ชื่อบทความ: ความอีหลักอีเหลื่อของระบบเศรษฐกิจภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย
เผยแพร่ใน: หนังสือประมวลบทความในการประชุมวิชาการนิติสังคมศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ “ทบทวน / ถกเถียง / ท้าทาย นิติศาสตร์ในห้วงยามของความเปลี่ยนแปลง” 2566
บทคัดย่อ
รัฐธรรมนูญเป็นเอกสารสำคัญทั้งในทางการเมือง ทางกฎหมาย และทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในแง่หนึ่งรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นตราสารทางการเมืองที่กำหนดรูปของรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐและความสัมพันธ์ทางสิทธิหน้าที่ระหว่างรัฐกับประชาชน ในอีกแง่หนึ่งรัฐธรรมนูญก็ทำหน้าที่เป็นสถาบันกำหนดกติกาสังคม โดยไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงสถาบันธรรมดา ทว่า รัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นอภิมหาสถาบันที่กำหนดสถาบันอื่นๆ และเป็นบรรทัดฐานในการตีความและกำหนดกรอบของสถาบันอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญมีส่วนในการกำหนดกติกาทางเศรษฐกิจภายในของรัฐผ่านอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
ในอดีตรัฐธรรมนูญของประเทศไทยจะตราบทบัญญัติที่กำหนดเจตนารมณ์ที่สะท้อนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐ โดยกำหนดให้รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและเป็นธรรมโดยกลไกตลาดซึ่งสะท้อนนัยของอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทว่า ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้มีการเปลี่ยนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐใหม่ โดยเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปัญหาตามมาคือหลักการเศรษฐกิจพอเพียงนั้นขาดความชัดเจนในเชิงความหมายและรายละเอียด รวมถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่อาจระบุได้ว่า รัฐควรจะมีการดำเนินการทางเศรษฐกิจไปในทิศทางใด สภาพดังกล่าวทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐในทางเศรษฐกิจขาดทิศทางที่ชัดเจนว่ารัฐจะดำเนินนโยบายไปในทิศทางใด
บทความนี้มุ่งศึกษาบทบัญญัติเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมุมมองทางกฎหมายและเศรษฐศาสตร์สถาบัน เพื่ออธิบายปัญหาความไม่ชัดเจนดังกล่าวของรัฐธรรมนูญจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างไร
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง
ความอีหลักอีเหลื่อของระบบเศรษฐกิจภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย
ชื่อบทความ: ความอีหลักอีเหลื่อของระบบเศรษฐกิจภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย
เผยแพร่ใน: หนังสือประมวลบทความในการประชุมวิชาการนิติสังคมศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ “ทบทวน / ถกเถียง / ท้าทาย นิติศาสตร์ในห้วงยามของความเปลี่ยนแปลง” 2566
บทคัดย่อ
รัฐธรรมนูญเป็นเอกสารสำคัญทั้งในทางการเมือง ทางกฎหมาย และทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในแง่หนึ่งรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นตราสารทางการเมืองที่กำหนดรูปของรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐและความสัมพันธ์ทางสิทธิหน้าที่ระหว่างรัฐกับประชาชน ในอีกแง่หนึ่งรัฐธรรมนูญก็ทำหน้าที่เป็นสถาบันกำหนดกติกาสังคม โดยไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงสถาบันธรรมดา ทว่า รัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นอภิมหาสถาบันที่กำหนดสถาบันอื่นๆ และเป็นบรรทัดฐานในการตีความและกำหนดกรอบของสถาบันอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญมีส่วนในการกำหนดกติกาทางเศรษฐกิจภายในของรัฐผ่านอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
ในอดีตรัฐธรรมนูญของประเทศไทยจะตราบทบัญญัติที่กำหนดเจตนารมณ์ที่สะท้อนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐ โดยกำหนดให้รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและเป็นธรรมโดยกลไกตลาดซึ่งสะท้อนนัยของอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทว่า ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้มีการเปลี่ยนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐใหม่ โดยเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปัญหาตามมาคือหลักการเศรษฐกิจพอเพียงนั้นขาดความชัดเจนในเชิงความหมายและรายละเอียด รวมถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่อาจระบุได้ว่า รัฐควรจะมีการดำเนินการทางเศรษฐกิจไปในทิศทางใด สภาพดังกล่าวทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐในทางเศรษฐกิจขาดทิศทางที่ชัดเจนว่ารัฐจะดำเนินนโยบายไปในทิศทางใด
บทความนี้มุ่งศึกษาบทบัญญัติเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมุมมองทางกฎหมายและเศรษฐศาสตร์สถาบัน เพื่ออธิบายปัญหาความไม่ชัดเจนดังกล่าวของรัฐธรรมนูญจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างไร
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง