์ คือการต้องการให้มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นและมีการพัฒนาคุณภาพของเบียร์ในประเทศ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่เงื่อนไขหลายอย่างในกฎหมายยังไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตคราฟต์เบียร์ได้อย่างเต็มที่

หากกฎหมายยังคอยขัดแข้งขัดขา ผู้ผลิตอย่างนี้ต่อไป คนไทยและประเทศย่อมสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจ เบียร์ไทยให้สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เพราะคนไทยผู้ผลิตคราฟต์เบียร์จะหนีไปผลิตในประเทศเพื่อนบ้านตามเดิม และประเทศไทยจะเสียท่า ด้วยกติกาขัดแข้ง ขัดขาตัวเองอีกครั้ง

ทหารและกองทัพในบริบทของรัฐธรรมนูญไทย
คลี่กฎกติกา ขัดขา ‘คราฟท์เบียร์’