การพัฒนาที่ยั่งยืนกับความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของสังคมในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของความขัดแย้งและการใช้ทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลายมาเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน ถูกนำมาพูดถึงในเวทีสาธารณะทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ โดยในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) สมัชชาสหประชาชาติได้ร่วมกันกำหนด “เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยประกอบไปด้วยเป้าหมายสำคัญ 17 ประการ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน และมีเจตจำนงที่จะให้เป้าหมายทั้ง 17 ประการ สามารถบรรลุได้ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573)

เมื่อพิจารณาเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้วจะเห็นได้ว่า เป้าหมายโดยส่วนใหญ่นั้นมีการพูดถึงความยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากร โดยช่วยให้สมาชิกในสังคม (ประเทศ) สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้[1] เช่น เป้าหมายที่ 1 การขจัดความยากจนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดหรือที่ใดก็ตาม หรือ เป้าหมายที่ 2 การขจัดความอดอยาก โดยยุติความหิวโหย บรรลุเป้าความมั่นคงทางอาหาร การปรับปรุงด้านการโภชนาการและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งเป็นความพยายามที่จะรักษาความยุติธรรมในสังคม

ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

“การสร้างความยุติธรรมในสังคม” เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในการจะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้นั้นความยุติธรรมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากสังคมไร้ซึ่งความยุติธรรมแล้วสังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย[2] ซึ่งความยุติธรรมที่กล่าวถึงนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เพียงความยุติธรรมในทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม แต่รวมถึงความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรด้วย ซึ่งการเข้าถึงทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีวิตได้แล้ว ก็จะนำไปสู่ข้อจำกัดในการใช้สิทธิอื่นๆ

ในอดีตภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม สิ่งแรกที่คณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ได้ย้ำเตือนความสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่มาก่อนหน้าการอภิวัฒน์[3]

เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนา คือ การสร้างความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรระหว่างคนในสังคมอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม วิธีคิดดังกล่าวนั้นเป็นรากฐานสำคัญของยุคที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายๆ เรื่อง เช่น การสร้างระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐาน (รัฐสวัสดิการ) การชดเชยให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในนโยบายการพัฒนา การสนับสนุนการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้พิการ หรือการยอมรับสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรหรือใช้สิทธิของตนได้อย่างเท่าเทียมกันบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ดี การพิจารณาความยุติธรรมในลักษณะดังกล่าว เป็นเรื่องของ ความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบัน หรือ ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (intragenerational justice)[4]

อย่างไรก็ดี การพิจารณาเฉพาะความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบันนั้นอาจจะไม่เพียงพอกับปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพูดถึงในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ทรัพยากรธรรมชาติ” โดยแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา (intergenerational justice) นี้ หมายถึง การคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรในช่วงเวลาปัจจุบันโดยตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัย (generation) ถัดไป

แนวคิด “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงหลังเพื่อนำเสนอแนวทางที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากการพัฒนาดังกล่าวนั้น หากไม่คำนึงถึงความยุติธรรมของคนในช่วงเวลาถัดไป และใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพจนเกิดผลกระทบต่อคนในช่วงเวลาถัดไปแล้ว การพัฒนาดังกล่าวย่อมไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

แนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลานั้น เป็นกรอบกว้างๆ และถูกนำมาใช้ในหลายประเด็นของสังคม เช่น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ได้ลงนามในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยตระหนักว่า ความพยายามนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลงอย่างมีนัยสำคัญ[5]และกำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะกระตุ้นให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น[6] 

ดังจะเห็นได้ว่า มาตรการที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนสำหรับคนในช่วงวัยถัดไป โดยสร้างเงื่อนไขให้คนในยุคปัจจุบันจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้[7] หรือ ในเรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ ในแนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลาได้ขยายมาสู่เรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ โดยในบางประเทศได้กำหนดให้ในการดำเนินนโยบายทางการคลังสาธารณะของรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัยถัดไป โดยจะต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบต่อคนในช่วงวัยถัดไป[8] เป็นต้น

ลักษณะดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นว่า หลักการความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เริ่มเข้ามามีบทบาทความสำคัญต่อนโยบายการพัฒนาสมัยใหม่

ย้อนกลับมาดูประเทศไทย การดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เท่าที่ควร ดังจะเห็นได้ว่า จากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนั้นไม่ได้มุ่งหมายจะกระทำโดยคำนึงถึงคนในช่วงวัยถัดไป


เชิงอรรถ

[1] SDG Move, ‘SDG 101’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/sdg-101/> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[2] โตมร ศุขศรี, ‘เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ คือคุณธรรมแรกสุดของทุกสถาบันทางสังคม’ (The MATTER, 30 ตุลาคม 2563) <https://thematter.co/thinkers/theory-of-justice/127272> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[4] InforMEA ‘intragenerational equity’ (InforMEA) <https://www.informea.org/en/terms/intragenerational-equity> accessed 28 April 2022.

[5] Paris Agreement Article 2 (1.) (a).

[6] Paris Agreement Article 4 (1.).

[7] James M. Nguyen, ‘Intergenerational Justice and the Paris Agreement’ (E-International Relations, 11 May 2020) <https://www.e-ir.info/2020/05/11/intergenerational-justice-and-the-paris-agreement/> accessed 28 April 2022.

[8] Charter of Budget Honesty Clause 1 and 20 – 21.

ครบรอบ 84 ปี ประมวลรัษฎากร: ความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ประมวลรัษฎากร” ถือเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ ในฐานะเป็นกฎหมายที่รวบรวมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรจากเงินได้ของประชาชนผู้มีเงินได้และเข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษี โดยในช่วงตลอดระยะเวลา 84 ปี ประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขหลายครั้งและทำให้ประมวลรัษฎากรกลายเป็นกฎหมายที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดฉบับหนึ่ง

หากพิจารณาเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นของการจัดทำประมวลรัษฎากรก็เพื่อที่จะลดความทับซ้อน ซ้ำซ้อน และซับซ้อนของกฎหมายภาษีที่จัดเก็บในเวลานั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมจากการจัดเก็บภาษีตามหลักการประชาธิปไตย บทความนี้จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านสำรวจความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของประมวลรัษฎากร

ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร

“ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร” นั้น เริ่มต้นมาจากสภาพสังคมในอดีตของประเทศไทยที่มีการจัดเก็บภาษีที่ซับซ้อน และมีภาษีบางรายการที่ซ้ำซ้อนกัน ในขณะเดียวกันระบบภาษีในเวลานั้นไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของผู้จ่ายภาษีว่าจะมีความสามารถหรือไม่ อาทิ ภาษีรัชชูปการ เป็นเงินที่เก็บจากชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี โดยมิได้คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวมีรายได้หรือไม่ หรือ ภาษีสมพัตสร ซึ่งรัฐบาลเก็บจากจำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปี โดยไม่ได้คำนึงว่าไม้ผลดังกล่าวจะสร้างรายได้จริงหรือไม่ก็ตาม จึงจะเห็นได้ว่าระบบการเก็บภาษีก่อนช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการหารายได้ให้กับรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรม ความเหมาะสม และความสามารถในการจ่ายภาษีของประชาชน[1]

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบภาษีในอดีตของประเทศมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อนกัน เกิดมาจากข้อจำกัดของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้ประเทศสยามมีข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีการค้า (ภาษีขาเข้า-ออก) เนื่องจากตามสนธิสัญญากำหนดให้สยามจัดเก็บภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของราคาสินค้าในท้องน้ำ[2] ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อการขยายตัวของรายได้รัฐบาล[3] ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใช้วิธีการเก็บภาษีซับซ้อนและซ้ำซ้อนกันหลายชนิด ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ประเทศไทยเคยใช้มาตลอด

นัยสำคัญของการจัดทำประมวลรัษฎากรจึงเป็นการเปลี่ยนหลักของสังคม โดยยึดหลักการที่ว่า “มีมากเสียมาก มีน้อยเสียน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย” ตามหลักการเก็บภาษีอากรของประเทศในระบอบประชาธิปไตย[4]

พัฒนาการของประมวลรัษฎากร

“ประมวลรัษฎากร” ถือได้ว่า เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบ่อยครั้งมากทั้งในระดับของการแก้ไขประมวลรัษฎากร และในระดับกฎหมายลำดับรอง ทำให้ทุกวันนี้ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมากและมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้ประมวลรัษฎากรอีกเป็นจำนวนมาก

ในแง่ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 80 กว่าครั้ง โดยหลายครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละสมัย โดยการแก้ไขนั้นมีทั้งการแก้ไขในเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษี และการแก้ไขในเรื่องสำคัญ เช่น อำนาจของรัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษี ข้อยกเว้นในการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี และปีภาษี เป็นต้น สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรกนี้ ผู้เขียนได้สรุปไว้ ดังต่อไปนี้

การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 หรือราวๆ 1 ปีหลังจากการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร โดยขยายรูปแบบของกิจกรรมที่จะถูกเก็บภาษีให้ออกไปให้กว้างมากขึ้น รวมถึงมีการกำหนดให้ที่ดินในครอบครองของรัฐวิสาหกิจจะต้องเสียเงินบำรุงท้องที่เท่ากับที่ดินในเขตเทศบาล เนื่องจากเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีความเจริญแล้ว[5]

โดยต่อมาได้มี การปรับปรุงแก้ไขประมวลรัษฎากรอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2483 โดยมีสาระสำคัญหลายประการ แต่ส่วนหนึ่งที่มีความน่าสนใจก็คือ การแก้ไขปรับปรุงครั้งนี้เป็นการกำหนดปีภาษีใหม่ โดยใช้เกณฑ์ปีภาษียึดตามปีปฏิทิน[6] โดยเริ่มต้นที่ 1 มกราคม และ สิ้นสุดที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป ซึ่งแต่เดิมยึดตามปีปฏิทินหลวง คือ เริ่มต้น 1 เมษายนและจบลงที่ 30 มีนาคมของปีถัดไป[7]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ได้มีการจำแนกประเภทเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยเพิ่มประเภทของเงินได้ในมาตรา 40 (1) (2) และมาตรา 42 (4) ของประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมประเภทของเงินได้มากขึ้น[8] และมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็น ลักษณะ 5 แห่งประมวลรัษฎากร[9] เรื่อง ภาษีการซื้อข้าว[10] และ ภาษีการซื้อน้ำตาล[11] ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าทำความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมการซื้อขายและจัดเก็บภาษีในการซื้อขายข้าว และน้ำตาล[12]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 6 โดยแก้ไขให้สามารถนำเงินบำรุงท้องที่สามารถโอนเงินไปจ่ายบำรุงท้องที่ตำบลอื่นที่ไม่ใช่ตำบลที่เก็บเงินบำรุงท้องที่นั้นในอำเภอเดียวกันก็ได้[13] ซึ่งมีความน่าสนใจในแง่ของการทำให้เกิดระบบที่เปิดช่องให้มีการนำเงินภาษีจากพื้นที่หนึ่งไปใช้ประโยชน์เพื่ออีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นจากตำบลที่พัฒนาแล้วและรายได้สูง ไปยังพื้นที่ยังไม่พัฒนาและรายได้ต่ำ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2494 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 8 โดยในการแก้ไขครั้งนี้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำในบทบัญญัติให้ชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับการลดอัตรารัษฎากรให้เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือสภาพของบางท้องที่ และยกเว้นรัษฎากรแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสนธิสัญญา โดยทำเป็นพระราชกฤษฎีกา[14] ซึ่งแต่เดิมกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลเพียงแค่ตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อปรับลดอัตราเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในบางท้องที่เท่านั้น[15] 

นอกจากนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ รัฐบาลได้ยกเลิกเงินช่วยการประถมศึกษาสำหรับใช้จ่ายการบำรุงประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นภาษีเสริมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 โดยเก็บจากชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วในครั้งแรกปีละ 1 บาท[16]  และต่อมาได้ปรับเป็นปีละ 2 บาท โดยการยกเลิกนี้สันนิษฐานได้ว่าในเวลานั้นประเทศไทยได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาทั่วถึงแล้ว ความจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเสริมเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาจึงมีความจำเป็นลดลง ในท้ายที่สุดเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรครั้งนี้ได้มีการจัดเก็บภาษีโรงแรมภัตตาคารขึ้นมาโดยตั้งเป็นบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็นลักษณะ 7 ภาษีโรงแรมภัตตาคาร[17] ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้มีการจัดเก็บเงินช่วยชาติประเภทโรงแรมและภัตตาคาร[18]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 9 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในลักษณะ 3 ภาษีบำรุงท้องที่ใหม่[19]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 10 โดยเป็นการเพิ่มเติมหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร[20]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 12 เนื่องด้วยวิธีการเสียภาษีอากรกับวิธีปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ภาษีป้าย อากรแสตมป์ อากรมหรสพ และภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ควรได้แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สะดวกและรัดกุมยิ่งขึ้นตามกาลสมัย[21]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 เนื่องจากผู้ประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุก ได้แบกภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเกินกว่าอัตภาพในขณะนี้ เงินที่นำมาชำระภาษีก็ได้จากการจำหน่ายผลิตผลที่เกิดจากการกสิกรรมในที่ดินของตน ปกติพืชที่ปลูกมากก็คือข้าว ในปัจจุบันราคาข้าวไม่ดี การทำนาได้ผลน้อยอยู่แล้ว  ฉะนั้น สมควรยิ่งที่จะลดภาระภาษีบำรุงท้องที่[22]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 17 เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นปรากฏว่าอัตราก้าวหน้าแต่ละขั้นมีช่วงยาวเกินไปไม่เป็นธรรม จึงได้แก้ไขให้มีช่วงสั้นกว่าเดิม

อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นต่ำไปมาก และอัตราภาษีการค้าบางประเภทยังต่ำกว่าที่ควร แต่บางประเภทก็มีอัตราสูงไปกว่าที่ควร เฉพาะอัตราอากรแสตมป์สำหรับตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินมีอัตราสูงไป จึงได้แก้ลดอัตราลงเพื่อช่วยส่งเสริมนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกันอยู่ขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีอากรของประเทศอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าอัตราภาษีอากรของประเทศไทยยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอแก่การทำนุบำรุงประเทศชาติให้วัฒนาถาวรได้ เพื่อประโยชน์แห่งรายได้ของรัฐที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้รุ่งเรือง จึงได้ปรับปรุงอัตราภาษีอากรดังกล่าวให้เป็นไปตามควรแก่สถานการณ์[23]

นอกจากการปรับปรุงประมวลรัษฎากรในช่วง 20 ปีแรกนี้แล้ว ภายหลังยังมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรสำคัญอีกหลายครั้ง โดยนอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ที่ได้มีการพูดถึงนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอื่นๆ มักจะเพื่อแก้ไขวิธีการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสมและมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี ยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน รวมถึงการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วง ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้ประมวลรัษฎากรมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป “ประมวลรัษฎากร” จัดทำขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม แต่ด้วยลักษณะของกฎหมายนั้น เมื่อมีการตราขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สม่ำเสมอ ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการแก้ไขและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเสมอภาคกันในสังคมที่อยู่ร่วมนั่นเอง


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงภาษีอากรที่เป็นธรรม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 ตุลาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/450> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[2] Treaty of Friendship and Commerce between Great Britain and Siam 1855, Article 8.

[3] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 13.

[4] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (สุขภาพใจ 2552) 196.

[5] สรุปสาระสำคัญจากรพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2482.

[6] ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 78.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2483 มาตรา 4 และมาตรา12.

[8] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 3 และมาตรา 4.

[9] ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 บทบัญญัติในประมวลรัษฎากรมีเพียงแค่ 4 ลักษณะเท่านั้น ได้แก่ ลักษณะ 1 ลักษณะทั่วไป ลักษณะ 2 ลักษณะภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ลักษณะ ๓ เงินช่วยบำรุงท้องที่ และลักษณะ 4 เงินช่วยการประถมศึกษา.

[10] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 37.

[11] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 38.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[13] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2490 มาตรา 3.

[14] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 4.

[15] ประมวลรัษฎากร มาตรา 3.

[16] ประมวลรัษฎากร มาตรา 167 และมาตรา 170.

[17] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 49.

[18] ศิลปวัฒนธรรม, ‘เงินช่วยชาติในภาวะคับขัน ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2’ (ศิลปวัฒนธรรม, 12 มกราคม 2565) <https://www.silpa-mag.com/history/article_62770> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[19] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2495 (ฉบับที่ 9) มาตรา 3.

[20] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2496 (ฉบับที่ 10) มาตรา 40.

[21] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[22] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2501 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[23] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2502 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

วันขึ้นปีใหม่: วันเริ่มต้นปีงบประมาณในอดีต

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันขึ้นปีใหม่มีความสำคัญต่องบประมาณของประเทศไทย โดยในอดีตวันขึ้นปีใหม่มักจะสัมพันธ์กับวันเริ่มต้นและสิ้นสุดของงบประมาณแผ่นดิน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณแบบในปัจจุบัน

นัยสำคัญของการเปลี่ยนวันและเวลา

ในอดีตที่ผ่านมา “วันที่ 13 เมษายน” นั้น มีสถานะเป็น “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งเป็น “วันปีใหม่ไทย” และประเทศอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งในอุษาคเนย์ ศรีลังกา และอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถือเอาวันพระอาทิตย์เคลื่อนออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราช และเริ่มต้นใช้กาลโยคประจำปีใหม่ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของปีใหม่ในทางโหราศาสตร์ ซึ่งโหรจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณให้แน่ชัด[1] 

อย่างไรก็ดี นัยของวันปีใหม่ในลักษณะดังกล่าว ยังไม่ค่อยมีบทบาทหรือความสำคัญกับประชาชนมากทั่วไปเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้ามเมื่อประชาชนอยากจะรู้ว่า ขึ้นต้นปีใหม่แล้วหรือไม่ ก็จำเป็นที่จะต้องติดตามประกาศของทางราชการ

นัยสำคัญของวันปีใหม่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงปฏิรูประบบราชการและได้มีการนำระบบปฏิทินเข้ามาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีนัยสำคัญและส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักรสยามเป็นอย่างมาก

“ระบบปฏิทินใหม่” ที่นำเข้ามาใช้อาศัยวิธีการคำนวณแบบสุริยคติแทนการคำนวณวันแบบจันทรคติ พร้อมๆ กับทรงยกเลิกการใช้จุลศักราชและเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทร์ศกแทน[2] โดยทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่แทนโดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการ และวันเริ่มต้นปีทางบัญชีของราชการ แต่การนับวันตามพระราชพิธียังคงใช้วิธีการคำนวณวันตามปฏิทินจันทรคติ[3]

ความสำคัญของการเปลี่ยนให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการนั้น มีความสำคัญในเชิงงบประมาณ เพราะเป็นการกำหนดให้ราชการตลอดทั้งราชอาณาจักรเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยต้องจัดทำงบประมาณเสนอต่อเสนาบดีเพื่อขอพระบรมราชานุญาต โดยงบประมาณรายจ่ายนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม และเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน[4]

วันที่ 1 เมษายนถูกใช้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณต่อไปเรื่อยๆ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และแม้ในเวลาต่อมาประเทศมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลคณะราษฎรที่เข้ามา บริหารประเทศในเวลานั้นก็ยังคงยึดการใช้ วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ[5]

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณ

ความสำคัญของวันที่ 1 เมษายนในฐานะของวันเริ่มต้นปีงบประมาณได้มาสิ้นสุดลง ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2481 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 โดยพระราชบัญญัตินี้ได้มีการเสนอให้ ปรับเปลี่ยนปีงบประมาณ ซึ่งเดิมเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมของอีกปีหนึ่ง มาเป็นเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่ง

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนปีงบประมาณนี้มีเหตุผลเนื่องจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า จะกําหนดปีงบประมาณให้เหมาะสมแก่ฤดูกาล

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้น ได้มีการชี้แจงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ในการที่รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้พิจารณาโดยด่วนนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยเสียก่อนว่า ในการที่ให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้พิจารณาโดยด่วน ก็เพราะเหตุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ กล่าวคือว่า รัฐบาลได้แถลงไว้ว่า รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล และจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะขอให้สภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยแต่เพียงในวาระที่ 1 คือว่า จะควรรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น ส่วนรายการละเอียดนั้น ถ้าหากว่าสภาฯ ได้รับหลักการแล้ว ก็จะได้ขอให้ตั้งกรรมาธิการไปพิจารณา… 

…หลักการแห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณนั้น ก็มีอยู่ว่าเพื่อเปลี่ยนปีงบประมาณ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ โดยจะได้เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง และไปหมดในวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่งนั้น ทั้งนี้ ก็โดยคำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม”[6]

ในส่วนของเหตุผลในการเปลี่ยนปีงบประมาณนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นหลัก โดยยกเหตุผลสนับสนุนดังนี้

(1) งานก่อสร้างต่างๆ จะทำได้ในฤดูแล้ง คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ถ้าปีงบประมาณเริ่มในเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยห่วงเรื่องงบประมาณตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม

(2) เดือนเมษายนเป็นเดือนที่หยุดราชการ ดังนั้น กว่าที่จังหวัดต่าง ๆ จะได้รับงบประมาณก็เลยไปถึงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนที่เริ่มฤดูฝนแล้ว ทำให้ทำงานต่าง ๆ ได้ลำบาก และ

(3) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก ดังนั้น จึงควรรอให้เสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวก่อน เพื่อให้รัฐบาลสามารถคำนวณรายได้จากการเก็บภาษีได้ดีขึ้น[7]

ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนปีงบประมาณดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ปีงบประมาณของประเทศสอดคล้องกับการใช้จ่ายและแนวทางในการพัฒนาประเทศที่มีลักษณะเป็นประเทศเกษตรกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่หากไปทำในช่วงหลังเมษายนและเข้าหน้าฝน การก่อสร้างอาจจะติดขัด โดยการเริ่มต้นใช้ระยะเวลาปีงบประมาณใหม่นี้ได้เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482

การประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ และการปรับปีงบประมาณอีกครั้ง

การปรับมาใช้วันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลาปีงบประมาณที่มีเหตุมีผลและพิจารณาถึงความเหมาะสมของประเทศ  ทว่า การใช้ระยะเวลาปีงบประมาณตามแบบใหม่นี้ก็อยู่ได้ไม่นานราวๆ เพียงแค่ปีเศษ ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่อีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็มาจากการปรับเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทย

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีดำริที่จะเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลมีความประสงค์ที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความสอดคล้องเป็นสากลมากขึ้น โดยพยายามเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ให้สอดคล้องกันกับประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป และประเทศตะวันตกอื่นๆ ซึ่งนิยมใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่

รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่นั้น ไม่ยึดโยงกับความเชื่อหรือแนวคิดทางศาสนาใด แตกต่างจากวันขึ้นปีใหม่ตามขนบไทยเดิมที่ยึดโยงอยู่กับความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์ เพื่อให้ประเทศมีวันขึ้นปีใหม่ที่สอดคล้องกันกับสากล รัฐบาลจึงได้มีการประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่[8]

ผลของการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน โดยการตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2483 โดยกำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มต้นที่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป  อย่างไรก็ดี ในรายงานการประชุมไม่ได้ระบุเหตุผลได้ว่าทำไมถึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน[9]

การปรับปีงบประมาณกลับมาที่ 1 ตุลาคมอีกครั้งหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณที่เริ่มต้น ในเดือนมกราคมนี้ถูกใช้อยู่กว่า 20 ปี จนมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 โดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไปทั้งนี้ ปีงบประมาณที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ เริ่มใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2505 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2504 เป็นต้นมา[10] จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับปี พ.ศ. 2502 ได้ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการกลับมาใช้ปีงบประมาณตามเริ่มต้นที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุด 30 กันยายนของปีถัดไปก็เนื่องมาจากเหตุผลในลักษณะเดียวกันกับที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเคยให้เอาไว้ในการประชุมยกร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอดีต

การเปลี่ยนปีงบประมาณในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเนื่องจากระยะเวลาในการจัดทำงบประมาณที่อาจจะเกิดความล่าช้าซึ่งทำให้งบประมาณนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีประกอบกับช่วงระยะเวลาที่งบประมาณนั้นอาจจะถูกใช้ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการก่อสร้าง แม้ปีงบประมาณตามกฎหมายเดิม จะสอดคล้องกับสากล แต่ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยซึ่งฤดูกาลมีส่วนสำคัญ จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง[11]

กล่าวโดยสรุป การเริ่มต้นปีงบประมาณนั้นแต่เดิมพยายามให้มีความสอดคล้องกับการเริ่มต้นปีปฏิทิน โดยส่วนมากจะใช้วันที่ในเดือนเมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทยแต่เดิม ในเวลาต่อมาก็ได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณให้มีความเหมาะสมกับประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของฤดูกาลซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แต่ระยะเวลาในลักษณะดังกล่าวเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยเจตนารมณ์ก็อาจจะเป็นไปเพื่อให้มีความสอดคล้องกับความเป็นสากล

แต่ในที่สุดแล้วสภาพดังกล่าวก็อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศไทยซึ่งมีเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ฤดูกาลที่แตกต่าง ดังนั้น วันเริ่มต้นปีงบประมาณจึงกลับมาอยู่ที่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งยึดถือเช่นนั้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 จนถึงปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] สมบัติ พลายน้อย, ‘สงกรานต์ 3 วัน 13-15 เม.ย.เริ่มมีเมื่อใด ปีใหม่ไทยในอดีตเปลี่ยนไปมา ชาวบ้านตามตรวจดูวันเอง’ (ศิลปวัฒนธรรม, 13 เมษายน 2564) <https://www.silpa-mag.com/history/article_31026> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[2] ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนจากการใช้รัตนโกสินทร์ศกมาเป็นพุทธศักราชแทน.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การจัดทำงบประมาณครั้งแรก ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 28 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/651> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476 มาตรา 9.

[6] วรพงษ์ แพรม่วง, ‘ปีงบประมาณของไทย’ (หอสมุดรัฐสภา, ตุลาคม 2563) <https://library.parliament.go.th/th/radioscript/rr2563-oct1> สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] ประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ (ประกาศมา ณ วันที่ 24 ธันวาคม พุทธศักราช 2483).

[9] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2483, 32-33.

[10] วรพงษ์ แพรม่วง (เชิงอรรถ 6).

[11] สภานิติบัญญัติ, รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ครั้งที่ 38/วันที่ 15 ตุลาคม 2502, 1491 – 1493.

ศาสตร์แห่งพระราชา : พระเจ้าจักรา การรักษาสันติภาพเชิงโครงสร้างของปรีดี

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

พระเจ้าช้างเผือกเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นโดยปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสะท้อนแนวคิดเรื่องสันติของปรีดี ผ่านตัวละคร พระเจ้าจักรา กษัตริย์ผู้รักสันติและมุ่งสร้างสมดุลทางอำนาจ โดยบทความชี้ให้เห็นถึง อุดมคติทางการเมืองและสังคมของปรีดี ซึ่งไม่เพียงเกี่ยวข้องกับบริบทในอดีต แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดการรักษาสันติภาพในเชิงโครงสร้างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในโลกปัจจุบันอีกด้วย

ตัวตนพระเจ้าช้างเผือก ภาพสะท้อนของสันติภาพในอุดมคติของปรีดี

“พระองค์มิได้ทรงชื่นชมต่อความหรูหราโอ่อ่าของพระราชสำนักงานแต่อย่างใด แต่ทรงอุทิศพระองค์เองเพื่อประโยชน์สุขของชาติบ้านเมือง พระเจ้าจักราทรงกล้าหาญยิ่งในการรบ แต่ทรงรักสันติภาพ…”

– พระเจ้าช้างเผือก, 11 พฤษภาคม 2482

“พระเจ้าช้างเผือก” เป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของ นายปรีดี พนมยงค์ โดยการนำช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ช่วงสงครามช้างเผือก (ซึ่งทรงได้รับการขนานนามว่าเป็นพระเจ้าช้างเผือก เนื่องจากทรงมีช้างเผือกในครอบครองเป็นจำนวน 7 เชือก) มาประกอบกับการปรุงแต่งผสมเข้ากับจินตนาการของนายปรีดีที่มีแง่คิดในเรื่องสันติภาพ ทำให้เกิดภาพของตัวละครเอกเป็นกษัตริย์หนุ่มพระนามว่า “พระเจ้าจักรา” ซึ่งเป็นตัวแทนของกษัตริย์ที่มีความกล้าหาญ แต่มีอุปนิสัยเป็นผู้รักสันติ[1]

การดำเนินเรื่องพระเจ้าช้างเผือกโดยส่วนใหญ่ เป็นการเล่าเรื่องผ่านสงครามระหว่างพระเจ้าหงสา ผู้มีความทะเยอทะยานและประสงค์จะทำลายอโยธยา โดยทำทีมาขอช้างเผือกจากพระเจ้าจักรา โดยอาศัยเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นเพื่อรุกรานอโยธยา ทำให้พระเจ้าจักราแห่งกรุงอโยธยาต้องยกทัพไปต่อสู้

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากเรื่องพระเจ้าช้างเผือกก็คือ ตัวละคร “พระเจ้าจักรา” มีความสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงแค่ตัวละครเอกของเรื่อง แต่พระเจ้าจักราเปรียบเสมือน บุคลาธิษฐานของสันติภาพในอุดมคติของปรีดี ในขณะที่พระเจ้าหงสานั้นเป็นเสมือน บุคลาธิษฐานและความโหดร้ายของสงคราม

หากพิจารณาตลอดการดำเนินเรื่องพระเจ้าช้างเผือกนั้น จะเห็นได้ว่ามีหลายฉากหลายองก์ที่บทบาทของพระเจ้าจักราได้แสดงให้เห็นถึงผู้รักษาสันติภาพ เช่น 

“มิตรภาพจะมีคุณค่าอะไร ถ้ามันเป็นอุปสรรคขวางกั้นความทะเยอทะยาน”[2] 

หรือ 

“ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำหรับพวกเจ้า บทเรียนสำหรับพวกเราทุกคน อย่าให้ต้องถูกบังคับขับขี่เช่นวัวควายอีกเลย … จงเล่าขานให้ลูกหลานของเจ้าฟังถึงเรื่องในวันนี้ เรื่องของกษัตริย์ต่อกษัตริย์ทรงกระทำยุทธหัตถีกันเพื่อยุติกรณีพิพาท เพื่อว่าอนุชนรุ่นหลังจะได้รับรู้และกำชับผู้นำของตนให้กระทำเยี่ยงนี้บ้าง หากพวกเขาจำต้องต่อสู้กัน ด้วยวิถีทางนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ชนทั้งผองในโลกได้รอดพ้นจากสงครามอันไร้ประโยชน์ และความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็นเลย”[3]

ในขณะที่พระเจ้าหงสาในฐานะภาพแทนสงครามและความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลที่มีอำนาจ ตัวอย่างที่แสดงถึงก็คือ ฉากที่พระเจ้าหงสาจะเกณฑ์ไพร่พลมารบกับอโยธยา โดยเสด็จออกมาที่ระเบียงเพื่อประกาศให้พสกนิกรทราบ ซึ่งได้มีชายชราออกมาคัดค้านเรื่องสงครามโดยแสดงความเห็นว่า “ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเชื่อมั่นเหลือเกินว่า สิ่งที่พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พวกข้าพระพุทธเจ้าไปตายเพื่อให้ได้มานั้น ย่อมสามารถได้มาด้วยวิธีการเจรจาโดยสันติ” โดยหลังจากนั้นพระเจ้าหงสาก็ได้พระราชทานหอกพุ่งตรงไปที่อกจนเป็นเหตุให้ชายคนดังกล่าวลาโลกไปแบบไม่สมัครใจ พร้อมทั้งพระเจ้าหงสาทรงกำชับว่า “คำสั่งของข้า คือ กฎหมายสูงสุดยิ่งกว่าอื่นใด”[4]

อย่างไรก็ดี สันติภาพของปรีดี นั้น ไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่ทำสงครามเลย ดังจะเห็นได้จากการที่พระเจ้าจักราทรงแต่งทัพเพื่อออกต่อสู้กับพระเจ้าหงสา แต่การทำสงครามของพระเจ้าจักรานั้นเป็นสิ่งที่ปรีดีเรียกว่า “ธรรมสงคราม” หมายถึง การทำสงครามหรือเข้าสู่สงครามด้วยความชอบธรรม กล่าวคือ ต้องไม่เป็นการรุกรานผู้อื่น ดังเช่นกรณีที่พระเจ้าหงสากระทำ[5] สิ่งนี้เป็นจุดสำคัญในงานเรื่องพระเจ้าช้างเผือกของปรีดีที่ต้องการสื่อสารออกไปทั้งในทางการเมืองภายในประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับสันติภาพที่ปรีดีต้องการนำเสนอ

สันติภาพในเชิงโครงสร้าง

แม้เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ของ “พระเจ้าช้างเผือก” จะพูดถึงสันติภาพในฐานะภาพใหญ่ของการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ แต่เมื่อได้อ่านหรือดูภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกจนจบแล้ว จะพบว่าพระเจ้าช้างเผือกได้ซ่อนนัยของสันติภาพในเชิงโครงสร้างของสังคมเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมไทย ผ่านหน้าที่ของผู้ปกครอง (รัฐบาล)

“ณ ที่นี้รัฐอิสระซึ่งปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชก็ได้บังเกิดขึ้น หากแต่เป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชซึ่งกอปรขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และพระขันติธรรมของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา โดยมีความสำนึกในความเป็นชาติอันแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจของประชาราษฎร์เป็นเครื่องรองรับ”

– พระเจ้าจักรา, พระเจ้าช้างเผือก

ผู้ปกครองที่ดีในพระเจ้าช้างเผือก คือ ผู้ปกครองประเทศด้วยเหตุและผล โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง ในพระเจ้าช้างเผือกนั้นจะพบว่า หลายฉากหลายองก์ ปรีดีได้แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ของผู้ปกครอง (รัฐบาล) เอาไว้ โดยการจะรักษาสันติภาพภายในประเทศได้ ผู้ปกครองจะต้องรักษาความสงบสุข และรับผิดชอบความอยู่ดีกินดี โดยสนับสนุนให้ประชาชนมีเสรีภาพและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการมีชีวิตเป็นเรื่องมีคุณค่า ซึ่งตามท้องเรื่องนั้นได้บรรยายลักษณะของการปกครองอาณาจักรอโยธยาว่าเป็นรัฐอิสระ ซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามหลักคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา[6]

“…แทนที่ท่านจะมอบหญิงงามให้ข้าฯ 365 คน ท่านควรจะมอบช้างให้ข้าอีก 365 เชือกจะดีกว่า คงจะทำให้กำลังของฝ่ายเราพอมีทางจะสู้กำลังของฝ่ายเขาได้…”

– พระเจ้าจักรา, พระเจ้าช้างเผือก

ดังนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรเอาใจใส่หรือให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเองหรือประโยชน์ของตัวเองมากจนเกินไป ดังปรากฏในตอนต้นเรื่องว่า เหล่าเสนาบดีประสงค์ให้พระเจ้าจักรายึดถือคติดั้งเดิมที่จะต้องมีพระมเหสีจำนวนมากถึง 365 พระองค์[7] แต่พระเจ้าจักราทรงมีความเห็นว่า 

…แทนที่ท่านจะมอบหญิงงามให้ข้าฯ 365 คน ท่านควรจะมอบช้างให้ข้าอีก 365 เชือกจะดีกว่า คงจะทำให้กำลังของฝ่ายเราพอมีทางจะสู้กำลังของฝ่ายเขาได้…”[8]

ในตอนท้ายของเรื่องพระราชินีคู่บุญของพระเจ้าจักราจะได้แสดงความเห็นแก่พระเจ้าจักราว่า 

“…การเลี้ยงดูนางสนมทั้ง 365 นางนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์อย่างมาก พระราชทรัพย์เหล่านี้ควรจะนำไปใช้ในการส่งเสริมความกินดีอยู่ดีให้ราษฎร และความรุ่งเรืองของประเทศมากกว่า…ถึงสงครามจะยุติ เรายังต้องการใช้ช้างจำนวนมาก ไม่เพียงแต่สำหรับกองทัพเท่านั้น แต่สำหรับงานในป่าด้วยเพคะ”[9]

นอกเหนือจากฉากและองก์ข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า ตลอดเรื่องพระเจ้าช้างเผือกมีการพูดถึงสภาวะสันติภาพที่นำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างไร ดังเช่นในบทที่ 1 ราชอาณาจักรอโยธยาอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นบทเริ่มต้นของเรื่องและในบทอื่นๆ แทรกอยู่โดยตลอดผ่านพระราชกรณียกิจของพระเจ้าจักราผ่านการปฏิรูปธรรมเนียมและประเพณีเก่าเพื่อนำมาสู่ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร[10]

เศรษฐกิจแห่งสันติภาพและการสมานสามัคคี

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

“พระเจ้าจักรา” เป็นภาพสะท้อนของอุดมคติการปกครองของ “คณะราษฎร” ในหลายแง่มุม ทั้งในฐานะนักปฏิรูปที่ยกเลิกคติและธรรมเนียมประเพณีเก่า และทำนุบำรุงความกินดีอยู่ดีของราษฎร  ดังนั้น ความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งของพระเจ้าช้างเผือกก็คือ การใช้สื่อเพื่อนำเสนอสันติภาพเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนภาพความคิดของปรีดีเกี่ยวกับจิตสำนึกแห่งการอภิวัฒน์ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองเพื่อนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม[11]

การดำเนินการปฏิรูปประเทศต่างๆ ของพระเจ้าจักราจึงเป็นภาพสะท้อนของอุดมการณ์ของคณะราษฎร เมื่อทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม และเข้ามาบริหารประเทศ เจตนารมณ์ที่ให้ไว้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักที่ 3 กล่าวว่า “จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

อย่างไรก็ดี เพื่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจแล้ว จำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ของสังคมในเวลานั้น การดำเนินการสำคัญที่สุดในเจตนารมณ์ของคณะราษฎรและปรีดี ซึ่งแสดงไว้ใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ”คือ การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินและการทำกินของชาวนา ในเวลาดังกล่าวประชาชนส่วนใหญ่ในเวลานั้นทำอาชีพเป็นชาวนา โดยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน และถูกเอารัดเอาเปรียบจากโครงสร้างทางสังคมที่ผ่านการเก็บค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินค่ารัชชูปการ[12] 

กลไกของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ใช้เป็นการจำกัดศักยภาพของราษฎรในการพัฒนาตนเองทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ในท้ายที่สุด สภาพดังกล่าวย่อมทำลายสันติภาพเชิงโครงสร้าง และนำมาสู่การใช้กำลังประหัตประหารกัน[13] เพื่อป้องกันมิให้เกิดสภาพเช่นนั้น ปรีดีจึงได้มีการเสนอให้มีการจัดสรรทรัพยากรให้มีความเป็นธรรมและกระจายการเข้าถึงทรัพยากรมากขึ้น

ข้อเสนอของปรีดีในเรื่องนี้ ปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจ[14] นอกจากนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร ปรีดีได้สร้างระบบของการประกันความสุขสมบูรณ์เพื่อสมานสามัคคีระหว่างคนในสังคม โดยใช้วิธีการนำภาษีที่เก็บจากผู้มั่งมีมาช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยรัฐบาลเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือและประสานความสามัคคีนี้[15]

แม้ พระเจ้าจักรา จะเป็นตัวละครสมมติใน พระเจ้าช้างเผือก แต่หากทำการศึกษาวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังแล้วจะเห็นได้ว่า พระเจ้าช้างเผือกนั้นมีแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังตัวละครพระเจ้าจักรา ซึ่งในมุมหนึ่งนี้ผู้เขียนได้หยิบมาพิจารณาเพื่อทำความเข้าใจคุณค่าของสันติภาพเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องเชื่อมโยงกับมิติในทางเศรษฐกิจและความเป็นปัจจุบันในสภาวะสงครามเช่นนี้


เชิงอรรถ

[1] กษิดิศ อนันทนาธร, ‘ศาสตร์พระเจ้าจักรา กับสารที่ “พระเจ้าช้างเผือก” สื่อ’ (The 101.World, 18 เมษายน 2564) <https://www.the101.world/the-king-of-the-white-elephant/> สืบค้นเมื่อ 11 มีนาคม 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, พระเจ้าช้างเผือก (หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) 2558) 225.

[3] เพิ่งอ้าง, 325.

[4] เพิ่งอ้าง, 267 – 268.

[5] สุรัยยา เบ็ญโส๊ะ, ‘แนวคิดสันติวิธีในเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ของปรีดี พนมยงค์’ (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2540) 182 – 183.

[6] ปรีดี พนมยงค์, พระเจ้าช้างเผือก (สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก 2542) 1.

[7] เพิ่งอ้าง 8.

[8] เพิ่งอ้าง 14.

[9] เพิ่งอ้าง 90 – 91.

[10] เพิ่งอ้าง 4 – 5.

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312>  สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564.

[13] สุรัยยา เบ็ญโส๊ะ (เชิงอรรถ 5) 216.

[14] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 10); เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 12)

[15] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 10).

ยกเครื่องกฎหมาย ต่อลมหายใจโรงแรมเล็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่การระบาดของโควิด-19 ส่งกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยตรงทำให้ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งต้องปิดกิจการชั่วคราว แต่สำหรับบางโรงแรมที่ส่วนใหญ่คือโรงแรมขนาดเล็กขาดสภาพคล่องไปต่อไม่ไหว รวมทั้งเข้าไม่ถึง โครงการช่วยเหลือของรัฐ ต้องยุติกิจการและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

ดังที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ โรงแรมขนาดเล็กทั่วประเทศเข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ช่วยบรรเทาความ เดือดร้อน จากการที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ Sandbox เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แม้จะพยายามยื่นขออนุญาตแต่ติดกฎหมายหลายฉบับ ที่ไม่สามารถปรับปรุงอาคารได้

โควิด-19 จึงไม่ใช่สาเหตุหลักสาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กเผชิญความลำบากในการประกอบกิจการ ในแวดวงผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทราบกันดีว่า การบังคับใช้กฎหมายและใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมภายใต้กฎหมาย คือ กฎหมายผังเมือง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ และ พ.ร.บ.โรงแรมฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน และการบังคับใช้อยู่ตั้งอยู่บนมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของ โรงแรมขนาดเล็ก สร้างภาระปัญหาให้กับทั้งผู้ประกอบการเดิมและรายใหม่ในอนาคต

กฎหมายกดทับโรงแรมเล็ก

ประเทศไทยมีโรงแรมขนาดเล็กจำนวนมากที่มีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ได้แก่ กฎเกณฑ์ภายใต้กฎหมายผังเมืองที่ได้จำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เช่น การบำบัดน้ำเสีย การมีที่จอดรถ หรือการสร้างมลภาวะทางเสียง เป็นต้น

พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ได้กำหนดลักษณะ ขนาดพื้นที่และที่ตั้งของอาคาร รวมถึงความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร โดยยึดโยงอยู่กับมาตรฐานอาคารขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งไม่ครอบคลุมโรงแรมขนาดเล็กที่มีการนำบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักมาดัดแปลง แม้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีความพยายามผ่อนคลายกฎเกณฑ์ ในเรื่องมาตรฐานอาคารโดยปรับให้สอดคล้องกับอาคารขนาดเล็กมากขึ้น แต่ยังไม่ครอบคลุมลักษณะที่พักอีกหลายประเภท เช่น เรือนแพ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

เมื่อไม่ผ่านเงื่อนไขนี้ ทำให้การขอใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรงแรมฯ ของโรงแรม ขนาดเล็กจึงเป็นไปได้ยาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มีแนวโน้มความนิยมการเข้าพักโรงแรมขนาดเล็กมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทั้งบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักดัดแปลง และทำให้เกิดช่องโหว่ของภาครัฐในการกำกับดูแลธุรกิจโรงแรม

หากพิจารณาจากจำนวนโรงแรมที่ได้รับอนุญาตจากกรมการปกครอง มีประมาณ 30,000 กว่าแห่ง ในขณะที่โรงแรมที่ลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มเว็บไซต์ OTA สำหรับจัดการการจองที่พัก มีโรงแรมมากกว่า 60,000 แห่ง

นอกจากการกำหนดเรื่องขนาดพื้นที่ ลักษณะอาคารแล้ว พ.ร.บ.โรงแรมฯ ยังกำหนดเงื่อนไขการต้องแยกสัดส่วนระหว่างที่พักอาศัยกับส่วนที่เป็นโรงแรม และจำกัดจำนวนห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง จำนวนคนพักไม่เกิน 20 คนสำหรับโฮมสเตย์ เงื่อนไขนี้กระทบต่อธุรกิจที่มีบ้านพักอาศัยกับโรงแรมตั้งอยู่ในที่เดียวกัน จึงทำให้การประกอบธุรกิจแบบโฮมสเตย์ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยผลของกฎหมายเช่นกัน ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงสถานที่เพื่อให้บริการลูกค้า

อีกทั้งยังมีการกำหนดว่าโรงแรมต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักโรงแรมขนาดเล็ก อาจไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพียงแต่ต้องการห้องพักที่สะอาดเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมตามกฎหมายกำหนดบางอย่างเป็นต้นทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กทั้งสิ้น

ปัญหาโรงแรมขนาดเล็กไม่สามารถดำเนินกิจการและขอใบอนุญาตโรงแรมได้เพราะติดข้อกฎหมายนั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน หน่วยงานของรัฐได้มีความพยายามผ่อนผันโดยใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและ พัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปรับปรุงอาคารและดำเนินการขอใบอนุญาตโรงแรมได้โดยกฎหมายได้มีการยกเว้น ความผิดและยกเว้นโทษให้ผู้ประกอบการจนถึงวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุนจากการไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ และต้องหยุดกิจการตามมาตรการของรัฐบาลจากการระบาดของ โควิด-19 แม้จะมีการกำหนดมาตรการผ่อนผันเพียงชั่วคราว โรงแรมขนาดเล็กก็ยังไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงอาคารและขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมให้สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดได้ตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เพราะโรงแรมขนาดเล็กไม่มีเงินทุนมากพอที่จะดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงอาคาร

รื้อกฎหมายเอื้อรายเล็กเริ่มต้นใหม่และไปต่อได้

แม้กฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขของอาคารและการให้บริการโรงแรม จะทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ดีเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการได้รับผลกระทบของการประกอบกิจการ และเพื่อยกมาตรฐานดูแลผู้เข้าพักในโรงแรม แต่เงื่อนไขของกฎหมาย ดังกล่าวนั้นอาจจะล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน

ทางแก้ไขปัญหานี้จะต้องปรับรื้อกฎหมายเอื้อให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งมีส่วนช่วยฟื้นคืนภาคการท่องเที่ยวบริการของประเทศไทย โดยจำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบเสมือนการยกเครื่องรถยนต์ใหม่ทั้งคัน

ในระยะแรกจะต้องมีการคุ้มครอง ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการที่คำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 หมดอายุลง การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ในช่วงโควิด-19 ระบาดนั้น รัฐบาลอาจ จะต้องออก พ.ร.ก.งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายโรงแรมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก ที่ดำเนินการมาก่อนหน้าปีการระบาดของ โควิด-19 เพื่อไม่ให้มีการเอาผิดกับ ผู้ประกอบที่ดำเนินการในช่วงเวลานี้

พร้อมทั้งให้เวลากับผู้ประกอบปรับปรุงสภาพอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมาย และให้เวลาหน่วยงานของรัฐดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป

การแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก รัฐบาลควรดำเนินการแก้ไขกฎหมายและ ใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมใหม่ โดยการปรับกฎเกณฑ์ของมาตรฐานอาคารที่ใช้ในการประธุรกิจโรงแรมให้รองรับลักษณะของการประกอบธุรกิจโรงแรมที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมขนาดเล็ก และโรงแรมที่มีรูปแบบ เฉพาะตัว เช่น เรือนแพและ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน นโยบายเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงแรม ควรสนับสนุนการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก โดยการยกเลิกการผูกโยงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่จำเป็นต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคกับโรงแรมขนาดเล็ก รวมถึงการยกเลิกการนำกฎหมายโรงแรมกับกฎหมายควบคุมอาคารมาผูกไว้ด้วยกัน เพื่อให้การประกอบธุรกิจกับการควบคุมอาคารแยก ออกจากกันตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

ท้ายที่สุด การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจโรงแรม ควรจะเปลี่ยนมือจากหน่วยงานของรัฐส่วนกลางแบบกรมการปกครองมาสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งใกล้ชิดกับพื้นที่ทำให้สามารถเข้าถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีแรงจูงใจที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ มากกว่าหน่วยงานของรัฐที่ส่วนกลาง

การปรับแก้กฎหมายในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กไปต่อได้แล้ว การประหยัดต้นทุนใน การปฏิบัติตามกฎหมายยังช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำเงินไปใช้กับการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ด้านนักท่องเที่ยวก็มีทางเลือกรูปแบบ โรงแรมที่เข้าพักหลากหลาย สอดรับกับการที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก

นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ประชาธรรมเป็นคำที่ผมต้องการใช้มากกว่าประชาธิปไตย เพราะในวงการเมืองนั้น คำว่าประชาธิปไตยใช้กันจนเฝือ เช่น ในโรงเรียนไทย แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการ เขาก็ยังสอนให้นักเรียนท่องว่า ประเทศไทยเป็นเสรีประชาธิปไตย อีกประการหนึ่ง การเป็นประชาธิปไตยนั้น ถ้าไม่อาศัยหลักธรรมะแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์และบกพร่องแน่ เพราะถึงแม้เราจะปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก ถ้าเสียงข้างมากโน้มเอียงไปเชิงพาลแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถถกเถียงเรียกร้องให้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้ จึงจะเป็นธรรม…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2521).

ชื่อ “ป๋วย อึ๊งภากรณ์” นั้น เป็นที่รู้จักพอสมควรในสังคมไทย ในหลายๆ แง่มุมทั้งในฐานะการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เทคโนแครตตัวอย่างผู้คอยรั้งรัฐบาล นักพัฒนา และนักสันติวิธีคนหนึ่ง รวมถึงจะรู้จักอุดมการณ์สันติประชาธรรมของอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและในบทความนี้ที่ได้หยิบยกมา คือ สังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ก้าวพ้นในสิ่งที่อาจารย์ป๋วยได้เคยพูดเสมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ และในแง่นี้คำพูดของอาจารย์ป๋วยจึงยังคงอยู่กับสังคมมากกว่าปณิธานของอาจารย์ที่ได้แสดงไว้

อีกครั้งหนึ่งกับสันติประชาธรรม

บ่อยครั้งที่เมื่อพูดถึงอุดมคติของรัฐในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยจะเริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า “สันติประชาธรรม” คืออะไร และมีความหมายอย่างไร

“สันติประชาธรรม” นั้น เป็นมรรควิธีสำคัญที่อาจารย์ป๋วยมองว่าเป็นหนทางสำหรับการปกครองและนำสังคมไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีแก่นแกนสำคัญอยู่ที่การมีสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการเข้าถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองโดยไม่จำกัดฐานะ เพศ และชาติกำเนิด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี ด้วยบริบทของการเป็นเผด็จการแปลงรูปมาในชุดผ้าคลุมของระบอบประชาธิปไตยในยุคสมัยนั้น อาจารย์จึงเลือกที่จะใช้คำอื่นแทนที่จะเรียกประชาธิปไตย ซึ่งคำๆ นั้นก็คือ “สันติประชาธรรม”

“ประชาธรรม คือ ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม…บ้านเมืองที่มีประชาธรรมนั้นมีขื่อมีแป ไม่ใช่ปกครองกันตามอำเภอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จดหมายของ นายเข้ม เย็นยิ่ง
เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ (2515)

ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยนั้นคำว่า “ประชาธรรม” คือ การที่ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม กล่าวคือ ธรรมนั้นเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม โดยอาจารย์ป๋วยมีทรรศนะว่า โดยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยนั้นหากปราศจากธรรมแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์กลายเป็นการปกครองกันด้วยเสียงข้างมากไป

ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจ ซึ่งคำว่า “ธรรม” ที่อาจารย์ป๋วยพูดถึงนั้นน่าจะหมายถึง “ความชอบธรรม” (legitimacy) ซึ่งเป็นเรื่องของการที่อำนาจได้รับการยอมรับจากสาธารณชน รวมถึงเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าว  อย่างไรก็ดี เพียงประชาธรรมอย่างเดียวนั้นในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยไม่เพียงพอ หากแต่ประชาธรรมอันเป็นมรรควิธีนั้นจะต้องเป็นไปโดยสันติ[2]

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี (2515)

นอกจากนี้ ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยแล้ว การได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นจำเป็นต้องยึดหลักการสันติวิธี ดังที่อาจารย์ได้เคยแสดงทรรศนะเอาไว้ว่า “ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี” กล่าวคือ การได้อำนาจทางการเมืองใดๆ นั้นจะต้องอาศัยวิธีการโดยสันติ  ดังนั้น หากรัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือตำรวจเพื่อเข้าห้ำหั่นประชาชนหรือใช้กำลังทหารเพื่อเข้าควบคุมฝูงชนในการชุมนุม

การใช้ความรุนแรงนี้รวมไปถึงการใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อปิดปากมิให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม ลักษณะดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดนี้ ย่อมไม่สามารถนำไปสู่สังคมที่เป็นประชาธรรมได้ และกลายเป็นความเกลียดชังของคนในสังคมด้วยซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การใช้อาวุธประหัตประหารกันไม่รู้จบ ดังนี้แล้วสังคมใดจะเป็นประชาธรรมอย่างแท้จริงได้ จะต้องเกิดขึ้นบนสันติวิธี ปราศจากการใช้กำลังประหัตประหารกัน[3]

สังคมทำไมต้องเป็นสันติประชาธรรม

…ในสังคมที่มีประชาธรรม เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เจ้าหน้าที่กับราษฎร หญิงกับชาย คนมีกับคนจน ท้องถิ่นที่อุดมกับท้องถิ่นที่กันดาร การมีโอกาสการศึกษากับการปราศจากโอกาส การมีโอกาสด้านสุขภาพอนามัยกับการปราศจากโอกาส ฯลฯ

ทั้งนี้มิได้เกิดจากลัทธิการเมืองหรือลัทธิอื่นใด เป็นเรื่องของความชอบธรรม ความเมตตากรุณา การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การปรองดองกัน และการที่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้แก่ผู้ตกยาก การมีอิสระที่จะรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กับรวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ซึ่งควรเคารพ ไม่ว่าฐานะกำเนิดของเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมสามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ที่ว่านั้นได้โดยสันติภาพ…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2515)

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สันติประชาธรรม” เป็นมรรควิธีในการและหนทางสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุที่อาจารย์ป๋วยคิดเช่นนั้น ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ระบอบประชาธรรมนั้นเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง และเอื้ออำนวยให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคม และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและช่องว่างด้านอื่นๆ ระหว่างท้องถิ่นและในหมู่ประชาชน[4]

ภาพของสังคมสันติประชาธรรมในทรรศนะของอาจารย์ป๋วย จึงไม่ใช่เพียงสังคมที่ผู้ปกครองมีการใช้อำนาจโดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ในทรรศนะของอาจารย์ สังคมสันติประชาธรรมจะต้องเป็นสังคมที่ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพระหว่างคนในสังคมทั้งหมด โดยรัฐควรจะมีบทบาทในการเกื้อกูลระหว่างประชาชนในแต่ละกลุ่ม ทรรศนะดังกล่าวนี้อาจารย์ป๋วยแสดงผ่านข้อเขียนของอาจารย์ป๋วยที่ชื่อว่า คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2516

ใจความสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ก็คือ การพยายามสื่อสารให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ ซึ่งลำพังการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์นั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคนในประเทศยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการศึกษา[5]

มองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรม

สถานการณ์สังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังติดอยู่ในกับดักของการหยุดยั้งการพัฒนาทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ สถานภาพของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของการรัฐประหาร และความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ในส่วนนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนมองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรมนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง

เมื่ออำนาจกลายเป็นธรรม

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งในแง่ของการตีความบทบัญญัติกฎหมายชนิดที่เรียกได้ว่า สองมาตรฐาน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาจากการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ยึดโยงอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชน หรือเป็นการตีความกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความชอบธรรมของกฎหมายในมือของรัฐบาล

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของกฎหมายในช่วงที่ผ่านมาเรื่องหนึ่งคือ การพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีทางการเมืองของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพโดย ไอลอว์ (iLaw) ในช่วง 9 กุมภาพันธ์ 2564 – 29 เมษายน 2564 นั้น ในการยื่นขอประกันตัวทั้งหมด 9 ครั้ง ศาลได้ให้เหตุผลในการไม่ให้ประกันตัว 2 ครั้ง โดยอ้างว่า เนื่องจากอัตราโทษสูง อาจไปก่อความผิดซ้ำ หรืออาจนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันกษัตริย์และเกรงว่าจะหลบหนี นอกจากนั้นแล้วศาลให้เห็นเหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม[6] ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมนั้นถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนถึงความชอบธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งบัดนี้การใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งเป็นกติการ่วมกันของสังคมได้ถูกตั้งคำถามมากขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในระบอบกฎหมายต่อไปในอนาคต

ในสังคมที่ห้ามเห็นต่างทางการเมือง

ตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ และสืบทอดอำนาจต่อมาด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 นี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นี้เองศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้จัดทำรายงานสรุปสถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 16 กรกฎาคม 2562 เอาไว้[7] ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มีนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และประชาชน ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเมื่อมีการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สถานการณ์ของการมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกับหลุดลอยไปเนื่องจากกระบวนการใช้อำนาจของรัฐนั้นละเลยต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ถูกเรียกรายงานตัว / ควบคุมตัวในค่ายทหาร930 คน
ถูกข่มขู่ คุกคาม ติดตาม592 คน
กิจกรรมสาธารณะถูกปิดกั้นแทรกแซง361 กิจกรรม
ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมาน18 คน
ถูกปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก159 กลุ่ม
ถูกตั้งข้อหาชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป428 คน
ถูกตั้งข้อหา มาตรา 116124 คน
ถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ. ประชามติฯ ร่าง รธน. 255950 คน
ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวหรือมีเงื่อนไขปล่อยตัว (MOU)31 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากการแสดงออกที่เกี่ยวกับการเมือง197 คน
ถูกตั้งข้อหา ดูหมิ่นศาล หรือละเมิดอำนาจศาล18 คน
ถูกตั้งข้อหามาตรา 112169 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. ชุมนุมฯ276 คน
ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร2,408 คน
จำนวนขั้นต่ำผู้ลี้ภัยทางการเมือง102 คน
สูญหายจากประเทศเพื่อนบ้านระหว่างลี้ภัย6 คน
ตกเป็นเป้าทำร้ายร่างกาย 12 ครั้ง4 คน
ถูกทำให้เสียชีวิตระหว่างลี้ภัย2 คน
ที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ‘5 ปี คสช. สถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ’

ความเหลื่อมล้ำในวิกฤตเศรษฐกิจ

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ในช่วงปี 2558 – 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ต่อปี แต่ในทางตรงกันข้ามประชาชนกลับไม่รู้สึกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก เงินที่ได้รับจากการทำงานยังไม่พอเลี้ยงปากท้อง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแหล่งอื่น โดยร้อยละ 20 (กลุ่มครัวเรือนไทยที่จนที่สุด) มีแหล่งรายได้มาจากเงินช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและบุคคลนอกครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ที่เป็นตัวเงินทั้งหมด และ ประการที่สอง ครัวเรือนยังต้องบริโภคด้วยการก่อหนี้ โดยสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่เกือบร้อยละ 80 สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากเกาหลีใต้[8]

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบให้กับประชาชนเป็นอย่างมากโดยทำให้รายได้ลด และหนี้สินเพิ่มกลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิม โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวสูงถึงร้อยละ 6.1 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มลูกจ้างในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างมากที่สุด เพราะขาดรายได้หรือรายได้ลดลงมาก จากการเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่น รวมถึงในระยะแรกอาจจะต้องมีการนำเงินออมที่มีอยู่ออกมาใช้จ่ายหรืออาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มในช่วงที่ขาดรายได้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19[9] สภาพดังกล่าวยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เนื่องจากลูกจ้างในสังคมไทยเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงเนื่องจากรายได้ต่ำ เมื่อเทียบกับความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างน้อย

การหลุดลอยออกจากระบบการศึกษา

จากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จากข้อมูลการศึกษาล่าสุดปีการศึกษา 1/2564 มีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเด็กทั้งหมด ในช่วงวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับที่มีประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 1,094 บาท  นอกจากนี้ รายได้จากการเกษตรหรือด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่ลดลง แต่รายได้ที่เพิ่มมาจากสวัสดิการรัฐ เงินช่วยเหลือเยียวยา และผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้จำนวนเด็กยากจนพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากปีการศึกษา 2/2563[10]

สถานการณ์ดังกล่าวเลวร้ายมากขึ้นจากการสำรวจของ กสศ. ในช่วงภาคเรียนที่ 1/2563 ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยมีนักเรียนยากจนจำนวน 1.7 ล้านคน โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยากจนพิเศษในปีที่ผ่านมาประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียนที่ 2/2562 มากกว่า 2.4 แสนคน[11]

สิ่งที่จะต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว สถานการณ์การหลุดลอยจากระบบการศึกษาจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อชีวิตร่วงหล่นลงอย่างไม่มีคุณค่า

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น แม้ในช่วงต้นของการระบาดประเทศจะรับมือได้ดีเนื่องจากความตั้งใจและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19  อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสถัดๆ ไปนั้น ประเทศไทยประสบกับปัญหาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเมื่อการระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และโอไมครอน สภาพของการระบาดที่เกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล และจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกันจำนวนการเข้าถึงวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพในประเทศไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า และกระจายการเข้าถึงในระดับที่ต่ำ

สถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายใหม่

ที่มา: JHU CSSE COVID-19 Data.

สถิตผู้ได้รับวัคซีน

ที่มา: กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม.

สังคมไทยในวันนี้ ที่อาจารย์ป๋วยได้จากโลกนี้ไปแล้ว สภาพสังคมโดยรวมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สังคมการเมืองไทยยังคงอยู่ในวังวนที่ธรรมนั้นเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม ในขณะที่วิถีชีวิตของคนในสังคมยังคงมีความยากลำบากและไม่มีความแน่นอนในชีวิต คุณภาพชีวิตนับตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนนั้นยังคงไม่ได้ดีขึ้นเท่าใดนัก สังคมไทยยังห่างไกลสู่หนทางของการเป็นสันติประชาธรรม เมื่อนึกดูแล้วก็ได้แต่ “นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม”


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 ตุลาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/10/873.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, จารีตรัฐธรรมนูญไทยกับสันติประชาธรรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2550) 169.

[5] พชร สูงเด่น, “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ย้อนอ่านความฝันของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์,” a day bulletin, 9 มีนาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://adaybulletin.com/life-feature-from-womb-to-tomb-puey-ungphakorn/47552.

[6] iLaw-freedom, “รวมสถิติการยื่นคำร้องขอประกันตัว เพนกวิน-พริษฐ์,” iLaw freedom, 5 พฤษภาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://freedom.ilaw.or.th/node/906.

[8] พิรญาณ์ รณภาพ, “​ความเหลื่อมล้ำ: ตัวฉุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลง,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, 11 พฤศจิกายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_11Nov2021.aspx.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ยากจน ลำบาก หลุดจากระบบการศึกษา,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 25 กันยายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.eef.or.th/infographic-06-09-21/.

ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยมีความตั้งใจจะใช้เป็นความเพื่อระลึกถึง อ.ป๋วย แม้ผู้เขียนจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับ อ.ป๋วย โดยตรง เพราะกว่าเมื่อผู้เขียนจะรู้ความพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในสังคมไทย อ.ป๋วย ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อในบทความนี้ก็คือ ความเคารพที่มีต่ออาจารย์ หลายคนมอง อ.ป๋วย ในหลายบทบาททั้งในฐานะ นักพัฒนา เทคโนแครตมืออาชีพ นักอุดมการณ์​ นักสันติวิธี และเจ้าของอุดมการณ์​สันติประชาธรรม แต่การพิจารณา อ.ป๋วย ในลักษณะแบบนั้นมันเป็นการเคารพ อ.ป๋วย ตามอุดมการณ์แบบบูชาตัวบุคคล มากกว่าจะก้าวข้าม อ.ป๋วย และสืบสาน รักษา และต่อยอดสิ่งที่ อ.ป๋วยพูด ไว้ สังคมไทยเลยติดกับอยู่กับคำพูดมากกว่าอุดมการณ์​ เสมือน อ.ป๋วยไม่เคยจากโลกนี้ไป อ.ป๋วย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อบางชุด ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความนี้เพื่อแสดงมุทิตาจิต ในฐานะศิษย์ซึ่งไม่เคยพบหน้าและยึดถืออุดมการณ์ของอาจารย์

เมื่อเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีค่าดั่งทองคำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

มื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่ารัฐบาลได้ทำการแต่งตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมา ข่าวนี้เป็นสัญญาณสำคัญถึงการใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศ โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ท่ามกลางยุคสมัยที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีค่าดั่งทองคำ

ข้อมูลส่วนบุคคลคืออะไร

ก่อนจะไปทำความเข้าใจว่าเพราะอะไรข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีค่าดั่งทองคำ ในบทความนี้จะขอเริ่มต้นจากการอธิบายก่อนว่า ข้อมูลส่วนบุคคลคืออะไร?

หากพิจารณานิยามของข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะเห็นได้ว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม (แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ)[1]

กล่าวโดยสรุปง่ายๆ “ข้อมูลส่วนบุคคล” คือ ข้อมูลใดๆ ก็ตามที่สามารถระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ ตัวอย่างของสิ่งที่เราแน่ใจอย่างแน่นอนว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนสูง และน้ำหนัก เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นกว้างกว่าที่เราคิด ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นยังรวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา ข้อมูลพันธุกรรม และข้อมูลชีวภาพ เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่าความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความหมายกว้างมากโดยเฉพาะในยุคสมัยที่เราทุกคนนั้นมีการเชื่อมต่อกันในยุคแห่ง internet of things (IoTs) หรือที่เรียกว่า “อินเทอร์เน็ตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่การเชื่อมต่อนั้นเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัว เช่น นาฬิกาข้อมือที่มีการเก็บข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันของผู้สวมใส่ หรือโทรศัพท์มือถือที่มีการเก็บข้อมูลพิกัดการใช้งานแอปพลิเคชัน เป็นต้น

ทำไมข้อมูลส่วนบุคคลจึงกลายเป็นสิ่งมีค่า

ด้วยเหตุที่ชีวิตปัจจุบันของเราเข้าไปสัมพันธ์กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นแตกต่างจากยุคก่อนๆ ที่การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจะมีเฉพาะในเวลาที่มีการทำธุรกรรมบางอย่างเท่านั้น

ในปัจจุบันการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความจำเป็นมากในทางธุรกิจ เพราะการมีข้อมูลเป็นจำนวนมากนั้นทำให้เกิดความแม่นยำในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ การโฆษณาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ความต้องการข้อมูลเป็นจำนวนมากนี้ถึงขั้นทำให้มีผู้กล่าวว่า “ข้อมูล (ส่วนบุคคล) นั้นเปรียบเสมือนน้ำมันใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล” เพราะหากยิ่งผู้ประกอบการมีข้อมูลมากเท่าไรและรู้จักผู้บริโภคมากเท่าไร ผู้ประกอบการก็ยิ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุดมากเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินประเภทธนาคารแห่งหนึ่งต้องการเสนอสินเชื่อให้กับลูกค้า กรณีเช่นนี้ธนาคารก็ต้องใช้ข้อมูลทางด้านรายได้ ภาระหนี้สิน พฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า และการชำระหนี้ของลูกค้ามาประกอบเพื่อตัดสินใจจะให้สินเชื่อแก่ลูกค้าหรือไม่ หรือแม้แต่กระทั่งหน่วยงานของรัฐก็จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการเพื่อทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานบริการ และพยายามปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (กรณีนี้เริ่มเกิดขึ้นบ้างแล้วในหน่วยงานของรัฐในประเทศไทย เช่น กรมสรรพากร ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลเพื่อการลดหย่อนภาษี เป็นต้น[2]) หรือ การนำข้อมูลมาใช้ทำฐานข้อมูลเพื่อจัดทำระบบป้องกันอาชญากรรม

นอกจากนี้ ในทางการเมืองการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลก็มีปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ดังเช่นในกรณีของ Cambridge Analytica ซึ่งหนังสือพิมพ์ New York Time และ The Guardian ในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ได้ออกมาเปิดเผยรายงานข่าวการสอบสวนเชิงลึกว่า บัญชีผู้ใช้งาน Facebook ถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลบางส่วนไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ทางการเมือง โดยเจ้าของบัญชีผู้ใช้งานเหล่านั้นไม่รู้ถึงการนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้มาก่อน[3]

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐจึงมีความพยายามที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลให้ได้มากเพื่อที่จะนำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ และเพื่อสร้างความได้เปรียบในทางเศรษฐกิจหรือการเมือง

อย่างไรก็ดี การนำข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้ในการวิเคราะห์หรือสร้างฐานข้อมูลบางอย่างนั้นก็เป็นเสมือนดาบสองคม ในแง่หนึ่ง การใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้บริการเพื่อปรับปรุงบริการ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้บริการนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี หรือช่วยทำให้การตัดสินใจบางประการขององค์กรมีประสิทธิภาพ แต่ในอีกแง่หนึ่ง การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะเกินความเหมาะสมหรือความพอดี โดยการเก็บรวบรวมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งในแง่ของสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลก็อาจจะกลายเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลได้

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับการกำกับดูแลการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

ผลจากความต้องการรักษาสมดุลของการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลกับการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในด้านความเป็นส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลนั้นทำให้เกิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมา

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในปัจจุบันที่มีอิทธิพลมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้น GDPR (General Data Protection Regulation) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเรียกว่ามีความทันสมัยที่สุดในขณะนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประมวลกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกำหนดแนวทางในการรักษาความเป็นธรรมระหว่างการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลกับการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองสหภาพยุโรปไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ที่ใดในโลก (เพราะฉะนั้น GDPR สามารถบังคับได้กับทุกการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะอยู่ในสหภาพยุโรปหรือไม่)

จุดสำคัญของ GDPR ที่คนส่วนใหญ่มักจะพูดถึงคือ การกำหนดโทษปรับไว้เป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง โดยมีเจตนาเพื่อที่จะห้ามปรามการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยเจตนาและการจงใจไม่ดำเนินการเพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับข้อมูลส่วนบุคคล โดยบทลงโทษที่รุนแรงของ GDPR คือ การปรับเป็นเงินจำนวนสูงสุด 20 ล้านยูโร หรือคิดจากผลประโยชน์การดำเนินการมากถึงร้อยละ 4 ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลกในปีบัญชีก่อนหน้า[4]

ผลของการตรา GDPR ของสหภาพยุโรปนั้นมีนัยสำคัญต่อสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกมาก เนื่องจากปริมาณการบริโภคและส่วนแบ่งตลาดของสหภาพยุโรปนั้นค่อนข้างสูง อันเป็นผลมาจากการรวมตัวของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ทำให้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วโลกเกิดการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับ GDPR ของสหภาพยุโรป ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2562 ประเทศได้ตรา พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมาเพื่อให้เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย

หลักการส่วนใหญ่ของ พ.ร.บ. นี้นั้นสอดคล้องกันกับ GDPR ในหลายๆ ส่วน มีหลักการสำคัญคือ การมุ่งสร้างความเป็นธรรมในการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (ผู้เก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ของตนเอง) และเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้

หลักความชอบด้วยกฎหมาย ความเป็นธรรม และความโปร่งใส กำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องเป็นไปโดยมีเหตุผลความจำเป็นที่สามารถอ้างอิงฐานการประมวลผลได้ และมีการประกาศ/แจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบเหตุผลความจำเป็น

หลักการจำกัดวัตถุประสงค์ โดยกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลกระทำเท่าที่จำเป็นภายใต้ขอบเขตของวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

หลักการรวบรวมข้อมูลเท่าที่จำเป็น การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์และรวบรวมข้อมูลเฉพาะเท่าที่จำเป็นและในสัดส่วนที่เหมาะสม

หลักความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคล การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจำเป็นต้องจัดให้มีมาตรการหรือวิธีการใดๆ เพื่อรับรองข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

หลักการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจำกัดระยะเวลา ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์

หลักความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลและการเก็บรักษาเป็นความลับ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลด้วยความระมัดระวังและใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลหรือการสูญหาย

หลักความรับผิดชอบ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีความรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวข้างต้น และจะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้มีการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างครบถ้วน

นอกเหนือจากหลักการต่างๆ แล้วสิ่งที่เหมือนกันกับ GDPR ก็คือ การกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้ทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐต้องตระหนักในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มากขึ้น

ธุรกิจกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

อย่างไรก็ดี ในเชิงธุรกิจนั้นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้มีความสำคัญเพียงเฉพาะเรื่องของการถูกลงโทษตามกฎหมาย  ทว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือในทางธุรกิจ เพราะเป็นที่แน่นอนว่าไม่อยากมีผู้ใช้บริการใด อยากใช้บริการของผู้ประกอบกิจการที่มีการปล่อยให้มีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือไม่ได้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้อยู่ในความปลอดภัย ซึ่งหากบริษัทและองค์กรธุรกิจไม่มีความตระหนักในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าการโดนปรับตามกฎหมายก็คือ การขาดความน่าเชื่อถือในทางธุรกิจ

ปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การลงโทษตามกฎหมายเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทและองค์กรธุรกิจควรตระหนักถึงความสำคัญในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มากกว่าแต่ก่อน และเริ่มต้นเตรียมตัวให้พร้อมกับการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอนาคต

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่ในสังคมประชาธิปไตยควรให้ความสำคัญ มิใช่เฉพาะกับในทางหน่วยงานของรัฐ แต่รวมถึงบริษัทและองค์กรธุรกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะ เมื่อเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีค่าดั่งทองคำ การตระหนักถึงการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความสำคัญทั้งในทางกฎหมายและเศรษฐกิจ


เชิงอรรถ

[1] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 6.

[2] กรมสรรพากร, ‘สรรพากรชู 9 ระบบ Easy Tax ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจ สร้างวิถีภาษีใหม่ให้ยิ่งง่ายและเป็นธรรม’ (กรมสนรรพากร, 24 สิงหาคม 2563) <https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/news/news52_2563.pdf> สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2565.

[3] Nicholas Confessore, ‘Cambridge Analytica and Facebook: The Scandal and the Fallout So Far’ (NY Time, 4 April 2018) <https://www.nytimes.com/2018/04/04/us/politics/cambridge-analytica-scandal-fallout.html>; and Carole Cadwalladr and Emma Graham-Harrison accessed 20 January 2022, ‘Revealed: 50 million Facebook profiles harvested for Cambridge Analytica in major data breach’ (The Guardian, 17 Mar 2018) <https://www.theguardian.com/news/2018/mar/17/cambridge-analytica-facebook-influence-us-election> accessed 20 January 2022.

[4] GDPR, Article 83 (5).

เมื่อประเทศไทยต้องการสร้างคลองไทย : สรุปผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพัvนธ์ 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในบทความที่ผ่านมาผู้เขียนได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ของการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย รวมถึงแนวคิดของนายปรีดีเกี่ยวกับการขุดคอคอดกระ และการขุดคลองสุเอซในฐานะตัวอย่างของคลองสำคัญที่สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ สำหรับบทความนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอเนื้อหาในเรื่องของการที่ประเทศไทยต้องสร้างคลองไทย และความเป็นไปได้ในการสร้างคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยในปัจจุบัน รวมถึงข้อมูล โครงการศึกษา คณะผู้ศึกษา และทรรศนะต่างๆ ที่เกี่ยวกับการขุดคลอง

ความเป็นไปได้ในการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีการกล่าวถึงโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยในฐานะอภิมหาโครงการ (mega project) ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ไทย (ดู การขุดคอคอดกระ : ประวัติศาสตร์อันยาวนานของโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย) ซึ่งรวมแล้วแนวคิดในการขุดคลองดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงมากกว่า 20 ครั้ง  

อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายๆ ของการพูดคุยกัน บทสรุปนั้นมักจะลงเอยด้วยการพูดว่า การขุดคลองนั้นมีลักษณะได้ไม่คุ้มเสีย รวมถึงมีความพยายามคิดโมเดลอื่นๆ เพื่อชดเชยแทนการขุดคลอง ตัวอย่างเช่น การนำระบบลิฟท์มาใช้เพื่อยกเรือข้ามแผ่นดิน หรือที่เรียกว่า “แลนด์บริดจ์” (land bridge) ซึ่งได้เคยมีการนำเสนอไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในฝั่งที่ให้น้ำหนักเกี่ยวกับความมั่นคง[1] ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้ถูกพูดถึงอีกครั้ง โดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา[2]

ในอดีตที่ผ่านมา ข้อคัดค้านใหญ่ที่สุดนั้นมักจะพูดถึงกันในแง่เรื่องของความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะการมองว่า เมื่อมีการขุดคลองตัดผ่านแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องความมั่นคง ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราช และอาจถูกมหาอำนาจโจมตี โดยมองว่าคลองคอดกระนั้นสามารถใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหารได้ ซึ่งในความเป็นจริง ประเด็นดังกล่าวนั้นมักจะถูกหยิบขึ้นมาใช้โดยผู้ต่อต้านการขุดคลองคอดกระอยู่เสมอ แม้กระทั่งในปัจจุบันที่โลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ข้อเสนอเรื่องนี้ก็ยังถูกหยิบยกมาโดยปรับเปลี่ยนจากการพูดถึงปัญหาความมั่นคงภายนอก มาสู่ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศจากการแบ่งแยกดินแดน

โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย

ในอดีตที่ผ่านมาโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยนั้น เกิดขึ้นมาโดยตลอด ไม่เพียงแค่แนวคิดริเริ่มเท่านั้นที่มีความหลากหลาย แต่ตำแหน่งที่คิดว่าจะมีการขุดคลองนั้นก็มีความหลากหลายเช่นกัน

ในสมัยของ นายปรีดี พนมยงค์ เสนอให้มีการขุดคลองในเส้นทาง 2A โดยในเวลานั้น นายปรีดีได้ทำการศึกษาและประเมินค่าใช้จ่ายเอาไว้ทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาท [จำนวนตัวเลขดังกล่าวประเมินขึ้นจากค่าใช้ที่ประมาณในการลงทุนก่อสร้างตามแผนการของนายปรีดี] ซึ่งงบประมาณลงทุนได้อาศัยวิธีการหลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงการกู้เงินที่จะกระทบต่อเอกราชทางเศรษฐกิจของประเทศ ความพิเศษของเรื่องนี้ คือ กุศโลบาย​ของนายปรีดีที่ล้ำลึกในการหาเงินเพื่อชดเชยการกู้และสร้างรายได้จากการขุดคลอง คือ การใช้ประโยชน์จากคลองที่พัฒนาขึ้นและทำให้ที่ดินโดยรอบมีมูลค่าสูงขึ้นจากคลอง ซึ่งเป็นต้นแบบที่ชาญฉลาดของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน​; ดู บันทึกเสนอการขุดคอคอดกระของนายปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2478 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 

การศึกษาของ รองศาสตราจารย์ ดร. สถาพร เขียววิมล เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการวิสามัญ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) วุฒิสภา นั้นพบว่า มีจำนวนเส้นทางขุดคอคอดกระเพื่อสร้างคลองแล้วจำนวน 12 เส้นทาง โดยข้อเสนอจากโครงการศึกษาความเป็นไปได้หลายๆ โครงการที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 – 2548[

ในอดีตที่ผ่านมาโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยนั้น เกิดขึ้นมาโดยตลอด ไม่เพียงแค่แนวคิดริเริ่มเท่านั้นที่มีความหลากหลาย แต่ตำแหน่งที่คิดว่าจะมีการขุดคลองนั้นก็มีความหลากหลายเช่นกัน เริ่มต้นที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือ ในสมัยของนายปรีดี พนมยงค์ เสนอให้มีการขุดคลองในเส้นทาง 2A โดยในเวลานั้นนายปรีดีได้ทำการศึกษาและประเมินค่าใช้เอาไว้ทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณลงทุนนั้นอาศัยวิธีการหลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงการกู้เงินที่จะกระทบต่อเอกราชทางเศรษฐกิจของประเทศ[3] ดังนี้

ภาพเส้นทางการขุดคลอง 12 เส้นทาง

ที่มา : ทีมข่าว TCIJ, ‘ปัดฝุ่นแนวคิด ‘ขุดคอคอดกระ’ สามร้อยกว่าปีแห่งความฝัน เราต้องแลกอะไรบ้าง?’

รายการโครงการที่เสนอให้มีการขุดคลอง

ณะผู้ศึกษาข้อเสนอ
บริษัท แทมส์ (Tippertts-Abbett-McCarthy-Stratton : TAMS) (รายงานเปิดเผยเมื่อปี 2516)– เสนอให้ขุดคลองแนว 5A (สตูล-สงขลา)
– ให้เรือขนาด 500,000 ตัน (หรือ 250,000 ตัน)
–  ขุดแบบปกติหรือใช้นิวเคลียร์บางส่วน
–  ลึก 33.5 เมตร กว้าง 490 เมตร ยาว 107 กิโลเมตร
–  งบประมาณ 22,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำนักงานพลังงานแห่งชาติ (2519)–  เสนอให้ขุดแนวพังงา-บ้านดอน
–  เรือขนาด 100,000 ตัน พร้อมทุ่นจอดเรือหรือท่าเทียบน้ำมัน
– ลึก 18 เมตร กว้างประมาณ 200 เมตร ยาว 80 กิโลเมตร
– งบประมาณ 14,000 ล้านบาท
ข้อเสนอของนายนิธิพัฒน์ ชาลีจันทร์ (ก่อนปี 2528)– เสนอให้ขุดแนวพังงา-บ้านดอน
– เรือขนาด 200,000 ตัน
– ลึก 25 เมตร กว้างช่องทางเดียว
– งบประมาณ 100,000 ล้านบาท
สถาบัน Fusion Energy Foundation (FEF) ร่วมกับ Global Infrastructure Fund Research Foundation Japan (GIF) (2528)– เสนอให้ขุดคลองแนว 5A (สตูล-สงขลา) ตามข้อเสนอของ TAMS
– เรือขนาด 300,000 ตัน
– 2 ช่องทางเดินเรือ
– งบประมาณ ถ้าขุดแบบเครื่องจักรกล 17.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากขุดโดยใช้นิวเคลียร์ต้นทุนจะอยู่ที่ 9.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สมาคมวิทยาศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ (2532)– เสนอให้ขุดคลองแนว 5A (สตูล-สงขลา) ตามข้อเสนอบริษัท TAMS
– ประมาณค่าใช้จ่ายในการลงทุนขุดคลองตามแนว 5A โดยนำมูลค่าการลงทุนที่บริษัท TAMS คำนวณไว้มาประเมินการลงทุน คาดว่าจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท
ศาสตราจารย์ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ (2540)– เสนอให้ขุดคลองคอดกระเชื่อมจากไชยา-กระเปอร์-กระบุรี
– ต้องศึกษาโครงการใหม่
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2541)– ประมวลการศึกษาโครงการของบริษัท TAMS แนว 5A (สตูล-สงขลา)
– การลงทุนสูงถึง 500,000 – 810,000 ล้านบาท
คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2541)– เสนอให้ขุดคลองแนวบริเวณหลังสวน-กระเปอร์ ซึ่งมีคลอง 2 คลอง
– มีพื้นที่เชื่อมระหว่างคลองยาวประมาณ 12 กิโลเมตร
– แนวการขุดบนพื้นดินทั้งหมด 90 – 120 กิโลเมตร แนวน้ำลึก 25 เมตร
– เรือขนาด 247,000 ตัน
– แต่ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดถึงความเหมาะสมการลงทุน ของโครงการนี้
คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) วุฒิสภา ชุดปี 2543 เสนอรายงานในปี 2548– เสนอเส้นทางใหม่คือ แนว 9A (ตัดผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา)
– ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร กว้าง 300 – 400 เมตร ลึก 30 – 35 เมตร
– มีลักษณะเป็นคลอง 2 คลอง คู่ขนานกันไประหว่างไปและกลับคนละคลอง- งบประมาณลงทุน 650,000 ล้านบาท

ที่มา : ทีมข่าว TCIJ, ‘ปัดฝุ่นแนวคิด ‘ขุดคอคอดกระ’ สามร้อยกว่าปีแห่งความฝัน เราต้องแลกอะไรบ้าง?’

การศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองคอดกระในปัจจุบัน

นอกเหนือจากโครงการศึกษาความเป็นไปได้ก่อนหน้านี้แล้ว ล่าสุดโครงการขุดคลองคอดกระได้ถูกหยิบยกกลับมาศึกษาอีกครั้งโดยคณะอนุกรรมาธิการด้านการคมนาคมทางน้ำและพาณิชยนาวี ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา โดยมีพลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ 

ในแง่ของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการศึกษาครั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการได้เลือกที่จะใช้เส้นทาง 9A โดยตัดผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา ซึ่งเป็นเส้นทางเดิมที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) วุฒิสภา โดยมีความกว้างและความลึกเช่นเดียวกันกับรายงานการศึกษาตามเส้นทาง 9A เดิม โดยเพิ่มรายละเอียดให้ต้องมีประตูกั้นน้ำจำนวน 2 ช่วง เพื่อควบคุมสภาพน้ำและป้องกันผลกระทบต่างๆ ต่อสิ่งแวดล้อม[5]

นอกจากการศึกษาที่เพิ่มเติมจากเส้นทาง 9A เดิมแล้วนั้น คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองในเชิงเศรษฐกิจ โดยมีการประเมินรายรับคลองไทยกับรายจ่ายลงทุน โดยเปรียบเทียบการลงทุนเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ภายใต้การศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ ได้ทำการศึกษารายรับหลักของคลองไทยว่ามาจาก ค่าธรรมเนียมการผ่านคลอง โดยคำนวณจากจำนวนเรือที่คาดการณ์ว่าจะมาผ่านคลองไทย ซึ่งแบ่งเป็นช่วงเวลาจำนวน 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ปี ค.ศ. 2030, ค.ศ. 2040 และ ค.ศ. 2050 มาประมวลร่วมกับอัตราค่าผ่านคลองไทยที่จะเรียกเก็บ โดยพิจารณาจากประเภทของเรือที่จะผ่านคลอง และอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ โดยอัตราต่ำสุดสำหรับเรือขนาดเล็กเที่ยวละ 4,200 – 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ และสูงสุดสำหรับเรือขนาดใหญ่เที่ยวละ 30,000 – 56,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีจำนวนเรือคาดการณ์ว่าจะเดินทางผ่านเมื่อคลองเปิดใช้ ดังนี้[6]

  • ในปี ค.ศ. 2030 มีเรือผ่าน 13,823 เที่ยว เก็บค่าธรรมเนียมได้ 390.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 12,498 ล้านบาท
  • ในปี ค.ศ. 2040 มีเรือผ่าน 21,766 เที่ยว เก็บค่าธรรมเนียมได้ 683.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 21,881 ล้านบาท
  • ในปี ค.ศ. 2050 มีเรือผ่าน 28,368 เที่ยว เก็บค่าธรรมเนียมได้ 1041.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 33,332 ล้านบาท

ในแง่รายจ่ายในการลงทุน ค่าใช้จ่ายหลักที่นำมาพิจารณา คือ การขุดคลองไทยแนว 9A นั้นประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แก่ 

  • ด้านวิศวกรรมเป็นจำนวน 54,563 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 
  • ค่าเวนคืนที่ดิน รื้อถอน เคลื่อนย้ายประชาชน ชดเชยระบบนิเวศทางทะเล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมแล้ว 13,585 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ช่วงการก่อสร้างระยะเวลา 6 ปี 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งสิ้นเป็นเงิน 72,973 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงความคาดเคลื่อนในการประมาณการ ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดนอกเหนือจากนี้แล้ว อาจจะกำหนดเป็นตัวเลขกลมๆ เพื่อความสะดวกในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปเป็นรายจ่ายลงทุนทั้งสิ้น 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.34 ล้านล้านบาท และหากเป็นกรณีกู้เงินมาลงทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี จะต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 1,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 58,400 ล้านบาท[7] อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นยังไม่ได้เป็นการสรุปรวมค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ทั้งหมดตลอดทั้งโครงการ ซึ่งรวมถึงบรรดาดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดระยะเวลาที่ยังชำระเงินต้นไม่ครบ

เปรียบเทียบรายรับกับรายจ่ายในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้

วงเงินล้านบาทปี ค.ศ. 2030ปี ค.ศ. 2040ปี ค.ศ. 2050
รายรับ
(ค่าผ่านคลอง)
12,49821,88133,332
รายจ่าย(เฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้)58,40058,40058,400
รายรับ – รายจ่าย– 45,902 – 36,519– 25,068

ที่มา : คณะอนุกรรมาธิการด้านการคมนาคมทางน้ำและพาณิชยนาวี ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

เมื่อพิจารณารายจ่าย เฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้เพียงอย่างเดียวแล้ว โดยยังไม่คิดดอกเบี้ยทบต้น ประมาณปีละ 25,000 – 45,000 ล้านบาท หรือรายจ่ายสูงกว่ารายรับประมาณ 1.75 – 4.67 เท่า  ทั้งนี้ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยระบบนิเวศส่วนอื่นนอกเหนือจากระบบนิเวศทางทะเล และค่าใช้จ่ายประเภทดำเนินงาน (operation cost) และค่าบำรุงรักษา (maintenance cost) สำหรับอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ  ดังนั้น ลำพังเฉพาะเพียงค่าผ่านคลองอย่างเดียวในความเห็นของคณะอนุกรรมาธิการ จึงเห็นว่าไม่เพียงพอจะชำระเงินต้นหรือแม้แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ได้  ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหารายรับส่วนอื่นเข้ามาเสริม[8]

กล่าวโดยสรุปแล้ว โครงการสร้างคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทยนั้นยังคงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ถูกพูดถึงอยู่ทุกสมัยตลอดเวลา และอาจจะถูกพูดถึงอีกตลอดไปเรื่อยๆ ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลขคือ การประมาณค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไปต้นทุนที่ต้องใช้ในการก่อสร้างนั้นก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้น ทั้งในเชิงของค่าใช้จ่ายเพื่อการเวนคืน หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปเพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์  

นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงกรณีเมื่อเทคโนโลยีหรือความจำเป็นเปลี่ยนไป ทำให้การใช้เทคโนโลยีแบบเดิมไม่ทันสมัยแล้วก็อาจจะไม่คุ้มค่าที่จะใช้วิธีการเดิมๆ อีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่ผู้เขียนอยากจะสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ไม่มีคำพูดใดจะดีเท่ากับคำพูดของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเคยกล่าวไว้ว่า

“ปัญหาจริงๆ แล้วของเราคือ เราไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องเวลา เพราะเราคิดว่าเวลาคือของฟรี แต่ระยะเวลาไม่ฟรี เวลาเป็นสิ่งที่แพงที่สุด”


เชิงอรรถ

[1] ดู เฉลิม ศกุนวัฒน์, ‘จำเป็นต้องขุดคลองผ่านคอคอดกระหรือไม่’ ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพลเรือโทเฉลิม ศกุนวัฒน์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส อังคารที่ 11 เมษายน 2515 (ไม่ปรากฏที่พิมพ์ 2515) 15 – 18.

[2] ดู ผู้จัดการออนไลน์, ‘ศักดิ์สยามดันแลนด์บริดจ์เทียบชั้นท่าเรือฮ่องกง คาดมีสินค้ากว่า 20 ล้านทีอียู เร่งออกแบบจูงใจสายเรือ’ (ผู้จัดการออนไลน์, 24 พฤศจิกายน 2564) <https://mgronline.com/business/detail/9640000116650&gt; สืบค้นเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2565.

[3] ทีมข่าว TCIJ, ‘ปัดฝุ่นแนวคิด ‘ขุดคอคอดกระ’ สามร้อยกว่าปีแห่งความฝัน เราต้องแลกอะไรบ้าง?’ (TCIJ, 30 สิงหาคม 2560) <https://www.tcijthai.com/news/2015/30/scoop/5760&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565.

[4] กลุ่มงานผลิตเอกสารเผยแพร่ สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, ‘การศึกษาเชิงลึกโครงการคลองไทย ประเด็นการเปรียบเทียบรายรับคลองไทยกับรายจ่ายลงทุน’ (2564) 9 สารวุฒิสภา 32.

[5] เพิ่งอ้าง 32.

[6] เพิ่งอ้าง 32.

[7] เพิ่งอ้าง 32.

คลองสุเอซ : การเริ่มต้นก่อสร้าง ปัญหา และผลประโยชน์จากการขุดคลองของต่างประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองเชื่อมสองฝั่งทะเลเพื่อร่นระยะทางการเดินเรือนั้น เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมทำกันทั่วโลกเพื่อช่วยลดต้นทุนในการเดินทางและการขนส่ง ซึ่งในหลายกรณีคลองที่ขุดขึ้นมาใหม่นั้นช่วยลดระยะทางการเดินทางและการขนส่งได้มาก เช่น คลองสุเอซ (Suez Canal) ซึ่งลดระยะการเดินทางระหว่างทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย โดยไม่ต้องไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) เป็นต้น

ในแง่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคลองทั้งสองนั้นสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอียิปต์เป็นอย่างมาก และเคยนำไปสู่ข้อพิพาททางการเมืองระหว่างประเทศหลายๆ ครั้ง ในบทความนี้จะมาพิจารณาในแง่ของความเป็นมา และผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของคลองทั้งสอง และคลองสุเอซกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของอังกฤษ และ ผลประโยชน์ของคลองสุเอซในปัจจุบัน

การกำเนิดคลองสุเอซ

การขุดคลองเชื่อมทะเล หรือ คลองเดินเรือสมุทร (ship canal) เป็นโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านขนส่งและคมนาคมขนาดใหญ่โครงการหนึ่ง โครงการขุดคลองประเภทนี้เป็นการดำเนินการเพื่อวางแผนเส้นทางคมนาคมทางน้ำเพื่อรองรับเรือเดินทะเล แม่น้ำ หรือเชื่อมทะเลสาบขนาดใหญ่ แตกต่างจากคลองทั่วไป โดยจะมีระดับความลึกของน้ำที่มากกว่า และระดับความสูงของสะพานที่สูงกว่า ในกรณีที่มีการสร้างสะพานข้ามผ่านคลองดังกล่าว[1]

วัตถุประสงค์ของการขุดคลองเดินเรือสมุทรนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่ (1) เพื่อสร้างทางลัดและหลีกเลี่ยงเส้นทางอ้อมที่ยาว (2) เพื่อสร้างการเชื่อมโยงการเดินเรือระหว่างทะเล หรือทะเลสาบที่ไม่ทางออกสู่ทะเล (3) เพื่อให้เมืองภายในภูมิประเทศปิดเชื่อมโยงการขนส่งโดยตรงไปยังทะเล และ (4) เพื่อเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าทางเลือกอื่นๆ[2]

โครงการก่อสร้างคลองเดินเรือสมุทรที่สำคัญคลองหนึ่งก็คือ คลองสุเอซ โดยเป็นคลองขุดระดับน้ำทะเลเดียวตลอด (sea level canal) ขุดผ่านคอคอดสุเอซเพื่อเชื่อมต่ออ่าวสุเอซในทะเลแดงกับพอร์ตซาอิด (Port Said) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[3]

แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองสุเอซนั้นเริ่มต้นมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยชาวเวนิช และต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16–17 ได้มีนักเขียนและนักวิชาการชาวฝรั่งเศสพยายามชักจูงและโน้มน้าวให้มีการขุดคลองสุเอซขึ้น แต่ก็มีข้อโต้แย้งเรื่องการขุดคลองเนื่องจากจะเป็นการช่วงชิงอภิสิทธิ์ในการค้าของอินเดียตะวันออก ซึ่งโปรตุเกสเป็นเจ้าของ[4] อิทธิพลของการแบ่งเขตการค้าระหว่างสเปนกับโปรตุเกสนั้นเป็นไปตาม สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas) ซึ่งเป็นการตกลงแบ่งเขตอิทธิพลในการสำรวจโลกระหว่างสเปนกับโปรตุเกส โดยสเปนจะได้ครอบครองพื้นที่สำรวจและทำการค้าด้านตะวันตก ส่วนโปรตุเกสได้พื้นที่สำรวจและทำการค้าด้านตะวันออก[5] 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาอิทธิพลของโปรตุเกสเริ่มลดลงจากการเข้าแข่งขันโดยชาวดัชท์ และในที่สุดเส้นทางการค้านี้ก็ถูกควบคุมโดยอังกฤษ (หรือสหราชอาณาจักร)[6] ทว่า เส้นทางเดินเรือหลักในเวลานั้นยังเป็นการเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮป  ดังนั้น ข้อเสนอในการขุดคลองสุเอซจึงยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จำเป็นต้องดำเนินการ

ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1798–1801 (ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส) ประเทศฝรั่งเศสครองอิทธิพลเหนืออียิปต์ และได้จัดให้มีการสำรวจแนวทางบริเวณที่คาดว่าจะขุดคลองสุเอซขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งจากการสำรวจในเวลานั้นพบว่า ระดับน้ำในส่วนของทะเลแดงนั้นมีระดับสูงกว่าทางฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึง 32 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 10 เมตร เป็นผลให้โครงการขุดคลองในเวลานั้นล้มเหลว เพราะไม่สามารถทำให้ระดับน้ำในคลองอยู่ในระดับเดียวกัน[7] (ปัญหาข้อนี้คล้ายกันกับที่ประเทศไทยเจอเมื่อมีความพยายามขุดคอคอดกระ)

การก่อสร้างคลองสุเอซเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างเมื่อปี ค.ศ. 1854 เมื่อ มองซิเออร์ แฟร์ดีน็อง เดอ แลแซ็ปส์(Ferdinand Marie, Vicomte de Lesseps) วิศวกรและอดีตนักการทูตชาวฝรั่งเศสได้ติดต่อรัฐบาลท้องถิ่นของอียิปต์เพื่อเริ่มต้นโครงการโดยได้รับการสนับสนุนจาก โมฮัมเมด ซาอิด ปาชา (Mohamed Sa’id Pasha) ผู้สำเร็จราชการแห่งอียิปต์ ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี)

คลองสุเอซกับปัญหาต่างๆ

กระบวนการก่อสร้าง คลองสุเอซ นั้นมีปัญหาหลายประการทั้งในเรื่องเงินทุนที่นำมาใช้ในการก่อสร้าง หรือ ปัญหาจากโรคมาลาเรียที่ทำให้คนงานเสียชีวิตล้มตายเป็นจำนวนมาก[8] ประเด็นสำคัญคือ เรื่องเงินทุนที่จะนำมาใช้ในการขุดและก่อสร้างคลองสุเอซ ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเลือกใช้วิธีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาและระดมทุนเพื่อใช้ในการก่อสร้าง โดยวงเงินลงทุนของบริษัทกำหนดไว้ทั้งสิ้นเป็นเงิน 200 ล้านฟรังก์ โดยแบ่งหุ้นย่อยๆ เป็นหุ้นละ 500 ฟรังก์ และรัฐบาลอียิปต์จะได้รับปันผลร้อยละ 15 จากผลกำไร[9]

ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งของการก่อสร้างคลองสุเอซก็คือ การถูกคัดค้านโดยรัฐบาลอังกฤษในเวลานั้น เนื่องจากอังกฤษในเวลานี้เป็นผู้ควบคุมเส้นทางการเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป ในขณะเดียวกันการขุดคลองจะกระทบต่อความมั่นคงในอาณานิคมอินเดียของอังกฤษ แม้ว่าอังกฤษจะมีความสนใจเกี่ยวกับคลองเส้นนี้อยู่พอสมควรถึงขนาดเคยแอบทำการสำรวจในปี ค.ศ. 1830[10]

การจัดตั้งบริษัทคลองสุเอซได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1856 ภายใต้สัมปทานนี้ ได้มีการเจรจาตกลงทำสัญญาระหว่างบริษัท และรัฐบาลท้องถิ่นของอียิปต์ โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญสรุปได้คือ คลองจะต้องเปิดตลอดเวลาให้เรือสินค้าทุกลำผ่านไปมาได้โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของสัญชาติเรือ ในขณะที่บริษัทมีสิทธิที่จะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านคลองเป็นอัตราตายตัว และสามารถขึ้นค่าธรรมเนียมได้ตามความจำเป็น โดยสัญญานี้มีผลผูกพันเป็นระยะเวลา 99 ปี นับตั้งแต่คลองเปิดใช้ให้เรือผ่านได้ และเมื่อขุดคลองสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาคลองจะตกเป็นของรัฐบาลอียิปต์ 

อย่างไรก็ดี เมื่อผู้สำเร็จราชการคนเดิมเสียชีวิตลง ได้เกิดความพยายามเจรจาครั้งใหม่เพื่อรับรองผลประโยชน์ของรัฐบาลท้องถิ่นอียิปต์ให้มากขึ้น เช่น การยกเลิกเงื่อนไขที่ฝ่ายอียิปต์จะต้องจัดหาแรงงานกรรมกรเพื่อการขุดคลองจากการบังคับเกณฑ์แรงงาน เป็นต้น ซึ่งในท้ายที่สุด รัฐบาลจักรวรรดิออตโตมันได้เข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ประกอบกับการขอให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เข้ามาเป็นอนุญาโตตุลาการ ในที่สุดบริษัทได้ยอมรับเงื่อนไขของทางรัฐบาลท้องถิ่นอียิปต์ ซึ่งมีผลในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน และชดเชยผลประโยชน์ให้กับรัฐบาลท้องถิ่นอียิปต์[11]

ในท้ายที่สุด คลองสุเอซ ก็เปิดใช้งานวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1869 โดยโครงการก่อสร้างคลองสุเอซได้ใช้ระยะเวลารวมแล้ว 10 ปี จึงแล้วเสร็จ ล่วงเลยมาจากเวลาเดิม 4 ปี (เดิมคาดการณ์ไว้ว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จเพียง 4 ปี) และมีค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่ตั้งไว้เดิม 200 ล้านฟรังก์ มาเป็น 433 ล้านฟรังก์ ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้เกือบเท่าตัว[12]

การเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของอังกฤษ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า รัฐบาลอังกฤษคอยจับตาดูโครงการขุด คลองสุเอซ มาโดยตลอด และแม้จะไม่ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทตอนแรก แต่เมื่อคลองสร้างเสร็จและเปิดใช้งานในเวลาต่อมาผลประโยชน์จากคลองเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1875 เบนจามิน ดิสราเอลี เอิร์ล แห่งเบคอนสฟิลด์ (Benjamin Disraeli, 1st Earl of Beaconsfield) นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ได้แสดงความประสงค์จะซื้อหุ้นจากรัฐบาลท้องถิ่นของอียิปต์จาก อิสมาอิล ปาชา (Isma’il Pasha) ผู้สำเร็จราชการแห่งอียิปต์ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน โมฮัมเมด ซาอิด ปาชา เป็นจำนวน 176,602 หุ้น คิดเป็นเงินมูลค่ากว่า 4.8 หมื่นล้านปอนด์สเตอร์ลิง ในเวลานั้น ซึ่งมีผลทำให้อังกฤษกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัท[13]

การเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจในคลองสุเอซของอังกฤษนั้นไม่ชัดเจนว่า มีผลประโยชน์เท่าใด เนื่องจากไม่สามารถทราบรายละเอียดที่ของผลประโยชน์ตามสิทธิในหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิที่อังกฤษครอบครองไว้[14]  อย่างไรก็ดี ถ้าหากพิจารณาสถิติในปี ค.ศ. 1963 รายได้ของคลองสุเอซมากกว่า 71 ล้านปอนด์อียิปต์ ในปี ค.ศ. 1964 มากกว่า 77 ล้านปอนด์อียิปต์ และในปี ค.ศ. 1980 ได้สูงสุดถึง 660 ล้านปอนด์อียิปต์[15] ตัวเลขดังกล่าวน่าจะเพียงพอที่จะสะท้อนให้เห็นว่า รายได้จากคลองนั้นมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาล

นอกจากนี้ การเข้ามามีผลประโยชน์ในคลองสุเอซนั้นอาจจะมีหลายลักษณะทั้งในแง่มูลค่าตอบแทนทางเศรษฐกิจ ในแง่การบริหารจัดการคลองสุเอซนั้น แม้จะอยู่ในอาณาเขตของอียิปต์ แต่ในสายตานานาชาตินั้นไม่ได้ยอมรับอธิปไตยเหนือเขตคลองสุเอซของอียิปต์เท่าไรนัก ในขณะเดียวกันการกำหนดทิศทางการตัดสินใจเกี่ยวกับคลองนั้นเป็นไปตามคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยสัดส่วนผู้แทนจากประเทศผู้ถือหุ้นต่างๆ โดยกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้แทนของอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ในทางปฏิบัติการรักษาผลประโยชน์ในคลองสุเอซของอียิปต์จึงไม่ประสบความสำเร็จ

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1956 ได้เกิดวิกฤตใหญ่ระหว่างบริษัทกับรัฐบาลอียิปต์ทำให้ท้ายที่สุดก็เกิดการยกเลิกสัญญาสัมปทาน และเปลี่ยนผ่านการดูแลผลประโยชน์ในคลองจากบริษัทมาสู่รัฐบาลอียิปต์[16] ซึ่งนำไปสูการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลคลองสุเอซ (Suez Canal Authority) โดยมีสถานะเป็นองค์กรอิสระตามกฎหมายของประเทศอียิปต์ โดยประธานาธิบดีญะมาล อับดุนนาศิร ฮุซัยน์ (Gamal Abdel Nasser Hussein) ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอียิปต์ภายหลังวิกฤตคลองสุเอซ โดยรับโอนทรัพย์สินทั้งหมดมาจากบริษัทคลองสุเอซเดิม[17]

ผลประโยชน์ของคลองสุเอซในปัจจุบัน

“คลองสุเอซ” นั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับประเทศอียิปต์เป็นอย่างมาก ในฐานะเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียและทวีปยุโรปจากผลการรายงานเชิงสถิติได้สรุปว่า รายได้จากคลองสุเอซย้อนหลังเป็นระยะเวลา 4 ปี (จากปี พ.ศ. 2560) เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 1.54 ของ GDP ประเทศอียิปต์ (363.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2563) โดยในปี พ.ศ. 2565 นั้นจากการรายงานของสำนักข่าว เดอะการ์เดียน พบว่า คลองสุเอซทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยทำรายได้มากถึง 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563[18] แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เรือบรรทุกสินค้าบริษัทเดินเรือ Evergreen Marine Corporation ของไต้หวัน ยังคงเกยตื้นขวางการเดินเรือในคลองสุเอซ ซึ่งมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก[19]


ที่มา: Statista, ‘Suez’s revenue from FY 2016 to FY 2020’ (Statista, February 2021) <https://www.statista.com/statistics/1049460/revenue-suez-globally/> accessed 15 February 2022.

การขุดคลองเดินเรือสมุทรในพื้นที่อื่นๆ

การขุดคลองเดินเรือสมุทรเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญในการสร้างระบบการขนส่งที่ช่วยประหยัดต้นทุนในการเดินเรือตามทางธรรมชาติ โดยในปัจจุบันมีการขุดคลองเดินเรือสมุทรแล้วรวมทั้งสิ้น 14 แห่งทั่วโลกดังนี้

ประเทศชื่อคลองเชื่อมระหว่าง
ปานามาคลองปานามาเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับทะเลแคริบเบียน
อียิปต์คลองสุเอซเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดง
เยอรมนีคลองคีลเชื่อมระหว่างทะเลเหนือกับทะเลบอลติก
รัสเซียคลองระหว่างทะเลขาวกับทะเลบอลติคเชื่อมระหว่างทะเลขาวกับทะเลบอลติก
โรมาเนียคลองระหว่างแม่น้ำดานูบและทะเลดำเชื่อมระหว่างแม่น้ำดานูบกับทะเลดำ
เยอรมนีคลองไรน์-ไมน์-ดานูบเชื่อมระหว่างแม่น้ำไมน์กับแม่น้ำดานูบ
รัสเซียคลองวอลกา-ดอนเชื่อมระหว่างแม่น้ำวอลกากับแม่น้ำดอน
สหรัฐอเมริกาคลองเดินเรือฮิวตันเชื่อมระหว่างแผ่นดินฮิวสตันถึงอ่าวเม็กซิโก
สหราชอาณาจักรคลองเดินเรือแมนเชสเตอร์เชื่อมระหว่างแผ่นดินแมนเชสเตอร์ถึงทะเลไอริช
แคนาดาคลองเวลแลนด์เชื่อมระหว่างทะเลสาบออนแทรีโอกับทะเลสาบอิรี
สหรัฐอเมริกา-แคนาดาเซนต์ลอว์เรนซ์ซีเวย์เชื่อมระหว่างเกรตเลกส์กับมหาสมุทรแอตแลนติก
จีนคลองใหญ่ (ประเทศจีน)
(Jing–Hang Grand Canal)*
เชื่อมต่อแม่น้ำไห่เหอ แม่น้ำฮวงโห แม่น้ำหวยเหอ แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเฉียนถังเจียง เข้าไว้ด้วยกัน
สหราชอาณาจักรคลองแคเลโดเนียนเชื่อมระหว่างชายฝั่งทิศตะวันออกของอินเวอร์เนสส์กับชายฝั่งทิศตะวันตกของคอร์แพช
กรีซคลองคอรินท์เชื่อมระหว่างอ่าวคอรินท์กับอ่าวซาโรนิก

หมายเหตุ : กรณีของคลองใหญ่นั้นเป็นการเชื่อมคลองโดยอาศัยโครงสร้างของคลองเดิมที่มีการก่อสร้างโดยพัฒนาขึ้นจากโครงสร้างคลองเดิมที่มีการขุดในแต่ละยุคสมัย

ในบรรดาคลองดังกล่าวข้างต้นนั้นมีส่วนสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการเก็บค่าธรรมเนียมการผ่านทาง ผลประโยชน์จากการทำธุรกรรม การขนส่งสินค้าและคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งของคลองปานามา ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศปานามา

บทความที่เกี่ยวข้อง:


เชิงอรรถ

[1] ROY G. FINCH, ‘The Story of the New York State Canals’ (New York State) <https://www.canals.ny.gov/history/finch_history_print.pdf> accessed 13 February 2022, 11.

[2] ‘Ship Canal’ (Wikipedia) https://en.wikipedia.org/wiki/Ship_canal accessed 13 February 2022.

[3] เกตุ สันติเวชชกุล, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ร.อ. เกตุ สันติเวชชกุล ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร วันพุธที่ 23 มกราคม 2534 (บ้านสันติเวชชกุล 2534) 3.

[4] เพิ่งอ้าง 4.

[5] ‘Treaty of Tordesillas’ (Britannica Encyclopedia) https://www.britannica.com/event/Treaty-of-Tordesillas accessed 13 February 2022.

[6] เกตุ สันติเวชชกุล, (เชิงอรรถที่ 3) 4.

[7] เพิ่งอ้าง 4.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองของปรีดี กับ บทเรียนเกี่ยวกับคลองของต่างประเทศ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 กุมภาพันธ์ 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/02/978> สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2565.

[9] เกตุ สันติเวชชกุล, (เชิงอรรถที่ 3) 5.

[10] เพิ่งอ้าง 4.

[11] เพิ่งอ้าง 4-8.

[12] เพิ่งอ้าง 8.

[13] เพิ่งอ้าง 8.

[14] Bent Hansen and Khairy Tourk, ‘The Profitability of the Suez Canal as a Private Enterprise, 1859-1956’ (1998) 38 The Journal of Economic History 938, 946.

[15] เกตุ สันติเวชชกุล, (เชิงอรรถที่ 3) 11.

[16] เพิ่งอ้าง 11-12.

[17] ‘Suez Canal Authority’ (Wikipedia) <https://en.wikipedia.org/wiki/Suez_Canal_Authority> accessed 15 February 2522.

[18] AP news wire ‘Suez Canal revenues hit all-time record at $6.3 billion’ (Independent, 2 January 2022) <https://www.independent.co.uk/news/suez-canal-cairo-egypt-red-mediterranean-b1985595.html> accessed 15 February 2022.

[19] เพ็ญโสภา สุคนธรักษ์, ‘ประเมินผลกระทบเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ’ (ไทยรัฐออนไลน์, 29 มีนาคม 2564) <https://www.thairath.co.th/news/foreign/2058447> สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2565.

พาสปอร์ตกับพระราชอำนาจ: ทำความเข้าใจสถานะกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรในระบอบประชาธิปไตย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 บนเว็บไซต์ waymagazine.org

พาสปอร์ต (passport) เป็นเอกสารสำคัญอย่างหนึ่งที่ใครหลายๆ คนจำเป็นต้องมีเพื่อใช้ในการเดินทางไปมาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วหากบุคคลนั้นเป็นบุคคลสำคัญระดับประมุขหรือผู้บริหารประเทศ 

การมีพาสปอร์ตยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐหรือรัฐบาล ในบางประเทศมีการออกพาสปอร์ตพิเศษสำหรับการเดินทางเพื่อประโยชน์ทางการทูต เช่น หนังสือเดินทางทูต (diplomatic passport) เป็นต้น แต่ก็มีบางบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตในการเดินทาง บุคคลนั้นก็คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะประมุขของประเทศสหราชอาณาจักร 

ข้อสำคัญของการอธิบายว่า ทำไมสมเด็จพระราชินีนาถฯ ถึงไม่ต้องใช้พาสปอร์ตนั้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรว่ามีสถานะอยู่ในลักษณะใด และเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจเรื่องสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่

ทำไมสมเด็จพระราชินีนาถฯ ถึงไม่ต้องใช้พาสปอร์ต

พาสปอร์ต (passport) หรือหนังสือเดินทาง เป็นเอกสารสำคัญซึ่งออกโดยรัฐบาลเพื่อใช้สำหรับยืนยันตัวบุคคลหรือสัญชาติของบุคคลในการเดินทางระหว่างประเทศ โดยหนังสือเดินทางมาตรฐานนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ ที่ชี้เฉพาะและยืนยันตัวบุคคล เช่น ชื่อผู้ถือพาสปอร์ต ที่อยู่อาศัย วันเกิด รูปถ่าย ลายเซ็น และข้อมูลระบุตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการยืนยันตัวบุคคลหรือสัญชาติของบุคคล เป็นต้น ซี่งโดยทั่วไปนั้นหากไม่มีพาสปอร์ตแล้วบุคคลจะไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้เลย

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้อาจมีข้อยกเว้นสำหรับบางบุคคลที่อาจไม่ต้องมีพาสปอร์ตเพื่อใช้ในการเดินทาง อย่างสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยเว็บไซต์ http://www.royal.uk ได้ให้คำอธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า พิจารณาหนังสือเดินทางของประเทศสหราชอาณาจักรแล้ว เมื่อเปิดหน้าแรกของหนังสือเดินทางจะพบตราแผ่นดิน (Royal Arms) ของประเทศสหราชอาณาจักร พร้อมด้วยข้อความที่ว่า

“Her Britannic Majesty’s Secretary of State requests and requires in the name of Her Majesty all those whom it may concern to allow the bearer to pass freely without let or hindrance and to afford the bearer such assistance and protection as may be necessary.”[1]

กล่าวโดยสรุปก็คือ พาสปอร์ตฉบับนี้ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ร้องขอและเรียกร้องในนามของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ให้บุคคลทุกคนที่ถือหนังสือเดินทางฉบับนี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางอย่างอิสระ โดยปราศจากการขัดขวาง และได้รับความช่วยเหลือและคุ้มครองเท่าที่จำเป็น

ตามนัยดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในทรรศนะของประเทศสหราชอาณาจักรนั้น เมื่อพาสปอร์ตนั้นออกภายใต้และในนามของสมเด็จพระราชินีนาถ สมเด็จพระราชินีนาถจึงไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตเพื่อใช้ในการเดินทาง เพราะสมเด็จพระราชินีนาถคือ ผู้อนุญาตให้ทุกคนเดินทาง ผู้อนุญาตจึงไม่จำเป็นต้องอนุญาตให้ตัวเองกระทำสิ่งใดก็ด้วยมีอำนาจที่จะกระทำสิ่งนั้นด้วยตนเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอยกเว้นนี้ไม่ได้นำมาใช้กับสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ รวมทั้งดยุคแห่งเอดินเบิร์กพระสวามี และเจ้าชายแห่งเวลส์[2] ซึ่งในการเดินทางของทั้งสองพระองค์และสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ต้องใช้พาสปอร์ต ซึ่งหลักการดังกล่าวนั้นได้นำมาใช้กับประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเป็นประมุข เว้นแต่จะได้มีการยกเว้นหากกรณีดังกล่าวการเป็นการกระทำในนามของข้าหลวงใหญ่ซึ่งมีฐานะเป็นตัวแทนของสมเด็จพระราชินีนาถ[3]

นอกเหนือจากพาสปอร์ตแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถนั้นยังไม่ต้องมีหนังสือราชการอื่นๆ เช่น ใบขับขี่รถยนต์ เป็นต้น เนื่องจากเอกสารราชการเหล่านี้นั้นออกในนามของสมเด็จพระราชินีนาถเช่นเดียวกัน[4] สิ่งนี้สะท้อนบริบทพิเศษของสถานะสถาบันกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

สถานะของสมเด็จพระราชินีนาถในระบบกฎหมายสหราชอาณาจักร

ในระบบกฎหมายของสหราชอาณาจักรนั้นสถานะของสมเด็จพระราชินีนาถ (หรือสมเด็จพระราชาธิบดีกรณีประมุขของรัฐเป็นผู้ชาย) นั้นมีสถานะเป็นนิติบุคคล (พระมหากษัตริย์ในกรณีนี้คือ ในนามสถาบันที่ไม่เจาะจงตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง) ซึ่งกรณีสถานะของสมเด็จพระราชินีนาถหรือสมเด็จพระราชาธิบดีนั้นจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแสดงแทนรัฐ (State)[5] การกระทำใดๆ ของรัฐจึงกระทำในนามของสมเด็จพระราชินีนาถหรือสมเด็จพระราชาธิบดีซึ่งเป็นประมุของค์ปัจจุบันนั้นเป็นการกระทำในนามของรัฐ ดังจะเห็นได้จากในบางกรณี เช่น ในการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาลสหราชอาณาจักรหรือประเทศในเครือจักรภพนั้นจะใช้ชื่อคดีว่า “R v. Defendant”[6] หรือ “The Crown and the Defendant” เป็นต้น 

การทำความเข้าใจสถานะของพระมหากษัตริย์ในระบบกฎหมายของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) นั้นอธิบายแตกต่างจากบริบทของประเทศไทย เนื่องจากมโนทัศน์ซึ่งนำมาใช้ในการอธิบายนั้นแตกต่างกันอันเป็นผลมาจากการก่อตัวของภูมิปัญญาที่แตกต่างกัน การมีสถานะเป็นนิติบุคคลของกษัตริย์อังกฤษนั้นเกิดขึ้นจากการก่อตัวในทางประวัติศาสตร์ผ่านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบอังกฤษก่อนจะคลี่คลายตัวเข้ามาสู่ระบอบประชาธิปไตย

ในทรรศนะของระบบกฎหมายของสหราชอาณาจักรนั้นมีข้อความคิดอย่างหนึ่งซึ่งแตกต่างจะข้อความคิดในระบบกฎหมายมหาชนของประเทศอื่นๆ คือ ข้อความคิดที่เรียกว่า “เดอะ คราวน์” (the Crown) ซึ่งอาจเทียบกับข้อความคิดว่าด้วย “รัฐ” ของประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศในระบบประมวลกฎหมาย (civil law)

แนวคิดเกี่ยวกับสถานะของ “เดอะคราวน์” นั้นถูกนำมาใช้ในการอธิบายหลายเรื่องๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีของอังกฤษ ในทางหนึ่งอาจหมายถึง พระมหากษัตริย์ในฐานะพระมหากษัตริย์ทั้งในทางสาธารณะและในทางส่วนตัว และอีกทางหนึ่งตามที่ลอร์ดเทมเปิลแมน (Lord Templeman) ได้อธิบายในคำวินิจฉัยของสภาขุนนาง (the decision of the House of Lords) ในคดี M v. Home Office ซึ่งคำว่า เดอะ คราวน์ หมายถึง ฝ่ายบริหารของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงพระมหากษัตริย์ รัฐมนตรี และรวมถึงหน่วยงานของรัฐในฝ่ายบริหาร[7] การอธิบายในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นการอธิบายผ่านการก่อตัวของแนวคิดในทางประวัติศาสตร์ของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเมื่อระบบอการปกครองเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบประชาธิปไตย[8] แนวคิดดังกล่าวจึงพัฒนามาใช้อธิบายฝ่ายบริหารของรัฐบาลที่มีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร และเป็นแหล่งอำนาจในทางประวัติศาสตร์[9] ซึ่งบริบทเฉพาะตัวทางประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษโดยแท้ โดยสมเด็จพระราชินีนาถหรือสมเด็จพระราชาธิบดีนั้นทรงมีสถานะเป็นพระประมุขของประเทศ และเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศในทางพฤตินัย แต่ในทางนิตินัยแล้วผู้ใช้อำนาจรัฐคือ คณะรัฐมนตรีโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำการบริหารประเทศ[10]

อย่างไรก็ดี ปัญหาต่อมาคือ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงมีสถานะแทนรัฐแล้ว ในความเป็นจริงทรงมีอำนาจอย่างแท้จริงหรือไม่

สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย

บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยนั้นมีความแตกต่างจากสถาบันกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะการจำกัดบทบาทลงมาจากการเป็นผู้ปกครองกลายมาเป็นการครองราชย์สมบัติในฐานะประมุขเชิงสัญลักษณ์ของประเทศ และสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ[11] เช่นเดียวกันกับสถานบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรและตัวของสมเด็จพระราชินีนาถฯ แม้จะทรงดูมีอำนาจในการแต่งตั้งขุนนาง การเปิดประชุมรัฐสภา หรือทรงยินยอมให้จัดตั้งรัฐบาลในนามของสมเด็จพระราชินีนาถฯ  ทว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงรูปแบบเชิงพิธีการเท่านั้น การกระทำทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำแทนคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ซึ่งเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐตามความสัมพันธ์บนฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในทางกฎหมายแล้ว พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรนั้นไม่มีอำนาจทางการเมืองและกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวของการเมืองและการบริหารประเทศ[12] ซึ่งความสัมพันธ์ของพระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรกับองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐเหล่านี้เป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า “The King can do no wrong”

หลักการ The King can do no wrong หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำความผิดไม่ได้” เป็นหลักการที่เกิดขึ้นในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของสหราชอาณาจักรที่พยายามจำกัดบทบาทและอำนาจของพระมหากษัตริย์เอาไว้ภายใต้กฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญ ทำให้การกระทำของพระมหากษัตริย์ที่จะมีผลทางกฎหมายจำเป็นต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสมอ ซึ่งนัยของการรับสนองพระบรมราชโองการมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรนั้นไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มกระทำการใดๆ ด้วยตนเอง หากแต่บุคคลที่ลงนามสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตัวอย่างเช่น การลงพระปรมาภิไธยในกฎหมาย ซึ่งต้องมีการรับสนองราชโองการและประกาศให้ทราบในสภาทั้งสองว่าทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว[13] หรือการมีพระบรมราชโองการยุบสภาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ทรงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ แม้แต่พระราชดำรัสที่ทรงมีต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้วมักจะต้องได้รับการเตรียมการมาเป็นอย่างดีรวมถึงในบางกรณีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และสำนักพระราชวัง เช่น พระราชดำรัสในการเปิดประชุมรัฐสภา เป็นต้น ในทางปฏิบัติแล้วพระราชดำรัสโดยส่วนใหญ่ต่อสาธารณชนจึงมักถูกกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี[14]

อย่างไรก็ดี ในทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ (constitutional conventions) ของสหราชอาณาจักรก็ยอมรับว่า พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรทรงมีสิทธิที่จะได้รับการกราบบังคมทูลและการปรึกษา (the Right to be informed and the right to be consulted)[15] ซึ่งวอลเตอร์ แบกช็อท (Watter Bagchot) ได้แบ่งสิทธิ ดังกล่าวออกเป็น 3 เรื่อง ได้แก่[16] สิทธิที่จะทรงรับการปรึกษาหารือจากรัฐบาล (the Right to be consulted) สิทธิที่จะสนับสนุนรัฐบาล (the Right to encourage) และสิทธิที่จะทรงตักเตือนรัฐบาล (the Right to warn) ซึ่งจะทรงตรัสกับนายกรัฐมนตรีเป็นการส่วนตัวและลับ เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเข้าเฝ้า โดยในทางปฏิบัติจะทรงเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มีต่อรัฐสภาและประชาชน และหากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าสิ่งดังกล่าวถูกต้องและเหมาะสมแล้วในฐานะประมุขของรัฐก็จะทรงสนับสนุน แต่ทรงอาจให้ข้อสังเกตหากมาตรการหรือนโยบายดังกล่าวไม่เหมาะสม ซึ่งคำแนะนำนี้ไม่มีผลผูกพันนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ต้องปฏิบัติตาม เพียงแต่ทรงทำตามหน้าที่สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเท่านั้น

กล่าวโดยสรุป บริบทของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของสถาบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรนั้นทำให้สถานะของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ในฐานะประมุขของรัฐดูเหมือนมีพระราชอำนาจมากเสมือนทรงเป็นแสดงแทนรัฐ เช่น การเป็นผู้ทรงยินยอมให้ประชาชนสามารถเดินทางได้ตามข้อความบนพาสปอร์ต เป็นต้น  ทว่า ในความเป็นจริงนั้นสถานะดังกล่าวเป็นเพียงแต่ในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น บทบาทของสถาบันกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้นถูกจำกัดให้มีสถานะเป็นผู้สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผ่านการสนับสนุนคณะรัฐมนตรีที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน


เชิงอรรถ

[1] ‘Passports’ (The Royal Family) <https://www.royal.uk/passports> accessed 21 April 2024.

[2] Ibid.

[3] Ibid.

[4] Jennifer Newton ‘Royal Rules: This is the reason the Queen doesn’t carry a passport or have a driving licence’ (The Sun) <https://www.thesun.co.uk/living/3988752/this-is-the-reason-the-queen-doesnt-carry-a-passport-or-have-a-driving-licence/> accessed 21 April 2024.

[5] ในระบบกฎหมายอังกฤษนั้นปฏิเสธสถานะของรัฐในฐานะเป็นนิติบุคคล อันเป็นผลมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ในทางทฤษฎีกฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษนั้นถือว่า กษัตริย์หรือองค์อธิปัตย์มีสถานะเป็นนิติบุคคลประเภท “Corporation Sole” โดยให้ความสำคัญในฐานะแทนแผ่นดินหรือรัฐ (ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป) การที่กำหนดให้รัฐเป็นนิติบุคคลขึ้นมาต่างหากจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน; ดู โชติ ชูติกาญจน์, ‘ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของนิติบุคคลมหาชนในประเทศไทย’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2561) 20.

[6] “R” นั้นเป็นคำย่อของคำในภาษาลาติน 2 คำ คือ Rex (พระราชา) or Regina (พระราชินี).

[7] Cheryl Saunders, ‘The Concept of the Crown’ (2015) 38 Melbourne University Law Review 872, 875.

[8] โชติ ชูติกาญจน์, (เชิงอรรถที่ 5) 20.

[9] Cheryl Saunders, (Foot Note 7) 875.

[10] การเกิดขึ้นของคณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหารนั้นเป็นสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1721 โดยเซอร์โรเบิร์ต วอลโพล เอิร์ลแห่งออร์ฟอร์ด (Robert Walpole, 1st Earl of Orford) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษในเวลานั้นที่กษัตริย์ของอังกฤษโดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 ที่ทรงครองราชย์สมบัติอังกฤษต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์นั้นทรงเป็นเจ้าชายชาวเยอรมันจากแค้วนฮาโนเวอร์ (Hanover) ซึ่งทรงไม่สามารถตรัสภาษาอังกฤษได้และทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่แคว้นฮาโนเวอร์ในดินแดนเยอรมัน; ดู Patrick Dunleavay, ‘Prime Minister’ (Britannica, 19 January 2007) <https://www.britannica.com/topic/prime-minister> accessed 4 February 2022; และธราธร มุมทอง, ‘หลัก The King can do no wrong ตามรัฐธรรมนูญอังกฤษ’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2557) 60 – 61.

[11] วิษณุ เครืองาม, กฎหมายรัฐธรรมนูญ (พิมพ์ครั้งที่ 3, นิติบรรณาการ 2530) 306.

[12] ในบางกรณีพระมหากษัตริย์อาจทรงมีบทบาทในทางการเมืองระหว่างประเทศบ้าง เช่น การเสด็จออกรับทูต หรือการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ เป็นต้น แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าวก็เป็นบทบาทที่คณะรัฐมนตรีในฐานะผู้บริหารประเทศได้ร้องขอให้พระมหากษัตริย์ทำในฐานะประมุขของรัฐ เช่น กรณีของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ซึ่งทรงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีทักษะทางการทูตที่ดีเยี่ยมพระองค์หนึ่ง หรือการเดินทางเยี่ยมเยือนเครือจักรภพแห่งชาติ (Commonwealth of Nations) ของสมเด็จพระราชินีนาถฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง.

[13] ในทางกฎหมายสมเด็จพระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรอาจจะใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายได้ แต่ในทางปฏิบัติจะไม่ทรงใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากร่างกฎหมายนั้นเสนอขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้างเดียวกันกับคณะรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งพระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรจะได้รับการปรึกษาหารือจากนายกรัฐมนตรีสม่ำเสมอ จึงทรงทราบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับร่างกฎหมายตลอด ในทางปฏิบัติจึงไม่ได้ทรงใช้พระราชอำนาจในลักษณะดังกล่าว เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะทรง

[14] พระราชดำรัสโดยส่วนใหญ่นั้นจะมีการกลั่นกรองเนื้อหา รวมถึงมีการตรวจสอบเนื้อหาที่จะถูกนำเสนอก่อนหน้าที่สมเด็จพระราชินีนาถจะตรัสต่อหน้าสาธารณชน ทั้งโดยคณะรัฐมนตรีและสำนักพระราชวัง  อย่างไรก็ดี พระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาศ (Royal Christmas Speech) นั้นได้มีความผ่อนคลายความเคร่งครัดลงโดยเปิดโอกาสให้สมเด็จพระราชินีนาถทรงมีพระราชดำรัสถึงประชาชนโดยกล่าวสรุปภาพรวมของปีที่ผ่านมาโดยปราศจากความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งในทางปฏิบัติทรงสงวนท่าทีอย่างเป็นกลางและรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด.

[15] ธงธอง จันทรางศุ, พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ (บริษัท เอส.ซี.พริ้นท์แอนด์แพค จำกัด 2548) 60.

[16] Walter Bagehot, The English Constitution (Paul Smith Edited, CUP 2001) 59.