พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 การพิทักษ์รัฐธรรมนูญในยุคแรก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อครั้งแรกของการใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศนั้นยังคงอยู่ในช่วงสับสนวุ่นวายพอสมควรทั้งการเกิดรัฐประหารปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราจนถึงการกบฏหลายๆ ครั้ง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการกระทบต่อความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ จึงได้มีความพยายามสร้างกลไกในการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญเอาไว้ โดยในบทความนี้จะได้เล่าถึงพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476

การเริ่มต้นการพิทักษ์รัฐธรรมนูญในช่วงต้นของการเริ่มรู้จักรัฐธรรมนูญ

แม้จะรู้สึกว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดจะมีขึ้นมานานแล้ว หากแต่พิจารณาตามความเป็นจริงแล้วการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดนั้นพึ่งเริ่มต้นเกิดขึ้นมาในประเทศไทยได้ไม่ถึง 90 ปี เสียด้วยซ้ำหรือก็คือ ยังไม่เกินชั่วอายุของคนๆ หนึ่ง หากแต่ที่ทำให้รู้สึกว่านานอาจจะเพราะตลอดช่วงเวลา 90 ปีนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในหน้าการเมืองไทย

เมื่อเริ่มต้นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดได้ไม่นาน เส้นทางการเมืองของประเทศไทยก็สะดุดหยุดลงด้วยหลายๆ ปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจาก พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา (เปรียบได้กับการรัฐประหาร)[1] ซึ่งเป็นเหตุให้ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ต้องทำการรัฐประหารเพื่อกู้รัฐธรรมนูญและประกาศให้ใช้รัฐธรรมนูญต่อไป

ภายหลังจากการรัฐประหารและการเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา รัฐบาลในเวลานั้นได้เสนอ พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 เพื่อตอบโต้และป้องกันมิให้เกิดการกระทำในลักษณะเดียวกันกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเคยทำมาก่อน โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้มีเนื้อหาจำนวนทั้งสิ้น 6 มาตรา โดยสาระสำคัญของพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ในมาตรา 3 ซึ่งกำหนดความผิดและโทษไว้ดังนี้

“ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ เป็นปฏิปักษ์ต่อ หรือเพื่อให้ประชาชนเสื่อมความนิยมหรือหวาดหวั่นต่อ การปกครองระบอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม แม้การกระทำดั่งกล่าวมาแล้วจะเป็นเพียงการคบคิด หรือทำความตกลง หรือจะเตรียมการก็ตาม ท่านว่า ผู้นั้นมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีจนถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่ 500 บาทจนถึง 5,000 บาท หรือทั้งจำทำปรับ แต่ถ้าหากความผิดที่กระทำลงนั้นต้องด้วยบทกฎหมายอื่น ท่านว่า บุคคลผู้กระทำผิดนั้นจะต้องถูกลงโทษตามพระราชกำหนดกฎหมายอื่นนั้นด้วย”

บทลงโทษที่ค่อนข้างหนักและการถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อพิจารณาบทลงโทษดังกล่าวข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดอัตราโทษจำคุกสูงสุดไว้ในอัตราโทษที่สูง กล่าวคือ 20 ปี  นอกจากนี้ ในกรณีที่บุคคลกระทำความผิดและการกระทำความผิดดังกล่าวต้องด้วยบทกฎหมายอื่นด้วยนั้นบุคคลก็อาจจะถูกลงตามกฎหมายดังกล่าวด้วย ซึ่งในเวลานั้นกฎหมายที่มักจะถูกใช้เพื่อลงโทษก็คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 และการกระทำความผิดที่อาจจะลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้รวมถึงการคบคิดหรือทำความตกลง หรือจะตระเตรียมการก็เป็นความผิดในลักษณะเดียวกันกับบทบัญญัติในมาตรา 113 ของประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบัน

นอกจากบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้จะมีการกำหนดโทษในอัตราที่สูงแล้ว บทบัญญัติในมาตรา 4 ยังให้อำนาจกับรัฐในการดำเนินการไต่สวนบุคคลที่สงสัยว่าจะกระทำความผิดตามมาตรา 3 และเมื่อไต่สวนแล้วเห็นว่ามีมูลความผิดก็อาจจะกักตัวบุคคลดังกล่าวเอาไว้เป็นเวลาไม่เกินกว่า 10 ปี

ดังจะเห็นได้ว่า แม้เจตนาของ พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 จะมีเจตนาเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำในลักษณะที่จะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และได้ถูกนำมาใช้ในการลงโทษการกระทำที่มีลักษณะเป็นการกบฏมุ่งจะล้มล้างการปกครองของรัฐบาล เช่น กบฏนายสิบในปี พ.ศ. 2478[2] เป็นต้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไปการใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 นั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือในการทำลายขั้วตรงข้ามทางการเมืองมากกว่าจะดำเนินการรักษาไว้ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการป้องกันมิให้มีการกระทำในลักษณะที่จะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ในหลายกรณีบุคคลได้แสดงความคิดเห็นในทางการเมืองเพื่อติชมการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล แต่ก็ถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ดังเช่นกรณีของ ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ ซึ่งได้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาลอยู่บ่อยๆ[3]

การยกเลิกการใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476

จากข้อเสียของการใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ดังกล่าวจึงนำมาสู่การเสนอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวในปี พ.ศ. 2480 โดยมี นายเตียง ศิริขันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในการเสนอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวโดยให้เหตุผลในการยกเลิกเอาไว้ 3 ประการ ดังนี้[4]

“ประการแรก เพื่อความสมบูรณ์แห่งการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประการที่สอง เพื่อให้ความยุติธรรมอันแท้จริงแก่ผู้ที่จะแสดงความคิดเห็นอันจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่รัฐบาลหรือแก่ชุมชน และประการที่สาม เพื่อเป็นบันไดขั้นต้นที่จะฝึกฝนวิธีก่อตั้งพรรคการเมือง”

ประเด็นทั้งสามที่นายเตียง ยกขึ้นมานั้นเป็นประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การลงมติเพื่อยกเลิกการใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ในปี พ.ศ. 2481 โดยสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียง 64 ต่อ 27

หากเราพิจารณาและตระหนักถึงคุณค่าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดนั้น การวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการจะจัดตั้งพรรคการเมืองในอนาคต (ในเวลานั้น) ซึ่งจำเป็นต้องมีพื้นฐานของการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและเสรี รวมกลุ่มกันเพื่อดำรงวัตถุประสงค์ทางการเมืองร่วมกัน

ฉะนั้น แม้เจตนาของการมีพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวจะมีขึ้นเพื่อช่วยประคับประคองและรักษาสถานะของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลมาจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการมีพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวก็อาจกลายมาเป็นอุปสรรคต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเมื่อเหตุและปัจจัยเปลี่ยนไปการมีอยู่ของกฎหมายก็ควรจะยกเลิกไปเสีย

อย่างไรก็ตาม วิธีการในการคุ้มครองและรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญจากการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2489 ซึ่งศาลฎีกาในเวลานั้นได้วินิจฉัยว่า การที่รัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามเพื่อมาย้อนหลังลงโทษการกระทำของบุคคลย้อนหลังไม่ได้ ซึ่งคงได้มีโอกาสจะเล่าถึงต่อไปในอนาคต


เชิงอรรถ

[1] พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีสาระสำคัญอยู่ในข้อ 1 และข้อ 4 ดังนี้ ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนี้เสีย และห้ามไม่ให้เรียกประชุมจนกว่าจะได้มีสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เมื่อได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรตามความในรัฐธรรมนูญนั้นแล้ว และตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร และยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติตามคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งการกระทำในข้อหลังนี้เป็นการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา.

[2] ตรงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, การกบฏ ปฏิวัติ และรัฐประหาร ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2537) 3; อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์กบฏนายสิบนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากภายการปราบกบฏได้สำเร็จรัฐบาลได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ พ.ศ. 2481 ซึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีภายใต้ศาลพิเศษนี้มีการนำวิธีพิจารณาศาลทหารมาใช้โดยอนุโลม และการพิพากษาของศาลพิเศษนี้เป็นเด็ดขาดโดยไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ จึงเท่ากับว่าการพิจารณาของศาลพิเศษนี้เป็นศาลชั้นเดียว.

[3] ไม่ปรากฏชื่อ, รัฐธรรมนูญฉบับปฐมฤกษ์จึงถึงปัจจุบัน หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ 30 กันยายน 2514 (โรงพิมพ์อักษรสมัย 2514) 25.

[4] สภาผู้แทนราษฎร, บันทึกการประชุม ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญสมัยที่สอง) (26 กรกฎาคม 2481) 523.

เมื่อสวัสดิการไทยเป็นได้แค่เพียงบทบัญญัติในกระดาษ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงปีที่ผ่านมา “รัฐสวัสดิการ” หรือ “สวัสดิการสังคม” นั้น เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นจำนวนมาก และเป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทยท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ได้สะท้อนปัญหาการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ทั้งการเข้าถึงสวัสดิการในการรักษาพยาบาล การว่างงาน เบี้ยยังชีพของคนชรา และการศึกษา และทำให้เกิดการตั้งคำถามถึง ระบบสวัสดิการของประเทศไทยนั้นมีอยู่อย่างไร และรัฐได้รับรองสิทธิในสวัสดิการไทยเอาไว้อย่างไร

เนื่องในเดือนของการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ผู้เขียนจะขอนำเสนอประเด็นสิทธิสวัสดิการที่รับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ รวมถึงในความเป็นจริงสิทธิดังกล่าวนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลให้มีสถานะเป็นเพียงการอนุเคราะห์

รัฐสวัสดิการคืออะไร

“รัฐสวัสดิการ” (Welfare State) เป็นไอเดียเกี่ยวกับรัฐที่เข้ามาทำหน้าที่ทางสังคมเพื่อประกัน “ความมั่นคงและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน” เพื่อให้ประชาชนบรรลุวัตถุประสงค์ในการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลได้อย่างเต็มที่

บทบาทของรัฐในลักษณะดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่รัฐรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคล โดยรัฐใช้มาตรการทางกฎหมาย การเมือง และทรัพยากรเพื่อคลายความตึงเครียดทางสังคมและทำให้เกิดความเท่าเทียมกันท่ามกลางความแตกต่างทางสังคม (ในระดับหนึ่ง)[1]

ความเท่าเทียมในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่ใช่การอุปมาประหนึ่งผู้มีเงิน หรือ ทรัพย์สินจะใช้ช่องทางพิเศษกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความยากลำบาก อุปมาประหนึ่งคนรวยก็ไปเสียเงินขึ้นทางด่วน คนรายได้น้อยก็ใช้เส้นทางข้างล่าง (แบบที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้) แต่หมายถึงการที่รัฐเข้ามาส่งเสริมมนุษย์ทุกคนภายในรัฐให้เข้าถึงโอกาสพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน อุปมาเสมือนการทำให้ทุกๆ คนสามารถใช้ประโยชน์จากถนนที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นผู้มั่งมีหรือยากจน

สิทธิสวัสดิการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

“รัฐธรรมนูญ” นอกจากจะมีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศและจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ แล้ว “รัฐธรรมนูญ” ยังเป็นตราสารที่แสดงความผูกพันระหว่างรัฐกับประชาชนภายในรัฐผ่านบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ หน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (การรับรองหน้าที่ของรัฐและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐนั้นเป็นสิ่งที่พึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญเมื่อไม่นานมานี้ – อ่านเพิ่มเติม เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ) กล่าวเฉพาะในแง่ของสิทธิสวัสดิการนั้นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรับรองไว้ให้กับประชาชนนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 สิทธิสวัสดิการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ นั้นให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐาน และสำหรับผู้ยากไร้มีสิทธิไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการได้รับบริการ โดยสามารถแบ่งสิทธิสวัสดิการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ออกเป็นสิทธิย่อยๆ ได้ดังนี้

  • สิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐอย่างทั่วถึง และเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ (มาตรา 47 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 55 วรรคสอง)
  • สิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ยากไร้ (มาตรา 47 วรรคสอง)
  • สิทธิได้รับบริการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 47 วรรคสาม)
  • สิทธิของมารดาในการได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร (มาตรา 48 วรรคหนึ่ง)

กลุ่มที่ 2 สิทธิสวัสดิการในการเจริญเติบโตและปัจจัยในการดำรงชีพ นั้นให้ความสำคัญปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีพในด้านต่างๆ

  • สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐสำหรับผู้สูงอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ หรือบุคคลผู้ยากไร้ (มาตรา 48 วรรคสอง)
  • สิทธิในการได้รับการจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และจัดให้มีการเรียกเก็บค่าบริการโดยไม่เป็นภาระเกินสมควร (มาตรา 56 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
  • สิทธิในการได้รับการส่งเสริมให้ทำงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัย การคุ้มครองแรงงาน สุขอนามัยในการทำงาน สวัสดิการ และการประกันรายได้ (มาตรา 74 วรรคหนึ่ง)

กลุ่มที่ 3 สิทธิสวัสดิการในการได้รับการศึกษา

  • สิทธิในการได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ (มาตรา 54 วรรคหนึ่ง)
  • สิทธิในการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ (มาตรา 54 วรรคสอง)
  • สิทธิในการได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (มาตรา 54 วรรคสาม)
  • สิทธิในการได้รับการช่วยเหลือแก่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และค่าใช้จ่ายในการศึกษา (มาตรา 54 วรรคห้า)

สิทธิสวัสดิการทั้งสามกลุ่มข้างต้นนั้นเป็นเพียงกรอบของสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้  ทว่า ในทางปฏิบัติการใช้สิทธิและการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้กับประชาชนจำเป็นต้องอาศัยบทบัญญัติตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้เป็นจริงขึ้นมา

ความเปลี่ยนแปลงในสิทธิสวัสดิการในความเป็นจริง

ถ้าพิจารณาเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเท่านั้น อาจจะดูเหมือนสิทธิสวัสดิการที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ดีและมีการสนับสนุนประชาชนในการใช้สิทธิสวัสดิการ  ทว่า หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญย้อนหลังไปยังบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แล้ว จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการของประเทศไทยนั้นมีการลดคุณภาพลงไปจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยสร้างเงื่อนไขในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการทำให้สิทธิสวัสดิการกลายมาเป็นการสงเคราะห์มากกว่าจะอยู่ในฐานะสิทธิที่บุคคลจะเรียกร้องต่อรัฐให้ปฏิบัติตามเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลและสนับสนุนการใช้ชีวิตของบุคคลอย่างเสมอภาคกัน

ตัวอย่างของสิทธิสวัสดิการที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และเด่นชัดที่สุดมี 3 เรื่อง คือ สิทธิสวัสดิการทางการศึกษา โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองบางคนกล่าวว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาเหล่านั้นกลับได้ลิดรอนสิทธิสวัสดิการลง

สิทธิสวัสดิการทางการศึกษา ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 นั้นได้รับรองสิทธิในการได้รับสวัสดิการทางการศึกษาจากรัฐเป็นเวลา 12 ปี จากรัฐจน สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็คือ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ป.1 – ม.6) แต่เมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ได้มีการลดสวัสดิการทางการศึกษาลงจนถึงแค่การศึกษาภาคบังคับ ซึ่งก็คือ มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3)[2] ซึ่งแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้รวมเอาการศึกษาก่อนวัยเรียนเข้ามา (ชั้นอนุบาล)[3] เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสวัสดิการของรัฐ แต่บทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวก็เป็นการลดสิทธิสวัสดิการที่ประชาชนพึ่งจะมีและเคยมีตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ที่รับรองให้บุคคลต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยังพอมีความดีอยู่บ้างในบางเรื่อง เช่น การเพิ่มเติมสิทธิในการได้รับเบี้ยยังชีพสำหรับบุคคลผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นการให้สิทธิเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 ได้ประกันสิทธิของผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ (ทว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติแล้วว่าสิทธิดังกล่าวนั้นใช้ได้จริงมากเพียงใด เมื่อบรรดาเบี้ยยังชีพที่รัฐบาลให้นั้นต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเฉลี่ยเป็นรายวันแล้ว เบี้ยยังชีพย่อมไม่เพียงพอจะใช้แก่การดำรงชีวิต) หรือการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาสำหรับประชาชน[4]

การใช้จ่ายของรัฐบาลไทยในช่วงปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับสวัสดิการ

นอกเหนือไปจากลักษณะของบทบัญญัติที่อาจลดทอนสิทธิสวัสดิการของประชาชนแล้ว สาระสำคัญของสิทธิสวัสดิการก็คือ บรรดาสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้นั้นจะทำได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสิ่งนี้ย่อมเชื่อมโยงมาสู่ประเด็นสำคัญคือ เรื่องงบประมาณที่จะใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม เพราะงบประมาณคือเครื่องการันตีความมั่นคงของสวัสดิการสังคม

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการจัดทำสวัสดิการของรัฐไทยนั้นกระจายไปตามส่วนกรมหรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีลักษณะรวมศูนย์ ทำให้ภาพของงบประมาณไทยนั้นกระจัดกระจายกันและไม่มีข้อมูลที่จะสามารถสรุปภาพรวมของงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการ แต่หากพิจารณาในเชิงการจัดสรรงบประมาณเราก็อาจจะพอเห็นแนวโน้มการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการได้ ดังนี้

เมื่อสำรวจเกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม อาจจะกล่าวไม่ได้ว่าประเทศไทยไม่มีงบประมาณสำหรับใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม แต่อาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีการให้ความสำคัญกับการจัดงบประมาณเพื่อใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมไม่ถูกจุด เช่น หากเราลดงบประมาณที่ใช้ในการเกณฑ์ทหารและการดูแลทหารเกณฑ์ โดยการตัดการเกณฑ์ทหารทิ้งไป และนำงบประมาณดังกล่าวมาใช้ในการจัดสวัสดิการแทน หรือ การนำเงินงบประมาณของกองทัพบกมาใช้ในการจัดสวัสดิการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์แทน

สิ่งนี้อาจจะเป็นการใช้งบประมาณถูกจุดมากกว่า เป็นต้น ซึ่งหากไม่แก้ให้ตรงจุดสภาพของการใช้งบประมาณไทยก็อาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงจัง งบประมาณที่จ่ายไปก็จะกลายเป็นเพียงการสงเคราะห์และไม่สามารถรับรองความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งทำให้มนุษย์อยู่ในสภาวะของความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ จากการสำรวจของ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ซึ่งได้ทำการตรวจสอบและยื่นหนังสือต่อกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่เผชิญมรสุมทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด 19 ซึ่งสภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสถานะสวัสดิการสังคมของไทยไม่ได้อยู่ในฐานของสิทธิอย่างแท้จริง หากแต่เป็นการปรับเปลี่ยนตามความพึงพอใจของผู้มีอำนาจนตัดสินใจ

ภาพเปรียบเทียบงบสวัสดิการลดลง

ที่มา: ประชาไท, ‘’ (ประชาไท, 6 สิงหาคม 2564) <https://prachatai.com/journal/2021/06/93419> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2564.

หากสภาพของสวัสดิการอยู่ในฐานของสิทธิสวัสดิการจริงๆ ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเกิดความตระหนักขึ้นในสังคมว่าสิทธิสวัสดิการนั้นจำเป็นแค่ไหน ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างหลักประกันว่าในทางงบประมาณสวัสดิการสังคมควรจะเป็นการใช้จ่ายที่คงที่ (ไม่ก็เพิ่มขึ้น) มากกว่าการปรับลดตามความพึงพอใจของผู้มีอำนาจ ซึ่งทำให้สถานะของสิทธิสวัสดิการไม่มั่นคง


เชิงอรรถ

[1] อเล็กซานเดอร์ เพทริง และคณะ, รัฐสวัสดิการกับสังคมประชาธิปไตย (กรพินธุ์ พัวพันสวัสดิ์ แปล, มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท สำนักงานประเทศไทย 2562), 29.

[2] พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 มาตรา 3.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง.

[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคหก.

คุยกับ รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ

สัมภาษณ์ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

สถานที่: ลานปรีดี ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ความสำคัญของวันรัฐธรรมนูญ

ถ้าเราจำได้ตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 คนไทยจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญเท่าไหร่ ผมจำได้ว่าผมอ่านหนังสือก็มีคนเขียนเล่าให้ฟังว่า บางคนก็เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ลูกของพระยาพหลพยุหเสนา คนไทยก็อาจไม่ได้สนใจมาก เพราะว่าเราอยู่ในสังคมปิตาธิปไตย สังคมพ่อปกครองลูกอะไรต่างๆ แล้วก็เชื่อฟังผู้มีอำนาจ โดยภาพรวมสังคมก็สงบร่มเย็นดีก็ไม่เห็นมีอะไร ผู้มีอำนาจว่าไงก็เอาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมไทยมาถึงจุดนี้ นอกเหนือจากนักการเมืองที่พยายามที่จะเรียกว่า build ระบบกฎหมายเพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือการที่พวกเราเอง ประชาชนทั่วๆ ไม่ได้เห็นถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญมากเท่าไหร่ คือ ไม่เห็นความสำคัญของระบบที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เห็นความสำคัญของสิทธิเสรีภาพมาก หรือ การที่จะต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพ 

ผมคิดอย่างนี้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นแล้วว่าประชาชนเห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ก็คือความสำคัญของสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรีดีได้ให้ไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2475 ตอนนี้คนตระหนักมากแล้วว่า การที่เราไม่ได้มีรัฐธรรมนูญที่ดีที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระและสามารถตัดสินชะตาชีวิตของเราได้เองผ่านระบบการเลือกตั้งที่เสรีและบริสุทธิ์ มันทำให้ชีวิตของเรานั้นแย่ขนาดไหน เลวร้ายขนาดไหน มันเห็นได้ชัดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีวิกฤตอย่างโควิด 19 ในเวลานี้ เราไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลได้เลย เวลาเราไม่พอใจรัฐบาล หรือว่าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันติดล็อกหมด

เพราะฉะนั้น ตอนนี้มันเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เราเคยมองว่ามันไกลตัวที่สุดอย่างรัฐธรรมนูญ กลายเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในชีวิตประจำวันของพวกเรา ผมเลยมองว่าประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญในประเทศไทย สอนคนเรียนรู้ว่า ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ควรต้องให้ความสำคัญและความสนใจ เวลาใครจะเสนออะไร แก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงหลักการรัฐธรรมนูญ มันไม่ใช่เรื่องที่ เออ ช่างมันเถอะ ทำอะไรก็ทำ เราไม่เกี่ยว เราไม่สนใจไม่ได้แล้ว ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเรามากๆ 

มองรัฐธรรมนูญวันนี้กับหากย้อนกลับไปยังรัฐธรรมนูญ 2475 อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร

ผมคิดว่าถ้าอาจารย์ปรีดีทราบด้วยญาณใดๆ ก็แล้วแต่ ท่านคงเสียใจมากๆ ที่รัฐธรรมนูญที่ท่านให้ไว้เมื่อปี 2475 มาถึงจุดนี้ คือจุดที่ผมคิดว่าเราเห็นรัฐธรรมนูญปี 2560  เป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุดเลยที่เราเคยเห็นมา 

ตอนที่มีรัฐธรรมนูญใหม่ๆ เราอาจจะนึกไม่ออก คือคนอาจจะแค่คิดว่าก็คงเป็นรัฐธรรมนูญ เป็นกลไกกฎหมายที่ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแก้ปัญหาอะไรที่เราเบื่อหน่ายเต็มที แต่ผมคิดว่าหลายคนก็เห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ากลไกที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ วางไว้เพื่ออะไร 

เวลาผ่านไปยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น จนเรียกว่ากลายเป็นอุปสรรคมาก ที่ทำให้กลไกการแก้ไขปัญหาของสังคมและแก้ปัญหาทางการเมืองที่เคยใช้ได้ในอดีต ต่อให้เราทะเลาะกันแค่ไหน ต่อให้เรามีปัญหาทางการเมือง มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง ในอดีตรัฐธรรมนูญ หรือว่าระบบกฎหมายมันมีกลไกในการแก้ปัญหาหมด 

กลไกที่ basic ที่สุดก็คือ 1 แก้รัฐธรรมนูญ 2 เลือกตั้ง แต่ปัจจุบันกลไกเหล่านี้กลับใช้ไม่ได้เลย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่สำคัญที่สุดเพราะมันติดล็อกรัฐธรรมนูญหมด แก้อะไรก็ไม่ได้ดังนั้น เรามี ส.ว. 250 คน เลือกมาวันนี้ก็อาจจะได้กลุ่มอำนาจเดิมอีก มีนโยบายแบบเดิมอีก 

เพราะฉะนั้น ผมคิดว่านี่คือผลผลิตของรัฐธรรมนูญ เห็นได้ชัดว่ารัฐธรรมนูญตั้งใจจะถูกทำ คือ ตั้งใจจะทำให้กลไกในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ basic ที่สุดที่เคยใช้ได้มาโดยตลอดและใช้ได้กับสังคมทุกสังคมในเสรีประชาธิปไตย ใช้ไม่ได้ และเราไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะแก้ปัญหาพวกนี้ได้ ผมเลยเข้าใจว่าทำไมคนถึงพยายามเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้วยการแก้รัฐธรรมนูญก่อนเลย ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการเมือง หรือแก้วิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ในสังคมไทย ต้องเริ่มต้นจากการแก้รัฐธรรมนูญก่อน 

หากมองย้อนกลับไปหาท่านอาจารย์ปรีดี ผมคิดว่าท่านเริ่มต้นเห็นสังคมเสรีประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นเสาหลักในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และสร้างความมั่นใจว่าระบบกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ดำเนินไปได้ภายใต้หลักนิติรัฐและนิติธรรม 

เวลาผ่านไปเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ผมเชื่อนะครับว่านี่น่าจะเป็นบททดสอบครั้งสุดท้าย ผมเชื่ออย่างนั้น ก่อนที่เราจะก้าวไปสู่สังคมที่ประชาชนตระหนักแล้วว่าเราไม่ควรอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ และไม่ควรจะยอมรับระบบกฎหมายหรือกลไกกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 อีกแล้ว 

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยการล้มล้างการปกครอง ความเห็นต่อคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ อาจารย์คิดว่าความเป็นไปของศาลรัฐธรรมนูญต่อการวินิจฉัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ศาลเริ่มมีบทบาทที่มาวิเคราะห์ พูดถึงปัญหาทางการเมืองมากขึ้น อาจารย์มีความเห็นอย่างไร

โดยส่วนตัวผมคิดว่า คดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาโดยศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยสภาพ เพราะฉะนั้นแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ศาลจะไปวินิจฉัยในคดีที่มีข้อโต้แย้งทางการเมือง หรือ ทำให้คนมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าน่ากังวลมาก คือ ในช่วง 10 ปีหลัง และกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การที่ศาลไม่พยายามยืนยันหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ชัดเจน ในคดีที่เพิ่งตัดสินไปเมื่อไม่นานมานี้ ที่ตัดสินว่าผู้นำชุมนุมมีความพยายามที่จะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมคิดว่าหลักการที่ศาลสื่อสารออกมาในวันที่อ่านคำพิพากษาก็ดี หรือว่าในคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่เราเห็นเมื่อไม่กี่วันนี้ก็ดี ทำให้เกิดข้อกังขา ข้อสงสัยว่า หลักการที่เป็นพื้นฐานที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักที่ว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย หรือว่าหลักการในรัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่จัดวางความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขของรัฐกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีความคลุมเครือ ทั้งที่จริงแล้ว หลักการนี้มันชัดเจนมาก และศาลก็สามารถยืนยันได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่กลับกลายทำให้คนเกิดความสงสัยว่า ตกลงหลักการดังกล่าว ยังเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครองที่ใช้อยู่ในบ้านเราหรือไม่ และผมคิดว่าบางเรื่องก็ยังน่ากังวลอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราพูดถึง due process เรื่องของกระบวนการพิจารณาที่ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างเต็มที่ 

ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลที่คนมีคาดหวังมากที่สุด ที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพ หรือ สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน กลับสร้างข้อกังขาให้กับนักกฎหมายและประชาชนว่า ทำไมศาลถึงไม่เปิดโอกาสให้คนที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ผมคิดว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ ให้โอกาสคนที่ถูกกล่าวหาหรือคนเกี่ยวข้องมากกว่านี้ เพราะว่าศาลตัดสินออกมาแล้ว และมีผลกระทบต่อหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครอง

เพราะฉะนั้น ในภาพรวมผมมองว่า ช่วงเวลา 10 ปีนี้ ความน่าเชื่อถือ หรือ การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่กลับลดน้อยลงเรื่อยๆ และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้ตั้งข้อสังเกตก็คือ ในหลายๆ คำวินิจฉัยเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากที่จำนวนตุลาการที่ลงมติเทไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด  อย่างเช่นที่เรามักจะได้ยินคำว่า “เสียงที่เป็นเอกฉันท์” บ่อยๆ ในคำวินิจฉัย หรือว่าเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด 8 ต่อ 1 ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ไม่ปกติมากนักในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในแต่ละประเทศ เราจะไม่ค่อยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เท่าไหร่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรตั้งเป็นข้อสังเกต

ประเด็นความเห็นของอาจารย์ มองสภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่เข้ามาตัดสินประเด็นปัญหาต่างๆ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่น่าพอใจเท่าไหร่ ตัวศาลเองจะมีปัญหาเองหรือส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของระบอบการปกครองมากน้อยเท่าไร

ผมว่านี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ ของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญออกกฎหมายมาคุ้มครองตัวเอง ในลักษณะที่ไม่ต้องการให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองเลย และถ้าเราดูแม้กระทั่งในใบแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญยังมีหมายเหตุอยู่ด้านล่าง บอกว่า ถ้าเกิดว่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นติชมอย่างสุจริตก็อาจถูกดำเนินคดี ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในต่างประเทศนะ ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องตระหนักว่านี่เป็นคดีทางการเมืองเกือบทุกคดี เพราะฉะนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นเรื่องปกติที่จะต้องตามมา 

เกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของศาลรัฐธรรมนูญก็คือคำวินิจฉัยซึ่งจะต้องแสดงอย่างละเอียด เพื่อให้คนได้เรียนรู้ร่วมกัน และสามารถโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่คำวินิจฉัยเต็มไปด้วย emotion เป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก และคนในสังคมก็ไม่ได้เรียนรู้เลยว่าศาลตีความ หรือมีความเห็นต่อหลักการอย่างไร และผมมองว่าการสร้างกฎหมายเพื่อมาปิดปากประชาชน ไม่ได้ทำให้ความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมีมากขึ้นเลย กลับกันยังกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลาย บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเอง และศาลรัฐธรรมนูญเลยตัดสินคดีโดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคม ศาลมีหน้าที่เขียนเหตุผลที่น่าเชื่อถือวางอยู่บนหลักการของกฎหมาย ศาลก็จะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีหน้าที่แบบนั้น เพราะยังไงก็มีกฎหมายที่เอาไว้คุ้มครองตนเองอยู่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก

เกี่ยวกับเรื่องประเด็นการให้เหตุผล อย่างเช่นคำวินิจฉัยล้มล้างเกี่ยวกับคดีพระมหากษัตริย์ ในประเด็นแบบนี้การให้เหตุผลของศาลมีความชัดเจนมากแค่ไหน ในทางวิชาการก็มีหลายคนมากที่ออกมาวิพากษ์เกี่ยวกับการให้เหตุผล

อย่างที่ได้คุยไปก่อนหน้าว่าจริงๆ มีปัญหาตั้งแต่การตีความหลักการ ซึ่งนั่นมีความชัดเจนอยู่แล้ว คือ ศาลทำให้หลักการรวมถึงรูปแบบการปกครองที่มีความชัดเจนอยู่แล้วมันเกิดข้อกังขา และสอง ในเรื่องของวิธีพิจารณาความ ก็มีปัญหาและถูกตั้งคำถามมาก 

ผมคิดว่าเราพูดถึงเรื่องการไต่สวน เรื่องของระบบการกล่าวหา แต่สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกล่าวหาหรือไต่สวนก็แล้วแต่ มันต้องเป็น due process มันต้องเป็นการที่ศาลต้องให้โอกาสคู่ความ ต้องให้โอกาสโดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ และต้องรับฟังอย่างรอบด้าน เพราะอย่างที่เรียนไปว่าคำวินิจฉัยของศาลนั้นมี impact มาก เป็นการยืนยันหลักการสูงสุด หรือการยืนยันหลักการพื้นฐานของประเทศ 

เพราะฉะนั้น ต้องมีความรอบคอบและรอบด้านมากกว่านี้ ผมยังรู้สึกว่าอ่านจากคำวินิจฉัยหรือว่าดูจากลักษณะของการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาล ดูแล้ว ทำให้เราเชื่อมั่นในคำวินิจฉัยได้น้อยมาก และมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายตามมา ซึ่งมันอาจทำให้คนเกิดคำสงสัยว่า เอ๊ะ หรือเป็นคำถามตัวใหญ่ๆ ว่าศาลมีธงมาแล้วหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปรับฟังพยานหลักฐานรอบด้าน นี่ก็เป็นคำถามซึ่งคนทั่วไปจะตั้งคำถามได้ 

ผมจึงมองว่าผลของคดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นำไปสู่การดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหา แต่ว่ากลายเป็นการตราหน้าเขาว่าพวกนี้เป็นกบฏล้มล้างการปกครองอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ก็เหมือนกับเป็นการกล่าวหาว่าพวกนี้กระทำความผิดที่มีโทษประหารชีวิต 

ประเด็นของคำวินิจฉัยสืบเนื่องมาจากความพยายามให้มีการแก้ 112 ในฐานะที่อาจารย์เป็นนักกฎหมาย คิดว่า 112 มีปัญหาเรื่องความชัดเจนและการบังคับใช้อย่างไร

การเรียกร้องในการปฏิรูปกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายรับรองต่างๆ เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนหรือว่าคนที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่เห็นปัญหาว่าการที่เราจะเสนอให้ยกเลิก แม้กระทั่งยกเลิกมาตรา 112 จะเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร 

เขาไม่ได้เสนอว่าให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ เขาไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ว่าเขาเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ดีขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแล้วการเสนอปฏิรูปกฎหมายให้มีการหรือแก้กฎหมายเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร

แต่ในที่นี้ ถ้าพูดถึงหลักการมาตรา 112 ถ้าเราพูดถึงหลักการ เราไม่เอาเลขมาตราแล้วกัน เราพูดถึงหลักการในความเห็นผม ผมมองว่าการที่กฎหมายให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐเป็นหลักที่ผมเชื่อว่านักกฎหมายส่วนใหญ่ทราบกันดี ว่าเป็นหลักการสากลทั่วไป เพียงแต่ว่าเราต้องกลับมาดูเหมือนกันว่า เมื่อเรามีมาตรการกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์ หรือว่าประมุขของรัฐมากกว่าคนทั่วไป เป้าหมายของมันก็คือว่า เพื่อให้สถาบันไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือว่าอยู่ในสถานะที่มีข้อโต้แย้ง ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์มากจนเรียกว่าทำให้สถานะของการเป็นประมุขของรัฐมันมีปัญหา 

ทีนี้เราต้องกลับมาถามว่า สถานการณ์สังคมในเวลานี้ การที่จะมีมาตรการกฎหมายที่จะทำให้บรรลุผลดังกล่าวได้จริง ควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ 

ถามว่าส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ว่าควรจะมีกฎหมายให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐมากกว่าคนปกติ เห็นด้วย แต่ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่า โทษที่เขียนไว้รุนแรงแบบนั้น และก็กระบวนการที่ศาลใช้อยู่ตลอดมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งมันมีหลายกรณี หลายแง่มุม มันน่ากังวลมากในกระบวนพิจารณาทั้งหลาย 

ผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหลักการกฎหมาย และกระบวนพิจารณาจะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายในการคุ้มครองประมุขของรัฐได้จริง ผมเชื่อว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง ทีนี้วิธีการทบทวนผมคิดว่าจะต้องมาคุยกัน คือ เรื่องนี้ไม่สามารถเกิดจากการที่รัฐบาลเป็นคนคิดเองว่าควรจะปกป้องแบบนี้ รัฐบาลต้องรับฟังคนในประเทศว่าอารมณ์ความรู้สึกเขาเป็นอย่างไร และเขาอยากให้เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ผมเห็นด้วยกับการที่ต้องปฏิรูป และแก้ไขมาตรา 112 

หนึ่ง ผมคิดว่าโทษควรจะต้องน้อยลง และหลักการจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องมีการทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และองค์กรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมมาพูดคุยกัน มันต้องมีเวที

สอง เราไม่ควรมีกระบวนพิจารณาที่เป็นอยู่อย่างนี้อีกแล้ว เพราะว่าเราปฏิบัติต่อคนที่ถูกกล่าวหาเสมือนหนึ่งเป็นนักโทษประหารชีวิต โทษคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงมาก จริงอยู่ว่ามีแนวโน้มที่ดี อย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็คือว่าสมัยก่อนถ้าย้อนไปคดี 112 ศาลแทบจะไม่ให้ประกันตัวเลย ผมยังไม่เคยได้ยินเลยว่าคดีไหนที่มีคนถูกกล่าวหาและศาลให้ประกันตัว แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปพอสมควร ก็คือคนที่ถูกกล่าวหาครั้งแรกก็อาจยังมีโอกาสได้ประกันตัวออกไปต่อสู้คดีนอกศาล อาจมีปัญหาที่ถูกกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำอีกอะไรต่างๆ แต่ว่าที่เป็นอยู่ คนที่ถูกกล่าวหาซ้ำๆ ก็ไม่ควรจะต้องไปอยู่ในคุก ในคดีที่เรามองว่าเกี่ยวกับการใช้สิทธิเสรีภาพในทางความคิดในทางคำพูด มันไม่ควรจะถูก treat ไม่ควรถูกปฏิบัติแบบเดียวกันกับคนที่ถูกกล่าวหาฆ่าคนตายหรือคดีอุกฉกรรจ์ 

ผมคิดว่าโดยหลักการของวิธีพิจารณามันก็ผิดแล้ว และโดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่จะช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่กฎหมายตั้งใจ ในทางตรงกันข้าม กลับบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ความน่าเชื่อถือ จริงๆ อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ก็ได้ แต่เป็นท่าทีของรัฐบาลเอง เป็นท่าทีของศาลเอง  เป็นต้น 

ผมคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้ช่วย และแถมเป็นการทำลายเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นคิดว่าถึงเวลาต้องมาปรับกันครั้งใหญ่

ประเด็นที่คนพูดคุยเกี่ยวกับผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับเป็นการห้ามพูดถึงการปฏิรูปสถาบันฯ แก้ไขมาตรา 112 หลายคนกังวลว่าอาจมีโทษอาญาเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไร

นี่สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เริ่มต้นตั้งแต่คนที่รู้สึกว่าตัวเองจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากๆ และวิธีการในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือ ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรง ต้องปิดปากอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องห้ามวิพากษ์วิจารณ์

ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นมันต้องเริ่มต้นจากการที่เรายอมรับว่าคนในสังคมคิดไม่เหมือนกัน คนที่ไม่รักก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการจะล้มล้าง เขาอาจต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันการเมืองในประเทศไทยดีขึ้น และเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับก่อนว่า มีความแตกต่างหลากหลาย และสองก็คือว่า ควรจะต้องมีพื้นที่ให้พูดคุยกันได้ เพราะเราไม่ใช่เหมือนสมัยก่อนที่คนยังสามารถพูดได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัจจุบันคนตั้งคำถามเยอะมากขึ้น เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้ก่อนว่า มีจำนวนคนที่ตั้งคำถามหรืออยากจะพูดเรื่องนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราไปกดไว้ สุดท้ายก็ระเบิดออกมา เป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งจะช้าหรือจะเร็วแค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญต่อมาคือการเปิดเวทีให้พูดกัน แล้วต้องกล้าพูดด้วย ไม่ใช่ว่าเปิดเวทีแล้วสภาตั้งคณะกรรมาธิการ ตั้งแต่ในนามและไม่ได้ทำอะไรต่อ แต่ว่าเวทีนี้ในการพูดจา ผมคิดว่าใครจะเป็นเจ้าภาพก็ได้ แต่ว่าสภามีความชอบธรรมมากที่สุด ในการเป็นคนกลาง ในการเปิด คนที่เปิดต้องกล้าที่จะทำเรื่องพวกนี้ด้วย เพื่อทำให้บรรยากาศ และผู้เข้าร่วมรู้สึกว่าจะสามารถพูดแลกเปลี่ยนกันได้โดยสุจริต เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาร่วมกันหรือปฏิรูปร่วมกัน ต้องสร้างบรรยากาศแบบนี้ แต่ตอนนี้บรรยากาศคือเต็มไปด้วยความกลัว  กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วเดี๋ยวจะมีคนบันทึกไว้และเอาไปฟ้องร้องดำเนินคดี ถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ มันก็จะไม่ไปไหน คือ การพยายามกดไว้และรอวันระเบิดแค่นั้นเอง

การเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่มีความพยายามเสนอเรื่องเข้าสู่สภา มุมมองของอาจารย์ว่าเรายังมีความหวังมากน้อยแค่ไหนในสังคม

เราต้องอยู่ด้วยความหวัง ต้องพูดอย่างนี้ ถึงความหวังมันริบหรี่มาก แต่ว่าเราต้องอยู่ด้วยความหวัง คือเราต้องใช้ชีวิตไปข้างหน้า เรามีลูกหลานของเราที่ต้องเติบโตขึ้นไป แล้วก็มีความหวังว่าสังคมเราจะดีขึ้น แต่ว่าอย่างที่ผมบอกไปแหละว่าปัญหาของความพยายามในการแก้รัฐธรรมนูญ มันเกิดจากกลไก เรียกว่าค่ายกลที่มันถูกวางไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้การแก้ปัญหาอะไรทั้งหลาย มันเกิดขึ้นไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งแรกในทางกฎหมายที่ต้องทำเลยก็คือต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ได้และก็ผมคิดว่ามันต้องสร้างเวทีให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่องในรัฐธรรมนูญ โดยที่การเปลี่ยนแปลง มันควรจะมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

การพยายามของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คือ ความพยายามที่ถูกต้องและก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมเสรีประชาธิปไตยทั่วไป เพราะว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของประชาชนทั้งหมด เพราะฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองให้ได้ แนวทางที่เป็นอยู่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่าคนที่มีอำนาจในการคุมตัวล็อกทั้งหลาย ต้องถึงจุดที่ต้องตระหนัก แต่ดูเหมือนตอนนี้พวกเขายังไม่ตระหนักเท่าไหร่ว่า ปัญหามันร้ายแรงมาก และก็ถ้ารอไปถึงวันที่แตกหัก หลายอย่างก็อาจจะเสียหายเกินกว่าที่จะเยียวยา 

อาจารย์เล่าให้เราฟังว่า อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นเหมือนไฟนำทางให้อาจารย์ได้เข้าสู่วงการกฎหมาย ได้เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยากให้อาจารย์ขยายความ เล่าให้เราฟังถึงตรงนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ผมเคยปรารภกับอาจารย์ผู้ใหญ่ในคณะท่านหนึ่ง ซึ่งมีความคุ้นเคยกับครอบครัวของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับท่านคณบดี รุธิ์ พนมยงค์ คณบดีของคณะพาณิชย์ฯ ผมเคยไปเล่าให้ท่านฟังว่า ผมอยากพบท่านผู้หญิงพูนศุข คือ ผมไม่ทันท่านอาจารย์ปรีดีอยู่แล้ว ตอนท่านเสีย ท่านก็อยู่ต่างประเทศ แล้วเราก็ยังเด็กมาก แต่ว่าท่านผู้หญิงพูนศุขท่านก็มีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่า และผมก็มีความคิดตลอดว่าอยากจะพบท่านสักครั้งหนึ่ง แต่เสียดายที่ยังไม่เคยได้มีโอกาสได้พบ 

โดยส่วนตัว ผมมีความผูกพันทางจิตใจกับท่านอาจารย์ปรีดีมาก เพราะตั้งแต่อายุสัก 8-9 ขวบ ผมก็เริ่มอ่านหนังสืออาจารย์ปรีดีแล้ว คุณลุงผมอยู่ต่างประเทศ เวลาท่านกลับมาเมืองไทยปีละครั้ง ก็จะมีหนังสือเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีที่เขียนโดยคุณสุพจน์ ด่านตระกูลบ้าง เขียนโดยอาจารย์ส. ศิวลักษณ์ บ้าง เพราะฉะนั้นผมก็ได้เรียนรู้ในเรื่องของท่านจากหนังสือเหล่านั้นตั้งแต่เด็กๆ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมสนใจเรื่องของกฎหมาย เรื่องการเมือง จริงๆ เรื่องการเมืองมากกว่ากฎหมายด้วยซ้ำไป

เรื่องราวของอาจารย์ปรีดีทำให้ตอนเด็กๆ ผมรู้จักมหาวิทยาธรรมศาสตร์ แล้วก็ตั้งเป้าหมายว่าต้องมาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ได้ ผมสนใจติดตามชีวประวัติของท่านมาก ตอนเป็นนักศึกษาก็ยังปรึกษากับอาจารย์บางท่านตลอด และยังถามถึงมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีกิจกรรมอะไรบ้าง ซึ่งผมก็สนใจตลอดเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่ได้เข้าไปร่วมกันอย่างเป็นทางการ

แต่วันนี้ได้มีโอกาสมาพูดแล้วก็แชร์ความคิดเห็น ในนามของสถาบันปรีดีฯ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะทำ อยากจะ contribute อยากจะมีส่วนร่วมกับงานของสถาบันปรีดี พนมยงค์ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าสถาบันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สังคมมีความมืดมิด และคนรู้สึกกลัว รู้สึกสิ้นหวังในเรื่องการเมือง 

ในเรื่องอนาคต ผมคิดว่ามันต้องมีคนที่สร้างเวที สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และก็ร่วมกันเรียกว่าแก้ไขปัญหา ผมคิดว่ามันคือความพยายามอย่างหนึ่ง ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกันสนับสนุน

ผมคิดว่าการสนับสนุนที่ดีที่สุดก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สถาบันปรีดี พนมยงค์จัด เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่อยากจะรับฟังความคิดเห็นของทุกคนอยู่แล้ว แล้วก็เปิดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนกันหรือว่าการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ เท่าที่ทำได้ นี่ก็ถือว่าเป็นการร่วมกันสืบสานเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์และก็อุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญที่ท่านให้ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ครับ 

ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของการพัฒนากฎหมายแรงงานในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นก่อรูปอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงหลังปี 2475 เนื่องจากในเวลานั้นอาชีพของคนส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ อาชีพแรงงานยังเป็นอาชีพของคนส่วนน้อยในประเทศ[1] และกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยส่วนมากนั้นเป็นคนต่างด้าวมากกว่า  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากช่วงปี 2490 เป็นต้นมาการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยเริ่มเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเข้าแทนที่ของธุรกิจของประเทศตะวันตกที่เป็นคู่สงครามโดยธุรกิจคนไทย[2] ทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น[3] ซึ่งทำให้จำนวนผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ตลอดบริบทของการก่อตัวของกฎหมายแรงงานไทยนั้นจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของแรงงานไทยโดยส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีที่มาจากความตั้งใจของรัฐบาลโดยส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เกิดกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้แรงงานอย่างจริงจัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นมาจากบริบทของการเมืองระหว่างประเทศ อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย และการเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายทางกฎหมายของรัฐบาลโดยกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516[4] 

แต่ขบวนการแรงงานไทยก็โดนแช่แข็งมาโดยตลอดรัฐบาลของคณะรัฐประหาร ซึ่งพยายามจะกดชนชั้นแรงงานไว้ให้อยู่ในสถานะที่ไม่อาจต่อรองได้เพื่อให้ยอมรับสภาพและเคยชินกับสภาวะที่ไม่มีสิทธิและเสรีภาพ เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ และในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ช่วยอำนวยผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐบาลคณะรัฐประหารไว้[5]

สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นปัญหาของการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานของประเทศไทยว่า บรรดากฎหมายแรงงานทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล หากแต่เกิดจากการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากบริบทของการเมือง เช่น ในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการผ่าน พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ. 2499 ออกมาเพื่อสร้างความนิยมทางการเมืองของตนเอง เป็นต้น หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กรณีของประเทศไทยโดนสหภาพยุโรปให้ใบเหลือง IUU แก่ประเทศไทย เนื่องจากปล่อยให้มีการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เป็นต้น ซึ่งทั้งสองสถานการณ์เป็นตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขกฎหมายแรงงานไทย

ภายใต้บทความนี้ ผู้เขียนได้ลองนำเสนอความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยผ่านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาหรือต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

ตารางแสดงบริบททางการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคมกับกฎหมายแรงงานไทย

รัฐบาลปีกฎหมายบริบท/รายละเอียด
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว2471ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะอื่นๆ ซึ่งรองรับการขยายตัวของกิจกรรมการค้าพาณิชย์ตามแนวทางตะวันตก
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา2475พ.ร.บ. สำนักงานจัดหางาน และพ.ร.บ. จัดหางานประจำท้องถิ่นเกิดปัญหาการว่างงานขึ้นมาโดยสืบเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ[6]
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา2479กฎหมายการสอบสวนภาวะกรรมกรสอบสวนและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกรรมกรเพื่อวางนโยบาย และออกกฎหมาย[7]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม2497พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2497สหอาชีวะกรรมกรไทยได้เคลื่อนไหวออกมาเรียกร้อง[8]
2499พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499กฎหมายนี้ได้ถูกตราขึ้นมาอย่างน้อย 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การถูกสันนิบาตชาติสอบถามถึงการมีกฎหมายแรงงานในการประชุมครั้งแรกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งองค์การดังกล่าวเมื่อ พ.ศ. 2462[9] อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของสหอาชีวะกรรมกร และ กรรมกร 16 หน่วย เคลื่อนไหวกับรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง[10] ในขณะเดียวกัน องค์กรที่รัฐบาลของจอมพล ป. ได้จัดตั้งเพื่อช่วงชิงองค์กรกรรมกรดั้งเดิม และสามารถควบคุมได้ ก็เปลี่ยนแปลงไปจนถึงขนาดไม่สามารถควบคุมได้อีก นอกจากนั้น ก็มีแรงจูงใจที่จะเอาใจกรรมกรเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้งในปี 2500[11]
  พ.ร.บ. สงเคราะห์อาชีพแก่คนไทย พ.ศ. 2499มีการรุกรานจากชาวต่างชาติซึ่งมาทำงานหากินในประเทศไทยในขณะนั้นเป็นจำนวนมาก[12]
จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
2501ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่19 ลงวันที่ 31 ต.ค. 2501 ซึ่งยกเลิก พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499  จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ทำการรัฐประหาร[13] และมองว่าการรวมกลุ่มของคนงานเป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉาน และเป็นเครื่องมือให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้การประกอบอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมมีความระส่ำระส่าย อันเป็นภัยต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[14] หากมีข้อพิพาท ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัย[15]
 2501 – 2502ออกกฎหมายในรูปประกาศของกระทรวงมหาดไทยแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499[16]เพื่อแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499 โดยประกอบด้วย…ประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้างประกาศเรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการจ่ายเงินทดแทน ตลอดจนจำนวนเงินค่าทดแทนประกาศว่าด้วยโรค ซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ประกาศเรื่องกำหนดงานอันอาจเป็นภัยต่อสุขภาพและอนามัย หรือร่างกายของลูกจ้างและคนงาน ประกาศเรื่องวันหยุดงานประจำสัปดาห์
จอมพลถนอม
กิตติขจร
2508ตรา พ.ร.บ. กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน[17]สืบเนื่องจากได้มีการพิพาทแรงงานและการนัดหยุดงานเกิดขึ้นมาก[18]
 2511ตรา พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2511 มาแทนที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยสำนักจัดหางาน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ. สำนักจัดหางานท้องถิ่น พ.ศ.2475[19]
 2512พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 
แทนที่ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2482 
มุ่งเน้นไปที่การกำหนดวิธีการก่อตั้งโรงงานและการคุ้มครองผู้ทำงานในโรงงาน[20]
จอมพลถนอม
กิตติขจร
(ปฏิวัติซ้อน)
2515ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ซึ่งยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501และ พ.ร.บ.กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน พ.ศ.2508องค์กรแรงงานระหว่างประเทศและขบวนการแรงงานสากลได้กดดันรัฐบาลไทยจากการปล่อยให้เกิดการกดขี่แรงงานมาเป็นระยะยาวนานในช่วงการปกครองโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกทั้งเป็นความพยายามรักษาแรงงานให้ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจ[21] โดยนอกจากจะยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารดังกล่าวแล้ว ก็ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ โดยนาหลักการแรงงานสัมพันธ์ในพ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499 มาใช้อีก แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ให้สิทธิลูกจ้างจัดตั้งองค์กรของตนขึ้นได้ แต่เรียกว่า สมาคมลูกจ้าง[22]นอกจากนั้น ยังมีประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 322 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตการทำงานของคนต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยออกบังคับใช้โรงงาน[23]
ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 12 บาทเป็นวันละ 16 บาทผลจากการอ้างว่าประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 103 เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้างที่สุด และมีข้อบัญญัติใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ ค่าจ้างขั้นต่ำ และการก่อตั้งเงินทุนค่าทดแทน
สัญญา 
ธรรมศักดิ์
2517ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 16 บาทเป็น
วันละ 20 บาท
วันที่ 10 ถึง 14 มิถุนายน พ.ศ. 2517 กรรมกรโรงงานทอผ้านับหมื่นคนภายใต้การนำของสมาคมลูกจ้างอุตสาหกรรมสิ่งทอสมุทรปราการและสมุทรสาครได้มาชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง[24]
 2518ตรา พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518คาดว่าเป็นผลจากการต่อสู้ของกรรมกรไทยในช่วงปีที่ผ่านมาที่แสดงให้เห็นถึงพลังของกรรมกรต่อรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ และเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ[25]
 2517 – 2518ค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงานรัฐสวัสดิการเริ่มดีขึ้นสมาคมลูกจ้างต่าง ๆ มีการประท้วงขอปรับเงินเดือนและปรับปรุงสวัสดิการ ตลอดจนต่อต้าน
การคอรัปชั่นของผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ (จะส่งผลต่อการต่อสู้ของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในช่วงปี 2531-2533 ให้มีความโดดเดี่ยว)
คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 
(สงัด
ชลออยู่)
2519ออกคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 46 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518– การต่อสู้ระหว่างขบวนการสามประสานต่อรัฐกับกลุ่มทุน จนพยายามตีกรอบขบวนการแรงงานในประเทศไทยให้กลายเป็นขบวนการสหภาพแรงงานของแรงงานในระบบ และค่อยสกัดกั้นผู้คนอื่นๆ ให้พ้นจากขบวนการแรงงาน[26]
– กำหนดให้องค์การแรงงานระดับชาติต้องจดทะเบียน และมีวัตถุประสงค์ที่จำกัด[27]
  การออกกฎหมาย เพื่อจำกัดเสรีภาพในการนัดหยุดงานคาดว่า เป็นผลจากการที่รัฐต้องการสกัดกั้นพลังงานของขบวนการสามประสานที่กำลังมีอิทธิพลต่อการต่อสู้กับนายจ้าง และรัฐบาล โดยการออกกฎหมายดังกล่าวจะประกอบด้วยดังนี้
– ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องห้ามนัดหยุดงาน และห้ามปิดงาน 8 ตุลาคม 2519- กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2519 (ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์)
– คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519[28]
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์
2521ตรา พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521สถานการณ์ทางการเมืองทั่วไปได้มีผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[29]
 2522ตรา พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2503 มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง และทำให้รัฐเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสในการใช้แรงงานของทุน แต่มาตรการเริ่มเสื่อมถอย และเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมของรัฐ จึงทำให้เริ่มกระบวนการดึงการต่อสู้ของแรงงานเข้ามาอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะระบบไตรภาคี ซึ่งก็มีศาลแรงงานเป็นหนึ่งในนั้น อันทำให้การต่อสู้อยู่ในกรอบที่รัฐวางขอบเขต และสร้างความสะดวกแก่รัฐ และทุนที่จะทำให้ความขัดแย้งยุติด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ย [30]
 2522การตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ซึ่งจะมีมาตรา 6 กำหนดไม่ให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองแรงงาน และว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ คาดว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงพลังต่อรองที่กำลังเริ่มเข้มแข็ง
ของแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 
 2523กลุ่มนักบริหารงานบุคคล กอ.รมน. รุ่นที่ 1 ถึง 4 เสนอต่อรัฐบาลให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจาก พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518  เช่นเดียวกันกับการตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
– 
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์

– 
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
2520 – 2523การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก 28 เป็นวันละ 35 บาท 45 บาท และ 54 บาทตามลำดับการปรับค่าจ้างเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน และได้ทำข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพราะรัฐบาลยุคธานินทร์ กรัยวิเชียรในแรกเริ่ม เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นมาเพียง 3 บาท และไม่มีทีท่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยคณะกรรมการค่าจ้างต่างก็ลงมติปรับค่าจ้างให้ต่ำกว่าข้อเสนอของสหภาพแรงงานทั้งสิ้น[31]
พลเอกเปรม 
ติณสูลานนท์
2524มติคณะรัฐมนตรี 15 กันยายน 2524ผลจากการสังเกตว่าสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจมีการวมตัวเข้มแข็งจนสามารถเรียกร้องเรื่องค่าจ้าง และสวัสดิการ โดยเดิมที ก็จะมีความอิสระในการตกลงกับฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจ จึงออกกฎห้ามรัฐวิสาหกิจทำการปรับปรุงอัตราค่าจ้าง เงินเดือน ค่าครองชีพ หรือสวัสดิการอื่นใดที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี[32]
 2528พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
 2530พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ2533ตรา พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533นักศึกษาได้มาร่วมชุมนุมสนับสนุนคนงาน ซึ่งมีองค์กรแรงงานที่นำการเคลื่อนไหว คือ สภาองค์การลูก จ้าง สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย กลุ่มสหภาพแรงงานภาคเอกชน 3 กลุ่มย่าน และกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์[33]
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: สุนทร คงสมพงษ์)และอานันท์ 
ปันยารชุน
2534ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 54 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518  การรัฐประหารของคณะ รสช. พยายามจำกัด กีดกันคนอื่นๆ ไม่ให้สามารถเข้าเป็นที่ปรึกษาแก่สหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรองได้อย่างเสรี ผู้ที่จะให้คำปรึกษาได้จะต้องได้รับการจดทะเบียนจากอธิบดีกรมแรงงานเท่านั้น[34]
 2534พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534เรียนรู้จากบทเรียนในช่วง 2531 – 2533 กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พยายามขับเคลื่อนประเด็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งการปรับโครงสร้างเงินเดือน และต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่สำเร็จจากการเคลื่อนไหวที่โดดเดี่ยว และภาพพจน์การต่อสู้เพื่อประโยชน์ของตัวจนดูหมดความชอบธรรมในสายตาประชาชน และกลายเป็นเป้าหมายในการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร โดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ออกกฎหมาย[35]  ทำให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจากพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518[36] แยกสลายขบวนการแรงงานภาครัฐวิสาหกิจกับเอกชน
ชวน หลีกภัย2537พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537เกิดกระแสการขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อประชาชนจาก
การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นไปบนบรรยากาศแห่งการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยรัฐบาลก็นำไปขับเคลื่อนด้วย 
โดยอ้างถึงความต้องการปรับปรุงกฎหมายฉบับเก่า[37]  
 2541พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
 2543พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
ทักษิณ ชินวัตร2544ออกพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2544เพื่อกำหนดให้สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518[38]
 2546ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยการส่งเสริมงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ.2546ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในด้านกฎหมายแรงงานแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพราะจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้านให้มีขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน และเสริมสร้างการรวมกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านให้เข้มแข็ง[39]
อภิสิทธิ์ 
เวชชาชีวะ
2552มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในการประชุม ครั้งที่ 7/2552 การให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างชั่วคราวของรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือน 15,000 บาท ได้รับค่าครองชีพชั่วคราวเดือนละ 2,000 บาท เป็นะระยะเวลา 6 เดือน[40]
 2553พ.ร.บ. คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553เกิดจากการขับเคลื่อนของโฮมเนท ประเทศไทย และเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยร่วมกับองค์กรอื่นๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 โดยมีการจัดทำร่างพ.ร.บ. ส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. …. โดยเป็นการนำเสนอคู่ขนานไปกับร่างกฎหมายเกี่ยวกับผู้รับงานไปทำที่บ้าน ฉบับกระทรวงแรงงาน[41] (และเข้าใจว่าร่างฉบับกระทรวงแรงงานได้รับเลือก)
 2554พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554มีที่มาจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานเคเดอร์ ใน 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้ตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม และไม่มีการซักซ้อมการรับมือกับอัคคีภัยให้แก่พนักงาน อันทำให้ขบวนการแรงงานได้มีความพยายามในการที่จะเรียกร้องให้มีกฎหมาย และรัฐบาลก็เริ่มมีนโยบาบเกี่ยวกับความปลอดภัยของแรงงาน[42]
 2555ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ และลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555การขยับฐานเงินเดือน และค่าครองชีพขั้นต่ำของข้าราชการ พนักงานราชการ  และลูกจ้างชั่วคราวให้รวมถึง 15,000 บาท เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[43]
 2555ประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ เรื่อง ค่าตอบแทนของพนักงานราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2555
 2555หนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0428/ว 12 ออกในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร2555กฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (ลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน)เกิดจากการเคลื่อนไหวของมาลี สอบเหล็ก ประธานกลุ่มลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย และสมาชิกเพื่อนร่วมอาชีพกว่า 300 ชีวิต เรียกร้องให้กระทรวงมีมาตรการคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพในบ้าน[44]
 2555 – 2556ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 7) และประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 8)การขยับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็น 300 บาทใน 70 จังหวัด และทั่วประเทศตามลำดับ เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[45]
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (1)2557กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557ต้องการเตรียมตัวในการปฏิบัติตามให้สอดคล้องกับ
กฎระเบียบ IUU[46] 
 2558พ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[47]
 2559พระราชกำหนดการนาคนต่างด้าวมาทางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. 2559หากพิจารณาหมายเหตุท้ายพ.ร.บ. ที่กล่าวไว้ส่วนหนึ่งว่า “เพื่อให้มาตรฐานในการทำงานของแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ” ก็น่าจะมีความนัยเดียวกันว่า ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการถูกจัดอันดับในกลุ่ม Tier 3 ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) และการติดใบเหลืองตามกฎระเบียบ IUU
 2557 – 2561กฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557 และกฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 (ออกตามพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541)ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[48]
 2562พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[49] โดยแม้ว่าจะมีการปลดใบเหลืองแล้ว ก็มีการเตือนอยู่ว่าจะต้องส่งเสริมสิทธิแรงงานต่อไป มิฉะนั้นจะกลับไปติดใบเหลืองอีก[50] และการปฏิบัติตามพันธกรณีตาม C188[51]
 2562พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 (แรงงานบังคับ)เป็นหลักฐานให้สหรัฐอเมริกาเห็นว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับ “ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างเต็มที่ในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินการดังกล่าว” หรือ Tier 2[52] และไม่ให้กลับไปสู่กลุ่ม Tier 3 ซึ่งเคยถูกจัดไว้ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ประกอบกับการอนุวัติการให้เป็นไปพิธีสาร ค.ศ. 2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930[53]

การศึกษาในครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นของภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับแรงงานนั้นยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อบริบทของแรงงานไทยเปลี่ยนแปลงไป

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ และหัตถพงษ์ หิรัญรัตน์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854> สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2564.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ข้อสังเกตประการหนึ่งการเพิ่มขึ้นของแรงงานสัญชาติไทยอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมกีดกันแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้รับการศึกษาโดยละเอียดภายใต้บทความนี้.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (เชิงอรรถที่ 1).

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2564.

[6] วีรนันท์ ฮวดศรี, 2558, ‘วิวัฒนาการกฎหมายแรงงานไทย’ (Blogzine, 1 กุมภาพันธ์ 2556) <https://blogazine.pub/blogs/iskra/post/3946> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, ประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานไทย (พิมพ์ตุลา 2533) 35.

[7] เพิ่งอ้าง 35.

[8] เพิ่งอ้าง 42.

[9] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, ‘รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “แม้มีสิทธิ (ตามกฎหมาย) แต่เข้าไม่ถึงสิทธิ (ตามความเป็นจริง)”: กรณีศึกษาสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานและเจรจาต่อรองตามพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518’ (สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า 2559) 9 และ 45; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 32.

[10] นภาพร อติวานิชยพงศ์, สหภาพแรงงานไทย ที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม Thai Unionism as a Social Movement (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2561) 33-34; เพิ่งอ้าง 51 – 52.

[11] เพิ่งอ้าง 26–27 และ 43–54; ศรัณย์ จงรักษ์, ‘การให้และกีดกันสิทธิของผู้ใช้แรงงานโดยพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2560) 97 – 98.

[12] ธีระ ศรีธรรมรักษ์, กฎหมายแรงงาน (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2547) <http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW401(47)/lw401(47)-1-1.pdf> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564, 8.

[13] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[14] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 66.

[15] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[16] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 67.

[17] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[18] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[19] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[20] เพิ่งอ้าง.

[21] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 35; ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 100 – 106.

[22] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[23] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[24] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 78.

[25] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 79.

[26] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 20).

[27] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 119.

[28] เพิ่งอ้าง 114–119.

[29] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[30] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 14.

[31] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 137.

[32] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 120.

[33] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42.

[34] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 16).

[35] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42-43.

[36] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46.

[37] ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 110 – 112.

[38] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46

[39] ชญานี กลีบบัว, ‘การรับงานไปทำที่บ้าน’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2558) 37–38 และ 44.

[40] การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564) <https://www.ryt9.com/s/cabt/756092>; โปรดดู สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564)  <https://resolution.soc.go.th/?page_id=74&find_word=%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88&start_date=24%2F11%2F2552&end_date=24%2F11%2F2552&book_number=&page_no=1>

[41] ชฤทธิ์ มีสิทธิ์ และพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์, ผู้รับงานไปทำที่บ้านในประเทศไทย: สิทธิและการรณรงค์นโยบาย (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2549) 27–32.

[42] นักสื่อสารแรงงาน, ‘ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำลึก 28 ปีกรณีไฟไหม้โรงงานเคเดอร์เสียชีวิต 188 ราย’ (Voicelabour, 10 พฤษภาคม 2564) <https://voicelabour.org/ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำ/> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; และศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ‘10 พฤษภาคม วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ’ (ศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม, 10 พฤษภาคม 2562) <https://www.shecu.chula.ac.th/home/content.asp?Cnt=216> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564.

[43] มติชน, ‘เพื่อไทยไม่หวั่น พปชร. ชูนโยบายขึ้นค่าแรง เพราะเคยทำได้ผลมาแล้ว 17 ปีก่อน’ (มติชนออนไลน์, วันที่ 14 มีนาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/politics/news_1405733> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[44] วศินี พบูประภาพ, ‘Opinion | สิทธิในการเข้าร่วมสหภาพ : ทางออกปัญหาการค้ามนุษย์ในแรงงานข้ามชาติ-แรงงานนอกระบบ’ (Workpoint, 30 ตุลาคม 2562) <https://workpointtoday.com/trade-union-human-trafficking/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564.

[45] มติชน, (เชิงอรรถที่ 43).

[46] สุภางค์ จันทวานิช และคณะ, ‘รายงานผลการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม การค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ พ.ศ. 2559’ (เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559), 33 – 34; ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, ‘การคุ้มครองแรงงานในงานประมงของไทยในกรอบการเจรจาทวิภาคีไทย-สหภาพยุโรป ช่วงปี พ.ศ. 2558 – พฤษภาคม 2563‘ (รายงานการศึกษาส่วนบุคคล หลักสูตรนักบริหารการทูต รุ่นที่ 12 ปี 2563 สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ 2563) 2-4 และ 15-16; และ โสรญา พิกุลหอม, ‘อนาคตของแรงงานประมงไทยภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550’ (รัฐสภาไทย, กุมภาพันธ์ 2562) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=54525&filename=house2558>, 1–2.

[47] ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, เพิ่งอ้าง 1-2.

[48] เพิ่งอ้าง 1-2.

[49] เพิ่งอ้าง 15-16; และ กองบรรณาธิการ, 2563, ‘สิทธิประมงไทย ไม่เคย New Normal’ (Way Magazine, 14 กรกฏาคม 2563) <https://waymagazine.org/cso-coalition-2020/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[50] วศินี พบูประภาพ, (เชิงอรรถที่ 44).

[51] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[52] สถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานกงสุลในประเทศไทย, ‘รายงานการค้ามนุษย์ประจำปี พ.ศ. 2562’ (U.S. Embassy, 2563) <https://th.usembassy.gov/th/our-relationship-th/official-reports-th/2019-trafficking-persons-report-thailand-th/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564; และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2564, ‘พม. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกำหนดกิจกรรมภายใต้แนวทางให้บริการช่วงระยะเวลาฟื้นฟูและไตร่ตรอง (Reflection Period) สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์’ (สำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 25 กุมภาพันธ์ 2564) <https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/mso_web/mobile_detail.php?cid=32&nid=29883> สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2564.

[53] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

ร่างทรง : ภาพสะท้อนนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

จากความสำเร็จของ ร่างทรง ในการขายเรื่องราวและวัฒนธรรมของไทยไปสู่สังคมโลก นับเป็นอีกหนึ่งก้าวของการนำเรื่องราวและวัฒนธรรมไทยสู่ประชาคมโลก 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ ประเทศไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ อุตสาหกรรม Soft Power (อำนาจอย่างอ่อน; อำนาจที่เกิดจากการสร้างเสน่ห์หรือการโน้มน้าว (co-optive power) กิตติ ประเสริฐสุข, 2560) เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซบเซาลง เนื่องจากข้อจำกัดในการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ 

อุตสาหกรรม Soft Power จึงอาจเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศและเป็นตัวช่วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงฟื้นฟู ซึ่งในบทความนี้จะเน้นความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์

“ร่างทรง” กับพื้นที่ของการสร้างเรื่องราว

หลายๆ คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องร่างทรงแล้ว อาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะรู้สึกชอบในรูปแบบของการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ฉาก ความเป็นไปของบทหนัง หรือ บางคนอาจจะให้ความเห็นว่า การดำเนินเรื่องนั้นยังดำเนินไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร ซึ่งส่วนนั้นอาจจะเป็นมุมมองของผู้ชมที่มีต่อภาพยนตร์ที่แตกต่างกันออกไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ร่างทรง ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ วิญญาณ และเรื่องราวความลี้ลับของประเทศไทยออกไปสู่สังคมโลก ซึ่งก็เป็นการเปิดศักราชของหนังผีไทย เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นหนังผีไทยในวงการภาพยนตร์สากลยังถือว่ามีพื้นที่ที่ค่อนข้างน้อย

ด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะความแตกต่างทางพื้นฐานความเชื่อ และวัฒนธรรมที่อาจทำความเข้าใจได้ยาก เรื่องร่างทรงจึงได้มีการปรับแต่งเรื่องผี และความเชื่อของท้องถิ่นให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้ทำความเข้าใจกันได้มากขึ้น แม้อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมคนไทยบางส่วนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์แล้วก็คือ ตำนาน ความเชื่อ และเรื่องลี้ลับของประเทศไทย ยังคงสามารถนำมาขายได้ในวงการภาพยนตร์ และวงการละครต่างประเทศ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า “ร่างทรง” มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ คำตอบก็คือ ประเทศไทยยังมีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ให้เกิดภาพยนตร์ที่สามารถสร้างจุดขายได้ ในเรื่องของบท และโลเคชั่นซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ 

เฉพาะในแง่ของประเทศไทยมีเรื่องราวจำนวนที่สามารถนำมาสร้างเป็นสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ หรือละคร ทั้งเรื่องผี ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องการเมืองการปกครองของประเทศ 

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบในเรื่องโลเคชั่น เนื่องจากการมีพื้นที่หลากหลายทั้งเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม คำถามสำคัญก็คือ รัฐบาลได้ตระหนักถึงข้อดีและจุดเด่นของประเทศไทยตรงนี้แล้วหรือไม่ ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้อาจจะเป็น “ไม่” 

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ การที่ “ร่างทรง” ต้องอาศัยความร่วมมือกับบริษัทในประเทศเกาหลีเพื่อประโยชน์ในการขยายฐานผู้ชม และนำภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับโลก (ปัจจัยนี้เองผู้เขียนคิดว่าทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนภาพยนตร์ให้คนทั่วโลกสามารถเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนไทย)

การเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

หากพิจารณาการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย (ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ อีก 15 อุตสาหกรรมนั้น มีการเติบโตค่อนข้างน้อย พอๆ กันกับอุตสาหกรรมดนตรีที่มีมูลค่าต่ำและมีการเติบโตต่ำ

แผนภาพเปรียบเทียบการเติบโตและขนาดของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำนวน 15 อุตสาหกรรม
(ข้อมูลค่าอุตสาหกรรม TSIC 4 หลัก ช่วงปี พ.ศ. 2553 – 2560)

หมายเหตุ : ข้อมูลจากรายงานประมวลผลมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำแนกตามสาขาการผลิต และข้อมูลจำนวนแรงงานที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปรับปรุงจาก : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2564).

นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศแล้ว นับตั้งแต่ช่วงหลังทศวรรษ 2550 ภาพยนตร์ไทยได้ลดความนิยมลดลง ในขณะที่สัดส่วนของงานภาพยนตร์ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยภาพยนตร์ไทยโดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุน จนไม่สามารถที่จะฉายได้นาน และถูกถอดออกจากโปรแกรมการฉาย 

เมื่อพิจารณาในเชิงจำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พบว่า ตลอดทั้งปีมีการผลิตภาพยนตร์ออกฉายเฉลี่ยเพียงปีละ 50 – 59 เรื่องเท่านั้น คิดเฉลี่ยเป็นสัปดาห์ได้สัปดาห์ละ 1 เรื่อง ในขณะที่ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าฉายสัปดาห์ละ 2 – 5 เรื่อง และกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้นโดนจำกัดจากหลายๆ ปัจจัยทำให้ผู้บริโภคอาจให้ความสนใจกับภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของตลาดต่างประเทศ ภาพยนตร์ไทยยังคงได้รับความสนใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ภาพยนตร์กลุ่มที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ ภาพยนตร์ตลก สยองขวัญ วัยรุ่น และการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสื่อสารเอกลักษณ์ไทยเข้าไปในเรื่อง หรือใช้นักแสดงชาวไทยซึ่งมีความนิยมมากในประเทศจีน

นอกเหนือจากในแง่ของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีนแล้ว ภาพยนตร์และผู้กำกับของประเทศไทยก้ยังได้รับรางวัลจากการประกวดภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง มะลิลา กำกับโดย อนุชา บุญยวรรธนะ ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คิม จิซก อวอร์ด จากเทศกาลหนัง Busan International Film Festival 2017 และได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนัง Singapore International Film Festival 

ภาพยนตร์เรื่อง Memoria ของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นำแสดงโดย ทิลดา สวินตัน ที่ได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2021 (ครั้งที่ 74) ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และได้รับรางวัล The Jury Prize

หากพิจารณาในแง่คุณภาพของภาพยนตร์ และความสามารถของผู้กำกับไทย ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ภาพยนตร์ไทยจำนวนหนึ่งเป็นงานที่มีคุณภาพ และผู้กำกับเป็นผู้ที่มีความสามารถ หากแต่ในความเป็นจริงวงการผลิตภาพยนตร์ไทยนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัด และลักษณะของงานภาพยนตร์ไทยไม่ค่อยหลากหลาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้นมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก อุปสรรคภาคการลงทุน ผู้สนใจลงทุนผลิตภายในประเทศมีจำนวนน้อย ดังนั้น เมื่ออำนาจการลงทุนน้อย การตัดสินใจอนุมัติทุนทำภาพยนตร์จึงค่อนข้างจำกัด คนสร้างภาพยนตร์จึงต้องตกอยู่ภายใต้กรอบความคิดของนายทุนผู้อนุมัติทุน สิ่งนี้กลายเป็นข้อจำกัดในการนำเสนองานภาพยนตร์แนวใหม่ๆ

ประการที่สอง อุปสรรคภาคการบริโภค ผู้ชมภาพยนตร์บางส่วนยังคงมองว่างานภาพยนตร์ของไทยขาดความสร้างสรรค์ ภาพยนตร์หลายเรื่องมีความเป็นงานเพื่อการค้ามากกว่างานศิลปะเพื่อการบริโภค และขาดลูกเล่นในการสื่อสารกับผู้ชม โดยเฉพาะกรณีของภาพยนตร์อิสระที่เนื้อหาสาระยากเกินกว่าการจะเข้าถึง  นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังขาดความเป็นสากล ทำให้คนทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงได้

ประการที่สาม อุปสรรคภาคการฉาย เนื่องจากผู้ฉายมีสิทธิถอดภาพยนตร์ หรือ ลดรอบฉายเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับงานนำเข้าที่ดูมีความนิยมสูงกว่า โดยดูเพียงทิศทางรายได้มากกว่าจะให้โอกาสในการฉายภาพยนตร์

ประการที่สี่ อุปสรรคด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังคงไม่กระจายไปยังคนทำภาพยนตร์ในวงการ ซึ่งทำให้ในการผลิตภาพยนตร์เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศสิ้นสุดเพียงแค่การนำเสนอชิ้นงานแก่ผู้ซื้อ แต่ไม่มีกระบวนการตามความคืบหน้า  นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐยังกลายเป็นอุปสรรคผ่านกระบวนการขออนุญาตทางกฎหมายที่เกิดจากความพยายามทำหน้าที่ตามกฎหมาย (law job) ในการตรวจสอบศีลธรรมของประชาชนหรือความเหมาะสมของภาพยนตร์ว่าจะต้องสร้างสรรค์วัฒนธรรม หน่วยงานของรัฐจึงเลือกที่จะเข้ามาคัดกรอง (เซนเซอร์) เนื้อหาและประเภทภาพยนตร์

อุปสรรคทั้ง 4 ประการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยมีผลงานการผลิตน้อยและขาดความหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตต่ำและสร้างรายได้น้อยเมื่อเทียบกับสินค้าในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น

เปรียบเทียบนโยบายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับเกาหลี

เกาหลีใต้ภายหลังสงครามเย็นได้เพิ่มความร่วมมือด้านต่างๆ กับประเทศอื่น ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และได้หันมาให้ความสำคัญกับ Soft Power โดยในช่วงปี ค.ศ. 1993 ภาพยนตร์เกาหลีมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงร้อยละ 15 ในขณะที่อีกร้อยละ 85 เป็นภาพยนตร์นำเข้าจากประเทศอเมริกา ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นเกาหลีมีระบบสกรีนโควต้า (Screen Quota) โดยบังคับให้ต้องฉายภาพยนตร์เกาหลีเป็นจำนวนตามที่ระบุไว้เพื่อป้องกันการตีตลาดจากภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก

ในปี ค.ศ. 1993 สถานการณ์ของประเทศเกาหลีเปลี่ยนแปลงไป เมื่อประธานาธิบดีคิม ยองซัม (Kim Young-sam) ซึ่งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Cultural Industry) โดยเขามีวิสัยทัศน์ว่า “ในศตวรรษที่ 21 ศิลปะและวัฒนธรรมจะเป็นอุตสาหกรรมที่ทรงอำนาจผ่านการพัฒนาสื่อทัศน์ที่ทันสมัย การแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจต่างๆ จะเข้มข้นด้วย ‘สงครามวัฒนธรรม’  ดังนั้น เกาหลีต้องพัฒนาสินค้าทางวัฒนธรรมที่ตอบสนองวิสัยทัศน์ไปสู่ระดับนานาชาติ และเพิ่มมูลค่าของสินค้า” ผลของวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้เกิดการสนับสนุนวงการภาพยนตร์ทั้งในฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ และคนสร้างภาพยนตร์ ซึ่งไม่ยึดติดกับขนบการทำภาพยนตร์แบบเดิมๆ 

ผลของนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1998 – 2008 ส่วนแบ่งทางการตลาดของภาพยนตร์ภายในประเทศ ภาพยนตร์เกาหลีมีสัดส่วนร้อยละ 50 ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 มีส่วนแบ่งร้อยละ 59 และเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เป็นร้อยละ 63 และนับจากปี ค.ศ. 1996 ภาพยนตร์เกาหลีได้มีการพัฒนาคุณภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำอันดับหนังทำเงินแข่งกับภาพยนตร์จากต่างประเทศ เช่น เรื่อง The Ginkgo Bed (1996) ชิริเด็ดหัวใจยอดจารชน (Shiri, 1999) สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน (JSA, 2000) และ ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม (My Sassy Girl, 2001) เป็นต้น 

จนมาถึงปัจจุบันประเทศเกาหลีประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ความหลากหลายของภาพยนตร์เกาหลีในเวลานั้นมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งแนวโรแมนติก สืบสวนสอบสวน แนววิทยาศาสตร์ และหนังสงครามที่มีเทคนิคระดับสูงเทียบเท่ากับฮอลลีวูด ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาพยนตร์เกาหลีได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

สภาพของประเทศเกาหลีในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1993 ก็คล้ายคลึงกันกับประเทศไทย และแม้จะมีกฎหมายบังคับและกฎหมายกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์แล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อิทธิพลของภาพยนตร์ตะวันตกจากฮอลลีวูดยังได้รับความนิยมมากกว่า แต่พอถึงปี ค.ศ. 1993 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีประสบความสำเร็จในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีก็คือ การส่งเสริมการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี โดยการสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี ซึ่งการแก้ไขปัญหาของประเทศเกาหลีนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยเป็นการแก้ไขทั้งในเชิงนโยบายและในเชิงกฎหมาย

ในแง่ของกฎหมายรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1970 นั้นภาพยนตร์เกาหลีใต้ถูกคุมเข้มโดยจะต้องขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์และถูกควบคุมเนื้อหา (รัฐบาลจะตรวจสอบบท) และการเผยแพร่ภาพยนตร์ ซึ่งรวมไปถึงการนำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายภายในประเทศจะต้องทำโดยบริษัทของประเทศเกาหลีใต้และมีเงื่อนไขจำกัดการฉายภาพยนตร์ตามโควต้า

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ค้นพบว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ และแม้จะมีการกำหนดโควตาการฉายภาพยนตร์ก็ตาม ภาพยนตร์จากต่างประเทศก็ประสบความสำเร็จมากกว่าและรายได้จากบริษัทที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการนำเข้าภาพยนตร์ก็สร้างรายได้มหาศาลซึ่งจะกลายเป็นฐานในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศต่อไป  ดังนั้น เมื่อกฎหมายกลายมาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1984 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยกเลิกกฎหมายเหล่านั้น และเริ่มนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยนำเงินที่ได้จากการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศมาก่อตั้ง วิทยาลัยศิลปะภาพยนตร์แห่งเกาหลี (Korea Academy of Film Arts; KAFA) รัฐบาลเริ่มปรับบทบาทต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหม่โดยเริ่มสร้างชุดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการถ่ายทำภาพยนตร์

ตารางแสดงนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ตามช่วงเวลา

ปี (ค.ศ.)ประเภทรายละเอียดของนโยบาย
 1979 – 
1989
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอ ห้องบันทึกเสียง อุปกรณ์ตัดต่อ และโรงถ่ายตัวอย่าง
– การให้ทุนสนับสนุนการดูงานต่างประเทศสำหรับผู้ชนะเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ
– การนำผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาในประเทศ 
– การฝึกอบรมด้านเทคนิค 
– การคัดสรรภาพยนตร์ที่ดีๆ และการสนับสนุนทางการเงิน
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – จัดเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ 
– โครงการสนับสนุนการส่งออกภาพยนตร์ 
– นำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ 
– สนับสนุนการจัดนิทรรศการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 1990

1999
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
– การคัดเลือกภาพยนตร์ที่ดีและสนับสนุนทางการเงิน
– การศึกษาวัฒนธรรมที่สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำภาพยนตร์
– การเปิดกว้างด้านความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับบทแนวใหม่
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ และแนะนำอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำ
– การฝึกอบรมด้านเทคนิคในต่างประเทศ 
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนและสินเชื่อเพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในงานเทศกาลภาพยนตร์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 2000-
2010
การถ่ายทำ – โครงการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ศิลปะ
– การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ระดับ HD
– การสนับสนุนภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนภาพยนตร์ในโครงการร่วมสร้างภาพยนตร์นานาชาติ
– การผลิตภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนและสินเชื่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การสนับสนุนหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ของคนทำภาพยนตร์อิสระและนักศึกษา
– การสนับสนุนสำหรับตลาดบทภาพยนตร์
– การสนับสนุนองค์กรภาพยนตร์
– การสนับสนุนศูนย์สื่อระดับภูมิภาค
– การสนับสนุนทุนพัฒนาก่อนการผลิตและการแลกเปลี่ยนภาพยนตร์เกาหลีเหนือ-ใต้
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การผลิตและจัดจำหน่ายดีวีดีสำหรับภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนทางการตลาด
– การสนับสนุนการแปลคำบรรยายและการผลิตสิ่งพิมพ์ (เช่น โปสเตอร์ เป็นต้น)
– การสนับสนุนเครือข่ายอุตสาหกรรมภาพยนตร์เอเชีย
– การสนับสนุนการฝึกอบรมวิชาชีพภาพยนตร์เอเชีย
– การสร้างเครือขข่ายต่างประเทศ
– การสนับสนุนการทำ R&D ธุรกิจ
– การตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์เกาหลี
– การช่วยเหลือการสนับสนุนมาตรฐานชื่อเรื่องและการสะกดคำ
– การสนับสนุนจำหน่ายภาพยนตร์เกาหลีเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีที่ห้องปฏิบัติการผลิตต่างประเทศ

ที่มา: แปลและดัดแปลงจาก Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163, 173.

ดังจะเห็นได้ว่า กระบวนการและนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศเกาหลีนั้นแก้ไขปัญหาจาก 2 ประการ คือ ประการแรก ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และประการที่สอง  สร้างชุดนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านเงินทุนที่ช่วยให้สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้

เมื่อพิจารณาบทเรียนจากประเทศเกาหลีใต้แล้ว ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้นประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาลอาจจะต้องปรับบทบาทของตนเองใหม่ โดยอาจจะยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเนื้อหาของภาพยนตร์ และเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยการสนับสนุนคนทำภาพยนตร์ทั้งในแง่ของการสนับสนุนแก่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

แต่อาจจะไม่มีเงินสนับสนุน รวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการแก่งานภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ เพื่อขยายโอกาสในการเกิดภาพยนตร์แนวใหม่ๆ และจัดให้มีพื้นที่สำหรับการเผยแพร่ภาพยนตร์แนวต้นทุนต่ำด้วย ซึ่งอาจจะกลายเป็นก้าวเล็กๆ ในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในวัฏจักรปัจจุบัน ที่ผู้ให้ทุนไม่สนับสนุนงานที่อาจจะไม่เกิดการสร้างรายได้ตอบแทนที่เพียงพอ ทำให้ไม่เกิดงานภาพยนตร์ที่หลากหลายในตลาดไทย


อ้างอิงจาก

  • Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163.
  • ฐณยศ โล่พัฒนานนท์ และคณะ, ‘บทวิเคราะห์ภาพยนตร์ไทยปี พ.ศ. 2652’ (2563) 2 วารสารเกษมบัณฑิต 100.
  • กิตติ ประเสริฐสุข, ‘Soft Power ของเกาหลีใต้: จุดแข็งและข้อจำกัด’ (2561) 1 International Journal of East Asia Studies 122.
  • ศิริอร หริ่มปราณ และคณะ, ‘รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน 2564)’ (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)) <https://www.cea.or.th/th/single-research/cea-outlook-05-THAILAND-VISUAL-ARTS-INDUSTRY> สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564.
  • ก้อง ฤทธิ์ดี, ‘นโยบายภาพยนตร์เกาหลี: 30 ปี แห่งอุดมการณ์วัฒนธรรม’ (หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 8 มิถุนายน 2564) <https://www.fapot.or.th/main/news/769> สืบค้นเมือ 25 พฤศจิกายน 2564.

รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตสุราในประเทศไทย

ชื่องานศึกษา: รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตสุราในประเทศไทย

ผู้ศึกษา: คณะอนุกรรมาธิการศึกษาพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา ในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: คณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร. (2564). รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตสุราในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

คณะอนุกรรมาธิการศึกษาพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุราได้จัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้นเพื่อศึกษากฎหมาย 2 ฉบับที่สร้างอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย คือ กฎหมายภาษีสรรพสามิตที่ควบคุมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควบคุมกระบวนการจำหน่าย โฆษณา และประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกฮอล์

เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ progressivemovement.in.th และ Facebook Common School

ตลอดช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกลายมาเป็นสิ่งหนึ่งที่ซ้ำเติมปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย เพราะหลายๆ ครั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมือง และหลายครั้งเหตุผลที่ศาลให้ก็กลายมาเป็นสิ่งที่ค้านสายตาผู้คนในสังคม ซึ่งความรุนแรงที่เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลนั้นเกิดขึ้นจากการที่ศาลเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนโยบายสาธารณะหรือปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งโดยสภาพไม่ใช่หน้าที่ของศาลในฐานะองค์กรตุลาการจะต้องทำ

ผลที่เกิดขึ้นจากการที่ศาลเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองนั้นทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกตั้งคำถามและกระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่วินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นตัวอย่างของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่แปลกประหลาดจากการเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยในบทความนี้ผู้เขียนจะเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนูญคืออะไร และมีที่มาอย่างไร ศาลกลายมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองเมื่อใด และกรณีศึกษาคำวินิจฉัยในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นตัวอย่างของคดีที่แปลกประหลาด

กำเนิดศาลรัฐธรรมนูญ

ก่อนจะพูดถึงปรากฏการณ์ของศาลรัฐธรรมนูญในการเมืองไทยนั้นจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ศาลรัฐธรรมนูญคืออะไร และมีความเป็นมาอย่างไร

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรของรัฐอย่างหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1]

ศาลรัฐธรรมนูญถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ทางกฎหมายที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในช่วงต้นปีศตวรรษที่ 19 (ค.ศ 1920) ในประเทศออสเตรเลียภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐออสเตรียโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทำหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย[2] ซึ่งเป็นการกำหนดกลไกขึ้นมาเพื่อพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญเพื่อคงคุณค่าความเป็นสูงสุดของรัฐธรรมนูญให้เป็นจริงและมั่นคง[3] โดยไม่ให้มีการตรากฎหมายใดขึ้นมาทำลายคุณค่าที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นบทบาทพื้นฐานของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปบางประเทศได้เพิ่มบทบาทให้กับศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้นโดยขยายบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่อาจจะกระทบหรือทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) ที่มองว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางความคิดเห็นทางการเมืองนั้นอาจจะมีผู้ใช้จุดอ่อนดังกล่าวเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[4]

กรณีของประเทศไทยนั้นศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นครั้งแรกภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 โดยกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ซึ่งไอเดียนี้มาพร้อมกับแนวคิดเรื่องการตรวจสอบการทุจริตและการควบคุมตรวจสอบสถาบันการเมืองจากการเลือกตั้งโดยองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น ได้ถูกนำมาบัญญัติไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ในช่วงของการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นความคาดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญคือการให้ศาลดำรงบทบาทในฐานะองค์กรของผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในสาขากฎหมายมหาชน[5] เพื่อให้ศาลเป็นองค์มืออาชีพในการพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้นความคาดหวังดังกล่าวดูเหมือนจะทอแสงประกายอย่างมีความหวัง

ศาลรัฐธรรมนูญกับการเป็นคู่ขัดแย้งในการเมืองไทย

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในฐานะคู่ขัดแย้งในการเมืองไทยนั้นเริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปร่างเมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกโดยคณะรัฐประหารในปี 2549 และมีการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นแทน และในภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 จะถูกฉีกและแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว บทบัญญัติที่ให้มีศาลรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ (แม้ในสภาวะที่ไม่มีรัฐธรรมนูญศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงอยู่)  

ทว่า นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมาศาลรัฐธรรมนูญกลับมีวัตถุประสงค์กลายมาเป็นเครื่องมือใหม่ในการรักษาไว้ซึ่งอำนาจของระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเนื่องจากมาจาก สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง (ทั้งบางส่วนและทั้งหมด) เพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายกรณีที่นำไปสู่การโต้แย้งได้นั้นกลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองของประเทศไทย เพราะกลายเป็นการที่ศาลขยายบรรทัดฐานทางกฎหมายมาควบคุมมิให้เอื้อต่อพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และวางกลไกอุปสรรคเพื่อทำลายหรือขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตย ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองติดขัดและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหลายกรณี

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ศาลรัฐธรรมนูญได้กลายมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น คำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นการเป็นลูกจ้างและทำให้ขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นต้น หรือถูกนำมาใช้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ โดยการอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข[6] เช่น คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ที่ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเลย[7]หรือคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่วินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง เป็นต้น

การศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายกรณีที่นำไปสู่การโต้แย้งได้นั้นกลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองของประเทศไทย เพราะกลายเป็นการที่ศาลขยายบรรทัดฐานทางกฎหมายมาควบคุมมิให้เอื้อต่อการพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และวางกลไกอุปสรรคเพื่อทำลายหรือขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตย[8] ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองติดขัดและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหลายกรณี ซึ่งกรณีศึกษาหนึ่งที่จะยกขึ้นก็คือ กรณีคำวินิจฉัยวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564

กรณีศึกษาคำวินิจฉัย (ประหลาด) วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564

คำวินิจฉัยวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 นั้นเกิดมาจากการที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของกลุ่มแกนนำแนวร่วม “ม็อบราษฎร” ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา (ทนายอานนท์) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล

กรณีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมค 2563 ในการชุมนุมเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ และศาลได้วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1-3 เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1-3 รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง[9] 

แม้ว่าคำวินิจฉัยฉบับนี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นทั้งในทางวิชาการและในสายตาของประชาชนถึงประเด็นต่างๆ ของคำวินิจฉัยฉบับนี้ เช่น การวินิจฉัยว่าคำปราศรัยเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกต้องแล้วหรือไม่ หรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือไม่ หรือการที่ศาลยกข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เพื่อมาวินิจฉัย หรือแม้แต่กระทั่งการอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับอื่นที่ไม่ใช่บทบัญญัติฉบับปัจจุบันมาเป็นมาตรในการตรวจสอบ เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดของคำวินิจฉัยนี้ก็คือ ผลของคำวินิจฉัยจะเป็นเช่นไร

หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วจะเห็นได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ (ทุกองค์กรของรัฐ)[10]  ผลของคำวินิจฉัยฉบับนี้ก็น่าจะต้องผูกพันหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน  ทว่า ในความเป็นจริงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาเรื่องสภาพบังคับของคำวินิจฉัยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีประเด็นดังนี้

ประการแรก แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร ทว่า ในความเป็นจริงผลดังกล่าวนั้นไม่ได้มีผลโดยอัตโนมัติทันที เพียงแต่ว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของทนายอานนท์ ไมค์ระยอง และรุ้ง นั้นไม่สามารถกล่าวอ้างว่าการกระทำของตนเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรับรองไว้เพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรการต่างๆ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงผูกพันอยู่กับหลักการไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ และหลักความชอบด้วยกฎหมาย[11]  

ดังนั้น โดยสภาพของคำวินิจฉัยจึงไม่เป็นเหตุที่จะนำมาลงโทษทางอาญาได้ แต่จะต้องพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดความผิดและโทษ หรือไม่[12]

ประการที่สอง แม้ว่ากระทำของทนายอานนท์ ไมค์ระยอง และรุ้ง จะมีลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดความผิดและโทษที่สอดคล้องกับการกระทำดังกล่าว เช่น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นต้น  ทว่า ศาลเจ้าของคดีที่วินิจฉัยการกระทำความผิดอาญาก็ไม่สามารถที่จะยุติการพิจารณาและถือเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาตัดสินลงโทษได้ เนื่องมาจากลักษณะของคดีอาญานั้นศาลจะต้องพิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด[13] ซึ่งในกรณีนี้พนักงานอัยการโจทก์ก็จะต้องพิสูจน์จนว่า จำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ พนักงานอัยการและศาลไม่สามารถที่จะอาศัยประโยชน์จากคำวินิจฉัยมาเพื่อลงโทษจำเลย และจำเลยก็มีสิทธิที่จะต่อสู้คดีเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิดังกล่าวไว้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนของคำบังคับที่ให้รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ก็มีประเด็นว่าเป็นการออกคำบังคับที่ไม่สามารถจะกระทำได้จริง เนื่องจากโดยสภาพของกลุ่มคณะราษฎรนั้นไม่ใช่องค์กรนิติบุคคลแบบสมาคมหรือพรรคการเมืองที่เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามมิให้กระทำแล้วจะมีผลให้การดำเนินการของสมาคมจะต้องยุติลง

ประการที่สาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนของคำบังคับที่ให้รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยก็มีประเด็นว่าเป็นการออกคำบังคับที่ไม่สามารถจะกระทำได้จริง เนื่องจากโดยสภาพของกลุ่มคณะราษฎรนั้นไม่ใช่องค์กรนิติบุคคลแบบสมาคมหรือพรรคการเมืองที่เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามมิให้กระทำแล้วจะมีผลให้การดำเนินการของสมาคมจะต้องยุติลง เปรียบเทียบกันกับกรณีของประเทศสหพันธ์เยอรมนีที่มีบทบัญญัติในลักษณะเทียบเคียงกันได้นั้น[14] 

แต่กรณีของกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรนั้นเป็นกลุ่มปัจเจกบุคคลหลายคนที่มาร่วมชุมนุมกัน ไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น ในการบังคับจึงเกิดปัญหาว่าการห้ามดังกล่าวจะห้ามในลักษณะใด ซึ่งเมื่อพิจารณาก็ต้องกลับไปที่หลักการว่า ในการความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากไม่มีกฎหมายห้ามการกระทำดังกล่าวคำวินิจฉัยดังกล่าวก็ไม่น่าจะใช้เป็นเหตุในการห้ามกระทำการได้ อีกทั้งการชุมนุมดังกล่าวก็เป็นไปตามเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้[15] และหากปฏิบัติตามเงื่อนไขการชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะโดยถูกต้องเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามาถอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุในการห้ามได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุในการลงโทษทางอาญาไม่ได้

กล่าวโดยสรุป คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุในการลงโทษทางอาญากับประชาชนที่เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถานบันกษัตริย์ได้ ในการจะพิจารณาลงโทษบุคคลนั้นจะต้องมีกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน และในการลงโทษศาลจะต้องพิจารณาการกระทำนั้นสอดคล้องกับฐานความผิดหรือไม่ ซึ่งหากไม่สอดคล้องกับฐานความผิดก็ไม่สามารถลงโทษได้

ในขณะเดียวกันการกำหนดสภาพบังคับให้ครอบคลุมไปถึงเครือข่ายนั้นก็มีปัญหาว่าจะบังคับเช่นไร เพราะโดยสภาพเครือข่ายผู้ชุมนุมคณะราษฎรไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น หากการชุมนุมเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะการชุมนุมนั้นก็สามารถที่จะทำได้เช่นเดิมตามที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิในการชุมนุมเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ข้อที่ศาลรัฐธรรมนูญควรตระหนักที่สุดก็คือ การวินิจฉัยโดยพยายามสร้างเงื่อนไขหรือกลไกข้อจำกัดให้เกิดทางตันในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยนั้นอาจจะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียเอง ซึ่งท้ายที่สุดจะนำมาสู่วิกฤตการณ์ต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดจึงควรตระหนักบทบาทของตนเองเสียใหม่


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร, ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน (โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง 37.

[3] อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ (โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2558) 27.

[4] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, ‘หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย’ (2557) 3 วารสารนิติศาสตร์ 634, 634 – 635 และ 643 – 644.

[5] วจนา วรรลยางกูร, ‘ศาลรัฐธรรมนูญแบบไหนที่สังคมไทยต้องการ?’ (the 101.world, 8 เมษายน 2564) <https://www.the101.world/constitution-dialogue-constitutional-court/?fbclid=IwAR0QLLt6w2pla69nDOZ1GPmu-ZqdVJKRns5Txb1G0jLSDYDeGUnktzvK4Zg> สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2564.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 49.

[7] กรณีเป็นคำวินิจฉัยที่แปลกประหลาดที่สุด และอาจจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมากที่สุดกรณีหนึ่งก็คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามมิให้รัฐสภาที่อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ (ซึ่งไม่ใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพ) ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ.

[8] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์, ตลก รัฐธรรมนูญ (ไชน์ พับลิชชิ่ง เฮาส์ 2559) 194 – 195.

[9] ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล, ‘เปิดคำวินิจฉัยฉบับเต็ม! ศาลรธน.สั่ง“ม็อบราษฎร”เลิกล้มล้างการปกครองฯ’(สำนักข่าวฐานเศรษฐกิจ, 10 พฤศจิกายน 2564) <https://www.thansettakij.com/politics/502821fb&fbclid=IwAR3RrH2OOvMU55_0QYTg8sXPUEJ90FW4gSqYXdGQgUdmMx5DzAK4hjuTxOE> สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2564.

[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 211

[11] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ (เชิงอรรถที่ 7) 286.

[12] เพิ่งอ้าง 277.

[13] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227.

[14] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ (เชิงอรรถที่ 7) 277.

[15] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 44.

เมื่อสื่อวาย (Y) เติบโต ในขณะที่สิทธิความหลากหลายทางเพศถูกละเลย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในขณะสื่อวายกำลังเติบโตในสังคมไทย ทว่า สถานการณ์สิทธิความหลากหลายทางเพศกลับถูกละเลย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างการยอมรับพื้นที่ความหลากหลายทางเพศระหว่างในมิติของความบันเทิงกับในชีวิตจริง

สื่อ (แนว) วาย (Y) คืออะไร

(แนว) วาย (Y) เป็นคำย่อที่นำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกัน (homosexual) โดยพื้นฐานของคำว่า วาย (Y) มาจากคำในภาษาญี่ปุ่น 2 คำ คือคำว่า やおい” (Yaoi: ยาโออิ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน และ 百合” (Yuri: ยูริ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง  

แม้วายจะถูกนำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกันก็ตาม แต่เดิมความมุ่งหมายของสื่อแนววายไม่ใช่เรื่องของ เพศวิถี (sexuality) ของบุคคล หากแต่เป็นประเภทของเรื่องเล่า (narrative) ประเภทหนึ่งที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรักของคนที่มี เพศกำเนิดเดียวกัน (sex) มากกว่าจะพูดถึงเรื่องเพศวิถีของบุคคลโดยตรง  

ฉะนั้น แต่เดิมเมื่อพูดถึงสื่อแนววาย ตัวละครและความสัมพันธ์อาจจะไม่ใช่คู่รักเกย์เสมอไป (สิ่งนี้ทำให้บางอย่างที่ดูคล้ายจะเป็นสื่อวายก็อาจจะไม่ใช่) และสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ สื่อวายไม่ค่อยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

การเติบโตของอุตสาหกรรมวายมีความเป็นมาอย่างไรในประเทศไทย

ในประเทศไทยแต่เดิมนั้น สื่อแนววายนั้นเป็นพื้นที่เฉพาะกลุ่ม (niche market) ของคนที่เรียกว่า “สาววาย”ซึ่งการบริโภคสื่อวายแต่เดิมถูกจัดประเภทให้เป็นเช่นเดียวกันกับสื่อลามกอนาจาร ที่ผู้บริโภคจะต้องทำแบบลับๆ โดยไม่สามารถโชว์ หรือ นำเสนอสินค้าบนแผงหน้าร้านได้อย่างชัดเจน และเปิดเผยแบบในปัจจุบัน 

กระแสความนิยมและการยอมรับของสื่อค่อยๆ พัฒนาขึ้นในสังคมไทย ในช่วงประมาณปี 2557 เป็นต้นมา ปัจจุบันสื่อแนววายมักปรากฏตัวอยู่ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การ์ตูน นิยาย ภาพยนตร์ ซีรีส์ และละครโทรทัศน์ เป็นต้น 

สื่อวายได้การตอบรับอย่างดีมากจากสังคมวงกว้างในฐานะสื่อบันเทิงประเภทหนึ่งโดยไม่จำกัดเฉพาะสาววายอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อแนววายดัดแปลงจากนิยายมาสร้างเป็นซีรีส์ มักจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษจากฐานนักอ่านเดิมที่เข้ามาสนับสนุน และฐานแฟนคลับใหม่จากความนิยมในตัวนักแสดงคนนั้นๆ

ตัวอย่างของซีรีส์วายที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาจากการดัดแปลงมาจากนิยายวาย เช่น Love Sick the Series (รักวุ่น วัยรุ่นแสบ) เดือนเกี้ยวเดือน (2 Moons the series) Sotus the series (พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง) เกลียดนักมาเป็นที่รักกันซะดีๆ (Tharn Type) นิทานพันดาว และ เพราะเราคู่กัน (2gether the Series) เป็นต้น

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่เห็นชัดสุดของการเติบโตของสื่อประเภทวายในประเทศไทยก็คือ เมื่อเราเปิดเข้าไปในแอพพลิเคชันประเภทวีดีโอสตริมมิ่ง (Video Streaming) เช่น LINE TV WeTV และ Netflix เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการนำเสนอซีรีส์ หรือ ภาพยนตร์สั้นที่เป็นสื่อแนววายจำนวนมาก โดยในปีๆ หนึ่งมีการพยายามนำผลิต และเผยแพร่ซีรีส์วายมากกว่า 24 เรื่อง (เฉลี่ยเดือนละ 2 เรื่องโดยประมาณ) (สำหรับซีรีส์ตอนยาวโดยไม่รวมมินิซีรีส์) จากค่ายสื่อขนาดใหญ่ที่พร้อมกันกระโจนเข้าสู่ตลาดซีรีส์วาย และแม้แต่กระทั่งช่องโทรทัศน์ในอุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมก็เริ่มพยายามลงเนื้อหา (Content) ในผังรายการโทรทัศน์ของตัวเองด้วยละครโทรทัศน์แนววาย (แม้จะเอาไปลงช่วงดึกมากๆ ก็ตาม) 

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนปัจจัยการส่งเสริมมาจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสื่อประเภทนี้ ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศ แต่สื่อวายไทยนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก และถูกส่งออกไปต่างประเทศในฐานะสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศจีน พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งจากการประเมินของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่า มูลค่ารวมเฉพาะของประเทศไทยรวมกันอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท

ไม่ใช่เพียงแค่สื่อบันเทิงประเภทซีรีส์เท่านั้นที่สร้างรายได้ และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ อุตสาหกรรมสื่อวายได้ขยายวงออกไปสู่การผลิตสินค้าสำหรับแฟนคลับ (loyalty) เช่น ตุ๊กตา นิยาย โฟโต้บุ๊ค โปสการ์ด และสติกเกอร์ไลน์ เป็นต้น โดยของที่ระลึกทั้งหมดดังที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการชื่นชมนักแสดงที่ตนชื่นชอบ บริษัทสื่อรายใหญ่จำนวนมากในประเทศสามารถต่อยอดธุรกิจบันเทิงของตนจากนักแสดงในซีรีส์แนววายโดยการขายประสบการณ์ให้กับแฟนคลับทั่วโลกผ่าน visual fan meeting เช่น กรณีของ Global Live Fan Meeting ของคู่นักแสดงไบร์ท-วิน จากซีรีส์คู่กันที่สามารถดึงดูแฟนคลับได้ถึง 93 ประเทศ มียอดการกดหัวใจมากถึงพันล้านดวง และมียอดรีทวีตถึง 2 ล้านกว่าทวีตจากแฟนคลับทั่วโลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อแนววายนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมาก และแม้แต่กระทั่งรัฐบาลเองก็มีท่าทีที่สนใจเป็นอย่างมาก และอยากกระโดดเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ โดยพยายามออกนโยบายสนับสนุนให้มีการผลิตเนื้อหาแนววายมากขึ้นเพื่อส่งออก

คำถามสำคัญ คือ เมื่อสื่อแนววายในประเทศ ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคเอง หรือ ในฝั่งของธุรกิจเอง ได้รับการตอบรับและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ทำไมอุตสาหกรรมวายดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเลย

สาเหตุสำคัญที่อุตสาหกรรมวายดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยเลย สิ่งนี้ทำให้กลับไปหาพื้นฐานที่ว่า แนววายเป็นประเภทเรื่องเล่าเท่านั้นไม่ใช่เพศวิถีของบุคคล แนววายจึงเป็นเพียงแค่เรื่องแต่ง (fiction) ซึ่งอาจจะไม่ต้องสะท้อนนัยของการเคลื่อนไหว การต่อสู้ และการยอมรับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ 

ในทางตรงกันข้าม แนววายในประเทศนั้น ได้รับอิทธิพลจากแนววายดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นเหมือนเรื่อง แฟนตาซี (หมายถึงการไม่ยึดโยงกับความเป็นจริง) โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง คือ ความรักเป็นนิรันดร์แบบอุดมคติ และความรักจะทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคใดๆ ไปก็ได้ โดยไม่สนใจว่าสภาพความเป็นจริงทางสังคม (social reality) ว่าสังคมมีการยอมรับหรือสถานการณ์สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอย่างไร

วิถีชีวิตของคน LGBTQs (สิ่งนี้ยังรวมถึงความงามในอุดมคติที่อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และสร้างภาพหลอกว่าคนเป็น LGBTQs ต้องมีภาพแทนในลักษณะดังกล่าวเท่านั้น) เป็นเช่นไร สื่อวายในยุคแรกๆ ของประเทศไทย จึงมีลักษณะไม่ต่างกับนิยายรักโรแมนติกที่เอาตัวละครเอกผู้หญิงมาแต่งตัวเป็นผู้ชายหรือเอาตัวละครเอกผู้ชายมาแต่งเป็นผู้หญิงเท่านั้น  ทั้งๆ ที่ประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นไปไกลเกินกว่าจะมาจำกัดด้วยเพียงแค่บทบาททางเพศที่นำเสนอ

นอกเหนือจากเรื่องความแฟนตาซีของนิยาย และสื่อวายแบบดั้งเดิมแล้ว จะเห็นได้ว่าสื่อวายแบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เพราะด้วยแก่นกลางของเรื่องที่ความรักสามารถชนะทุกอย่างนั้นเป็นการเก็บงำและซ่อนวาระของสังคมที่ว่าในความเป็นจริงเพียงแค่ความรักไม่เพียงพอ หากแต่สถานะ ความสัมพันธ์ และเจตจำนงในการก่อตั้งครอบครัวนั้นยังจำเป็นต้องได้รับการรับรองจากกฎหมาย และการรับรองทางสังคมจากสังคม

อย่างไรก็ตาม สื่อแนววายสมัยใหม่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เริ่มมีแนวโน้มและใส่ไอเดียเกี่ยวกับการต่อสู้ทางสังคม และขบวนการของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งบางเรื่องถึงขนาดใส่ประเด็นเรื่องการสมรสเท่าเทียมเข้าไปในเรื่อง หรือ พยายามสร้างภาพที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นผ่านทางสื่อ เช่น ในเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ ผู้เขียนบทมีการสร้างฉากของการค้นพบความต้องการของตนว่ามีเพศวิถีแบบใด และค่อยเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง หรือการแสดงความเข้าใจของครอบครัวต่อเพศวิถีของตัวะละคร และพร้อมที่จะต่อสู้กับตัวละคร เป็นต้น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีของสื่อวายที่เข้ามาสนับสนุนขบวนการเรียกร้องสิทธิของความหลากหลายทางเพศ เพียงแต่สิ่งนี้ยังเป็นส่วนน้อยในสังคมไทย เพราะสื่อวายในยุคแรกยังคงมีอิทธิพลอยู่และยังคงเรืองอำนาจในการผลิตซ้ำมุมมองต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไม่เข้าใจ

สำรวจสถานการณ์สิทธิของคนหลากหลายทางเพศในประเทศไทย

แม้รัฐบาลจะสนับสนุนสื่อแนววายในฐานะสินค้าในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่เมื่อย้อนกลับเข้าไปสำรวจสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน ยังคงมีปัญหาอยู่อีกมากที่จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไข เริ่มตั้งแต่สิทธิใน การสมรสอย่างเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิสวัสดิการต่างๆ (สิทธิในการลาไปผ่าตัดแปลงเพศ หรือ สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือในการผ่าตัดแปลงเพศ) การได้รับการยอมรับกันโดยเท่าเทียมทางสังคม และบรรดาสิทธิอื่นๆ เท่าที่จะมีได้เพื่อส่งเสริมการดำรงชีวิตของบุคคลและตอบสนองความต้องการในการที่มีตัวตนของเขา (ซึ่งบรรดาสิทธิทั้งหลายเหล่านี้รัฐบาลควรสนับสนุนให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศแท้ๆ)

สิ่งนี้ทำให้สถานการณ์ของ LGBTQs ในประเทศไทยยังคงมีสถานะที่แตกต่างและอาจถูกเลือกปฏิบัติได้จากบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การให้สวัสดิการกับคู่สมรส ซึ่งหากเป็นคู่รัก LGBTQs ก็อาจจะไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว หรือการให้ความยินยอมในการให้รับการรักษาแก่คู่รักกรณีของคนที่เป็น LGBTQs เป็นต้น

แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีกฎหมายรับรองความเสมอภาคทางเพศไว้แล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกฎหมายฉบับดังกล่าวแทบจะเป็นเสือกระดาษที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง และในทางตรงกันข้ามกฎหมายดังกล่าวยังกลายเป็นภาระและสร้างผลประหลาดที่เป็นโทษแก่ผู้อาศัยกฎหมายดักกล่าวเพื่อเข้าถึงสิทธิความเสมอภาคทางเพศ

ในแง่ของการเรียกร้อง จุดหนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศพยายามมาโดยตลอด คือ การให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ การมีกฎหมายคู่ชีวิตที่ใช้กับคนทุกคน (ไม่ใช่แค่คนรักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่เกิดมาและมีสถานะเป็นบุคคลโดยไม่แบ่งแยกเพศ) ซึ่งความพยายามของขบวนการดังกล่าวนั้น มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอดทั้งการเสนอร่างกฎหมาย และการยื่นตีให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่รับรองการสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้น ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

ในประเด็นนี้เอง หากศาลจะได้ตระหนักถึงบทบัญญัติในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง”  ฉะนั้น บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่กำหนดให้เฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะสมรสได้ ย่อมจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (แต่ศาลไม่ได้ตระหนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม)

การตีตกประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียมของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการผลักให้เรื่องการสมรสเท่าเทียมต้องกลับไปสู่ขบวนการทางการเมือง ผ่านการรณรงค์ และเสนอร่างกฎหมายหรือการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ ในสังคมประชาธิปไตยการยอมรับความหลากหลาย และการส่งเสริมเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมควรตระหนักและเปิดพื้นที่เพื่อให้สิทธิของ LGBTQs ได้รับการรับรองอย่างเต็มที่

จากสภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันแม้สื่อวายจะกำลังเติบโต แต่ด้วยบริบทดังที่กล่าวข้างต้นว่า เนื้อหาของสื่อในปัจจุบันยังไม่ใช่พื้นที่ของการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ LGBTQs หากแต่ยังเป็นเพียงแต่พื้นที่ของความบันเทิงเท่านั้น แม้จะมีความพยายามใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของ LGBTQs มากขึ้นบ้างก็ตาม 

ในขณะเดียวกัน สิทธิของ LGBTQs ในปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนในหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมยังไม่เข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับ LGBTQs อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในด้านของรัฐบาลที่เห็นว่าเรื่องราวแนววายนั้นสามารถเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ แต่กลับไปไม่ตระหนักว่าสิทธิของคนหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุน


อ้างอิงจาก

  • ภูวิน บุณยะเวชชีวิน และณัฐนนท์ ศุขถุงทอง, โลกของวาย: ซีรีส์วาย ปรากฏการณ์วาย หัวนมวัยรุ่นชาย และวายาภิวัฒน์ (สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2564).
  • สำนักข่าวออนไลน์ ThaiPublica ‘เมื่อรัฐบาลนี้หนุนซีรีส์วายสู่ตลาดโลก’ (Thaipublica, 18 กรกฎาคม 2021) <https://thaipublica.org/2021/07/series-society15/&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.
  • Narisara Suepaisal, ‘Y-Economy : เมื่ออุตสาหกรรมซีรีส์วายกลายเป็นจักรวาลยิ่งใหญ่ในสื่อบันเทิง’ (the matter, 12 ตุลาคม 2560)
  • อรสุธี ชัยทองศรี, ‘Boys Love Manga and Beyond: History, Culture, and Community in Japan’ (2560) 2 วารสารมนุษยศาสตร์ 344.
  • ไทยรัฐ, ‘ยืนหนึ่งระดับโลก “ไบร์ท-วิน” คู่จิ้นปัง ฟินถล่มทลายปิดท้าย Global Live Fan Meeting’ (ไทยรัฐออนไลน์, 20 มิถุนายน 2563) <https://www.thairath.co.th/entertain/news/1876581&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.

กาลครั้งหนึ่งเมื่อประเทศไทยริเริ่มมีองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การวางแผนเศรษฐกิจเป็นภารกิจอย่างหนึ่งของรัฐที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจในฐานะองค์กรผู้ชำนาญการขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับในประเทศไทยนั้นการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากความต้องการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศเพียงอย่างเดียวหากเกิดจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศไทยเป็นตัวผลักดันให้เกิดการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจขึ้น ในบทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจความเป็นมาขององค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจ

เมื่อครั้งแรกที่มีการริเริ่มวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

การริเริ่มวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. 2475 โดยภายหลังจากคณะราษฎรได้ทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม คณะราษฎรประสงค์ที่จะบำรุงสุขของราษฎรตามความประสงค์ที่ได้ประกาศไว้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ซึ่งในการดำเนินการตามความประสงค์ดังกล่าว คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ที่นายปรีดีได้จัดทำขึ้นนั้นได้บรรจุความหวังของนายปรีดีที่ต้องการบำรุงสุขสมบูรณ์ของราษฎร อันเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเอาไว้[1] 

แม้ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้งานเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับขั้วอำนาจการเมืองเก่า และการกล่าวหาว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจจะนำไปสู่การเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์  

อย่างไรก็ตาม หลักการบางประการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นได้กลายมาเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบันประการหนึ่งก็คือ การจัดตั้งสภาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเกี่ยวกับการกสิกรรม อุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจนี้จะมีการวางแผนใหม่ทุกๆ 1 ปี[2]

การกำเนิดสภาการเศรษฐกิจแห่งชาติในฐานะองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

การกำเนิดสภาการเศรษฐกิจแห่งชาตินั้นเกิดขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งผลต่อเนื่องดังกล่าวนั้นทำให้เกิดประเทศใหม่ที่ได้รับเอกราช ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเพื่อแก้ไขผลกระทบของประเทศทั้งในเรื่องความยากจน และปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงเริ่มมีการวางแผนเศรษฐกิจจริงจัง โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติและธนาคารโลก เช่น อินเดีย (พ.ศ. 2493) ฟิลิปปินส์ (พ.ศ. 2494) และอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2498) เป็นต้น[3]

สำหรับประเทศไทยนั้น การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2493 ในรัฐบาลของจอมพล ป. เพื่อทำหน้าที่ให้ความคิดเห็นในเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจแก่คณะรัฐมนตรี รวบรวมสถิติของชาติ และให้ความร่วมมือกับต่างประเทศในโครงการความช่วยเหลือต่างๆ[4] โดยในการวางแผนและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นกระทำโดยคณะกรรมการจำนวน 20 คน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน[5] โดยมีคณะกรรมการคนอื่นๆ ประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับกระทรวงทางเศรษฐกิจ และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ เช่น หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์, หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร, หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ, หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ และ นายเล้ง ศรีสมวงศ์ เป็นต้น[6]

นอกเหนือจาก คณะกรรมการสภาทั้ง 20 คนแล้ว ภายในหน่วยงานของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติยังได้แบ่งออกเป็น 5 สาขา ได้แก่ เศรษฐกิจการเกษตร เศรษฐกิจการคลัง เศรษฐกิจการพาณิชย์ เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจการคมนาคม[7] โดยในทุกสาขานั้นให้มีกรรมการประจำสาขาเพื่อใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางในการให้คำปรึกษาแก่กรรมการสภาการเศรษฐกิจ และมีเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติทำหน้าที่ควบคุมงานธุระการของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติรับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานสภาเศรษฐกิจ (นายกรัฐมนตรี)[8] โดยมีนายสุนทร พงส์ลดารมภ์ เป็นเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติเป็นคนแรก[9]

การจัดทำแผนการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2494 โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ (ก.ศ.ว.) โดยมีหน้าที่ในการจัดทำ “ผังเศรษฐกิจ” ช่วง พ.ศ. 2496 – 2499 ในส่วนของผังเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นการจัดลำดับความสำคัญของงาน และการทำแผนแม่บท เพื่อไปจัดทำงบลงทุนของรัฐบาล ซึ่งงบลงทุนจะเป็นส่วนหนึ่งของการขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและวิชาการจากต่างประเทศ[10] และในปี พ.ศ. 2498 ประเทศไทยได้ขอความช่วยเหลือไปยังธนาคารโลก ให้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาสำรวจเศรษฐกิจของประเทศไทยและทำรายงานเสนอรัฐบาล ซึ่งธนาคารโลกได้ตอบรับและส่งคณะสำรวจเศรษฐกิจประเทศไทยมาดำเนินการศึกษาในปี พ.ศ. 2500 ครอบคลุมด้านสาธารณูปโภค การศึกษา และสังคม ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลาต่อมา[11]

การประสานความช่วยเหลือจากธนาคารโลกในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างความสามารถทั้งด้านเทคนิคและทางสถาบันของรัฐ ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นคุณูปการของจอมพล ป. ซึ่งเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการรัฐประหารและได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ได้อาศัยการต่อยอดพื้นฐานทางสถาบันที่ถูกวางไว้ในยุคจอมพล ป.[12]  อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มูลเหตุที่นำไปสู่การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใด

การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจในฐานะเครื่องมือเพื่อสร้างพื้นที่อำนาจทางการเมือง

การรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของ ‘จอมพลผิณ ชุณหะวัณ’ ได้ทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลภายใต้การบริหารประเทศของ ‘พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์’ และได้ตั้ง ‘นายควง อภัยวงศ์’ให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีก่อนจะให้จอมพล ป. เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง

การเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองของจอมพล ป. ในเวลานั้นเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากพอสมควร เนื่องจากการเข้ามาดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ จอมพล ป. ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งมีอำนาจสูงสุดในกองทัพหรือมีอำนาจเหนือกลุ่มคณะรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 สภาพไร้อำนาจบังคับบัญชากองทัพโดยตรงและต้องอยู่ภายใต้การสนับสนุนของนายทหารประจำการในคณะรัฐประหาร[13]

ซ้ำสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีการแข่งขันกันแสวงหาอำนาจภายใต้รัฐบาลของจอมพล ป. ระหว่างจอมพลสฤษดิ์ (กลุ่มสี่เสาเทเวศร์) กับ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจและผู้สืบทอดกลุ่มราชครูของพลโทผิน 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดสภาพการเมืองสามเส้า ในสภาพที่กลุ่มทั้งสองยังไม่พร้อมจะแตกหักกันในเวลานั้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้จอมพล ป. สามารถที่จะสร้างฐานอำนาจของตนเองต่อไปได้โดยอาศัยบารมีที่เหลืออยู่ ซึ่งความพยายามรักษาอำนาจนี้ได้ดำเนินการไปโดยอาศัยการปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศของประเทศไทยจากแนวสัมฤทธิ์ผลโดยลู่ตามลมมาเป็นการเลือกเข้าข้างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับในเวลานั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อปิดล้อมประเทศโลกคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียโดยไม่สนใจอีกต่อไปว่า ระบอบการปกครองของไทยในเวลานั้นจะมีลักษณะเป็นอำนาจนิยมหรือไม่[14]

ดังนั้น ในแง่หนึ่งการที่จอมพล ป. เป็นผู้ริเริ่มร้องขอความช่วยเหลือทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ทรัพยากรทางอำนาจในการหนุนเสริมความอยู่รอดทางการเมืองของตน[15] เช่นเดียวกันกับนโยบายทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลจอมพล ป. ที่พยายามอาศัยกลไกของปรับตัวเข้าระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นโดยบรรดาองค์กรโลกบาลใหม่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น เรื่องการปฏิรูปที่ดินและการแก้ไขกฎหมายแรงงาน เป็นต้น[16] ซึ่งทำให้เกิดความนิยมในประชาชนซึ่งก็เป็นอีกฐานอำนาจของจอมพล ป.  อย่างไรก็ตาม เมื่อจอมพล ป. พ้นจากอำนาจไป ความช่วยเหลือโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจนี้กลายเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่จอมพลสฤษดิ์เข้ามาสานต่ออย่างแข็งขันหลังจากปี พ.ศ. 2501[17] และนำไปสู่การปรับปรุงสถาบันของรัฐที่สำคัญคือ สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของจอมพล ป. ใหม่ โดยการตราพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2502 เพื่อเป็นองค์กรวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับประเทศ พิจารณาโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคมของหน่วยงานของรัฐรวมทั้งงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และประสานงานเพื่อดึงดูดความร่วมมือจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทย[18]

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในช่วงยุคสงครามเย็น ในขณะที่การเมืองของประเทศไทยนั้นมีลักษณะเป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยมีการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนสำคัญ การกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงถูกผูกโยงกับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีโดยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ซึ่งเน้นการเร่งรัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และดึงดูดการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทย[19]

กล่าวโดยสรุป การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจครั้งแรกเกิดขึ้นในสมัยของจอมพล ป. โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับจอมพล ป. ในสภาวะการเมืองสามเส้า โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและความนิยมของประชาชนจากนโยบายทางเศรษฐกิจนี้จึงทำให้จอมพล ป. ประคับประคองการบริหารประเทศผ่านมาได้เป็นระยะเวลากว่า 9 ปี (พ.ศ. 2491 – 2500)  

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดการบริหารประเทศโดยจอมพล ป. แล้ว โครงสร้างและสถาบันของรัฐทางเศรษฐกิจที่จอมพล ป. ริเริ่มไว้ก็กลายมาเป็นฐานสำหรับให้จอมพลสฤษดิ์ใช้ต่อยอดเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเองต่อไป


เชิงอรรถ

[1] สุลักษณ์ ศิวรักษ์, เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์ (พิมพ์ครั้งที่ 7, สืบสาส์น 2564) 176.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘คำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)’ ใน ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ 2564 รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร, (มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2564) 155 – 156. 

[3] รุจน์ รฐนนท์, ‘ย้อนรอยอดีตเมื่อไทยเริ่มวางแผน “พัฒนาเศรษฐกิจ” (ตอนที่ 1)’ (The Paper Thailand, 13 พฤษภาคม 2563) https://thepaperthailand.com/2020/05/13/economichistory1/ สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2564.

[4] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม, การวางแผนพัฒนาประเทศ (ศูนย์การพิมพ์เพชรรุ่ง 2554) 7.

[5] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 7.

[6] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องตั้งกรรมการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ.

[7] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 10.

[8] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 8.

[9] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ.

[10] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม (เชิงอรรถที่ 4) 8; บุคคลสำคัญในการวางผังเศรษฐกิจ ได้แก่ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ คุณสุนทร พงส์ลดารมภ์ คุณุญชนะ อัตถากร และ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์.

[11] เพิ่งอ้าง 8.

[12] อภิชาต สถิตนิรามัย, รัฐไทยกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ: จากจุดกำเนิดทุนนิยมนายธนาคารถึงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 (สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน 2556) 12.

[13] เพิ่งอ้าง 13.

[14] เพิ่งอ้าง 13.

[15] เพิ่งอ้าง 13.

[16] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานบนไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2 ธันวาคม 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/12/915 สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564; ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2491 – 2500)’ (2553) 2 วารสารสถาบันพระปกเกล้า 2-5 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/view/244554 สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2564.

[17] อภิชาต สถิตนิรามัย, (เชิงอรรถที่ 12) 13.

[18] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม (เชิงอรรถที่ 4) 8 – 9.

[19] เพิ่งอ้าง 13 – 14.

ถอดบทเรียน: Russell Crowe กับ อุตสาหกรรม Soft Power และพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมาหนึ่งในเรื่องที่เป็นกระแสมากเท่ากับการที่นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง รัสเซล โครว์ เดินทางไปทั่วกรุงเทพฯ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่อง “The Greatest Beer Run Ever” (หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงที่น่าสนใจ) และได้มีโอกาสถ่ายภาพบรรยากาศและการใช้ชีวิตของผู้คนในประเทศไทยผสมกันไประหว่างย่านการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ร้านอาหาร และภาพสะท้อนของเมืองที่กำลังพัฒนา

ในมุมมองหนึ่งอาจจะดูภาพที่ชวนให้ตื่นเต้นว่าวันนี้จะมีรูปมุมไหนของกรุงเทพฯ ไปปรากฏบนทวิตเตอร์ของนักแสดงคนดังบ้าง แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นมุมมองของชาวต่างชาติที่มีต่อกรุงเทพฯ และอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “ผลกระทบ” หรือ “กระแสตอบรับ” ที่เกิดขึ้นมาจากการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ของนักแสดงดังก็คือ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศ (ถึงขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องไปพบเจอนักแสดงดัง) สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ประเทศไทยสามารถจะหารายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของรายได้หลักของ

ประเทศไทยกับพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ไทยประเทศได้หรือไม่

ในสถานการณ์ปกติประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักท่องเที่ยวหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวมาสู่ประเทศไทยนั้นก็เป็นผลมาจากการแนะนำในโดย Youtuber หลายคนที่ทำรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศไทย หรือ หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามีผลต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นเป็นอิทธิพลมาจากอุตสาหกรรม Soft Power อย่างเช่น ภาพยนตร์แบบ Lost in Thailand หรือ The Hangover 2 หรือบรรดาซีรีส์หรือละครต่างๆ ที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน (ก่อนหน้านี้มีดาราฮอลีวูดและนักร้องจำนวนมากที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อใช้โลเคชันในการถ่ายทำผลงาน)

อุตสาหกรรม Soft Power เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยที่ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องลงทุนไปกับการออกบูทประชาสัมพันธ์ตามงานท่องเที่ยวต่างๆ แบบแต่ก่อน อีกทั้งการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยยังสร้างรายได้ให้กับประเทศอีกด้วยทั้งจากการเข้ามาใช้จ่ายของกองถ่ายทำภาพยนตร์ การจ้างแรงงานเพื่อประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มาจากการเดินทางเข้ามาพักในประเทศไทย เช่น ค่าโรงแรม ร้านอาหาร และท่องเที่ยว เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากสถิติของ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

รายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย จำแนกตามประเทศผู้ผลิตภาพยนตร์
(หน่วยนับ : ล้านบาท)

ประเทศ2548254925502551255225532554255525562557
 ญี่ปุ่น  16514215413410812311314914057
 อินเดีย  44729212310812810712515054
 เกาหลี  26423926274147332915
 จีน  52188162233242923
 อเมริกา  22212225252235273416
 ฮ่องกง  24212523202424373814
 ออสเตรเลีย  2027181088156228
 ไต้หวัน  616310169171
 ยุโรป  10577102106969111910511269
 อื่นๆ  756757687810310412915687
รวม/เรื่อง492491523526496578606636717344
รายได้/ล้านบาท1,138.361,926.831,072.622,023.24897.831,869.151,226.451,781.932,173.35942.2

ที่มา: กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา.

กล่าวเฉพาะในช่วงของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อีกครั้งหนึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวได้เปิดเผยรายงานของกองกิจการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ เกี่ยวกับสถิติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน นั้น มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า 31 เรื่อง สร้างรายได้รวม 1,212.28 ล้านบาท และเฉพาะการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Beer Run”และ “Beer Run 2” ของรัสเซล โครว์ และกองถ่ายทำในช่วงเดือน กันยายน – ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ราชบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี และประจวบคีรีขันธ์นั้นจะสร้างรายได้จากการประมาณค่าใช้จ่ายได้ราวๆ 373 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาลงไปในประเภทของภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยนั้น 3 อันดับแรกของภาพยนตร์ (ในช่วงปี 2548 – 2558) ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศนั้น จากการเก็บข้อมูลของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าอันดับหนึ่งจะเป็นภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวน 2,738 เรื่อง ภาพยนตร์สารคดี 1,989 เรื่อง และมิวสิควีดีโอ 507 เรื่อง สำหรับภาพยนตร์เรื่องยาวจำนวน 429 เรื่อง

ปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยได้เปรียบ คือ การมีโลเคชันหลากหลายทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ ประเพณี และการพัฒนาเมือง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพแล้วสิ่งนี้กลายมาเป็นจุดเด่นของประเทศไทย และยังไม่รวมถึงธุรกิจภาคบริการที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ  

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีจะได้ประโยชน์อย่างมากหากมีการเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยทั้งในแง่ของการเข้ามาใช่จ่ายของกองถ่าย ซึ่งประโยชน์จะไปถึงประชาชนโดยตรงจากการซื้อสินค้าและบริการ การจ้างงานในประเทศ การใช้จ่ายบริการสนับสนุนการถ่ายทำ และการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ต่างๆ ที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้วภาพยนตร์ยังมีส่วนในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ และเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

อย่างไรก็ตาม สิ่งต้องกลับมาทบทวนก็คือ นโยบายของรัฐบาลนั้นสนับสนุนให้เกิดการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเพียงพอแล้วหรือไม่

นโยบายของรัฐบาลกับการถ่ายทำภาพยนตร์

หากรัฐบาลพิจารณาแล้วว่า อุตสาหกรรม Soft Power จะกลายมาเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ช่วยเสริมแรงการท่องเที่ยวที่น่าจะยังไม่ฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรัฐบาลได้ตั้งปณิธานว่าจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจตามนโยบายที่นายกรัฐบาล อุปสรรคอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ นโยบายของรัฐบาลอาจจะยังไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยขนาดนั้น โดยเฉพาะอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากใบอนุญาต

ในปัจจุบันการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศภายในประเทศไทยนั้นกองถ่ายภาพยนตร์จะต้องขอใบอนุญาตหลายใบถึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ภายในประเทศได้ ซึ่งบรรดาใบอนุญาตทั้งหลายนี้ก็ไม่ได้รวมกันอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียวกัน ซึ่งก็เป็นปัญหาในกรณีที่จะต้องมีการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศที่จะต้องมีการติดต่อเพื่อขอใบอนุญาตหลายจุด การมีจำนวนใบอนุญาตเป็นจำนวนมากนี้ไม่ได้มีผลเพียงแค่ต้องติดต่อหลายหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว บรรดาใบอนุญาตดังกล่าวยังกลายเป็นต้นทุนและเป็นเงื่อนไขที่ต้องรอก่อนจึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าวได้

ใบอนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย*

ใบอนุญาตหน่วยงานต้นทุน
ใบอนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร**กรมการท่องเที่ยวค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 168,364 บาทค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 9,767,307 บาท
การขออนุญาตเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ในอุทยานแห่งชาติกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 11,519 บาทค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 5,195,160 บาท
การขออนุญาตให้เข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตโบราณสถานกรมศิลปากรค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 28,548 บาทต่อปี 540,978 บาท
การขออนุญาตเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตวัดและศาสนสถานสำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 6,291 บาทต่อปี 155,062 บาท

หมายเหตุ *การขอใบอนุญาตดังกล่าวไม่นับรวมการขออนุญาตในพื้นที่ เช่น บนท้องถนนที่ต้องขออนุญาตต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
** กรณีนี้เฉพาะการขอใบอนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ประเภทภาพยนตร์ยาว ซึ่งค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันตามประเภทของภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำ

ที่มา: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรืออุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่ม 1’ (เสนต่อสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง) 333 – 370 และ 385 – 400.

ผลของการมีใบอนุญาตหลายใบนั้นกลายมาเป็นอุปสรรคที่ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยนั้นเกิดความไม่สะดวกทั้งในแง่ของการติดต่อ การประสานงาน และการดำเนินการ ซึ่งหากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกนั้นควรที่จะทำให้ใบอนุญาตนั้นควรจะมีเพียงแค่ใบเดียว หรือถ้าในระยะเบื้องต้นไม่สามารถรวมใบอนุญาตไว้เพียงแค่ใบเดียวได้นั้นก็ควรที่จะลดการติดต่อของต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอใบอนุญาตโดยอาจจะทำเป็น One Stop Service ที่สามารถขอใบอนุญาตในที่เดียวจบ

นอกจากความวุ่นวายในการขอใบอนุญาตแล้ว สิ่งที่พ่วงมากับการขอใบอนุญาตก็คือ กระบวนการหลายกรณีนั้น การขอใบอนุญาตเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเกิดขึ้นมาจากนโยบายการเซนเซอร์ของรัฐบาลในการตรวจสอบบทภาพยนตร์ ทำให้เกิดปัญหาว่าในหลายๆ กรณีกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกที่จะเปลี่ยนประเทศเพื่อไปถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศอื่นที่มีบรรยากาศและโลเคชันใกล้เคียงกับประเทศไทยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกปรับเปลี่ยนบทภาพยนตร์

ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนกันเสียใหม่ เพราะควรมองให้เห็นประโยชน์ของการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์มากกว่าจะให้ความสำคัญกับการถ่ายทำซึ่งไม่อาจแน่ใจได้ด้วยซ้ำว่าเนื้อหาที่นำเสนอนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะสิ่งที่มาถ่ายทำก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งฟุตเทจ

ปัญหาอีกประการที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยนั้นยังมีปัญหาเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย (ดารา นักแสดง และสมาชิกกองถ่ายที่เป็นคนต่างด้าวทั้งหมดต้องขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย) ซึ่งกองถ่ายต่างประเทศจำเป็นต้องขอใบอนุญาต

ในประเด็นนี้หากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกจริงๆ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนอาจจะจำเป็นต้องคิดนอกกรอบโดยการออกประเภทวีซ่าใหม่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และยกเว้นใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวเนื่องจากใบอนุญาตดังกล่าวอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับการทำงานของกองถ่ายภาพยนตร์

กล่าวโดยสรุปเมื่อประเทศไทยอยากคว้าโอกาสจากอุตสาหกรรม Soft Power โดยเฉพาะการเชื้อเชิญต่างประเทศเพื่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยลำพังเพียงแต่การออกนโยบายมาโดยไม่มีการทำอะไรเป็นแผนนิ่งๆ นั้นอาจจะไม่มีประโยชน์ วิธีการสนับสนุนที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การแก้ไขกฎระเบียบที่จะกลายเป็นอุปสรรคของเขาในการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยก็สามารถช่วยเหลือกองถ่ายภาพยนตร์และดึงดูกการเข้ามาถ่ายทำได้แล้ว


อ้างอิงจาก

  • กรุงเทพธุรกิจ, ‘กองถ่ายหนังต่างประเทศไม่หวั่นโควิด! เปิดสถิติ 4 เดือนแรกไทยกวาดรายได้ 1.2 พันล้าน’ (กรุงเทพธุรกิจ, 31 พฤษภาคม 2564) <https://www.bangkokbiznews.com/news/940807&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • เนชั่น, ‘รัสเซล โครว์-กองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ Beer Run คาดนำรายได้เข้าไทย 373 ล้านบาท’ (Nation Online, 21 ตุลาคม 2564) <https://www.nationtv.tv/news/378847745&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • สถิติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และสถิติรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เข้าถึงได้จาก สำนักสถิติแห่งชาติ, ‘การเผยแพร่ข้อมูลสถิติทางการ (รายสาขา)’ (สำนังานสถิติแห่งชาติ) <https://osstat.nso.go.th/statv5/list.php?id_branch=17&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรืออุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่ม 1’ (เสนอต่อสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง)