ประโยชน์และความท้าทายในการใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 บนเว็บไซต์ Tech for Good Institute โดยเขียนร่วมกันระหว่าง กัญจน์ จิระวุฒิพงศ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังจะเห็นได้จากความพยายามของรัฐบาลในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลระดับชาติที่มุ่งหมายให้เกิดการอำนวยความสะดวก การลงทุนเชิงกลยุทธ์ และการตรากฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจและประชาชน

เนื่องจากกฎหมายมีรายละเอียดและหลักการที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายภาพรวมของพัฒนาการของประเทศไทยในด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกฎระเบียบและแนวทางปัจจุบัน ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการมีระบบและมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดี และความท้าทายของประเทศไทยในการพัฒนามาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาแนวทางการพัฒนามาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย และเป็นบทเรียนสำหรับประเทศอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนากฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย

ภาพรวมของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือเรียกโดยย่อว่า PDPA ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 แต่ในความเป็นจริงพระราชบัญญัติฉบับนี้เพิ่งมีผลใช้บังคับจริงในวันที่ 1 มิถุนายน 2562 โดยมี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส. หรือ PDPC) เป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงมีอำนาจในการออกกฎหมายลำดับรองและวางแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการตาม PDPA โดยในปัจจุบัน สคส. ได้มีการออกกฎหมายลำดับรองและแนวทางปฏิบัติดังปรากฏตามตารางข้างท้ายนี้ตารางแสดงกฎหมายลำดับรองและแนวปฏิบัติตามฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ข้อมูล ณ 14 กรกฎาคม 2566)

กฎหมายลำดับรองวันที่ออก
1. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง การยกเว้นการบันทึกรายการของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นกิจการขนาดเล็ก พ.ศ. 256521 มิถุนายน 2565
2. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ พ.ศ. 256521 มิถุนายน 2565
3. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 256521 มิถุนายน 2565
4. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 256515 ธันวาคม 2565
5. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำและเก็บรักษาบันทึกรายการของกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 256517 ธันวาคม 2565
6. ระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลว่าด้วยการยื่น การไม่รับเรื่อง การยุติเรื่อง การพิจารณา และระยะเวลาในการพิจารณาคำร้องเรียน พ.ศ. 256512 กรกฎาคม 2565
แนวปฏิบัติวันที่ออก
7. แนวทางการดำเนินการในการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 25627 กันยายน 2565
8. แนวทางการดำเนินการในการแจ้งวัตถุประสงค์และรายละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 25627 กันยายน 2565
ที่มา: เว็บไซต์ สคส.

นอกจากกฎหมายลำดับรองและแนวปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว ปัจจุบัน สคส. ได้มีความพยายามจะออกกฎหมายลำดับรองเพื่อสร้างความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (data protection officer: DPO) ในหน่วยงานของรัฐและกฎหมายลำดับรองเกี่ยวกับการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างประเทศในบริบทของประเทศไทย PDPA ไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดแนวทางในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพียงฉบับเดียว

แต่ในบริบทของอุตสาหกรรมเฉพาะในประเทศไทย อาทิ โทรคมนาคม เครดิตบูโร การเงินและการธนาคาร และการประกันภัยก็มีกฎหมายเฉพาะในการกำกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพบว่า ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏคำวินิจฉัยของ สคส. หรือ PDPC และคำพิพากษาของศาลตาม PDPA

ประโยชน์ของการมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดี

ในทางหลักการ PDPA มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยการสร้างความมั่นใจว่า ข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ผ่านการกำหนดมาตรการและแนวทางในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่คำนึงความเป็นส่วนตัว และการวางมาตรการรองรับการเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

นอกจากนี้ กฎหมายยังมีส่วนในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าประเทศไทยมีมาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นสากล ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อาทิ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับข้อมูลแบบคลาวด์คอมพิวเตอร์ โดยตัวอย่างการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันนี้คือ การเข้ามาลงทุนในศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนของ Amazon Web Service (AWS)  นอกจากนี้ การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลน่าเชื่อถือยังเอื้อต่อการไหลเวียนของข้อมูลอย่างราบรื่น ซึ่งส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อาทิ ความตกลงแบบครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP)ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ครอบคลุม (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) และกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF)

ความท้าทายอย่างต่อเนื่องของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในไทย

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2566 ได้เกิดเหตุข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลครั้งใหญ่ทำให้ สคส. เรียกร้องให้องค์กรธุรกิจและหน่วยงานของรัฐต่างๆ ประเมินความพร้อมในการรับมือต่อความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนบุคคลจะรั่วไหลและระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล 

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการมีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลอีกหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

ดังนั้น สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสียว่า มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยเพียงพอหรือไม่สถานการณ์ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นสถานการณ์ร่วมกันของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากรายงาน Check Point ในปี 2564 พบว่า มีการโจมตีทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นร้อยละ 168 เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ โดยร้อยละ 59 ของเป้าหมายในการโจมตีทางไซเบอร์มาจากภาคธุรกิจ 

ความท้าทายสำคัญของการป้องกันและรับมือ การถูกโจมตีทางไซเบอร์นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจากการสำรวจในปี 2564 พบว่า ในปัจจุบันมีความต้องการของจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์มากถึง 2.72 ล้านตำแหน่งทั่วโลกสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องสร้างระบบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดีเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวประเทศไทยจำเป็นต้องมีแนวทางในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็จากความร่วมมือและการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด บนหลักการสำคัญคือ การสร้างความสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ในข้อมูลกับการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สคส. ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างนโยบายและกรอบในการกำกับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ควรจะต้องทำหน้าที่โดยประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจในนามของสมาคมธุรกิจ และภาคประชาสังคม

ดังนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของประเทศไทย สามารถสรุปความท้าทาย 3 ประการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนี้

1. การกำหนดกฎระเบียบและแนวปฏิบัติที่สอดคล้องและเหมาะสมกับการทำงานในแต่ละอุตสาหกรรม

การสร้างแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานภายในอุตสาหกรรมมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตาม PDPA โดยในช่วงก่อนที่กฎหมายจะมีผลใช้บังคับ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และต่อมาก็มีการพัฒนาแนวปฏิบัติเฉพาะรายอุตสาหกรรม อาทิ แนวปฏิบัติเฉพาะธุรกิจธนาคาร และประกันภัยที่เกิดขึ้นภายใต้การส่งเสริมของสมาคมธุรกิจนอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดแนวทางในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สคส. ได้สนับสนับสนุนสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) 

ในการดำเนินการปรึกษาหารือการจัดทำแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 7 รายสาขาธุรกิจ และจัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากภาคธุรกิจและประชาชน เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดี ซึ่งการประชุมรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก เนื่องจากแนวปฏิบัติมีส่วนช่วยให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPAอย่างไรก็ดี ข้อสำคัญที่ต้องระลึกไว้ก็คือ ในยุคที่เทคโนโลยีมีและรูปแบบธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียจึงมีความสำคัญ

สคส. ควรจะต้องกำกับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ในข้อมูลส่วนบุคคลทั้งไม่ว่าจะโดยภาคธุรกิจหรือหน่วยงานของรัฐ กับสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ซึ่งการร่วมมือกันกับภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจพิจารณาประเด็นการกำหนดแนวทางเก็บรวบรวมข้อมูลของอัลกอริทึมอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส หรือการกำหนดแนวทางที่ดีในการเก็บข้อมูลอัตโนมัติอย่างไรให้กระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวน้อยที่สุด

2. การมีหน่วยงานกำกับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มแข็ง

ในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีหน่วยงานกำกับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มแข็ง ซึ่งการจะเกิดหน่วยงานในลักษณะดังกล่าวได้จำเป็นต้องมีงบประมาณที่เพียงพอและบุคลากรที่มีความสามารถเหมาะสมกับการทำงานในกรณีของประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทายในช่วงเริ่มต้นการบังคับใช้ PDPA ในปี 2562 ภายหลังจากการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายไปถึง 2 ครั้ง 

ในที่สุด PDPA ได้เริ่มต้นใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง สคส. ทำให้กระทบต่อการสรรหากรรมการและการออกกฎหมายลำดับรองที่ล่าช้านอกจากนี้ การได้รับงบประมาณที่เพียงพอ และบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานเป็นส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความมั่นใจในการทำงานของหน่วยงานกำกับดุแลการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล  อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากรเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหลายประเทศเช่นกัน โดยในปัจจุบัน สคส. มีจำนวนบุคลากรต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ จะต้องมีเจ้าหน้าที่รวมทั้งหมด 210 คน 

แต่ตามแผนที่รายงานคณะรัฐมนตรี สคส. มีแผนจะรับโอนบุคลากรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 49 คนในปีงบประมาณนี้ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อเป้าหมายในการดำเนินงาน ในด้านงบประมาณ สคส. มีความพยายามขอรับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 99,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการทำงานของ สคส. งบประมาณและบุคลากรเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานของ สคส. ในการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการใช้กฎหมาย และการวางข้อจำกัดในการยกเว้นกฎหมายให้เหมาะสม

PDPA ของประเทศไทยได้รับอิทธิพลในการร่างมาจากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป หรือ General Data Protection Regulation (GDPR) โดยมีหลักการสำคัญหลายประการร่วมกัน แม้อาจจะมีความแตกต่างบ้างเล็กน้อยในบางเรื่อง ตัวอย่างเช่นการตระหนักถึงความหลากหลายของธุรกิจในประเทศไทย จึงได้มีการกำหนดข้อยกเว้นบางประการเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยลดภาระการปฏิบัติตามกฎหมาย 

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการตีความกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบริบทอุตสาหกรรมเฉพาะที่มีกฎหมายกำกับดูแลการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ ด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนที่รวบรวมไว้ก่อนการบังคับใช้ PDPA จำเป็นต้องมีความชัดเจนว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จะใช้กฎหมายอย่างไรนอกจากนี้ การร่างกฎหมายลำดับรองที่พิจารณาอยู่ในปัจจุบันยังได้มีความพยายามยกเว้นการบังคับใช้ PDPA ในบางแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานของรัฐ

แม้ว่าจะได้มีความพยายามสร้างหลักเกณฑ์สำหรับข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎมายเหล่านี้ แต่ข้อยกเว้นดังกล่าวยังขาดวิธีการที่ชัดเจนในการรักษาสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สภาพดังกล่าวอาจส่งผลให้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยมีมาตรฐานที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานของสหภาพยุโรป ซึ่งจะกระทบต่อการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดน เนื่องจากไม่ได้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เท่าเทียมกัน เพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว

รัฐบาลจึงควรจะต้องแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง และคำนึงถึงผลกระทบของการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วนและสอดคล้องกับเป้าหมายที่จะมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ดีของประเทศไทย

บทสรุป

โดยรวมแล้วการบังคับใช้ PDPA ในประเทศไทยยังจำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายเกี่ยวกับความสามารถของรัฐ การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการใช้กฎหมายและการกำหนดข้อยกเว้นกฎหมาย และการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในอุตสาหกรรม โดยในกรณีนี้ สคส. ควรจัดลำดับความสำคัญและเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ รวมถึงควรจะต้องคำนึงความสอดคล้องของมาตรฐานสากล และการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายคือ การเสริมสร้างกรอบในการคุ้มครองข้อมลส่วนบุคคลน่าเชื่อถือ

Digital treasure trove threatens privacy

First Published in Bangkok Post on Wednesday, August 16, 2023

With the unstoppable digital boom, Thailand faces a critical question: Is the country adequately prepared to shield its citizens’ personal information from potential misuse?

Due to their rapid growth, digital platform businesses have propelled their value to over 900 billion baht in 2021. Their prowess lies in their capacity to compile and process vast data, enabling them to decode consumer behaviour and create sought-after services. Yet, this advantage raises privacy concerns.

Amid escalating data breaches and privacy infringements, swift government action is essential to fortify data protection against influential digital entities before matters spiral.

Although the 2019 Personal Data Protection Act (PDPA) is in effect, challenges persist. It remains unclear how well this law shields individual privacy given the difficulty in finding the right balance between commerce and personal privacy.

The first challenge is unclear communication with consumers on how their personal data is collected and used.

A Thailand Development Research Institute (TDRI) study reveals businesses using perplexing language and legal jargon, hindering consumers’ comprehension of how their personal data are handled. Moreover,  the use of technology to block access to information unless the consumer agrees to be tracked by a “cookie wall” creates consumer annoyance. As a result, many impulsively give consent without fully grasping the data implications.

Given platforms’ typically free services, users rarely pay close attention to the terms of use, unknowingly playing with their personal data and online browsing habits which have an impact on their privacy. Therefore, the government must mandate that digital platform businesses transparently inform users about personal data usage.

Currently, “super apps” grant users an array of services under one roof. Yet these apps are not clear about how they share users’ personal data with other platforms within the same app. This causes consumer frustration and concerns about privacy infringement.

The second concern is that not all digital platforms have adequate standards to protect personal data as required by the Personal Data Protection Committee in 2022, thus putting personal data at risk.

Lacking specific guidelines to protect consumer rights, many platforms fail to fully understand the required procedures. This results in varying security standards. Some do not offer channels for consumers to exercise their rights. Some offer overzealous measures while others forego all security measures, preferring to deal with risks as they arise.

The third challenge involves the transfer of personal information. Since platforms may send data to companies and countries without data protection standards equivalent to Thailand, it raises legality questions. To resolve this issue, platforms have to bear the costs of ensuring proper handling and obtaining consumer consent.

The Personal Data Protection Act’s exemption of state agencies is the fourth problem. To safeguard “national security” and “public interests,” the Cabinet approved a draft royal decree in July 2022 that would exempt state agencies from adhering to the PDPA.

Although the Cabinet has amended the draft decree to narrow the scope of the exemption and provide data protection measures, citizen privacy is still at risk. The government needs to be more aware of the significance of protecting personal data in the digital era. It should not permit exemptions based on broad, ambiguous justifications like “national security” and “public interests” that compromise citizens’ rights to privacy protection.

It cannot be denied that state agencies are also collecting huge amounts of citizens’ personal data on their platforms. Excluding them from the PDPA then endangers citizens’ privacy. It is, therefore, essential to include measures to minimise the repercussions and provide compensation for privacy violations by state agencies. In short, the law should not allow state agencies to violate citizens’ privacy without being held accountable and responsible.

Moreover, international regulations demand equivalent privacy standards for cross-border data transfers. Making exceptions for state agencies regarding personal data protection suggests that Thailand’s standards do not meet global benchmarks. As a result, Thailand’s digital economy may face negative consequences.

On the other hand, the European Union (EU) and the United Kingdom (UK) are taking significant steps to strike a balance between personal data protection and using data for business purposes. The EU, for example, has provided clear guidelines for communication between service providers and platforms, with specific dos and don’ts. These well-defined guidelines lead to better understanding among service and platform providers, going beyond mere enforcement of rules.

In addition, the UK’s Information Commissioner’s Office (ICO), which is in charge of protecting personal data, is urging the private sector to participate in the development of a “business code of conduct” for use in the industry.

Since the government may not fully understand the practices of the business sector, allowing the private sector to contribute to the development of standards and having the government certify their quality is an efficient way to deal with rapid changes in the digital world that the government cannot keep up with.

Realising that state support is essential for the development of the digital economy,  ICO also provides consultation and collaboration with businesses in a sandbox environment to foster innovation with ICO’s legal guidance.

Furthermore, the  European Union has released a whitelist of nations with sufficient data protection standards for the transfer of personal data which boosts confidence in businesses when they transfer personal data for processing in these countries.

Such collaboration between the government and private sector to protect consumers’ personal data and promote innovation offers valuable strategies for Thailand to address the challenges at home.

To strike a balance between citizens’ privacy and business interests, the government and the Personal Data Protection Committee (PDPC) must expedite the following three measures and immediately stop one damaging move.

First and foremost, release personal data protection guidelines for businesses as soon as possible. The guidelines should include concrete examples of clear and transparent communication with consumers and the need to inform them regularly what practices they should or should not engage in.  The use of personal data by the “super apps” should also be closely monitored to prevent privacy violations.

Secondly, expedite collaborations with businesses to formulate a privacy protection code of conduct as well as establish consultations and dialogues on legal aspects of personal data protection between the government and the industry.

Thirdly, speed up the issuance of government directives for cross-border personal data transfers. Also, publish a list of countries with personal data protection standards on par with Thailand’s.

It is the responsibility of the Personal Data Protection Committee (PDPC) to implement these crucial measures, which it must prioritise as its immediate goals.

Finally, the government must stop the efforts to exempt state entities from personal data regulations. If not, Thailand’s standard for personal data protection will fall below international guidelines. As a result, Thailand will miss out on the chance to fully participate in the global platform economy.

Amid the digital revolution, Thailand faces a pivotal choice: act fast to embrace strong personal data protection or succumb to the officialdom’s resistance to change and lag behind. The path chosen today will shape Thailand’s digital future and determine where it will stand in the global digital arena.

ย้อนดูคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ชวนทำนายผลคำพิพากษาศาล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. ในประเด็นข้อกล่าวหาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติการเป็น สส. เพราะถือหุ้นสื่อไว้พิจารณา และได้มีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ข่าวศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติดังกล่าวแล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงสปิริตประกาศในสภาผู้แทนราษฎรยอมรับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว โดยการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาวันเดียวกัน เมื่อที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมาก (395:312 เสียง) มีมติไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะรับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นครั้ังที่สอง

คำถามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การพิจารณาในครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกไปในลักษณะใด สถานการณ์แบบนี้จึงควรย้อนกลับมาทบทวนเกี่ยวกับสถานะของศาลรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นตามหลักการอย่างไร เมื่อพิจารณาจากการเดินทางแห่งการพิพากษาในเรื่องทำนองนี้มาแล้วของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนจึงใคร่ขอย้อนดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตเพื่อทำนายผลในอนาคต

ศาลรัฐธรรมนูญเดินมาไกลจนเลยเถิด

แต่ดั้งแต่เดิมวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญในโลกนี้ มีเป้าหมายแรกและเป้าหมายสำคัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1] แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดแรกของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1920) โดยเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญให้คงคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุด[2] และพิทักษ์หลักนิติรัฐที่ได้รับการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายมาสู่การตรวจสอบการกระทำในลักษณะใดๆ ที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) โดยกำหนดให้รัฐธรรมนูญมีกลไกในการทำลายการกระทำดังกล่าว[3] ซึ่งนำมาสู่การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมืองหรือดำเนินการในลักษณะใดๆ ต่อการกระทำที่คิดว่าจะทำลายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือพฤติกรรมที่สะท้อนการเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย

กรณีของประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญเริ่มต้นปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540[4] โดยในช่วงเริ่มต้นจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญไทยใหม่ๆ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่น่าเคารพท่านหนึ่งได้เคยให้อธิบายความมุ่งหมายของท่านในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ”[5] ทว่า ภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างความน่าเชื่อถือทางการเมืองเป็นไปเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาจนถึงช่วงภายใต้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จนถึงรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มปรากฏเด่นชัดในฐานะคู่ขัดแย้งทางการเมือง ในฐานะกลไกในการรักษาอำนาจของฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกรับรองโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และวุฒิสภาของ คสช.

ศาลรัฐธรรมนูญมาพาประเทศไทยมาสู่ทางตันหลายครั้งหลายหน

ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกตั้งคำถามจากประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เท่ากับนายสมัครปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้าง จึงเป็นการขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีและพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือเป็นกรณีที่ศาลถูกนำมาใช้สร้างอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

และท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 19/2565 ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือคำวินิจฉัยที่ 20/2564 เรื่องขอให้ศาลพิจารณาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดให้การสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะชอบด้วยกฎหมายไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยต่างๆ เหล่านี้ของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตันทีละเล็กละน้อย และบีบให้ประชาชนไม่มีจุดให้ไปต่อ เพราะศาลได้บีบให้การเมืองต้องมาถึงทางตันที่จะไปอย่างไรตามหลักการประชาธิปไตย ทำให้เกิดการสลายขั้วทางการเมือง หรือทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ศาลควรจะพิทักษ์ไว้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำได้จริงตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างสภาวะที่ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นใหญ่ (the supremacy of constitutional court)

ในกรณีของการรับคำร้องของ กกต. ตามเรื่องพิจารณาที่ 23/2566 ถึงสมาชิกภาพของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครั้งนี้ อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไทยไปสู่ทางตันและความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่?

ย้อนดูคดีเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญคิดอย่างไร

เจตนารมณ์ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้นก็เพื่อมุ่งหมายมิให้ได้ประโยชน์จากกิจการดังกล่าวที่จะส่งผลให้มีอิทธิพลสั่งการกำหนดทิศทางของกิจการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเอื้อประโยชน์ตอบแทนของบริษัทในฐานะว่าที่ หรือผู้อยู่ในตำแหน่งผู้แทนราษฎร[6] อย่างไรก็ดี คำอธิบายใดๆ ทางวิชาการในประเทศนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้ได้

สิ่งที่สังคมรู้ตอนนี้คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต. แล้ว และยังไม่อาจทราบได้ว่า ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะใด แต่สิ่งที่อาจจะพอคาดเดาได้ก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจจะพอเป็นกระจกสะท้อนภาพของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้ โดยที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่ามีการถือหุ้นสื่อมาแล้ว 3 ครั้ง

ในครั้งแรกในคดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามคำวินิจฉัยที่ 14/2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในระหว่างสมัครรับเลือกตั้ง แม้จะได้โอนหุ้นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ถือหุ้นแทนธนาธรหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งศาลไม่เชื่อว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โอนหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบกับกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ และในเอกสารแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ (แบบ สสช.1) ระบุว่า ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ รวมถึงในเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ยังระบุว่า มีรายได้จากการให้บริการโฆษณา ดังนั้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จึงเป็นธุรกิจประกอบการสื่อ แม้ว่าบริษัทจะหยุดประกอบกิจการไปแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการหรือเจ้าของกิจการตามกฎหมาย จึงยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ตามคำวินิจฉัยที่ 20/2563 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด ในระหว่างดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จะแจ้งว่าได้ทำการโอนหุ้นก่อนวันเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นว่ามีพยานหลักฐานที่หนักแน่นพอว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวจริง และพบความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้น จึงไม่เชื่อว่ามีการโอนหุ้นจริง และคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ยังถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่ ประกอบกับบริษัททั้งสองมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ และประกอบกิจการผลิตสื่อภาพยนตร์ โฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ สื่อการแสดง และสื่อการตลาดต่างๆ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย และในเอกสารนำส่งงบการเงิน รวมถึงเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ระบุว่า ธุรกิจยังมีการดำเนินการที่มีรายได้อยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ดังจะเห็นได้ว่า เงื่อนไขสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวถือหุ้นสื่อหรือไม่ก็คือ บุคคลดังกล่าวถือหุ้นของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์เป็นการจัดทำสื่อในลักษณะต่างๆ และบริษัทยังคงมีรายได้จากการประกอบกิจการจากผลิตสื่อ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยที่ 18-19/2563 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ (ผู้ถูกร้องที่ 20) ซึ่งถือหุ้นบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หรือรับจ้างพิมพ์ ออกหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ และสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศทุกภาษาตามข้อ 28 โดยศาลรัฐธรรมนูญในเสียงข้างมากได้ให้ความเห็นว่า ตามแบบ สสช.1 ระบุว่าประกอบกิจการการบริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม แต่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีรายได้ใดๆ จากการให้บริการ และผลประกอบการขาดทุนสุทธิเป็นเงินจำนวน 97,415.51 บาท ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

ชวนทำนายผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าเราคิดตามหลักการของรัฐธรรมนูญและเป้าหมายของการป้องกันการถือหุ้นสื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนำไปสู่การใช้อำนาจครอบงำ ซึ่งในกรณีนี้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลสู่สาธารณะว่าได้ยุติการให้บริการเนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมายองค์การจัดสรรคลื่นความถี่ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อโฆษณาแต่อย่างใด[7]

หากถือตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ควรจะต้องไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพและศาลรัฐธรรมนูญจึงควรมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

อย่างไรก็ดี ความไม่ชอบมาพากลของเรื่องยังมีอยู่อีกมาก เพราะหากพิจารณางบการเงินล่าสุดพบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (นำส่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2566) งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 19,974,084.00 บาท กำไรสุทธิ 8,635,285.00 บาท งบดุลรวมสินทรัพย์ 1,266,191,686.00 บาท หนี้สิน 2,891,997,086.00 บาท ขาดทุนสะสม 7,480,276,245.00 บาท[8] ซึ่งไม่ตรงกับที่มีการกล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้น[9]

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของการเป็น สส. ดังกล่าวนี้ จึงน่าสนใจมากอยู่เสมอ เพราะด้วยสถานการณ์การเมืองดังกล่าวที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่า หลักการใดๆ ก็อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตามหลักวิชาการ นอกจะบอกว่าการเมืองตอนนี้คือผลรวมของการละเมิดกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นความสับสนทางการเมือง

ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่สังคมไทยควรจะต้องทำมากที่สุดก็คือ การกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการออกแบบสถาบันตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้น และมีบทบาทหน้าที่จำกัดอย่างเหมาะสมในฐานะขององค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร,ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), น.37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง, น.37 และ อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558) น.27.

[3] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, “หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย,” วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,  (กันยายน 2557) : น.634 – 635 และ 643 – 644.

[4] ดู หมวด 8 ศาล ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[5] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ,” วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 4 เล่มที่ 10,  (มกราคม – เมษายน 2545) : น.3-7.

[6] มติชน (12 พฤษภาคม 2566), “พรสันต์ ยก 3 เหตุผล ชี้ พิธา ถือหุ้นสื่อ itv ไม่ส่งผลให้สถานะ ส.ส.ต้องพ้นไป,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[7] วัชชิรานนท์ ทองเทพ (28 พฤษภาคม 2566), “ไอทีวี ยุติธุรกิจสื่อไปแล้ว ยังถือเป็นสื่อมวลชนหรือไม่,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[8] สำนักข่าวอิศรา (9 มิถุนายน 2566), “สถานะไอทีวีปมหุ้นพิธา! หมายเหตุประกอบงบฯ ฉบับล่าสุดชัดดำเนินการค้าตามปกติ,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[9] โพสต์ทูเดย์ (15 มิถุนายน 2566), “ITV แจงปมคลิปประชุมผู้ถือหุ้นไม่ตรงกัน,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

วุฒิสภา (สูงวัย) ในไทยกับบทบาทของสภาสูงในโลก: มองบทบาทวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบต่างประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงล้นหลามจนทำให้เกิดคำถามว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลจะได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะด้วยกลไกอันแปลกประหลาดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้

ความประหลาดดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากที่สุดในเวลานี้จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ในเมื่อสมาชิกวุฒิสภาได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนคัดเลือกมาดำรงตำแหน่ง ประเด็นนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญของสังคมว่า วุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้จะยังควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่

บทความนี้ชวนพิจารณาวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบกับความจำเป็นในบทบาทของสภาสูงในระดับสากลว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และบทบาทของวุฒิสภาเป็นอย่างไรในโลกปัจจุบัน

บทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองจำนวนมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา องค์ประกอบหนึ่งของรัฐสภาก็คือ วุฒิสภา

วุฒิสภาเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นสภาสูงทำงานควบคู่กับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาหลักในการเป็นผู้แทนของประชาชนที่ในประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญและมีอำนาจในการนิติบัญญัติอย่างแท้จริง

บทบาทของวุฒิสภาในแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของการออกแบบระบบการเมืองหรือโครงสร้างของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาทั่วโลกจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

ประการแรก หน้าที่ในการตรากฎหมาย บทบาทหลักของรัฐสภาคือการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมาย เมื่อวุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ฉะนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของวุฒิสภาในการตรากฎหมายจึงเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุดของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หน้าที่ในการตรากฎหมายของวุฒิสภาในแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน วุฒิสภาในบางประเทศไม่มีอำนาจในการเสนอกฎหมาย ทำหน้าที่ได้เพียงทำรายงานการศึกษาและแนะนำให้กับสภาผู้แทนราษฎรในการตรากฎหมาย แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะมีหน้าที่หลักในการอภิปรายและพิจารณาผ่านร่างกฎหมาย[2]

ประการที่สอง หน้าที่เป็นผู้แทน โดยทั่วไปถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นผู้แทนของประชาชน แต่นอกเหนือจากการเป็นผู้แทนของประชาชนแล้ว วุฒิสภายังมีสถานะเป็นผู้แทนของชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐที่เข้ามาประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐ โดยวุฒิสภาเหล่านี้จะมีบทบาทในการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐเหล่านั้น[3] ตัวอย่างเช่น สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นวุฒิสภาของประเทศอังกฤษในอดีตมาจากขุนนางสืบตระกูล แต่ในปัจจุบันสมาชิกสภาขุนนางได้รับการเสนอชื่อโดยนายกรัฐมนตรีให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และมีบทบาทน้อยลงมากๆ ภายหลังการปฏิรูปรัฐสภา[4] หรือในสหรัฐอเมริกาและสหพันธรัฐเยอรมนีวุฒิสภานั้นจะมาจากการเป็นสมาชิกของผู้แทนแต่ละมลรัฐที่เข้าร่วมเป็นสหพันธ์[5]

ประการที่สาม หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอม ในระบบการเมืองส่วนใหญ่ที่มีวุฒิสภามักจะให้อำนาจแก่วุฒิสภาในการให้คำแนะนำและความยินยอมในเรื่องต่างๆ เช่น การแต่งตั้งและการทำสนธิสัญญา ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภามีอำนาจสำคัญต้องยืนยันการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูงที่ตั้งโดยประธานาธิบดี อาทิ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของรัฐบาลกลาง และเอกอัครราชทูต หรือการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่เจรจาโดยฝ่ายบริหาร หรือในบริบทของประเทศไทย วุฒิสภามีบทบาทมากไปกว่านั้นโดยทำหน้าที่ให้การรับรองบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครอง[6]

ประการที่สี่ หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ในระบบการเมืองส่วนใหญ่มักจะให้อำนาจวุฒิสภาในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน โดยสามารถตั้งกรรมาธิการสอบสวน ติดตาม หรือตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นอกจากนี้ ในบางประเทศยังกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่เป็นศาลสูงสุดที่มีอำนาจพิจารณาคดี อาทิ ในอดีตศาลสูงสุดของประเทศสหราชอาณาจักรคือ ศาลสภาขุนนาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร แต่ภายหลังเมื่อสหราชอาณาจักรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปจึงได้มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากสภาขุนนางและตั้งเป็นศาลสูงสุดแทน[7] และ

ประการที่ห้า หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร[8] โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญอาจจะออกแบบระบบการเมืองให้สภาทั้งสองมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยอาจจะกำหนดให้วุฒิสภามีอายุยาวกว่าเพื่อประกันความต่อเนื่องของภารกิจเมื่อสภาผู้แทนราษฎรพ้นวาระไปก่อน นอกจากนี้ ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภามีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[9] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่น นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”[10]

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาบทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภาในข้างต้นแล้ว วุฒิสภาดูมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ในโลกนี้ก็มีหลายประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ออกแบบระบบการเมืองให้มีวุฒิสภา

ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่มีวุฒิสภา

เมื่อพิจารณาจำนวนประเทศในปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 80 ประเทศในโลกที่ออกแบบระบบการเมืองให้ใช้ระบบสองสภา คือ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่างและวุฒิสภาเป็นสภาสูง ดังเช่นปรากฏในภาพของ E-Public Law Project ที่แสดงให้เห็นประเทศที่ใช้ระบบสองสภา คือ ประเทศที่สีแดง และประเทศที่ใช้ระบบสภาเดียวคือ ประเทศสีฟ้า โดยนอกเหนือจากประเทศที่ใช้ระบบสองสภาและสภาเดียวแล้ว ระบบการเมืองในบางประเทศยังมีการกำหนดให้มีรูปแบบขององค์กรนิติบัญญัติที่แตกต่างจากระบบการเมืองข้างต้น (สีเขียวและสีเหลือง) อาทิ ในประเทศจีนที่ระบบการเมืองกำหนดให้มีสภาเดียวคือ สภาประชาชนแห่งชาติเป็นสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว แต่ในทางปฏิบัติและโครงสร้างระบบราชการของจีนก็กำหนดให้องค์กรทางการเมืองแบบคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ มีบทบาทมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือครอบงำการทำงานของสภาประชาชนแห่งชาติ หรือประเทศบรูไนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และไม่มีการตั้งองค์กรนิติบัญญัติที่อยู่ในรูปแบบของรัฐสภาที่มีผู้แทนจากประชาชน

ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีระบบการเมืองแบบสองสภา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทิศทางของหลายประเทศเริ่มปรับตัวไปสู่ระบบการเมืองที่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเป็นสภาเดียว โดยการยกเลิกตำแหน่งสภาสูงในหลายประเทศอาจจะเกิดขึ้นจากการทำประชามติเพื่อพิจารณาบทบาทและความจำเป็นในการมีสภาสูงที่ลดลง และการรัฐประหารทำให้เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มีการตั้งสภาสูง ซึ่งหากย้อนกลับไปพิจารณาสาเหตุของการไม่มีสภาสูงในหลายประเทศ มีที่มาจากความพยายามลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการนิติบัญญัติ หรือบทบาทของสภาสูงในประเทศหมดความจำเป็นแล้ว หรือต้องการประหยัดงบประมาณ หรือสภาสูงเป็นสัญลักษณ์ของระบบการเมืองแบบกษัตริย์และศักดินาที่หมดความจำเป็น ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ระบบการเมืองในหลายประเทศได้เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ระบบสภาเดียว โดยให้น้ำหนักและบทบาทไปที่สภาผู้แทนราษฎร[11]

ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

วุฒิสภาไทยเกิดขึ้นมาอย่างไร

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา โดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[12] โดยเมื่อย้อนกลับไปที่ความคิดของนายปรีดี ซึ่งเห็นว่าไม่ควรนำระบบสองสภามาใช้ในประเทศไทยโดยประเทศไทยควรมีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดังสะท้อนอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475[13]

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องมีระบบการเมืองที่กำหนดให้มีสองสภาจริงๆ นายปรีดี ได้ให้ความเห็นว่า สมาชิกของสภาสูงอย่างน้อยก็ควรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของราษฎร ซึ่งอาจใช้วิธีการเลือกตั้งสองชั้นโดยสภาเทศบาลหรือสภาจังหวัดหรือมิฉะนั้นก็โดยสภาผู้แทนราษฎร และให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกได้โดยเปิดเผย กับให้สภาผู้แทนราษฎรมีเวลาพอที่จะพิจารณาว่า ผู้สมัครคนใดควรได้รับการเลือกตั้ง”[14]

และสภาสูงควรมีบทบาทคือ ทำหน้าที่เพียง “ยับยั้ง” ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรได้เสนอ โดยถือว่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะหรือวัยวุฒิเพียงพอที่จะตริตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาในที่นี้จึงเป็น “ห้ามล้อ” ไม่ใช่เป็นการถ่วง โดยการห้ามล้อนี้ต้องคำนึงดุลยภาพแห่งอำนาจของระบบรัฐสภา ซึ่งในทางวิชาการที่เป็นประชาธิปไตยไม่ปรากฏว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมีการถ่วงดุลโดยอภิสิทธิ์ชน จนทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องทรุดเซไปและเสียดุลยภาพแห่งอำนาจในการบริหารประเทศ[15]

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ประเทศไทยมีสภาสูง ซึ่งนายปรีดีได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ทั้งนี้นายปรีดีไม่เห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้มีสองสภาตามที่รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เสนอให้มีการตั้งพฤฒสภาขึ้นมา[16]

พฤฒสภาซึ่งเป็นสภาสูงแรกที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นั้นยังดำเนินไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตยอยู่บ้าง โดยกำหนดให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยราษฎร[17] อย่างไรก็ดี บทบาทของพฤฒสภานั้นสั้นและสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งถูกล้มล้างโดยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490

ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งวุฒิสภาขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อจากพฤฒสภามาเป็นวุฒิสภาแทน[18] โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวังวนของการเกิดขึ้นของวุฒิสภาแต่งตั้ง[19] โดยสถานการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534[20] และมาถึงจุดที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในช่วงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด[21]

บทบาทของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นไปเพื่อถ่วงและทำลายสมดุลแห่งอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และรักษาความต่อเนื่องของระบอบรัฐประหาร[22] แต่สภาพลักษณะดังกล่าวก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เน้นความสูงวัยแบบไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีอำนาจล้นเหลือ

ก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพ้นวาระไป คณะรัฐประหารได้วางกลไกสืบทอดอำนาจของตัวเองไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกำหนดเรื่องการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา โดยการสรรหานั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของ คสช.[23] ซึ่งกระบวนการสรรหาดังกล่าวนั้นแทบจะทำให้สมาชิกวุฒิสภาชุดที่ 12 นี้ ไม่แตกต่างอะไรจากการได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจาก คสช.

ผลที่ได้รับจากการสรรหาของ คสช. คือ การได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความภักดีต่อ คสช. ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ชาย แก่เกษียณอายุจากวงราชการที่ตบเท้าเข้ามาจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ กองทัพ ข้าราชการ และผู้ทรงภูมิรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ ที่ คสช. เลือกสรรเข้ามา[24]

ปัญหาสำคัญคือ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้สวนทางกับหลักการประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วโลก เพราะในทางหลักการอำนาจควรจะมาพร้อมกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตย องค์กรใดจะมีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญมากก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงต่อประชาชน ทว่า วุฒิสภาชุดนี้กลับมีอำนาจเทียบเท่า ส.ส. ทั้งๆ ที่กระบวนการสรรหามีความไม่โปร่งใสและชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เมื่อพิจารณาอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พบว่าวุฒิสภามีอำนาจทั้งหมด 6 ลักษณะ ได้แก่ การประชุมวุฒิสภาและกรรมาธิการต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง[25] ตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีผ่านการตั้งกระทู้ถาม เปิดอภิปรายคณะรัฐมนตรีและส่งชื่อเพื่อกล่าวหา/ถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ[26] ทำหน้าหน้าที่ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะรัฐสภา[27] พิจารณากฎหมาย[28] ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ[29] และอำนาจอื่นๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ อาทิ ให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระในการจัดทำมาตรฐานจริยธรรม[30] พิจารณาข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ[31] ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ[32] สกัดกั้นกฎหมายยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษสำหรับความผิดทุจริตคอรัปชัน[33]

เหนือสิ่งอื่นใดวุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจในช่วงระยะเวลา 5 ปี แรกในการเห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี[34] ซึ่งเป็นอำนาจวิเศษที่ถูกเพิ่มเติมมาผ่านคำถามพ่วงในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

“ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปกติ ส.ว. เนี่ย ไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่นะ ไม่มีสิทธิไปโหวตใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญ โดยเสนอในสมัยที่ผมยังเป็น สปท. ให้ ส.ว. 250 คนนี้ มีสิทธิร่วมในการโหวตคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเป็นคำถามพ่วง พวกเราจำได้อ๊ะเปล่า คำถามพ่วงนี้โหวตทั่วประเทศได้ 15 ล้านเสียง ว่าเห็นด้วยว่าให้ ส.ว. ที่ คสช. ตั้งมาเนี่ย มีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรี”

วันชัย สอนสิริ

เบื้องหลังของบทบัญญัติมาตรานี้มีที่มาจาก นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งได้ออกมายอมรับอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเป็นผู้ยกร่างหลักการในเรื่องนี้ ดังความข้างต้น[35]

ดังจะเห็นได้ว่า บทบาทของสมาชิกวุฒิสภาในทุกวันนี้กำลังพ้นไปไกลจากวุฒิสภาสากลที่ควรจะเป็นในต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ทรงวุฒิที่ให้คำปรึกษาหรือทำในลักษณะแบบที่นายปรีดีได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า ทำหน้าที่คอยยับยั้งเสมือนเบรกที่ทำหน้าที่เพียงชะลอความเร็วไม่ใช่เป็นสภาถ่วง

แต่วุฒิสภาประเทศไทยในเวลานี้กลับดำเนินการตรงข้ามกับหลักการที่ควรจะเป็น กลายเป็นสภาถ่วงพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และล้มเหลวในการทำหน้าที่อื่นๆ อาทิ การช่วยกลั่นกรองกฎหมายหรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาวุฒิสภาชุดที่ 12 ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ในคาถาของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่ผ่านกฎหมายกว่า 40 ฉบับ โหวตตรงกันเกือบร้อยละ 98 ของจำนวนการโหวตทั้งหมด[36] ยังไม่รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้นำเหล่าทัพที่ตบเท้าเข้ามาดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่แทบจะไม่เคยเข้าร่วมประชุมวุฒิสภา[37]

สภาพดังกล่าวนี้อาจจะถึงเวลาที่สังคมไทยต้องกลับมาทบทวนการดำรงบทบาทของวุฒิสภาในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การปิดสวิตช์วุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ แต่อาจจะถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทางเลือกในการยุบวุฒิสภาทิ้งแล้วหรือไม่ เพราะหากกลับไปที่จุดมุ่งหมายของการมีวุฒิสภาที่ทำหน้าที่ 5 ประการ บทบาทเหล่านี้อาจจะถูกอุดช่องว่างได้แล้วหรือไม่ อาทิ

  • หน้าที่ในการตรากฎหมาย ซึ่งหากเหลือเพียงสภาเดียวกระบวนการพิจารณากฎหมายอาจทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกันข้อกังวลเรื่องการไม่มีกระบวนกลั่นกรองที่ละเอียดเพียงพอและอาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการดังกล่าวก็มีช่องทางอื่นที่รองรับการแก้ไขไว้ อาทิ การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติ
  • หน้าที่เป็นผู้แทน ซึ่งหากพิจารณาบริบทของวุฒิสภาชุดที่ 12 นั้นแทบไม่ได้เป็นผู้แทนของใครนอกจากผู้แทนของ คสช. ซึ่งตั้งวุฒิสภาชุดนี้ขึ้นมา ประกอบกับประเทศไทยไม่มีบริบทเช่นเดียวกับสภาขุนนางอังกฤษหรือวุฒิสภาทำหน้าที่ตัวแทนของมลรัฐ ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาเป็นผู้แทนจึงไม่มีความจำเป็น
  • หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอมให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอาจจะแก้ไขได้ด้วยการมอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎร โดยสภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองขนาดเล็กร่วมกันกับการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่แทนวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรก็ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด รวมถึงมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งมากกว่าอำนาจของวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้สร้างกลไกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไว้มากมาย องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการป้องกันการทุจริตได้โดยไม่ต้องมีวุฒิสภา

ท้ายที่สุดภาคประชาชนคือส่วนสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย กระบวนการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่หลายพรรคการเมืองพูดถึงควรจะมาพร้อมกับการเสริมสร้างอำนาจที่ทำให้รัฐราชการโปร่งใส ให้ข้อมูลและตระหนักถึงสิทธิประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหากทำให้หลักการของความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนมีคุณวุฒิมาชี้นำสังคมในแบบวุฒิสภาปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[3] ibid p. 6.

[4] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาขุนนางอังกฤษ,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 (พ.ค.-มิ.ย. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[5] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาที่สองในระบบรัฐสภา,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-ก.พ. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 และโกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,” วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 5, สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[6] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[7] Legislation.gov.uk, Constitutional Reform Act 2005 Section 23 (1)

[8] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[9] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 250.

[10] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[11] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014), p. 6-7.

[12] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[13] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[14] วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์และวิษณุ วรัญญู, แนวความคิดประชาธิปไตย ของ ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 136.

[15] เพิ่งอ้าง น. 136.

[16] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[17] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 24 และมาตรา 25.

[18] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 8.

[19] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 33.

[20] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 12.

[21] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 121.

[22] ดู บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ใน Dhanadis – ธนดิศ, ‘ส.ว. มีไว้ทำไม ?’ (Youtube, 20 พฤษภาคม 2566),  สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[23] ILaw, ‘ไม่ใช่แค่บิ๊กป้อมนั่งประธาน กรรมการสรรหา ส.ว. คสช. เลือกเอง ทั้งทีม’ (ILaw, 26 กุมภาพันธ์ 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[24] เพิ่งอ้าง และ ILaw, ‘เปิดบันทึกประชุม คสช. ตอนคัดเลือก ส.ว. 250 คน นัดเดียวจบ’ (ILaw, 8 ธันวาคม 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[25] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129.

[26] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 150 มาตรา 153 และมาตรา 236.

[27] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 156 มาตรา 165 มาตรา 177 และมาตรา 178.

[28] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 136 มาตรา 137 มาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 146 มารตรา 148 มาตรา 172 และมาตรา 173.

[29] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 204 มาตรา 222 มาตรา 228 มาตรา 232 มาตรา 238 มาตรา 241 มาตรา 246.

[30] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 219.

[31] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 256.

[32] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 270.

[33] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 271.

[34] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 272.

[35] Wikipedia, ‘วันชัย สอนศิริ’ (Wikipedia, 18 พฤษภาคม 2566), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[36] ILaw, ‘สภาหุ่นยนต์! ส.ว.แต่งตั้ง ผ่านกฎหมายอย่างน้อย 40 ฉบับ โหวตทางเดียวกันไม่แตกแถวถึง 98%’ (ILaw, 23 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[37] ILaw, ‘ส.ว. แต่งตั้ง: ผู้นำเหล่าทัพ รับเงินจากสภาและกองทัพ แต่มาลงมติในสภาไม่ถึง 7%’ (ILaw, 30 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

Fixing fiscal laws to have fair elections

First Published in Bangkok Post on Wednesday, May 10, 2023

As election campaigns are heating up, political parties are fiercely competing to win votes by offering generous cash handouts, raising concerns about their impacts on the country’s fiscal discipline for the incoming administration.

It is a legitimate concern. Yet the focus on the post-election financial burden should not overshadow the outgoing administration’s last-minute budget spending for political gains, which also endangers fiscal discipline.

The 2018 State Fiscal and Financial Act mandates that the government exercise strict fiscal restraint and forbids it from pursuing political popularity at the expense of the nation’s long-term interests. This law also establishes fiscal rules and regulations on how the government must manage state income and expenditures while imposing a limit on the accumulation of public debt.

Yet, legal loopholes can be exploited during an election period. In order to advance their political agendas, departing administrations may decide to forego transparency by going on a spending binge right before leaving office, which is a  flagrant breach of fiscal responsibility.

Such spending for political gains includes the government’s approval towards the end of its rule to increase the salaries of certain groups of officials to win their support at the polls.

Just one week before the Parliament was dissolved on March 20, the cabinet approved raising the annual salaries of 5,300 subdistrict administrative organizations, or Or Bor Tor, across the nation to 13,744.69 million baht. This represents an increase of 44.66% or 4,252 million baht over the previous salary base.

The very same day, the cabinet approved the salary increase of sub-district heads or kamnan from 10,000 to 12,000 baht, the village heads from 8,000 to 10,000 baht, and sub-district health officials from 6,000 to 7,000 baht.

A week earlier, the cabinet had approved monthly financial support for village health volunteers across the country from 1,000 to 2,000 baht. Notably, their pay was increased by the previous administration from 600 to 1,000 baht, also just before the election.

In addition to salary increases for the groups of officials who could act as voting bases, another strategy is to approve projects to garner public support through quasi-fiscal channels.

This is accomplished through the cabinet’s approval for state loans from the government’s specialised financial institutions like the Government Savings Banks or the Bank for Agricultural and Agricultural Cooperatives (BAAC). According to the loan agreements, these banks will finance specific government initiatives, and the succeeding administration will repay the loans from the national coffer.

A recent example is the Prayut administration’s approval of the One Million Cows Project, which is being managed by the National Village and Urban Community Fund Office through loans from the Bank for Agricultural and Agricultural Cooperatives. Under this four-year project, the village fund office will lend money to farming families so they can each purchase two cows, and the following administration will repay the bank for the loans.

The outgoing government may have the best of intentions, but these policies are tied to future national budget spending. The government must, therefore, uphold fiscal responsibility and transparency by outlining the expenditure in detail and indicating how it will affect the budget of the administration that comes after. In addition, using the budget in this manner may create political popularity that surpasses the opponent, which should not come from using the state budget.

Despite the law on fiscal discipline, it does not cover how the government uses national budgets when elections are imminent. The election law and regulations also contain no restrictions on the use of the national budget to sway elections.

To close these legal loopholes, a system of oversight for the final budgetary expenditures of the departing government must be added to the current law on fiscal discipline.  This system is also crucial to ensure a fair election and prevent the government from abusing its authority against the opposition and smaller political parties.

Such a budgetary oversight system to guarantee fiscal discipline and fair elections is not uncommon in other countries.

For example, in Australia, the Charter of Budget Honesty Law mandates that the government publish an economic and financial report within 10 days of the election’s date being set.

The government has a responsibility to inform the populace of the economic and financial situation before an election.  The report includes the amount of public debt, long-term fiscal liabilities, and budgetary spending.  The report’s objective is to provide information to assist voters in their voting decisions.

Meanwhile, in Brazil, raising the pay of public employees during one’s final year in office or the parliament is regarded as a fiscal crime. 

Thailand should consider Australia’s model. The economic and financial report on the country’s situation is important for the government’s transparency and credibility. Public access to information also strengthens the democratic process. 

The Brazil model, however, is complicated legally and difficult to find solid proof, which ultimately renders the legal efforts futile.

At present, Thailand does not have a strong and independent state agency to monitor the repercussions of the government’s fiscal policies like the Congressional Budget Office in the United States. Given the widespread criticism of the so-called “independent” constitutional organizations at the moment, however, it is not a smart idea to create yet another independent state organisation to carry out this oversight function.

Instead, a viable alternative is to support civil society and academia to monitor and evaluate government spending. However, to effectively close the legal loopholes in the fiscal discipline law, an elected government should set up a legislative budget office once it assumes office.

Otherwise, any administration will be able to continue using taxpayer money improperly by going on last-minute spending sprees to sway voters’ ballot decisions. 

Fiscal discipline is not the only issue at hand. A free and fair election is crucial to democracy. To safeguard the country’s fiscal integrity and democratic values, this political abuse of the national coffer must end.

ปรับปรุง ‘กฎหมายวินัยการคลัง’ ใช้งบก่อนเลือกตั้งรัดกุม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ในช่วงการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พรรคการเมืองทยอยนำเสนอนโยบายให้กับประชาชน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะเป็น ประชานิยม ที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองชั่วคราว และกระทบต่อวินัยการคลังของประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องการใช้งบประมาณหลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว

นอกเหนือจากการใช้งบหลังจากการเป็นรัฐบาลแล้ว ประเด็นความใส่ใจต่อวินัยทางการคลังในช่วงการเลือกตั้งก็เป็นสิ่งไม่ควรจะละเลยอย่างยิ่ง

แม้ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 จะกำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด และไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ครอบคลุมเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐในเรื่องการเก็บ การใช้จ่าย การก่อหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดี พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ ยังมีช่องโหว่ในการใช้งบประมาณที่ยังไม่รัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การเลือกตั้ง รัฐบาลที่กำลังจะหมดวาระ อาจจะมีการตัดสินใจใช้จ่ายเงินเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่ได้พิจารณาถึงความโปร่งใส ความรอบคอบ และผลกระทบต่อวินัยทางการคลัง

การตัดสินใจใช้จ่ายเงินเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น อาจปรากฏในลักษณะของการเพิ่มงบประมาณด้านบุคคลก่อนการพ้นวาระการดำรงตำแหน่งของ ครม. หรือวาระของสภา เช่น เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาก่อนการยุบสภา ครม. เห็นชอบขึ้นค่าตอบแทนผู้บริหารและสมาชิก อบต. จำนวน 5,300 แห่ง โดยประมาณการค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนประมาณ 13,774.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากค่าตอบแทนปัจจุบัน 4,252 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.66

นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน ครม. ยังได้มติให้ปรับอัตราเงินตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และตำแหน่งอื่นๆ โดยกำนันปรับเพิ่มจาก 10,000 บาทเป็น 12,000 บาท ผู้ใหญ่บ้านจาก 8,000 บาท เป็น 10,000 บาท แพทย์ประจำตำบลปรับเพิ่มจาก 6,000 บาท เป็น 7,000 บาท ต่อเดือน เป็นต้น

นอกเหนือจากการเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้บริหารและสมาชิก อบต. และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และตำแหน่งอื่นๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ในวันที่ 7 มีนาคม ครม. ได้ปรับเพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็น 2,000 บาท

เป็นข้อสังเกตว่า การเพิ่มค่าป่วยการ อสม. นี้ ครม. ของรัฐบาลในสมัยที่แล้วก็มีการตัดสินใจเพิ่มค่าป่วยการให้ อสม. จาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท ก่อนจะมีการเลือกตั้งเช่นกัน

นอกจากการเพิ่มผลประโยชน์ในด้านบุคคลก่อนการพ้นวาระการดำรงตำแหน่งของ ครม. หรือวาระของสภาแล้ว ตัวอย่างอีกลักษณะหนึ่งคือ การอนุมัติโครงการโดยใช้มาตรการกึ่งการคลังอนุมัติงบประมาณให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ

เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) หรือธนาคารออมสิน เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินดำเนินโครงการให้รัฐบาลไปก่อนแล้วจึงจ่ายเงินคืนให้กับสถาบันการเงินผ่านงบประมาณแผ่นดิน 

ซึ่งที่ผ่านมาไม่นาน ครม. พึ่งได้อนุมัติโครงการโคล้านครอบครัวที่ให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นระยะเวลา 4 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนที่เข้าร่วมโครงการสามารถกู้ยืมเงินทุนสำหรับเลี้ยงโคครอบครัวละ 2 ตัว โดยรัฐบาลจะจ่ายงบประมาณคืนกลับมาให้ ธกส.

แม้ทั้งหมดนี้รัฐบาลที่กำลังจะพ้นวาระอาจจะมีเจตนาที่ดี แต่ทั้งหมดก็เป็นการดำเนินนโยบายที่ผูกพันกับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ ที่ควรจะต้องมีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่าย หรืออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว

ในบริบทของประเทศไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่ควรจะมีกระบวนการเฉพาะในการหยิบยกประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวมาตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้การแข่งขันในเวทีการหาเสียงมีความเป็นธรรม และไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบระหว่างพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคการเมืองขนาดเล็ก

เมื่อเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติที่ดีในต่างประเทศจะพบว่า ในต่างประเทศนั้นมีการให้ความสำคัญกับการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เพื่อเป้าหมายในการรักษาวินัยทางการคลัง และสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันกันอย่างเสมอภาคในการเลือกตั้ง

ตัวอย่างเช่นในกฎหมายวินัยทางการคลังของประเทศออสเตรเลียกำหนดให้เมื่อมีการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ จะต้องมีการจัดทำรายงานประมาณการเศรษฐกิจและการคลังเพื่อเผยแพร่ภายใน 10 วัน เพื่อให้ข้อมูลรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจและการคลังก่อนเลือกตั้ง

โดยข้อมูลครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ สมมติฐานต่างๆ ที่ใช้ รายละเอียดของภาระผูกพันทางการคลัง และยอดหนี้สาธารณะ โดยมาตราการเหล่านี้เน้นการให้ความสำคัญกับการทำให้สังคมตระหนักและมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือในประเทศบราซิลมีการกำหนดความผิดอาชญากรรมทางการคลังต่อการดำเนินงานเพิ่มค่าใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรในปีสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่งหรืออายุสภา

ในบริบทของประเทศไทยตัวอย่างของประเทศออสเตรเลียอาจมีความน่าสนใจมากกว่าตัวอย่างของประเทศบราซิล เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในช่วงการเลือกตั้ง และช่วยส่งเสริมกระบวนการทางประชาธิปไตยจากการทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการลงโทษทางอาญาที่มีกระบวนการพิจารณาที่ซับซ้อนและอาจจะมีประเด็นในเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ดี ความน่ากังวลของประเทศไทยคือ การไม่มีสถาบันของภาครัฐที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ผลกระทบทางการคลังที่เข้มแข็งแบบสำนักงบประมาณของรัฐสภาแบบสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญในปัจจุบันก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงความโปร่งใสจากสังคม การจะกำหนดหน้าที่ให้กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้ก็อาจจะไม่เหมาะสมในเวลานี้

ในเวลานี้ทางออกของสังคมจึงต้องพึ่งกำลังของ ภาคประชาสังคมและเครือข่ายทางวิชาการช่วยกันทำหน้าที่ติดตามและวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการใช้งบประมาณ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ควรพัฒนาสำนักงบประมาณของรัฐสภาให้เข้มแข็ง เพื่อปิดช่องโหว่ในการใช้งบประมาณที่ยังไม่รัดกุมพอ ลดผลกระทบต่อวินัยทางการคลังประเทศ

นโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของคณะราษฎร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมีเจตนาที่จะผลักดันนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งคือ การปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อหลักที่ 3 ของหลัก 6 ประการที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้ว่า 

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”[1]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินเริ่มต้นปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ในบทความนี้จะเริ่มต้นจากการฉายภาพสภาพเศรษฐกิจและสังคมสยามก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

หลังจากนั้นจะได้อธิบายแนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ และปิดท้ายด้วยความพยายามในการปฏิรูปเรื่องการถือครองที่ดินในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของกลุ่มคณะราษฎรหลังการอภิวัฒน์

สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทย

ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้ไม่นาน แม้สยามจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจของในฟากทวีปยุโรปได้รับผลกระทบก็ย่อมส่งผลต่อสังคมสยามไปด้วย อันเนื่องจากการผนวกตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398

เมื่อเศรษฐกิจในยุโรปตกต่ำลงเพราะพิษของสงคราม จึงส่งผลให้ข้าว, ไม้สัก, ดีบุก และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกราคาต่ำลงและขายในตลาดต่างประเทศไม่ได้ราคาอย่างที่คาดหวังไว้ ทำให้สยามมีรายได้ลดลงจากเดิม ในปี พ.ศ. 2473 รัฐบาลสยามในขณะนั้นจึงแก้ปัญหาโดยการตัดทอนรายจ่ายเพื่อให้งบประมาณไม่ขาดดุลด้วยการลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทางทหารลง[2]

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาสินค้า การลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรากฐานของปัญหาในสังคมไทยเวลานั้น เพราะปัญหาหลักของสังคมไทยในเวลาดังกล่าวคือการมีอาชีพหลักเพียง 2 ประการคือ ข้าราชการ และเกษตรกร

กล่าวเฉพาะเกษตรกร ราษฎรสยามที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรในเวลานั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จากการสำรวจของคาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน (Carl C. Zimmerman) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกันซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจของชนบทในปี พ.ศ. 2473 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่ของสยามทำอาชีพเป็นชาวนาโดยเช่านาจากเจ้าของที่ดินเป็นส่วนใหญ่ โดยสัดส่วนการเช่าที่ดินแบ่งตามจำนวนภาคได้ดังนี้ ใน ภาคกลาง ชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่ราวร้อยละ 36, ใน ภาคเหนือ ร้อยละ 27, ภาคใต้ ร้อยละ 14 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 18 โดยเฉพาะจังหวัดธัญญบุรี (ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี) พบว่าชาวนาส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าที่ดินในราวร้อยละ 85 โดยเช่าที่ดินจากบริษัทที่เข้ามาพัฒนาขุดคลองและพัฒนาที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมในขณะนั้น เช่น บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด และชนชั้นปกครองของสยามในเวลานั้น[3]

สภาพที่ดินมีลักษณะเป็นแปลงเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ในเจ้าของหลายคน (รายละเอียดปรากฏตามตารางแนบท้าย) ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินทำได้ไม่เต็มศักยภาพ โดยชาวนาคนหนึ่งมีที่ดินที่ต้องใช้ทำนากระจายอยู่ห่างกัน และแปลงหนึ่งมีเนื้อที่เพียงงานเดียว[4] ทำให้ชาวนาต้องใช้แรงกายในการทำนามาก และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงที่ดินเพื่อทำนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่กลับได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประกอบกับการทำนามีต้นทุนหลายประการ อาทิ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแก่เงินกู้มาลงทุนทำนา ค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินค่ารัชชูปการ ซึ่งมีลักษณะซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม ผลผลิตจากการเพาะปลูกจึงตอบสนองเพียงพอแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น[5]

ตารางแสดงเจ้าของที่ดิน 5 อันดับแรกและกำไรจากการถือครองที่ดินในเขตรังสิต
ชื่อ/สังกัดปี (พ.ศ.)จำนวนที่ (ไร่)ราคาตอนซื้อโดยประมาณราคาในปี พ.ศ. 2468 หลังเขื่อนป่าสัก
[ประมาณการกำไร]
(อัตราผลตอบแทนต่อปี)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นทิวากรวงษ์
ประวัติ (ต้นราชสกุลเกษมศรี)
244217,945406,8131,435,600 – 1,794,500
[1,028,787 – 1,387,687]
(4.97 – 5.87%)
บริษัทลำไทร จำกัด2441 – 24429,000117,765720,000 – 900,000
[602,235 – 782,235]
(7.07 – 7.98%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นสรรพศาสตร์
ศุภกิจ (ต้นราชสกุลทองแถม)
24417,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมพระนราธิปพระพันธ์พงศ์ (ต้นราชสกุล
วรวรรณ)
7,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด24436,584189,850526,720 – 658,400
[336,780 – 468,550]
(4.17 – 5.1%)
ที่มา : สรุปจากการวิเคราะห์ของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา: สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564) หน้า 27 – 28.

การถือครองที่ดินแปลงใหญ่โดยเจ้าของที่ดินชนชั้นสูงซึ่งอยู่อาศัยนอกพื้นที่ อาทิ กรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตพื้นที่รังสิต เป็นผลมาจากการให้สัมปทานในการขุดคลอง[6] ขณะที่ราษฎรที่บุกเบิกจับจองที่ดินนั้นเข้าใจว่าตนมีสิทธิในที่ดินจากการเข้าไปหักร้างถางพงและทำประโยชน์ โดยไม่ได้ตระหนักถึงระบบกรรมสิทธิ์ที่ถูกนำเข้ามาใช้ใหม่แทนที่การครอบครองที่ดินแบบเดิม[7] ทำให้การครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ไม่มีความหมาย จนนำมาสู่การเกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินกับชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองและทำประโยชน์ในที่ดินในฐานะผู้เช่า ทั้งในแง่ของการปลอมเอกสารสิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ออกโดยหน่วยงานหลายหน่วยงานในเวลาเดียวกัน หรือการขับไล่ชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองที่ดินตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราค่าเช่านา[8]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) รับบทบาทในการจัดทำ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ซึ่งเรื่องหนึ่งที่นายปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศสยามในเวลานั้นจากเดิมเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่รัฐมีบทบาทจำกัดและปล่อยให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปตามกลไกตลาด[9] มาสู่การเป็นสังคมนิยมแบบสหกรณ์ (cooperative socialism) โดยเน้นการจัดสรรทรัพยากรโดยรัฐเข้ามามีบทบาทในการวางแผนทางเศรษฐกิจแล้วใช้สหกรณ์เป็นหน่วยในการปฏิบัติตามนโยบายเพื่อจัดสรรทรัพยากร[10]

ในแง่วิธีการจัดหาที่ดินนั้นนายปรีดีเสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…รัฐบาลจะซื้อที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ก็เชื่อว่าชาวนาเจ้าของที่ดินผู้รับจำนองทั้งหลายคงจะยินดีมิใช่น้อย เพราะการที่ตนยังคงมีกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดิน หรือยังยึดที่ดินไว้เป็นประกันมีแต่จะขาดทุนอย่างเดียว การซื้อที่ดินกลับคืนมานี้เป็นวิธีต่างกับวิธีริบทรัพย์ของคอมมิวนิสต์”[11]

กล่าวคือ รัฐบาลควรจะดำเนินการโดยการซื้อที่ดินจากเอกชนกลับมาเป็นของรัฐ เนื่องจากในเวลานั้นราคาที่ดินลดลงและเจ้าของที่ดินไม่สามารถเก็บหนี้ค่าเช่าที่ดินจากชาวนาได้ เพราะชาวนาทำนาขาดทุน การขายที่ดินให้กับรัฐบาลจึงเป็นวิธีการดีที่สุดที่เจ้าของที่ดินจะได้ประโยชน์จากราคาที่ดิน โดยการซื้อคืนที่ดินนี้ นายปรีดีเสนอให้มีการออกใบกู้เงินให้เจ้าของถือไว้ตามราคาที่ดิน และให้ถือว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล (คล้ายกับพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบัน) รัฐบาลจะดำเนินการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะนั้น ซึ่งในทรรศนะของนายปรีดีมองว่า วิธีการนี้ดีกว่าการถือโฉนดที่ดินหรือหนังสือสำคัญเอาไว้ในสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากตอนนี้เจ้าของที่ดินไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการเป็นเจ้าหนี้

นอกจากนี้ การได้ที่ดินของรัฐบาลมาโดยวิธีการนี้ไม่ได้เป็นการบังคับยึดที่ดินมา แต่เป็นการใช้วิธีการซื้อคืนที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยสมัครใจ และเป็นการซื้อคืนเฉพาะที่ดินเพื่อการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ อาทิ ที่นาหรือที่ไร่เท่านั้น ไม่รวมถึงที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย[12]

เมื่อพิจารณาถึงแรงจูงใจในการร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ นายปรีดีได้ชี้แจงต่อคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ร่างขึ้นตามแนวทางแบบสังคมนิยมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ โดยตนเห็นว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมต้องเป็นลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่อกัน[13] ตามปรัชญาภราดรภาพนิยมที่นายปรีดียึดถือ[14] การที่รัฐเข้ามาจัดสรรที่ดินจึงเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมองเห็นความจริงของสังคมว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคลคนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแรงงานของตนเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดขึ้นจากสังคมและฝูงชนโดยรอบที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและร่วมประกันภัยต่อกัน[15]

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของนายปรีดีถูกต่อต้านจากรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พร้อมกับการนำพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจ[16]

อนึ่ง สถานการณ์ดังกล่าวในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจคือ คำอธิบายของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ ซึ่งได้กล่าวว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจที่มีการกำหนดให้รัฐซื้อที่ดินจากเอกชนมาเป็นของรัฐ ส่งผลกระทบต่อชนชั้นปกครองในเวลานั้นรวมถึงราชสำนักที่เป็นเจ้าของพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

การปฏิรูปที่ดินจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมรับได้ของชนชั้นนำสยาม เพราะที่ดินถือเป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งให้กับชนชั้นนำ โดยอภิชาตและอิสร์กุลอ้างถึงงานของ สุเอฮิโระว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 การถือครองที่ดินของพระคลังข้างที่ให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อาทิ กิจการรถไฟฟ้า ธนาคาร การเดินเรือ ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเพียงร้อยละ 4-12 เท่านั้น[17]

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นำไปสู่การทำรัฐประหารเงียบโดยการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีผลเป็นการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา จนท้ายที่สุดในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนานำอำนาจคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย พร้อมยุติบทบาทของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวความพยายามในการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจได้สะดุดหยุดลง และต่อมาในปี พ.ศ. 2476 พระยาโกมารกุลมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการในรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้เสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินรกร้างว่างเปล่าแทนการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจ[18]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

การปฏิรูปที่ดินถูกหยิบยกกลับมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่งในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงปี พ.ศ. 2491 – 2500 นโยบายการปฏิรูปที่ดินของจอมพล ป. เป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การตกอยู่ภายใต้พันธะของความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่จะต้องส่งข้าวเพื่อชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม[19] ทำให้ราคาส่งออกข้าวกลับมามีราคาเพิ่มสูงขึ้นและเกิดการสะสมที่ดินอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ปัญหาแรงงานล้นเกินยังมีส่วนให้เกิดแรงกดดันของประชากรต่อที่ดินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินตามมา[20]

นอกจากนี้ ด้วยสภาพทางการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งอยู่ระหว่างการเมืองแบบสามเส้า ทำให้จอมพล ป. อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การดึงเอาการสนับสนุนทางการเมืองจากประชาชน และการรับนโยบายจากสหรัฐอเมริกาจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม[21] กรณีดังกล่าวจึงนำมาสู่การตรากฎหมายที่ให้อำนาจรัฐในการยกเลิกโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบเพื่อแย่งชิงสิทธิกับประชาชน และยกเลิกการออกโฉนดที่ไม่เป็นธรรมแล้วนำไปจัดสรรใหม่ให้กับประชาชน[22]

อีกประการหนึ่งที่รัฐบาลจอมพล ป. ได้ดำเนินการ คือ การจำกัดการถือครองที่ดิน กล่าวคือพยายามเสนอร่างกฎหมายใหม่โดยการตราประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งกำหนดห้ามมิให้ถือครองที่ดินเกินกว่า 50 ไร่ ถ้าเกินกว่า 50 ไร่ต้องขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด[23] อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่านโยบายดังกล่าวนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากรัฐบาลในเวลานั้นยอมแก้ไขร่างประมวลกฎหมายที่ดินโดยไม่ให้มีผลย้อนหลัง ทำให้ไม่กระทบต่อชนชั้นนำที่ครอบครองที่ดินในเวลานั้น[24] แต่ในความเป็นจริงนโยบายการจำกัดการถือครองที่ดินของจอมพล ป. ก็ต้องสิ้นสุดลงไปพร้อมกับการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์[25]

กล่าวได้ว่าปัญหาการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทยมีส่วนสำคัญมาจากแรงจูงใจทางการเมืองของชนชั้นนำในสังคมไทยในเวลานั้น ที่มีส่วนในการขัดขวางกระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลประโยชน์เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทว่า ปัจจัยสำคัญที่ชนชั้นนำไม่ต้องการให้เกิดการปฏิรูปที่ดินเนื่องจากการปฏิรูปจะกระทบต่อความมั่งคั่งเดิมและประโยชน์ที่พึงรักษาไว้จากความเหลื่อมล้ำในสังคม


เชิงอรรถ

[1] หลัก 6 ประการนี้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของคำปฏิญาณคนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1; ดู สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญ) (28 มิถุนายน 2475), หน้า 6.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[3] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525), หน้า 18 – 20.

[4] เพิ่งอ้าง, หน้า 20.

[5] เพิ่งอ้าง, หน้า 32.

[6] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา : สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564), หน้า 42.

[7] ผู้เขียนพัฒนาแนวคิดเรื่องนี้มาจากกรอบการวิเคราะห์ของ รองศาสตราจารย์ ดร.หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์; ดู อคิน รพีพัฒน์, ‘กำเนิดรหัสหมายสลัม/ชุมชนแออัด’ ใน อคิน รพีพัฒน์ (หัวหน้าโครงการ) โครงการวิจัยและปฏิบัติการวิวัฒนาการชุมชนแออัดและองค์กรชุมชนแออัดในเมือง (รายงานวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2541).

[8] ดู กิตติกาญจน์ หาญกุล, ‘บทวิเคราะห์ข้อขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินและกลไกการแก้ไขปัญหา : ศึกษาเฉพาะกรณีที่ดินในเขตชลประทานทุ่งรังสิต’ (2550) 1 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,หน้า 32, 37-38.

[9] ข้อสังเกตคือ การทำงานโดยกลไกตลาดในเวลานั้นไม่มีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรเนื่องจากมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจอยูกับกลุ่มชนชั้นนำ และธุรกิจทุนต่างประเทศ ดู พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 105-106.

[10] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ : ข้อคิดจากปรีดี พนมยงค์ ถึงยุคปัจจุบัน (เสมสิกขาลัย, 2564) 32-33; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ ใน ณภัทร ปัญกาญจน์ (บรรณาธิการ) รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2564), หน้า 71.

[11] ปรีดี พนมยงค์, ‘ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์ <pridi.or.th/th/libraries/1583466113> สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (เชิงอรรถ 10), หน้า 88 – 91.

[13] สันติสุข โสภณสิริ, เค้าโครงการเศรษฐกิจ (โครงการจัดทำสื่อเผยแพร่เกียรติคุณ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส สำหรับเด็กและเยาวชน 2542), หน้า 107.

[14] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[15] สันติสุข โสภณสิริ (เชิงอรรถ 13), หน้า 107 – 108.

[16] ณัฐพล ใจจริง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจจะไม่ใช่ผู้เขียนพระบรมราชวินิจฉัยตัวจริง ข้อสังเกตดังกล่าวมีความน่าสนใจในทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่มีนัยต่อการพิจารณาในเรื่องนี้; ดู ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝในฝันอันเหลือเชื่อ (ฟ้าเดียวกัน, 2566), หน้า 237 – 287.

[17] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, (เชิงอรรถ 6), หน้า 74.

[18] เพิ่งอ้าง, หน้า 72.

[19] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[20] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[21] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500)’ (2553) 2 วารสารสถาบันพระปกเกล้า 1, หน้า 1-6. ..สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[22] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[23] พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 58 ทวิ

[24] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘กระบวนการกำหนดนโยบายที่ดินในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2500’ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2553), หน้า 158 – 174.

[25] ประชาไท, ‘จอมพล ป.กับการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ-จุดริเริ่มการปฏิรูปเพื่อกระจายการถือครองที่ดินแก่ ปชช. หลัง 2475’, (ประชาไท, 22 มกราคม 2565) <prachatai.com/journal/2022/01/96921> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

เเนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของ ปรีดี พนมยงค์ ต่อสังคมไทย: บทสรุปในหนังสือวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมืองของ ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บทบาทของนายปรีดี พนมยงค์ ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในฐานะสมาชิกคณะราษฎร นายปรีดีได้เข้าไปมีส่วนในการดำเนินการในรัฐบาลใหม่หลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการตรากฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในสังคมไทยเวลานั้น อีกเรื่องหนึ่งที่ปรีดี ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุดคือ การเข้าไปวางเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ในหนังสือ “รื้อถอนการพัฒนา ความยั่งยืนทางนิเวศและความยุติธรรมทางสังคม : บทวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” โดย ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ถึงขนาดกล่าวว่า “…สิ่งที่อาจารย์ (ปรีดี) เสนอนั้นไม่ใช่ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” อย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “วิชั่น” (vision; วิสัยทัศน์ เพิ่มเติมโดยผู้เขียนบทความ) ของสังคมไทยในอนาคตด้วย…

ด้วยความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจึงขอสรุปสาระสำคัญและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจหาหนังสือฉบับเต็มของอาจารย์ปรีชามาอ่าน

หลักคิด 4 ประการของเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบปรีดี

ในการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองของนายปรีดี พนมยงค์ กรอบสำคัญที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักการในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานั้นประกอบไปด้วยหลักการ 4 ประการ ได้แก่

ประการแรก การเข้าใจว่าเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมซึ่งมีหลายมิติ ซึ่งในมุมของนายปรีดี ได้แบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วน คือ การเมืองเป็นโครงสร้างส่วนบน เศรษฐกิจเป็นโครงสร้างส่วนล่าง และทรรศนะทางสังคมเป็นส่วนที่เชื่อมโยงกันระหว่างโครงสร้างทั้งสองส่วนดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนต่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดเวลา 

ประการที่สอง เศรษฐศาสตร์การเมืองมองว่ารูปแบบความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในสังคมมีหลายอย่าง แต่รูปแบบความสัมพันธ์ที่สำคัญคือ ความขัดแย้ง ซึ่งนายปรีดีเลือกศึกษาความขัดแย้งที่เกิดจากชนชั้นและอำนาจ

ประการที่สาม สังคมทุกสังคมมีความขัดแย้งภายในตนเอง ซึ่งนำไปสู่การปะทะสังสรรค์กันของความขัดแย้งที่ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในสังคม โดยประเด็นนี้นายปรีดีได้นำวิธีคิดมาจากกฎทางพระพุทธศาสนาในเรื่องความเป็นอนิจจัง ทำให้นายปรีดีเห็นว่าสังคมมีความเป็นอนิจจังที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และ

ประการที่สี่ นายปรีดีมองว่าเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเรื่องของการวิพากษ์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิพากษ์ไปให้ถึงต้นตอของปัญหา

มองสังคมอย่างเป็นองค์รวม

การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองโดยอาศัยหลักการดังกล่าวของนายปรีดี ทำให้การมองสังคมอย่างเป็นองค์รวมมองเห็นสภาพปัญหาของสังคมไทยที่แท้จริงในช่วงเวลาก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมองว่าปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรที่ทุกข์ยากนั้น มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และการเข้าไม่ถึงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้น ในทรรศนะของนายปรีดี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีเป้าหมายเพื่อเป็นปฏิบัติการทางสังคมผ่านการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์แบบเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยนายปรีดีเห็นว่า หากเปลี่ยนแปลงการเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แล้ว เศรษฐกิจที่เป็นโครงสร้างส่วนล่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

นายปรีดีเชื่อว่า เศรษฐกิจกับประชาธิปไตยเป็นเรื่องคู่กัน ถ้าหากเป็นประชาธิปไตย ระบบเศรษฐกิจจะตอบสนองต่อราษฎรมากกว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขในการเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ กล่าวคือ หากมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ดีแล้ว ประชาชนจะมีประชาธิปไตยทางการเมืองที่มั่นคง และจะทำให้คนในสังคมมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางสังคมขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีสิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์

เศรษฐศาสตร์การเมืองของสิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์

นอกจากนี้ สิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์ที่เป็นคุณค่าของประชาธิปไตย 3 ประการ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ จะไม่สามารถเกิดขึ้นในบริบทที่การผูกขาดทางเศรษฐกิจอยู่ภายใต้อำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น เค้าโครงการเศรษฐกิจที่นายปรีดีได้เสนอขึ้นมา จึงไม่ใช่เพียงเค้าโครงของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในเวลานั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นทรรศนะของนายปรีดีที่มองไปในอนาคตว่า สภาพเศรษฐกิจในอุดมคติของสังคมไทย ซึ่งในทรรศนะของนายปรีดีต้องการให้รัฐหรือรัฐบาลเป็นศูนย์รวมความภราดรภาพของราษฎรในสังคมไทย ผ่านการให้รัฐเข้าไปเป็นผู้จัดการระบบเศรษฐกิจ ดังนี้

ประการแรก รัฐเข้าไปดำเนินการประกอบการเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อมิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างชนชั้นที่มีอำนาจไม่เท่ากันในสังคม โดยเมื่อรัฐเป็นผู้เข้าไปดำเนินการก็เสมือนราษฎรทุกคนมีความเป็นเจ้าของร่วมกัน

ประการที่สอง การจัดให้มีประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรโดยเป็นหลักประกันในการดำรงชีวิตของราษฎรที่อาจจะมีความไม่มั่นคงให้เกิดความมั่นคงขึ้นมา โดยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ จะเป็นหลักประกันตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย

ประการที่สาม การจัดระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ โดยให้ราษฎรเข้าไปทำงานในสหกรณ์ ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งและร่วมกันเป็นการเจ้าของหน่วยการผลิตร่วมกัน นอกจากนี้ สหกรณ์จะทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยการผลิตและจำหน่าย และ

ประการที่สี่ รัฐวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้สหกรณ์แต่ละหน่วยรับนโยบายไปดำเนินการ

ระบบเศรษฐกิจตามอุดมคติของนายปรีดีในเค้าโครงการเศรษฐกิจ จึงสะท้อนนัยสำคัญของนายปรีดีที่ต้องการให้ราษฎรไทยเวลานั้นมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมหรือผูกขาดทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง มีความเสมอภาคโดยมีความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกันผ่านรัฐ และมีความเป็นภราดรภาพเสมือนพี่น้อง ร่วมกันแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนผ่านระบบประกันความสุขสมบูรณ์

กล่าวโดยสรุป แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของนายปรีดี จึงเป็นการตั้งหลักการในการวิพากษ์สังคมอย่างเป็นองค์รวม โดยมองให้เห็นรากฐานของปัญหาและนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยปฏิบัติการทางสังคมผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยมีแกนกลางอยู่ที่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่เกื้อหนุนราษฎรในประเทศ

หมายเหตุ : ผู้เขียนสรุปสาระสำคัญและเรียบเรียงประเด็นจาก ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์, รื้อถอนการพัฒนา ความยั่งยืนทางนิเวศและความยุติธรรมทางสังคม : บทวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง (กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองบูรพา 2555).

ความเป็นจริงของความเสมอภาคทางเพศ: เมื่อสิทธิในรัฐธรรมนูญไม่เป็นจริงในชีวิตจริง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเท่าเทียมทางเพศ” ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่การรับสิทธิในการเลือกตั้งโดยเสมอภาคเท่าเทียม จนไปถึงการรับรองสิทธิในความเท่าเทียมทางเพศ การรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกำหนดห้ามมิให้เลือกปฏิบัติโดยอาศัยเหตุเนื่องจากเพศของบุคคล อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกันกับกฎหมายหลายๆ ฉบับที่ในกฎหมายกับในความเป็นจริงแตกต่างกัน สิทธิความเสมอภาคทางเพศก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ในทางกฎหมายกับในความเป็นจริงอาจจะเดินสวนทางกันอยู่ ด้วยปัจจัยเชิงสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ที่อยู่ภายในสังคม

ทรรศนะทางสังคมที่ยังไม่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศ

สิทธิความเสมอภาคทางเพศนั้นเช่นเดียวกันกับสิทธิต่างๆ ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย กล่าวคือ สิทธิทั้งหลายนั้นไม่ใช่เพียงแค่จะต้องมีการรับรองในฐานะสิทธิทางการเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์คนในสังคมจะต้องมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย ปัญหาของสังคมไทยที่ผ่านมาคือ ทรรศนะทางสังคมเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศยังคงไม่เป็นจริงมากเท่าใดนัก

จากการสำรวจของธนาคารโลกในปี พ.ศ. 2561 ระบุว่า ในประเทศไทยมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นทั้งในเรื่องการเข้าถึงโอกาสในการทำงาน การรับบริการของรัฐ  การศึกษาหรือการฝึกอบรม และบริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า ร้อยละ 60 ของกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) ร้อยละ 30 ของกลุ่มเลสเบี้ยน และร้อยละ 20 ของกลุ่มเกย์ ถูกเลือกปฏิบัติในการทำงาน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ใบสมัครของตนถูกปฏิเสธด้วยเหตุแห่งการมีอัตลักษณ์เป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[1]

นอกจากนี้ UNDP และ Love Frankie ได้ทำการสำรวจเกี่ยวรูปแบบการถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ พบว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยมีแนวโน้มจะถูกเลือกปฏิบัติได้อย่างน้อย 7 รูปแบบ ได้แก่ (1) โดนล้อเลียนหรือดูถูกหรือต่อว่า (2) ถูกทอดทิ้งจากกลุ่ม/สังคม (3) โดนไล่ออกจากงานหรือสูญเสียโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (4) โดนล่วงละเมิดทางเพศ (5) โดนทำร้ายร่างกาย (6) โดนให้ออกจากที่อยู่อาศัย และ (7) โดนตำรวจมาตรวจจับ โดยรูปแบบการเลือกประบัติที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด 4 อันดับ คือ รูปแบบที่ (1) – (4)[2]

ส่วนหนึ่งของกระบวนการเลือกปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นในสภาวะที่สังคมกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้และพยายามปรับตัว สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่อุปสรรคใหญ่ของสังคมนั้นมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เข้ามาผสมโรง ทำให้การก่อให้เกิดทรรศนะทางสังคมที่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศไม่เกิดขึ้น อาทิ การกีดกันสิทธิในการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือการยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ที่มีความหลากหลายในสังคมอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างเพศในสังคมซ้ำๆ

ความเสมอภาคทางเพศที่ไม่ใช่แค่มิติหญิงชาย: การปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเพศเสียใหม่

การทำความเข้าต่อประเด็นความเสมอภาคทางเพศในปัจจุบัน ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ “เพศ” เสียใหม่ โดยในปัจจุบันเมื่อพูดถึงเรื่องความเสมอภาคทางเพศแล้ว อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายเพศในปัจจุบันไม่ควรถูกอธิบายผ่านเพศโดยกำเนิด (คิดจากฐานคิดว่าเพศมีแค่หญิงชายและใช้อวัยวะเพศเป็นเกณฑ์) แต่ควรทำความเข้าใจบทบาทเกี่ยวกับเพศในแง่ของเพศสภาพ (Gender) และเพศวิถี (Sexuality) ของบุคคลมากกว่า ซึ่งทำให้เพศมีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ เลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวล ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงของสังคมที่ในปัจจุบันเพศไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศหญิงหรือเพศชายอีกต่อไป

ฉะนั้น เมื่อการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่แล้ว จะเห็นได้ว่ามิติของความเสมอภาคทางเพศจึงไม่ใช่แค่มิติความเสมอภาคระหว่างเพศหญิงและเพศชายอีกต่อไป แต่ควรพิจารณาความเสมอภาคทางเพศบนมิติของความหลากหลายและโอบรับความหลากหลายที่เพิ่มมากขึ้น

การอธิบายกรอบคิดเรื่องเพศในลักษณะนี้รัฐควรจะต้องนำไปปรับเปลี่ยนในเชิงนโยบาย รวมไปถึงมุมมองของรัฐที่มีต่อเรื่องเพศเสียใหม่ นอกจากนี้การจะรองรับความเสมอภาคดังกล่าวได้นั้น กฎหมายก็ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการรับรองสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งกฎหมายใดที่ขัดขวางหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวก็ควรจะต้องถูกแก้ไขให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน

แม้สังคมจะก้าวไปข้างหน้า แต่กฎหมายล้าสมัยยังคงถูกใช้บังคับอยู่

กฎหมายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่คอยย้ำเตือนต่อวัฒนธรรมความไม่เสมอภาคทางเพศ และคอยขัดขวางการสร้างทรรศนะทางสังคมที่ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ในปัจจุบันมีกฎหมายบางฉบับที่ยังเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงไทยที่สมรสกับชายต่างด้าว อาทิ กฎหมายสัญชาติซึ่งกำหนดให้สามีต่างด้าวที่ประสงค์จะต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ในขณะที่ภรรยาต่างด้าวของชายชาวไทยไม่ถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน[3] ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวทำให้คู่สมรสของผู้หญิงมีความยุ่งยากมากกว่าคู่สมรสของผู้ชาย

อีกกรณีหนึ่งคือ การจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เพศกำเนิดเป็นเพศเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิดังกล่าวเอาไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กรณีดังกล่าวนี้เป็นภาพสะท้อนของกฎหมายที่ล้าสมัยที่ยังดำเนินอยู่ในสังคมไทย

ปัจจุบันการสมรสเท่าเทียมได้ถูกผลักดันทั้งจากฝ่ายการเมือง ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป โดยพยายามผลักดันให้รัฐบาลและพรรคร่วมผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่รัฐบาลพยายามเลี่ยงที่จะไปออกกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิต ซึ่งสถานะที่แตกต่างนี้นำไปสู่หนทางของการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมบนพื้นฐานทางเพศเช่นกัน[4]

แม้กฎหมายจะรับรองความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย แต่สังคมทำให้ผู้หญิงไม่เท่ากับผู้ชาย

ความไม่เท่าเทียมทางเพศปรากฏอยู่ในหลายลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงให้อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่า อาทิ กรณีผู้หญิงมุสลิมในภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา หลักประกันทางสังคม การบริการทางสุขอนามัย และโอกาสทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากวัฒนธรรมประเพณีและสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ อีกทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงเป็นฝ่ายแบกรับภาระในการวางแผนครอบครัว[5]

ในกรณีพื้นฐานที่สุด ความเหลื่อมล้ำทางเพศปรากฏอยู่ในรูปแบบของการควบคุมเรื่องการแต่งกาย อาทิ ในกรณีของข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 20 กำหนดให้ในเวลาว่าความ ทนายความหญิงต้องใส่กระโปรงและเสื้อสีสุภาพไม่ฉูดฉาด ซึ่งหากทนายความผู้หญิงคนใดฝ่าฝืนอาจจะถูกลงโทษหรือได้รับผลร้าย เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนมรรยาททนายความ โดยข้อบังคับดังกล่าวถูกใช้มาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปีแล้ว[6]

แม้ว่าในปัจจุบันข้อบังคับดังกล่าวจะถูกวินิจฉัย โดย คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ให้มีการดำเนินการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว[7] แต่กรณีนี้อาจจะไม่เพียงพอ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเข้าสู่ห้องพิจารณาคดีผู้พิพากษายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในฐานะผู้ควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในห้องพิจารณาคดี ซึ่งบางครั้งผู้พิพากษาอาจจะเห็นว่าการใส่กระโปร่งของทนายความหญิง อาจจะขัดกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในห้องพิจารณา รวมถึงในปัจจุบันสภาทนายความอยู่ในระหว่างการฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการดังกล่าว[8]

ความเสมอภาคที่แท้จริงต้องได้รับการสนับสนุน

ความเสมอภาคไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่สิทธิทางกฎหมาย แต่การยกระดับชีวิตของบุคคลควรลงไปถึงมิติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิง (ผู้ชายในบางบริบท และผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ให้มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดคือ ผู้หญิงต่อบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวัน อาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางคือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[9]

ฉะนั้นการออกแบบนโยบายจึงควรพิจารณาต้นทุนการใช้ชีวิตที่เกิดขึ้นกับคนเพศนั้นๆ ประกอบร่วมด้วย เพราะผู้หญิงอาจจะต้องคำนึงถึงภาระและต้นทุนในการเลี้ยงลูก หรือคนที่มีเพศหลากหลายอาจจะต้องคำนึงถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขที่เพิ่มเติมกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในบางบริบท อาทิ การแปลงเพศ เป็นต้น[10]

ทางออกและหนทางสู่สังคมเสมอภาคทางเพศ

ท้ายที่สุด หนทางของการเสริมสร้างความเสมอภาคทางเพศต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยพิจารณาปัจจัย 3 ด้าน ประกอบกัน ได้แก่ (1) การสร้างความตระหนักรู้และความรับรู้เกี่ยวกับเพศในสังคม โดยต้องลงไปแก้ที่หลักสูตรการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในวิชาสุขศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองและทำให้เกิดความเข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น (2) การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางเพศ และ (3) การกำหนดนโยบายใหม่ๆ เพื่อเสริมพลังและให้ตอบโจทย์แก่ประชาชนในทุกๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม


เชิงอรรถ

[1] ธนาคารโลก, ‘การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTI ในประเทศไทย’ (ธนาคารโลก, 17 พฤศจิกายน 2561) <http://documents.worldbank.org/curated/en/527451521822208295/pdf/124554-v1-THAI- Executive-Summary-Thai-23-March-format.pdf> สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2561 อ้างใน จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ และปิยะวรรณ แก้วศรี, ‘รายงานการศึกษา การทบทวนความก้าวหน้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558’ (เสนอต่อกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) 2563) 20.

[2] UNDP และ Love Frankie, ‘ผลการสำรวจระดับชาติเกี่ยวกับทัศนคติด้านรสนิยมทางเพศอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศในประเทศไทย’ (นำเสนอในการสัมมนา Being LGBTI in Asia: Thailand Country Dialogue ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2561) อ้างใน เพิ่งอ้าง 20.

[3] ดวงพร เพชรคง, ‘ความเท่าเทียมระหว่างเพศ’ (สภาผู้แทนราษฎร, ไม่ปรากฏวันที่) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/download/article/article_20181012153459.pdf> อ้างใน เพิ่งอ้าง 19.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รักเราไม่เท่ากัน : พิจารณามุมมองของ สมรสเท่าเทียม และ จดทะเบียนคู่ชีวิต’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1137> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[5] (เชิงอรรถ 1) 19.

[6] iLaw, ‘ทนายหญิงจะใส่กางเกงว่าความได้แล้ว? ย้อนไทม์ไลน์ สภาทนายความ-เนติฯ ไม่แก้ข้อบังคับแต่งกาย’ (iLaw, 8 ธันวาคม 2565) <https://ilaw.or.th/node/6330> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[7] ประชาไท, ‘วลพ. มีคำสั่ง สภาทนาย – เนติบัณฑิตฯ แก้กฎระเบียบ ให้ ‘ทนายหญิง’ สวมกางเกง – กระโปรง ว่าความได้’ (ประชาไท, 1 ธันวาคม 2565) <https://prachatai.com/journal/2022/12/101681> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[8] วศินี พบูประภาพ, ‘สภาทนายความยื่นฟ้อง วลพ. หลังมีคำวินิจฉัยให้แก้กฎการแต่งกายเท่าเทียม’ (Workpointtoday, 7 สิงหาคม 2565) <https://workpointtoday.com/220807-lgbtlawyers/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[9] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[10] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง : มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2 สิงหาคม 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1194> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

เลือกตั้งเสมอภาคในบริบทรัฐธรรมนูญไทยและเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือที่ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดสิทธิทางการเมืองของประชาชนภายในรัฐ

เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพื่อให้ผู้แทนราษฎรเข้าไปเป็นตัวแทนในการใช้สิทธิและเสียงแทนประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และตรากฎหมายที่สำคัญมีผลกับประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร[1] โดยหลักการสำคัญประการหนึ่งของการเลือกตั้งได้แก่ความเสมอภาค กล่าวคือ เสียงของประชาชนทุกๆ คนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะยากจนหรือร่ำรวย หรือมีชาติกำเนิดอย่างไร[2]

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ราษฎรทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในอดีตสิทธิการเลือกตั้งอาจมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดสิทธิสำหรับคนบางกลุ่ม อาทิ ผู้หญิง และผู้ชายที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน เป็นต้น หรือในกรณีของประเทศไทยปัจจุบันรัฐธรรมนูญยังจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช[3]

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในอดีตจะพบว่า เจตนารมณ์เริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น กฎหมายต้องการให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งที่เสมอภาคกัน

เมื่อสิทธิการเลือกตั้งถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ตอกหมุดหมายแห่งความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ถือเงื่อนไขด้านเพศหรือทรัพย์สินมาเป็นเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง ดังปรากฏในบทบัญญัติของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้ใช้วิธีเลือกตั้งโดยทางอ้อมผ่านผู้แทนหมู่บ้าน[4] โดยรับรองสิทธิของบุคคลในการเลือกตั้งไว้ว่า ราษฎรไม่ว่าเพศใดเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ไร้หรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่ถูกศาลพิพากษาให้เสียสิทธิในการออกเสียง และมีสัญชาติไทย ย่อมมีสิทธิออกเสียงลงมติเลือกผู้แทนหมู่บ้านได้[5] บทบัญญัติในมาตรานี้เป็นจุดกำเนิดของการรับรองความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกผู้แทนราษฎร

ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้กำหนดเรื่องสิทธิการเลือกตั้งเอาไว้ โดยกำหนดให้คุณสมบัติแห่งผู้เลือกตั้งให้ไปกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[6] หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

พระราชบัญญัติฉบับนี้ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการยกร่างพระราชบัญญัตินี้ขึ้นมา[7] โดยตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม[8] และประเภทที่ 2 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตั้งโดยพระมหากษัตริย์โดยมีวิธีการปลดหรือตั้งเพิ่มเติมแตกต่างกับประเภทที่ 1[9]

กล่าวเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 นั้นกระบวนการเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยกำหนดให้กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ ให้ราษฎรเลือกตั้งผู้แทนตำบล และให้ผู้แทนตำบลไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดละหนึ่งคน[10]

ในแง่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนตำบลจะต้องมีสัญชาติไทย มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่เป็นผู้ต้องคุมขังอยู่โดยหมายศาลในขณะเลือกตั้ง ไม่เป็นภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชขณะเลือกตั้ง และไม่ถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง[11]

พึงสังเกตไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการกำหนดข้อจำกัดการเลือกตั้งอะไรที่จะกระทบต่อความเสมอภาค อาทิ ข้อจำกัดเรื่องเพศ ข้อจำกัดเรื่องการศึกษา หรือการถือครองที่ดิน จะมีแต่ข้อจำกัดเรื่องการห้ามภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช ซึ่งในอดีตกฎหมายต้องการห้ามมิให้นักบวชในศาสนาซึ่งควรจะต้องเป็นกลางทางการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นการเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังจากเมื่อมีการพิจารณาในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ดี พึงตั้งข้อสังเกตว่าการจำกัดสิทธิของภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ในบริบทสังคมการเมืองปัจจุบัน

มองรัฐธรรมนูญในแดนเทศเปรียบเทียบไทย

ในบริบทของต่างประเทศนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) จากการสำรวจของ CONSTITUTE Project พบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่มีรัฐธรรมนูญในเวลานั้นคิดเป็นร้อยละ 77 ได้มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งสำหรับประชาชนบางกลุ่มเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายการเลือกตั้ง อาทิ ประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนเอาไว้ (แต่อาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน) แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีประวัติศาสตร์ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน

ในกรณีของประเทศสหราชอาณาจักรในช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาสิทธิในการเลือกตั้งเป็นสิทธิที่จำกัดไว้เฉพาะประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น แม้ว่ารัฐสภาจะทำหน้าที่ออกกฎหมายมาใช้บังคับกับคนทุกคนภายในประเทศ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในช่วงปี ค.ศ. 1492 – 1832 สิทธิการเลือกตั้งในประเทศสหราชอาณาจักรยังถูกสงวนไว้ให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพักอาศัยรวมถึงต้องมีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 40 ปอนด์ขึ้นไป ในขณะที่สิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการยอมรับในปี ค.ศ. 1869 แต่ผู้หญิงที่จะมีสิทธิในการเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้หญิงส่วนใหญ่ เพราะกฎหมายยังคงกำหนดเงื่อนไขเรื่องการเป็นผู้มีทรัพย์สินเอาไว้[12] ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ในเวลานั้นไม่สามารถใช้สิทธิในการเลือกตั้งได้ จากข้อมูลของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1918 มีประชาชนเพียงแค่ร้อยละ 58 เท่านั้นที่เป็นผู้ชายและมีสิทธิเลือกตั้ง[13] แม้ว่าจะมีประชากรชายมากกว่าร้อยละ 21 ที่มีสิทธิเลือกตั้ง[14] ผู้ชายบางคนที่มีเกณฑ์มีสิทธิเลือกตั้งอาจเสียสิทธิเนื่องจากไม่ได้อยู่ในประเทศสหราชอาณาจักร (ในเกาะอังกฤษ) ในเวลานั้น อาทิ ทหาร[15]

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงเริ่มมีความเสมอภาคทัดเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1918 เมื่อ Representation of the People Act 1918 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ขยายสิทธิในการเลือกตั้งให้กับผู้ชายทุกคนที่มีอายุ 21 ปี โดยไม่ต้องมีการนำเงื่อนไขเรื่องทรัพย์สินและรายได้มาเป็นเงื่อนไขการมีสิทธิ ในขณะเดียวกันพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ให้สิทธิกับผู้หญิงทุกคนที่มีอายุมากว่า 30 ปี และเป็นเจ้าของบ้านหรือภริยาของเจ้าของบ้านก็มีสิทธิเลือกตั้งได้เช่นกัน[16] ซึ่งทำให้ผู้หญิงประมาณ 8.5 ล้านคนมีสิทธิเลือกตั้ง แต่จำนวนดังกล่าวก็เป็นเพียง 2 ใน 3 ของประชากรผู้หญิงทั้งหมดในสหราชอาณาจักร[17] อย่างไรก็ดี  แม้กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่มีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในการเลือกตั้ง

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการรับรองให้เท่าเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1928 เมื่อมีการประกาศใช้ Equal Franchise Act 1928 ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป มีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้จำนวนของผู้หญิงที่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านคน[18]

ในประเทศสหรัฐอเมริกาปัญหาการใช้จำกัดสิทธิในการเลือกตั้งมีความซับซ้อนมากกว่านี้ เพราะในประเทศสหรัฐอเมริกาการเลือกตั้งไม่ได้มีเฉพาะในระดับประเทศเท่านั้น เพราะในแต่ละมลรัฐก็มีอำนาจที่จำกัดหลักเกณฑ์ในเรื่องการเลือกตั้งไว้ในกฎหมายของแต่ละมลรัฐได้เช่นกัน ในขณะที่รัฐธรรมนูญไม่ได้มีข้อกำหนดว่าบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นบุคคลประเภทใด[19]

ช่วงแรกที่มีการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา บางรัฐได้เริ่มต้นตรากฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยกำหนดเงื่อนไขด้านศาสนา ความสามารถในการเสียภาษี และเชื้อชาติ  ด้วยเหตุนี้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1789 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นชายผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการผ่อนคลายเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิการเลือกตั้งลง และค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดสิทธิเลือกตั้งที่เดิมห้ามมิให้ทาส และชนพื้นเมืองในอเมริกามีสิทธิในการเลือกตั้ง พร้อมๆ กับกระแสที่พยายามรณรงค์สิทธิความเท่าเทียมในการเลือกตั้ง ข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งต่างๆ ถูกขจัดสิ้นลงในปี ค.ศ. 1965 เมื่อ Voting Rights Act ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติสำคัญที่กำหนดห้ามการกระทำใดๆ หรือมีเงื่อนไขใดๆ ที่จำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง[20]

ความสำคัญของการเลือกตั้งโดยเสมอภาค คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเข้าไปมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทางการเมืองผ่านการเลือกผู้แทนของตน เพื่อไปทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ในสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเมื่อเริ่มต้นปกครองในระบอบประชาธิปไตยหลักการเลือกตั้งโดยเสมอภาคได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกและได้ถูกส่งต่อมาเป็นมรดกสำคัญ เมื่อเทียบกับในบริบทของต่างประเทศแล้วสิ่งนี้อาจจะเป็นความโชคดีของประเทศไทยและวิสัยทัศน์ของผู้ยกร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ที่ได้วางหลักการสำคัญนี้เอาไว้


เชิงอรรถ

[1] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล, ‘การเลือกตั้ง: ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย’ (ศาลรัฐธรรมนูญ, ไม่ระบุวันที่) <https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=1353> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 96.

[4] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล (เชิงอรรถ 1).

[5] ระบบการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 กำหนดกระบวนการเลือกตั้งเอาไว้เป็นขั้นตอน โดยในระยะแรกการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะใช้การเลือกตั้งทางอ้อมแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ ขั้นแรกราษฎรเลือกผู้แทนหมู่บ้านแล้วผู้แทนหมู่บ้านไปเลือกผู้แทนตำบล จากนั้นให้ผู้แทนตำบลไปเลือกผู้แทนราษฎร.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2547 มาตรา 17.

[7] รวินทร์ คำโพธิ์ทอง, ‘แนวคิดของปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร เรื่องการเลือกตั้งครั้งแรกของสยาม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 พฤศจิกายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/11/1324#_ftn2> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[8] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 1 (ตั้งแต่มาตรา 3 ถึงมาตรา 46).

[9] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 2 (มาตรา 47); สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นี้ตั้งขึ้นตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 นี้ โดยกฎหมายกำหนดให้เมื่อครบวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 แล้ว ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงตำแหน่งอยู่ดำเนินการคัดเลือกเพื่อให้ได้สมาชิกเท่ากับจำนวนเดิม.

[10] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[11] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[12] Norfolk Record Office, ‘Key developments in voting rights’ (Norfolk Record Office) <https://www.archives.norfolk.gov.uk/help-with-your-research/family-history/electoral-registers/key-developments-in-voting-rights> accessed 16 December 2022.

[13] Ibid.

[14] UK Parliament, ‘Women get the vote’ (UK Parliament) <https://www.parliament.uk/about/living-heritage/transformingsociety/electionsvoting/womenvote/overview/thevote/> accessed 16 December 2022.

[15] Norfolk Record Office (n 14).

[16] Ibid.

[17] UK Parliament, (n 16).

[18] Ibid.

[19] Amy Tikkanen, ‘Voting in the U.S.A.’ (Encyclopedia Britannica, 7 November 2016) <https://www.britannica.com/story/voting-in-the-usa> accessed 16 December 2022.

[20] Ibid.