ดังจะเห็นได้ว่าความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความหมายกว้างมากโดยเฉพาะในยุคสมัยที่เราทุกคนนั้นมีการเชื่อมต่อกันในยุคแห่ง internet of things (IoTs) หรือที่เรียกว่า “อินเทอร์เน็ตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่การเชื่อมต่อนั้นเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัว เช่น นาฬิกาข้อมือที่มีการเก็บข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันของผู้สวมใส่ หรือโทรศัพท์มือถือที่มีการเก็บข้อมูลพิกัดการใช้งานแอปพลิเคชัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในทางการเมืองการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลก็มีปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ดังเช่นในกรณีของ Cambridge Analytica ซึ่งหนังสือพิมพ์ New York Time และ The Guardian ในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ได้ออกมาเปิดเผยรายงานข่าวการสอบสวนเชิงลึกว่า บัญชีผู้ใช้งาน Facebook ถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลบางส่วนไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ทางการเมือง โดยเจ้าของบัญชีผู้ใช้งานเหล่านั้นไม่รู้ถึงการนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้มาก่อน[3]
[14] Bent Hansen and Khairy Tourk, ‘The Profitability of the Suez Canal as a Private Enterprise, 1859-1956’ (1998) 38 The Journal of Economic History 938, 946.
“Her Britannic Majesty’s Secretary of State requests and requires in the name of Her Majesty all those whom it may concern to allow the bearer to pass freely without let or hindrance and to afford the bearer such assistance and protection as may be necessary.”[1]
แนวคิดเกี่ยวกับสถานะของ “เดอะคราวน์” นั้นถูกนำมาใช้ในการอธิบายหลายเรื่องๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีของอังกฤษ ในทางหนึ่งอาจหมายถึง พระมหากษัตริย์ในฐานะพระมหากษัตริย์ทั้งในทางสาธารณะและในทางส่วนตัว และอีกทางหนึ่งตามที่ลอร์ดเทมเปิลแมน (Lord Templeman) ได้อธิบายในคำวินิจฉัยของสภาขุนนาง (the decision of the House of Lords) ในคดี M v. Home Office ซึ่งคำว่า เดอะ คราวน์ หมายถึง ฝ่ายบริหารของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงพระมหากษัตริย์ รัฐมนตรี และรวมถึงหน่วยงานของรัฐในฝ่ายบริหาร[7] การอธิบายในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นการอธิบายผ่านการก่อตัวของแนวคิดในทางประวัติศาสตร์ของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเมื่อระบบอการปกครองเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบประชาธิปไตย[8] แนวคิดดังกล่าวจึงพัฒนามาใช้อธิบายฝ่ายบริหารของรัฐบาลที่มีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร และเป็นแหล่งอำนาจในทางประวัติศาสตร์[9] ซึ่งบริบทเฉพาะตัวทางประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษโดยแท้ โดยสมเด็จพระราชินีนาถหรือสมเด็จพระราชาธิบดีนั้นทรงมีสถานะเป็นพระประมุขของประเทศ และเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศในทางพฤตินัย แต่ในทางนิตินัยแล้วผู้ใช้อำนาจรัฐคือ คณะรัฐมนตรีโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำการบริหารประเทศ[10]
บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยนั้นมีความแตกต่างจากสถาบันกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะการจำกัดบทบาทลงมาจากการเป็นผู้ปกครองกลายมาเป็นการครองราชย์สมบัติในฐานะประมุขเชิงสัญลักษณ์ของประเทศ และสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศ[11] เช่นเดียวกันกับสถานบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรและตัวของสมเด็จพระราชินีนาถฯ แม้จะทรงดูมีอำนาจในการแต่งตั้งขุนนาง การเปิดประชุมรัฐสภา หรือทรงยินยอมให้จัดตั้งรัฐบาลในนามของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ทว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงรูปแบบเชิงพิธีการเท่านั้น การกระทำทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำแทนคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ซึ่งเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐตามความสัมพันธ์บนฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในทางกฎหมายแล้ว พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรนั้นไม่มีอำนาจทางการเมืองและกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวของการเมืองและการบริหารประเทศ[12] ซึ่งความสัมพันธ์ของพระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรกับองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐเหล่านี้เป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า “The King can do no wrong”
หลักการ The King can do no wrong หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำความผิดไม่ได้” เป็นหลักการที่เกิดขึ้นในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของสหราชอาณาจักรที่พยายามจำกัดบทบาทและอำนาจของพระมหากษัตริย์เอาไว้ภายใต้กฎเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญ ทำให้การกระทำของพระมหากษัตริย์ที่จะมีผลทางกฎหมายจำเป็นต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสมอ ซึ่งนัยของการรับสนองพระบรมราชโองการมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรนั้นไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มกระทำการใดๆ ด้วยตนเอง หากแต่บุคคลที่ลงนามสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตัวอย่างเช่น การลงพระปรมาภิไธยในกฎหมาย ซึ่งต้องมีการรับสนองราชโองการและประกาศให้ทราบในสภาทั้งสองว่าทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว[13] หรือการมีพระบรมราชโองการยุบสภาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ทรงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ในทางธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ (constitutional conventions) ของสหราชอาณาจักรก็ยอมรับว่า พระมหากษัตริย์ของสหราชอาณาจักรทรงมีสิทธิที่จะได้รับการกราบบังคมทูลและการปรึกษา (the Right to be informed and the right to be consulted)[15] ซึ่งวอลเตอร์ แบกช็อท (Watter Bagchot) ได้แบ่งสิทธิ ดังกล่าวออกเป็น 3 เรื่อง ได้แก่[16] สิทธิที่จะทรงรับการปรึกษาหารือจากรัฐบาล (the Right to be consulted) สิทธิที่จะสนับสนุนรัฐบาล (the Right to encourage) และสิทธิที่จะทรงตักเตือนรัฐบาล (the Right to warn) ซึ่งจะทรงตรัสกับนายกรัฐมนตรีเป็นการส่วนตัวและลับ เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเข้าเฝ้า โดยในทางปฏิบัติจะทรงเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มีต่อรัฐสภาและประชาชน และหากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าสิ่งดังกล่าวถูกต้องและเหมาะสมแล้วในฐานะประมุขของรัฐก็จะทรงสนับสนุน แต่ทรงอาจให้ข้อสังเกตหากมาตรการหรือนโยบายดังกล่าวไม่เหมาะสม ซึ่งคำแนะนำนี้ไม่มีผลผูกพันนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ต้องปฏิบัติตาม เพียงแต่ทรงทำตามหน้าที่สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเท่านั้น