เจ้าดวงเดือน (The Lost Princess)

เจ้าดวงเดือน (The Lost Princess) [2025] | ภาพยนตร์กำกับโดย กรภัทร ภวัครานนท์

ในแง่ความรู้สึกส่วนตัวค่อนข้างจะชอบตัวหนังเรื่องนี้ ดูผิวเผินตัวหนังในทีแรกอาจทำให้คนเข้าใจว่าพอเป็นหนังสารคดี และเป็นสารคดีที่ทำโดยหลานสาวของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่แล้ว คิดว่าในทีแรกหลายคนน่าจะคิดว่าคงเป็นสารคดีในเชิงอนุสรณ์หรือการกล่าวถึงเกียรติประวัติของเจ้าดวงเดือนผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งลักษณะของสารคดีที่ระลึกถึงผู้วายชนม์ในประเทศนี้โดยส่วนใหญ่ไม่ได้นำเสนอผู้วายชนม์ในฐานะมนุษย์สักเท่าไร ภาพของการจดจำในฐานะสิ่งที่เป็นอนุสรณ์จึงไม่ใช่ตัวตนของผู้วายชนม์

แต่สิ่งที่หนังสือเลือกที่จะนำเสนอคือ ตัวตนของเจ้าดวงเดือนบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ถึงที่สุดแล้วหนังได้ทำให้เราได้รู้จักกับหญิงชราในวัยกว่า 80 ปี (ตามท้องเรื่อง) ที่ผ่านโลกและผ่านความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ลักษณะ ทั้งสถานะทางสังคมของความเป็นเจ้า เกียรติยศศักดิ์ศรี ชีวิตครอบครัว ความเป็นผู้หญิง และความเป็นแม่

ส่วนตัวหนังชวนให้เราคิดและมองตัวตนของเจ้าดวงเดือนบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์มากที่สุด ส่วนตัวก่อนมาดูหนังก็รู้จักหรือรับรู้เรื่องเจ้าดวงเดือนน้อยมาก แน่นอนว่าผู้หญิงล้านนาเชียงใหม่ที่คนทั่วๆ ไป นอกวงสังคมและวัฒนธรรมจะรู้จักคงมีอยู่ 2 คนคือ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เมียโปลิซีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมะเมียะ จากเพลงของสุนทรี เวชานนท์ ที่ทำให้เรื่องซุบซิบในหนังสือเพชรล้านนาดูมีตัวตน

ส่วนตัวรับรู้เรื่องเจ้าดวงเดือนก็คือตอนที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว แล้วก็เพิ่งรู้เพิ่มเติมตอนดูหนังวันนี้ว่า เจ้าดวงเดือนไม่ได้เป็นสายเจ้าหลวงเชียงใหม่โดยตรงแต่เป็นบุตรของเจ้าราชภาคินัย

พ้อยท์สำคัญที่นี่คิดว่าหนังนำเสนอแล้วน่าสนใจก็คือ ใครๆ ดูก็อยากจะเป็นเจ้า ความเปลี่ยนแปลงระหว่างยุคสมัย และการเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัว

เรื่องใครๆ ดูก็อยากเป็นเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ดูแล้วคิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าด้วยเพราะว่า ชาติกำเนิดเกิดมาเป็นเจ้า หรือการอยากอุปโลกน์ ยกตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้า สิ่งนี้ดูแทบจะเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย

ในเชิงวัฒนธรรมตัวของเจ้าดวงเดือน อาจจะถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของการรักษาวัฒนธรรมแบบ “ล้านนา” ซึ่งวัฒนธรรมอาจเป็นเครื่องมือที่หนังพยายามบอกกับคนดูว่า สิ่งนี้คือเครื่องมือสำคัญของการต่อสู้ และใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาตัวพื้นที่ของล้านนาไว้

แต่ตลอดทั้งเรื่องหนังเรื่องนี้สะท้อนว่า เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เจ้าดวงเดือนกลายเป็นและถูกทำให้เป็นคือ สัญลักษณ์แทนใจของคนอยากเป็นเจ้าหลายคน บรรดาบุคคลที่ห้อมล้อมไม่ว่าจะด้วยความรักหรือไม่ก็ตาม การยกย่องเจ้าดวงเดือนในท้ายที่สุดของคนเหล่านั้น อาจจะไม่ใช่เพราะคุณค่าในฐานะผู้รักษาวัฒนธรรม แต่กลายเป็นภาพของผู้อยู่เหนือในชนชั้นทางสังคม และตัวแทนของความรุ่มรวยในอดีต

คำว่า “เจ้า” ที่นำหน้าชื่อ ในที่นี้จึงบ่งบอกนัยหลายๆ อย่างในหนังไปพร้อมๆ กัน ในนัยแรก “เจ้า” (น.) ตามนัยของพจนานุกรม คือคำนำหน้าชื่อเพื่อแสดงว่าเป็นเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ เช่น เจ้าดวงเดือน แบบที่หนังนำเสนอ และอีกนัยโดยอ้อมคือ “เจ้า” ในฐานะของสถานะทางสังคม แล้วเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาจะได้เป็นเช่นนั้น

หลายฉากในหนังสะท้อนนัยอย่างหลังออกมา ผ่านกิจกรรมต่างๆ ผ่านคำพูดของผู้คนในสารคดี และผ่านการแสดงออกหรือสายตาของแต่ละคน

สถานะของเจ้าดวงเดือน ที่ไม่ได้สืบเชื้อสายโดยตรงจากสายเจ้าหลวง (เจ้าแก้วนวรัฐ) การเรียกเจ้าดวงเดือนในภาษาอังกฤษ จึงเป็นสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นว่ามันมีการถกเถียงมากๆ ว่าจะแปลคำว่า “เจ้า” ในที่นี้เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร ตัวเจ้าดวงเดือนเห็นควรว่าจะแปลว่า “princess” หรือ “northern Thai princess” (สำหรับเจ้าผู้หญิง) แต่หลายๆ คนในมูลนิธิที่ทำงานสนับสนุนกิจกรรมของเจ้าดวงเดือนไม่ได้เห็นด้วยที่จะใช้คำนั้น เพราะมองว่า ถ้าแปลว่า princess ควรเป็นลูกหรือสายของเจ้าหลวง แต่เจ้าดวงเดือนเป็นเพียงลูกของเจ้าราชภาคินัย แม้จะมีสถานะตามฐานันดรศักดิ์เจ้านายฝ่ายเหนือก็ตาม

ความเปลี่ยนแปลงระหว่างยุคสมัย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หนังพยายามนำเสนอ จากบทสนทนา จากการพูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆ ของเจ้าดวงเดือน

ความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามามีอยู่ทั้งสองระดับ คือ ในระดับบ้านเมือง และในระดับชีวิตประจำวัน

ในด้านบ้านเมือง บทสนทนาของผู้กำกับ เจ้าดวงเดือน และลูกชาย (ในเรื่องเรียกว่าลุงผึ้ง หรือที่ใช้ในสื่อปัจจุบันคือ เจ้าภาคินัย) ช่วยให้เราย้อนกลับไปพิจารณาบทบาทของเชียงใหม่ในฐานะเมืองที่เคยเป็นอิสระจากสยามก่อนที่จะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่ง (พื้นที่ของความทรงจำนี้ระหว่างเจ้าดวงเดือนกับลูกชายยังมองสถานการณ์นี้แตกต่างกัน) สถานะของเจ้าหลวงเชียงใหม่ที่มีอำนาจ และควบคุมทรัพยากรในเขตเชียงใหม่ในอดีต การลดบทบาทลงของเจ้านายฝ่ายเหนือ และความทรงจำที่ไม่ต้องตรงกันระหว่างเจ้าดวงเดือนและลุงผึ้งเกี่ยวกับสถานะของเชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ หรือล้านนาเป็นเพียงแค่องค์ประกอบย่อยๆ ของประวัติศาสตร์ไทย จะเรียกเป็นเชิงอรรถก็อาจจะมีพื้นที่มากเกินไป

บทบาทของเจ้านายฝ่ายเหนือที่ลดลงสะท้อนผ่าน การล่มสลายของอำนาจทางเศรษฐกิจ ความยากจน การลดตัวมาอยู่ในสถานะของสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของความเป็นมาอันดีงามของเมืองเชียงใหม่ และการถูกแทนที่ด้วยสถาบันของเจ้าอาณานิคม สิ่งเหล่านี้สะท้อนและปรากฏอยู่ตลอดเรื่อง

การนำเสนอเนื้อหาส่วนนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับหนังสารคดีเรื่องนี้ เราจะเห็นหลายฉากที่เจ้าดวงเดือนกำลังดูละครย้อนยุค แต่ละครพูดถึงเมืองสมมติในล้านนา แต่สิ่งที่ตัวละครกำลังพูดคือ การสู้เพื่อรักษาเอกราชของตัวเองไว้ ภาพที่มันสะท้อนให้เห็นคือ เรื่องราวของล้านนากลายเป็นวัตถุดิบอันโรแมนติกในยุคต่อมา ผู้คนหลงลืมไปแล้วว่าการผนวกล้านนาเกิดขึ้นอย่างไร และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ คนแบบเจ้าดวงเดือน

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่คิดว่าน่าสนใจคือ มุมมองของเจ้าดวงเดือนต่อสถานการณ์ต่างๆ ในระดับชีวิตประจำวัน

มนุษย์คนหนึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่คนที่มีชีวิต แต่ยังเป็นภาชนะรองรับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบทสนทนาของเจ้าดวงเดือนกับคนอื่นๆ นั้นสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นผลมาจากภาพใหญ่ อาทิ การเสด็จประพาสเชียงใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่บรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือออกมาฟ้อนต้อนรับ การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่จากคุ้มหลวงเดิมมาเป็นกาดหลวง (ตลาดวโรรส) ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตของคนที่เคยมีสถานะทางสังคมในระดับสูงมาสู่ชีวิตที่สามัญ หรือความเปลี่ยนแปลงในเชิงเทคโนโลยี

การปะทะกันของโลกเก่าและโลกใหม่นี้สะท้อนอยู่ในทุกๆ ฉากตอนของหนัง การพูดถึงสถานะของเจ้าดวงเดือนในฐานะชนชั้นนำของเชียงใหม่เดิม แม้จะถูกเรียกขานว่าเป็นเจ้า แต่ในโลกใหม่ไม่เป็นเช่นนั้น การเน้นย้ำสัญญะบางอย่างที่บอกว่า ความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือได้หมดสิ้นลงไปแล้ว การเรียกเป็นเจ้าจึงเป็นเพียงแบบแผนวัฒนธรรมและการให้เกียรติในสังคมเฉพาะกลุ่ม

เรื่องสุดท้ายที่นี่คิดว่าน่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ การเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัว

ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะใกล้ชิดแต่ห่างเหินคือ สิ่งที่หนังกำลังบอกกับเราอยู่ตลอด หลายฉากหลายตอนที่เหมือนจะเป็นคนในครอบครัว แต่ก็เหมือนเป็นคนนอกครอบครัวกัน ตัวอย่างเช่น ในฉากที่ผู้กำกับขอให้เจ้าดวงเดือนและลุงผึ้งลูกชาย บอกรักกันแบบแม่ลูก เจ้าดวงเดือนปฏิเสธที่จะพูด และอธิบายว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่วัฒนธรรมที่ปลูกผังมาเขาทำกัน

ในบางฉากที่เจ้าดวงเดือนพูดคุยเรื่องครอบครัวกับหลานสาว (ผู้กำกับ) เหมือนครอบครัวที่ขาดจุดเชื่อมต่อบางอย่างไป และทำให้ครอบครัวนี้เหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ความสนุกส่วนหนึ่งมาจากบุคลิกลักษณะของเจ้าดวงเดือนเองที่ทำให้เราในฐานะคนดูสนใจและติดอยู่กับตัวหนังได้ตลอด แล้วไม่ได้รู้สึกถึงความน่าเบื่อ

แม้ว่าหนังจะไม่ได้ทำให้เป็นอนุสรณ์ที่จะนำไปเปิดฉายในงานรวมญาติแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์บ้านแตก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนของเจ้าดวงเดือนดูด้อยเลยแม้แต่น้อย ความเคารพที่ผู้กำกับมีต่อเจ้าดวงเดือนในฐานะคุณยาย และในฐานะความเป็นมนุษย์สะท้อนออกมาอยู่ตลอด ผ่านบทสัมภาษณ์และการสนทนากัน

บุคลิกลักษณะของหญิงวัยกว่า 80 ปี ตามท้องเรื่อง แต่กระฉับกระเฉงและยังคงเค้าความสวยงามเหมือนครั้งอดีต รวมถึงความยึดถือและยึดมั่นในชาติกำเนิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าดวงเดือนในฐานะเชื้อสายเจ้านายเชียงใหม่ ยังถูกนำเสนอผ่านหนังตลอดช่วงระยะเวลา 90 นาที ได้อย่างไม่น่ากระอักกระอ่วนใจ แต่สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นของตัวเจ้าดวงเดือนเอง แล้วสิ่งที่เจ้าดวงเดือนทำคือสิ่งที่เธอเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าทำถูกต้องแล้ว

ท้ายที่สุด กลับมาที่คำว่า “เจ้า” ตามนิยามของเจ้าดวงเดือนก็คือ สิ่งที่เจ้าดวงเดือนเป็น และสิ่งที่เธอพูดไว้ปิดท้ายก่อนจะจบเรื่อง คนเป็นเจ้าที่คนนับถือในมุมของเธอคือ คนที่ทำสิ่งที่ดี เพราะหากมีแต่สายเลือด แต่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีก็เป็นเพียงแค่คนมีสายเลือดเท่านั้น

ส่วนตัวแล้วโดยรวมชอบการเล่าเรื่องและบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวของหนังอยู่ตลอด มันให้ความรู้สึกที่ดีในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาก็เป็นคือ การมีรัก โลภ โกรธ และหลง ไม่ว่าตัวเจ้าดวงเดือนเองจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ตัวหนังสารคดีเรื่องนี้ก็ได้ทำให้เห็นคุณค่าของเจ้าดวงเดือนในฐานะของมนุษย์อย่างเต็มที่แล้ว

สำหรับคนที่สนใจอ่านเพิ่มเกี่ยวกับเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน หนังสือเดือนส่องหล้า สืบสานล้านนา: ในโอกาสครบรอบ 80 วัสสา เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่