ตราชู พระขรรค์ และราชันย์: ความยุติธรรมแบบไทยๆ ในนัยสัญลักษณ์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 บนเว็บไซต์ the 101.world

‘ความยุติธรรม’ นับเป็นหนึ่งในคำนามธรรมที่มนุษย์พยายามสร้างสัญลักษณ์และภาพแทนขึ้นมาในหลากหลายรูปแบบ เพื่อสื่อสารความหมายของแนวคิดนี้ให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

ในบริบทโลกตะวันตก ภาพของ ‘เทพีเทมิส’ (Themis) หรือ Lady Justice หญิงสาวผู้มีผ้าปิดตา มือหนึ่งถือตราชู อีกมือหนึ่งถือดาบ สะท้อนความพยายามในการสร้างภาพแทนของ ‘ความยุติธรรม’ ให้ปรากฏในรูปของสตรีผู้สงบนิ่ง มีเหตุผล และไม่เอนเอียง ภาพแทนนี้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไป ทั้งในงานประติมากรรม ภาพวาด หรือแม้แต่สื่อบันเทิงแนวกฎหมาย

แม้จะไม่อาจทราบได้ว่าโลกตะวันตกเริ่มต้นใช้ภาพเทพีเทมิสเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมตั้งแต่เมื่อใด แต่ปกรณัมกรีกเรื่อง เธโอโกนี (Theogony) โดยกวีชื่อเฮซิออด (Hesiod) ได้กล่าวถึงเทพีเทมิสว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม และยังเป็นมารดาของ ดีเค (Dike) เทพีแห่งกฎหมายธรรมชาติ[1] ความสัมพันธ์เชิงอุปมานี้จึงอาจสะท้อนนัยสำคัญว่า ความยุติธรรมเป็นเสมือนรากฐานที่ให้กำเนิดกฎหมาย มิใช่สิ่งที่อยู่ใต้กฎหมาย

สัญลักษณ์สำคัญและภาพแทนสำคัญอย่างไร

สัญลักษณ์และภาพแทนทุกๆ อย่างในโลกไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากกระบวนการทางความคิดในสังคม  และการเลือกอย่างตั้งใจเพื่อสะท้อนสิ่งที่ชนชั้นนำหรือสังคมอยากเห็น เช่น เทพีเทมิสที่สะท้อนจินตนาการของสังคมตะวันตกว่าความยุติธรรมควรมีความเป็นกลาง ความมีเหตุผล และความมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย ดังจะเห็นได้จากองค์ประกอบที่แฝงความหมายเชิงนามธรรม ได้แก่ ผ้าปิดตาที่สะท้อนถึงความเป็นกลาง ตราชูที่สื่อถึงการพินิจพิจารณาอย่างมีเหตุมีผล และดาบที่แสดงถึงอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย รูปปั้นเทพีเทมิสจึงไม่ได้แค่สื่อถึงความยุติธรรมแบบกว้าง แต่องค์ประกอบของรูปปั้นยังสะท้อนคุณลักษณะต่างๆ ของความยุติธรรมด้วย

สัญลักษณ์และภาพแทนหนึ่งๆ จึงไม่ได้มีความหมายเพียงนัยเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกอบกันของชุดวาทกรรมต่างๆ ซึ่งมีความหมายแฝงเร้น[2] อาทิ องค์ประกอบของภาพสะท้อนความหมายอะไร สะท้อนถึงใคร และในบริบทที่เรากำลังพูดถึงความยุติธรรม สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อมุมมองการใช้กฎหมายอย่างไร

เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาบริบทของสังคมไทย คำถามที่น่าสนใจคือ กระบวนการยุติธรรมไทยมีสัญลักษณ์หรือภาพแทนใดที่ทำหน้าที่สื่อถึง ‘ความยุติธรรม’ คล้ายกับเทมิสหรือไม่ หรืออันที่จริง เราอาจกำลังอยู่ในระบบที่ขาดแคลนภาพแทนของความยุติธรรม แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ตราสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นแนวคิดหรือโครงสร้างอำนาจแบบใดในกระบวนการยุติธรรมไทย

สัญลักษณ์และภาพแทนความยุติธรรม เมื่อแรกเริ่มตั้งกระทรวงในประเทศไทย

ก่อนการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมในปี 2434 ยังไม่มีความพยายามจัดการเรื่องกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ศาลและหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมยังคงกระจายตามสังกัดของกรมและกองต่างๆ[3] ที่มีบริบทเฉพาะตามหน้าที่ของตน อาทิ ศาลนครบาลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิพากษาคดีในพระนคร โดยอยู่ภายใต้การดูแลของกรมเวียง ในขณะที่ศาลหลวงอยู่ภายใต้การดูแลของกรมวัง[4] ซึ่งเป็นลักษณะของระบบกระบวนการยุติธรรมก่อนการเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่

จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบราชการและสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งเป็นรัฐสมัยใหม่ การจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมและการปฏิรูประบบศาลเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อให้เกิดกระบวนการยุติธรรมที่เป็นแบบแผนเดียวกัน ตอบสนองต่อระบบทุนนิยม และการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง[5]

เมื่อเริ่มจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมนั้น มีการทำตราสัญลักษณ์ขึ้นเพื่อเครื่องหมายของกระทรวง โดยในปี 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงพระราชทาน ‘ตราจันทรมณฑล’ ซึ่งเป็นตราประจำตัวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มาเป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม[6]

ที่มา: พระยาอนุมานราชธน (2546)

อย่างไรก็ดี พึงสังเกตไว้ว่าในระยะแรก ตราสัญลักษณ์ประจำกระทรวงยุติธรรมนั้นไม่ได้สะท้อนนัยหรือแนวคิดใดๆ เกี่ยวกับความยุติธรรม เพียงแต่เป็นตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

จนล่วงเข้าปี 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนตราตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเป็น ‘ตราพระดุลพาห’ ซึ่งเป็นรูปพระแสงขรรค์กับรูปดุลหรือตราชู ประดิษฐานอยู่เหนือพานสองชั้น ซึ่งเป็นลักษณะของตราสัญลักษณ์กระทรวงยุติธรรมที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน[7]

ที่มา: พระยาอนุมานราชธน (2546)

แม้ไม่ปรากฏว่าเหตุใดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานตราพระดุลพาหให้เป็นตราประจำตัวเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและเป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงยุติธรรม แต่อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นพระราชนิยมส่วนพระองค์ในแบบอย่างของต่างประเทศ จึงมีพระประสงค์ให้ตราประจำเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมีลักษณะเป็นสากลแบบตะวันตก (เช่นตราอาร์มของต่างประเทศที่ใช้สัญลักษณ์ดาบประกอบกับตราชู)

ตราพระดุลพาหจึงประกอบด้วยตราชูสองข้างตั้งตรงเสมือนความไม่เอนเอียง และพระขรรค์ในฐานะอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย เสมือนกับดาบในมือของเทพีเทมิส สะท้อนนัยของความยุติธรรมที่การบังคับใช้กฎหมายเป็นกลางและไม่เอียงเอน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมได้ให้ความหมายของตราพระดุลพาหไว้ว่า ‘ความรับผิดชอบในการผดุงความยุติธรรมให้สถิตเสถียร สม่ำเสมอ ไม่เอนเอียงไปข้างฝ่ายใดด้วยอคติ’[8]

ถ้าคิดอย่างผิวเผิน ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะต้องการสื่อถึงความยุติธรรมอันเป็นสากล แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่าพระขรรค์นั้นไม่ใช่ดาบทั่วไป แต่เชื่อมโยงกับมุมมองความยุติธรรมในสังคมไทย ดังที่ปรากฏในปกรณัมปรัมปราที่มีการกล่าวถึงในกฎหมายตราสามดวง บทพระธรรมศาสตร์ ว่าพระพุทธโพธิสัตว์ได้ทรงจุติมาเป็นพระเจ้ามหาสมมุติราชที่ทรงพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อรักษาความเป็นธรรม เนื้อความดังนี้

“โดยเสดจ์ยังสาระพินิจฉัย พร้อมด้วยหมู่มุกขมนตรีกระวีราชปโรหิตาจารยผู้อยู่ในศีลสัจดำรงพระไทยฟังอรรฐคดี ซึ่งกระลาการพิจารณาโดยยุติธรรมนั้นเปนแว่นแก้ว แล้วเอาคำภีร์พระธรรมสาตรเปนพระเนตร ดูเทศกาลบ้านเมืองโดยสมควรแล้ว จึ่งเอาพระกรเบื้องขวา คือพระสติสัมปะชัญะทรงพระขรรคแก้ว คือพระวิจารณะปัญญาวินิจฉัยตัดข้อคดีอนาประชาราษฎรทังปวงโดยยุติธรรม[9]”

จะเห็นได้ว่านัยของพระขรรค์ในที่นี้ อาจไม่ได้แสดงเฉพาะมุมมองความยุติธรรมแบบสากล ที่มองกฎหมายในมุมของอำนาจอันชอบธรรมในการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังแปลความได้ว่าเป็นการวินิจฉัยตัดสินคดีโดยเป็นธรรมแบบพระเจ้ามหาสมมุติราช

นอกจากนั้น หากมองอย่างเจาะจงลงไปอีกชั้นหนึ่ง จะเห็นได้ชัดเจนว่าพระขรรค์นี้อาจไม่ใช่พระขรรค์ทั่วไป แต่เป็น ‘พระแสงขรรค์ชัยศรี’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระแสงศาสตราวุฒิประจำองค์พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของราชบัลลังก์และมีฐานะเป็นพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุด[10] รวมถึงเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระราชอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์[11]

จึงมีข้อน่าสังเกตว่า พระขรรค์ในที่นี้อาจไม่ได้สะท้อนเพียงอำนาจในการใช้กฎหมาย แต่หมายถึงการใช้กฎหมายภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เสมือนหนึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาของกฎหมายและทรงเป็นที่มาของความยุติธรรมทั้งปวงด้วยเช่นกัน

เหตุใดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวแทนตราจันทรมณฑล ไม่ปรากฏหลักฐานที่อธิบายเรื่องนี้ แต่อาจสันนิษฐานได้จากบริบททางการเมืองในเวลานั้น กล่าวคือ ในปี 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชย์ต่อจากพระราชบิดา หลังจากเกิดเหตุการณ์สำคัญคือ ‘คดีพญาระกา’[12] ซึ่งส่งผลให้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษา 28 คน รวมตัวกันลงชื่อลาออกจากราชการเพื่อประท้วงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[13] ที่ไม่ทรงดำเนินคดีกับผู้หมิ่นประมาทพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระองค์เจ้ารพีพัฒน์ศักดิ์ (พระยศในขณะนั้น)

การประท้วงดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเป็นผลจากปฏิกิริยาตอบสนองในระบบราชการที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่หลังจากปี 2434 ซึ่งมีการปลูกฝังแนวคิดการทำงานอย่างมืออาชีพของข้าราชการตุลาการ ตามแนวทางคำสอนของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในฐานะเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและพระอาจารย์ของบรรดาข้าราชการกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษา ซึ่งทรงสั่งสอนข้าราชการเหล่านั้นเพื่อสร้างระบบกฎหมายที่เข้มแข็งที่รวมถึงการต่อต้านการแทรกแซงจากพระมหากษัตริย์[14]

โดยทั่วไปแล้ว มักมีคำอธิบายว่าคดีพญาระกาเป็นชนวนสำคัญที่ส่งผลต่อพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระพิโรธและพระโทมนัสมากถึงขนาดเขียนชื่อบรรดาข้าราชการเหล่านั้นไว้ที่ปลายพระแท่นบรรทมเพื่อทรงสาปแช่ง[15]

เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง วันที่ 27 มิถุนายน 2453 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงโปรดเกล้าให้โปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรเป็นผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแทนกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และทรงมีรับสั่งให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระยศในขณะนั้น) ทรงเป็นผู้กำกับราชการกระทรวงยุติธรรม ก่อนจะเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453[16]

การสวรรคตของพระราชบิดาอาจเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการแสดงบทบาทสำคัญในหมู่ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษาให้มากขึ้น ทั้งในแง่การสับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการกระทรวงยุติธรรมในเดือนมกราคม 2453 (ตามปฏิทินเก่า มกราคมไม่ใช่เดือนแรก) หรือทรงมีพระประสงค์จะควบคุมจริยธรรมและมารยาทของเนติบัณฑิตและทนายความ โดยการจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภาขึ้นมาในพระราชูปถัมภ์[17]

การพระราชทานตราพระดุลพาหที่มีองค์ประกอบเป็นพระแสงขรรค์ไชยศรี ซึ่งแสดงถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จึงอาจสะท้อนนัยทางสังคมว่า การบังคับใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมนี้เป็นไปภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

สัญลักษณ์วงการยุติธรรมในยุคแห่งการเติบโตของวงการตุลาการ

นอกจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว ศาลหรือองค์กรตุลาการก็มีตราสัญลักษณ์และภาพแทนของกระบวนการยุติธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งอาจสะท้อนนัยและความคิดเรื่องการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน

ในอดีต บทบาทส่วนใหญ่ของศาลและองค์กรตุลาการคือการตัดสินข้อพิพาทระหว่างบุคคลมากกว่าจะเข้ามาสู่ประเด็นทางการเมืองเหมือนในยุคหลัง จุดเปลี่ยนสำคัญของบทบาทศาลและองค์กรตุลาการเกิดขึ้นเมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งศาลขึ้นมาเป็นจำนวนมาก อาทิ ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันก็มีการแบ่งแยกฝ่ายธุรการของศาลให้ออกจากร่มเงาของกระทรวงยุติธรรมที่เป็นฝ่ายบริหาร จึงเกิดเป็นสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ[18]

ในด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามข้อเรียกร้องให้สร้างระบบการประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาจากการแทรกแซงของฝ่ายบริหาร[19] แต่อีกด้านหนึ่ง ก็อาจเป็นอิทธิพลมาจากความพยายามสร้างกฎเกณฑ์ในการเล่นเกม (rule of game) ทางการเมือง ที่มุ่งจะลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยจัดแจงพื้นที่ความสัมพันธ์ทางการเมืองเข้าสู่ระบบกฎหมาย แล้วให้อำนาจต่างๆ ไปตกอยู่กับศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีการประดิษฐ์ตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานองค์กรตุลาการที่เกิดขึ้นมาใหม่ สัญลักษณ์เหล่านี้มีนัยที่น่าสนใจในเชิงความหมาย โดยเมื่อลองพิจารณาตราสัญลักษณ์ของสำนักงานศาลแต่ละแห่ง จะพบว่าสะท้อนแนวคิดต่อกระบวนการยุติธรรมแตกต่างกัน แต่อาจมีนัยบางอย่างร่วมกัน

ภาพเครื่องหมายสำนักงานศาลยุติธรรม
ที่มา: สำนักงานศาลยุติธรรม (2544)

ในกรณีสำนักงานศาลยุติธรรม ได้มีการประกาศใช้ตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในปี 2544 เป็นตรารูปทรงกลมสมมาตรกัน 2 ด้าน มีองค์ประกอบเป็นพระมหาพิชัยมงกุฎครอบอยู่เหนืออุณาโลม (คล้ายเลข 9 ไทย: ๙) และมีตราพระดุลพาหตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้า มีพระแท่นรองรับพานโดยมีครุฑยุดนาคทูนไว้เหนือศีรษะ ล้อมรอบด้วยดอกบัวตูม 9 ดอก เป็นดอกบัวตูม 8 ดอก และมีดอกบัวบาน 1 ดอกอยู่ตรงกลางด้านหลัง

เมื่อพิจารณาคำอธิบายของตราสัญลักษณ์ของสำนักงานศาลยุติธรรม จะพบว่าพระมหาพิชัยมงกุฎนี้สื่อถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจน พึงสังเกตว่าพระมหาพิชัยมงกุฎครอบอยู่เหนือตราอุณาโลมที่คล้ายเลข 9 จึงสะท้อนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ส่วนดอกบัวสื่อถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และจำนวน 9 ดอกเป็นการเน้นย้ำถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอีกเช่นกัน ส่วนตราพระดุลพาหที่อยู่ตรงกลางแสดงถึงความยุติธรรมและเป็นกลาง เมื่อรองด้วยพระแท่นรองรับพาน จึงหมายถึงความยุติธรรมตั้งอยู่บนรากฐานอันมั่นคง ส่วนครุฑยุดนาคหมายถึงแผ่นดิน เมื่อนำทั้งหมดมาประกอบรวมกันแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมได้ให้คำอธิบายของตราสัญลักษณ์นี้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้พระราชทานความบริสุทธิ์ยุติธรรมทั่วทั้งแผ่นดิน[20]

ภาพเครื่องหมายสำนักงานศาลปกครอง
ที่มา: สำนักงานศาลปกครอง (2559)

ส่วนตราสัญลักษณ์ของสำนักงานศาลปกครองนั้น น่าสนใจว่ามีองค์ประกอบน้อยกว่าตราสัญลักษณ์ของศาลยุติธรรม โดยตราสัญลักษณ์นี้เป็นทรงวงรีสมมาตร สื่อถึงการเคลื่อนไหวหมุนไปตลอดเวลา ภายในประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ได้แก่ ดุลพาหหรือตราชู สื่อถึงความสมดุล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และไม่เอนเอียงแก่ฝ่ายใด สะท้อนถึงการทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเที่ยงตรง ต่อมาคือพระคทาจอมทัพภูมิพลพร้อมพานรอง เป็นพระคทาประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สื่อว่าศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองจัดตั้งขึ้นสำเร็จในรัชสมัยขององค์ และเน้นย้ำการให้ความยุติธรรมในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ รวมถึงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ตุลาการผู้ปฏิบัติหน้าที่ และสุดท้ายคือช่อชัยพฤกษ์ หมายถึงความมีชัยชนะในการคิดและการดำเนินการ[21]

การใช้พระคทาจอมทัพ ไม่เพียงแต่มีนัยเน้นย้ำสถานะของพระมหากษัตริย์ในฐานะที่มาของความยุติธรรมตามนัยเดียวกันกับพระแสงขรรค์ไชยศรี แต่ยังสื่อถึงยุคสมัยของอำนาจที่มาพร้อมกำลังบังคับ ไม่ใช่แค่สิทธิธรรมเชิงสัญลักษณ์

ทั้งนี้ พึงสังเกตไว้ว่า โดยรวมแล้วตราสัญลักษณ์ของสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลปกครองพยายามสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาลทั้งสองกับองค์พระมหากษัตริย์ โดยอธิบายว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งที่มาของความยุติธรรมทั้งปวง ทรงเป็นขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการผู้พิพากษาและตุลาการที่ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธย ลักษณะดังกล่าวอาจแตกต่างจากตราสัญลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้สื่อถึงองค์พระมหากษัตริย์มากเท่าศาลอื่นๆ ยกเว้นแต่พระขรรค์ตรงดุลพาหที่ทิ่มลงบนรัฐธรรมนูญบนพานแว่นฟ้า[22]

ภาพตราสัญลักษณ์ศาลรัฐธรรมนูญ
ที่มา: ศาลรัฐธรรมนูญ (2553)

คำถามสำคัญคือ เหตุใดองค์กรตุลาการต้องพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์ผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ มากขนาดนี้ ในแง่หนึ่งก็อาจเพราะถือคติว่าการพิจารณาพิพากษาคดีใดๆ ของศาลเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีในพระปรมาภิไธยขององค์พระมหากษัตริย์[23] ซึ่งมีความเชื่อว่าสายสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตุลาการกับพระมหากษัตริย์มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐอื่นๆ ในระนาบเดียวกันตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อย่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของ วิชา มหาคุณ ในปี 2560 ว่า

“…พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจโดยตรงของอำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะผู้พิพากษาต้องตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ คำนี้มีความหมายมาก พูดง่ายๆ ว่า เป็นสายตรงของพระมหากษัตริย์ ต้องอยู่ในพระเนตรพระกรรณตลอดเวลา ตัดสินคดีถูกต้องหรือไม่ เป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่…[24]”

สายสัมพันธ์พิเศษระหว่างพระมหากษัตริย์กับผู้พิพากษาและตุลาการในพระปรมาภิไธยนี้ อาจไม่ใช่แค่การยึดถือพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณาบริบทสถานการณ์ช่วงก่อนปี 2540 จะพบว่าสายสัมพันธ์นี้ก่อตัวขึ้นจากสององค์ประกอบสำคัญ คือการอบรมสั่งสอนในวงการตุลาการและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย

ในประเด็นการอบรมสั่งสอนในวงการตุลาการ แม้ไม่ปรากฏชัดเจนว่าด้วยเหตุใดและเมื่อใดที่วงการตุลาการไทยอบรมสั่งสอนให้ข้าราชการตุลาการยึดโยงการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย (ผู้เขียนยังศึกษาประเด็นนี้อยู่) แต่ความเข้าใจดังกล่าวอาจไม่ถูกต้องทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติของระบบการปกครอง เพราะในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจรัฐทั้งหมดสถิตอยู่ในพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เฉพาะอำนาจตุลาการเท่านั้น การใช้อำนาจรัฐใดๆ ย่อมกระทำในนามของพระมหากษัตริย์ในฐานะสถาบันและองค์ประธานแห่งการปกครองของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายล้วนทำงานต่างพระเนตรพระกรรณทั้งสิ้น

แม้ล่วงมาถึงระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน แต่ก็ยังกำหนดในเชิงพิธีให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งครอบคลุมทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

อย่างไรก็ดี นับจากเหตุการณ์คดีพญาระกา ชนชั้นนักกฎหมายก็ถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดโดยราชสำนักและอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งในระบบราชการที่เพิ่งสถาปนาขึ้นมาในเวลานั้น และสร้างรากฐานให้กับความหมายของการพิพากษาในพระปรมาภิไธยแบบที่เข้าใจในปัจจุบัน

การเข้ามามีอิทธิพลดังกล่าว ทำให้สถาบันตุลาการไทยถูกจัดวางตำแหน่งแห่งที่ใหม่ให้ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน ตัวสถาบันตุลาการเองก็พยายามเสริมสร้างสถานะใหม่นี้ โดยบรรดาบรรพตุลาการได้สร้างอัตลักษณ์ของตุลาการขึ้นเพื่อเชื่อมโยงฉากหน้าของตุลาการเข้ากับฉากหลัง ซึ่งคือบรรดาอำนาจอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ตัวบทกฎหมายที่เกิดจากอำนาจรัฐ แต่เป็นอำนาจวิเศษเหนือกาลเวลา อยู่เหนือระบบการเมืองการปกครอง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องเลวทรามและชั่วช้า

กฤษณ์พชร โสภณวัตร ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของตุลาการไทยว่า ตุลาการไทยมีอัตลักษณ์ร่วมกัน 4 ประการ ได้แก่ การเป็นคนดี ผู้ดี ผู้รู้ และผู้จงรักภักดี อัตลักษณ์ร่วมของสถาบันตุลาการในยุคปัจจุบันเป็นผลผลิตและเป็นอัตลักษณ์ของสัญญา ธรรมศักดิ์[25] ซึ่งการสร้างอัตลักษณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากการประกอบสร้างแนวคิดในเชิงพระพุทธศาสนาและแนวคิดแบบชาตินิยมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง

เหตุที่ต้องให้ความสนใจกับความคิดและบทบาทของสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เนื่องมาจากสัญญาเป็นบุคคลที่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองในหลายลักษณะ ทั้งประธานศาลฎีกา นายกรัฐมนตรี และประธานองคมนตรี ซึ่งได้รับการยกย่องในบรรดาวงการตุลาการให้เป็นต้นแบบของบรรพตุลาการ[26]

ในบรรดาอัตลักษณ์ทั้งหมด การเป็นผู้จงรักภักดีอาจเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในวงการตุลาการ โดยเริ่มต้นจากการที่สัญญาเน้นย้ำการเป็นผู้พิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธย[27] และสร้างค่านิยมว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย ดังจะเห็นได้จากการปราศรัยหรือถ้อยแถลงต่างๆ

ตัวอย่างเช่น ในงานเลี้ยงวันอำลาของข้าราชการตุลาการ ณ โรงแรมเอราวัณ ปี 2510 สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นผู้หนึ่งที่ได้พ้นจากการเป็นข้าราชการประจำ และได้มีโอกาสให้โอวาทในฐานะประธานศาลฎีกา ความว่า

“ชีวิตเราชาวตุลาการทั้งชีวิต อุทิศให้ความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะฉะนั้นอย่าได้วอกแวกไปในทางโลภ โกรธ หลง จนเป็นจนเงินเดือนตุลาการก็มากกว่าเงินเดือนข้าราชการพลเรือนอื่นๆ พอสมควรอยู่แล้ว เราอย่าไปคิดรวยลัด รวยเร็ว เพื่อให้คนที่บ้านใส่แหวนเพชรเร็ว เป็นตุลาการคิดอย่างนั้นไม่ได้หรอก…ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ข้าราชการตุลาการฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ทำงานในพระปรมาภิไธย เราเท่านั้น! ที่ทำงานในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์[28]”

เมื่อครั้งที่สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับแจ้งในปี 2511 ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระประสงค์โปรดเกล้าให้สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นองคมนตรีนั้น สัญญาได้อุทานออกมาว่า

“ตายจริง ผมไม่นึกฝันเลยว่าในหลวงจะทรงเรียกใช้ พระองค์ทรงมีคุณต่อบ้านเมืองเป็นล้นพ้น จะทรงใช้ให้เราไปไหนก็ต้องทำได้ แม้นจะใช้ให้เราไปตายก็ต้องได้[29]”

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์ด้านความจงรักภักดีของสัญญา แม้ในตอนที่ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในการแถลงนโยบาย ปี 2516 สัญญาก็ได้แสดงถึงความจงรักภักดีและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ไว้ ดังปรากฏในข้อแรกของนโยบาย ความว่า

“รัฐบาลนี้จะเทิดทูนพระมหากษัตริย์ไว้เป็นที่เคารพสักการะอันสูงยิ่งตลอดไป และดำเนินการเพื่อให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหาราชการแผ่นดินโดยเร็วที่สุด[30]”

ไม่เพียงแต่การปลูกฝังถ่ายทอดต้นแบบของบรรพตุลาการที่สร้างวิธีคิดดังกล่าว ผ่านการอบรมสั่งสอนในหมู่วงข้าราชการตุลาการภายใต้ชุดอุดมการณ์ที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ที่เน้นย้ำว่าบทบาทของผู้พิพากษาต้องวางตนให้ดี โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ สุจริต และจงรักภักดี[31] โดยเฉพาะความจงรักภักดี คุณค่าดังกล่าวได้ส่งต่อข้ามกาลเวลาและผูกพันอยู่ในวงการตุลาการ เสมือนหนึ่งเป็นดีเอ็นเอของผู้พิพากษา เพราะไม่ว่าจะผ่านยุคสมัยไปนานเพียงใด ผู้พิพากษาจำนวนมากยังคงถือปฏิบัติว่า ตนเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู่หัว[32] ซึ่งมีกิจพิเศษที่ต้องถือปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความเดือนร้อนของประชาชนระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

อีกองค์ประกอบสำคัญของสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างพระมหากษัตริย์กับผู้พิพากษาและตุลาการในพระปรมาภิไธย คือพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย กล่าวคือพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการเมืองไทย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ทรงเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศ โดยอาศัยพระราชสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เข้ามาแก้ไขวิกฤตและระงับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พระมหากรุณาธิคุณนี้ยิ่งทวีขึ้นเมื่อประเทศไทยเผชิญวิกฤตการณ์ทางการเมืองซ้ำๆ ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ซึ่งทรงมีรับสั่งให้พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมืองเข้าเฝ้า แล้วนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พระราชสถานะอันพิเศษประกอบกับพระราชกรณียกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนมายาวนาน อาจเป็นอีกเหตุปัจจัยที่เมื่อมีการจัดตั้งบรรดาสำนักงานศาลต่างๆ ขึ้นมาในช่วงปี 2540 เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ โดยมีแนวคิดเรื่องการตรวจสอบและควบคุมอำนาจของนักการเมือง ซึ่งในช่วงเวลานั้นถูกมองว่าฉ้อฉล ทุจริต และนำมาสู่วิกฤตในบ้านเมือง การน้อมนำพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาใช้ประกอบการออกแบบตราสัญลักษณ์เพื่อเป็นภาพแทนของหน่วยงาน จึงเป็นเสมือนการอ้างอิงพระบารมีของพระมหากษัตริย์ในฐานะองค์กรทางการเมืองที่เก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยบารมี มาสนับสนุนการต่อสู้หรือคัดง้างกับอำนาจที่อาจถูกมองว่าฉ้อฉลของสถาบันที่เพิ่งเกิดใหม่

เมื่อผนวกกับแนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ของผู้พิพากษาแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรตุลาการไทยพยายามสร้างตัวตนให้ใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองและแหล่งแห่งความชอบธรรมของตนเองในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองในฐานะผู้ภักดีและผู้มีความชอบธรรมสูงสุด

กล่าวโดยสรุปแล้ว สัญลักษณ์และภาพแทนของความยุติธรรมในประเทศไทย อาจไม่ได้สะท้อนอุดมคติแบบสากลที่ยึดโยงกับความเป็นกลางหรือหลักนิติธรรมเพียงอย่างเดียว หากแต่มักปรากฏภายใต้กรอบคิดที่ยึดโยงกับอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอำนาจในรูปแบบที่มีลำดับชั้น ศักดิ์ศรี และความศักดิ์สิทธิ์

จากตราพระดุลพาหจนถึงสัญลักษณ์ของศาลในยุคใหม่ ภาพแทนความยุติธรรมในไทยอาจไม่ได้ทำหน้าที่ยืนยันคุณค่าของความยุติธรรม เท่ากับทำหน้าที่ยืนยันความชอบธรรมของอำนาจที่อยู่เหนือประชาชน

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า แท้จริงแล้ว สัญลักษณ์ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมไทย สื่อสารคุณค่าของความยุติธรรม หรือกำลังทำหน้าที่กลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่า ความยุติธรรมในไทยอาจถูกนิยามโดยผู้มีอำนาจ?


เชิงอรรถ

[1] Donna Marie Giancola, “Justice and the Face of the Great Mother (East and West),” paper presented at the World Congress of Philosophy, Boston University, 1998 [Online], accessed April 15, 2025, from https://www.bu.edu/wcp/Papers/Comp/CompGian.htm.

[2] วาทกรรมนั้นอาจไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในภาษา แต่มีตัวตนในสิ่งที่เป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ยุติที่ไม่มีธรรม: กระทรวงยุติธรรมไทยในสายธารประวัติศาสตร์,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 25 มีนาคม 2568 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://pridi.or.th/th/content/2025/03/2388.

[4] บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ, “จตุสดมภ์,” สถาบันพระปกเกล้า,  3 พฤศจิกายน 2557 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=จตุสดมภ์.

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 3.

[6] พระยาอนุมานราชธน, พระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่ง, (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2493), น.43; ดู กรมศิลปากร สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ประชุมประกาศตราประจำตำแหน่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, (กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2546).

[7] พระยาอนุมานราชธน, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, น.43.

[8] กระทรวงยุติธรรม, “ตราสัญลักษณ์กระทรวงยุติธรรม,” กระทรวงยุติธรรม, 16 มกราคม 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://www.moj.go.th/view/12.

[9] โรแบร์ แลงการ์, กฎหมายตราสามดวง, เล่ม 1, (พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2505), น. 17-18.

[10] ธรรมคามน์ โภวาที และสุทัศน์ สิริรวย, พระแสงราชศัสตรา, (พระนคร: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง, 2509), น.18-19.

[11] ดู ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ, “พระแสงขรรค์ชัยศรี คือ สัญลักษณ์เครือข่ายอำนาจขอม,” มติชนสุดสัปดาห์, 5 มกราคม 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_20207.

[12] มีชื่อมาจากบทละครปักษปะกรนัม เรื่องพญาระกา

[13] หลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์, เรื่องของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์), (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2564), 76.

[14] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2562), น.206 – 211.

[15] หลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 12, น.77.

[16] เพิ่งอ้าง, น.78 – 79.

[17] เพิ่งอ้าง, น.79 – 80 และ 87 – 88.

[18] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 270 มาตรา 275 มาตรา 280.

[19] กฤษณ์พชร โสมณวัตร อธิบายว่าความพยายามแบ่งแยกและประกันความเป็นอิสระของตุลาการเกิดขึ้นในช่วงปี 2507 – 2508 ภายใต้ข้อเสนอแนะของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ในช่วงสองปีแรกหลังจากก้าวขึ้นมามีอำนาจ การสร้างระบบตุลาการที่เป็นอิสระนี้มีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมการเติบโตของระบบทุนนิยมไทยในเวลานั้น เนื่องจากระบบทุนนิยมจะเติบโตได้ภายใต้ความมั่นใจในความมั่นคงของชีวิตและทรัพย์สินจากการแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ ซึ่งการมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระจะเป็นหัวใจสำคัญของการประกันสิทธิและเสรีภาพในทรัพย์สิน; ดู กฤษณ์พชร โสมณวัตร, “การประกอบสร้างอำนาจตุลาการไทยในสังคมสมัยใหม่,” (วิทยานิพนธ์ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2562) 307.

[20] เพิ่งอ้าง.

[21] สำนักงานศาลปกครอง, “ตราสัญลักษณ์,” สำนักงานศาลปกครอง, 2 มีนาคม 2559 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://www.admincourt.go.th/admincourt/site/01sign.html.

[22] ประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง ตราสัญลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2541

[23] บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจำนวนหนึ่งได้รองรับสถานะความสัมพันธ์ดังกล่าวเอาไว้ ตัวอย่างเช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[24] ดูบทสัมภาษณ์ วิชา มหาคุณ ใน ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, “ต้นธารแห่งความยุติธรรม “วิชา มหาคุณ” เทิดไท้องค์ราชัน ร.9,” ประชาชาติธุรกิจ, 4 ตุลาคม 2568 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2568, จาก https://www.prachachat.net/royal-funeral-pyre/news-49979.

[25] กฤษณ์พชร โสมณวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 18, 388-395.

[26] คำว่า ‘บรรพตุลาการ’ มีความน่าสนใจในเชิงการนำมาใช้เพื่อสร้างชนชั้นของวงการตุลาการให้แตกต่างจากข้าราชการกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นการสถาปนาตัวตนและอัตลักษณ์ของข้าราชการตุลาการให้เป็นเอกเทศ รวมถึงในวงการตุลาการโดยเฉพาะศาลยุติธรรมไทยนั้น ได้มีความพยายามสถาปนาสถานะของตุลาการบางคนขึ้นมาให้มีความพิเศษเสมือนหนึ่งว่า ตุลาการยุคหลังเป็นผู้มีเชื้อสายตระกูลเดียวกัน โดยให้ผู้พิพากษายึดถือคุณค่า จริยวัตร และอัตลักษณ์บางอย่างในตัวผู้พิพากษาในอดีต มาถ่ายทอดและผลิตซ้ำเพื่อสร้างตัวตนเดียวกันในหมู่ผู้พิพากษายุคหลัง โดยมองว่าตัวตนหรืออัตลักษณ์ดังกล่าวเป็นทุนประเภทหนึ่ง; แนวคิดในการนำเสนอตัวตนของบรรพตุลาการดังกล่าวได้ในดู สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ (บรรณาธิการ), นิติศาสตร์เสวนา เรื่อง คุณค่าบรรพตุลาการ, (กรุงเทพฯ: สำนักงานศาลยุติธรรม สถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์, 2551), 7-8.

[27] กฤษณ์พชร โสมณวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 18, 394.

[28] สันติสุข โสภณสิริ (บรรณาธิการ), ศาสตราจารย์สัญญาธรรมศักดิ์ กับ 14 ตุลาฯ’16 ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ท่านผู้หญิงพงา ธรรมศักดิ์ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2545, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตุลา, 2545), 23.

[29] เพิ่งอ้าง, 31.

[30] รายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 32 (25 ตุลาคม 2516), 247-251 อ้างใน นรนิติ เศรษฐบุตร, หนังสือที่ระลึกพิธีพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545), 35-40.

[31] สมลักษณ์ จัดกระบวนพล, “ข้อคิดว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อองค์พระมหากษัตริย์,” 3 ตุลาคม 2562, มติชนออนไลน์ [Online], สืบค้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2568, จาก https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1696488.

[32] ดู ผู้จัดการออนไลน์, “เปิดตัวตน “ปัญจพล เสน่ห์สังคม” เจ้าของวาทะ “ผมเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู่หัว”!” 7 สิงหาคม 2558, ผู้จัดการออนไลน์ [Online], สืบค้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2568, จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9580000089171.

ปรีดี พนมยงค์ และคณะราฎร กับการสถาปนาระบบภาษีอากรที่เป็นธรรมในสังคมไทย

บทนำ

ภาษีอากรเป็นเสาหลักของการคลังภาครัฐมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบการปกครองรูปแบบใด ภาษีอากรยังคงเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงการบริหารและพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม การมีเพียงระบบภาษีอากรนั้นไม่เพียงพอ หัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างระบบภาษีอากรที่ดีคือ การสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและการมีแหล่งรายได้จากภาษีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นรากฐานสําคัญของการปกครองที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากประชาชน

นับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. 2325 จนถึง พ.ศ. 2475 เพียงเล็กน้อย ระบบภาษีอากรของไทยมีลักษณะล้าสมัย ด้วยเพราะเป็นระบบภาษีอากรที่สืบทอดมาจากระบบศักดินาในอดีตสมัยอยุธยา แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จะได้ทรงปฏิรูปการปกครองในหลาย ๆ ด้าน แต่การสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรมนั้นเกิดขึ้นได้ยากด้วยบริบทของสังคมในอดีต การปฏิรูประบบภาษีอากรโดยนายปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จึงเป็นช่วงสำคัญของความเปลี่ยนแปลงระบบภาษีอากรของไทย โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีอากรแบบเดิมที่มีความซ้ำซ้อนและไม่มีความเป็นธรรมต่อประชาชนผู้เป็นผู้รับภาระภาษี นำมาสู่การร่างประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีอากรที่มีความเป็นธรรม

บทความนี้จึงต้องพาผู้อ่านสำรวจบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในการสร้างระบบภาษีอากรที่เป็นธรรมในสังคมไทย โดยเริ่มต้นจาก (1) ระบบภาษีของสังคมไทยก่อนการอภิวัฒน์สยาม เพื่ออธิบายสภาพความเป็นมาของระบบเศรษฐกิจไทยและภาษีอากรในช่วงก่อนการอภิวัฒน์สยาม (2) แนวคิดในการปฏิรูปภาษีอากร ซึ่งเป็นการอธิบายวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีอากร (3) การยกเลิกภาษีอากรบางประเภท และการตราประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นการอธิบายความเปลี่ยนแปลงในการจัดทำระบบภาษีอากรใหม่ที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น และ (4) บทสรุปและอนุสนธิต่อสังคมไทย ซึ่งเป็นการสรุปภาพรวมของบทความนี้ พร้อมทิ้งท้ายถึงข้อเสนอที่สังคมไทยควรจะต้องพิจารณาต่อไป

1. ระบบภาษีของสังคมไทยก่อนการอภิวัฒน์สยาม

ก่อนการตราประมวลรัษฎากรใน พ.ศ. 2481 ประเทศไทยได้ใช้ระบบการจัดเก็บภาษีแบบสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ระบบภาษีอากรที่ใช้อยู่ในประเทศไทยค่อนข้างล้าสมัย โดยเป็นระบบภาษีอากรที่ตกทอดมาจากสมัยอยุธยา แนวคิดในการจัดเก็บภาษีจึงเป็นการที่ผู้ปกครองจัดสวนเอาผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้จากการใช้ทรัพยากรที่ผู้ปกครองอนุญาตมาทำมาหากิน[1] รวมไปถึงเป็นการเก็บตามสถานะของบุคคลในสังคม[2] ทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีทางตรงจากราษฎรหลายประเภท

สถานการณ์ดังกล่าวมาผนวกกับในช่วง พ.ศ. 2398 อาณาจักรสยามได้เข้าหาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างจักรวรรดิบริเตนกับราชอาณาจักรสยาม หรือที่รู้จักกันในชื่อสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของไทยที่เดิมเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ มาสู่เศรษฐกิจแบบทุนนิยม[3] ภายใต้เงื่อนไขการค้าเสรีตามสนธิสัญญา รัฐบาลสยามถูกจำกัดความสามารถในการเก็บภาษีขาเข้าของสินค้าทุกชนิดกำหนดไว้เกินกว่าร้อยละ 3[4] ทำให้รัฐบาลสยามไม่สามารถใช้นโยบายภาษีในการแสวงหารายได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือการพัฒนาเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะภาษีอากรค่อนข้างจำกัด[5] ทําให้รัฐบาลต้องมุ่งหารายได้จากภาษีโดยการเก็บกับราษฎรมากกว่าการค้าขายจากต่างประเทศ ทําให้ระบบการจัดเก็บภาษีอากรทางตรงจากราษฎรหลายประเภทยังคงได้รับความสำคัญ

ลักษณะสำคัญของการจัดเก็บภาษีอากรทางตรงนี้คือ การทำให้ราษฎรต้องเสียภาษีจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซ้ำซ้อนกัน กล่าวคือ ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้เพียงรายได้เดียว แต่รัฐเก็บเงินจากกิจกรรมย่อย ๆ ที่อยู่ภายใต้การก่อรายได้นั้น ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคน ๆ หนึ่งดำรงชีวิตด้วยการเป็นชาวนาหรือชาวสวน ในการทำนาหรือทำสวน ชาวนาคนหนึ่งย่อมต้องเสียภาษีอากรหลายประเภท อาทิ อากรต่านา อากรสวน นอกจากนี้ หากเป็นชายฉกรรจ์ก็ต้องเสียเงินค่ารัชชูปการอีก 4 บาทต่อปี โดยไม่พิจารณาว่าหลังหากจ่ายอากรค่านาหรืออากรสวนแล้วจะมีเงินเหลืออยู่เท่าใดในการดำรงชีวิต

การต้องเสียภาษีอากรซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมนี้ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยมาก โดยเฉพาะกับชาวนาและเกษตรกรที่เป็นอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ โดยใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้ว่าจ้างนายคาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) เพื่อทำการสำรวจเศรษฐกิจในชนบทของสยาม พบว่าภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม ได้ซ้ำเติมความเป็นอยู่ของราษฎรโดยเฉพาะชาวนาและเกษตรกรที่มีความยากลำบากในการทำนาและทำสวนแล้วได้รายได้น้อยอยู่แล้ว ยังต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลอีก[6] ปัญหาความไม่เป็นธรรมและยากลำบากของชาวนาและเกษตรกรนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุให้เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามใน พ.ศ.   2475 ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปพิจารณาว่า ระบบภาษีอากรสมัยก่อนมีปัญหาซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมอย่างไร ตัวอย่างของภาษีอากรประเภทนี้คือ เงินค่ารัชชูปการ ซึ่งเป็นภาษีอากรที่เก็บจากสถานะของบุคคล โดยเป็นเงินช่วยราชการที่เรียกเก็บจากชายฉกรรจ์ที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี (ตั้งแต่บรรลุนิติภาวะ)[7] ที่ไม่ได้รับราชการทหารหรือไม่ได้รับการยกเว้นเป็นรายบุคคล[8] โดยเงินรัชชูปการนี้จะเก็บปีละ 4 บาท (โดยบางภาคอาจจะเสีย 6 บาท)

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บเงินค่ารัชชูปการแล้วจะพบว่า ใน พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงตราพระราชบัญญัติเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) ขึ้นมาเพื่อเก็บเงินจากชายฉกรรจ์ทดแทนระบบการเกณฑ์แรงงานไพร่ที่ได้ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนกระทั่งถูกยกเลิกในเวลาต่อมา ซึ่งผลของการยกเลิกระบบเกณฑ์แรงงานไพร่นี้ได้กระทบต่อการนำแรงงานไพร่มาใช้ทำราชการ[9] ดังนี้ เพื่อชดเชยในเรื่องดังกล่าว จึงต้องมีการเก็บเงินมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับข้าราชการในระบบราชการที่เพิ่งสถาปนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเงินค่าราชการนั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญรัฐบาลสยามในช่วง พ.ศ. 2445 – 2462 ดังปรากฏตามตารางที่ 1

พ.ศ.เงินค่าราชการ (บาท)รายได้รวม (บาท)เงินข้าราชการเทียบรายได้
รวมคิดเป็นร้อยละ
24463,386,93743,458,8177.79
24473,426,27644,948,1097.62
24484,138,24950,455,2688.20
24494,928,80855,514,5448.87
24503,952,05254,283,7147.28
24513,051,38658,920,3615.17
24526,883,68260,686,68211.34
24536,954,35161,355,05911.33
24547,342,30859,462,27812.35
24556,981,01264,776,47910.77
24567,314,64672,093,34210.14
24577,441,44371,145,91510.45
24587,688,45774,356,48410.33
24598,069,17979,498,12410.14
24608,340,67282,462,74410.11
24618,409,81387,814,2849.57
24629,251,13790,682,03610.20

ตารางที่ 1 : สถิติเงินค่าราชการเทียบเงินรายได้รวมของประเทศ พ.ศ. 2446 – 2462
ที่มา: สมศักดิ์ มหาทรัพย์สกุล (2534), การเก็บเงินรัชชูปการและผลกระทบต่อสังคมไทยระหว่าง พ.ศ. 2444-2482

ปัญหาของการเก็บเงินค่าราชการก็คือ ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดข้อยกเว้นในการจัดเก็บเงินให้กับบุคคลหลายประเภท ทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บเงินได้น้อย ซึ่งกลายเป็นซ้ำเติมความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอากร[10] ด้วยเหตุนี้ในเวลาต่อมาจึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บเงินรัชชูปการ พ.ศ. 2462 เพื่อทดแทนกฎหมายที่ใช้ในการเก็บเงินค่าราชการที่ใช้มาเป็นระยะเวลานาน ในด้านหลักการ กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้แตกต่างจากกฎหมายฉบับเดิมมาก เฉพาะในส่วนของการกำหนดข้อยกเว้นในการจัดเก็บเงินที่ลดลงจากเดิม ซึ่งเดิมยกเว้นไม่เก็บกับราชนิกูล และข้าราชการที่รับพระราชทานเบี้ยหวัด เงินเดือน และเงินบำนาญ (ข้าราชการพลเรือน) แต่ในครั้งนี้กฎหมายจำกัดผู้ได้รับการยกเว้นให้น้อยลง[11] ทำให้สามารถเก็บเงินจากบุคคลได้เพิ่มขึ้น ดังแสดงตารางที่ 2

พ.ศ.เงินค่าราชการ (บาท)รายได้รวม (บาท)เงินข้าราชการเทียบรายได้
รวมคิดเป็นร้อยละ
24629,251,13790,682,03610.20
24638,176,49580,340,17710.17
24647,749,23479,624,9429.73
24666,930,04681,598,5888.49
24677,126,55785,182,2198.36
24687,036,26492,712,6627.85

ตารางที่ 2: สถิติเงินรัชชูปการเทียบเงินรายได้รวมของประเทศ พ.ศ. 2462 – 2468
ที่มา: สมศักดิ์ มหาทรัพย์สกุล (2534), การเก็บเงินรัชชูปการและผลกระทบต่อสังคมไทยระหว่าง พ.ศ. 2444-2482

ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญของเงินค่ารัชชูปการก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไข เพราะแม้ว่าจะเพิ่มประเภทของบุคคลที่ต้องเสียเงินค่ารัชชูปการ ซึ่งทำให้เป็นการเก็บเงินกับบุคคลทุกคนอย่างถ้วนทั่ว แต่ปัญหาสำคัญของเงินรัชชูปการก็คือ รัฐเก็บเงินจากชายฉกรรจ์ทุกคนในอัตราที่เท่ากันคือ 4 บาทต่อปี โดยไม่ได้คำนึงความสามารถในการจ่ายภาษีของบุคคลนั้น และหากบุคคลใดไม่เสียภาษีตามวันกำหนด นายอำเภอมีอำนาจที่จะยึดทรัพย์สมบัติของบุคคลนั้นเพื่อขายทอดตลาดเพื่อให้ได้เงินที่จะต้องเสียและค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดด้วย แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีทรัพย์สมบัติเพียงพอแก่การจะชำระภาษีรัชชูปการ นายอำเภอมีอำนาจที่จะสั่งให้เอาตัวบุคคลนั้นไปใช้งานโยธาตามที่ทางการกำหนดไว้เป็นระยะเวลา 30 วัน[12]


ภาพที่ 1  ราชกิจจานุเบกษาหน้าประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บเงินรัชชูปการ พ.ศ. 2462
ที่มา: ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 35 หน้า 425 ฉบับวันที่ 30 มีนาคม 2462.

แม้จะมีการพิจารณาสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่ที่มีการจัดเก็บทำให้เก็บภาษีในอัตราที่ดหมาะสมกับพื้นที่ แต่วัตถุประสงค์นั้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ดังเช่นกรณีของกบฏผู้มีบุญ หรือในพื้นที่ที่อยู่ใกล้เขตปกครองของชาติตะวันตกก็จะเก็บอัตราต่ำกว่า ก็ด้วยกลัวว่าราษฎรจะหนีไปอยู่ในบังคับของชาติตะวันตก[13]

ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมดังกล่าวยิ่งบานปลาย เมื่อต่อมาใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลสยามได้นำระบบภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นระบบภาษีสมัยใหม่เข้ามาใช้ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ยังทรงไม่ตัดสินพระทัยยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการ เพราะด้วยทรงเห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากที่สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ ราษฎรในขณะนั้นจึงจำเป็นต้องเสียทั้งเงินรัชชูปการและภาษีเงินได้[14]

นอกจากเงินค่ารัชชูปการแล้ว ภาษีอากรอีกประเภทหนึ่งที่มีการจัดเก็บจากราษฎรก็คือ บรรดาอากรต่าง ๆ ที่เก็บจากการทำการเกษตร อาทิ อากรสมพัตสร อาการค่านา และอากรสวน โดยอากรสมพัตสร เป็นภาษีอากรที่รัฐเก็บจากจำนวนพื้นที่ (จริง) ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภท เช่น ขนุน เงาะ กระท้อน และมะไฟ เป็นต้น โดยจะเก็บเป็นรายปีตามจำนวนครั้งที่ปลูก[15] อากรประเภทนี้แตกต่างจากอากรส่วน (ใหญ่) ที่มีลักษณะเป็นภาษีค่าเช่าที่เก็บจากผู้ทำประโยชน์ในที่ดิน โดยผู้จับจองที่ดินไว้เพื่อทำประโยชน์จากการทำสวนต้องจ่ายให้กับรัฐ[16] เสมือนการสั่งบรรณาการให้ผู้ปกครอง

การที่ชาวนาและเกษตรกรต้องจ่ายภาษีอากรที่ซ้ำซ้อนกัน จากรายได้ที่เกิดจากการทำนาหรือทำสวนในครั้งเดียวนี้ได้กลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในระบบภาษีแบบโบราณของไทย

2. แนวคิดในการปฏิรูปภาษีอากร

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้มีแนวคิดจะปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในทางด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎรข้อ 3 ที่ต้องการบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ[17] ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอภิวัฒน์ในครั้งนี้ ดังเช่นที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ…[18]”


ภาพที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางสังคมตามแนวคิดของ ปรีดี พนมยงค์
หมายเหตุ ปรีดี พนมยงค์ ได้แบ่งโครงสร้างทางสังคมออกเป็น 3 ส่วน คือ โครงสร้างส่วนบนคือ ระบอบการเมืองโครงสร้างส่วนล่างคือ ระบบเศรษฐกิจ และโครงสร้างส่วนของทรรศนะทางสังคมที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของสังคมในขณะนั้น โดยโครงสร้างทุก ๆ ส่วนต่างมีปฏิสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างส่วนบนหรือส่วนล่างต่างจะส่งผลถึงกัน ในขณะเดียวกันทรรศนะทางสังคมคือส่วนที่จะช่วยคงสภาพของโครงสร้างทั้งสองส่วนไว้

ความต้องการเปลี่ยนแปลงความเป็นไปทางเศรษฐกิจนี้ ได้สะท้อนผ่านแนวคิดสําคัญอันเป็นปรัชญาสำคัญของนายปรีดีที่เรียกว่า สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย (Democratic scientific socialism)[19] ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ตนได้เผชิญมาและได้ใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม นายปรีดีเชื่อว่าการอภิวัฒน์สยามเป็นไปเพื่อเข้าไปกำหนดโครงสร้างทางการเมืองอันเป็นโครงสร้างส่วนบน ให้ราษฎรทั้งหลายได้มีสิทธิและเสรีภาพ เพื่อเข้าไปเปลี่ยนกฎหมายในบ้านเมืองให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจ อันเป็นโครงสร้างส่วนล่างให้เปลี่ยนแปลงไป[20] (ภาพที่ 2) ดังจะเห็นได้จากจำนวนกฎหมายที่คณะราษฎรได้มีการออกเพิ่มเติมใน พ.ศ. 2475 – 2490[21] ที่มีรัฐบาลคณะราษฎรได้มีการออกกฎหมายมากกว่า 1,297 ฉบับ โดยในกฎหมายจำนวนนี้เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงภาษีอากรและคาธรรมเนียมจำนวน 170 ฉบับ[22] 2 (ภาพที่ 3) ซึ่งเป็นความประสงค์ในการเปลี่ยนโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเพื่อให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น เช่น การยกเลิกภาษีสมพัตสร อากรนาเกลือ ลดอัตราภาษีอากรสวนใหญ่ หรือการแก้ไขอัตราพิกัดภาษีศุลกากร เป็นต้น


ภาพที่ 3 สัดส่วนและจํานวนกฎหมายที่คณะราษฎรออกมาในชวง 15 ปีแรกหลังการอภิวัฒน์สยาม
ที่มา: E-Public Law Project (2567), Law index dashboard.

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดคณะราษฎรได้มีการออกกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาชาวนาและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ อาทิ การตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวนาและเกษตรกรถูกเรียกอัตราดอกเบี้ยแพงเกินไปจากการกู้ยืมเงิน หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกร พุทธศักราช 2475 ที่ป้องกันไม่ให้มีการยึดทรัพย์สินของชาวนาและเกษตรกรที่ติดค้างหนี้สิน

กล่าวเฉพาะในส่วนของการแก้ไขปัญหาภาษีอากร เมื่อมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามแล้ว ได้มีจดหมายจากราษฎรเข้ามาเป็นจำนวนมากขอให้รัฐบาลคณะราษฎรยกเลิกเงินค่ารัชชูปการเสีย ดังเช่นจดหมายของ ม.ล.เชื้อ อิศรางกูร เสนอว่า ไม่ควรเก็บเงินรัชชูปการอีก เพราะอำนาจสูงสุดอยู่ที่ราษฎรแล้ว (28 มิถุนายน 2475) พระยาเวหาสยาน เสนอว่า เงินรัชชูปการควรผ่อนผันให้ชำระเป็นงวด ๆ ได้ เพื่อประโยชน์ต่อคนยากจน ดีกว่าเกณฑ์ไปทำแรงงาน (20 กันยายน 2475) และนายถวัติ ฤทธิเดช เสนอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติรัชชูปการ เปลี่ยนเป็นพระราชบัญญัติรายได้แทน (2 กันยายน 2475)[23]

นอกเหนือจากการยกเลิกหรือลดอัตราภาษีบางประเภทลง เพื่อแก้ไขปัญหาบางส่วน อีกสิ่งหนึ่งที่คณะราษฎรพยายามทำการสร้างระบบภาษีอากรใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล ในขณะเดียวกันยังคงสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีตามหลักการมีมากเสียมาก มีน้อยเสียน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย เช่นเดียวกันกับประเทศในระบอบประชาธิปไตย[24] ดังปรากฏตามถ้อยแถลงของนายปรีดีต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า

“จะปรับปรุงภาษีให้เป็นธรรมแก่สังคม หมายความว่า ให้การเสียภาษีอากรของราษฎรเป็นไปโดยเสมอภาค ตามส่วนความสามารถที่จะเสียได้ ราษฎรคนใดได้ประโยชน์จากบ้านเมืองมากก็ต้องเสียภาษีอากรมากกว่าราษฎรผู้ที่ได้ประโยชน์จากบ้านเมืองน้อยกว่า…[25]”

หลักการของการสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรมนี้ เป็นภาพสะท้อนของแนวคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยที่นายปรีดียึดมั่นได้เป็นอย่างดี เพราะการที่ราษฎรทั้งหลายได้มีอำนาจในการปกครองประเทศแล้ว บรรดากฎหมายทั้งหลายก็ควรยึดโยงและตอบสนองต่อประชาชน ภาษีอากรจึงไม่ควรมีลักษณะเหมือนในอดีตที่เป็นการเก็บส่วยสาอากรหรือการเรียกร้องบรรณาการจากผู้ปกครอง

อย่างไรก็ดี โจทย์สำคัญที่นายปรีดี และคณะราษฎรจะต้องพิจารณาก็คือ การจัดหาแหล่งรายได้ใหม่มาเพื่อทดแทนภาษีอากรที่จะยกเลิก ดังได้กล่าวมาแล้วว่า แม้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงเล็งเห็นว่าเงินค่ารัชชูปการนั้นมีความไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่สามารถทรงยกเลิกได้ เนื่องจากภาษีดังกล่าวได้สร้างรายไดให้กับรัฐจำนวนมาก กล่าวเฉพาะใน พ.ศ. 2481 ที่มีการเสนอประมวลรัษฎากร ภาษีอากรในระบบเดิมสร้างรายได้ให้กับรัฐเป็นจำนวนมากถึง 12,598,500 บาท[26] (ตารางที่ 3)

ประเภทภาษีมูลค่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้
ภาษีรัชชูปการคิดเป็นเงิน 6,800,000 บาท
อากรคานาคิดเป็นเงิน 5,400,000 บาท
อากรสวนคิดเป็นเงิน 320,000 บาท
ภาษีไรออยคิดเป็นเงิน 18,500 บาท
ภาษีไรยาสูบคิดเป็นเงิน 60,000 บาท
รวมภาษีอากรเปนเงิน12,598,500 บาท

ตารางที่ 3: ประเภทภาษีที่ยกเลิกและมูลคาเงินภาษีที่จัดเก็บได้
ที่มา: รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (2481).

3. การยกเลิกภาษีอากรบางประเภท และการตราประมวลรัษฎากร

แม้ภาษีอากรในระบบเดิมจะสร้างรายได้ให้กับรัฐเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันภาษีเหล่านี้ ก็สร้างภาระให้กับราษฎรเช่นกัน ดังนี้ ในการยกเลิกภาษีอากรบางประเภทนี้เอง นายปรีดีในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้พยายามเสนอแนวทางปรับปรุงภาษีอากรประเภทที่เก็บอยู่แล้ว แต่ไม่ยกเลิก เพียงแต่ปรับปรุงให้เป็นธรรม และให้ได้รายได้มากขึ้นเท่าที่จะมากได้ โดยราษฎรไม่เดือดร้อน[27] สิ่งนี้นับว่าเป็นความกล้าหาญและเป็นความรอบคอบของนายปรีดี และคณะราษฎร

ในการปรับปรุงระบบภาษีอากร คณะราษฎรได้ดำเนินการออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ส่วนแรก คือ การ จัดหาภาษีอากรเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงไปกว่า 12,598,5000 บาท ในการนี้คณะราษฎรได้เสนอให้มีการ ปรับปรุงภาษีอากรจำนวน 4 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร และอากรแสตมป์ (ตารางที่ 4) ในกรณีของภาษีเงินได้ นายปรีดีเสนอให้ปรับปรุงอัตราใหม่ให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยผู้ เสียภาษีมีราว 2 หมื่นคนจากราษฎร 14 ล้านคน โดยแต่ก่อนผู้เสียเงินค่ารัชชูปการมีจํานวนราว 3 ล้านคน ภายหลังการปรับปรุงแล้วจะได้เงินเพิ่มขึ้นราว 280,000 บาท ส่วนในกรณีเรียกใหม่ว่าภาษีร้านค้า แล้วปรับใหม่ให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยมีผู้เสียภาษีราว 1 หมื่นคนจากราษฎร 14 ล้านคน จะมีรายได้เพิ่ม จากเดิมราว 380,000 บาท ส่วนภาษีธนาคาร ได้มีการปรับปรุงวิธีการ โดยไม่ได้คำนวณในทางที่จะได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีบุคคลที่จะต้องเสียภาษีเพียง 14 คนจากราษฎร 14 ล้านคน และอากรแสตมป์ ปรับใหม่ให้ เป็นธรรม ราษฎรเสียทั่วไปตามที่ใครทำตราสารมากก็เสียมาก ใครทําน้อยก็เสียน้อย ใครไม่ทําก็ไม่ต้องเสีย จะได้เงินเพิ่มราว 1,850,000 บาท[28]

ประเภทภาษีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงและมูลค่าเงินภาษีที่อาจจัดเก็บได้
ภาษีเงินได้ซึ่งประมาณว่าจะได้เพิ่มราว 280,000 บาท
ภาษีการค้าซึ่งเปลี่ยนมาเรียกว่า “โรงค้า” จะได้เพิ่มราว 380,000 บาท
ภาษีธนาคารซึ่งได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเสียใหม่และมิได้คำนวณในทางเพิ่ม
อากรซึ่งประมาณได้เพิ่มราว 1,850,000 บาท
รวมภาษีอากรปรับปรุงใหม่เป็นเงิน2,510,000 บาท

ตารางที่ 3: มูลค่าของภาษีที่จะเก็บได้
ที่มา: รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (2481).

ทั้งนี้ แม้ว่าภาษีอากรใหม่ทั้ง 4 ประเภท จะไม่ได้สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเท่าภาษีอากรระบบเดิม แต่รัฐบาลในขณะนั้นได้ตระหนักถึงข้อนี้ดี และได้หาวิธีการชดเชยภาษีที่เสียไป โดยรัฐบาลได้ดําเนินวิธีการหาภาษีอากรที่เก็บจากทางอ้อมเป็นส่วนใหญ่เพื่อชดเชย และรัฐบาลได้ดำเนินวิธีการหาภาษีทางตรงที่เก็บใหม่ ซึ่งก็คือ “อากรมหรสพ” ซึ่งรัฐบาลจัดเก็บตามอัตราค่าเข้าดูการมหรสพจากผู้เข้าดูมหรสพนั้น ๆ จะเก็บภาษีเป็นรายได้เพิ่มขึ้นได้อีกราวปีละ 200,000 บาท และรัฐบาลจะได้มีการพิจารณาเพิ่มภาษีอากรประเภทค่าธรรมเนียมบางชนิดซึ่งจะได้เสนอเป็นพระราชบัญญัติต่อไป[29] รวมถึงรัฐบาลอาจจะหารายได้จากรัฐวิสาหกิจที่รัฐเริ่มจัดตั้งขึ้นมาในเวลานั้น[30]

ในส่วนที่สอง เมื่อสามารถหาแหล่งรายได้ภาษีอากรใหม่ที่จะมาทดแทนแหล่งรายได้แทนภาษีอากรเต็มแล้ว รัฐบาลจึงได้เสนอพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

หลักการใหม่ของประมวลรัษฎากรนั้น นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ได้แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“รัฐบาลได้แถลงไว้ว่าจะปรับปรุงภาษีให้เป็นธรรมแก่สังคมนั้น…รัฐบาลได้ ถือหลักโดยคํานึงถึงความสามารถในการเสียภาษีของราษฎรตามส่วนซึ่งราษฎรจะเสียได้ หลักในเรื่องความแน่นอน หลักความสะดวก และหลักประหยัดค่าใช้จ่าย และคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนในทางการเมืองเป็นสิ่งประกอบการพิจารณา ด้วยความรู้สึกของประชาชนนั้นมิใช่จะคํานึงถึงความรู้ของคนชั้นเดียว ได้พยายามนึกถึงความรู้สึกของคนทุกชั้น สิ่งใดที่จะคิดเก็บภาษีก็เป็นไปในทำนองซึ่งหวังว่า ผู้ซึ่งสามารถเสียภาษีได้นั้น คงจะเสียสละเพื่อความเจริญของท้องที่และของประเทศชาติ[31]”

จากคํากล่าวของ นายดิเรก ชัยนาม จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของรัฐบาลในขณะนั้นโดยเฉพาะนายปรีดี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปรารถนาที่จะให้ระบบภาษีใหม่นี้มีหลักการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายภาษี (Ability to pay) ของราษฎรผู้รับภาระภาษี ซึ่งระบบภาษีก่อนหน้าการอภิวัฒน์สยาม ไม่ได้คำนึงถึงหลักการดังกล่าว แต่มุ่งใช้ภาษีเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับรัฐบาล รวมถึงเป็นมรดกตกทอดจากระบอบการปกครองโบราณที่รัฐเรียกเก็บสวยแทนการใช้แรงงาน และเก็บอากรในฐานะบรรณาการที่ต้องส่งให้กับผู้ปกครอง


ภาพที่ 4 คณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2483 ที่มีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
ที่มา: กษิดิศ อนันทนาธร (2567), เงินรัชชูปการ และผลงานของปรีดี พนมยงค์

นอกจากนี้ นายปรีดี ยังได้กล่าว ทับอีกว่า

“ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติขึ้นมานี้ก็เปรียบประดุจว่าข้าพเจ้าได้นำแผ่นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งมายื่นให้ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านเห็นว่าจะปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมแก่สังคมแล้ว การที่จะเป็นธรรมแก่สังคมอย่างไร ท่านก็ควรจะเขียนลงไปในแผ่นกระดาษขาวนั้น ข้าพเจ้ายอมทั้งหมด ขอให้ในเรื่องนี้เราได้ทําด้วยความเป็นธรรมจริง ไม่ใช่ว่าเราปล่อยปละละเลยตามใจ หาแต่พระคุณอย่างเดียว มีบางสิ่งบางอย่างจะต้องทำให้ราษฎรได้รู้สึกถึงหน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญ รู้สึกถึงความเสียสละ ให้รู้สึกรักประเทศชาติด้วย…[32]”

ไม่เพียงแต่จะปฏิรูปภาษีโดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรมแล้ว พร้อมกันกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 นายปรีดี และรวมร่างประมวลรัษฎากร ได้เสนอภาษีใหม่ขึ้นมา 2 ประเภท เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ และเป็นแหล่งรายได้ในการไปจัดทำ บริการสาธารณะต่อไปคือ เงินช่วยบํารุงท้องที่ เป็นการกระจายภาษีท้องถิ่นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยได้ ร่างเรื่องเงินช่วยบำรุงท้องที่ (Local improvement contribution) และเงินช่วยการประถมศึกษา จากปัญหาในทศวรรษ 2470 ที่มีเด็กยังไม่ได้เข้าโรงเรียนอีกประมาณ 700,000 คน ทำให้รัฐบาลมีเป้าหมายจะส่งเสริมให้เด็กได้เข้าเรียนสมกับเป็นพลเมืองของชาติ จึงขอความเสียสละจากผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คนละ 50 สตางค์[33]

ภาษีอากรใหม่ทั้งสองประเภทนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ โดยที่ราษฎรสามารถเห็นผลงานดังกล่าวได้ในทันที เนื่องจากภาษีอากรทั้งสองประเภทมีการกําหนดวัตถุประสงค์ในการนำมาใช้อย่างชัดเจน แม้ว่าในเวลาต่อมาภาษีอากรทั้งสองประเภทจะถูกยกเลิกจากการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในเวลาต่อมา ด้วยหมดความจำเป็นแล้ว เช่น ในกรณีของเงินช่วยการประถมศึกษา เนื่องจากในช่วง พ.ศ. 2494 ประเทศไทยได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาทั่วถึงแล้ว ความจำเป็นในการ จัดเก็บภาษีเสริมเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาจึงมีความจำเป็นลดลง เป็นต้น[34]

4. บทสรุปและอนุสนธิต่อสังคมไทย

การปฏิรูปภาษีอากรของประเทศไทยเกิดขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาของระบบการจัดเก็บภาษีอากรที่ซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมในอดีต อาทิ เงินค่ารัชชูปการที่เป็นเก็บภาษีเพื่อมาชดเชยการเกณฑ์แรงงานไพร่และการส่งส่วยในอดีต หรือการเก็บอากรสมพัตสร อาการค่านา และอากรสวนที่มีความซ้ำซ้อน ซึ่งบรรดาภาษีอากรเหล่านี้ได้สร้างภาระและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับประชาชน

ในการแก้ไขปัญหานี้นายปรีดี และคณะราษฎรได้พยายามเสนอหลักการใหม่ในการจัดเก็บภาษีอากร โดยยึดหลักในการเก็บภาษีอากรตามความสามารถของผู้เสียภาษี คนที่มีรายได้น้อยก็เสียน้อย ส่วนคนที่มีรายได้มากก็เสียมากในลักษณะเดียวกันกับรัฐประชาธิปไตยอื่น ๆ รวมถึงการเกิดประมวลรัษฎากรที่เป็นกฎหมายภาษีที่มีความก้าวหน้ามากในขณะนั้น

อนึ่ง แม้ว่าประมวลรัษฎากรจะถือได้ว่าเป็นกฎหมายภาษีที่มีความสำคัญของประเทศไทยดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ประมวลรัษฎากรก็เป็นหนึ่งในกฎหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบ่อยครั้งมากทั้งในระดับของการแก้ไขประมวลรัษฎากร และในระดับกฎหมายลำดับรอง ทำให้ทุกวันนี้ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมากและมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้ประมวลรัษฎากรอีกเป็นจำนวนมาก

ในแง่ความเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 80 กว่าครั้ง โดยหลายครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละสมัย โดยการแก้ไขนั้นมีทั้งการแก้ไขในเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษี และการแก้ไขในเรื่องสำคัญ เช่น อำนาจของรัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษี ข้อยกเว้นในการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี และมีภาษี เป็นต้น สิ่งนี้อาจจะเป็นสัญญาณ หรือไม่ว่า ประมวลรัษฎากรอาจจะต้องถึงเวลาชำระครั้งใหญ่เพื่อลดความซับซ้อนของระบบการจัดเก็บภาษีรวมถึงพิจารณาของโหว่ของการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ อาทิ การที่มีคนอยู่นอกระบบเป็นจำนวนมากที่ทําให้ยังไม่สามารถเก็บรายได้จากคนกลุ่มนี้ได้ หรือฐานภาษีที่แคบมากเนื่องจากการลดหย่อนและการยกเว้นต่าง ๆ ที่ทำให้การจัดเก็บภาษีทำได้น้อยกว่าที่ควร ประเด็นเหล่านี้อาจจะยังไม่ได้รับการพิจารณามากเท่าที่ควรในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะกลายเป้นการสร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมได้

อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดนี้ผลของการริเริ่มปฏิรูประบบภาษีของคณะราษฎรในวันนั้นยังคงเป็นรากฐานสำคัญของระบบภาษีของประเทศไทยในปัจจุบัน ประมวลรัษฎากรที่ได้รางไว้ในครั้งนั้นยังคงใช้สืบเนื่องกันมาผ่านการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับยุคสมัยในปัจจุบัน สิ่งนี้เป็นข้อยืนยันถึง “ผลของการที่ก่อสร้างไว้ดีแล้ว ย่อมไม่สูญหาย”

หมายเหตุ:


เชิงอรรถ

[1] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ภาษีอากรในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย: คลังข้อมูลและบทสำรวจสถานะทางวิชาการ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2527) 3-5.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เงินรัชชูปการ ภาษีซึ่งเก็บจากความเป็นราษฎร’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 ตุลาคม 2563), <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/470#_ftnref3&gt; , สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[3] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, ‘ระบบเศรษฐกิจไทย พ.ศ. 2394-2453’ ใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสมภพ มานะรังสรรค์ (บรรณาธิการ) ประวัติศาสตรเศรษฐกิจไทย จนถึง พ.ศ. 2484 (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2527), หน้า 170.

[4] หนังสือสัญญากรุงเทพมหานครกับกรุงอังกริษเปนทางไมตรีค้าขายกัน ข้อ 8.

[5] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตรเศรษฐกิจแหงประเทศไทย, (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564), 14.

[6] คาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน, การสํารวจเศรษฐกิจในชนบทแหงสยาม (ซิม วีระไวทยะ ผู้แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525) 32.

[7] พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463 มาตรา 4.

[8] พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463 มาตรา 5; กำหนดบุคคลเอาไว้ 5 ประเภท ไม่ต้องเสียภาษีรัชชูปการ คือ ประเภทที่ 1 ได้แก่ พระภิกษุ สามเณร บาทหลวง และผู้สอนศาสนาอิสลาม และประเภทที่ 2 ได้แก่ทหารบก ทหารเรือ ตำรวจภูธร ตำรวจพระนครบาลที่ประจำการ และทหารกองหนุนบางชั้นบางประเภท ประเภทที่ 3 ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัต และแพทย์ประจำตำบล ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนพิการทุพลภาพที่ไม่สามารถจะ ประกอบการหาเลี้ยงชีพได้เอง และประเภทที่ 5 คนพวกอื่น ๆ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นเป็นการเฉพาะ.

[9] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ (เชิงอรรถ 1) 101-102.

[10] ในการเก็บเงินค่าราชการ มีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดเก็บ 13 ประเภท อาทิ ราชนิกูล ข้าราชการที่รับพระราชทานเบี้ยหวัด เงินเดือน หรือเงินบำนาญ หรือคนจำพวกอื่น ๆ ซึ่งทรงพระกรุณายกเว้นให้ ตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ. 120 เนื่องจากคนกลุ่มนี้ถูกเก็บเงินในลักษณะอื่นคล้าย ๆ กันบ้างหรือมีสถานะเป็นผู้ทำราชการสำคัญจึงได้รับยกเว้น อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาบริบททางสังคมได้ปรับเปลี่ยนจึงมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมและยกเลิกข้อยกเว้นบางข้อ. ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เงินรัชชูปการ ภาษีซึ่งเก็บจากความเป็นราษฎร’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 ตุลาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/470#_ftnref3&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[11] พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463 มาตรา 5.

[12] พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463 มาตรา 11.

[13]  เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 10)

[14] ในช่วงพฤษภาคม พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้มีการยกเว้นการเก็บภาษีรัชชูปการกับผู้เสียภาษีเงินเดือน เพื่อลดความซ้ำซ้อน ระหว่างเงินค่ารัชชูปการกับภาษีเงินเดือน แต่ราษฎรผู้รับภาระภาษียังคงได้รับความเดือดร้อน ดังจะเห็นได้จากการถวาย ฎีการ้องทุกข์ถึงความเดือดร้อนที่ได้รับจากภาษีเงินเดือนและเรียกร้องให้มีการลดภาษีดังกล่าว; ดู รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ (เชิงอรรถ 1) 121.

[15] เพิ่งอ้าง 215.

[16] เพิ่งอ้าง 187 และ 215.

[17] อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, ‘หลัก 6 ประการ’ (สถาบันพระปกเกล้า, มปป.), <http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=หลัก_6_ประการ&gt;,  สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[18] ปรีดี พนมยงค์, เคาโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค), (พิมพ์ครั้งที่ 2, สุขภาพใจ 2552), 150

[19] เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ‘ความคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์’ ใน ปรีดีปริทัศน ปาฐกถนาชุดปรีดี พนมยงค อนุสรณ (เทียนวรรณ 2526) 127.

[20] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563), <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304#_ftn1&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[21] ช่วงปี พ.ศ. 2475 – 2490 เป็นช่วงที่รัฐบาลของคณะราษฎรมีอำนาจบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี.

[22] E-Public Law, ‘Law Index Dashboard’ (E-Public Law, มปป) <https://epubliclaw.com/data-stories/law-index-dashboard/&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[23] กษิดิ ศ อนั นทนาธร, ‘เงินรั ชชู ปการ และผลงานของปรี ดี พนมยงค์ ’ (The 101 World, 5 สิงหาคม 2567), <https://www.the101.world/ratchupakan-money/> , สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[24] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค (สุขภายใจ 2552) 196.

[25] ไสว สุทธิพิทักษ์, ‘ประมวลรัษฎากร เพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 เมษายน 2565), <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1041> , สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[26] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) (7 มีนาคม 2481) 950.

[27] ไสว สุทธิพิทักษ์ (เชิงอรรถ 25).

[28] เพิ่งอ้าง.

[29] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (เชิงอรรถ 26) 951.

[30] นายปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอให้รัฐบาลคณะราษฎรออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อหารายได้ให้กับรัฐ. ดู ราชภัฏเฟื่องฟู, ‘สลากกินแบ่งรัฐบาล แหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลไทย มรดกคณะราษฎร’ (ศิลปวัฒนธรรม, 16 มิถุนายน 2566) <https://www.silpa-mag.com/history/article_110923&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[31] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (เชิงอรรถ 26) 951.

[32] เพิ่งอ้าง 963.

[33] วัลยา, ‘อากรเพื่อราษฎร : แนวคิดภาษีอากรที่เป็นธรรมของปรีดี พนมยงค์ [ตอนที่ 2]’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 19 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1060#_ftnref6&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

[34] วัลยา, ‘อากรเพื่อราษฎร : แนวคิดภาษีอากรที่เป็นธรรมของปรีดี พนมยงค์ [ตอนที่ 2]’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 19 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1060#_ftnref6&gt; สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2567.

ยุติที่ไม่มีธรรม: กระทรวงยุติธรรมไทยในสายธารประวัติศาสตร์

ในช่วง พ.ศ. 2434 ถึง 2440 พระราชภารกิจสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ การสถาปนาระบบราชการสมัยใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยกระทรวงตั้งต้น 12 กระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงนครบาล กระทรวงกลาโหม และหนึ่งในบรรดากระทรวงทั้งหลายที่จัดตั้งขึ้นในเวลานั้นก็คือ กระทรวงยุติธรรม

การจัดตั้งระบบราชการขึ้นมาในรูปแบบกระทรวงนี้เป็นพระราชอุตสาหะในการทำให้ระบบราชการกลายมาเป็นสถาบัน โดยมีศูนย์กลางของอำนาจอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์

อนึ่ง แม้ว่ากระทรวงยุติธรรมจะเป็นหนึ่งในสถาบันที่สะท้อนหลักการสำคัญของรัฐสมัยใหม่ ที่มีหน้าที่ต้องจัดการความยุติธรรมอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกที่อยู่เหนืออำนาจส่วนบุคคล แต่ในบริบทของประเทศไทย บทบาทและหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมกลับไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในลักษณะดังกล่าว

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของบทบาทกระทรวงยุติธรรมไทยตั้งแต่ช่วงการก่อตั้งใน พ.ศ. 2434 มาจนถึงปัจจุบัน โดยตั้งคำถามว่ากระทรวงยุติธรรมได้ทำหน้าที่ยุติธรรมตามชื่อของตนแล้วหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้วกระทรวงยุติธรรมเป็นเพียงเครื่องมือในกระบวนการรักษาระเบียบของรัฐ มากกว่าผู้ค้ำจุนหลักนิติรัฐในสังคม

เมื่อครั้งแรกเริ่มตั้งกระทรวงยุติธรรม

หน้าที่ประการหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ก็คือ การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งการปกครองควรจะต้องตั้งอยู่บนหลักการของการของนิติรัฐ กล่าวคือ การใช้อำนาจใด ๆ ของรัฐก็ควรจะต้องผูกพันอยู่กับกฎหมายในฐานะที่มาแห่งความชอบธรรมในการใช้อำนาจและข้อจำกัดของการใช้อำนาจ สถาบันแบบกระทรวงยุติธรรมในต่างประเทศ จึงมีบทบาทสำคัญในการค้ำจุนและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม โดยยึดโยงอยู่กับหลักการของนิติรัฐ  อย่างไรก็ดี ในบริบทของกระทรวงยุติธรรมไทยนั้นแตกต่างออกไป

เมื่อแรกสถาปนาศาลสถิตยุติธรรมขึ้นใน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงแสดงพระราชปณิธานของพระองค์ไว้ ดังปรากฏตามพระราชปรารภที่จารึกไว้ในหิรัญบัตรบนแท่นหินแก้วปฐมศิลาฤกษ์ อาคารศาลสถิตยุติธรรมใน พ.ศ. 2434 ความว่า

“…ในการทั้งปวงนี้ การยุติธรรมอันเดียวเป็นการที่สำคัญยิ่งใหญ่ เป็นหลักเป็นประธานการชำระตัดสินความทุกโรงศาล เป็นเครื่องประกอบรักษาให้ความยุติธรรมเป็นไป ถ้าจัดได้ดีขึ้นเพียงใดประโยชน์ความสุขของราษฎรก็จะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น…”

พระราชปณิธานดังกล่าวถูกนำเสนอในหนังสือที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 124 ปี การสถาปนากระทรวงยุติธรรม ซึ่งเสมือนว่าอธิบายว่าการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมเกิดขึ้นมาจากพระราชปณิธานที่ต้องการให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ซึ่งเป็นพันธกิจของรัฐสมัยใหม่

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบริบทในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว การจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. 2434 นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาในบริบทดังกล่าวแต่อย่างใด แต่เป็นภาพสะท้อนของแรงผลักดันทางการเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศมากกว่า การตอบสนองต่ออุดมการณ์ความยุติธรรมในตัวเอง

ในบริบทของการเมืองภายใน การสถาปนากระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. 2434 นั้นเกิดขึ้นท่ามกลางนโยบายการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงประกาศสถาปนากระทรวงขึ้นมาจำนวน 12 กระทรวง ซึ่งกระทรวงยุติธรรมเป็นหนึ่งในกระทรวงที่ถูกจัดตั้งขึ้นในเวลานั้น เพื่อรองรับระบบราชการแบบตะวันตกที่นำเข้ามาใช้

ภายใต้ระบบราชการใหม่นี้ กฎหมายถูกจัดระเบียบเป็นทางการมากขึ้น ในขณะเดียวกันศาลเริ่มมีลักษณะถาวร แล้วเปลี่ยนผ่านกระจายอำนาจจากระบบจารีตสู่รูปแบบสถาบัน กระทรวงยุติธรรมถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรวมอำนาจศาลที่กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยราชการต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรมเพียงกระทรวงเดียว โดยให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (พระยศขณะนั้น) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีคนแรก

นอกจากจะรวบรวมศาลต่าง ๆ ให้มาอยู่ในสังกัดของกระทรวงยุติธรรมแล้ว ในพระบรมราชโองการ ประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ยังทรงมีรับสั่งให้ยุบรวมศาลต่าง ๆ จากเดิม 16 แห่ง ให้เหลือเพียง 7 แห่ง ได้แก่ ศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ศาลอุทธรณ์คดีหลวง ศาลพระราชอาญา ศาลแพ่งเกษม ศาลแพ่งกลาง ศาลสรรพากร และศาลต่างประเทศเท่านั้น

การจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมและการรวบรวมศาลต่าง ๆ มาสังกัดอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรวบพระราชอำนาจจากเดิมที่กระจายอยู่ตามกรมกองต่าง ๆ ให้มารวมอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียวแล้ว ทำให้ระบบศาลต่าง ๆ เดินไปในทิศทางเดียวกันภายใต้การบริหารงานแบบเดียวกัน

ในขณะเดียวกันบทบาทของพระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้จางหายไปจากความคิดเรื่องกระบวนการยุติธรรม แม้จะมีการจัดตั้งสถาบันศาลขึ้นมาให้ทำหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม ทว่า บทบาทของพระมหากษัตริย์กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบศาล โดยอยู่ในตำแหน่งของ “องค์เอกอัครตุลาการ” โดยเป็นที่มาแห่งความยุติธรรมทั้งหมดและดำรงพระองค์ในฐานะของผู้ตัดสินแห่งศาลสุดท้าย

สภาพดังกล่าวจึงสะท้อนภาพของการรับเอารูปแบบความเป็นสมัยใหม่จากตะวันตกเข้ามาในเชิงรูปแบบ แต่ในเชิงโครงสร้างอำนาจที่วางอยู่เหนือระบบราชการกระทรวงยุติธรรมหรือศาลจึงยังผูกโยงอยู่กับพระมหากษัตริย์

ข้อบ่งชี้ประการที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการรวมอำนาจคือ เมื่อในเวลาต่อมามีการเปลี่ยนแปลงตัวเสนาบดีประจำกระทรวงยุติธรรมไป 2 พระองค์ จนตำแหน่งดังกล่าวถูกส่งต่อมาให้กับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์มาจากประเทศอังกฤษ และได้รับการยกย่องในเวลาต่อมาให้เป็นพระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย (ซึ่งเป็นการอุปโลกน์ขึ้นในภายหลัง)

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงมีพระประสงค์ให้ ข้าราชการตุลาการมีความเป็นอิสระ รวมถึงความเป็นอิสระที่มีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ พระประสงค์ให้การตัดสินคดีความใด ๆ ก็ตามจะต้องไม่ถูกแทรกแซงโดยอำนาจของฝ่ายบริหารซึ่งนำโดยสมเด็จพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ควรจะเป็นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีการแบ่งแยกอำนาจ ทว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และทรงเห็นว่าข้าราชการตุลาการนั้นไม่ได้แตกต่างจากข้าราชการอื่น ๆ

ในส่วนของปัจจัยภายนอก ผลจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิภาพนอกอาณาเขต แล้วทำให้คนในบังคับของต่างชาติไม่อยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายไทย ในด้านหนึ่งเหตุผลสำคัญก็มาจากระบบกฎหมายที่อาจจะล้าสมัยในสายตาของชาติตะวันตก
จากบันทึกส่วนบุคคลของเซอร์จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) อธิบายเหตุผลว่าในการเจรจาสนธิสัญญาในครั้งนั้น เบาว์ริงมองว่า ไม่สามารถให้คนในบังคับของอังกฤษมาขึ้นศาลไทยได้เนื่องจากกฎหมายไทยล้าสมัย แล้วเป็นกฎหมายที่ไม่มีความแน่นอน เนื่องจากตัวบทของกฎหมายนั้นไม่ได้ใช้บังคับ ไม่ได้มีการเผยแพร่อย่างทั่วไป รวมถึงไม่ได้มีการทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมายได้

ในแง่หนึ่งการปฏิรูปกฎหมายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเป็นความพยายามที่จะพัฒนากฎหมายในเชิงรูปแบบให้มีความสอดคล้องและเป็นสมัยใหม่ โดยภารกิจดังกล่าวนั้นได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันไปในเวลาต่อมา เมื่อร่วงเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนากรมร่างกฎหมายขึ้นมา โดยสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อทำหน้าที่ในการยกร่างกฎหมายให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสากล

ลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า กระบวนการจัดตั้ง กระทรวงยุติธรรมในระยะแรกไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอำนวยความยุติธรรมและรักษานิติรัฐ แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้นโยบายการปฏิรูประบบราชการ และการใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาข้อ พิพาทในเรื่องเขตอำนาจศาลระหว่างสยามกับชาติตะวันตก

การเปลี่ยนผ่านจากความยุติธรรมของพระเจ้าแผ่นดิน สู่ความยุติธรรมของรัฐ

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้เข้ามาจัดระเบียบการปกครองใหม่ให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ของคณะราษฎรตามหลัก 6 ประการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านระบบราชการ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยให้มีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องประกันสิทธิและเสรีภาพของปวงชน จากการถูกคุกคามโดยอำนาจรัฐ

อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ทำให้รัฐบาลคณะราษฎร ยังไม่สามารถที่จะดำเนินการสร้างหลักการแห่งนิติรัฐ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

สิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ในบางรัฐบาลมีการใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายขั้วตรงข้ามทางการเมือง อาทิ การใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พุทธศักราช 2476 ซึ่งตาขึ้นในสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา หรือการใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 มาดำเนินคดีกับศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล รวมไปถึงการตรากฎหมายพิเศษ อาทิ การจัดตั้งสารพิเศษต่าง ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกันกับกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็นตามหลักนิติรัฐ

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บทบาทของกระทรวงยุติธรรมก็ยังคงเป็นไปโดยจำกัด ใน พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้เสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อเข้าดำเนินการตามรูปแบบของกระทรวง ทบวง กรมใหม่ แล้วเข้ามาจัดการแทนโครงสร้างการปกครองเดิม

อย่างไรก็ดี บทบาทของกระทรวงยุติธรรมในระยะนี้ ก็ยังถูกโยงอยู่กับบทบาทของศาลเป็นหลัก โดยเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติข้าราชการฝ่ายตุลาการขึ้นมา เพื่อกวดขันเรื่องวินัยและมารยาทและรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมและความเชื่อถือของประชาชนในราชการศาลยุติธรรม จึงได้มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรมฉบับใหม่ ใน พ.ศ. 2477 โดยเรียกศาลที่สังกัดกระทรวงยุติธรรมว่า ศาลยุติธรรม โดยแบ่งศาลออก 3 ชั้น ได้แก่ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา

ในระยะนี้บทบาทของกระทรวงที่ทำค่อนข้างเป็นไปอย่างจำกัด โดยบทบาทของกระทรวงไม่ได้สัมพันธ์กันกับการสร้างกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม แต่มุ่งเน้นไปที่การทำหน้าที่เป็นส่วนธุรการของศาล ซึ่งเป็นเพียงมิติหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในภาพรวมเท่านั้น ซึ่งสถานะดังกล่าวจะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วง พ.ศ. 2517

สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งบานปลายออกไปเมื่อหลังรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 ที่คณะทหารเข้ามายึดอำนาจและใช้กลไกของกระทรวงยุติธรรมในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อาทิ การเร่งให้มีการพิจารณากฎหมายเพื่อขยายระยะเวลาควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย รวมไปถึงเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้ใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญมาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยการใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้ารัฐบาลในการประหารชีวิตหรือยึดทรัพย์โดยไม่ผ่านกระบวนการศาลปกติ สภาพดังกล่าวสะท้อนความอ่อนแอของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่ยึดโยงกับหลักการนิติรัฐ

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกระทรวงยุติธรรม ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ไม่ได้มีจุดเปลี่ยนที่แตกต่างจากสถานการณ์ก่อนหน้านั้นมา แม้ว่าจะมีการจัดตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมา ภายใต้กระทรวงยุติธรรม อาทิ กรมบังคับคดี กรมคุ้มครองสิทธิ หรือกรมราชทัณฑ์ แต่บรรดากรมที่จัดตั้งขึ้นมาเหล่านี้อยู่ในฐานะของหน่วยงานที่ดำเนินงานเฉพาะทางหรืองานทางด้านเทคนิคที่สนับสนุนกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น

ในขณะที่ศาลยุติธรรมนั้น หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ประกาศใช้และนำมาสู่การแบ่งแยกบทบาทกันอย่างชัดเจนระหว่างหน่วยงานของรัฐฝ่ายบริหารกับหน่วยงานขององค์กรตุลาการ ทำให้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาลในการพิจารณาอรรถคดีต่าง ๆ ถูกแยกออกไปอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่มีประธานศาลฎีกาเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในศาลยุติธรรม

ทว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปแบบเท่านั้น หากพิจารณาถึงองค์ประกอบอันเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการที่ทำทั้งหมดก็คือ การรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมและการรักษานิติรัฐแล้ว จะเห็นได้ว่าบทบาทของกระทรวงยุติธรรม และศาลยุติธรรมนั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความเป็นธรรมในสังคม

จากดัชนีนิติธรรม (Rule of Law Index) ใน พ.ศ. 2567 ประเทศไทยได้คะแนนอยู่ที่ 0.5 จากคะแนนเต็ม 1 และอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 142 ประเทศทั่วโลก โดยถือว่ามีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 0.55 คะแนน และต่ำกว่าประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ 0.59 คะแนน

เมื่อพิจารณาในประเด็นเฉพาะแต่ละตัวชี้วัด จะพบว่าประเทศไทยมีคะแนนที่ตกต่ำลงมากกว่าเก่า ตัวอย่างเช่นในตัวชี้วัดที่ว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Right) พบว่าคะแนนของประเทศไทยอยู่ที่ 0.48 จากคะแนนเต็ม 1 ซึ่งนับตั้งแต่ ค.ศ. 2015 คะแนนของประเทศไทยตกมาอันดับมาอยู่ในช่วง 0.47 ถึง 0.49 ตลอด

หรือในประเด็นที่พูดด้วยความยุติธรรม ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice) คะแนนของประเทศไทยอยู่ที่ 0.41 จากคะแนนเต็ม 1 โดยนับตั้งแต่ ค.ศ. 2017/2018 เป็นต้นมาตัวชี้วัดในคร้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำลง ระหว่าง 0.40 ถึง 0.41 ตลอด

จากดัชนีนิติธรรมข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาสำคัญที่เป็นข้อจำกัดของประเทศไทยในการพัฒนาให้เกิดนิติรัฐในประเทศไทยจริง ๆ มาจากข้อจำกัดในเชิงสถาบันต่าง ๆ โดยอาจแบ่งเป็นประเด็นได้ 4 ประเด็นดังนี้

ความเป็นอิสระของกลไกการบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานด้านการสอบสวน อาทิ ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ๆ ยังคงถูกครอบงำหรือเสแสร้งโดยอำนาจทางการเมืองอิทธิพลภายนอก รวมทั้งกระบวนการสอบสวนและดำเนินดำเนินคดียังขาดความโปร่งใสและตรวจสอบไม่ได้

การละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา มีแนวโน้มที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการเกินขอบเขตอำนาจตามกฎหมาย อาทิ การใช้ความรุนแรงในการควบคุมตัว และการไม่เคารพสิทธิของผู้ต้องขังที่จะได้พบกับทนาย รวมถึงการไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (การได้รับสิทธิการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี)

การเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเสมอภาคโดยเฉพาะกับคดีที่เกี่ยวข้องกับ หรือกรณีผู้ที่มีอำนาจมาเกี่ยวข้องการบังคับใช้กฎหมายมีแนวโน้มที่จะถูกใช้อย่าง อาทิ การได้รับสิทธิประกันตัวของอดีตนักการเมือง ในขณะที่ผู้ชุมนุมหรือนักกิจกรรมกลับไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว

ปัญหาการทุจริตในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่บางส่วนในกระบวนการยุติธรรม อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ผู้คุม และผู้พิพากษา ยังมีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์หรือใช้ดุลพินิจอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบกระบวนการยุติธรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง

สภาพดังกล่าวเป็นเพียงแค่การพิจารณาจากดัชนีในข้างต้นเท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ด้านกระบวนการยุติธรรมของไทยเริ่มเลวร้ายลงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ การเสียชีวิตในระหว่างควบคุมตัวในเรือนจำของนักโทษ หรือการปรากฏข่าวของผู้พิพากษาที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเป็นธรรม

ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบราชการสมัยใหม่ โดยการตั้งกระทรวงยุติธรรมนั้น แท้จริงแล้วกระทรวงยุติธรรมไม่ได้ทำบทบาทในสิ่งที่ควรจะเป็น คือการรักษาความยุติธรรมบนพื้นฐานของนิติรัฐ อันเป็นหัวใจของรัฐสมัยใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ บริบทของประเทศไทยจึงกลายเป็นการปกครองด้วยอำนาจอย่างอำเภอใจ

มาถึงจุดนี้ กระทรวง ยุติ ด้วยธรรมแล้วหรือไม่

แม้กระทรวงยุติธรรมจะถูกออกแบบให้เป็นสถาบันหลักในการค้ำจุนหลักนิติธรรมของรัฐสมัยใหม่ หากแต่จากการพิจารณาพัฒนาการของกระทรวงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน รวมถึงผลการประเมินจาก Rule of Law Index ค.ศ. 2024 ล้วนสะท้อนให้เห็นว่ากระทรวงยุติธรรมยังไม่อาจทำหน้าที่ตามอุดมการณ์แห่ง “ความยุติธรรม” ได้อย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติ โดยยังคงปฏิบัติงานภายใต้กรอบของรัฐราชการรวมศูนย์ที่เน้นการรักษาระเบียบ มากกว่าการคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง

ในขณะเดียวกันบทบาทของกระทรวงถูกจำกัดอยู่ในงานเทคนิค โดยไม่มีจุดยืนเชิงนโยบายที่ชัดเจนต่อการปฏิรูปศาลหรือการขยายพื้นที่ของความเป็นธรรม

ขณะเดียวกันข้อมูลจากดัชนีนิติธรรมยังชี้ถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง อาทิ ความไม่เป็นอิสระของกลไกบังคับใช้กฎหมาย การละเมิดสิทธิผู้ต้องหา และการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่ากระทรวงยุติธรรมยังคงเป็นเครื่องมือของอำนาจรัฐมากกว่าจะเป็นผู้พิทักษ์หลักนิติธรรม

ท้ายที่สุดแล้ว นี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องทบทวนบทบาทและภารกิจของกระทรวงฯ เสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐประชาธิปไตยที่ยึดถือหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง ทั้งในด้านโครงสร้าง นโยบาย และการเชื่อมโยงกับประชาชน


เอกสารอ้างอิง

  • กองบรรณาธิการ, “อ่านภาพกระบวนการยุติธรรมโลก-ไทยผ่าน Rule of Law Index 2024 ในโลกที่หลักนิติธรรมยังคงถดถอย” the 101.world, 16 ธันวาคม 2566, สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2568, จาก https://www.the101.world/rule-of-law-index-2024/.
  • กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย, อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562).
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย ภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมและความมั่นคง,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 กุมภาพันธ์ 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2568, จาก https://pridi.or.th/th/content/2024/02/1857.
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “พระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 การพิทักษ์รัฐธรรมนูญในยุคแรก,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 ธันวาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2568, จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/12/927.
  • ปฐมาวดี วิเชียรนิตย์, ใต้เงาปฏิวัติ: การสืบราชการลับและความคาดหวังของราษฎรหลัง 2475, (กรุงเทพ: มติชน, 2566).
  • ปฐมาวดี วิเชียรนิตย์, เลือดสีน้ำเงิน ซ้ายไม่จริง ขวาไม่แท้ และประชาธิปไตยในอุดมคติ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561).
  • ปทิตตา โฉมประดิษฐ์ และคณะ, 124 ปี (พ.ศ. 2434 – 2558) กระทรวงยุติธรรม, (กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 2558).
  • สมชาย ปรีชาศิลปกุล, “ตุลาการในรัฐประหาร 2490,” the 101.world, 8 พฤศจิกายน 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2568, จาก https://www.the101.world/1947-coup/.
  • ราชกิจจานุเบกษา, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2540) ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา 11 ตุลาคม 2540, เล่ม 114 ตอนที่ 55, หน้า 1-99.
  • World Justice Project, “WJP Rule of Law Index – Thailand” World Justice Project, 2024a [Online], accessed 22 March 2025, from https://worldjusticeproject.org/rule-of-law-index/country/2023/Thailand.

Navigating Thailand’s AI Law: Development at a Crossroads

First Published in Tech for Good Institute (techforgoodinstitute.org) on March 19, 2025.

The rapid development of Artificial Intelligence (AI) has become a focal point for governments globally, including Thailand. However, a key challenge for Thailand lies in maximising the benefits of AI, particularly in developing a skilled AI workforce and fostering the adoption of AI among SMEs and startups across various industries.

Thailand’s Ambiguous AI Policy

Thailand has historically exhibited ambiguity in its approach to AI governance, mirroring broader trends in its digital policy landscape. However, the European Union (EU)’s proactive stance on AI regulation has significantly influenced Thailand’s policy direction, leading to the incorporation of similar principles into national AI policies.

In April 2022, the Thai government introduced a draft Royal Decree on the Operation of AI-Based Service Businesses, known as the Regulated AI Law. This legislation aimed to establish regulatory measures for AI-driven businesses to enhance credibility while mitigating public risks. High-risk AI applications—such as those used in critical infrastructure and facial recognition surveillance—would require mandatory registration with the government and compliance with legally defined safety standards, including risk management measures to assess human impact. The law also classified some AI applications as prohibited technologies and outlined penalties for non-compliance.

However, in July 2022, the Thai Cabinet approved the National AI Action Plan (2022–2030), signaling a shift in regulatory direction. Recognising AI’s crucial role in advancing Thailand’s data-driven economy, the plan introduced a structured approach to AI development, with five strategic priorities:

  1. Reforming laws and regulations to ensure responsible AI usage while preventing misuse.
  2. Strengthening AI infrastructure to support long-term technological growth.
  3. Enhancing workforce skills and competencies to meet industry demands.
  4. Promoting AI adoption in key sectors such as healthcare, energy, education, and tourism, with the goal of reducing reliance on foreign technology.
  5. Fostering public-private collaboration through AI Sandboxes and data-sharing frameworks to enhance industrial competitiveness.

To support these objectives, Thailand began drafting the Act on the Promotion and Support of Artificial Intelligence Innovation (or the Supported AI Law). This legislation aims to create an enabling ecosystem by reducing regulatory barriers and fostering public-private partnerships in AI research and application. It proposes the establishment of an AI Innovation Promotion Committee, responsible for setting policies, defining standards, and supporting AI entrepreneurs through registration, advisory services, and AI Sandbox programs that facilitate safe AI experimentation and development. Additionally, the law promotes data-sharing mechanisms between the government and private sector under principles of security and fairness.

From a regulatory perspective, the draft law mandates AI transparency, bias prevention, and user safety while setting contractual standards to clarify AI service provider liabilities. It also introduces an AI Compensation Fund to cover damages in cases where no accountable entity can be identified and implements data confidentiality measures for AI providers submitting information to government agencies.

Unlike the EU’s stricter AI regulations, Thailand’s approach under the Supported AI Law reflects a more balanced model that encourages AI innovation while maintaining fundamental safeguards against potential risks. This dual focus ensures that Thailand remains competitive in AI development without compromising essential regulatory protections.

The Crossroads of Thailand’s AI Law in Policy Development

Thailand recognises the need for AI-specific laws to help meet its development goals. However, there’s a key question about which direction the country should take: should it focus more on regulation or innovation?

So far, the Thai government hasn’t made a final decision. However, in a 2022 meeting, officials from the National AI Committee passed a resolution stating that the country should focus on encouraging AI innovation and creating a clear AI ecosystem, while ensuring regulations are flexible and don’t hold back progress. This suggests Thailand is leaning toward the Supported AI Law, which focuses on promoting AI rather than imposing strict rules.

The Thai government is introducing two draft laws: the Regulated AI Law, which proposes stricter regulatory controls, and the Supported AI Law, which prioritises facilitating AI innovation. This distinction presents a crucial policy choice for Thailand.

This leaves a challenge: strict regulations could limit innovation and make it harder for local businesses to compete, while other countries may advance AI more quickly by not prioritising ethics and transparency. The most critical issue is the clarity of Thailand’s AI policy direction and how the country envisions its AI development model. In the author’s view, Thailand must carefully consider which development approach best suits its context. The Thai government needs to find a balance between encouraging innovation and ensuring AI is used responsibly.

The main issue is whether Thailand should follow the EU’s strict AI regulations, focusing on ethics, transparency, and preventing bias. While these are important, a very strict framework might hurt local AI development and make Thailand rely more on foreign AI technologies that meet stringent compliance requirements. This could lead to fewer opportunities for local businesses to innovate. This challenge is becoming increasingly evident as digital regulations continue to expand and overlap, raising concerns about their long-term impact on AI innovation within the country.

Another option is a more promotion-driven approach, particularly through voluntary governance mechanisms such as AI Sandboxes, where businesses can experiment with AI under flexible rules, while still following existing laws on data privacy and other areas. Such regulatory sandboxes could prevent overly strict regulations from stifling innovation. However, this strategy also presents challenges. Thailand must ensure that its regulatory framework evolves in parallel with emerging AI risks. Key concerns include maintaining transparency, preventing bias, and safeguarding personal data privacy from unauthorised collection and misuse. A balanced regulatory approach is essential to foster innovation while mitigating potential risks associated with AI deployment.

The Future of AI Law Development in Thailand

Thailand’s AI policy is currently at a crossroads, trying to balance strict regulation with a more flexible, innovation-driven approach. If Thailand aligns with the EU’s AI Act, it would focus on key principles such as transparency, preventing bias, and ethical AI development. However, overly strict rules could stifle local innovation and make Thailand more dependent on foreign AI technologies. On the other hand, a model focused on innovation, such as using AI Sandboxes and sector-specific rules, could encourage growth and adapt to new risks. But, even with this, safeguards are necessary to ensure transparency, accountability, and data privacy. Ultimately, Thailand must strike a balance between AI governance and technological advancement to build a sustainable and competitive AI ecosystem.

Thailand’s AI development stands at a pivotal moment. Following the AI Action Summit, the debate on AI’s future direction has become a critical issue—not just for global AI leaders but for Thailand as well. Our choices go beyond industrial growth; they must align with strategic market entry and the geopolitical forces shaping the global AI landscape.

Ultimately, Thailand may need a third approach — a legal framework that balances innovation promotion with government oversight. This model would allow AI innovation to thrive while ensuring responsible governance, possibly guided by ethical AI development principles. While these principles wouldn’t have the same legal power as formal laws, they could help shape best practices. At the same time, the law could limit high-risk AI applications that could harm human safety and life, while offering guidelines for handling such risks and addressing sector-specific issues.

This approach could serve as a viable alternative for Thailand, ensuring a well-structured AI ecosystem that fosters technological advancement while maintaining accountability and transparency in monitoring AI’s societal impact. However, this issue requires further review and deliberation to refine Thailand’s AI governance strategy.

ลูกเล่นของความไม่โปร่งใส เมื่อกฎหมายข้อมูลข่าวสารถูกใช้เป็นเครื่องมือปกปิดข้อมูล

เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ tdri.or.th ในวันที่ 3 มีนาคม 2568

เมื่อไม่นานมานี้เอกสารกำชับการเปิดเผยข้อมูลเอกสารของทางราชการ ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งได้ทำหนังสือเวียนภายในหน่วยงานเพื่อ “เน้นย้ำ” ให้ส่วนงานภายในควบคุม และกำชับให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลสาร โดยอ้างถึงกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และระเบียบแบบแผนของทางราชการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลที่จะทำให้สำนักงานได้รับความเสียหาย

หนังสือเวียนฉบับนี้กำลังบอกอะไรกับเราทุกคน?

ถ้าดูแบบผิวเผินแล้วน่าจะเป็นการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ร่วมกันและระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่ถูกตั้งคำถามจากประชาชนในเรื่องความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสแล้ว หนังสือเวียนเหล่านี้อาจจะสะท้อนความในใจของส่วนราชการที่มองได้ว่า ประชาชนไม่ควรรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการถ้าไม่จำเป็นหรือไม่ ?

การไม่ได้ตระหนักว่าประชาชนมีสถานะเป็นเจ้าของ และมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลสาธารณะนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่หากพิจารณาภาพรวมของการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในประเทศไทยแล้ว จะพบว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

จากสถิติของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2565 พบว่าจำนวนคำขออุทธรณ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี และนับตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2565 มีคำขออุทธรณ์เฉลี่ยปีละ 458 คำขอ โดยจำนวนดังกล่าวเป็นเพียงบางส่วนของข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกเปิดเผยเท่านั้น

ภาพแสดงสถิติการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในช่วง 2558 – 2565

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ, รายงานประจำปีสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ (2558 – 2566)

เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น

เมื่อแรกเริ่มประกาศใช้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการนั้น สถานการณ์ของประเทศไทยอยู่ในช่วงหลังการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ ที่ต้องการขจัดอิทธิพลของกองทัพ สร้างความโปร่งใส และความรับผิดชอบในการบริหารประเทศของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต่างๆ

ในเวลานั้นจึงได้มีการตรา พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการขึ้นมา เพื่อต้องการให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการ จะได้นำข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไปใช้แสดงความคิดเห็น และใช้สิทธิทางการเมืองได้โดยถูกต้องกับความเป็นจริง ซึ่งจะนำมาสู่การส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลของประชาชนมากขึ้น

เห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้มีความประสงค์ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่ ข้อมูลข่าวสารใดที่จะไม่ถูกเปิดเผยจะต้องมีเหตุยกเว้นไว้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น

นั่นหมายถึง ประชาชนมีสถานะเป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ภาครัฐมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว เว้นแต่ถ้าเปิดเผยแล้วจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะอื่น ๆ ที่สำคัญ อาทิ ประโยชน์ต่อความมั่นคงของประเทศ (ในระดับที่ทำให้ประเทศวิกฤต) ประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมาย ประโยชน์ส่วนบุคคล เนื่องจากจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของบุคคล หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคล[1]

ในลักษณะดังกล่าวการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ จึงควรเป็นการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ มักจะฉวยเอา พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร มาเป็นลูกเล่นในการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ

ตัวอย่างเช่น ในการร้องขอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมรายงานและสำนวนการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามไม่ให้เปิดเผย เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลดังกล่าวเป็นความเห็นของเจ้าหน้าที่[2] ซึ่งหน่วยงานมีดุลพินิจที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว[3]

ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐ จึงมักจะใช้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการมาใช้เป็นตราแสตมป์ ในการปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

นอกเหนือจากการอ้างอิง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการแล้ว ในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐมักจะมีลูกเล่นใหม่ในการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยอ้างว่าปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ในบางครั้ง การอ้าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาจจะเป็นการบิดเบือนหลักการของกฎหมาย เพราะในความเป็นจริงแล้วกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้นำไปใช้กับข้อมูลทุก ๆ เรื่อง แต่ใช้เฉพาะกับข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น และในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายไม่ได้ห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพียงแต่การเปิดเผยข้อมูลจะต้องมีเหตุที่กฎหมายกำหนดไว้ อาทิ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์สาธารณะ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามความยินยอมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล[4]

สิ่งที่ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารควรจะเป็น ?

สิ่งที่ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการควรจะเป็นคือ การทำหน้าที่เป็นกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในข้อมูลข่าวสาร โดยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างเสรี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และส่งเสริมการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการที่ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี อาจไม่ตอบโจทย์สำคัญของการดำเนินการดังกล่าวได้ และยังพบปัญหาหลายประการ

ประการแรก ขอบเขตของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการในปัจจุบัน ยังไม่ครอบคลุมไปถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองของเอกชนที่ได้รับงบประมาณจากรัฐ หรือได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งขอบเขตดังกล่าวยังไม่ถูกขยายไปถึงตามนิยามของ พ.ร.บ. ฉบับปัจจุบัน

ประการที่สอง ข้อยกเว้นของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการในปัจจุบัน มีขอบเขตที่สามารถตีความได้กว้างเกินไป และขาดความชัดเจน ตัวอย่างเช่น ในมาตรา 15 ของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ อาจไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ หากการเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าขอบเขตของข้อยกเว้นดังกล่าวนั้นกว้างมาก เพราะเรื่องความมั่นคงของประเทศอาจจะถูกตีความไว้กว้างในระดับใดก็ได้ ในขณะเดียวกันกฎหมายปัจจุบันให้ดุลพินิจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกระดับในการตัดสินใจว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว

ประการที่สาม การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ยังมุ่งเน้นไปที่การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยวิธีการแบบดั้งเดิมคือ การให้ประชาชนติดต่อและขอใช้สิทธิ ณ ที่ทำการ แม้ว่าจะมีมติคณะรัฐมนตรีให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยยังเน้นไปที่กลุ่มข้อมูลข่าวสารที่ต้องเปิดเผยตามกฎหมายต่าง ๆ อาทิ ประชาชนต้องยื่นคำขอ ณ ที่สำนักงาน เอกสารหลักฐานบางอย่างต้องติดต่อและขอรับที่สำนักงาน

แม้ว่าจะมีกฎหมายอื่น ๆ ที่เข้ามากำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งกำหนดให้รัฐปรับมาให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขหรือวิธีการให้บริการไว้ ในทางปฏิบัติการให้บริการในแต่ละหน่วยงานจึงไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับ Freedom of Information Act (FOIA) ของสหรัฐอเมริกาที่ถูกนำมาใช้เป็นต้นแบบในการยกร่าง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการเมื่อปี 2540 จะพบว่า หลักการของ FOIA มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการตีความจากศาลให้มีความรัดกุม เพื่อป้องกันการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานของรัฐตามอำเภอใจ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยสะดวก

ในกรณีของขอบเขตการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แม้ว่า FOIA จะกำหนดหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐเป็นหลัก แต่เอกชนที่ได้รับงบประมาณจากรัฐอาจจะต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในบางกรณี อาทิ กรณีหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณเพื่อสนับสนุนวิจัยจากรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร[5] ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการบังคับใช้ข้อมูลข่าวสารออกไปสู่ข้อมูลข่าวสารสาธารณะประเภทอื่นๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของข้อยกเว้นที่กำหนดไว้ใน FOIA ยังถูกกำหนดไว้ให้แคบทั้งโดยบทบัญญัติของกฎหมายและการตีความของศาล ตัวอย่างเช่น ในบทบัญญัติของ FOIA ได้รับรองข้อยกเว้นในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่หากเปิดเผยจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และข้อมูลดังกล่าวได้ถูกรับรองไว้ไม่ให้เปิดเผยโดยประธานาธิบดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการกำหนดให้ข้อมูลข่าวสารใดเป็นความลับจะต้องถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ในขณะเดียวกันผู้มีอำนาจตัดสินใจกำหนดชั้นของความลับข้อมูลประเภทนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทุกคน แต่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีในฐานะผู้นำของฝ่ายบริหาร

ท้ายที่สุด ในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตาม FOIA ที่มีการแก้ไขใหม่ในปี 2016 ได้เพิ่มหลักเกณฑ์ในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมถึงการจัดทำ FOIA Portal เพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารในวงกว้างมากขึ้น โดยประชาชนสามารถมาขอรับบริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวได้

พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการควรแก้ไขอะไร ?

บริบทของประเทศไทย ในเชิงหลักการ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ยังมีเจตนารมณ์ที่ดีในการส่งเสริมเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน แต่อาจจะต้องปรับปรุงให้มีความเหมาะสมมากขึ้น อย่างน้อย 3 ประเด็น

ประการแรก กฎหมายควรขยายขอบเขตไปสู่การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่กว้างกว่าในปัจจุบัน โดยไม่เฉพาะข้อมูลข่าวสารสาธารณะที่อยู่ในความครอบครอง และควบคุมของเอกชนที่ได้ประโยชน์จากรัฐ อาทิ ได้รับสัมปทาน งบประมาณ ใบอนุญาตในโครงสร้างพื้นฐาน หรือได้รับสิทธิพิเศษในการผูกขาดกิจการ

ประการที่สอง กฎหมายควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการยกเว้นการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ชัดเจน  และลดเงื่อนไขในการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ลง อาทิ การกำหนดให้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องชั้นความลับและการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเป็นของผู้บังคับบัญชา โดยจะต้องทำไว้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันศาลมีอำนาจในการทบทวนการกำหนดชั้นความลับ หรือการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการโดยตรง

ประการที่สาม กฎหมายควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวกกับประชาชน รวมถึงควรมีระบบกลางในการขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยประชาชนไม่ต้องไปติดต่อหน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งด้วยตัวเอง

นอกเหนือจากการแก้ไขกฎหมายแล้ว การรักษาจัดทำแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อกำหนดแนวทางให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามก็มีส่วนสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐไทยมีความเคยชินกับวัฒนธรรมการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร การมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและลดการใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจบังคับใช้กฎหมายก็มีส่วนช่วยให้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารกับประชาชนมีความโปร่งใสมากขึ้น

บทความนี้ เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากการเสวนาในหัวข้อ “สร้างการเข้าถึงข้อมูลเปิด ด้วยกฎหมายที่เอื้ออำนวย” ในงาน Thailand Rule of Law Fair 2025 ภายใต้เรื่อง ทิศทางการพัฒนาข้อมูลเปิดภาครัฐ ความท้าทายและโอกาสในการขับเคลื่อนประเทศ ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568


เชิงอรรถ

[1] พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15.

[2] คำสั่งศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ 62-63/2566.

[3] พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15.

[4] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 24.

[5] OMB Circular A-110 (2 CFR 215)

หนี้ไม่ใช่ความผิด แนวทางปรับกฎหมายล้มละลายเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในสังคมปัจจุบันเมื่อพูดถึงคนเป็นหนี้สิน ภาพส่วนใหญ่ที่ถูกนำเสนอมักจะกลายเป็นภาพของคนที่ขาดวินัยทางการเงินหรือฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักพอเพียงในการใช้จ่ายและไม่ประมาณสถานะทางการเงินของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาหนี้สินส่วนใหญ่เป็นภาพสะท้อนของสภาวะของความไม่แน่นอน รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายพื้นฐาน และสถานการณ์นอกเหนือการควบคุม

วิกฤตโควิด-19 ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ต่อให้มีวินัยทางการเงินมากแค่ไหน ธุรกิจก็อาจขาดสภาพคล่องและนำมาสู่การผิดนัดชำระหนี้ได้ รวมถึงเงินลงทุนที่กู้ไปกลายเป็นหนี้สินที่ไม่สามารถชำระได้ หรือในบางคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็จากสภาวะว่างงานก็อาจจะต้องไปกู้หนี้นอกระบบเพื่อเอาเงินมาใช้จุนเจือชีวิตประจำวัน

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ระดับหนี้ครัวเรือนไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้แตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้ยืมเพื่อการบริโภคและการจัดการภาระในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว[1] โดยเมื่อคิดสัดส่วนของคนไทยที่เป็นหนี้แล้วในปี พ.ศ. 2566 มีจำนวน 1 ใน 3 (38.2%) หรือคิดเป็น 25.5 ล้านคน ของประชากรทั้งหมด รวมถึงหนี้ครัวเรือนของไทยมีสัดส่วนประมาณ 91% ของ GDP[2]

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานไว้ในปี พ.ศ. 2566 ว่า ครัวเรือนจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยและการชำระหนี้ที่กินสัดส่วนรายได้รายเดือนมากกว่าครึ่ง โดยหากคิดเป็นครัวเรือนจะคิดเฉลี่ยได้เป็นครัวเรือนหนึ่งมีหนี้ประมาณ 197,225 บาท โดยเป็นหนี้ที่ใช้ในครัวเรือนคิดเป็น 153,285 บาท หรือกว่า 77.7 % ของจำนวนหนี้สินทั้งหมด ซึ่งเป็นหนี้สินเพื่อซื้อหรือเช่าบ้านและที่ดิน และเพื่ออุปโภคบริโภค[3]

นอกจากนี้ ในเชิงพฤติกรรมหนี้สินที่เกิดขึ้นกับครัวเรือนโดยส่วนใหญ่มาจากหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต โดยจากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 ระบุว่าหนี้ส่วนนี้มีสัดส่วนเป็น 67% ของหนี้ทั้งหมด โดยเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งหรืออาจสร้างรายได้[4] แต่ทั้งหมดนี้เป็นหนี้ที่อยู่ในระบบ โดยประเทศยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงหนี้ในระบบ

สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เราเห็นลึก ๆ ว่าหนี้สินไม่ใช่ปัญหาของปัจเจกบุคคลแต่ละคน แต่เป็นเรื่องในเชิงโครงสร้างของสังคมในภาพรวมของสังคมที่มีความไม่แน่นอนสูง

ในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงสังคมมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คนเป็นหนี้ได้อย่างไร แล้วต่อด้วยการเป็นหนี้ไม่ใช่ความผิดบาป แต่เพราะการที่สังคมมองคนเป็นหนี้เป็นความผิดบาป การเป็นหนี้เลยถูกตีตราจากสังคม แล้วก่อนที่จะมาจบช่วงสุดท้ายของบทความที่จะโยงให้เห็นว่าเมื่อเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว กลไกทางสังคมแบบกฎหมายล้มละลายที่ถูกเครือบไว้ด้วยมายาคติของสังคมจะช่วยแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ได้อย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดอาจจะต้องปรับกฎหมายล้มละลายให้ช่วยลูกหนี้ได้

สังคมที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คนเป็นหนี้สิน

หากมองข้ามการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลไปแล้ว สังคมมีส่วนสำคัญที่ผลักดันและทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นหนี้ หากพิจารณาในเชิงสถาบัน ซึ่งหมายถึงกติกาที่กำหนดเงื่อนไขในการตัดสินใจของบุคคล ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถึงกลไกการบังคับใช้กติกาเหล่านั้น ที่อาจจะอยู่ในรูปเป็นทางการก็ได้ อาทิ รัฐธรรมนูญและกฎหมาย และไม่เป็นทางการก็ได้ อาทิ ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ และข้อห้ามขอสังคม[5] ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า วัฒนธรรม ในด้านหนึ่งตัวสถาบันนี้ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างกำหนดสิ่งจูงใจและข้อจำกัดการตัดสินใจ ที่ส่งผลให้คนเราเลือกจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ

กล่าวเฉพาะในเรื่องของหนี้ ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของสังคมภายใต้กลไกเชิงสถาบันต่าง ๆ ก็คือ การทำให้คนกลายเป็นหนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปในสังคมปัจจุบัน การก่อหนี้ของคน ๆ หนึ่งเองก็มีส่วนที่สัมพันธ์กับสถาบันเช่นกัน กล่าวคือ โครงสร้างของสถาบันที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคมที่ดีทำให้คนไม่สามารถรับมือกับความผันผวนทางรายได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความจำเป็นต้องกู้ยืมโดยไม่มีทางเลือก[6] โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเป็นคนจน การมีรายได้น้อยและไม่สม่ำเสมอ ทำให้ความรู้สึกว่าต้องมีเงินอยู่ในมือเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ อาทิ การเจ็บป่วย การตาย หรือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ยิ่งมีมาก

สิ่งนี้ยังไม่รวมถึงสถาบันทางกฎหมายต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงสินเชื่อที่ถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัย[7] (ทั้งในเชิงชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และความเป็นธรรมในการถูกทวงหนี้) จนทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องเข้าสู่การก่อหนี้นอกระบบ และระบบการเงินที่มีความเสี่ยงสูงแบบแชร์ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์เป็นหนี้ เพราะอาจจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่แพงกว่าที่ควรจะเป็น หรือมีโอกาสจะโดนโกงเงินที่ลงในวงแชร์ จนสุดท้ายต้องสูญเงิน

ไม่เพียงเท่านั้นหากพิจารณาข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า คน ๆ หนึ่งจะก่อหนี้ขึ้นมาได้นั้นเป็นผลมาจากความโลภของบุคคล แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพียงอย่างเดียว การก้าวเข้าสู่สังคมแบบทุนนิยมภายใต้อุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ได้ผลักภาระหลาย ๆ ประการออกไปจากภาครัฐ ทำให้หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานกลับไปอยู่ที่ครัวเรือนและตัวปัจเจกบุคคลเอง[8] สภาพดังกล่าวยิ่งเป็นความเลวร้ายเมื่อประกอบกับสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง การขาดสวัสดิการ (welfare) หรืออย่างน้อยที่สุดคือ โครงข่ายการคุ้มครองทางสังคม (social safety net) ก็กลายเป็นปัญหาสำคัญ

ยกตัวอย่างแบบเป็นรูปธรรม การก่อหนี้ของคนงานโรงงานและพนักงานบริษัทจบใหม่จำนวนหนึ่งคือ การซื้อรถจักรยานยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ ผู้เขียนไม่ได้มีสถิติจำนวนรถจักรยานยนต์ที่ชัดเจน แต่จากการค้นข้อมูลพบว่า ในเขตกรุงเทพมหานครมีจำนวนการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์สะสมตั้งแต่ พ.ศ. 2562-2566 คิดเป็นจำนวนกว่า 22 ล้านคัน[9]

แรงงานส่วนใหญ่อาจจะต้องไปเช่าที่พักอยู่ไกลจากที่ทำงานหรืออาจจะต้องอยู่คนละจังหวัด รถมอเตอร์ไซค์จึงไม่ได้อยู่ในสถานะของยานพาหนะเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ในฐานะของเครื่องมือในการทำมาหากินและยานพาหนะที่เชื่อถือได้ท่ามกลางระบบขนส่งมวลชนที่แออัดและไม่เพียงพอของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงระบบขนส่งมวลชนหรือหากเข้าถึงก็ด้วยต้นทุนที่แพงเกินกว่าจะใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การรักษาพยาบาล ความจำเป็นของคนมีรายได้น้อยอาจจะจำเป็นที่ต้องมีการสำรองเงินเอาไว้ เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลในเวลาที่จำเป็น แม้จะมีสวัสดิการรักษาพยาบาล แต่การจะขาดงานเพื่อรับการรักษาก็ยังคงจำเป็นต้องใช้เงินเป็นก้อนมาเก็บไว้ เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เบิกไม่ได้ สิ่งนี้ยังไม่รวมถึงคนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการต้องดูแลคน ซึ่งบางครั้งคนในวัยแรงงานอาจจะต้องก่อหนี้เพื่อมาดูแลคนในครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ในวัยทำงาน อาทิ คนชราและเด็ก การขาดมาตรการสนับสนุนเท่าที่ควรทำให้คนอาจจะต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อดูแล

การเป็นหนี้ไม่ใช่ความผิดบาป

จากในหัวข้อก่อนเราจะเห็นได้ว่าสังคมมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดหนี้ได้ แล้วการเป็นหนี้เป็นเรื่องผิดหรือไม่ ค่านิยมของคนไทยจำนวนหนึ่งผลิตซ้ำเรื่องการเป็นหนี้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนหนึ่งก็เพราะสื่อร่วมสมัยที่ฉายภาพของการเป็นหนี้อย่างไม่เหมาะสม โดยโยงการเป็นหนี้เข้ากับกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ การพนันทำให้เป็นหนี้ หรือการขายตัวเป็นทาสเพื่อใช้หนี้ (พนัน) รวมถึงในรากฐานเชิงวัฒนธรรมของไทยก็มองหนี้ในเชิงลบ อาทิ กฎหมายไทยโบราณแบบพระอัยการกู้ยืมที่เจ้าหนี้สามารถบังคับเอากับเนื้อตัวร่างกายของลูกหนี้ได้

อย่างไรก็ดี มายาคตินี้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนจนเท่านั้น สังคมตีตราว่าคนจนว่าไม่รู้จักใช้เงิน ก่อหนี้ก็เพื่อใช้เงินเท่านั้น ในขณะที่คนรวยสามารถที่จะก่อหนี้เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่า

มายาคติเหล่านี้ยังส่งผลให้ผู้ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินรู้สึกเหมือนถูกสังคมตีตราว่าเป็นผู้ล้มเหลว ทั้งที่แท้จริงแล้ว หนี้ไม่ได้สะท้อนถึงการขาดคุณธรรมของบุคคลเสมอไป แต่กลับเป็นผลลัพธ์จากความไม่สมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้ของคนส่วนใหญ่กลับไม่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่สอดรับกันอย่างเหมาะสม เป็นต้น

นอกจากนี้ บ่อยครั้งปัญหาเรื่องหนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก คนจำนวนหนึ่งไม่สนับสนุนกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของบุคคล เพราะมองว่าเรื่องหนี้เป็นปัญหาความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล และการเป็นหนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะหนี้ของคนจน

เศรษฐกิจทุนนิยมที่สนับสนุนให้เกิดการบริโภคและการกู้ยืมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หนี้กลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการลงทุน การบริโภค และการสร้างโอกาสทางธุรกิจ สิ่งที่น่าเสียดายคือ ระบบเศรษฐกิจนี้มักละเลยการคุ้มครองและสนับสนุนผู้ที่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำต้องกู้หนี้เพื่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาหนี้สะสมและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การลงโทษปัจเจกบุคคลที่มีหนี้สินยังสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมที่มองไม่เห็นความซับซ้อนของปัญหา เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียม หรือการขาดระบบสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยให้คนหลุดพ้นจากวงจรหนี้ เป็นต้น การเปลี่ยนมุมมองของสังคมเกี่ยวกับหนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดการตีตราทางสังคม และสร้างระบบที่เน้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่าการลงโทษปัจเจกบุคคลที่เป็นหนี้อย่างไร้ความเข้าใจในบริบทของเขา

มองมายาคติของกฎหมายล้มละลาย

ไม่เพียงแต่ในเชิงมุมมองต่อเรื่องของหนี้ในฐานะมายาคติเท่านั้น แต่ปัญหาของเรื่องนี้ยังขยายไปถึงกระบวนการล้มละลายด้วย การเข้าสู่กระบวนการล้มละลายถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวในชีวิตของบุคคล ทำให้ผู้ที่อยู่ในสถานะนี้ต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมและความรู้สึกอับอาย แต่ในความเป็นจริงกระบวนการล้มละลายถูกออกแบบมาเพื่อเป็นกลไกฟื้นฟูไม่ใช่การลงโทษ โดยให้โอกาสผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินได้เริ่มต้นใหม่ (fresh start) และทำให้ลูกหนี้ได้รับการปลดเปลื้องลูกหนี้คือ รอดพ้นจากการชำระหนี้ทั้งหมด

ไม่เพียงแต่ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป แต่สถานะของการตกเป็นบุคคลล้มละลายในระบบกฎหมายไทย กลไกในระดับสถาบันแบบระบบกฎหมายยังมีส่วนช่วยซ้ำเติมและไม่จูงใจให้เกิดการยอมรับ คนที่ตกอยู่ในสถานะล้มละลายให้แย่ลง อาทิ การกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกให้ออกจากราชการ

สิ่งที่ต้องกลับมาทบทวนและทำความเข้าใจกันใหม่คือ เมื่อลูกหนี้ตกอยู่ในสถานะมีหนี้สินล้นพ้นตัว การล้มละลายเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะช่วยลูกหนี้ให้พ้นจากสถานะการเป็นหนี้ ในขณะเดียวกันกระบวนการล้มละลายยังช่วยรักษาความเป็นธรรมระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ด้วย กล่าวคือ กระบวนการล้มละลายถูกออกแบบมาให้ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว จะถูกบังคับชำระหนี้เท่าที่ศักยภาพมีอยู่ในขณะนั้น (เป็นหนี้ก็ยังต้องใช้หนี้) แล้วกฎหมายกำหนดให้ผูกพันไปยังเจ้าหนี้ทุกราย โดยเจ้าหนี้เข้ามาขอรับการเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ แล้วถือว่าลูกหนี้ได้รับการปลดเปลื้องจากหนี้สินทั้งปวง

เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการฟ้องชำระหนี้ที่เจ้าหนี้ปกติ กรณีมีเจ้าหนี้หลายคน เจ้าหนี้แต่ละคนอาจฟ้องใช้สิทธิฟ้องลูกหนี้ต่างช่วงเวลากัน ลูกหนี้ยังคงมีความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้เสมออย่างน้อยที่สุดก็ตลอดอายุความ 10 ปี ในขณะเดียวกันแม้ลูกหนี้จะถูกศาลสั่งให้ชำระหนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ครบจำนวนหนี้เต็ม เจ้าหนี้ยังมีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพิ่มเติมได้อีก โอกาสที่ลูกหนี้จะฟื้นตัวและเริ่มต้นใหม่ในกระบวนการฟ้องชำระหนี้ปกติแทบจะเป็นไปไม่ได้ สถานะของการเป็นหนี้จึงเรื้อรัง

อย่างไรก็ดี การล้มละลายไม่ใช่มาตรการที่จะแก้ไขปัญหาหนี้สินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การแก้ไขปัญหานี้สินของบุคคลธรรมดายังต้องดูลักษณะของหนี้และมาตรการที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเป็นหนี้มูลค่าไม่สูงมาก การเข้าสู่กระบวนการล้มละลายอาจจะไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับการประนอมหนี้ หรือการเป็นหนี้นอกระบบกระบวนการล้มละลายอาจจะไม่ใช่ทางออก แต่อาจจะต้องเปลี่ยนสภาพหนี้มาสู่การเป็นหนี้ในระบบแทน ซึ่งปัญหาส่วนนี้อาจจะแก้ไขไม่ได้ด้วยเรื่องทางกฎหมาย ต้องใช้มาตรการทางการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจเข้ามารวมหนี้แล้วปิดหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบแทน เพื่อจะได้เจราจาหนี้ต่อไปตามกฎหมายได้ ถึงกระนั้นมาตรการตามกฎหมายล้มละลายก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรถูกละเลย และถูกมองเป็นความล้มเหลว

อย่างไรก็ดี มาตรการตามกฎหมายล้มละลายในปัจจุบันยังมีปัญหาเรื่องความเป็นธรรมอยู่บ้าง โดยเฉพาะการถ่วงดุลกันระหว่างผลประโยชน์ของเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ดังกล่าวมาแล้วในข้างต้นว่า กฎหมายล้มละลายมีเจตนาที่ดีที่ต้องการให้ลูกหนี้เริ่มต้นใหม่ และหลุดพ้นจากพันธะของหนี้

ทว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ยังให้สิทธิเฉพาะกับเจ้าหนี้ในการเริ่มต้นกระบวนการล้มละลาย ซึ่งทำให้เจ้าหนี้ขาดแรงจูงใจในการให้ลูกปลดเปลื้องหนี้สิน เพราะเจ้าหนี้อาจจะได้รับการชำระหนี้ลดลง การขาดแรงจูงใจดังกล่าวทำให้ลูกหนี้ไม่ได้รับการปลดเปลื้องหนี้สินตามศักยภาพ ในขณะเดียวกันหากลูกหนี้จะต้องการเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย กฎหมายก็จะบีบให้ลูกหนี้ไปก่อหนี้ใหม่แล้วนัดแนะกับเจ้าหนี้เพื่อฟ้องตัวเองล้มละลาย กลายเป็นลูกหนี้ไม่สุจริต ทั้ง ๆ ที่กฎหมายล้มละลายออกแบบมาเพื่อช่วยลูกหนี้สุจริตแต่เคราะห์ร้ายให้ปลดเปลื้องพันธะของหนี้

ในขณะเดียวกันกฎหมายล้มละลายปัจจุบันยังไม่เปิดช่องให้บุคคลธรรมดาที่มีเจตนาที่ดีและมีศักยภาพสามารถฟื้นฟูสภาวะทางการเงินของตัวเองได้เช่นกัน สิ่งนี้ก็กลายเป็นปัญหาว่า ถ้าลูกหนี้มีความสามารถ แต่โดยสถานการณ์เคราะห์หามยามร้ายแบบโควิด-19 จนต้องล้มละลายไป แต่กลับไม่มีทางเลือกที่จะหาโอกาสกลับมาฟื้นฟูสภาวะทางการเงินของตัวเองได้ เรื่องแบบนี้ก็อาจจะไม่เป็นธรรมสักเท่าไร

ปรับกฎหมายล้มละลายอย่างไรให้ช่วยลูกหนี้ได้

ในแง่หนึ่ง การแก้ไขปัญหาหนี้สินในลักษณะดังกล่าวเราควรจะมองมิติทางสังคมให้มากขึ้น กฎหมายล้มละลายเป็นตัวอย่างที่ดีของนิติสัมพันธ์ 3 ฝ่ายที่รัฐเข้ามาแทรกแซงระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เพื่อรักษาความเป็นธรรมและจริยธรรมในสังคม อาทิ การฟ้องเรียกเงินจากลูกหนี้เกินมูลหนี้ หรือยึดทรัพย์จนทำให้ลูกหนี้ไม่มีทางเลือกในชีวิตแบบสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่ให้เกิดการที่เจ้าหนี้เอาเปรียบลูกหนี้จนเกินไป หรือลูกหนี้ก็เหลี่ยมแอบไม่สุจริตจนทำให้ตัวเองล้มละลายเพื่อไม่ต้องใช้หนี้ เพราะหากเรามองกลไกในกฎหมายล้มละลายให้ดี กฎหมายล้มละลายคือความพยายามของสังคมในการช่วยปลดเปลื้องพันธะของลูกหนี้

การมองความสัมพันธ์ของเจ้าหนี้และลูกหนี้ในมิติสังคมก็เป็นในลักษณะเดียวกันกับที่ ปรีดี พนมยงค์ เคยอธิบายว่าความภราดรภาพของกันของมนุษย์ในสังคมคือ มนุษย์เกิดมาเพื่ออยู่ร่วมกันดั่งกล่าวแล้ว มนุษย์จำต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในประเทศหนึ่ง ถ้ามนุษย์คนหนึ่งต้องรับทุกข์ เพื่อนมนุษย์คนอื่นก็รับทุกข์ด้วย จะเป็นโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม[10] ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งของคน ๆ หนึ่งก็เป็นผลมาจากสังคม และความยากจนของคน ๆ หนึ่งก็เป็นผลมาจากสังคมดุจกัน[11] ดังนี้ สังคมจึงควรเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของแนวทางการแก้ไขปัญหา ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น กฎหมายล้มละลายไม่ได้มองว่าผู้ที่ล้มละลายเป็นบุคคลที่สมควรถูกลงโทษ แต่กลับเน้นการสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ที่ประสบเหตุโชคร้ายจะต้องล้มละลายผ่านการปลดภาระหนี้สินบางส่วนหรือทั้งหมด และการจัดการเชิงนโยบายดังกล่าวช่วยให้ผู้ที่ผ่านกระบวนการล้มละลายสามารถกลับมาใช้ชีวิตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง โดยไม่มีภาระหนี้สินที่เป็นอุปสรรค

วิธีการที่ประเทศเหล่านี้นำมาใช้ก็คือ การเปิดให้ลูกหนี้ที่สุจริต สามารถร้องขอให้ตัวเองล้มละลายเพื่อจะปลดเปลื้องภาระหนี้สินของตัวเองได้ แต่ในกรณีที่ลูกหนี้บางคนยังเห็นว่าตนสามารถที่จะยังสามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ การมีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นสถานะเพียงชั่วคราว เกิดจากเหตุเคราะห์หามยามร้ายที่มากระทบสถานะทางการเงิน จึงควรได้รับโอกาสให้ลูกหนี้เจรจาขอปรับลดหนี้ได้บางส่วน รวมถึงสามารถแสดงแผนฟื้นฟูสถานะทางเศรษฐกิจของตัวเองได้กับบรรดาเจ้าหนี้ เพื่อแสดงความจริงใจว่าเจ้าหนี้จะได้รับหนี้คืน การแก้ไขกฎหมายล้มละลายนี้ก็จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมกับลูกหนี้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมให้เจ้าหนี้มีโอกาสได้รับเงินคืนเพิ่มขึ้นมากกว่าการฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายปกติ

กล่าวโดยสรุป ปัญหาหนี้สินในประเทศไทยไม่ใช่เพียงผลลัพธ์จากการขาดวินัยของปัจเจกบุคคล แต่เป็นผลสะท้อนจากความไม่สมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่กดดันคนธรรมดาให้ต้องเผชิญกับภาระหนี้สิน ความเชื่อที่ว่าการเป็นหนี้เป็นเรื่องผิดบาปหรือเป็นผลของการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงจำเป็นต้องถูกท้าทายและปรับเปลี่ยน เพื่อให้สังคมเข้าใจมิติที่ซับซ้อนของปัญหานี้มากขึ้น

กระบวนการล้มละลายควรถูกมองในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปลดปล่อยภาระหนี้และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แนวคิด “Fresh Start” ซึ่งได้รับการยอมรับในหลายประเทศ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการหนี้ที่ยุติธรรมและส่งเสริมให้ลูกหนี้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ การปรับปรุงกฎหมายล้มละลายในประเทศไทยจึงควรมุ่งเน้นการให้สิทธิล้มละลายโดยสมัครใจแก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดา พร้อมออกแบบกลไกที่ป้องกันการใช้สิทธินี้ในทางที่ผิด

หากสังคมไทยสามารถมองเห็นปัญหาหนี้ในมุมมองใหม่ และส่งเสริมการใช้กระบวนการล้มละลายอย่างสร้างสรรค์ ประเทศไทยจะสามารถลดภาระหนี้สินที่กดทับครัวเรือน พร้อมสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ให้โอกาสและความเท่าเทียมมากขึ้นแก่ทุกคน


เชิงอรรถ

[1] สุพริศร์ สุวรรณิก, ‘หนี้ครัวเรือนไทย : เพราะเหตุใดจึงต้องกังวล?,’ ธนาคารแห่งประเทศไทย, 20 มีนาคม 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_20Mar2023_01.html?utm_source=chatgpt.com.

[2] สำนักงานสถิติแห่งชาติ, ‘สรุปผลที่สำคัญการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2566,’ สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566 [Online] สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2024/20240508082744_74896.pdf?utm_source=chatgpt.com.

[3] กองบรรณาธิการ วารสารพระสยาม, ‘สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย,’ ธนาคารแห่งประเทศไทย, มปป [Online], สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/Phrasiam-67-2/2567-info-debt-situation.html.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] ผู้เขียนนิยามสถาบันตามแนวคิดของ Douglass C. North.

[6] ฐิติ ทศบวร และพิทวัส พูนผลกุล, “หนี้: หลักเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความสมดุลระหว่างปัจจุบันและอนาคต” สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์, 18 กันยายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://www.pier.or.th/abridged/2024/10/.

[7] กฎหมายจำนวนมาก อาทิ กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา สร้างต้นทุนสูงในการทำธุรกรรม โดยทำให้ระบบดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามกลไกตลาดอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงสอดคล้องกับความสามารถและศักยภาพของลูกหนี้ หรือกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงินที่ทำให้ลูกหนี้ทั่วไปเข้าถึงแหล่งสินเชื่อถูกกฎหมายยาก.

[8] ภาสกร ญี่นาง, “ระบบศีลธรรมแห่งหนี้: เมื่อการไม่ชำระหนี้เป็นมากกว่าการผิดสัญญา” the Momentum, 1 ธันวาคม 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://themomentum.co/ruleoflaw-debt/.

[9] กรมการขนส่งทางบก, ‘รายงานสถิติการขนส่งปีงบประมาณ 2562 – 2566’ กรมการขนส่งทางบก, 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, จาก https://web.dlt.go.th/statistics/plugins/UploadiFive/uploads/6f6897ce35cd1d6a488eab4c29a548a0b5d0973421176078322eff0d7d61b5a5.pdf.

[10] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (พระนคร: นิติสาส์น, 2474), น. 20.

[11] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2552), น.149-150.

ปรับกฎหมาย “สร้างพื้นที่สร้างสรรค์” ส่งเสริมโรงหนังขนาดเล็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ประเด็นเรื่องโรงหนังขนาดเล็ก (micro cinema) หรือโรงหนังอิสระได้กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังจากที่มีข่าวว่า Doc. Club & Pub ประกาศยุติการฉายหนัง เพราะข้อจำกัดเรื่องใบอนุญาตประกอบกิจการตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือ ใบอนุญาตโรงหนัง…ข่าวนี้กำลังบอกอะไรกับสังคมไทยบ้าง?

ในมุมของผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้กำลังบอกเราอยู่ 2 เรื่อง 1.การเลิกฉายหนังของ Doc. Club & Pub สะท้อนว่าสังคมกำลังสูญเสียโรงหนังขนาดเล็กที่มีเปิดอยู่เพียงไม่กี่แห่งในไทย การสูญเสียนี้มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการส่งเสริมวัฒนธรรมของไทย

ที่ผ่านมาโรงหนังขนาดเล็ก มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับการแลกเปลี่ยนไอเดีย ความคิดทางศิลปะ และวัฒนธรรม โดยเป็นพื้นที่สำหรับแสดงความคิดสร้างสรรค์ในการทดลองนำเสนองาน และเป็นเวทีให้นักเรียนนักศึกษาทดลองนำผลงานสร้างสรรค์มานำเสนอต่อสังคม

ในขณะเดียวกันพื้นที่ของโรงหนังขนาดเล็ก ยังเป็นพื้นที่สำหรับการฉายหนังนอกกระแสหรือหนังอินดี้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการเรียนรู้งานภาพยนตร์ แต่หนังในลักษณะนี้ ไม่ค่อยมีพื้นที่มากพอในโรงหนังขนาดใหญ่

2.การยุติฉายหนังนี้เกิดมาจากปัญหาการไม่มีใบอนุญาตฯ แม้ทางโรงหนังจะพยายามขอใบอนุญาตแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สำเร็จ เพราะในการขอใบอนุญาตโรงหนัง อาคารที่จะใช้เป็นโรงหนังจะต้องได้รับใบอนุญาตอีกใบหนึ่งที่เรียกว่า ใบอนุญาตในการเป็นอาคารมหรสพตามกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งอาคารดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่โรงมหรสพต้องมี

หากพิจารณาเงื่อนไขของอาคารที่จะใช้เป็นโรงมหรสพแล้ว พบว่าการนำอาคารเก่ามาใช้ทำเป็นโรงหนังขนาดเล็กแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้อาคารเพื่อประกอบกิจการโรงมหรสพ ได้กำหนดเงื่อนไขอาคารที่จะนำมาใช้เป็นโรงหนัง จะต้องมีเงื่อนไขด้านความมั่นคงปลอดภัยที่สูง อาทิ ต้องมีระบบไฟฟ้าสำรองที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ต้องมีระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ หรือต้องมีทางหนีไฟที่กันเปลวไฟและควันไม่ให้เข้าไปได้ รวมทั้งสามารถทนไฟได้นาน 2 ชั่วโมง

ความจำเป็นของการมีใบอนุญาตดังกล่าว มีขึ้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร โดยเฉพาะการป้องกันอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ดี สังคมอาจตั้งคำถามได้ว่า เงื่อนไขดังกล่าวยังจำเป็นหรือไม่ในยุคสมัยนี้ เนื่องจากในอดีตมีเพียงโรงหนังขนาดใหญ่ที่เป็นอาคารสาธารณะรองรับคนจำนวนมาก เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการฉายหนัง แต่ยังไม่มีธุรกิจโรงหนังขนาดเล็กที่รองรับผู้เข้าชมจำนวนไม่มาก 

ดังนั้น ภาพของโรงหนังที่อยู่ในกฎหมายจึงเป็นภาพของโรงหนังขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ที่เป็นวัตถุไวไฟ การให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในปัจจุบันโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่ต้องการเสพหนังนอกกระแส หรือหนังอินดี้ต่าง ๆ มีให้เห็นมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันโรงหนังฉายจากไฟล์ดิจิทัลแทน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้แบบเดิมน่าจะลดลง

ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้าสมัยของเงื่อนไขในกฎหมายไทย ที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นในสังคม และเลือกใช้มาตรฐานแบบเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Doc. Club & Pub หรือโรงหนังขนาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้าก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดียวกัน

โดยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำลายผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย และส่งเสริมให้ตลาดภาพยนตร์มีผู้เล่นเพียงผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่เท่านั้น ทั้งที่ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจโรงหนังรายใหญ่ที่สุดของไทยเพียงรายเดียวได้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70% ของส่วนแบ่งตลาดทั้งหมดแล้ว

ทั้งนี้ ในมุมของผู้เขียน ความจำเป็นของมาตรการป้องกันอัคคีภัย และความมั่นคงแข็งแรงของอาคารตามเจตนารมณ์ของกฎหมายยังเป็นเรื่องจำเป็นและต้องใส่ใจ แต่มาตรฐานที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับโรงหนังขนาดเล็กที่รองรับคนเพียง 50 ที่นั่งเท่านั้น

ดังนี้ ทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุดคือ การสร้างมาตรฐานที่เหมาะสมตามขนาด และความเสี่ยงของกิจกรรม ซึ่งประเด็นนี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนักในระบบกฎหมายไทย ทั้ง ๆ ที่การกำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจควรระลึกเสมอว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่ละขนาดส่งผลกระทบได้ไม่เท่ากัน

รัฐบาลควรสนับสนุนให้กรมโยธาธิการและผังเมืองแก้ไขหรือออกกฎกระทรวงฉบับใหม่สำหรับอาคารที่ใช้ทำโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก โดยอาจเน้นไปที่สภาพความมั่นคงแข็งแรงของอาคารตามแบบแปลนที่เสนอมาให้พิจารณา และกำหนดมาตรฐานป้องกันอัคคีภัยที่เหมาะสม อาทิ การจัดให้มีถังดับเพลิงที่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าใช้อาคาร การมีเส้นทางและป้ายสัญญาณบอกทางหนีไฟ หรือการใช้มาตรการอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับอาคาร

การออกหรือแก้ไขกฎกระทรวงในครั้งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ เพราะจะทำให้เจตนาที่ดีในการคุ้มครองความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดเป็นผลร้ายที่กลายเป็นข้อจำกัด และการทำลายพื้นที่สร้างสรรค์ ตัวอย่างของบทเรียนหนึ่งที่ประเทศไทยอาจจะเรียนรู้ได้คือ กรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่โรงหนังขนาดเล็กในญี่ปุ่นมีส่วนสำคัญต่อการเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมวัฒนธรรม

ในญี่ปุ่นมีโรงหนังขนาดเล็กมากว่า 100 แห่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือโรงหนังในเครือธุรกิจขนาดใหญ่ โรงหนังแต่ละแห่งจะฉายหนังประเภทต่าง ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากโรงหนังขนาดใหญ่ โดยเน้นฉายหนังในเชิงศิลปะ และสารคดีที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น โรงหนังเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการหล่อเลี้ยงความหลากหลายในวัฒนธรรมภาพยนตร์ของญี่ปุ่น

ดังนั้น ประเทศไทย ที่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลประกาศว่าจะมุ่งมั่นส่งออกวัฒนธรรม และเปลี่ยนประเทศไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมวัฒนธรรม สื่อสร้างสรรค์ และภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งการดำเนินการดังกล่าวไม่ต้องใช้งบประมาณแต่อย่างใด และถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การเดินไปสู่สิ่งที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาสำเร็จได้

คลายปมใบอนุญาต ปั๊มหัวใจโรงแรมเล็ก ดึงรายได้เข้าประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ธุรกิจโรงแรมและที่พักค้างคืนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยก่อนวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รายได้เหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงแรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงที่พักประเภทเกสต์เฮาส์ โฮสเทล และโฮมสเตย์ด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังวิกฤติดังกล่าว ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านท่องเที่ยวของไทยกลับตกจากอันดับที่ 41 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 จากการประเมินตามดัชนี TTDI โดย World Economic Forum ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดพื้นฐานด้านบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยวที่ดีพอ ทำให้ไทยได้คะแนนเพียง 2.18 จาก 7 คะแนน

เงื่อนไขสำคัญที่เป็นปัญหา คือ ที่พักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กและที่พักค้างคืนต่างทยอยปิดกิจการไป หลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรการ SHA ในช่วงโควิด-19ได้ เพราะไม่ใช่ที่พักที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย

ซ้ำร้ายเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ที่พักขนาดเล็กยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีใบอนุญาต ที่เป็นปัญหาซึ่งค้างคามานานอีกระลอกหนึ่ง แล้วอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ที่พักขนาดเล็กไม่สามารถขอใบอนุญาต?

คำตอบคือ ความรุงรังของกฎระเบียบทั้ง กฎหมายธุรกิจโรงแรม อาคาร และเขตพื้นที่ ที่ผูกรัดกันเป็นเงื่อนตายจนบีบที่พักขนาดเล็กเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มหายตายจากเพิ่มเติม

เงื่อนปมแรก กฎหมายธุรกิจโรงแรมมีความล้าสมัย และยังติดภาพกับโรงแรมขนาดใหญ่ที่กำหนดให้ที่พักค้างคืนอื่นๆ ต้องมีลักษณะเดียวกับโรงแรม เช่น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีผู้จัดการโรงแรม โทรศัพท์ภายในห้องพัก หรือต้องติดเลขห้อง ทั้งที่ลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ผู้พักโฮสเทลไม่ได้คาดหวังบริการแบบโรงแรม

ในขณะที่หลายประเทศต่างปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจที่พักขนาดเล็ก อาทิ เกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือแคปซูลโฮเทล รวมไปถึงการรองรับเอกชนที่นำบ้านหรือคอนโดมาให้บริการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทยไม่ได้เปิดช่องเท่าที่ควร

เงื่อนปมที่สอง กฎระเบียบด้านอาคาร แม้ว่าที่ผ่านมากรมโยธาฯ ได้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยออกกฎกระทรวงให้นำอาคารอื่น อาทิ บ้าน หรือตึกแถว มาทำโรงแรมได้ ซึ่งช่วยที่พักขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง แต่กฎกระทรวงนี้มีสถานะชั่วคราว และได้สิ้นอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปัญหาของที่พักยังแก้ไขไม่เรียบร้อย เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องเขตพื้นที่

และเงื่อนปมสุดท้าย เขตพื้นที่ เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทที่พักให้หลากหลาย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับกฎหมายอาคารแล้ว แต่ยังมีเขตผังเมืองกำหนดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเขตห้ามสร้างโรงแรม ก็จะไม่สามารถทำที่พักอื่นได้ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น คูเมืองเชียงใหม่ หรือถนนข้าวสาร ในทางกลับกันหากมีที่พักขนาดเล็กก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้แม้ภาครัฐตื่นตัวในการแก้ไข แต่อาจจะยังไม่ตรงจุดและไม่ครอบคลุม ทำให้เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอาคารแล้ว ก็ยังติดกับเงื่อนไขเขตพื้นที่ สุดท้ายก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้อยู่ดี

จากการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศอื่นที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวนั้น วิธีการหนึ่งคือ การแบ่งประเภทที่พักอย่างชัดเจน เช่น ในฝรั่งเศสกฎหมายแยกโรงแรม ที่พักกลางแจ้ง และโฮสเทลออกจากกัน แม้จะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน

หรือในประเทศญี่ปุ่น แยกการขอใบรับรองที่พักหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เรียวกัง หรือที่พักในลักษณะโฮสเทลที่มีการแชร์ห้องพักหรือที่พักอาศัยส่วนบุคคลที่เรียกว่า Minpaku

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ที่รับรองให้มีที่พักหลายประเภท รวมถึงที่พักรูปแบบใหม่ๆ เช่น อพาร์เทล (ห้องพักที่รวมอพาร์ตเมนต์และโรงแรม) และ Mabuhay (คล้ายโฮมสเตย์ของไทย) ซึ่งรวมคอนโดมิเนียมด้วย

หัวใจของนโยบายแยกประเภทที่พักอยู่ที่ การกำกับดูแลที่จะต้องเป็นไปตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แม้จะให้บริการที่พักคล้ายกันก็ตาม ซึ่งหลักการในลักษณะนี้ยังไม่ปรากฏในกฎหมายไทย

ดังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จึงเสนอให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดประเภทที่พัก 3 ระดับคือ โรงแรม, ที่พักค้างคืนอื่นๆ อาทิ โฮสเทล เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่พักกลางแจ้ง และโฮมสเตย์ โดยที่พักทั้ง 3 ประเภทนี้ มีหน้าที่และวิธีการกำกับที่แตกต่างกัน 

เช่น โรงแรมอาจจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น มีการกำหนดมาตรฐานบริการขั้นต่ำ สิ่งอำนวยความสะดวก การมีผู้จัดการโรงแรม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของอาคารสาธารณะ 

ส่วนที่พักค้างคืนลักษณะอื่นๆ ให้มีเงื่อนไขลดหลั่นกันลงมา อาจกำหนดด้านความสะอาด ความปลอดภัยและอัคคีภัย มีสิ่งอำนวยความเท่าที่จำเป็น รวมถึงต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาคารที่จะนำมาใช้รองรับผู้เข้าพัก ส่วนโฮมสเตย์ เน้นที่ความสะอาดถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการหารายได้เสริมและการส่งเสริมวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ท้องถิ่นควรทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโรงแรมและที่พักค้างคืน โดยมีบทบาทบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาคารและประเภทที่พักได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดและเข้าใจพื้นที่ดี แต่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีระบบลงทะเบียนกลางออนไลน์ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ที่ท้องถิ่นและส่วนกลางใช้ทำงานร่วมกันได้

การแก้ไขกฎระเบียบตามแนวทางข้างต้นนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาของไทยที่ยังการขาดข้อมูลจำนวนที่พักที่แท้จริงในประเทศ

โดยมีข้อมูลจากสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ระบุว่า ข้อมูลที่เก็บจากกรมการปกครองและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คลาดเคลื่อนกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และการวางนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ครอบคลุม

นอกจากข้อดีที่เกิดขึ้นกับภาครัฐแล้ว ขณะเดียวกันการปรับกฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวช่วยให้เอกชนทำธุรกิจได้ถูกกฎหมาย และอุดช่องการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนด้วย

ที่สำคัญยังส่งผลต่อเส้นทางไปสู่เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการทบทวนปัญหานี้ เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังมีปัญหา การดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

กระชับเวลาช่วย บมจ. ควบรวมธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง พิยดา เกื้อทาน และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สนามแข่งขันของภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเป็นไปอย่างดุเดือด สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความดุเดือดของการแข่งขันได้เป็นอย่างดีคือ การเพิ่มขึ้นของการควบรวมธุรกิจ

“การควบรวม” เป็นอาวุธสำคัญที่ถูกใช้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จะเห็นได้จากที่ผ่านมาในระดับภูมิภาคเอเชีย Grab และ Uber สองผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ดำเนินการควบรวมกลายเป็น Grab Holding เพื่อเพิ่มขอบเขตการให้บริการ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ส่วนในประเทศไทยเองก็มีการควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH เกิดบริษัทใหม่ชื่อว่า NewCo

ขณะที่ในปีหน้า มีการคาดการณ์กันว่าการส่งออกไทยในปี 2568 จะเติบโตต่ำกว่าในอดีต โดย SCB EIC วิเคราะห์สาเหตุไว้ว่าส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกได้

ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการควบรวมธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา และเพื่อรองรับสถานการณ์ของการควบรวมธุรกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องทบทวนบทบัญญัติของกฎหมายให้มีความเหมาะสมและส่งเสริมการควบรวมธุรกิจมากขึ้น

นอกจากการปรับกฎหมายให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ระหว่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กับ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ในประเด็นการแก้ไขคำนิยามการควบรวมกิจการ ที่คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอได้มีข้อเสนอไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ การปรับกระบวนการควบรวมธุรกิจให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้น เพราะหากขั้นตอนดังกล่าวล่าช้า อาจกระทบต้นทุนดำเนินการของกิจการในที่สุด

หนึ่งในขั้นตอนของการควบรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายปัจจุบันคือ การกำหนดให้บริษัทมหาชนต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ในการควบรวมธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้เอาไว้แล้ว โดยเจ้าหนี้มีสิทธิคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ได้ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการควบรวมกิจการต่อไปได้ จนกว่าจะชำระหนี้หรือวางหลักประกันแก่เจ้าหนี้จนแล้วเสร็จ

นั่นหมายความว่า หากมีเจ้าหนี้จำนวนมากคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ อาจใช้ระยะเวลาที่มากในการดำเนินการซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจในขั้นตอนต่อๆ ไป

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การควบรวมธุรกิจภายใต้ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัดฯ พบว่ากฎหมายได้กำหนดให้เจ้าหนี้ส่งคำคัดค้านหากไม่เห็นด้วยกับควบรวมภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่มีมติให้ควบรวมกิจการ ซึ่งแตกต่างจากการควบรวมของบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดระยะเวลาไว้เพียง 1 เดือนเท่านั้น

โดยการกำหนดระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะส่งผลให้เกิดการควบรวมที่ล่าช้า และส่งผลต่ออัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ความแตกต่างของกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการควบรวมระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัด เนื่องจากแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาส่งคำคัดค้านของบริษัทจำกัดแล้ว การดำเนินการขั้นตอนต่อไปก็ยังไม่สามารถกระทำได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการส่งคำคัดค้านของบริษัทมหาชนเสียก่อน ทำให้กระบวนการควบรวมล่าช้า และธุรกิจใช้ระยะเวลานานเกินความจำเป็น อีกทั้งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้บริษัทสามารถปรับตัวเข้ารับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการควบรวมจะส่งผลให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เช่น บริษัท ก มีทรัพย์สินมาก มีเจ้าหนี้น้อยราย แต่บริษัท ข ซึ่งมีทรัพย์สินน้อยมีเจ้าหนี้มาก เมื่อเกิดการควบรวมย่อมส่งผลให้ทรัพย์สินบริษัททั้งสองรวมกัน ทำให้เจ้าหนี้บริษัท ก เสียเปรียบเพราะทรัพย์สินถูกเฉลี่ย เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสามารถจัดการได้ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละราย

เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว พบว่ามีหลักเกณฑ์แตกต่างจากกฎหมายไทย ตัวอย่างเช่นในกรณีของอินเดีย หลักเกณฑ์การควบรวมกิจการตามกฎหมายบริษัทปี 1959 (The Companies Acts. 1959) กำหนดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่ได้ดำเนินการภายใน 1 เดือนจะถือว่าได้ลงมติเช่นเดียวกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นการสร้างความแน่นอนและไม่ทำให้กระบวนการควบรวมกิจการต้องชะลอไป

จากหลักเกณฑ์ของอินเดียที่กำหนดระยะเวลาชัดเจน ทำให้กรรมการของบริษัทต้องแจ้งมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมสำเนามติที่ประชุม ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัท รวมถึงเจ้าหนี้ของบริษัทที่ต้องให้ความยินยอมกับการควบกิจการนั้น เว้นแต่จะมีบทบัญญัติอื่นตามกฎหมายฉบับนี้หรือมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ของบริษัทไม่ยินยอมกับแผนการควบกิจการ มีสิทธิดำเนินการถอนเงินมัดจำ หรือเงินกู้ หรือเงินล่วงหน้า (ถ้ามี) ภายในระยะเวลา 1 เดือนนับแต่ได้รับแจ้งมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ในกรณีของไทย การแก้ไขกฎหมายเพื่อทำให้ระยะเวลากระชับและชัดเจนมากขึ้น อาจจะเป็นการช่วยให้การควบรวมธุรกิจทำได้รวดเร็วขึ้น โดยการแก้ไขเรื่องระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทบสิทธิของเจ้าหนี้แต่อย่างใด เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้อยู่เหมือนเดิม เพราะบริษัทที่ควบรวมแล้วย่อมรับไปซึ่งทั้งสิทธิและหน้าที่ของบริษัทเดิม

นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติปัจจุบัน บริษัทที่จะควบรวมจะทำการสอบถามเจ้าหนี้ที่บริษัทรับรู้ก่อน เพื่อเป็นการเตรียมการก่อนที่จะมีการส่งหนังสือบอกกล่าวผ่านทางไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น และเจ้าหนี้บริษัทส่วนใหญ่อาจติดตามข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญผ่านสื่อออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนี้ การสื่อสารเรื่องการควบรวมและการสั่งคำคัดค้านอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาที่นานถึง 2 เดือนอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแก้ไขระยะเวลาในการส่งคำคัดค้านของเจ้าหนี้ในกรณีไม่เห็นด้วยกับมติควบรวม ตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดไว้เพียง 1 เดือน เพื่อลดความลักลั่น พร้อมแก้ไขปัญหาความล่าช้าของขั้นตอน ลดต้นทุนดำเนินการ และช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการควบรวมให้เกิดขึ้นทั้งในบริษัทมหาชน หรือระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัดมากยิ่งขึ้น

ผู้หญิงในความรุนแรงทางกฎหมาย: เมื่อกฎหมายเขียนและใช้โดยชาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย เป็นปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นประจำทุกปี ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์ด้านความรุนแรงทางเพศไม่ได้ลดลง และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลและเมื่อย้อนกลับไปดูภาพของความรุนแรงที่ผ่านมาในช่วงปี 2559-2566 พบว่าจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเกิดขึ้นเฉลี่ย 1,660 รายต่อปี[1] และในปี 2567 จากการเก็บข้อมูลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ในช่วง 6 เดือน (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) พบว่ามีจำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ 1,296 ราย โดยผู้ถูกกระทำความรุนแรงส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพศหญิง และเกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบครอบครัว จากคู่ชีวิต บุตร และบิดา[2]

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทยนั้นมีลักษณะที่มีความซับซ้อน กล่าวคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นประกอบไปด้วยความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาทิ การทำร้ายร่างกาย และการข่มขืนกระทำชำเรา และความรุนแรงเชิงโครงสร้างสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างสังคมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นจากโครงสร้างทางสังคมที่กดทับทางเพศ ซึ่งทำให้ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากความรุนแรงดังกล่าว ความรุนแรงนี้อาจเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หรือกฎหมาย

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในบรรดาความรุนแรงที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า ความรุนแรงในลักษณะนี้มีความสำคัญที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกฎหมายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในนามของรัฐ โดยอาศัยอำนาจของรัฐ ซึ่งหากปราศจากอำนาจของรัฐแล้วความรุนแรงในลักษณะนี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

นอกจากความรุนแรงนี้จะเกิดขึ้นในนามของรัฐแล้ว ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของความรุนแรงในลักษณะนี้คือ การลดทอนคุณค่าในความเสมอภาคทางเพศ และลดทอนศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของคนๆ หนึ่ง ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงในลักษณะนี้ ได้สร้างความเป็นอื่นให้เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ แม้ว่ามาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญจะรับรองความเสมอภาคของบุคคลทุกคนเอาไว้ และเน้นย้ำถึงความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงแต่ความเสมอภาคดังกล่าวกลายเป็นเพียงกระดาษ เพราะคนในวงการกฎหมายกลายเป็นผู้ทำลายความเสมอภาคดังกล่าวไปเสียเอง

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ แต่หากพยายามจัดกลุ่มลักษณะของความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมาย

ในกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะนี้มักแสดงออกมาผ่านบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งเขียนขึ้นโดยมีอคติทางเพศ (gender bias) หรือกฎหมายเขียนขึ้นโดยไม่มีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutral) และกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมายนี้เกิดขึ้นจากอคติทางเพศและมุมมองของความไม่เป็นกลางทางเพศที่เกิดขึ้นในความคิดของผู้ใช้และตีความกฎหมาย

กรณีศึกษาความรุนแรงในการข่มขืนแบบเลือกเพศ

ตัวอย่างหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายก็คือ การแก้ไขนิยามของคำว่า การกระทำชำเราในประมวลกฎหมายอาญาใหม่

ในอดีตก่อนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ครั้งที่ 27 ได้มีการกำหนดนิยามของการกระทำชำเราไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 19 โดยกฎหมายได้กำหนดนิยามของการกระทำชำเรา หมายถึง 

“การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น[3]

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขนิยามของการกระทำชำเราใหม่ โดยการกำหนดให้การกระทำชำเรา หมายถึง “การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น[4]

หากดูผิวเผิน การนิยามคำว่า กระทำชำเราในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะเห็นได้ว่านิยามของการกระทำชำเรานั้นมีความคล้ายจะเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมาก

เจตนารมณ์ของกฎหมายของการเพิ่มนิยามคำว่า กระทำชำเราในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาครั้งที่ 19 มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย โดยไม่ประสงค์ให้มีการเลือกปฏิบัติและได้รับการคุ้มครองจากถูกล่วงละเมิดทางเพศและกระทำชำเรา[5] ซึ่งเป็นปัญหามาในอดีต

จากแนวทางการใช้และการตีความกฎหมายของศาลที่ผ่านมา กำหนดให้การกระทำชำเราจะต้องอาการของการสอดใส่ (penetration) ซึ่งตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไทยถือว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราจะเป็นความผิดสำเร็จก็ต่อเมื่อของลับของชายล่วงล้ำเข้าไปในของลับของหญิง 1 องคุลี[6] (ประมาณครึ่งข้อแรกของนิ้วกลาง)

การตีความของศาลตามนัยดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาว่า หากเป็นกรณีที่ผู้หญิงถูกกระทำ โดยวัตถุอื่นโดยไม่ได้เป็นการใช้อวัยวะเพศชาย อาทิ การใช้อุปกรณ์ทางเพศ (sex toy) หรือสิ่งอื่นแทนอวัยวะเพศ จะถือว่าเป็นการกระทำชำเราหรือไม่ รวมถึงหากผู้หญิงถูกกระทำชำเราโดยผู้หญิง หรือผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิงแนวทางการตีความของกฎหมายอาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมและคุ้มครองสิทธิของประชาชน ทำให้เกิดการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติครั้งที่ 19 เพื่อให้ข่มขืนกระทำชำเราสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ และทำให้ความสำคัญของการข่มขืนกระทำชำเรากับมาอยู่ที่การละเมิดความยินยอม (consent) มากกว่าเป็นวิธีการกระทำชำเรา

แต่ภายหลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครั้งที่ 27 นิยามของการกระทำชำเราถูกทำให้แคบลง โดยได้มีการตัดนิยามของการใช้การใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น โดยไปแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นความผิดฐานอนาจารแทน[7] ส่งผลให้การใช้การตีความของศาลต้องกลับไปยึดถือหลักการเดิม คือ จะต้องแสดงให้เห็นอาการของการสอดใส่ ซึ่งในการพิสูจน์การกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจจะทำไม่ได้ในกรณีที่การข่มขืนเกิดขึ้นในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ผู้กระทำเป็นชาย สิ่งนี้กลายเป็นกฎหมายละเลยต่อความยินยอมของบุคคล และไปให้ความสำคัญกับวิธีการกระทำชำเรา

ตัวอย่างของการใช้กฎหมายในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5131/2562 ศาลอธิบายว่า การใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น ซึ่งตามคำพิพากษาดังกล่าวเท่ากับศาลไม่ได้สนใจต่อประเด็นการล่วงละเมิดความยินยอมแต่อย่างใด

ความรุนแรงเกิดขึ้นจากชายชราในฝ่ายนิติบัญญัติ

สาเหตุของความรุนแรงนี้เกิดจากอะไร คำตอบก็คือในหลาย ๆ ครั้ง ผู้เขียนกฎหมายอาจมีอคติทางเพศหรือมุมมองที่ขาดความเป็นกลางทางเพศในการตรากฎหมาย

สิ่งนี้ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาให้ในสังคมไทยเป็นอย่างมาก ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนคือ การออกกฎหมายในยุคของ คสช. โดยภายหลังจากการรัฐประหารในปี 2557 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรัฐสภาในสถานการณ์ปกติ

องค์ประกอบของ สนช. นี้ประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่คัดสรรมาจากอดีตข้าราชการ ทหาร และตำรวจ โดยจากเก็บข้อมูลของ iLaw ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 พบว่า สมาชิก สนช. มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 250 คน เป็นทหารทุกเหล่าทัพรวมกัน 145 คน (58%) ตำรวจ 12 คน (5%)  ข้าราชการ 66 คน (26%) ภาคธุรกิจ 19 คน (8%) และอื่น ๆ 8 คน (3%) หากรวมสมาชิกที่เคยเป็นข้าราชการ หรือทำงานในหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจทุกประเภทจะมีจำนวนถึง 223 คน (89%) ของสมาชิกทั้งหมด[8]

ในด้าน iLaw ระบุว่าอายุของสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 64 ปี ขณะที่คนวัยเกษียณ หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 185 คน หรือคิดเป็น 75% ของทั้งสภา โดยสมาชิกที่อายุมากที่สุด 92 ปี และน้อยที่สุด 51 ปี[9]  นอกจากนี้ จากจำนวนสมาชิก สนช. ที่เป็นทหารทั้งหมด 145 คน สามารถแบ่งเป็นทหารประจำการ 90 คน และทหารที่เกษียณอายุราชการแล้ว 55 คน[10] ส่วนในด้านเพศพบว่า เพศของสมาชิก สนช. 95% เป็นเพศชาย[11]

ดังนี้ เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังของสมาชิก สนช. ทั้งประวัติการทำงาน อายุ และเพศแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สนช. นั้นมีลักษณะเป็นสภาฯ ที่นำโดยผู้ชาย ข้าราชการสูงวัยและเกษียณอายุ ซึ่งอาจจะไม่ได้สะท้อนต่อมุมมองทางเพศที่หลากหลาย องค์กรประกอบของสมาชิก สนช. โดยส่วนใหญ่เติบโตมาในวัฒนธรรมที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเพศ และไม่ได้มองปัญหาเรื่องเพศอย่างเป็นสาระสำคัญ

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าการเพิ่มองค์ประกอบของผู้หญิงหรือเพศหลากหลายในสภาฯ แล้วจะทำให้เกิดมุมมองที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดในเรื่องค่านิยมทางเพศที่ดี ความเป็นกลาง หรือการตระหนักต่อสิทธิทางเพศ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำ (ความคิดที่มีพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ให้กับความเป็นชายตามแบบกระแสหลัก) ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในชั้นของการใช้การตีความกฎหมายได้เช่นกัน

กรณีศึกษาความรุนแรงที่เกิดจากมุมมองของชายเป็นใหญ่

ไม่เพียงแต่ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น แต่ความรุนแรงทางเพศอาจจะมาจากการใช้การตีความกฎหมายที่คับแคบและแฝงไปด้วยอคติทางเพศ ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการใช้กฎหมายที่มีต่อผู้หญิง และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ชายมากกว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คุณค่าของผู้หญิงที่กฎหมายรับรองไว้อาจไม่ได้รับการเคารพอย่างแท้จริง

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้ก็คือ การพิสูจน์พฤติการณ์ของการข่มขืนใจ (แสดงให้เห็นว่าโจทย์กับกับจำเลยได้มีความยินยอมที่จะร่วมเพศกันโดยสมัครใจ) ซึ่งจะนำไปสู่เงื่อนไขที่จะเป็นการข่มขืนกระทำชำเราตามกฎหมาย ปัญหาสำคัญในเรื่องนี้อยู่ที่ศาลให้น้ำหนักกับการข่มขืนใจอย่างไร

ในกรณีที่ผ่านมา หากจำเลยกระทำโดยใช้อาวุธเข้าร่วมกระทำความผิดหรือมีการใช้กำลังบังคับซึ่งดูผิวเผินในกรณีเช่นนี้ก็อาจจะดูเป็นการข่มขืนใจแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่เป็นเช่นนี้เสมอไป ในการใช้อัตวินิจฉัยของผู้พิพากษา พบว่าแนวคำพิพากษาของศาลให้ความสำคัญกับการแสดงอาการของการถูกข่มขืนใจ กล่าวคือ ผู้หญิงต้องแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ยินยอม และพึงพอใจกับการถูกข่มขืน รวมถึงต้องแสดงออกให้เห็นว่าตนไม่ยินยอมกับกิจกรรมทางเพศดังกล่าว

คำถามคือ ที่ผ่านมาศาลใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการนำมาวินิจฉัยว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ยินอยม

ในการวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ผ่านมา ศาลพิจารณาความไม่ยินยอม และพึงพอใจผ่านการแสดงออกโดยชัดแจ้งและเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2528 ความว่า

“…รูปคดีน่าเชื่อถือตามที่จำเลยว่าผู้เสียหายและจำเลยต่าง สมัครใจที่จะร่วมประเวณี หากผู้เสียหายถูกจำเลยให้ดื่มน้ำเป๊ปซี่มอมเมาผู้เสียหายจนหมดสติไม่รู้สึกตัว แต่เหตุใดเมื่อมารู้สึกตัวว่าจำเลยกระทำชำเรา ผู้เสียหายจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนงานที่นอนอยู่ใกล้ๆ มุ้งของจำเลย นอกจากนี้เมื่อผู้เสียหายมีกำลังลุกขึ้นได้แทนที่จะแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนงานคนใดคนหนึ่งที่นอนอยู่ในห้องจำเลยได้ทราบ ผู้เสียหายกลับเข้าห้องน้ำล้างหน้า ต่อมาก็กลับไปทำงานโดยไม่ได้เล่าให้ผู้ใดฟัง เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งมารดาผู้เสียหายมาถาม จึงบอกเรื่องไปนอนกับจำเลยในคืนเกิดเหตุให้ฟัง”

คำพิพากษานี้กำลังบอกอะไรกับพวกเราทุกคน สิ่งที่คำพิพากษานี้กำลังบอกกับเราคือ ความสมัครใจในสายตาของศาลคือ การที่ผู้เสียหายต้องแสดงอาการของการขัดขืน และต้องประกาศป่าวร้องว่าตนเองโดนข่มขืน หากเราทุกคนสวมบทบาทเป็นผู้พิพากษา เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าในความเป็นจริง จำเลยและผู้เสียหายยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กันจริงหรือไม่ เพราะพวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ในห้องร่วมกับจำเลยและผู้เสียหาย แต่หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาข้างต้น เราก็ไม่สามารถสรุปได้เช่นกันว่า จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจเข้าร่วมประเวณีกันจริงหรือไม่

การที่ศาลไปพิจารณาปัจจัยอื่น นอกเหนือจากความยินยอมของผู้เสียหายแล้ว อาทิ การขัดขืน หรือการป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ สะท้อนความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ของการข่มขืนและอคติทางเพศของผู้พิพากษา ในความเป็นจริงเมื่อเกิดการข่มขืน ผู้เสียหายมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดสถานการณ์แพนิก (panic attack) ที่เกิดจากการตกใจ ซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจจะไม่ได้แสดงอาการขัดขืน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้หญิงอาจจะถูกทำร้ายร่างกายได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการขัดขืน ซึ่งนำมาสู่อันตรายต่อชีวิตและร่างกายมากขึ้น

นอกจากที่ศาลให้น้ำหนักกับการขัดขืนกับผู้เสียหายแล้ว เท่ากับในสายตาของศาลก็มองว่า ผู้หญิงมีหน้าที่โดยปริยายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศกับตัวเอง ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่อันเคร่งครัด หากผู้เสียหายไม่ได้แสดงอาการต่อต้านในสายตาของศาลอาจจะไม่ถือว่าจำเลยถูกข่มขืนใจ

ไม่เพียงแต่ผู้เสียหายต้องแสดงการขัดขืนแล้ว อีกสิ่งที่ศาลนำมาใช้ในการแสดงออกก็คือ การป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ ในคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ศาลมองว่าการที่ผู้เสียหายไม่ได้ป่าวร้อง ทั้งในห้องที่เกิดเหตุหรือต่อมารดาของผู้เสียหายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความสมัครใจเข้าร่วมประเวณี โดยที่ผ่านมาแนวทางของศาลได้ให้น้ำหนักกับการแสดงใด ๆ ก็ตามที่สื่อออกไปในเชิงป่าวร้องกับคนอื่นเป็นน้ำหนักที่ศาลนำมาใช้เชื่อว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ เช่น ผู้เสียหายเป็นหญิงได้บอกสามีว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา[12] หรือทันทีที่พ้นจากการข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายเป็นหญิงได้ไปบอกกับคนอื่นๆ ว่าตนถูกข่มขืน[13] เป็นต้น

สภาพดังกล่าวกลายเป็นความรุนแรงกับผู้หญิง เพราะกลายเป็นสถานการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนถูกข่มขืน ซึ่งกลายมาเป็นสถานการณ์ของการข่มขืนซ้ำ ๆ ไม่ได้เพียงแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผู้เสียหายต้องบอกเล่าในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และศาล แต่กลับต้องแสดงให้สาธารณชนรับรู้ถึงการถูกข่มขืนกระทำชำเรา กลายเป็นผู้เสียหายไม่ได้ถูกข่มขืนเพียงครั้งเดียว ผู้เสียหายกลับถูกข่มขืนซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ต้องนึกถึงสถานการณ์ดังกล่าว และบอกเล่าสถานการณ์ดังกล่าวให้คนรับรู้

คำถามคือ ผู้พิพากษาจะรู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่ สิ่งนี้ผู้เขียนไม่มีคำตอบให้กับคำถามของตัวเองข้อนี้เหมือนกัน แล้วสังคมควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะหากพิจารณาแล้วจริง ๆ แล้ว ความรุนแรงที่สะท้อนผ่านผู้ใช้และตีความกฎหมายนี้ก็อาจจะไม่ต่างจากนักร่างกฎหมายที่ถูกครอบงำโดยความคิดแบบชายเป็นใหญ่

เราจะเปลี่ยนจากจุดนี้ได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงปัญหาความรุนแรงทางเพศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่วนหนึ่งความรุนแรงทางเพศสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ปัญหาความรุนแรงทางเพศที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ในกฎหมาย อาจจะเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับการลดความรุนแรงทางกายภาพ

ในกรณีของประเด็นที่ผู้เขียนยกขึ้นมานั้น ประเด็นแรกการแก้ไขอาจจะไม่ซับซ้อนมาก สิ่งที่ควรจะต้องทำคือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาให้กลับไปในลักษณะเดียวกันกับการแก้ไขครั้งที่ 19 ซึ่งเปิดกว้างในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายกับการข่มขืนกระทำชำเราได้ครอบคลุมกว่า ซึ่งจะช่วยส่งเสริมประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ส่วนกรณีของการใช้ดุลพินิจตีความของศาล ในมุมนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การพยายามฝึกอบรมและทำให้ผู้พิพากษาตระหนักต่ออคติทางเพศในเรื่องนี้ และสะสางแนวคิดที่ครอบงำวงการผู้พิพากษาในเรื่องนี้ แม้ว่าแก้ไขในเรื่องนี้จะไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก็ควรเร่งที่จะดำเนินการทำ

สำหรับปัญหาเรื่องความรุนแรงอื่น ๆ ในเชิงวัฒนธรรม ผู้เขียนคิดว่าสิ่งนี้เป็นการบ้านที่สังคมไทยต้องร่วมมือกันในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป


เชิงอรรถ

[1] สถิติจะเก็บค่อมปี เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลภายใต้ช่วงปีงบประมาณ (ต.ค. – ก.ย. ของอีกปีหนึ่ง); ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 25 พฤศจิกายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://pridi.or.th/th/content/2023/11/1771.

[2] กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, “รายงานการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 รอบ 6 เดือน,” สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 8 พฤษภาคม 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://opendata.nesdc.go.th/dataset/violence2567-6.

[3] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 มาตรา 3.

[4] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 3.

[5] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 หมายเหตุ; ท้ายพระราชบัญญัติ.

[6] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2509.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 8.

[8] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 1: “สภาทหาร-สภาผลประโยชน์” เมื่อคนใกล้ชิดผู้นำประเทศอยู่เต็มสนช.,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://ilaw.or.th/node/4407.

[9] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 2: ส่องสนช. ‘สภาอาวุโส’ วัยหลังเกษียณ 75% พบแก่สุด 92 ปี อ่อนสุด 51 ปี,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567, https://www.ilaw.or.th/articles/2263.

[10] iLaw, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 8.

[11] วศินี พบูประภาพ, “เปิดสถิติ ความหลากหลายทางเพศสภาไทย 2566,” Workpoint Today, 1 มิถุนายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://workpointtoday.com/parliament-230500/.

[12] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2542.

[13] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2513.