Hometown Cha-Cha-Cha: ค่าจ้างขั้นต่ำกับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภาพ: โปสเตอร์ซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha

หลังจาก Squid Game ลาจอไปได้ไม่นาน ประเทศเกาหลีก็ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสการพูดถึงซีรีส์ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วยเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha นอกจากเนื้อเรื่องที่มีการพูดถึงความรัก บรรยากาศอบอุ่นใจของความสัมพันธ์ต่างๆ ของตัวละครในเรื่อง และปมปัญหาชีวิตที่หลากหลายของตัวละครแต่ละตัวแล้ว โดยเรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นที่ชุมชนชาวประมงเล็กๆ ชื่อว่า “กงจิน” 

สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในเรื่องและคิดว่าเป็นสิ่งที่เนื้อเรื่องพยายามจะสื่อสารกับคนดูทุกคนก็คือ “เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอยู่ในท้องถิ่นได้” ผ่านบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีค่าจ้างขั้นต่ำที่มีคุณภาพเพียงพอกับการครองชีพ

หัวหน้าฮงและชาวบ้านกงจินดำรงชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำได้อย่างไร

อาจจะไม่การสปอยเนื้อเรื่องจนเกินไป เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ซีรีส์พยายามถ่ายทอดให้กับคนดูทุกคนรู้ตั้งแต่ Ep แรกๆ ของแล้วว่า ตัวละครหลายตัวในเรื่องนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง เช่น ตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่องอย่างหัวหน้าฮง ซึ่งจะทำงานจิปาถะต่างๆ (หัวหน้าฮงทำได้ทุกอย่างจริงๆ มีใบอนุญาตทำงานทุกๆ อย่างเท่าที่จะมีได้ และมีทักษะหลากหลายตั้งแต่พูดภาษารัสเซียและใช้ภาษามือ ไปจนถึงการเป็นบาริสต้า ช่างทาสี ช่างไฟฟ้า และช่างซ่อมเรือ)

ในชุมชนหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้โดยคิดค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน ต่อชั่วโมงคูณด้วยชั่วโมงการทำงานในแต่ละงาน เช่น ตอนที่ตัวเอกหญิงของเรื่องได้ให้หัวหน้าฮงดำเนินการจัดทำเรื่องสัญญาเกี่ยวกับการเช่าบ้าน และสถานที่สำหรับทำร้านหมอฟัน เป็นต้น และ โดยการทำงานของหัวหน้าฮงจะเป็นรูปแบบของฟรีแลนซ์ มีเวลาทำงานโดยเป็นคนกำหนดเอง และจะไม่ทำงานในวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์

ประเด็นสำคัญคือ ค่าจ้างขั้นต่ำที่หัวหน้าฮงเรียกเป็นค่าบริการนี้เป็นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2021 ซึ่งรัฐบาลเกาหลีกำหนดให้คนเกาหลีที่ทำงานรับจ้างได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน หรือ 240 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของประเทศไทย และมากกว่าอาชีพพนักงานร้านสะดวกซื้อบางยี่ห้อที่ให้ค่าตอบแทนพนักงานประมาณชั่วโมงละ 40 บาท (โดยมีขอบเขตการทำงานกว้างขวางเหมือนมหาสมุทร) นอกจากค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงแล้วรัฐบาลเกาหลียังได้มีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนด้วย (เงินเดือนรวมๆ) จะต้องอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,822,480 วอน หรือประมาณ 51,000 บาท (มากกว่าค่าตอบแทนปริญญาตรีของไทย)

ไม่ใช่แค่ตัวละครเอกฝ่ายชายเท่านั้นที่ทำงานเรียกรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้ จะเห็นได้ว่าตัวละครหลายตัวในเรื่องดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ เช่น คุณยายกัมรี หัวหน้าแก๊งสามยาย ที่มีอาชีพควักเครื่องในหมึกก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในการดำรงชีวิต ซึ่งถ้าเทียบกับค่าครองชีพแล้วจะเห็นฉากหนึ่งที่แก๊งสามยายไปซื้อสบู่ที่บ้านของหัวหน้าฮง ซึ่งจะมีการพูดถึงราคาสบู่ก้อนละ 500 วอน ซึ่งคุณยายทั้งสามจะบอกว่ามันถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพ สิ่งนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงความสมเหตุสมผลของค่าจ้างและค่าครองชีพในชุมชน

ดังจะเห็นได้ว่าค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศเกาหลีนั้น เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง และแม้จะอยู่ในท้องถิ่นชนบทค่าจ้างขั้นต่ำในจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินที่มากจนนายจ้างไม่สามารถจ่ายได้และไม่ได้น้อยไปจนไม่สามารถใช้ในการครองชีพได้เลย เพราะจะเห็นได้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการจ้างงานจิปาถะกับหัวหน้าฮงแทบจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะจ่ายค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าวเลย

นอกจากนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำของเกาหลียังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ มีการทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสม่ำเสมอ แม้ว่าซีรีส์จะพึ่งจบไปไม่นาน แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนไปแล้ว โดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (The Minimum Wage Commission) ของประเทศเกาหลี ได้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาและได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2022 เป็น 9,160 วอน หรือประมาณ 256 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 5.1 ของค่าจ้างขั้นต่ำในปีก่อน และกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนไว้ที่ 1,914,440 วอน หรือประมาณ 53,700 บาท ต่อเดือน ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ดำเนินการมาต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 24 ปี ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา และการประกันค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนเริ่มต้นมีในปี 2016

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับเปลี่ยนโดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

YearHouly Minimum
wage rate
Dai ly minimum wage rate
(based on 8 hours)
Monthly minimum wage rate
(based on 209 hours, based on Public notice)
Increase
(an increase in the amount)
‘22.1.1 ~’22.12.319,16073,2801,914,4405.05(440)
‘21.1.1 ~’21.12.318,72069,7601,822,4801.5(130)
‘20.1.1 ~’20.12.318,59068,7201,795,3102.87(240)
‘19.1.1 ~’19.12.318,35066,8001,745,15010.9(820)
‘18.1.1 ~’18.12.317,53060,2401,573,77016.4(1,060)
‘17.1.1 ~’17.12.316,47051,7601,352,2307.3(440)
‘16.1.1 ~’16.12.316,03048,2401,260,2708.1(450)
‘15.1.1 ~’15.12.315,58044,640 7.1(370)
14.1.1~’14.12.315,21041,680 7.2(350)
‘13.1.1 ~’13.12.314,86038,880 6.1(280)
‘12.1.1 ~’12.12.314,58036,640 6.0(260)
‘11.1.1~’11.12.314,32034,560 5.1(210)
‘10.1.1~’10.12.314,11032,880 2.75(110)
‘09.1.1~’09.12.314,00032,000 6.1(230)
‘08.1.1~’08.12.313,77030,160 8.3(290)
‘07.1.1~’07.12.313,48027,840 12.3(380)
‘05.9~’06.123,10024,800 9.2(260)
‘04.9~’05.82,84022,720 13.1(330)
‘03.9~’04.82,51020,080 10.3(235)
‘02.9~’03.82,27518,200 8.3(175)
‘01.9~’02.82,10016,800 12.6(235)
‘00.9~’01.81,86514,920 16.6(265)
‘99.9~’00.81,60012,800 4.9(75)
‘98.9~’99.81,52512,200 2.7(40)
‘97.9~’98.81,48511,880 6.1(85)
‘96.9~’97.81,40011,200 9.8(125)
‘95.9~’96.81,27510,200 8.97(105)
‘94.9~’95.81,1709,360 7.8(85)
’94.(1~8)1,0858,680 7.96(80)
’931,0058,040 8.6(80)
’929257,400 12.8(105)
’918206,560 18.8(130)
’906905,520 15.0(90)
’896004,800 1Group29.7(137.5)
2Group23.7(112.5) 
’881Group 462.50
2Group 487.50 
3,700
3,900 
 
ที่มา: Minimum Wage Commission, Republic of Korea

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกาหลีก็มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นมาจากการผูกขาดของการพัฒนา และจะมีด้านมืดของสังคมที่มีการกดดันต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเรียกสังคมเกาหลีว่า “นรกโชซอน” (Hell Joseon) และอัตราค่าครองชีพอาจจะสูงมากเมื่ออยู่ในเมืองทำให้คุณภาพชีวิตอาจจะลดลงบ้าง แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวก็เพียงพอในการดำรงชีวิตได้

ถ้าหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทยจะมีค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

เมื่อพิจารณาบริบทของประเทศเกาหลีในซีรีส์แล้ว ลองย้อนกลับมาดูประเทศไทย สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ ค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง และเหมาะสมกับค่าครองชีพจริงๆ หรือไม่ โดยมาลองสมมติกันว่า ถ้าหากหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทย หรือถ้าน้ำเน่า (หน่อยๆ) แบบเรือแตกความจำเสื่อมแล้วมารู้สึกตัวอยู่เมืองไทยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่มีความสามารถมากมายหลายอย่างเขาจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไรในประเทศไทย

คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าหัวหน้าฮงทำงานที่ไหน หรือ เรือไปแตกแล้วตื่นขึ้นมาที่จังหวัดไหนของประเทศไทย เพราะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยมีความแตกต่างกัน (สัมพัทธ์) ตามพื้นที่การแบ่งเขตค่าจ้างขั้นต่ำ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมาคณะกรรมการค่าจ้างได้มีประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) ซึ่งได้ประกาศให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยแบ่งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แตกต่างกันตามเขตพื้นที่ (ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่อย่างใด) ดังนี้

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในแต่ละพื้นที่

  พื้นที่  ค่าจ้างขั้นต่ำ  จำนวนจังหวัด
จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต3362
จังหวัดระยอง3351
กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ3316
จังหวัดฉะเชิงเทรา3301
จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย อุบลราชธานี32514
จังหวัดปราจีนบุรี3241
จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม3236
จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์32021
จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระยอง ราชบุรี ลำปาง ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อุทัยธานี และอำนาจเจริญ31522
จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี3133
ที่มา: ปรับปรุงจากประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ดังนั้น ถ้าหัวหน้าฮงทำงานในกรุงเทพมหานครก็จะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำรายวันๆ ละ 331 บาท หรือคิดเป็นรายชั่วโมงตกชั่วโมงละ 41 บาท (จำนวนนี้คิดจากการหาร 8 ชั่วโมงตามเวลาทำงานปกติสูงสุดตามกฎหมายแรงงานกำหนดไว้) และเมื่อคิดเป็นค่าจ้างต่อเดือนจะเป็นเงินจำนวน 9,930 บาท (คิดจากการคูณ 30 วัน ซึ่งอาจรวมเสาร์และอาทิตย์ซึ่งอาจเป็นวันหยุดงานในบางอาชีพและสถานประกอบการ)

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าครองชีพแล้วถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่หัวหน้าฮงจะต้องจ่าย เช่น ค่าเดินทาง และค่าเช่าที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมๆ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการมีเงินเก็บแม้แต่น้อย (แม้ว่าอาจจะมีพูดให้ความเห็นว่า ถ้ารู้จักใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอเพียง และรู้จักใช้ก็อยู่ได้ก็อยากให้คนพูดย้อนกลับไปคิดเองว่ามันเพียงพอจริงๆ เหรอ และจะเลือกรับเงินจำนวนดังกล่าวจริงๆ หรือไม่ ถ้าหากสามารถเลือกได้)

สำหรับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยนั้นตามพื้นที่นั้นเกิดจากการกำหนดของคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่าๆ กัน โดยศึกษาและพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้แก่ อัตราค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเทียบเคียงและอาศัยสูตรคำนวณตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ซึ่งเกณฑ์นี้ใช้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้นๆ โดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเอาไว้ให้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ลูกจ้างทุกคนจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำจริงๆ เช่น ในปี 2558 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำการสำรวจการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำแรงงานทั่วประเทศ พบว่ายังมีแรงงานทั่วประเทศไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 2.11 ล้านคน หรือร้อยละ 14.8 โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานในสถานประกอบการที่มีคนทำงานไม่เกิน 50 คน ((1-9 คน ร้อยละ 33.6) 10-49 คน (ร้อยละ 12)) เป็นต้น

ร้อยละของแรงงานไม่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำ

ขนาดสถานประกอบการ (คน)% แรงงานไม่ได้รับต่ำกว่า 300 บาท (ล้านราย)
1-933.6           (1.55)
10-4912.0           (0.38)
50-1993.7          (0.08)
200+ขึ้นไป1.9          (0.07)
อื่นๆ11.7          (0.01)
รวมเฉลี่ย14.8          (2.11)
หมายเหตุ: คำนวณจากการสำรวจการมีงานทำไตรมาส 3, 2558
ที่มา: ยงยุทธ  แฉล้มวงษ์, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.

นอกจากนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเกิดความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในพื้นที่ที่มีความเจริญอยู่แล้วหรือมีเป็นเมืองเศรษฐกิจ (การท่องเที่ยว และโรงงานอุตสาหกรรม) กลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูง ในขณะที่เมืองที่ยังไม่ได้รับการพัฒนากลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำ

เมื่อคิดถึงสภาพการลงทุนแล้วเอกชนอาจจะอยากลงทุนในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำเพิ่มขึ้น แต่แรงงานก็ไม่อยากทำงานในพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับพยายามโยกย้ายเข้าไปหางานทำในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงสภาพการพัฒนายิ่งไม่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ เพราะแม้มีการลงทุนแต่อาจก็ไม่มีแรงงาน

ปัญหาเรื่องอัตราค่าครองชีพในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากโดยเฉพาะในช่วงหาเสียงที่รัฐบาลหลายพรรคการเมืองมักจะชูนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่นเดียวกันกับรัฐบาลนี้ที่เคยหาเสียงด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ไม่ได้ทำตามสัญญาหลังจากขอเวลามานาน) ประเด็นใจความสำคัญของการถกเถียงมักจะอยู่ที่ว่าการแทรกแซงราคาค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้เกิดอัตราการว่างงานเนื่องจากมีการปลดคนงานออก 

อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องเมื่อรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ล่าสุดนั้นได้สรุปผลการวิจัยว่า จาก “การทดลองตามธรรมชาติ” (Natural Experiments) โดยการศึกษาสถานการณ์ตามความเป็นจริงเพื่อตอบคำถามทางสังคมในเรื่องที่ว่าค่าแรงขั้นต่ำกับการอพยพส่งผลต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้าง ซึ่งผลสรุปนั้นพบว่า การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลต่อการจ้างงานลดลง และผู้อพยพก็ไม่ได้ทำให้พวกคนงานซึ่งเกิดในพื้นถิ่นได้รับค่าจ้างต่ำลง ผลการทดลองในครั้งนี้เป็นการพลิกแนวความคิดเดิมที่เคยยึดถือจากการทดลองโดยใช้แบบจำลองมาคิด

เมื่อกลับมาที่หัวหน้าฮง สถานการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนหากหัวหน้าฮงย้ายจากประเทศเกาหลีมาทำงานที่ประเทศ ไม่ว่าเขาจะทำงานในกรุงเทพฯ หรือ ในต่างจังหวัด อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวก และเลือกทำงานในวันที่อยากทำเหมือนในเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha แต่ทางเลือกของหัวหน้าฮงอาจจะลดลงและทำงานอย่างยากลำบากในทุกๆ วันเพื่อจะมีชีวิตรอดไปวันจนไม่สามารถใส่ใจคนในชุมชนรอบตัวเขาได้อย่างเต็มที่แบบที่เป็นในซีรีส์ และคงไม่เกิดเรื่องราวอบอุ่นหัวใจเป็นที่แน่นอน

Hometown Cha-Cha-Cha (2021)

ประเภทซีรีส์: โรแมนติก, คอมเมดี้

ผู้กำกับ: ยูเจวอน

นักแสดงนำ: ชินมินอา, คิมซอนโฮ, อีซังอี

จำนวนตอน: 16 ตอน

ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง tvN วันที่ 28 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น. (เกาหลี)

ประเทศไทยสามารถรับชมได้ที่ NETFLIX


อ้างอิงจาก

  • กองบรรณาธิการ TCIJ, ‘จับตา: สรุปรางวัลโนเบลทุกสาขาประจำปี 2021’ (TCIJ, 14 ตุลาคม 2564) <https://www.tcijthai.com/news/2021/10/watch/11993&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ยงยุทธ แฉล้มวงษ์, ‘ถึงเวลาปรับค่าจ้างขั้นต่ำได้หรือยัง’ (TDRI, 7 กันยายน 2558) <https://tdri.or.th/2016/09/minimum-wages/&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
  • Minimum Wage Commission, ‘Minimum Wage System’ (Minimum Wage Commission Republic of Korea) <http://minimumwage.go.kr/eng/sub04.html&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • กรกิจ ดิษฐาน, ‘Hell Joseon เมื่อคนหนุ่มสาวเกาหลีไม่อยากอยู่ประเทศตัวเอง’ (Post Today, 4 พฤษภาคม 2564) <https://www.posttoday.com/world/652005&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.

สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

สันติประชาธรรมเป็นมรรควิธีสำคัญของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ท่านได้แสดงไว้ ซึ่งสันติประชาธรรมนั้นเป็นวิธีการและหนทางสำคัญในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

สันติประชาธรรมคืออะไร

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

สันติประชาธรรมคือ หลักการที่อาจารย์ป๋วยหรือ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนอเป็นหลักคิดสำหรับการเกิดสันติและความเป็นธรรมในสังคม โดยอาจารย์ป๋วยเชื่อว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนทางการเมือง ซึ่งอาจารย์ป๋วยเรียกว่า “ประชาธรรม” นั้นจะได้มาก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น  ฉะนั้น ในมุมมองของอาจารย์ธรรมเป็นอำนาจ (ธรรมเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ) ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม (อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม) ดังนั้นแล้วจึงถ้ายึดหลักประชาธรรม (สิทธิและเสรีภาพของประชาชน) แล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี

คุณค่าของสิทธิและเสรีภาพในมุมมองของอาจารย์ป๋วยจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดประการหนึ่งในการดำรงอยู่ของสังคม และการใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้นแม้จะสำเร็จอาจจะได้ผลก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น  ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือควบคุมฝูงชนจึงอาจจะไม่ใช่หนทางไปสู่การเกิดประชาธรรมแล้ว ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดความเกลียดชังในสังคมอีกด้วยซ้ำ

“สมมติว่าเราปักใจท้อเสียก่อนว่าสันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยประชาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น และแม้จะเกิดขึ้นได้ยากและอาจทำให้ผู้คนหมดหวังไปเสียก่อน ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยการปักใจเชื่อว่า “สันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ” ก็ควรแสดงออกทางการเมืองโดยสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการเรียกร้องหรือการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงประชาธรรม วิธีการดังกล่าวนั้นเช่นเดียวกับที่อาจารย์ป๋วยพยายามทำเสมอมาผ่านตัวตนที่แสดงออกจากงานเขียน “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” “สันติประชาธรรม” และ “จดหมายนายเข้ม เย็นยิ่ง”

หนทางของอาจารย์ป๋วยในการได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นมีสันติวิธีเพียงอย่างเดียวถึงจะได้ประชาธรรมถาวรมั่นคง และต้องใช้เวลานาน ต้องเสียสละ ต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษ และอาจจะถูกเย้ยหยันโดยผู้อื่น แต่ถ้ามุ่งมั่นในหลักการจริงความมานะอดทนย่อมตามมาเอง บุคคลที่บัดนี้ได้ถูกรัฐบาลควบคุมตัวไว้เพราะกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักในประชาธรรมนั้นจึงเป็นผู้มีเกียรติ ควรได้มาซึ่งความเคารพ และไม่ควรถูกทอดทิ้งไว้ในยามยากลำบาก เพราะอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

ในการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ)

ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็ควรจะพิจารณาวิถีทางแห่งสันติประชาธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลที่ได้เข้ามาบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 7 ปีนั้นได้เพียงแต่นำเสนอการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ใส่ใจในเชิงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งภาพดังกล่าวยิ่งชัดเจนในช่วงเวลาของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่มีหลักประกันในคุณภาพชีวิต เมื่อเผชิญกับโรคระบาดและภาวะการตกงาน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้ไปตกแก่ภาระของปัจเจกบุคคล แทนที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นความบกพร่องของการทำงานและระบบของรัฐบาล ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ยอมรับว่าความผิดเป็นผลมาจากการบริหารงานที่ไม่มีความสามารถของตนเองการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

สังคมเศรษฐกิจไทยจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสันติประชาธรรมได้นั้น จำเป็นต้องยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเสียก่อน ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นตรงกันข้ามกับสังคมไทยที่เน้นการเติบโตเชิงตัวเลขเท่านั้นมากกว่าการจะเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน  นอกจากนี้ การพัฒนาในปัจจุบันก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองหลวงและเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมือง ภาพที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นการเอาทรัพยากรของคนทั้งประเทศไปทุ่มไว้ให้คนบางกลุ่มเท่านั้น

ในขณะที่ประชาชนนอกกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับปัญหาความยากลำบากทั้งการเข้าไม่ถึงสวัสดิการ การรักษาพยาบาล และกลายเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้การพัฒนาในรูปแบบดังกล่าวเป็นการพัฒนาบนรากฐานของความรุนแรงและการบังคับเสียสละ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพซ้ำเติมของความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น (ภาพเหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะนอกกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ในเขตกรุงเทพมหานครก็กลายเป็นพื้นที่แสดงภาพดังกล่าวซ้อนทับเข้าไปอีก เมื่อโครงสร้างของการพัฒนาไม่สมดุล)

การจะหลุดพ้นจากการพัฒนาแบบไม่สมดุลได้นั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเป็นสังคมสันติประชาธรรม ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้การกำหนดนโยบายการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ) ก็ควรจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

“ผมจำเป็นต้องมีโอกาสได้ร่วมงานของชุมชนที่ผมอาศัยอยู่ และสามารถมีปากเสียงในการกำหนดชะตาของบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศของผม”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน.

อาจารย์ป๋วยได้เคยเขียนถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนนี้ไว้ในเอกสารเรื่อง “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” แสดงให้เห็นว่าบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการมีประชาธรรม และจะมีเฉพาะการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในระดับรากฐานของชุมชนการเมือง ฉะนั้น การกระจายอำนาจทางปกครองจึงมีความสำคัญ

“ในการพัฒนาประชาชาติ ข้อที่ควรคำนึงถึงก็คือ ประชาชาติประกอบด้วยประชาชนที่เป็นมนุษย์ และมนุษย์แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉานหรือตุ๊กตาของเล่นอยู่ที่มนุษย์สามารถใช้สมองใช้ความคิด สามารถช่วยตัวเองได้  ฉะนั้น วิธีการพัฒนาหมู่ชนด้วยการลงทุนน้อยและได้ผลมากก็คือ วิธีการช่วยให้มนุษย์และประชาชนนั้นสามารถช่วยตัวเองได้อย่างดี กล่าวคือ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในส่วนกลาง คือ รัฐบาล จำเป็นต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของเอกชน เคารพในศักดิ์และสิทธิแห่งเอกชน ที่จะริเริ่มดำเนินการได้ด้วยตนเอง ที่จะดำเนินกิจการของเขาไปได้โดยปราศจากข้อกีดขวางในทำนองถูกเบียดเบียนแย่งชิงหรือห้ามปรามด้วยเอกสิทธิ์อันไม่ชอบธรรม”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

แนวทางการพัฒนาตามสันติประชาธรรมนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การไม่ปฏิเสธคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐไม่ควรดำเนินนโยบายหรือวางท่าทีการบริหารประเทศเสมือนเป็นการทำมหากุศลหรือการบริจาคทาน และมองประชาชนเป็นเสมือนภาระหรือผู้ขอรับความช่วยเหลือ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่จะให้การสนับสนุนประชาชนในการจะดำเนินการเพื่อก่อร่างสร้างตำแหน่งแห่งที่ของตน ดังนั้น ทัศนคติของรัฐบาลโดยคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พยายามกระทำกับประชาชนเหมือนเป็นการบริจาคโดยใช้เงินภาษีของประชาชนนั้นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องต่อการสร้างสังคมที่มีประชาธรรม ในทางตรงกันข้ามทัศนคติแบบนี้เป็นวิถีทางของเผด็จการและเศษซากศักดินาที่มองประชาชนเป็นเบี้ยล่าง และวางตนเป็นผู้มีบุญอยู่เหนือความทุกข์ยากของประชาชน

“ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

สังคมที่เป็นสันติประชาธรรมนั้นนอกจากการตระหนักในคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้วนั้น สังคมควรสร้างความเป็นภราดรภาพระหว่างคนในสังคมจะต้องผนวกความเอื้ออาทรต่อกลุ่มชนผู้เสียเปรียบในสังคมและมองว่าเป็นหนี้ร่วมกันของคนในสังคมที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก…สุภาษิตของแมกไซไซที่ว่า ถ้าใครเกิดมามีน้อยบ้านเมืองพึงให้มากๆ เป็นสุภาษิตซึ่งควรจะมีประจำใจไว้” และหัวใจสำคัญคือการจะต้องเกื้อกูลกันด้วยความเป็นภราดรภาพ ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยแสดงปาฐกถาเรื่อง “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาชาติ” ว่า “ผู้อ่อนแอกว่าย่อมพึงมีสิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่คอยรับทานจากผู้ที่แข็งแรงกว่า และผู้ที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า จะต้องรู้จักยับยั้งไม่กอบโกยด้วยความโลภ เปิดโอกาสให้มีความยุติธรรมทางสังคม”

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาสังคมสู่สันติประชาธรรมนั้นก็คือ ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ระบอบการเมืองการปกครองของไทยเป็นระบอบเผด็จการเสียส่วนใหญ่ ทหารและนักการเมืองรับใช้ทหารคอยปกครองประเทศและเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศให้มีอัปลักษณะบางประการทางสังคม ได้แก่ ขนาดของการเปิดประเทศที่มีมากเกินไป การพึ่งพาการนำเข้าและการพึ่งพิงเงินออกจากต่างประเทศมากเกินไป การผูกขาดและการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดมาจากนโยบายของรัฐบาล (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, 2531) ที่คอยสนับสนุนอุ้มชูกลุ่มทุนจากต่างประเทศโดยกดขี่แรงงานไทย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564) หรือการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่สนับสนุนตนเองหรือตนเองเข้าไปมีส่วนเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการรวมอยู่ด้วย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564 และผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, 2546) อัปลักษณะเหล่านี้เองก็มีส่วนซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางสังคมและขัดขวางการพัฒนา

ปัจจุบันนี้ สังคมกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านมนตราของระบอบเผด็จการได้เริ่มเสื่อมลงแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีทัศนะที่ถูกต้องแล้วว่าการพัฒนาแบบไม่สมดุลนั้นไม่ใช่ความยั่งยืน การจะทำให้สังคมไปสู่สังคมสันติประชาธรรมนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลา แต่ไม่มีอะไรที่จะสายเกินกว่าจะเริ่มต้นทำในวันนี้ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาโดยยึดถือสันติประชาธรรมนั้นจะช่วยให้สังคมไทยดีขึ้น พร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น แม้ในเวลาที่ยากลำบากก็ขอให้อย่าหมดหวังในสังคมที่เป็นประชาธรรมโดยสันติ และขอให้อย่าหมดหวังในขบวนการประชาธิปไตย


อ้างอิงจาก

  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางเศรษฐกิจ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, ‘เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม ?’ ใน รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์พัวพงศกร (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2531) 1027 – 1051.
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 กุมภาพันธ์ 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/02/599 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 3, สำนักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2546).
  • ธารทอง ทองสวัสดิ์, ‘เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504’ ใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2533).

แด่การจากไปของ ดร.มารวย

ผมไม่ได้เคยมีโอกาสรู้จักกับ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ โดยตรง แล้วในช่วงที่ผู้เขียนเติบโตขึ้นมาก็ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ ดร.มารวย เป็นการส่วนตัว แต่จากที่ได้ลองไปค้นคว้าประวัติของท่าน เพื่อใช้เขียนเป็นชีวประวัติขนาดสั้นของท่าน เพื่อที่จะนำเสนอในเว็บไซต์ของสถาบันปรีดี ทำให้ได้รู้จัก ดร.มารวย ในฐานะบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญกับวงการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2535 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาวงการตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ข้อเขียนขนาดสั้นนี้จึงเป็นการเขียนขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลชีวประวัติของท่าน เพื่อระลึกถึงในโอกาสการจากไปของ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์

ชีวิตวัยเด็กกับการโยกย้ายไปมา

ดร.มารวย เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2472 (ช่วงเวลา 3 ปี ก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง) ที่ตำบลห้วยสัก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเป็นบุตรของนายมา และนางถนอม ผดุงสิทธิ์ ในช่วงวัยเด็กของ ดร.มารวย นั้นมีการโยกย้ายที่อยู่หลายครั้งตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการอยู่ในกรมรถไฟ (การรถไฟแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น) โดยเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และได้มีการย้ายโรงเรียนตามบิดาอีกหลายครั้งจนกระทั่งได้เข้ามาศึกษาที่กรุงเทพมหานครภายหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ณ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ

ในขณะกำลังเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ได้หยุดเรียน และเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ซึ่ง ดร.มารวย ได้เคยมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวในช่วงหลังสงครามจบลงนั้น ‘คุณดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล’ ถึงช่วงเวลาในวัยเด็กและความดีใจของคนไทยในเวลานั้นเรื่องสงครามสิ้นสุดลงและคุณูปการของเสรีไทยและ ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ที่ขับเคลื่อนและดำเนินขบวนการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ท่านมีความสนใจเรื่องราวของนายปรีดี พนมยงค์ นับตั้งแต่นั้น

เมื่อสงครามจบลง ดร.มารวย จึงได้เดินทางกลับมาศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาต่อโดยได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ในรุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย แต่เมื่อบิดาล้มป่วยและออกจาราชการก็ทำให้ครอบครัวยากลำบาก ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้ลาออกจากการเรียนต่อและหาเริ่มต้นประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว

การเริ่มต้นทำงานในรับราชการและนิสัยการเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

ในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน ดร.มารวย เริ่มต้นทำงานในกรมรถไฟ ในเวลาต่อมาจึงได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่กรมชลประทาน และกรมบัญชีกลางตามลำดับ ซึ่งในขณะนั้นก็ได้สอบมีโอกาสสอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และสมัครเข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี 2504 และได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักบัญชี สังกัดกองระบบบัญชี กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งในเวลานั้นได้กระทรวงการคัลงได้มีทุนการศึกษาให้ข้าราชการไทยไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้สมัครสอบชิงทุนของกระทรวง และได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยซีราคิว (Syracuse University) มลรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาก็ได้กลับมาปฏิบัติงานต่อ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนและรักในการศึกษา เมื่อปฏิบัติงานอยู่ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อมีโอกาสก็จะเขียนบทความด้านวิชาการต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความคิดเป็นประโยชน์ลงในวารสารวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก เวลาที่ ดร.มารวย ต้องการหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการค้นคว้าก็จะได้เดินทางไปค้นคว้าข้อมูลประกอบที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่เสมอ

การไปค้นข้อมูลเพื่อนำมาเขียนบทความด้านวิชาการนั้นทำให้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ทราบว่าจะมีโครงการเตรียมจัดตั้งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เพื่อเปิดสอนด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโท ซึ่ง ดร.มารวย ได้ให้ความสนใจ และได้สอบชิงทุนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านการบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2515 และกลับมาเป็นอาจารย์ประจำที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงที่เรียกว่าเป็น “ยุคเริ่มวางรากฐานและพัฒนา” โดยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 5 (2528 – 2535) เวลานั้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังตั้งอยู่ ณ อาคารสินธร ถนนวิทยุ

เมื่อเริ่มรับตำแหน่งในปี 2558 ดร.มารวย ได้อธิบายสถานการณ์ในเวลานั้นว่าเป็นช่วงที่ฐานะการเงินของประเทศกำลังประสบปัญหา ซึ่งในเวลานั้นสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้จัดสัมมนาเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทย การสัมมนาในครั้งนั้นทุกคนค่อนข้างมองอนาคตของประเทศไทยไปในทิศทางที่ถดถอยหรือเศร้าหมอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการบริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในช่วงปี 2529 ประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 5 ครั้ง และรัฐบาลให้ความสนใจที่จะพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง ซึ่งนำมาสู่การปรับลดอัตราภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง และแก้ไขระเบียบการปริวรรตเงินตราเพื่อส่งเสริมผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเป็นลำดับทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2529 เพิ่มขึ้นเป็น 29,848.22 ล้านบาท และดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิด ณ สิ้นปีระดับ 207.20

ในแง่บรรยากาศการทำงานในช่วงเวลาที่ ดร.มารวย ทำงานเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นได้พยายามสร้างบรรยากาศการทำงานที่ให้โอกาสทุกคนได้แสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมกับการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตน

“ปรัชญาการทำงานของผมกับพนักงานก็คือ เราจะทำงานกันเป็นทีม การตัดสินใจนั้นทุกคนมีส่วนร่วม โดยผมจะเป็นผู้รับผิดชอบตามหน้าที่ และให้มีการกระจายความรับผิดชอบให้มากที่สุด”

นอกจากการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย มีบทบาทสำคัญในงานพัฒนาเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งการซื้อขายที่ยุติธรรม โดยการพัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์ให้ระบบมีความยุติธรรม และมีประสิทธิภาพโดยนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2534 และเริ่มพัฒนาระบบการให้บริการหลังการซื้อขายให้มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มเปิดรับฝากหุ้นจากบริษัทสมาชิกเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2531

ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ ดร.มารวย ในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์คือ การเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์และพัฒนาตราสารใหม่ๆ เช่น รณรงค์ให้กิจการต่างๆ เข้าใจและสนใจที่จะจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับหอการค้าจังหวัดและสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ให้รับหุ้นกู้แปลสภาพและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrants) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางธุรกิจ

นอกจากงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรงแล้ว ดร.มารวย ยังมีส่วนเข้าไปช่วยเหลือการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ในมุมอื่น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนระยะยาว เช่น การสนับสนุนให้จัดตั้งสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในปี 2533 และสนับสนุนสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อจัดตั้งสถาบันจัดอันดับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ในเวลาต่อมา

แม้การขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานั้นหลายอย่างเมื่อมองย้อนไปจากเวลาในปัจจุบันนั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในเวลานั้นต้องถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2517 ให้มีความมั่นคงและเป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนในระยะยาวของประเทศอย่างมีคุณภาพ การบริหารตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นยังเป็นความท้าทายค่อนข้างมาก และในเวลานั้นยังไม่มีองค์กรกำกับกิจการหลักทรัพย์แบบสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ ดร.มารวย ดำรงตำแหน่งอยู่นั้นมีความคึกคักมากโดยเฉพาะในช่วงปี 2530 มีการเข้ามาเก็งกำไรมาก ทำให้เกิดการซื้อขายในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม และยังขาดมาตรการที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการบริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลอดช่วงเวลาที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นั้น ดร.มารวย ได้ผ่านสถานการณ์สำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนของประเทศ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2528 เหตุการณ์  “Black Monday” ที่ราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดต่างประเทศยาวนานกว่า 2 เดือนโดยเริ่มต้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2530 เหตุการณ์ “Mini Black Monday” ที่เกิดจากตลาดต่างประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม 2532 และส่งผลต่อราคาหุ้นไทยวันทำการวันแรก (วันจันทร์) หลังจากวิกฤตการณ์คือ 16 ตุลาคม 2532 เหตุการณ์วิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย ในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน ตลาดเงิน และตลาดหุ้นทั่วโลก บทบาทของ ดร.มารวย ในฐานะของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นมีความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการท่ามกลางวิกฤตการณ์  อย่างไรก็ตาม ข้อคิดสำคัญที่ ดร.มารวย ให้ไว้ในการบริหารตลาดหลักทรัพย์ในช่วงวิกฤตก็คือ การประสบความสำเร็จของตลาดหลักทรัพย์เป็นผลงานจากการทำงานของคนทุกฝ่ายและการทำงานร่วมกันเป็นทีม มิใช่ผลงานของบุคคลหนึ่งบุคคลใด

“ตลาดหลักทรัพย์ของเราประสบความสำเร็จได้มาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายและการทำงานเป็นทีม มิใช่ทำงานด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผู้จัดการคนใหม่ก็จะทำงานในระบบตามแนวที่วางไว้ ผู้จัดการมาแล้วก็ไป แต่พนักงานประจำนั้นต้องอยู่ตลอดไป ขอให้ทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่า ตราบใดที่มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน อุทิศกำลังกายกำลังใจในการทำงาน มองไกลไปข้างหน้าตลาดหลักทรัพย์ของเราก็พัฒนาตลอดไป”

บทบาทความสำคัญของ ดร.มารวย ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นมีความสำคัญอย่างมาก และเพื่อเป็นเกียรติให้กับ ดร.มารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น “ห้องสมุดมารวย” เพื่อเป็นเกียรติแด่ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย กับ ดร.ปรีดี

นอกจากงานด้านวิชาการและงานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย ก็ให้ความสำคัญกับงานทางสังคมต่างๆ และงานด้านหนึ่งที่ท่านให้ความสำคัญก็คือ การเชิดชูเกียรติของ ‘ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์’ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทย โดยการรับอาสาเป็นประธานมูลนิธิในช่วงปี 2554 – 2557 โดยท่านมีผลงานสำคัญในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานครบรอบชาตกาล 110 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ อีกทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้งวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ ดร.มารวย ได้ให้ความเคารพและได้รู้จักในวัยเด็ก ความกรุณาของ ดร.มารวย ต่อมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ มีอยู่อย่างมาก แม้จะล่วงเลยในวัยชรา 90 ปีแล้ว แต่การได้สนับสนุนเรื่องราวของ ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นั้นเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญมาก

บทบาทของ ดร.มารวย ในสังคมไทยนั้นยังมีอยู่อีกมากมายหลายด้าน และเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาสามัญคนอื่นๆ นั้นเมื่อจากโลกนี้ไปก็มีเพียงแต่คุณงามความดีเท่านั้นที่จะให้คนรุ่นถัดไปได้ระลึกถึง ซึ่ง ดร.มารวย นั้นก็เป็นต้นแบบหนึ่งของบุคคลที่มีคุณงามความดีให้บุคคลได้ระลึกถึง ทั้งในความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน และความพยายามในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


อ้างอิงจาก

  • ตรี ภวภูตานนท์ “นักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ 8 หรือ 500” ใน สุโข สุวรรณศิริ และสมาน ศักดิ์สงวน  (บรรณาธิการ) ปรีดีสารฉบับพิเศษ งานรำลึก ปรีดี พนมยงค์ 66 ปี ต.ม.ธ.ก. ในโอกาส ม.ธ.ก. 70 ปี (ชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์ 2543).
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 6 ปี ของ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กับงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์(ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2535).
  • บุญลาภ ภูสุวรรณ, “การเดินทางแห่งชีวิต” ร้อยเรียงเรื่องเล่า 30 ปี (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) (บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) 2548).
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ‘รู้จัก ก.ล.ต.’ (ก.ล.ต.) https://www.sec.or.th/TH/Pages/AboutUs/TheFoundationoftheSEC.aspx สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ‘บุคคลสำคัญของท้องถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์’ http://webhost.m-culture.go.th/province/prachuapkhirikhan/PDF/770600.pdf สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ‘เกี่ยวกับห้องสมุดมารวย’ (ห้องสมุดมารวย) https://www.maruey.com/about สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลาเริ่มต้นจากการเคลื่อนเข้าสู่การเกิดขึ้นของแรงงานในช่วงก่อนพุทธศักราช 2475 สภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของแผ่นดินสยามจะเกี่ยวข้องกับการเกษตรมากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

จนเมื่อ “คณะราษฎร” เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ขึ้นและนำเสนอโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและปรับปรุงผลผลิตและทรัพยากรในสังคม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมเข้าสู่สังคมแรงงานมากขึ้นสิทธิของผู้ใช้แรงงานก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ในบทความนี้จะได้พูดถึงการเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในช่วงเหตุการณ์สำคัญในเดือนตุลาคม 2 เหตุการณ์ คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

การเคลื่อนเข้าไปสู่การเกิดขึ้นของแรงงาน

ในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 นั้นสภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้จากอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นข้าราชการกับเกษตรกรมากกว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำร่างนโยบายเศรษฐกิจของคณะราษฎร หรือที่เรียกว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับปรุงการปันผลผลิตในสังคม โดยมุ่งใช้ทรัพยากรการผลิตให้เต็มที่ด้วยการแปลงกระบวนการผลิตของไทย โดยอาศัยรัฐวิสาหกิจเข้ามาดำเนินการผลิตในอุตสาหกรรม[1] 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเนื้อหาในเค้าโครงการเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและพัฒนาพื้นที่ชนบท และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในเวลานั้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจในเมืองเป็นประเด็นรอง[2] 

ทว่า ในท้ายที่สุดข้อเสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติเนื่องจากมีกระแสคัดค้านทางการเมืองจากชนชั้นสูงและกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบเก่าโดยอ้างพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงการเศณษบกิจ[3]  นอกจากนี้ การช่วยเหลือชาวนายังหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มนายทุนในเมือง เพราะพวกนี้เป็นพวกขูดรีดส่วนเกินมาจากชาวนาทั้งในรูปแบบของหนี้สินและการเอารัดเอาเปรียบต่างๆ[4]

ในท้ายที่สุดรัฐบาลคณะราษฎรก็ไม่ได้นำเค้าโครงการเศรษฐกิจมาใช้และต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินการทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมโดยมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศณษฐกิจดังกล่าว โดยข้อเสนอหลายประการของหลวงวิจิตรวาทการนั้นยังคงต่อต้านระบบศักดินาเดิม เพียงแต่เบากว่าที่ปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ เช่น การซื้อที่ดินของรัฐทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอของหลวงวิจิตรวาทการนั้นไม่ได้ขัดขวางการเติบโตและขยายตัวของทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพียงแต่อุตสาหกรรมเหล่านั้นถูกควบคุมโดยชาติผ่านระบบราชการของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม[5]

การเกิดขึ้นของชนชั้นแรงงานไทยเกิดขึ้นจริงๆ อย่างเป็นกิจลักษณะภายหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบริษัทห้างร้านโดยส่วนใหญ่ที่เป็นของชาติตะวันตกที่เป็นคู่สงครามมีบทบาทลดลง ทำให้เกิดการเปิดกิจการต่างๆ ของคนไทยโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามาทดแทนกิจการเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดชนชั้นแรงงานเพิ่มมากขึ้น

การรับรองสิทธิของแรงงานในกฎหมาย

การรับรองสิทธิแรงงานั้นในทางกฎหมายนั้นทั้งประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในโลกโดยส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นมาจากความตกลงกันบนพื้นฐานของกฎหมายสัญญาบนความตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในบริบทของประเทศไทยกฎหมายที่เข้ามารับรองเรื่องสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนั้นเป็นไปตามบรรพ 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ซึ่งได้ประกาศใช้ในปี 2471[6] 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่ไม่เท่ากันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้รัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงโดยออกกฎหมายเฉพาะเข้ามาดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งในประเทศไทยในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อประสานงานตลอดจนความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง[7] ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศตั้งแต่ต้น โดยภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการรับรองสิทธิแรงงานในหลายลักษณะตามมาตรฐานสากล เช่น การรับรองสหภาพแรงงานในฐานะองค์การของลูกจ้างที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผลประโยชน์ในการทำงานและเพื่อสวัสดิการของลูกจ้างหรือการคุ้มครองแรรงานในเรื่องเวลาการทำงาน วันหยุดงาน การใช้แรงงานหญิงหรือแรงงานเด็ก การกำหนดค่าจ้าง และการกำหนดสภาพการจ้างแรงงานอื่นๆ เป็นต้น

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กับการเคลื่อนไหวของแรงงาน

แม้ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดชนชั้นแรงงานไทยขึ้นมาจะมาพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของกฎหมายแรงงาน แต่พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมากเพียงแค่ 3 ปี ก็ถูกคณะรัฐประหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีประกาศของคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501 โดยกล่าวหาว่าเป็นการเปิดช่องให้เป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นโอกาสให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์อาศัยใช้ลูกจ้างเป็นเครื่องมือยุยงในทางมิชอบ ทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในการประกอบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็นภัยร้ายแรงแก่การดำเนินการเศรษฐกิจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[8] เนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้นต้องการสร้างบรรยากาศลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำ[9]

ผลของประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้มีผลทำให้บรรดาสิทธิแรงงานที่เคยได้รับตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 และแทนที่ด้วยสิทธิแรงงานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้แทน ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 เพื่อใช้แทนกฎหมายแรงงานที่ได้ถูกยกเลิกไป ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ยังพอมีข้อดีอยู่บ้างเนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ได้รับรองสิทธิของลูกจ้างในการตั้งสมาคมลูกจ้างได้ แต่ไม่ให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของลูกจ้างในการตั้งข้อเรียกร้องเพื่อต่อรองและเจรจากับนายจ้าง[10] ผลของการยอมจัดตั้งสมาคมลูกจ้างได้นั้นประกอบกับการมีนิสิตนักศึกษาเข้าไปช่วยจัดตั้งทำให้เกิดสมาคมลูกจ้างพระประแดงขึ้นมา ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงาน โดยในช่วงปี 2515 – 2516 นั้นมีการนัดหยุดงานมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งการรวมกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงานกับนักศึกษานั้นเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถอนม กิตติขจร

ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น สังคมไทยเกิดความตื่นตัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระแสการใช้สิทธิและเสรีภาพทั้งในทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นประกอบกับแนวร่วมสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรนั้นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมเพื่อให้เกิดสังคมที่เป็นธรรมในขอบเขตทั่วประเทศ

ในด้านสิทธิแรงงานนั้นกระแสความเคลื่อนไหวของแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งให้สิทธิคนงานในการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นความเข้มแข็งของผู้ใช้แรงงาน และแรงสนับสนุนจากแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการจัดตั้งสภาแรงงานแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2519 โดยมีนายไพศาล ธวัชชัยนันท์เป็นประธานสภาผู้ใช้แรงงานแห่งประเทศไทย[11] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานของผู้ใช้แรงงาน โดยอาศัยการรวมตัวเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับรัฐบาล

การรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนนี้ ประกอบกับการมีอยู่ของแนวร่วมสามประสานนี้เองทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวการเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นสามารถทำได้สำเร็จโดยมีการปรับเปลี่ยนค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตอบสนองความต้องการนี้ของประชาชนเป็นอย่างดี[12]

ตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พ.ศ. 2516 – 2520)

ฉบับที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันที่ประกาศใช้
112 บาท4 กุมภาพันธ์ 2516
216 บาท30 พฤศจิกายน 2516
320 บาท13 มิถุนายน 2517
418 บาท1 สิงหาคม 2517
525 บาท1 ตุลาคม 2517
628 บาท23 สิงหาคม 2520
835 บาท30 สิงหาคม 2521
ที่มา: กระทรวงแรงงาน

6 ตุลาคม 2519 กับจุดผลิกผันของขบวนการแรงงาน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการสังหารหมู่กลางกรุงเทพในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นส่งผลให้กลุ่มสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรถูกทำลายลง คณะรัฐประหารได้สร้างกระบวนการ (อ) ยุติธรรมของตนเองขึ้นมาโดยการเพิ่มอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ซึ่งการบีบบังคับดังกล่าวนั้นทำให้ผู้ต้องหาบางส่วนหนีเข้าป่าแล้วไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในขณะเดียวกันขบวนการแรงงานก็ถูกฝ่ายขวากล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และก็ถูกทยอยจับกุมเข้าเรือนจำ[13]

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ได้นำการรัฐประหารมาสู่ประเทศไทยในเวลานั้น ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 22 ได้กำหนดข้อหา “ภัยสังคม” ขึ้นมา โดยรวมกำหนดให้การ “ร่วมหยุดงาน หรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เป็นภัยสังคมในลักษณะหนึ่ง บรรยากาศของการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานค่อยๆ ลดลงไป

ระบอบรัฐประหารนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำลายระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่กลายเป็นระบอบรัฐประหารนั้นได้ทำลายการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานลง คณะรัฐประหารนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของผู้ใช้แรงงาน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนและต้องการเสริมสร้างการลงทุนเพื่อแสวงหาประโยชน์จึงพยายามกดผู้ใช้แรงงานเอาไว้ ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2564 นั้นกลายเป็นชวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงานอย่างไม่หวนกลับมา

ในปัจจุบันสิทธิของผู้ใช้แรงงานยังคงมีปัญหาอยู่ แม้ว่ารูปแบบการดำเนินกิจการจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ปัญหาของกลุ่มผู้ใช้แรงงานก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม กลุ่มผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การใช้แรงกายเท่านั้น แต่ยังมีแรงงานในลักษณะอื่น เช่น การไม่มีสถานะเป็นผู้ใช้แรงงานของฟู๊ดไรเดอร์ (Food Rider) และคนขับรถที่ให้บริการผ่านแอพลิเคชั่น หรือผู้ให้บริการอิสระ (Freelance) ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากความตกลงที่อาจจะไม่เป็นธรรม และแม้แต่ “Sex Worker” ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการรับรองตามกฎหมาย เป็นต้น ปัญหาของผู้ใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสัญญาหรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสภาพการจ้าง สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกเพิกเฉยละเลยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 106

[2] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 6, ซิลค์เวอร์ม 2566) 146

[3] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 107

[4] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์ (เชิงอรรถ 2) 146.

[5] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 108

[6] พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่

[7] หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499

[8] ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501

[9] บันทึก 6 ตุลา, ‘การต่อสู้ของกรรมกร’ (บันทึก 6 ตุลา) <https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-2/2-2-1> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[10] Voice Labour, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงาน เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์’ (Voice Labour, 28 สิงหาคม 2556) <https://voicelabour.org/14-ตุลากับขบวนการแรงงาน-เ/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[11] นภาพร อติวานิชยพงศ์, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงานไทย’ (ประชาไท, 12 ตุลาคม 2557) <https://prachatai.com/journal/2014/10/55959> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564

[13] สุภชาติ เล็บนาค, ‘จากคุกถึงคุก: กระบวนการ(อ)ยุติธรรรม สามารถทำร้ายคนหนึ่งคนได้มากแค่ไหน’ (The Momentum, 17 เมษายน 2564) <https://themomentum.co/lostinthought-fromjailtojail/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

เผด็จการที่หยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ขบวนการสิทธิแรงงานที่หยุดการเติบโตโดยอำนาจเผด็จการ โดยเล่าย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 ได้เกิดปัญหาการนัดหยุดงานของกรรมกร และชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง โดยผู้ใช้แรงงานต่างเรียกร้องขอเพิ่มสวัสดิการต่างๆ หลักประกันการทำงาน และอัตราค่าจ้างงานขั้นต่ำรายวัน การเรียกร้องครั้งนั้นเป็นผลสำเร็จ เกิดการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ผลักดันให้มีการจัดตั้งองค์กรสหภาพแรงงานขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ฝ่ายที่สูญเสียประโยชน์ได้มีการโต้กลับ ที่เรียกปรากฏการณ์นั้นว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ภายในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้นำกรรมกรและชาวนาถูกลอบสังหารเป็นจำนวนมาก เกิดการปะทะจนทำให้กรรมกรหญิงอายุเพียง 15 ปีเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดการหยุดยั้ง และเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสิทธิแรงงานที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในบทความนี้จะย้อนไปดูเหตุการณ์ที่เป็นชนวนสำคัญและลักษณะของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ย้อนกลับไปช่วงสถานการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 นอกเหนือไปจากขบวนการนิสิต-นักศึกษาแล้ว กลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือ “กลุ่มผู้ใช้แรงงาน” ในนามของ สภาแรงงานแห่งประเทศไทย โดยได้ร่วมกับ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ที่คัดค้านสถานะภิกษุของ ‘จอมพลถนอม กิตติขจร’ และได้ขอให้รัฐบาลเนรเทศภิกษุถนอม กิตติขจรออกจากประเทศไทย[1] เมื่อในเวลาต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การสังหารหมู่กลางกรุงเทพฯ

ความขัดแย้งทางการเมืองนั้น นำมาสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้นำไปสู่การฟื้นชีพใหม่ของกลุ่มเผด็จการขวาจัด โดยมี ‘นายธานินทร์ กรัยวิเชียร’ (องคมนตรี) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การโอบอุ้มของคณะทหารในนามคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน[2] โดยภายหลังประชาชนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำกรรมกรต่างถูกกวาดล้าง ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้จำเป็นต้องหนีเข้าป่าเพื่อหลบซ่อนและเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

นับตั้งแต่เหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานนั้นมีความสำคัญและมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรวมกลุ่ม 3 ประสาน ระหว่างนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกร และขบวนการชาวนา 

ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2515 – 2517 นั้น ได้มีการนัดหยุดงานหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างและปรับปรุงสภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในช่วงกลางปี 2517 เมื่อคนงานกว่า 6 พันคนของโรงงานทอผ้าที่กรุงเทพฯ นัดหยุดงานประท้วงที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานเพราะขายของไม่ได้ ซึ่งนักศึกษาได้เข้าช่วยกลุ่มผู้ใช้แรงงานเหล่านี้โดยการตั้งองค์กรประสานขบวนการแรงงาน และผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งรัฐบาลในเวลานั้นได้ตอบสนองโดยการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ และเข้ามาไกล่เกลี่ยการนัดหยุดงาน และออกกฎหมายแรงงานใหม่ที่ยอมให้จัดตั้งสหภาพแรงงาน ให้มีกลไกเพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท[3] การร่วมมือกันของขบวนการ 3 ประสานนี้เอง ทำให้รัฐบาลเผด็จการฝ่ายขวาเองตระหนักถึงความแข็งเกร่งของกลุ่มทางสังคมเหล่านี้ ซึ่งทำให้ในเวลาต่อมารัฐบาลพยายามลดทอนอำนาจของกลุ่มทางสังคมต่างๆ

กระบวนการของเผด็จการในหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ภายหลังจากการรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น กลุ่มเผด็จการขวาจัดและคณะทหารได้ร่วมมือกันสกัดกั้นบทบาททางการเมืองของขบวนการแรงงาน โดยการลดทอนความแข็งแกร่งและทำลายคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ใช้แรงงานเพื่อไม่ให้สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ ดังนี้

ประการแรก:การรัฐประหารได้ทำลายขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสาน โดยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้นเพื่อต่อต้านการบริหารประเทศโดยรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวร่วมกัน 3 ฝ่าย โดยเป็นความสัมพันธ์ของ ขบวนการนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกรและขบวนการชาวนา ซึ่งร่วมกันต่อสู้และขับเคลื่อนการใช้สิทธิเรียกร้องต่างๆ ร่วมกัน[4] อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสานนั้นได้เสื่อมลงจากความพยายามใช้อำนาจทางการเมืองบีบบังคับให้ขบวนการดังกล่าวเสื่อมลง ทำให้ขบวนการแรงงานนั้นต้องพึ่งพาตนเองอย่างโดดเดี่ยวทางสังคมในระดับสูง

ประการที่สอง ค่าจ้างขั้นต่ำต้องถูกแช่แข็งนานมาก โดยค่าจ้างขั้นต่ำอัตราแรกนั้นจำนวน 12 บาทต่อวัน ที่บังคับใช้กับลูกจ้างกรรมกรตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2516 แต่ภายหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กระแสการเคลื่อนไหวของขบวนการ 3 ประสานนั้นได้ส่งผลต่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นสูงมากโดยปรับจาก 12 บาท มาเป็น 16 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2517 และในวันที่ 14 มิถุนายน 2517 ก็ปรับเป็น 25 บาท[5] ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วมาก  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการขวาจัดที่มีทหารหนุนหลังได้คุกคามและทำลายอำนาจต่อรองของขบวนการแรงงานในการเรียกร้องให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และแม้ในภายหลังจะสามารถเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้ในเวลา 2 ปีต่อมา แต่ก็เพิ่มด้วยอัตราที่ต่ำมาก โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2520 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 28 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท[6] จากในปี 2517

ประการที่สาม การยกเลิกองค์กรจัดตั้งและสหภาพแรงงาน ภายหลังจากการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 รัฐบาลเผด็จการได้ออกคำสั่งปฏิวัติยกเลิกกฎหมายแรงงานและสหภาพแรงงานเหมือนกับการรัฐประหารยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2501[7] โดยสหภาพแรงงานจึงมีสถานะกลายเป็นองค์กรเถื่อนที่ไม่มีกฎหมายรับรอง ทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะรัฐบาลใช้อำนาจรัฐเข้ามาควบคุม เช่น เมื่อมีการจัดประชุมจะต้องมีการขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ รวมถึงรัฐบาลได้ยกเลิกศูนย์ประสานงานกรรมกรแห่งชาติ และสภาแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้สหภาพแรงงานไทยอ่อนแอลง  

นอกจากนี้ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2519 คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ห้ามมิให้ร่วมกันหยุดงานหรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีสถานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและจะถูกควบคุมตัว[8]

ประการที่สี่ ออกกฎกระทรวงจำกัดสิทธินัดหยุดงานของลูกจ้างในกิจการบางประเภท[9] โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 23 ได้กำหนดห้ามกิจการ คือ การรถไฟ การท่าเรือ การโทรศัพท์ หรือ การโทรคมนาคม การผลิตหรือจำหน่ายพลังงาน หรือ กระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน การประปา การผลิต หรือการกลั่นน้ำมันเชื้องเพลิง กิจการโรงพยาบาล หรือ สถานพยาบาล และกิจกรรมอื่นที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นกฎกระทรวง ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้อาศัยอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดให้ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ในบางกิจการไม่มีสิทธินัดหยุดงาน ได้แก่ กิจการทุกประเภทของรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กิจการของวิทยาลัยเอกชนและของโรงเรียนราษฎร์ กิจการสหกรณ์ กิจการขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง

ประการที่ห้า การควบคุมการจัดตั้งสภาแรงงาน โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดให้การจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างต้องมีสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 15 แห่ง และต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งทำให้เกิดความยากในการจัดตั้งสภาแรงงาน[10]

ประการที่หก แยกรัฐวิสาหกิจออกจากแรงงานทั่วไป โดยการตรากฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่เฉพาะสำหรับรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[11]

สภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยยับยั้งการเติบโตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิแรงงานที่ถูกกระทบอย่างชัดเจนจากการขยายอำนาจทางการเมืองของระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผลกระทบต่อขบวนการแรงงานไทยภายหลังจากการรัฐประหารและความรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519


[1] สมยศ เชื้อไทย, คดีประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 : ใครคือฆาตกร (พี. เค. พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2531) น. 14-15.

[2] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, ‘อาชญากรรมคดี 6 ตุลา กับผลกระทบต่อขบวนการแรงงาน’ (2545) 33 วารสารสังคมศาสตร์, 81.

[3] คริส เบเคอร์และผาสุก พงษ์ไพจิตร, ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย (สำนักพิมพ์มติชน 2557) น. 284

[4] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 82

[5] เพิ่งอ้าง, 82

[6] เพิ่งอ้าง, 83

[7] เพิ่งอ้าง, 84

[8] คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ข้อ 1 และข้อ 2

[9] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 87

[10] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 88 – 89

[11] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 89

ความสัมพันธ์ของเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้เศรษฐกิจไม่ดี จริงหรือไม่ ? รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถจัดการเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ จริงหรือไม่ ? สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง

ปฏิสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมือง

‘ลิขิต ธีรเวคิน’ นักวิชาการรัฐศาสตร์คนสำคัญของประเทศไทยได้เคยอธิบายว่า การเมืองและเศรษฐกิจมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา (intertwine) อย่างแยกกันไม่ออก การเมืองอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และกลับกันเศรษฐกิจก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการเมืองหรือเศรษฐกิจนั้น โครงสร้างใดจะส่งผลต่ออีกโครงสร้างหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับในยุคสมัยใด ตัวแปรใดเป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง[1] ซึ่งในกรณีนี้หากเราลองย้อนเวลากลับไปพิจารณาสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแล้วเราอาจจะเห็นความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างชัดเจนผ่านบทเรียนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ 3 ประเทศ

กรณีประเทศอังกฤษ กรณีของประเทศอังกฤษนั้น เริ่มต้นจากการบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในมหากฎบัตรแมคนาคาตา (Magna Carta) เพื่อจำกัดพระราชอำนาจของพระเจ้าจอห์นในการจัดเก็บภาษี บริบทนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้อังกฤษก้าวไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย ผลของการเป็นประเทศประชาธิปไตยนี้เองได้เกิดการประกันสิทธิของประชาชนในทรัพย์สินจากการใช้อำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและใช้ทรัพย์สินแสวงหาประโยชน์สูงสุดให้กับตนเอง เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่การเกิดขึ้นของลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
กรณีประเทศฝรั่งเศส กรณีของประเทศฝรั่งเศส การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 (คริสตศักราช) นั้นมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจความเป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างทางสังคมเนื่องมาจากระบอบศักดินาเดิมของฝรั่งเศส สภาพเศรษฐกิจ   ในเวลานั้นชาวนาซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ 3 กลายเป็นผู้ต้องรับผิดชอบภาระภาษีทั้งหมดของประเทศ ทั้งๆ ที่ฐานันดรศักดิ์ที่ 3 นั้นยากจนเพราะถูกเอาเปรียบด้วยระบบศักดินาและมีรายได้จำกัดจากการทำการเกษตร แต่ฐานันดรศักดิ์ที่ 2 และที่ 1 กลับไม่ต้องรับภาระภาษีและโดยหลักการแล้วฐานันดรทั้งสองนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมากแท้ๆ   เมื่อเกิดภัยพิบัติและความอดอยากเกิดขึ้นทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความโกรธเกรี้ยวต่อการบริหารงานของรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงนำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 นั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศในที่สุด
กรณีประเทศรัสเซีย ในประเทศรัสเซียนั้นจากการบริหารประเทศของพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟนั้นมีสภาพที่เศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่กับชนชั้นสูง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสติดที่ดิน (serf) ตามระบอบการปกครองแบบศักดินาเดิมไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงพอในการดำรงชีวิต จึงนำไปสู่การปฏิวัติรัสเซียโดยพรรคบอลเชวิกโค่นล้มพระเจ้าซาร์นิโคลัสในที่สุด

เมื่อพิจารณากรณีศึกษาข้างต้นหลายกรณีจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายประการนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายกรณีนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นไม่เสมอไปที่จะต้องนำไปสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตย บางกรณีนั้นอาจนำไปสู่ระบอบการปกครองแบบเผด็จการก็ได้เช่นกัน เช่น กรณีของประเทศรัสเซีย ซึ่งเมื่อมีการปฏิวัติและโค่นล้มระบอบการปกครองโดยพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบการปกครองแบบเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

ฉะนั้น แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสมอ สิ่งที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มาสนับสนุนทางเลือกของสังคมที่จะกำหนดว่าจะใช้ระบอบการเมืองแบบใดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองในเวลานั้นๆ สนใจ เช่น ในช่วงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศรัสเซียนั้น ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในเวลานั้นมีความเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเชื่อมั่นในการจัดการทรัพยากรโดยร่วมกันของประชาคมโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นศูนย์กลางของประชาคม

ด้วยเหตุประการนี้เอง ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ จึงเชื่อว่าควรจะปกครองประเทศโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ตัดสินใจหลักในทางการเมืองและเป็นองค์กรสูงสุดในการตัดสินใจทางการเมือง เป็นต้น

การใช้ระบอบเผด็จการนำมาสู่ปัญหา เพราะการที่รัฐเข้ามาผูกขาดการดำเนินการทางเศรษฐกิจเองก็ทำให้เกิดการไม่กระจายตัวของรายได้อย่างเพียงพอ และรัฐไม่มีข้อมูลสมบูรณ์พอที่จะดำเนินการทางเศรษฐกิจได้ การเข้าผูกขาดทางเศรษฐกิจของรัฐเองจึงทำให้บ่อยครั้งที่รัฐดำเนินแผนการทางเศรษฐกิจผิดพลาด ลักษณะข้อนี้เองก็เป็นผลที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและจีนในเวลาต่อมาที่รัฐเซียต้องทลายม่านเหล็กลงและเริ่มใช้นโยบายใหม่ในยุคของ ‘มิคาอิล กอบอชอฟ’ ซึ่งใช้กลัสนอสต์และเปเรสตรอยก้า หรือประเทศจีนที่เมื่อ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ เข้ามาบริหารประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยการเปิดรับนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมากขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจในบริบทโลก

ในบริบทโลกนั้นความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเหตุได้ชัดจากกรณีศึกษาต่างๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเทศที่ปกครองโดยประชาธิปไตยโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นประเทศที่มี GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ของประชาชนในประเทศค่อนข้างสูง[2] เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการหรือระบอบผสมแล้วจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน (ภาพที่ 1 และภาพที่ 2)

ภาพที่ 1 แสดงดัชนีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ที่มา:  The 2020 Economist Intelligence Unit Democracy Index map, Improved by Wikipedia.

ภาพที่ 2 แสดง GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita)

ที่มา:  Wikipedia.

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแต่ GDP แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียแม้จะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยอาจมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ประเทศอินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่ GPD เฉลี่ยต่อหัวต่ำ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำและความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนที่เป็นระบอบการปกครองค่อนไปทางเผด็จการแต่มี GDP ต่อหัวสูงกว่า 

นอกจากนี้ ในบางประเทศที่แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการแต่หากเกิดเหตุการณ์เฉพาะบางอย่างขึ้นมาก็สามารถทำให้รายได้ต่อหัวของประชากร (GDP เฉลี่ยต่อหัว) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีประเทศสาธารณรัฐอิเควทอเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการ โดยในกลางทศวรรษ 1990 (นับตามแบบคริสตศักราช) จนถึงปี 2010 (2553) นั้นมีรายได้ต่อหัวมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการค้นพบแหล่งแร่มีค่าที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีมากขึ้น[3]

หรือในบริบทของประเทศจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจเศรษฐกิจของประเทศจีนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ส่วนหนึ่งประเทศจีนก็มีบริบทเฉพาะของตัวเองทั้งในแง่ของการเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และเป็นฐานการบริโภคขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งก็เป็นบริบทพิเศษเฉพาะของประเทศจีน เป็นต้น

แม้ว่า GDP ต่อหัวจะไม่สามารถนำมาใช้ในแง่ของการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศประชาธิปไตยจะมีเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศเผด็จการ แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าโดยส่วนใหญ่ประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นค่อนข้างจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า

ในขณะเดียวกันด้วยระบอบการปกครองที่ต้องให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดแล้ว แนวโน้มที่นโยบายทางเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญกับประชาชนต้องมาที่หนึ่งน่าจะมากกว่าประเทศเผด็จการที่อาจจะไม่สนใจประชาชนจะเป็นอย่างไร เพียงแต่คิดว่าได้ทำเพื่อประชาชนแล้วโดยไม่สนใจว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นดีจริงหรือไม่

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่มีพื้นหลังมาจากเรื่องทางเศรษฐกิจ

ในลักษณะเดียวกันกับบริบทของต่างประเทศที่เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา ในบริบทของสังคมไทยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่มีผลสำคัญให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตัวแปรที่มีปฏิสัมพันธ์ไขว้กันอย่างแยกไม่ออกของเศรษฐกิจและการเมือง[4]

เมื่อพิจารณาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นั้น ‘ปรีดี พนมยงค์’ สมาชิกคนสำคัญและเปรียบเป็นมันสมองของคณะราษฎรนั้น ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยไว้ว่า

สังคมมนุษย์ทุกสังคมประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ประการแรก คือ เศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐาน (โครงสร้างเบื้องล่าง) ของสังคม ประการที่สอง คือ การเมือง ซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนของสังคม โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบแก่กันและกัน  และ ประการที่สาม คือ ทรรศนะทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดจิตใจอย่างหนึ่งของคนในสังคม และเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”[5]

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเป็นไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของปรีดีว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[6]

ผลของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจะเห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นในสังคมไทย (ภาพที่ 3) และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศที่มีความยากลำบากจากโครงสร้างทางสังคมในช่วงก่อนหน้านี้

ภาพที่ 3 เปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคมก่อนและหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475

Table

Description automatically generated

ที่มา:  ลิขิต ธีรเวคิน.

เมื่อคณะราษฎรเข้ามาบริหารประเทศก็ได้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจสำคัญตามหลัก 6 ประการ ที่ได้ประกาศไว้ ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ก็เกิดชนชั้นกลางในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนนี้ก็คือเศรษฐกิจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 

นอกจากนี้ ในทางสังคมการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยทำให้เกิดอัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้นตามนโยบายของคณะราษฎร ซึ่งการเพิ่มจำนวนของผู้รู้หนังสือนั้นมีความสำคัญต่อการเมืองของประเทศไทย ผลผลิตของการเกิดขึ้นของชนชั้นใหม่ และนโยบายทางการศึกษาที่คณะราษฎรได้สร้างไว้ทำให้เกิดกลุ่มนิสิตนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการต่อต้านระบบเผด็จการทหาร[7]

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างใกล้ชิด และบ่อยครั้งความสัมพันธ์ทั้งสองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งดังปรากฏให้เห็นมาแล้วในบทเรียนทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งระบอบการเมืองในบางเวลาก็มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และระบบเศรษฐกิจก็มีผลต่อระบอบการเมือง


เชิงอรรถ

[1] ลิขิต ธีรเวคิน, ‘ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ’ 1 (1) วารสารวิทยาการจัดการ <https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/113874/88457&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[2] แม้ว่า GDP จะไม่ได้เป็นดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศนั้นๆ แต่ในด้านหนึ่งการนำตัวเลขจีดีพีนี่แหละมาหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด เป็นตัวเลขกลางๆ ที่จะบอกว่าคนในชาตินั้นโดยเฉลี่ยแล้วผลิตสินค้าหรือบริการมูลค่าเท่าไหร่ต่อปี ซื่งสามารถอธิบายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ได้ในระดับหนึ่ง โปรดดู รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, จีดีพี ดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดี, https://themomentum.co/beyond-gdp/

[3] วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร, เศรษฐกิจสามสี – เศรษฐกิจแห่งอนาคต (บริษัท บุ๊คสเคป จำกัด 2563) 45 – 46

[4] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[6] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150

[7] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

สไลด์การนำเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา

สไลด์ประกอบการนำเสนอรายงานของคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา โดยคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสุรา (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ) ต่อคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 14 กันยายน 2564 ทางการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ (Zoom meeting)

Stakeholder Capitalism: เมื่อทุนนิยมไม่ได้เห็นแค่กำไรสูงสุด แต่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก่อนหน้าการระบาดครั้งใหญ่ของเชื่อไวรัส Covid-19 ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมใหญ่ World Economic Forum ณ เมืองดาโวส ประเทศสมาพันธรัฐสวิส โดยในวงสนทนาหนึ่งของการประชุมครั้งนี้ได้มีการตั้งประเด็นว่า ทุนนิยมนั้นจะต้องทำเพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับเจ้าของธุรกิจเสมอไปหรือไม่ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพูดถึงแนวคิดของ “ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย” (Stakeholder Capitalism) ซึ่งหากพิจารณาเพียงแค่ถ้อยคำว่า “ทุนนิยม” และ “ผู้มีส่วนได้เสีย” คำทั้งสองคำนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เท่าไร แต่ในบทความนี้จะได้อธิบายว่าทุนนิยมนั้นสามารถไปได้กับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคืออไร

ในภาพและความเข้าใจของเราเมื่อพูดถึงทุนนิยมแล้ว ภาพที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นภาพของบริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กหรือผูกขาดการประกอบกิจการ หรือหากเป็นผู้ที่มีมุมมองทางเศรษฐกิจแบบมาร์กซิสม์ก็อาจจะเห็นภาพพีระมิดระบบทุนนิยม (Pyramid of Capitalist System) ภาพดังกล่าวอาจจะดูเป็นอคติต่อระบบทุนนิยมและทำให้ระบบทุนนิยมกลายเป็นตัวร้าย (ซึ่งอาจมีบางกรณีที่ความคิดเช่นนั้นอาจถูกต้อง) ทุนนิยมที่จะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็ต่อเมื่อทุนนิยมนั้นปราศจากการแข่งขัน  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบทบาทของการแข่งขันได้ลดน้อยลงไปเนื่องมาจากบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้ใช้กลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและดึงเอาบริษัทคู่แข่งมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตนเอง ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง ฉะนั้น โดยสภาพแล้วทุนนิยมจึงไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่เลวร้ายไปทุกกรณี การแข่งขันที่ลดลงต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ทุนนิยมกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย และจำเป็นต้องระงับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ลดลง

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยมซึ่งบริษัทต่าง ๆ ยังคงแสวงหากำไรอยู่ แต่นอกเหนือไปจากกำไรแล้วก็คือการสร้างมูลค่าในระยะยาวโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดและสังคมโดยรวมทั้งหมด วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคือ การสร้างมูลค่าของธุรกิจในระยะยาว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน ผู้ถือหุ้น และชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น การประกอบธุรกิจแบบทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจึงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (เจ้าของกิจการ) กับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ โดยการปรับผลกำไรระยะสั้นให้เหมาะสมกับผู้ถือหุ้น

พัฒนาการของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย

แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับทุนนิยมนั้นส่วนใหญ่มักจะมีผู้อ้างถึงแนวคิดของ มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อดัง ซึ่งอธิบายว่า บริษัทมีหน้าที่สำคัญคือการสร้างกำไรเพื่อตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากการบริหารงานของบริษัทนั้นก็เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อผผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัท  อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1950 และ 1960 จากการที่ประเทศตะวันตกเริ่มเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผู้มีส่วนได้เสีย (ชุมชน) โดยเฉพาะในบริบทที่บริษัทมีความสัมพันธ์กันกับชุมชนที่บริษัทนั้นดำเนินกิจการอยู่ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับและขยายไปสู่ประเทศยุโรปเหนือและประเทศยุโรปตะวันตก เช่น สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และเยอรมนี เป็นต้น แนวคิดเช่นนี้เองทำให้เกิดระบบไตรภาคีของการร่วมกันระหว่างบริษัท ลูกจ้าง และรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดรัฐสวัสดิการที่บริษัทและลูกจ้างร่วมกันจ่ายเงินสมทบเพื่อให้เกิดสวัสดิการให้กับลูกจ้าง

ในทางตรงกันข้ามการที่บริษัทเน้นผลการสร้างผลกำไรตอบแทนผู้ถือหุ้นมากเท่าไรและคลายความสัมพันธ์กับชุมชนและรัฐบาลลง เพื่อสร้างมูลค่าในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลายของบริษัทนั้นก็อาจจะได้รับผลกระทบในทางอ้อม ซึ่งแนวคิดเช่นนี้เอง โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph E. Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคนจึงเสนอให้แทนที่ความสำคัญของการตอบแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วยการเน้นสร้างมูลค่าระยะยาวแทนในขณะที่บริษัทยังคงสร้างผลกำไรตอบแทนการลงทุนของผู้ถือหุ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็บริษัทก็ควรเปิดกว้างให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่มีการหลอกลวงหรือการฉ้อโกง

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมีไอเดียที่แตกต่างไปจากการทำ CSR ขององค์กรธุรกิจพอสมควร แม้ในบางบริบทเรื่องทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกัน เพราะทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมิได้มีความตระหนักเพียงแค่การปรับภาพลักษณ์ขององค์กรเท่านั้น แต่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นเรื่องของการพัฒนาวิธีคิดและนโยบายขององค์กรที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมที่บริษัท/ธุรกิจนั้นตั้งอยู่ ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมโดยรอบของบริษัท/ธุรกิจนั้นดีขึ้นผลพลอยได้ก็คือบริษัท/ธุรกิจนั้นย่อมได้รับผลดีขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มาจากรูปแบบของผลกำไร

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียกับแนวทางการทำให้เกิดขึ้นจริง

การจะรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์โดยรวมของสังคมที่ดีขึ้นได้นั้น การอาศัยแต่แนวคิดแบบทุนนิยมดั้งเดิมจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ผู้บริหารของบริษัท/ธุรกิจสมัยเองก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประเด็นของสังคมเหล่านี้ และในการเริ่มต้นเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีขึ้นได้นั้นโดยการนำแนวคิดแบบทุนนิยมแบบผู้มีส่วนได้เสียมาใช้แบบรูปธรรมนั้นอาจดำเนินการโดยวิธีการต่างๆ ดังนี้

  • การจ่ายค่าจ้างที่ยุติธรรม
  • ลดอัตราค่าจ้างพนักงานระดับสูงหรือผู้บริหารลงเพื่อเพิ่มค่าตอบแทนหรือสวัสดิการให้พนักงานระดับล่าง
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำงาน
  • ดำเนินการทางภาษีอย่างตรงไปตรงมาและหลีกเลี่ยงการเลี่ยงภาษี
  • การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการต่อผู้บริโภค
  • การมีความซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อนโยบายบริษัทภิบาลอย่างเคร่งครัด
  • การส่งเสริมและร่วมมือกับชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนา
  • การป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะทำให้ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียสำเร็จได้นั้นประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก การโน้มน้าวผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัทให้ยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่มีความท้าทายที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องการก็คือผลกำไรจากการประกอบกิจการ หากการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเช่นนี้จะทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง ผู้ถือหุ้นเองอาจจะไม่พอใจกับการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันก็อาจะมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจหากธุรกิจดังกล่าวยังพอสร้างกำไรให้กับการลงทุนได้บ้าง ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมด้วย

ประการที่สอง กฎระเบียบของรัฐบาล ซึ่งหากบริษัท/ธุรกิจดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านแล้ว แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจากรัฐบาล ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจที่ไม่สนใจต่อผู้มีส่วนได้เสียกลับสร้างกำไรให้กับการลงทุนและประหยัดต้นทุนจากการทำเพื่อสังคมได้ ในบริบทเช่นนี้ย่อไม่มีใครอยากดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างแน่นอน ดังนั้น ในแง่นี้รัฐบาลอาจจะมีการให้แรงจูงใจหรือการสนับสนุนโดยใช้มาตรการทางภาษีเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ

อาจจะกล่าวได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมองสังคมโดยรวมตามหลักภราดรภาพนิยมคือ มองสังคมทั้งหมดเป็นเสมือนพี่น้องที่ร่วมทุกข์รวมสุขกัน ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการสามารถส่งต่อไปสู่คนทุกคนในสังคมได้ผ่านการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ สังคมจะเป็นสังคมที่ดีได้นั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบทบาทของบริษัท/ธุรกิจก็มีความสำคัญ ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจแบบเดิมที่เน้นสร้างประโยชน์หรือผลกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียวนั้ผนอาจจะไม่ใช่กระแสนิยมของยุคนี้สักเท่าไรแล้ว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจะเกิดขึ้นและให้ผลดีกับสังคมได้นั้นในบริบทของประเทศไทยก็อาจจะยังไม่พร้อมขนาดนั้น


อ้างอิง

โลกของวาย

ชื่อหนังสือ: โลกของวาย

ผู้เขียน: ภูวิน บุญยะเวชชีวิน และณัฐธนนท์ ศุขถุงทอง

สำนักพิมพ์: สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


“โลกของวาย” เป็นหนังสือเล่มไม่หนาเท่าไร โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือพูดถึงการนำเสนอ “วาย” (ความสัมพันธ์แบบชายรักชาย)ในวัฒนธรรมประชานิยม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโลกของวายในวัฒนธรรมประชานิยมนั้นมีลักษณะเป็นโลกแห่งจินตนาการมากกว่าจะเป็นโลกของความเป็นจริง ซึ่งเหตุดังกล่าวนั้นมีที่มาที่ไปที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวไว้

จุดเริ่มต้นของ “สื่อวาย” (Y[aoi] media) นั้นมีขนบมาจากสื่อบันเทิงแนวบอยเลิฟญี่ปุ่น (Japanese boys love) หรือ บีแอล (BL) ซึ่งส่วนใหญ่ปรากฏในรูปแบบของมังงะ (manga) หรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่ ฉะนั้น โดยรากฐานโดยแท้จริงของสื่อที่เรียกว่า “แนววาย” (Y genre) จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนมุมมองของความสัมพันธ์แบบคนรักเพศเดียวกันในโลกของความเป็นจริง ทำให้เนื้อเรื่องแนววายมีลักษณะน่าสนใจ ดังนี้

  1. ตัวละครหลัก (พระเอกและนายเอก) เป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงาม แม้ว่าในความเป็นจริงตัวละครนั้นจะมีอายุหรือเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนก็ตามตัวละครหลักก็จะมีดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงจะล่วงเลยไปจากวัยเด็กหนุ่มแล้วก็ตาม
  2. ตัวละครหลักนั้นมีบทบาทที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางเพศ (sex role) ในความสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบทบาทของความสัมพันธ์ทางเพศเท่านั้น แต่ในบางกรณีบทบาททางเพศนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านบุคลิกลักษณะของตัวละครว่า ตัวละครใดเป็นฝ่ายรุกหรือรับในความสัมพันธ์
  3. เนื้อเรื่องแนวบอยเลิฟญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญเรื่องเล่า (narrative) บนขนบแบบโรมานซ์ (romance) คือ โดยตั้งหลักความรักให้เป็นนิรันดร์และเป็นเส้นชัยของทุกสิ่งทุกอย่าง เสมือนความรักเป็นศาสนา
  4. เนื้อเรื่องไม่ได้สะท้อนจุดยืนหรือความสัมพันธ์ของความรักแบบคนเพศเดียวกันบนการเมืองของญี่ปุ่น
  5. แนววายของประเทศญี่ปุ่นกลุ่มเป้าหมายหลักของเนื้อเรื่องในแนวนี้ คือ ผู้หญิงที่มีเพศวิถีแบบรักต่างเพศ สื่อบันเทิงแนววายจึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้หญิง ซึ่งมีเพศวิถีแบบรักต่างเพศ

แนววายของญี่ปุ่นจึงเป็นการสะท้อนอุดมคติของความรักอันสูงส่ง ความปรารถนา และชายอันเป็นที่รักของผู้หญิงที่มีรักต่างเพศ การ์ตูนวายจึงไม่ต่างอะไรกับการเอาหญิงสาวมาส่วมใส่เครื่องแต่งกายผู้ชาย

ผลของการที่แนววายของประเทศไทยนั้นเป็นของที่รับเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้แนววายของไทยโดยพื้นฐานนั้นไม่แตกต่างจากบริบทของประเทศญี่ปุ่นมากเท่าไร อย่างไรก็ตาม หนังสือโลกของวายได้นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจของวายไทย

  1. วายไทยเป็นโลกของจินตนาการที่แยกความเป็นจริงกับจินตนาการโดยสร้างบทบาทที่เป็นอิสระและไม่ตกอยู่ภายใต้กรอบจารีตหรือวัฒนธรรม​สังคมใดๆ
  2. วายไทยสร้างขึ้นมาแบบศาสนาบูชาความรัก และเป็นความรักบริสุทธิ์​เหนือความโรแมนติกแบบชายหญิง เพราะไม่ได้ยึดติดด้วยความรู้สึกทางเพศ (ถ้าไม่ได้ขายเซอร์วิส)​ หรือพรหมจรรย์
  3. วายไทยอยู่เหนืออประเด็นเรื่องเพศสภาพ ตัวละครไม่ต้องแสดงออกเรื่องเพศสภาพใดๆ (กลับไปที่ข้อ 1.)
  4. วายไทยวางความรักโรแมนติกเหนือสถาบันครอบครัวภายใต้กฎหมาย การสมรสตามกฎหมายจึงไม่จำเป็น (ประเด็นนี้ทำให้วายไทยไม่ใช่พื้นที่ต่อสู้ของ LGBTQs)
  5. ในลักษณะเช่นเดียวกับญี่ปุ่นวายไทยเป็นพื้นที่แสดงออกของอำนาจทางการเมืองของผู้หญิง ภายใต้กรอบสังคมชายเป็นใหญ่ ตัวละครนายเอกจึงไม่ต่างจากตัวละครผู้หญิงที่สวมอาภรณ์​เป็นผู้ชาย
  6. วายไทยมีลักษณะถูกทำให้เป็นสินค้า ซึ่งอาจจะดีกับการเปิดพื้นที่ให้กับ LGBTQs​ ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายวายเป็นเพียงการขีดเส้นทางสังคมขึ้นมาใหม่เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทสื่อเอเชีย และก็ยังแพ้แรงต้านของอนุรักษ์นิยม
  7. ท้ายที่สุดวายไทยโดนส่วนมากยังยึดติดกับ Role ของตัวละครที่ต้องมีบทบาทตายตัว

ตลอดหนังสือเล่มนี้ยังประเด็นอีกมากมายที่เกี่ยวกับโลกของวายที่หนังสือเล่มนี้ได้ทำให้ “โลกของวาย” เป็นหนังสือที่พยายามทำให้ “โลกแห่งจินตนาการ” เข้าสู่ “โลกทางวิชาการ”

รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม

ชื่องานศึกษา: รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม

ผู้ศึกษา: คณะทำงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา. (2567). รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา.

คณะทำงานพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการประกอบบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน ภายใต้คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดินได้จัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น โดยรวบรวมผลการศึกษา ข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม