PDPA มีผลใช้บังคับแล้ว ถอดบทเรียนการเตรียมความพร้อมและชวนภาครัฐสำรวจความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมาย

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA เริ่มมีผลใช้บังคับวันนี้ภายหลังจากเลื่อนการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 2 ปี[1] ความสำคัญของ PDPA คือ การยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาพรวม เนื่องจาก PDPA มุ่งหมายใช้กับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคนธรรมดาทุกประเภทโดยไม่จำกัดว่า การเก็บข้อมูลนั้นจะเป็นดิจิทัลหรือกระดาษ การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยบุคคลธรรมดา หน่วยงานของรัฐ องค์ธุรกิจเอกชน หรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

เมื่อพิจารณาในส่วนของภาครัฐซึ่งมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก และเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐจึงมีความสำคัญ ซึ่งในอดีตการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐจะเป็นไปตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 แต่ในปัจจุบันการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาครัฐจะต้องยกระดับขึ้นมาตาม PDPA ไปด้วย คำถามสำคัญคือ ภาครัฐมีความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA แล้วหรือไม่

1. บทสำรวจความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ของภาครัฐ

สถานการณ์การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตาม PDPA นั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้เคยทำการสำรวจเอาไว้ในปี พ.ศ. 2561 

หน่วยงานของรัฐอาจไม่คุ้นเคยกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจะเห็นว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน้าที่ของสำนัก/กอง/กลุ่ม/แผนกหนึ่งในหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบ[2] เช่น สำนักเทคโนโลยี เป็นต้น อีกทั้งหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ยังไม่มีนโยบายการปรับเปลี่ยนภายในองค์กรเพื่อรองรับการปฏิบัติตาม PDPA[3] อาทิ การเตรียมกระบวนการเพื่อแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ทราบเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การจัดเตรียมช่องทางการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดบุคคลที่จะปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer: DPO) หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้อำนาจของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ความไม่พร้อมสำคัญของภาครัฐก็คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ดังจะเห็นได้ว่า ภายหลัง PDPA ถูกประกาศใช้หน่วยงานของรัฐบางแห่งก็ยังมีข้อจำกัดด้านระบบ รวมถึงยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะเห็นได้ว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2564 มีการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐถึง 5 ครั้ง[4] ซึ่งเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นความกังวลสำคัญในภาครัฐเนื่องจากภาครัฐมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก แต่หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งมีการใช้เทคนิคและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ปลอดภัยไปจนถึงหน่วยงานของรัฐที่ไม่มีระบบที่ทันสมัยเพียงพอกับการรับมือกับการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจเกิดการรั่วไหลหรือถูกโจมตีต่อระบบคอมพิวเตอร์ได้ หรือในกรณีที่เก็บรักษาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์สำนักงานโดยไม่มีการตั้งรหัสการเข้าถึงข้อมูล (access control) อาจทำให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่จำเป็น[5]

2. ถอดบทเรียนการเตรียมความพร้อมของภาครัฐในการปฏิบัติตาม PDPA

จากการได้มีโอกาสพูดคุยและเข้าไปช่วยแนะนำการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามPDPA พบว่า ปัญหาของหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตาม PDPA มีอยู่ 3 ปัญหา ดังนี้

หน่วยงานของรัฐไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ตาม PDPA

ในการปฏิบัติตาม PDPA ของภาครัฐขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้คือ การทำความเข้าใจบทบาทของภาครัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลว่ามีหน้าที่ใดต้องปฏิบัติตามบ้างตาม PDPA ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลายหน่วยงานอาจจะได้เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ไปบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐแรกๆ ที่ได้ดำเนินการปฏิบัติตาม PDPA และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นๆ โดยการทำเทมเพลตเอกสารในการปฏิบัติตามกฎหมาย

อย่างไรก็ดี หลายหน่วยงานในภาครัฐยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA โดยการทำเพียงเอกสารตามกฎหมายเท่านั้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการทำงานเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัญหาในตอนท้ายและไม่บรรลุเป้าหมายของ PDPA  ฉะนั้น การทำความเข้าใจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความสำคัญ

ในส่วนของบทบาทหน้าที่ของภาครัฐในการปฏิบัติตาม PDPA ที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน ในกรณีที่จะต้องเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ภาครัฐควรจะต้องมีการแจ้งให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชสามารถใช้สิทธิของตนเองได้ตามกฎหมาย

หน่วยงานของรัฐขาดแนวทางในการปฏิบัติตาม PDPA

ในการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA หน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ประสบปัญหาคล้ายๆ กันคือ ความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในการปฏิบัติตาม PDPA ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดมาจากการขาดแนวปฏิบัติ (guidelines) ที่วางแนวทางให้กับหน่วยงานของรัฐ ทั้งในแง่ของการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA และอธิบายบทบัญญัติของ PDPA ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะตัวพระราชบัญญัติแล้วจะเห็นเพียงหลักการ แต่ไม่เห็นแนวทางในการปฏิบัติตาม

ในส่วนของแนวทางการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ในภาครัฐ อาจแบ่งขั้นตอนในการเตรียมความพร้อมได้เป็น 5 ขั้นตอน[6] ดังนี้

  • การเตรียมตัวเบื้องต้น การปฏิบัติตาม PDPA ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทั้งองค์กรต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ขั้นตอนนี้จึงเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันของเจ้าหน้าที่ภายในองค์กรทั้งในระดับผู้บริหารลงมาถึงระดับปฏิบัติการ/ปฏิบัติงาน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเปิดทางไปสู่การเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ด้านอื่นๆ
  • การสำรวจภายในองค์กร การจะปฏิบัติตาม PDPA ให้มีประสิทธิภาพหน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องรู้จักการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลภายในองค์กรของตนเป็นอย่างดี เพื่อจะได้ทราบว่าภายในองค์กรมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในกิจกรรมใดบ้าง
  • การลงรายละเอียดแผนงาน ในขั้นตอนนี้จะเป็นการพิจารณาลงในรายละเอียดว่า ในแต่ละกิจกรรมที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีข้อมูลใดบ้าง และข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภทมีความเสี่ยงอย่างไรบ้างถ้าหากมีการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
  • การปิดช่องว่าง ขั้นตอนนี้เป็นการปิดช่องว่างของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย และการจัดแนวทางในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในอนาคต โดยอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของหน่วยงานของรัฐ และการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในบางกิจกรรมที่ไม่จำเป็น
  • การจัดเตรียมเอกสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนในการจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติตาม PDPA อาทิ การจัดทำ Privacy Notice เพื่อแจ้งการรายละเอียดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล การจัดทำ Privacy Policy สำหรับการแสดงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาพรวมขององค์กร การจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Record of Processing Activity: RoPA) และเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเห็นได้ว่า กระบวนการนี้เป็นกระบวนการท้ายๆ ในการปฏิบัติตาม PDPA แต่ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่นั้นมักจะเริ่มต้นจากการทำตามเทมเพลตต้นแบบ
  • การสืบสาน รักษา และต่อยอด ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวางระบบตามกรอบ PDPA โดยหน่วยงานของรัฐ โดยหน่วยงานของรัฐจะต้องพยายามสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ PDPA ให้อยู่ในองค์กร โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนในองค์กรควรมีการตระหนักเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปิดช่องว่างที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงจะต้องมีการติดตามผลคอยปรับปรุงระบบที่วางไว้

ปัญหาการขาดความมั่นใจในการเลือกฐานทางกฎหมาย

สิ่งหนึ่งที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องปฏิบัติตาม PDPA ก็คือ การเลือกฐานในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีของภาครัฐหน่วยงานของรัฐก็ต้องมีหน้าที่จะต้องเลือกฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่า ภารกิจหรือกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนจะต้องใช้ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาบทบัญญัติในมาตรา 19[7]และมาตรา 24[8] 

ซึ่งหากพิจารณาเพียงผิวเผินอาจจะทำให้เข้าได้ว่า กฎหมายห้ามมิให้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้เกิดปัญหามากกับหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจหรือกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องเก็บจากบุคคลเป็นจำนวนมากตลอดพื้นที่ เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร หรือฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น จะสามารถขอความยินยอมได้อย่างไร

ในความเป็นจริงแล้ว PDPA ได้กำหนดฐานการประมวลผลที่เหมาะสมสำหรับหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามกฎหมายที่ให้อำนาจ และเพื่อการประโยชน์ในการจัดทำบริการสาธารณะเอาไว้ โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐไม่ต้องขอความยินยอมตาม PDPA ก็สามารถเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้[9]

นอกจากนี้ ในกรณีอื่นๆ หน่วยงานของรัฐก็อาจจะอาศัยฐานในการประมวลผลอื่นๆ เพื่อเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ นอกเหนือจากการใช้ฐานความยินยอม ได้แก่ ฐานสัญญา ฐานสถิติ เอกสารประวัติศาสตร์ และจดหมายเหตุ ฐานป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่ง PDPA รับรองเอาไว้

เมื่อพิจารณาแนวทางทั้งหมดแล้วท้ายที่สุด ต้องเน้นย้ำกับภาครัฐเสมอในการปรับตัวตาม PDPA ของภาครัฐคือ การตระหนักถึงบทบาทของภาครัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และพยายามสร้างความโปร่งใสในกรณีที่ต้องมีการเก็บรวบรวมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยควรจะต้องให้ประชาชนรับรู้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการควบคุมสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง


เชิงอรรถ

[1] ครั้งที่ 1 พระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ประกาศเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 และในครั้งที่ 2 พระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ประกาศเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564.

[2] สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, รายงานผลการสำรวจการเตรียมความพร้อมหน่วยงานในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี 2561 (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 2561) 110.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] พสิษฐ์ คงคุณากรกุล. ‘ย้อนรอยเหตุ ‘ข้อมูลเสี่ยงรั่ว-รั่วไหล’ ขององค์กรในไทย จากทั้งปี 64 ถึงกรณี TCAS’ (The Standard, 4 กุมภาพันธ์ 2565) สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2565.

[5] วิชญาดา อำพนกิจวิวัฒน์, ‘ระบบ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ที่ดี รัฐต้องมี ‘คน’ ที่พร้อม’ (TDRI, 27 สิงหาคม 2564)  สืบค้นเมื่อ 6 มิถุนายน 2565.

[6] ดู กิรติพงศ์ แนวมาลี เขมภัทร ทฤษฎิคุณ และคณะ, แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2564) 8 – 14.

[7] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 19  

ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะกระทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนหรือในขณะนั้น เว้นแต่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้กระทำได้.

[8] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 24

ห้ามมิให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่

(1) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์หรือจดหมายเหตุเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยหรือสถิติซึ่งได้จัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล  ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

(2) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล

(3) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น

(4) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

(5) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(6) เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

[9] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 24 (4).

การพัฒนาที่ยั่งยืนกับความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของสังคมในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของความขัดแย้งและการใช้ทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลายมาเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน ถูกนำมาพูดถึงในเวทีสาธารณะทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ โดยในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) สมัชชาสหประชาชาติได้ร่วมกันกำหนด “เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยประกอบไปด้วยเป้าหมายสำคัญ 17 ประการ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน และมีเจตจำนงที่จะให้เป้าหมายทั้ง 17 ประการ สามารถบรรลุได้ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573)

เมื่อพิจารณาเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้วจะเห็นได้ว่า เป้าหมายโดยส่วนใหญ่นั้นมีการพูดถึงความยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากร โดยช่วยให้สมาชิกในสังคม (ประเทศ) สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้[1] เช่น เป้าหมายที่ 1 การขจัดความยากจนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดหรือที่ใดก็ตาม หรือ เป้าหมายที่ 2 การขจัดความอดอยาก โดยยุติความหิวโหย บรรลุเป้าความมั่นคงทางอาหาร การปรับปรุงด้านการโภชนาการและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งเป็นความพยายามที่จะรักษาความยุติธรรมในสังคม

ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

“การสร้างความยุติธรรมในสังคม” เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในการจะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้นั้นความยุติธรรมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากสังคมไร้ซึ่งความยุติธรรมแล้วสังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย[2] ซึ่งความยุติธรรมที่กล่าวถึงนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เพียงความยุติธรรมในทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม แต่รวมถึงความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรด้วย ซึ่งการเข้าถึงทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีวิตได้แล้ว ก็จะนำไปสู่ข้อจำกัดในการใช้สิทธิอื่นๆ

ในอดีตภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม สิ่งแรกที่คณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ได้ย้ำเตือนความสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่มาก่อนหน้าการอภิวัฒน์[3]

เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนา คือ การสร้างความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรระหว่างคนในสังคมอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม วิธีคิดดังกล่าวนั้นเป็นรากฐานสำคัญของยุคที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายๆ เรื่อง เช่น การสร้างระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐาน (รัฐสวัสดิการ) การชดเชยให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในนโยบายการพัฒนา การสนับสนุนการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้พิการ หรือการยอมรับสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรหรือใช้สิทธิของตนได้อย่างเท่าเทียมกันบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ดี การพิจารณาความยุติธรรมในลักษณะดังกล่าว เป็นเรื่องของ ความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบัน หรือ ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (intragenerational justice)[4]

อย่างไรก็ดี การพิจารณาเฉพาะความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบันนั้นอาจจะไม่เพียงพอกับปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพูดถึงในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ทรัพยากรธรรมชาติ” โดยแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา (intergenerational justice) นี้ หมายถึง การคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรในช่วงเวลาปัจจุบันโดยตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัย (generation) ถัดไป

แนวคิด “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงหลังเพื่อนำเสนอแนวทางที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากการพัฒนาดังกล่าวนั้น หากไม่คำนึงถึงความยุติธรรมของคนในช่วงเวลาถัดไป และใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพจนเกิดผลกระทบต่อคนในช่วงเวลาถัดไปแล้ว การพัฒนาดังกล่าวย่อมไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

แนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลานั้น เป็นกรอบกว้างๆ และถูกนำมาใช้ในหลายประเด็นของสังคม เช่น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ได้ลงนามในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยตระหนักว่า ความพยายามนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลงอย่างมีนัยสำคัญ[5]และกำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะกระตุ้นให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น[6] 

ดังจะเห็นได้ว่า มาตรการที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนสำหรับคนในช่วงวัยถัดไป โดยสร้างเงื่อนไขให้คนในยุคปัจจุบันจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้[7] หรือ ในเรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ ในแนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลาได้ขยายมาสู่เรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ โดยในบางประเทศได้กำหนดให้ในการดำเนินนโยบายทางการคลังสาธารณะของรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัยถัดไป โดยจะต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบต่อคนในช่วงวัยถัดไป[8] เป็นต้น

ลักษณะดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นว่า หลักการความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เริ่มเข้ามามีบทบาทความสำคัญต่อนโยบายการพัฒนาสมัยใหม่

ย้อนกลับมาดูประเทศไทย การดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เท่าที่ควร ดังจะเห็นได้ว่า จากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนั้นไม่ได้มุ่งหมายจะกระทำโดยคำนึงถึงคนในช่วงวัยถัดไป


เชิงอรรถ

[1] SDG Move, ‘SDG 101’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/sdg-101/> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[2] โตมร ศุขศรี, ‘เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ คือคุณธรรมแรกสุดของทุกสถาบันทางสังคม’ (The MATTER, 30 ตุลาคม 2563) <https://thematter.co/thinkers/theory-of-justice/127272> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[4] InforMEA ‘intragenerational equity’ (InforMEA) <https://www.informea.org/en/terms/intragenerational-equity> accessed 28 April 2022.

[5] Paris Agreement Article 2 (1.) (a).

[6] Paris Agreement Article 4 (1.).

[7] James M. Nguyen, ‘Intergenerational Justice and the Paris Agreement’ (E-International Relations, 11 May 2020) <https://www.e-ir.info/2020/05/11/intergenerational-justice-and-the-paris-agreement/> accessed 28 April 2022.

[8] Charter of Budget Honesty Clause 1 and 20 – 21.

แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ

ชื่อหนังสือ: แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: กิรติพงศ์ แนวมาลี และคณะ. (2565). แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.

สรุปสาระสำคัญ

แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ เป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้ง 7 เล่ม ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้รับมอบหมายจากสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจัดทำขึ้นเพื่อวางแนวทางให้กับองค์กรหรือธุรกิจเฉพาะด้านได้ใช้เป็นแนวทางในการทำความเข้าใจกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจัดเตรียมแนวทางในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ทั้งนี้ สำหรับแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดแนวทางและวิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับหน่วยงานของรัฐทั้งส่วนราชการครอบคลุมราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่นๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ แนวปฏิบัติฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการวางแนวทางที่เป็นประโยชน์แก่หน่วยงานของรัฐที่ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ครบรอบ 84 ปี ประมวลรัษฎากร: ความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ประมวลรัษฎากร” ถือเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ ในฐานะเป็นกฎหมายที่รวบรวมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรจากเงินได้ของประชาชนผู้มีเงินได้และเข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษี โดยในช่วงตลอดระยะเวลา 84 ปี ประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขหลายครั้งและทำให้ประมวลรัษฎากรกลายเป็นกฎหมายที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดฉบับหนึ่ง

หากพิจารณาเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นของการจัดทำประมวลรัษฎากรก็เพื่อที่จะลดความทับซ้อน ซ้ำซ้อน และซับซ้อนของกฎหมายภาษีที่จัดเก็บในเวลานั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมจากการจัดเก็บภาษีตามหลักการประชาธิปไตย บทความนี้จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านสำรวจความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของประมวลรัษฎากร

ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร

“ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร” นั้น เริ่มต้นมาจากสภาพสังคมในอดีตของประเทศไทยที่มีการจัดเก็บภาษีที่ซับซ้อน และมีภาษีบางรายการที่ซ้ำซ้อนกัน ในขณะเดียวกันระบบภาษีในเวลานั้นไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของผู้จ่ายภาษีว่าจะมีความสามารถหรือไม่ อาทิ ภาษีรัชชูปการ เป็นเงินที่เก็บจากชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี โดยมิได้คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวมีรายได้หรือไม่ หรือ ภาษีสมพัตสร ซึ่งรัฐบาลเก็บจากจำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปี โดยไม่ได้คำนึงว่าไม้ผลดังกล่าวจะสร้างรายได้จริงหรือไม่ก็ตาม จึงจะเห็นได้ว่าระบบการเก็บภาษีก่อนช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการหารายได้ให้กับรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรม ความเหมาะสม และความสามารถในการจ่ายภาษีของประชาชน[1]

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบภาษีในอดีตของประเทศมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อนกัน เกิดมาจากข้อจำกัดของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้ประเทศสยามมีข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีการค้า (ภาษีขาเข้า-ออก) เนื่องจากตามสนธิสัญญากำหนดให้สยามจัดเก็บภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของราคาสินค้าในท้องน้ำ[2] ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อการขยายตัวของรายได้รัฐบาล[3] ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใช้วิธีการเก็บภาษีซับซ้อนและซ้ำซ้อนกันหลายชนิด ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ประเทศไทยเคยใช้มาตลอด

นัยสำคัญของการจัดทำประมวลรัษฎากรจึงเป็นการเปลี่ยนหลักของสังคม โดยยึดหลักการที่ว่า “มีมากเสียมาก มีน้อยเสียน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย” ตามหลักการเก็บภาษีอากรของประเทศในระบอบประชาธิปไตย[4]

พัฒนาการของประมวลรัษฎากร

“ประมวลรัษฎากร” ถือได้ว่า เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบ่อยครั้งมากทั้งในระดับของการแก้ไขประมวลรัษฎากร และในระดับกฎหมายลำดับรอง ทำให้ทุกวันนี้ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมากและมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้ประมวลรัษฎากรอีกเป็นจำนวนมาก

ในแง่ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 80 กว่าครั้ง โดยหลายครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละสมัย โดยการแก้ไขนั้นมีทั้งการแก้ไขในเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษี และการแก้ไขในเรื่องสำคัญ เช่น อำนาจของรัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษี ข้อยกเว้นในการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี และปีภาษี เป็นต้น สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรกนี้ ผู้เขียนได้สรุปไว้ ดังต่อไปนี้

การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 หรือราวๆ 1 ปีหลังจากการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร โดยขยายรูปแบบของกิจกรรมที่จะถูกเก็บภาษีให้ออกไปให้กว้างมากขึ้น รวมถึงมีการกำหนดให้ที่ดินในครอบครองของรัฐวิสาหกิจจะต้องเสียเงินบำรุงท้องที่เท่ากับที่ดินในเขตเทศบาล เนื่องจากเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีความเจริญแล้ว[5]

โดยต่อมาได้มี การปรับปรุงแก้ไขประมวลรัษฎากรอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2483 โดยมีสาระสำคัญหลายประการ แต่ส่วนหนึ่งที่มีความน่าสนใจก็คือ การแก้ไขปรับปรุงครั้งนี้เป็นการกำหนดปีภาษีใหม่ โดยใช้เกณฑ์ปีภาษียึดตามปีปฏิทิน[6] โดยเริ่มต้นที่ 1 มกราคม และ สิ้นสุดที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป ซึ่งแต่เดิมยึดตามปีปฏิทินหลวง คือ เริ่มต้น 1 เมษายนและจบลงที่ 30 มีนาคมของปีถัดไป[7]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ได้มีการจำแนกประเภทเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยเพิ่มประเภทของเงินได้ในมาตรา 40 (1) (2) และมาตรา 42 (4) ของประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมประเภทของเงินได้มากขึ้น[8] และมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็น ลักษณะ 5 แห่งประมวลรัษฎากร[9] เรื่อง ภาษีการซื้อข้าว[10] และ ภาษีการซื้อน้ำตาล[11] ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าทำความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมการซื้อขายและจัดเก็บภาษีในการซื้อขายข้าว และน้ำตาล[12]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 6 โดยแก้ไขให้สามารถนำเงินบำรุงท้องที่สามารถโอนเงินไปจ่ายบำรุงท้องที่ตำบลอื่นที่ไม่ใช่ตำบลที่เก็บเงินบำรุงท้องที่นั้นในอำเภอเดียวกันก็ได้[13] ซึ่งมีความน่าสนใจในแง่ของการทำให้เกิดระบบที่เปิดช่องให้มีการนำเงินภาษีจากพื้นที่หนึ่งไปใช้ประโยชน์เพื่ออีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นจากตำบลที่พัฒนาแล้วและรายได้สูง ไปยังพื้นที่ยังไม่พัฒนาและรายได้ต่ำ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2494 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 8 โดยในการแก้ไขครั้งนี้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำในบทบัญญัติให้ชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับการลดอัตรารัษฎากรให้เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือสภาพของบางท้องที่ และยกเว้นรัษฎากรแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสนธิสัญญา โดยทำเป็นพระราชกฤษฎีกา[14] ซึ่งแต่เดิมกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลเพียงแค่ตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อปรับลดอัตราเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในบางท้องที่เท่านั้น[15] 

นอกจากนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ รัฐบาลได้ยกเลิกเงินช่วยการประถมศึกษาสำหรับใช้จ่ายการบำรุงประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นภาษีเสริมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 โดยเก็บจากชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วในครั้งแรกปีละ 1 บาท[16]  และต่อมาได้ปรับเป็นปีละ 2 บาท โดยการยกเลิกนี้สันนิษฐานได้ว่าในเวลานั้นประเทศไทยได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาทั่วถึงแล้ว ความจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเสริมเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาจึงมีความจำเป็นลดลง ในท้ายที่สุดเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรครั้งนี้ได้มีการจัดเก็บภาษีโรงแรมภัตตาคารขึ้นมาโดยตั้งเป็นบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็นลักษณะ 7 ภาษีโรงแรมภัตตาคาร[17] ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้มีการจัดเก็บเงินช่วยชาติประเภทโรงแรมและภัตตาคาร[18]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 9 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในลักษณะ 3 ภาษีบำรุงท้องที่ใหม่[19]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 10 โดยเป็นการเพิ่มเติมหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร[20]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 12 เนื่องด้วยวิธีการเสียภาษีอากรกับวิธีปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ภาษีป้าย อากรแสตมป์ อากรมหรสพ และภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ควรได้แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สะดวกและรัดกุมยิ่งขึ้นตามกาลสมัย[21]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 เนื่องจากผู้ประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุก ได้แบกภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเกินกว่าอัตภาพในขณะนี้ เงินที่นำมาชำระภาษีก็ได้จากการจำหน่ายผลิตผลที่เกิดจากการกสิกรรมในที่ดินของตน ปกติพืชที่ปลูกมากก็คือข้าว ในปัจจุบันราคาข้าวไม่ดี การทำนาได้ผลน้อยอยู่แล้ว  ฉะนั้น สมควรยิ่งที่จะลดภาระภาษีบำรุงท้องที่[22]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 17 เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นปรากฏว่าอัตราก้าวหน้าแต่ละขั้นมีช่วงยาวเกินไปไม่เป็นธรรม จึงได้แก้ไขให้มีช่วงสั้นกว่าเดิม

อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นต่ำไปมาก และอัตราภาษีการค้าบางประเภทยังต่ำกว่าที่ควร แต่บางประเภทก็มีอัตราสูงไปกว่าที่ควร เฉพาะอัตราอากรแสตมป์สำหรับตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินมีอัตราสูงไป จึงได้แก้ลดอัตราลงเพื่อช่วยส่งเสริมนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกันอยู่ขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีอากรของประเทศอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าอัตราภาษีอากรของประเทศไทยยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอแก่การทำนุบำรุงประเทศชาติให้วัฒนาถาวรได้ เพื่อประโยชน์แห่งรายได้ของรัฐที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้รุ่งเรือง จึงได้ปรับปรุงอัตราภาษีอากรดังกล่าวให้เป็นไปตามควรแก่สถานการณ์[23]

นอกจากการปรับปรุงประมวลรัษฎากรในช่วง 20 ปีแรกนี้แล้ว ภายหลังยังมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรสำคัญอีกหลายครั้ง โดยนอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ที่ได้มีการพูดถึงนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอื่นๆ มักจะเพื่อแก้ไขวิธีการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสมและมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี ยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน รวมถึงการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วง ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้ประมวลรัษฎากรมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป “ประมวลรัษฎากร” จัดทำขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม แต่ด้วยลักษณะของกฎหมายนั้น เมื่อมีการตราขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สม่ำเสมอ ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการแก้ไขและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเสมอภาคกันในสังคมที่อยู่ร่วมนั่นเอง


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงภาษีอากรที่เป็นธรรม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 ตุลาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/450> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[2] Treaty of Friendship and Commerce between Great Britain and Siam 1855, Article 8.

[3] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 13.

[4] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (สุขภาพใจ 2552) 196.

[5] สรุปสาระสำคัญจากรพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2482.

[6] ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 78.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2483 มาตรา 4 และมาตรา12.

[8] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 3 และมาตรา 4.

[9] ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 บทบัญญัติในประมวลรัษฎากรมีเพียงแค่ 4 ลักษณะเท่านั้น ได้แก่ ลักษณะ 1 ลักษณะทั่วไป ลักษณะ 2 ลักษณะภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ลักษณะ ๓ เงินช่วยบำรุงท้องที่ และลักษณะ 4 เงินช่วยการประถมศึกษา.

[10] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 37.

[11] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 38.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[13] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2490 มาตรา 3.

[14] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 4.

[15] ประมวลรัษฎากร มาตรา 3.

[16] ประมวลรัษฎากร มาตรา 167 และมาตรา 170.

[17] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 49.

[18] ศิลปวัฒนธรรม, ‘เงินช่วยชาติในภาวะคับขัน ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2’ (ศิลปวัฒนธรรม, 12 มกราคม 2565) <https://www.silpa-mag.com/history/article_62770> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[19] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2495 (ฉบับที่ 9) มาตรา 3.

[20] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2496 (ฉบับที่ 10) มาตรา 40.

[21] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[22] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2501 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[23] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2502 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

วันขึ้นปีใหม่: วันเริ่มต้นปีงบประมาณในอดีต

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันขึ้นปีใหม่มีความสำคัญต่องบประมาณของประเทศไทย โดยในอดีตวันขึ้นปีใหม่มักจะสัมพันธ์กับวันเริ่มต้นและสิ้นสุดของงบประมาณแผ่นดิน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณแบบในปัจจุบัน

นัยสำคัญของการเปลี่ยนวันและเวลา

ในอดีตที่ผ่านมา “วันที่ 13 เมษายน” นั้น มีสถานะเป็น “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งเป็น “วันปีใหม่ไทย” และประเทศอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งในอุษาคเนย์ ศรีลังกา และอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถือเอาวันพระอาทิตย์เคลื่อนออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราช และเริ่มต้นใช้กาลโยคประจำปีใหม่ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของปีใหม่ในทางโหราศาสตร์ ซึ่งโหรจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณให้แน่ชัด[1] 

อย่างไรก็ดี นัยของวันปีใหม่ในลักษณะดังกล่าว ยังไม่ค่อยมีบทบาทหรือความสำคัญกับประชาชนมากทั่วไปเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้ามเมื่อประชาชนอยากจะรู้ว่า ขึ้นต้นปีใหม่แล้วหรือไม่ ก็จำเป็นที่จะต้องติดตามประกาศของทางราชการ

นัยสำคัญของวันปีใหม่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงปฏิรูประบบราชการและได้มีการนำระบบปฏิทินเข้ามาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีนัยสำคัญและส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักรสยามเป็นอย่างมาก

“ระบบปฏิทินใหม่” ที่นำเข้ามาใช้อาศัยวิธีการคำนวณแบบสุริยคติแทนการคำนวณวันแบบจันทรคติ พร้อมๆ กับทรงยกเลิกการใช้จุลศักราชและเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทร์ศกแทน[2] โดยทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่แทนโดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการ และวันเริ่มต้นปีทางบัญชีของราชการ แต่การนับวันตามพระราชพิธียังคงใช้วิธีการคำนวณวันตามปฏิทินจันทรคติ[3]

ความสำคัญของการเปลี่ยนให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการนั้น มีความสำคัญในเชิงงบประมาณ เพราะเป็นการกำหนดให้ราชการตลอดทั้งราชอาณาจักรเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยต้องจัดทำงบประมาณเสนอต่อเสนาบดีเพื่อขอพระบรมราชานุญาต โดยงบประมาณรายจ่ายนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม และเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน[4]

วันที่ 1 เมษายนถูกใช้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณต่อไปเรื่อยๆ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และแม้ในเวลาต่อมาประเทศมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลคณะราษฎรที่เข้ามา บริหารประเทศในเวลานั้นก็ยังคงยึดการใช้ วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ[5]

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณ

ความสำคัญของวันที่ 1 เมษายนในฐานะของวันเริ่มต้นปีงบประมาณได้มาสิ้นสุดลง ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2481 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 โดยพระราชบัญญัตินี้ได้มีการเสนอให้ ปรับเปลี่ยนปีงบประมาณ ซึ่งเดิมเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมของอีกปีหนึ่ง มาเป็นเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่ง

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนปีงบประมาณนี้มีเหตุผลเนื่องจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า จะกําหนดปีงบประมาณให้เหมาะสมแก่ฤดูกาล

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้น ได้มีการชี้แจงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ในการที่รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้พิจารณาโดยด่วนนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยเสียก่อนว่า ในการที่ให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้พิจารณาโดยด่วน ก็เพราะเหตุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ กล่าวคือว่า รัฐบาลได้แถลงไว้ว่า รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล และจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะขอให้สภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยแต่เพียงในวาระที่ 1 คือว่า จะควรรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น ส่วนรายการละเอียดนั้น ถ้าหากว่าสภาฯ ได้รับหลักการแล้ว ก็จะได้ขอให้ตั้งกรรมาธิการไปพิจารณา… 

…หลักการแห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณนั้น ก็มีอยู่ว่าเพื่อเปลี่ยนปีงบประมาณ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ โดยจะได้เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง และไปหมดในวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่งนั้น ทั้งนี้ ก็โดยคำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม”[6]

ในส่วนของเหตุผลในการเปลี่ยนปีงบประมาณนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นหลัก โดยยกเหตุผลสนับสนุนดังนี้

(1) งานก่อสร้างต่างๆ จะทำได้ในฤดูแล้ง คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ถ้าปีงบประมาณเริ่มในเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยห่วงเรื่องงบประมาณตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม

(2) เดือนเมษายนเป็นเดือนที่หยุดราชการ ดังนั้น กว่าที่จังหวัดต่าง ๆ จะได้รับงบประมาณก็เลยไปถึงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนที่เริ่มฤดูฝนแล้ว ทำให้ทำงานต่าง ๆ ได้ลำบาก และ

(3) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก ดังนั้น จึงควรรอให้เสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวก่อน เพื่อให้รัฐบาลสามารถคำนวณรายได้จากการเก็บภาษีได้ดีขึ้น[7]

ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนปีงบประมาณดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ปีงบประมาณของประเทศสอดคล้องกับการใช้จ่ายและแนวทางในการพัฒนาประเทศที่มีลักษณะเป็นประเทศเกษตรกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่หากไปทำในช่วงหลังเมษายนและเข้าหน้าฝน การก่อสร้างอาจจะติดขัด โดยการเริ่มต้นใช้ระยะเวลาปีงบประมาณใหม่นี้ได้เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482

การประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ และการปรับปีงบประมาณอีกครั้ง

การปรับมาใช้วันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลาปีงบประมาณที่มีเหตุมีผลและพิจารณาถึงความเหมาะสมของประเทศ  ทว่า การใช้ระยะเวลาปีงบประมาณตามแบบใหม่นี้ก็อยู่ได้ไม่นานราวๆ เพียงแค่ปีเศษ ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่อีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็มาจากการปรับเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทย

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีดำริที่จะเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลมีความประสงค์ที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความสอดคล้องเป็นสากลมากขึ้น โดยพยายามเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ให้สอดคล้องกันกับประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป และประเทศตะวันตกอื่นๆ ซึ่งนิยมใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่

รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่นั้น ไม่ยึดโยงกับความเชื่อหรือแนวคิดทางศาสนาใด แตกต่างจากวันขึ้นปีใหม่ตามขนบไทยเดิมที่ยึดโยงอยู่กับความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์ เพื่อให้ประเทศมีวันขึ้นปีใหม่ที่สอดคล้องกันกับสากล รัฐบาลจึงได้มีการประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่[8]

ผลของการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน โดยการตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2483 โดยกำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มต้นที่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป  อย่างไรก็ดี ในรายงานการประชุมไม่ได้ระบุเหตุผลได้ว่าทำไมถึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน[9]

การปรับปีงบประมาณกลับมาที่ 1 ตุลาคมอีกครั้งหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณที่เริ่มต้น ในเดือนมกราคมนี้ถูกใช้อยู่กว่า 20 ปี จนมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 โดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไปทั้งนี้ ปีงบประมาณที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ เริ่มใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2505 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2504 เป็นต้นมา[10] จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับปี พ.ศ. 2502 ได้ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการกลับมาใช้ปีงบประมาณตามเริ่มต้นที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุด 30 กันยายนของปีถัดไปก็เนื่องมาจากเหตุผลในลักษณะเดียวกันกับที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเคยให้เอาไว้ในการประชุมยกร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอดีต

การเปลี่ยนปีงบประมาณในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเนื่องจากระยะเวลาในการจัดทำงบประมาณที่อาจจะเกิดความล่าช้าซึ่งทำให้งบประมาณนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีประกอบกับช่วงระยะเวลาที่งบประมาณนั้นอาจจะถูกใช้ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการก่อสร้าง แม้ปีงบประมาณตามกฎหมายเดิม จะสอดคล้องกับสากล แต่ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยซึ่งฤดูกาลมีส่วนสำคัญ จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง[11]

กล่าวโดยสรุป การเริ่มต้นปีงบประมาณนั้นแต่เดิมพยายามให้มีความสอดคล้องกับการเริ่มต้นปีปฏิทิน โดยส่วนมากจะใช้วันที่ในเดือนเมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทยแต่เดิม ในเวลาต่อมาก็ได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณให้มีความเหมาะสมกับประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของฤดูกาลซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แต่ระยะเวลาในลักษณะดังกล่าวเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยเจตนารมณ์ก็อาจจะเป็นไปเพื่อให้มีความสอดคล้องกับความเป็นสากล

แต่ในที่สุดแล้วสภาพดังกล่าวก็อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศไทยซึ่งมีเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ฤดูกาลที่แตกต่าง ดังนั้น วันเริ่มต้นปีงบประมาณจึงกลับมาอยู่ที่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งยึดถือเช่นนั้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 จนถึงปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] สมบัติ พลายน้อย, ‘สงกรานต์ 3 วัน 13-15 เม.ย.เริ่มมีเมื่อใด ปีใหม่ไทยในอดีตเปลี่ยนไปมา ชาวบ้านตามตรวจดูวันเอง’ (ศิลปวัฒนธรรม, 13 เมษายน 2564) <https://www.silpa-mag.com/history/article_31026> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[2] ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนจากการใช้รัตนโกสินทร์ศกมาเป็นพุทธศักราชแทน.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การจัดทำงบประมาณครั้งแรก ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 28 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/651> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476 มาตรา 9.

[6] วรพงษ์ แพรม่วง, ‘ปีงบประมาณของไทย’ (หอสมุดรัฐสภา, ตุลาคม 2563) <https://library.parliament.go.th/th/radioscript/rr2563-oct1> สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] ประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ (ประกาศมา ณ วันที่ 24 ธันวาคม พุทธศักราช 2483).

[9] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2483, 32-33.

[10] วรพงษ์ แพรม่วง (เชิงอรรถ 6).

[11] สภานิติบัญญัติ, รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ครั้งที่ 38/วันที่ 15 ตุลาคม 2502, 1491 – 1493.

บรรยายอบรมการเตรียมความพร้อมกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม

สไลด์ประกอบการบรรยายอบรมการเตรียมความพร้อมกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม จัดโดยสมาคมโรงแรม (Thai Hotels Association) โดยการอบรมนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ส่วน โดยเป็นเรื่องกฎหมายและการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม โดยการบรรยายนี้จัดขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2565 ผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบ Webminar

กฎหมายที่ตั้งอยู่บนมาตรฐานแบบเดียวกลายเป็นปัญหาของโรงแรมขนาดเล็ก

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปให้สัมภาษณ์รายการ พินิจเศรษฐกิจการเมือง ของวิทยุจุฬาฯ โดยมีคุณประวีณามัย บ่ายคล้อยเป็นพิธีการรายการ การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากบทความที่ได้มีโอกาสเขียนลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเกี่ยวกับปัญาโรงแรมขนาดเล็กที่ผ่านมา โดยมีสรุปเนื้อหาการสัมภาษณ์พอสังเขป ดังนี้

ผลกระทบจากโควิด-19 ต่อสถานการณ์โรงแรมขนาดเล็ก

หากเล่าให้เห็นภาพสถานการณ์โรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น อยากขอให้ทุกท่านนึกถึงภาพของโรงแรมในย่านสี่แยกถลางของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเดิมเคยมีโรงแรมอยู่ 8 แห่ง แต่ในปัจจุบันโรงแรมบางส่วนได้มีการปิดตัวลง และมีแนวโน้มที่จะปิดตัวลงมากขึ้นอันเป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อวไรัสโควิด-19 และมาตรการของรัฐบาลที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการรับนักท่องเที่ยว

ตัวอย่างของกรณีจังหวัดภูเก็ตที่โรงแรมจะเปิดให้บริการได้จะต้องได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ SHA+ ซึ่งต้องมีใบอนุญาตโรงแรมที่ได้รับจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อไม่ได้รับเครื่องหมายดังกล่าวและไม่มีใบอนุญาตแล้วก็จะไม่สามารถรับน้กท่องเที่ยวต่างชาติได้เลย ยิ่งในกรณีของจังหวัดภูเก็ต ด้วยนโยบาย Phuket Sandbox ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมผลกระทบของการแพร่ระบาด ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตจึงได้ดำเนินการกวดขันและขอความร่วมมือจากผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่ได้รับเครื่องหมาย SHA+ ไม่ให้เปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งกระทบโรงแรมขนาดเล็กที่มีเป็นจำนวนมาก โดยในปัจจุบันโรงแรมในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมการปกครองมีจำนวนประมาณ 30,000 แห่ง แต่โรงแรมที่ผ่านเงื่อนไขดังกล่าวนั้นมีจำนวนน้อยมาก ยิ่งในภูเก็ตยิ่งค่อนข้างน้อย

นอกจากนี้ ผลกระทบอีกอย่างที่ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กได้รับจากการไม่มีใบอนุญาตโรงแรมก็คือ การเข้าไม่ถึงโครงการความช่วยเหลือของรัฐบาล เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น

ปัญหาอุปสรรคของโรงแรมขนาดเล็กในปัจจุบัน

ในเบื้องต้นต้องกล่าวไว้ก่อนว่า โรงแรมขนาดเล็กไม่ใช่ผู้มีเจตนาหลบเลี่ยงกฎหมายเสมอไป แต่เป็นเพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป (เรียกง่ายๆ ว่ากฎหมายล้าสมัย) ซึ่งผลที่ตามมาคือ การทำให้ผู้ขอรับใบอนุญาตไม่สามารถขอใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจตามกฎหมายได้ ซึ่งปัญหานี้เชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา เช่น การขอรับรองมาตรฐาน SHA+ หรือการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นต้น

ในแง่ของฝั่งภาครัฐที่เข้ามากำกับดูแลธุรกิจนี้ก็มีสาเหตุเหมือนกัน กล่าวคือ เดิมธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม (เช่น เป็นที่ซ่องสุมของอังยี่ซ่องโจร เป็นต้น) ทำให้ภาครัฐต้องเข้ามากวดขันและควบคุมการประกอบ ซึ่งปัญหาของกฎหมายโรงแรมนั้นก็เนื่องมาจากว่า กฎหมายโรงแรมวางตำแหน่งแห่งที่ของกฎหมายไว้ในฐานะใบอนุญาตท้ายเสมือนปลายน้ำที่จะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตอื่นๆ มาแล้ว เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงอาจจะต้องแยกวิธีคิดระหว่างใบอนุญาตทั้งสองฉบับออกจากกัน เพราะในแง่หนึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจแบบใดที่ต้องใช้อาคารเป็นสถานที่ประกอบธุรกิจก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาคาร ดังนั้น จึงไม่ควรเอาใบอนุญาตทั้งสองเรื่องมาเชื่อมโยงกัน

ในระบบปัจจุบันเมื่อผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมไม่สามารถเข้าสู่ระบบใบอนุญาต แม้จะมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามกฎหมายให้ถูกต้องและได้เสียภาษีกับค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ภาครัฐเก็บจากการประกอบธุรกิจเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพัก ซึ่งเป็นรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐใดๆ ดังกล่าวมาข้างต้น ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดมาจากการที่ระบบกฎหมายไม่ได้ออกแบบมาตรฐานมาเพื่อรองรับกับโรงแรมขนาดเล็ก

สภาพดังกล่าวนี้กลายเป็นช่องโหว่ของการกำกับดูแล ในปัจจุบันโรงแรมในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตและขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีจำนวนกว่า 30,000 แห่ง แต่ในเมื่อเปิดดูในเว็บไซต์ OTA แล้วจะพบว่า มีโรงแรมที่ขึ้นทะเบียนกับเว็บไซต์ OTA มากกว่า 60,000 แห่ง ทำให้เห็นได้ว่าภาครัฐไม่สามารถกำกับดูแลได้ครอบคลุมตามเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างมาตรฐาน

นอกจากปัญหาโรงแรมขนาดเล็กที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรื่องโรงแรมนั้นยังมีประเด็นเกี่ยวกับโฮมสเตย์ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันจำกัดจำนวนห้องพักและการเข้าพักไว้ที่ 4 ห้องไม่เกิน 20 คน ซึ่งกลายมาเป็นข้อจำกัดในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเมื่อย้อนกลับไปดูที่มาของการกำหนดจำนวนห้องพักและการเข้าพักในลักษณะดังกล่าวแล้วจะพบว่า ที่มานั้นมาจากการเอาเกณฑ์ของที่พักในย่านอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สิ่งนี้สวนทางกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการสนับสนุนนโยบายดังกล่าวรัฐบาลอาจจะต้องมีการแก้ไขข้อจำกัดในเรื่องจำนวนห้องพักและการเข้าพักใหม่

ในเรื่องปัญหาของกฎหมายโรงแรม อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือ กฎหมายโรงแรมในปัจจุบันกำหนดเรื่องมาตรฐานการบริการ ซึ่งในปัจจุบันลักษณะบริการที่กฎหมายกำหนดไว้อาจจะล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันนี้ เช่น การกำหนดว่าจำเป็นต้องมีโทรศัพท์อยู่ในห้องพัก เป็นต้น สิ่งนี้เป็นเรื่องความล้าสมัยของกฎหมายโรงแรมซึ่งออกมาในช่วงปี พ.ศ. 2540 กว่าๆ เมื่อผ่านมาเกือบ 20 ปี กฎหมายก็กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว

แนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในปัจจุบัน

ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีความพยายามแก้ไขปัญหาไปบ้างแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้ริเริ่มที่จะกำหนดมาตรฐานโรงแรมขนาดเล็กให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงมีความพยายามกำหนดมาตรฐานของอาคารให้มีความหลากหลายมากขึ้น แต่ทั้งนี้มาตรฐานอาคารดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมโรงแรมและที่พักค้างคืนบางประเภท เช่น เรือนแพ บ้านต้นไม้ และรถบ้าน เป็นต้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวปัจจุบัน

ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องโรงแรมขนาดเล็ก

สิ่งที่กฎหมายจำเป็นต้องปรับต่อไปนั้นอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกันก็คือ 1. การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น โดยเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กจากผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร และกฎหมายโรงแรม เนื่องจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการผ่อนผันไม่ให้บังคับใช้กฎหมายและให้เวลากับผู้ประกอบธุรกิจปรับปรุงโรงแรมเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจสูญเสียรายได้และไม่สามารถปรับปรุงอาคารได้ทันกับสถานการณ์ ซึ่งเมื่อคำสั่งดังกล่าวหมดอายุลงก็ทำให้เกิดปัญหา (นอกจากนี้ บางกรณีกฎหมายก็ยังไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจ เช่น กรณีของเรือนแพ บ้านต้นไม้ และรถบ้าน เป็นต้น ซึ่งไม่มีการกำหนดมาตรฐานมารองรับ) หรือในกรณีของกฎหมายผังเมืองที่หากจะแก้ไขก็ต้องรื้อกฎหมายผังเมืองทั้งประเทศมาพิจารณากัน ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลเป็นจำนวนมากมาประกอบ ทั้งหมดนี้ จึงเป็นเหตุให้ในการแก้ไขปัญหารัฐบาลต้องดำเนินการบางประการโดยหากกฎหมายใหม่มาทดแทนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่หมดอายุลง โดยอาจจะตราขึ้นมาเป็นพระราชกำหนดฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันเพื่อเขามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

2. การแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้นอาจจะต้องดำเนินการแก้ไขโดยการยกเครื่องกฎหมายโรงแรมขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยการนำผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด ในแง่ของการยกระดับกฎหมายโรงแรมกฎหมายใหม่ควรจะออกมาตรฐานให้สอดคล้องกับโรงแรมแต่ละประเภทโดยการตรากฎหมายลำดับรองในกฎหมายควบคุมอาคารมารองรับ โดยเฉพาะในกลุ่มของที่พักทางเลือก เช่น เรือนแพ บ้านต้นไม้ และรถบ้าน เป็นต้น เพื่อรักษาความหลากหลายของการท่องเที่ยว ในส่วนของกฎหมายผังเมืองก็ควรที่จะผ่อนคลายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับผังเมือง

สำหรับกฎหมายโรงแรมนั้นอีกสิ่งที่ควรให้ความสนใจก็คือ การขจัดเรื่องบริการต่างๆ ที่ล้าสมัยและไม่เป็นที่ต้องการของสังคมปัจจุบันอีกต่อไป การกำหนดบริการไว้ในกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเวลาเปลี่ยนความต้องการของคนก็จะเปลี่ยนไปด้วยกฎหมายนั้นก็จะล้าสมัยไป สิ่งนี้ไม่เพียงเป็นภาระกับผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นภาระกับภาครัฐในการติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามการบังคับใช้กฎหมายด้วย ซึ่งเรื่องของบริการนั้นควรเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจควรจะตัดสินใจเองบนต้นทุนและวิธีการทางธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้า

นอกจากนี้ กฎหมายโรงแรมควรขยายขอบเขตของที่พักประเภทที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมหรือโฮมสเตย์เพื่อให้รองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น กฎหมายไม่ควรสร้างข้อจำกัดในเรื่องจำนวนห้องพักมาเกินไป โดยอาจจะเปิดให้มีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม การนำมาตรฐานของพื้นที่ๆ หนึ่งหรือจังหวัดๆ หนึ่ง มาเป็นมาตรฐานในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม สิ่งนี้จะกลายมาเป็นข้อจำกัดในการต่อยอดทางธุรกิจของเอกชน

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การยอมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องโรงแรม โดยกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดกับปัญหา และดำเนินการส่งเสริมการประกอบธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว

ศาสตร์แห่งพระราชา : พระเจ้าจักรา การรักษาสันติภาพเชิงโครงสร้างของปรีดี

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

พระเจ้าช้างเผือกเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นโดยปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสะท้อนแนวคิดเรื่องสันติของปรีดี ผ่านตัวละคร พระเจ้าจักรา กษัตริย์ผู้รักสันติและมุ่งสร้างสมดุลทางอำนาจ โดยบทความชี้ให้เห็นถึง อุดมคติทางการเมืองและสังคมของปรีดี ซึ่งไม่เพียงเกี่ยวข้องกับบริบทในอดีต แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดการรักษาสันติภาพในเชิงโครงสร้างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในโลกปัจจุบันอีกด้วย

ตัวตนพระเจ้าช้างเผือก ภาพสะท้อนของสันติภาพในอุดมคติของปรีดี

“พระองค์มิได้ทรงชื่นชมต่อความหรูหราโอ่อ่าของพระราชสำนักงานแต่อย่างใด แต่ทรงอุทิศพระองค์เองเพื่อประโยชน์สุขของชาติบ้านเมือง พระเจ้าจักราทรงกล้าหาญยิ่งในการรบ แต่ทรงรักสันติภาพ…”

– พระเจ้าช้างเผือก, 11 พฤษภาคม 2482

“พระเจ้าช้างเผือก” เป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของ นายปรีดี พนมยงค์ โดยการนำช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ช่วงสงครามช้างเผือก (ซึ่งทรงได้รับการขนานนามว่าเป็นพระเจ้าช้างเผือก เนื่องจากทรงมีช้างเผือกในครอบครองเป็นจำนวน 7 เชือก) มาประกอบกับการปรุงแต่งผสมเข้ากับจินตนาการของนายปรีดีที่มีแง่คิดในเรื่องสันติภาพ ทำให้เกิดภาพของตัวละครเอกเป็นกษัตริย์หนุ่มพระนามว่า “พระเจ้าจักรา” ซึ่งเป็นตัวแทนของกษัตริย์ที่มีความกล้าหาญ แต่มีอุปนิสัยเป็นผู้รักสันติ[1]

การดำเนินเรื่องพระเจ้าช้างเผือกโดยส่วนใหญ่ เป็นการเล่าเรื่องผ่านสงครามระหว่างพระเจ้าหงสา ผู้มีความทะเยอทะยานและประสงค์จะทำลายอโยธยา โดยทำทีมาขอช้างเผือกจากพระเจ้าจักรา โดยอาศัยเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นเพื่อรุกรานอโยธยา ทำให้พระเจ้าจักราแห่งกรุงอโยธยาต้องยกทัพไปต่อสู้

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากเรื่องพระเจ้าช้างเผือกก็คือ ตัวละคร “พระเจ้าจักรา” มีความสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงแค่ตัวละครเอกของเรื่อง แต่พระเจ้าจักราเปรียบเสมือน บุคลาธิษฐานของสันติภาพในอุดมคติของปรีดี ในขณะที่พระเจ้าหงสานั้นเป็นเสมือน บุคลาธิษฐานและความโหดร้ายของสงคราม

หากพิจารณาตลอดการดำเนินเรื่องพระเจ้าช้างเผือกนั้น จะเห็นได้ว่ามีหลายฉากหลายองก์ที่บทบาทของพระเจ้าจักราได้แสดงให้เห็นถึงผู้รักษาสันติภาพ เช่น 

“มิตรภาพจะมีคุณค่าอะไร ถ้ามันเป็นอุปสรรคขวางกั้นความทะเยอทะยาน”[2] 

หรือ 

“ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำหรับพวกเจ้า บทเรียนสำหรับพวกเราทุกคน อย่าให้ต้องถูกบังคับขับขี่เช่นวัวควายอีกเลย … จงเล่าขานให้ลูกหลานของเจ้าฟังถึงเรื่องในวันนี้ เรื่องของกษัตริย์ต่อกษัตริย์ทรงกระทำยุทธหัตถีกันเพื่อยุติกรณีพิพาท เพื่อว่าอนุชนรุ่นหลังจะได้รับรู้และกำชับผู้นำของตนให้กระทำเยี่ยงนี้บ้าง หากพวกเขาจำต้องต่อสู้กัน ด้วยวิถีทางนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ชนทั้งผองในโลกได้รอดพ้นจากสงครามอันไร้ประโยชน์ และความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็นเลย”[3]

ในขณะที่พระเจ้าหงสาในฐานะภาพแทนสงครามและความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลที่มีอำนาจ ตัวอย่างที่แสดงถึงก็คือ ฉากที่พระเจ้าหงสาจะเกณฑ์ไพร่พลมารบกับอโยธยา โดยเสด็จออกมาที่ระเบียงเพื่อประกาศให้พสกนิกรทราบ ซึ่งได้มีชายชราออกมาคัดค้านเรื่องสงครามโดยแสดงความเห็นว่า “ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเชื่อมั่นเหลือเกินว่า สิ่งที่พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พวกข้าพระพุทธเจ้าไปตายเพื่อให้ได้มานั้น ย่อมสามารถได้มาด้วยวิธีการเจรจาโดยสันติ” โดยหลังจากนั้นพระเจ้าหงสาก็ได้พระราชทานหอกพุ่งตรงไปที่อกจนเป็นเหตุให้ชายคนดังกล่าวลาโลกไปแบบไม่สมัครใจ พร้อมทั้งพระเจ้าหงสาทรงกำชับว่า “คำสั่งของข้า คือ กฎหมายสูงสุดยิ่งกว่าอื่นใด”[4]

อย่างไรก็ดี สันติภาพของปรีดี นั้น ไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่ทำสงครามเลย ดังจะเห็นได้จากการที่พระเจ้าจักราทรงแต่งทัพเพื่อออกต่อสู้กับพระเจ้าหงสา แต่การทำสงครามของพระเจ้าจักรานั้นเป็นสิ่งที่ปรีดีเรียกว่า “ธรรมสงคราม” หมายถึง การทำสงครามหรือเข้าสู่สงครามด้วยความชอบธรรม กล่าวคือ ต้องไม่เป็นการรุกรานผู้อื่น ดังเช่นกรณีที่พระเจ้าหงสากระทำ[5] สิ่งนี้เป็นจุดสำคัญในงานเรื่องพระเจ้าช้างเผือกของปรีดีที่ต้องการสื่อสารออกไปทั้งในทางการเมืองภายในประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับสันติภาพที่ปรีดีต้องการนำเสนอ

สันติภาพในเชิงโครงสร้าง

แม้เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ของ “พระเจ้าช้างเผือก” จะพูดถึงสันติภาพในฐานะภาพใหญ่ของการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ แต่เมื่อได้อ่านหรือดูภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกจนจบแล้ว จะพบว่าพระเจ้าช้างเผือกได้ซ่อนนัยของสันติภาพในเชิงโครงสร้างของสังคมเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมไทย ผ่านหน้าที่ของผู้ปกครอง (รัฐบาล)

“ณ ที่นี้รัฐอิสระซึ่งปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชก็ได้บังเกิดขึ้น หากแต่เป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชซึ่งกอปรขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และพระขันติธรรมของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา โดยมีความสำนึกในความเป็นชาติอันแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจของประชาราษฎร์เป็นเครื่องรองรับ”

– พระเจ้าจักรา, พระเจ้าช้างเผือก

ผู้ปกครองที่ดีในพระเจ้าช้างเผือก คือ ผู้ปกครองประเทศด้วยเหตุและผล โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง ในพระเจ้าช้างเผือกนั้นจะพบว่า หลายฉากหลายองก์ ปรีดีได้แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ของผู้ปกครอง (รัฐบาล) เอาไว้ โดยการจะรักษาสันติภาพภายในประเทศได้ ผู้ปกครองจะต้องรักษาความสงบสุข และรับผิดชอบความอยู่ดีกินดี โดยสนับสนุนให้ประชาชนมีเสรีภาพและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการมีชีวิตเป็นเรื่องมีคุณค่า ซึ่งตามท้องเรื่องนั้นได้บรรยายลักษณะของการปกครองอาณาจักรอโยธยาว่าเป็นรัฐอิสระ ซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามหลักคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา[6]

“…แทนที่ท่านจะมอบหญิงงามให้ข้าฯ 365 คน ท่านควรจะมอบช้างให้ข้าอีก 365 เชือกจะดีกว่า คงจะทำให้กำลังของฝ่ายเราพอมีทางจะสู้กำลังของฝ่ายเขาได้…”

– พระเจ้าจักรา, พระเจ้าช้างเผือก

ดังนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรเอาใจใส่หรือให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเองหรือประโยชน์ของตัวเองมากจนเกินไป ดังปรากฏในตอนต้นเรื่องว่า เหล่าเสนาบดีประสงค์ให้พระเจ้าจักรายึดถือคติดั้งเดิมที่จะต้องมีพระมเหสีจำนวนมากถึง 365 พระองค์[7] แต่พระเจ้าจักราทรงมีความเห็นว่า 

…แทนที่ท่านจะมอบหญิงงามให้ข้าฯ 365 คน ท่านควรจะมอบช้างให้ข้าอีก 365 เชือกจะดีกว่า คงจะทำให้กำลังของฝ่ายเราพอมีทางจะสู้กำลังของฝ่ายเขาได้…”[8]

ในตอนท้ายของเรื่องพระราชินีคู่บุญของพระเจ้าจักราจะได้แสดงความเห็นแก่พระเจ้าจักราว่า 

“…การเลี้ยงดูนางสนมทั้ง 365 นางนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์อย่างมาก พระราชทรัพย์เหล่านี้ควรจะนำไปใช้ในการส่งเสริมความกินดีอยู่ดีให้ราษฎร และความรุ่งเรืองของประเทศมากกว่า…ถึงสงครามจะยุติ เรายังต้องการใช้ช้างจำนวนมาก ไม่เพียงแต่สำหรับกองทัพเท่านั้น แต่สำหรับงานในป่าด้วยเพคะ”[9]

นอกเหนือจากฉากและองก์ข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า ตลอดเรื่องพระเจ้าช้างเผือกมีการพูดถึงสภาวะสันติภาพที่นำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างไร ดังเช่นในบทที่ 1 ราชอาณาจักรอโยธยาอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นบทเริ่มต้นของเรื่องและในบทอื่นๆ แทรกอยู่โดยตลอดผ่านพระราชกรณียกิจของพระเจ้าจักราผ่านการปฏิรูปธรรมเนียมและประเพณีเก่าเพื่อนำมาสู่ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร[10]

เศรษฐกิจแห่งสันติภาพและการสมานสามัคคี

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

“พระเจ้าจักรา” เป็นภาพสะท้อนของอุดมคติการปกครองของ “คณะราษฎร” ในหลายแง่มุม ทั้งในฐานะนักปฏิรูปที่ยกเลิกคติและธรรมเนียมประเพณีเก่า และทำนุบำรุงความกินดีอยู่ดีของราษฎร  ดังนั้น ความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งของพระเจ้าช้างเผือกก็คือ การใช้สื่อเพื่อนำเสนอสันติภาพเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนภาพความคิดของปรีดีเกี่ยวกับจิตสำนึกแห่งการอภิวัฒน์ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองเพื่อนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม[11]

การดำเนินการปฏิรูปประเทศต่างๆ ของพระเจ้าจักราจึงเป็นภาพสะท้อนของอุดมการณ์ของคณะราษฎร เมื่อทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม และเข้ามาบริหารประเทศ เจตนารมณ์ที่ให้ไว้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักที่ 3 กล่าวว่า “จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

อย่างไรก็ดี เพื่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจแล้ว จำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ของสังคมในเวลานั้น การดำเนินการสำคัญที่สุดในเจตนารมณ์ของคณะราษฎรและปรีดี ซึ่งแสดงไว้ใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ”คือ การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินและการทำกินของชาวนา ในเวลาดังกล่าวประชาชนส่วนใหญ่ในเวลานั้นทำอาชีพเป็นชาวนา โดยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน และถูกเอารัดเอาเปรียบจากโครงสร้างทางสังคมที่ผ่านการเก็บค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินค่ารัชชูปการ[12] 

กลไกของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ใช้เป็นการจำกัดศักยภาพของราษฎรในการพัฒนาตนเองทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ในท้ายที่สุด สภาพดังกล่าวย่อมทำลายสันติภาพเชิงโครงสร้าง และนำมาสู่การใช้กำลังประหัตประหารกัน[13] เพื่อป้องกันมิให้เกิดสภาพเช่นนั้น ปรีดีจึงได้มีการเสนอให้มีการจัดสรรทรัพยากรให้มีความเป็นธรรมและกระจายการเข้าถึงทรัพยากรมากขึ้น

ข้อเสนอของปรีดีในเรื่องนี้ ปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจ[14] นอกจากนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร ปรีดีได้สร้างระบบของการประกันความสุขสมบูรณ์เพื่อสมานสามัคคีระหว่างคนในสังคม โดยใช้วิธีการนำภาษีที่เก็บจากผู้มั่งมีมาช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยรัฐบาลเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือและประสานความสามัคคีนี้[15]

แม้ พระเจ้าจักรา จะเป็นตัวละครสมมติใน พระเจ้าช้างเผือก แต่หากทำการศึกษาวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังแล้วจะเห็นได้ว่า พระเจ้าช้างเผือกนั้นมีแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังตัวละครพระเจ้าจักรา ซึ่งในมุมหนึ่งนี้ผู้เขียนได้หยิบมาพิจารณาเพื่อทำความเข้าใจคุณค่าของสันติภาพเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องเชื่อมโยงกับมิติในทางเศรษฐกิจและความเป็นปัจจุบันในสภาวะสงครามเช่นนี้


เชิงอรรถ

[1] กษิดิศ อนันทนาธร, ‘ศาสตร์พระเจ้าจักรา กับสารที่ “พระเจ้าช้างเผือก” สื่อ’ (The 101.World, 18 เมษายน 2564) <https://www.the101.world/the-king-of-the-white-elephant/> สืบค้นเมื่อ 11 มีนาคม 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, พระเจ้าช้างเผือก (หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) 2558) 225.

[3] เพิ่งอ้าง, 325.

[4] เพิ่งอ้าง, 267 – 268.

[5] สุรัยยา เบ็ญโส๊ะ, ‘แนวคิดสันติวิธีในเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ของปรีดี พนมยงค์’ (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2540) 182 – 183.

[6] ปรีดี พนมยงค์, พระเจ้าช้างเผือก (สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก 2542) 1.

[7] เพิ่งอ้าง 8.

[8] เพิ่งอ้าง 14.

[9] เพิ่งอ้าง 90 – 91.

[10] เพิ่งอ้าง 4 – 5.

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312>  สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564.

[13] สุรัยยา เบ็ญโส๊ะ (เชิงอรรถ 5) 216.

[14] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 10); เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 12)

[15] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 10).

ยกเครื่องกฎหมาย ต่อลมหายใจโรงแรมเล็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่การระบาดของโควิด-19 ส่งกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยตรงทำให้ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งต้องปิดกิจการชั่วคราว แต่สำหรับบางโรงแรมที่ส่วนใหญ่คือโรงแรมขนาดเล็กขาดสภาพคล่องไปต่อไม่ไหว รวมทั้งเข้าไม่ถึง โครงการช่วยเหลือของรัฐ ต้องยุติกิจการและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

ดังที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ โรงแรมขนาดเล็กทั่วประเทศเข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ช่วยบรรเทาความ เดือดร้อน จากการที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ Sandbox เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แม้จะพยายามยื่นขออนุญาตแต่ติดกฎหมายหลายฉบับ ที่ไม่สามารถปรับปรุงอาคารได้

โควิด-19 จึงไม่ใช่สาเหตุหลักสาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กเผชิญความลำบากในการประกอบกิจการ ในแวดวงผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทราบกันดีว่า การบังคับใช้กฎหมายและใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมภายใต้กฎหมาย คือ กฎหมายผังเมือง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ และ พ.ร.บ.โรงแรมฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน และการบังคับใช้อยู่ตั้งอยู่บนมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของ โรงแรมขนาดเล็ก สร้างภาระปัญหาให้กับทั้งผู้ประกอบการเดิมและรายใหม่ในอนาคต

กฎหมายกดทับโรงแรมเล็ก

ประเทศไทยมีโรงแรมขนาดเล็กจำนวนมากที่มีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ได้แก่ กฎเกณฑ์ภายใต้กฎหมายผังเมืองที่ได้จำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เช่น การบำบัดน้ำเสีย การมีที่จอดรถ หรือการสร้างมลภาวะทางเสียง เป็นต้น

พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ได้กำหนดลักษณะ ขนาดพื้นที่และที่ตั้งของอาคาร รวมถึงความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร โดยยึดโยงอยู่กับมาตรฐานอาคารขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งไม่ครอบคลุมโรงแรมขนาดเล็กที่มีการนำบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักมาดัดแปลง แม้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีความพยายามผ่อนคลายกฎเกณฑ์ ในเรื่องมาตรฐานอาคารโดยปรับให้สอดคล้องกับอาคารขนาดเล็กมากขึ้น แต่ยังไม่ครอบคลุมลักษณะที่พักอีกหลายประเภท เช่น เรือนแพ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

เมื่อไม่ผ่านเงื่อนไขนี้ ทำให้การขอใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรงแรมฯ ของโรงแรม ขนาดเล็กจึงเป็นไปได้ยาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มีแนวโน้มความนิยมการเข้าพักโรงแรมขนาดเล็กมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทั้งบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักดัดแปลง และทำให้เกิดช่องโหว่ของภาครัฐในการกำกับดูแลธุรกิจโรงแรม

หากพิจารณาจากจำนวนโรงแรมที่ได้รับอนุญาตจากกรมการปกครอง มีประมาณ 30,000 กว่าแห่ง ในขณะที่โรงแรมที่ลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มเว็บไซต์ OTA สำหรับจัดการการจองที่พัก มีโรงแรมมากกว่า 60,000 แห่ง

นอกจากการกำหนดเรื่องขนาดพื้นที่ ลักษณะอาคารแล้ว พ.ร.บ.โรงแรมฯ ยังกำหนดเงื่อนไขการต้องแยกสัดส่วนระหว่างที่พักอาศัยกับส่วนที่เป็นโรงแรม และจำกัดจำนวนห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง จำนวนคนพักไม่เกิน 20 คนสำหรับโฮมสเตย์ เงื่อนไขนี้กระทบต่อธุรกิจที่มีบ้านพักอาศัยกับโรงแรมตั้งอยู่ในที่เดียวกัน จึงทำให้การประกอบธุรกิจแบบโฮมสเตย์ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยผลของกฎหมายเช่นกัน ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงสถานที่เพื่อให้บริการลูกค้า

อีกทั้งยังมีการกำหนดว่าโรงแรมต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักโรงแรมขนาดเล็ก อาจไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพียงแต่ต้องการห้องพักที่สะอาดเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมตามกฎหมายกำหนดบางอย่างเป็นต้นทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กทั้งสิ้น

ปัญหาโรงแรมขนาดเล็กไม่สามารถดำเนินกิจการและขอใบอนุญาตโรงแรมได้เพราะติดข้อกฎหมายนั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน หน่วยงานของรัฐได้มีความพยายามผ่อนผันโดยใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและ พัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปรับปรุงอาคารและดำเนินการขอใบอนุญาตโรงแรมได้โดยกฎหมายได้มีการยกเว้น ความผิดและยกเว้นโทษให้ผู้ประกอบการจนถึงวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุนจากการไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ และต้องหยุดกิจการตามมาตรการของรัฐบาลจากการระบาดของ โควิด-19 แม้จะมีการกำหนดมาตรการผ่อนผันเพียงชั่วคราว โรงแรมขนาดเล็กก็ยังไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงอาคารและขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมให้สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดได้ตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เพราะโรงแรมขนาดเล็กไม่มีเงินทุนมากพอที่จะดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงอาคาร

รื้อกฎหมายเอื้อรายเล็กเริ่มต้นใหม่และไปต่อได้

แม้กฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขของอาคารและการให้บริการโรงแรม จะทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ดีเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการได้รับผลกระทบของการประกอบกิจการ และเพื่อยกมาตรฐานดูแลผู้เข้าพักในโรงแรม แต่เงื่อนไขของกฎหมาย ดังกล่าวนั้นอาจจะล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน

ทางแก้ไขปัญหานี้จะต้องปรับรื้อกฎหมายเอื้อให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งมีส่วนช่วยฟื้นคืนภาคการท่องเที่ยวบริการของประเทศไทย โดยจำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบเสมือนการยกเครื่องรถยนต์ใหม่ทั้งคัน

ในระยะแรกจะต้องมีการคุ้มครอง ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการที่คำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 หมดอายุลง การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ในช่วงโควิด-19 ระบาดนั้น รัฐบาลอาจ จะต้องออก พ.ร.ก.งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายโรงแรมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก ที่ดำเนินการมาก่อนหน้าปีการระบาดของ โควิด-19 เพื่อไม่ให้มีการเอาผิดกับ ผู้ประกอบที่ดำเนินการในช่วงเวลานี้

พร้อมทั้งให้เวลากับผู้ประกอบปรับปรุงสภาพอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมาย และให้เวลาหน่วยงานของรัฐดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป

การแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก รัฐบาลควรดำเนินการแก้ไขกฎหมายและ ใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมใหม่ โดยการปรับกฎเกณฑ์ของมาตรฐานอาคารที่ใช้ในการประธุรกิจโรงแรมให้รองรับลักษณะของการประกอบธุรกิจโรงแรมที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมขนาดเล็ก และโรงแรมที่มีรูปแบบ เฉพาะตัว เช่น เรือนแพและ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน นโยบายเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงแรม ควรสนับสนุนการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก โดยการยกเลิกการผูกโยงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่จำเป็นต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคกับโรงแรมขนาดเล็ก รวมถึงการยกเลิกการนำกฎหมายโรงแรมกับกฎหมายควบคุมอาคารมาผูกไว้ด้วยกัน เพื่อให้การประกอบธุรกิจกับการควบคุมอาคารแยก ออกจากกันตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

ท้ายที่สุด การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจโรงแรม ควรจะเปลี่ยนมือจากหน่วยงานของรัฐส่วนกลางแบบกรมการปกครองมาสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งใกล้ชิดกับพื้นที่ทำให้สามารถเข้าถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีแรงจูงใจที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ มากกว่าหน่วยงานของรัฐที่ส่วนกลาง

การปรับแก้กฎหมายในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กไปต่อได้แล้ว การประหยัดต้นทุนใน การปฏิบัติตามกฎหมายยังช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำเงินไปใช้กับการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ด้านนักท่องเที่ยวก็มีทางเลือกรูปแบบ โรงแรมที่เข้าพักหลากหลาย สอดรับกับการที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก

นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ประชาธรรมเป็นคำที่ผมต้องการใช้มากกว่าประชาธิปไตย เพราะในวงการเมืองนั้น คำว่าประชาธิปไตยใช้กันจนเฝือ เช่น ในโรงเรียนไทย แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการ เขาก็ยังสอนให้นักเรียนท่องว่า ประเทศไทยเป็นเสรีประชาธิปไตย อีกประการหนึ่ง การเป็นประชาธิปไตยนั้น ถ้าไม่อาศัยหลักธรรมะแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์และบกพร่องแน่ เพราะถึงแม้เราจะปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก ถ้าเสียงข้างมากโน้มเอียงไปเชิงพาลแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถถกเถียงเรียกร้องให้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้ จึงจะเป็นธรรม…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2521).

ชื่อ “ป๋วย อึ๊งภากรณ์” นั้น เป็นที่รู้จักพอสมควรในสังคมไทย ในหลายๆ แง่มุมทั้งในฐานะการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เทคโนแครตตัวอย่างผู้คอยรั้งรัฐบาล นักพัฒนา และนักสันติวิธีคนหนึ่ง รวมถึงจะรู้จักอุดมการณ์สันติประชาธรรมของอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและในบทความนี้ที่ได้หยิบยกมา คือ สังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ก้าวพ้นในสิ่งที่อาจารย์ป๋วยได้เคยพูดเสมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ และในแง่นี้คำพูดของอาจารย์ป๋วยจึงยังคงอยู่กับสังคมมากกว่าปณิธานของอาจารย์ที่ได้แสดงไว้

อีกครั้งหนึ่งกับสันติประชาธรรม

บ่อยครั้งที่เมื่อพูดถึงอุดมคติของรัฐในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยจะเริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า “สันติประชาธรรม” คืออะไร และมีความหมายอย่างไร

“สันติประชาธรรม” นั้น เป็นมรรควิธีสำคัญที่อาจารย์ป๋วยมองว่าเป็นหนทางสำหรับการปกครองและนำสังคมไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีแก่นแกนสำคัญอยู่ที่การมีสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการเข้าถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองโดยไม่จำกัดฐานะ เพศ และชาติกำเนิด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี ด้วยบริบทของการเป็นเผด็จการแปลงรูปมาในชุดผ้าคลุมของระบอบประชาธิปไตยในยุคสมัยนั้น อาจารย์จึงเลือกที่จะใช้คำอื่นแทนที่จะเรียกประชาธิปไตย ซึ่งคำๆ นั้นก็คือ “สันติประชาธรรม”

“ประชาธรรม คือ ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม…บ้านเมืองที่มีประชาธรรมนั้นมีขื่อมีแป ไม่ใช่ปกครองกันตามอำเภอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จดหมายของ นายเข้ม เย็นยิ่ง
เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ (2515)

ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยนั้นคำว่า “ประชาธรรม” คือ การที่ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม กล่าวคือ ธรรมนั้นเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม โดยอาจารย์ป๋วยมีทรรศนะว่า โดยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยนั้นหากปราศจากธรรมแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์กลายเป็นการปกครองกันด้วยเสียงข้างมากไป

ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจ ซึ่งคำว่า “ธรรม” ที่อาจารย์ป๋วยพูดถึงนั้นน่าจะหมายถึง “ความชอบธรรม” (legitimacy) ซึ่งเป็นเรื่องของการที่อำนาจได้รับการยอมรับจากสาธารณชน รวมถึงเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าว  อย่างไรก็ดี เพียงประชาธรรมอย่างเดียวนั้นในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยไม่เพียงพอ หากแต่ประชาธรรมอันเป็นมรรควิธีนั้นจะต้องเป็นไปโดยสันติ[2]

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี (2515)

นอกจากนี้ ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยแล้ว การได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นจำเป็นต้องยึดหลักการสันติวิธี ดังที่อาจารย์ได้เคยแสดงทรรศนะเอาไว้ว่า “ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี” กล่าวคือ การได้อำนาจทางการเมืองใดๆ นั้นจะต้องอาศัยวิธีการโดยสันติ  ดังนั้น หากรัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือตำรวจเพื่อเข้าห้ำหั่นประชาชนหรือใช้กำลังทหารเพื่อเข้าควบคุมฝูงชนในการชุมนุม

การใช้ความรุนแรงนี้รวมไปถึงการใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อปิดปากมิให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม ลักษณะดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดนี้ ย่อมไม่สามารถนำไปสู่สังคมที่เป็นประชาธรรมได้ และกลายเป็นความเกลียดชังของคนในสังคมด้วยซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การใช้อาวุธประหัตประหารกันไม่รู้จบ ดังนี้แล้วสังคมใดจะเป็นประชาธรรมอย่างแท้จริงได้ จะต้องเกิดขึ้นบนสันติวิธี ปราศจากการใช้กำลังประหัตประหารกัน[3]

สังคมทำไมต้องเป็นสันติประชาธรรม

…ในสังคมที่มีประชาธรรม เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เจ้าหน้าที่กับราษฎร หญิงกับชาย คนมีกับคนจน ท้องถิ่นที่อุดมกับท้องถิ่นที่กันดาร การมีโอกาสการศึกษากับการปราศจากโอกาส การมีโอกาสด้านสุขภาพอนามัยกับการปราศจากโอกาส ฯลฯ

ทั้งนี้มิได้เกิดจากลัทธิการเมืองหรือลัทธิอื่นใด เป็นเรื่องของความชอบธรรม ความเมตตากรุณา การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การปรองดองกัน และการที่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้แก่ผู้ตกยาก การมีอิสระที่จะรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กับรวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ซึ่งควรเคารพ ไม่ว่าฐานะกำเนิดของเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมสามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ที่ว่านั้นได้โดยสันติภาพ…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2515)

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สันติประชาธรรม” เป็นมรรควิธีในการและหนทางสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุที่อาจารย์ป๋วยคิดเช่นนั้น ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ระบอบประชาธรรมนั้นเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง และเอื้ออำนวยให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคม และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและช่องว่างด้านอื่นๆ ระหว่างท้องถิ่นและในหมู่ประชาชน[4]

ภาพของสังคมสันติประชาธรรมในทรรศนะของอาจารย์ป๋วย จึงไม่ใช่เพียงสังคมที่ผู้ปกครองมีการใช้อำนาจโดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ในทรรศนะของอาจารย์ สังคมสันติประชาธรรมจะต้องเป็นสังคมที่ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพระหว่างคนในสังคมทั้งหมด โดยรัฐควรจะมีบทบาทในการเกื้อกูลระหว่างประชาชนในแต่ละกลุ่ม ทรรศนะดังกล่าวนี้อาจารย์ป๋วยแสดงผ่านข้อเขียนของอาจารย์ป๋วยที่ชื่อว่า คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2516

ใจความสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ก็คือ การพยายามสื่อสารให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ ซึ่งลำพังการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์นั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคนในประเทศยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการศึกษา[5]

มองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรม

สถานการณ์สังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังติดอยู่ในกับดักของการหยุดยั้งการพัฒนาทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ สถานภาพของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของการรัฐประหาร และความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ในส่วนนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนมองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรมนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง

เมื่ออำนาจกลายเป็นธรรม

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งในแง่ของการตีความบทบัญญัติกฎหมายชนิดที่เรียกได้ว่า สองมาตรฐาน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาจากการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ยึดโยงอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชน หรือเป็นการตีความกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความชอบธรรมของกฎหมายในมือของรัฐบาล

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของกฎหมายในช่วงที่ผ่านมาเรื่องหนึ่งคือ การพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีทางการเมืองของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพโดย ไอลอว์ (iLaw) ในช่วง 9 กุมภาพันธ์ 2564 – 29 เมษายน 2564 นั้น ในการยื่นขอประกันตัวทั้งหมด 9 ครั้ง ศาลได้ให้เหตุผลในการไม่ให้ประกันตัว 2 ครั้ง โดยอ้างว่า เนื่องจากอัตราโทษสูง อาจไปก่อความผิดซ้ำ หรืออาจนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันกษัตริย์และเกรงว่าจะหลบหนี นอกจากนั้นแล้วศาลให้เห็นเหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม[6] ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมนั้นถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนถึงความชอบธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งบัดนี้การใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งเป็นกติการ่วมกันของสังคมได้ถูกตั้งคำถามมากขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในระบอบกฎหมายต่อไปในอนาคต

ในสังคมที่ห้ามเห็นต่างทางการเมือง

ตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ และสืบทอดอำนาจต่อมาด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 นี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นี้เองศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้จัดทำรายงานสรุปสถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 16 กรกฎาคม 2562 เอาไว้[7] ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มีนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และประชาชน ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเมื่อมีการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สถานการณ์ของการมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกับหลุดลอยไปเนื่องจากกระบวนการใช้อำนาจของรัฐนั้นละเลยต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ถูกเรียกรายงานตัว / ควบคุมตัวในค่ายทหาร930 คน
ถูกข่มขู่ คุกคาม ติดตาม592 คน
กิจกรรมสาธารณะถูกปิดกั้นแทรกแซง361 กิจกรรม
ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมาน18 คน
ถูกปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก159 กลุ่ม
ถูกตั้งข้อหาชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป428 คน
ถูกตั้งข้อหา มาตรา 116124 คน
ถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ. ประชามติฯ ร่าง รธน. 255950 คน
ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวหรือมีเงื่อนไขปล่อยตัว (MOU)31 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากการแสดงออกที่เกี่ยวกับการเมือง197 คน
ถูกตั้งข้อหา ดูหมิ่นศาล หรือละเมิดอำนาจศาล18 คน
ถูกตั้งข้อหามาตรา 112169 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. ชุมนุมฯ276 คน
ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร2,408 คน
จำนวนขั้นต่ำผู้ลี้ภัยทางการเมือง102 คน
สูญหายจากประเทศเพื่อนบ้านระหว่างลี้ภัย6 คน
ตกเป็นเป้าทำร้ายร่างกาย 12 ครั้ง4 คน
ถูกทำให้เสียชีวิตระหว่างลี้ภัย2 คน
ที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ‘5 ปี คสช. สถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ’

ความเหลื่อมล้ำในวิกฤตเศรษฐกิจ

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ในช่วงปี 2558 – 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ต่อปี แต่ในทางตรงกันข้ามประชาชนกลับไม่รู้สึกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก เงินที่ได้รับจากการทำงานยังไม่พอเลี้ยงปากท้อง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแหล่งอื่น โดยร้อยละ 20 (กลุ่มครัวเรือนไทยที่จนที่สุด) มีแหล่งรายได้มาจากเงินช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและบุคคลนอกครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ที่เป็นตัวเงินทั้งหมด และ ประการที่สอง ครัวเรือนยังต้องบริโภคด้วยการก่อหนี้ โดยสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่เกือบร้อยละ 80 สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากเกาหลีใต้[8]

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบให้กับประชาชนเป็นอย่างมากโดยทำให้รายได้ลด และหนี้สินเพิ่มกลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิม โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวสูงถึงร้อยละ 6.1 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มลูกจ้างในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างมากที่สุด เพราะขาดรายได้หรือรายได้ลดลงมาก จากการเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่น รวมถึงในระยะแรกอาจจะต้องมีการนำเงินออมที่มีอยู่ออกมาใช้จ่ายหรืออาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มในช่วงที่ขาดรายได้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19[9] สภาพดังกล่าวยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เนื่องจากลูกจ้างในสังคมไทยเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงเนื่องจากรายได้ต่ำ เมื่อเทียบกับความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างน้อย

การหลุดลอยออกจากระบบการศึกษา

จากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จากข้อมูลการศึกษาล่าสุดปีการศึกษา 1/2564 มีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเด็กทั้งหมด ในช่วงวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับที่มีประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 1,094 บาท  นอกจากนี้ รายได้จากการเกษตรหรือด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่ลดลง แต่รายได้ที่เพิ่มมาจากสวัสดิการรัฐ เงินช่วยเหลือเยียวยา และผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้จำนวนเด็กยากจนพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากปีการศึกษา 2/2563[10]

สถานการณ์ดังกล่าวเลวร้ายมากขึ้นจากการสำรวจของ กสศ. ในช่วงภาคเรียนที่ 1/2563 ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยมีนักเรียนยากจนจำนวน 1.7 ล้านคน โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยากจนพิเศษในปีที่ผ่านมาประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียนที่ 2/2562 มากกว่า 2.4 แสนคน[11]

สิ่งที่จะต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว สถานการณ์การหลุดลอยจากระบบการศึกษาจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อชีวิตร่วงหล่นลงอย่างไม่มีคุณค่า

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น แม้ในช่วงต้นของการระบาดประเทศจะรับมือได้ดีเนื่องจากความตั้งใจและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19  อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสถัดๆ ไปนั้น ประเทศไทยประสบกับปัญหาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเมื่อการระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และโอไมครอน สภาพของการระบาดที่เกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล และจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกันจำนวนการเข้าถึงวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพในประเทศไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า และกระจายการเข้าถึงในระดับที่ต่ำ

สถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายใหม่

ที่มา: JHU CSSE COVID-19 Data.

สถิตผู้ได้รับวัคซีน

ที่มา: กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม.

สังคมไทยในวันนี้ ที่อาจารย์ป๋วยได้จากโลกนี้ไปแล้ว สภาพสังคมโดยรวมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สังคมการเมืองไทยยังคงอยู่ในวังวนที่ธรรมนั้นเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม ในขณะที่วิถีชีวิตของคนในสังคมยังคงมีความยากลำบากและไม่มีความแน่นอนในชีวิต คุณภาพชีวิตนับตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนนั้นยังคงไม่ได้ดีขึ้นเท่าใดนัก สังคมไทยยังห่างไกลสู่หนทางของการเป็นสันติประชาธรรม เมื่อนึกดูแล้วก็ได้แต่ “นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม”


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 ตุลาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/10/873.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, จารีตรัฐธรรมนูญไทยกับสันติประชาธรรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2550) 169.

[5] พชร สูงเด่น, “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ย้อนอ่านความฝันของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์,” a day bulletin, 9 มีนาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://adaybulletin.com/life-feature-from-womb-to-tomb-puey-ungphakorn/47552.

[6] iLaw-freedom, “รวมสถิติการยื่นคำร้องขอประกันตัว เพนกวิน-พริษฐ์,” iLaw freedom, 5 พฤษภาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://freedom.ilaw.or.th/node/906.

[8] พิรญาณ์ รณภาพ, “​ความเหลื่อมล้ำ: ตัวฉุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลง,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, 11 พฤศจิกายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_11Nov2021.aspx.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ยากจน ลำบาก หลุดจากระบบการศึกษา,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 25 กันยายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.eef.or.th/infographic-06-09-21/.

ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยมีความตั้งใจจะใช้เป็นความเพื่อระลึกถึง อ.ป๋วย แม้ผู้เขียนจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับ อ.ป๋วย โดยตรง เพราะกว่าเมื่อผู้เขียนจะรู้ความพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในสังคมไทย อ.ป๋วย ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อในบทความนี้ก็คือ ความเคารพที่มีต่ออาจารย์ หลายคนมอง อ.ป๋วย ในหลายบทบาททั้งในฐานะ นักพัฒนา เทคโนแครตมืออาชีพ นักอุดมการณ์​ นักสันติวิธี และเจ้าของอุดมการณ์​สันติประชาธรรม แต่การพิจารณา อ.ป๋วย ในลักษณะแบบนั้นมันเป็นการเคารพ อ.ป๋วย ตามอุดมการณ์แบบบูชาตัวบุคคล มากกว่าจะก้าวข้าม อ.ป๋วย และสืบสาน รักษา และต่อยอดสิ่งที่ อ.ป๋วยพูด ไว้ สังคมไทยเลยติดกับอยู่กับคำพูดมากกว่าอุดมการณ์​ เสมือน อ.ป๋วยไม่เคยจากโลกนี้ไป อ.ป๋วย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อบางชุด ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความนี้เพื่อแสดงมุทิตาจิต ในฐานะศิษย์ซึ่งไม่เคยพบหน้าและยึดถืออุดมการณ์ของอาจารย์