ขึ้นทะเบียน สนง.สอบบัญชี เพิ่มคุณภาพระบบควบคุม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

บทความวาระทีดีอาร์ไอ นำเสนอประเด็นการป้องกันข้อบกพร่องจากการสอบบัญชีในตลาดทุน ด้วยการขึ้นทะเบียน สนง.สอบบัญชี เพิ่มคุณภาพระบบควบคุม

บทบาทของการสอบบัญชีในตลาดทุนมีความสำคัญในฐานะผู้จัดทำรายงานทางการเงินที่บ่งบอกสุขภาพของกิจการว่ามีสุขภาพเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนในการเลือกลงทุนในกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้สอบบัญชีไม่ได้แสดงความเห็นต่อรายงานทางการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือจริยธรรมการสอบบัญชีแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ รายงานทางการเงินอาจจะไม่สะท้อนสภาพที่แท้จริงของกิจการและส่งผลกระทบให้นักลงทุนได้รับความเสียหายจากการลงทุนในกิจการที่มีปัญหา

ด้วยเหตุดังกล่าวสำนักงาน ก.ล.ต. จึงกำหนดให้ผู้สอบบัญชีของกิจการในตลาดทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยกำหนดคุณสมบัติในแง่ของประสบการณ์ทำงานไว้ในระดับสูง โดยจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีระดับหัวหน้าสำนักงานหรือผู้สอบบัญชีระดับหุ้นส่วน ซึ่งเป็นระบบการกำกับดูแลในงานสอบบัญชีในตลาดทุนในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การมุ่งกำกับดูแลผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคล มีข้อเสียคือ เมื่อเกิดความบกพร่องในงานสอบบัญชีจากการไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือจริยธรรมการสอบบัญชี ความบกพร่องในลักษณะดังกล่าวจะกลายเป็นความบกพร่องเฉพาะส่วนตัวของผู้สอบบัญชีเพียงคนเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วข้อบกพร่องนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชี 

ตัวอย่างเช่น ในกรณีผู้สอบบัญชีคนหนึ่งของสำนักงานสอบบัญชีไม่ได้ตรวจสอบให้ได้เอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้อย่างเพียงพอ ทำให้แสดงความเห็นต่อรายงานทางการเงินผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่ผู้สอบบัญชีจะต้องแสดงความเห็นแบบมีเงื่อนไขหรือมีข้อสังเกตตามมาตรฐานการสอบบัญชี ซึ่งถ้าสำนักงานสอบบัญชีได้จัดให้มีระบบการควบคุมคุณภาพที่เพียงพอ โดยมีผู้สอบบัญชีอีกคนหนึ่งมาตรวจสอบคุณภาพของงานสอบบัญชีก็จะช่วยป้องกันความผิดพลาดของงานสอบบัญชีได้  อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่กำกับดูแลในปัจจุบัน มุ่งไปที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคล ทำให้สำนักงานสอบบัญชีอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบควบคุมคุณภาพเพียงพอ เนื่องจากสำนักงานสอบบัญชีไม่ได้ถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดในข้อบกพร่องของงานสอบบัญชี

นอกจากนี้ ลักษณะการทำงานสอบบัญชีไม่ใช่งานที่จะทำโดยลำพังได้ บทบาทของสำนักงานจึงมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่เข้ามาตรวจสอบการทำงานของผู้สอบบัญชี สำนักงานยังต้องเข้ามามีบทบาทในการฝึกอบรมและตรวจสอบคุณภาพการทำงานของบรรดาผู้ช่วยผู้สอบบัญชี ซึ่งสนับสนุนการทำงานของผู้สอบบัญชี  ฉะนั้น การที่กฎหมายให้น้ำหนักไปที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลเพียงอย่างเดียวภาระในการกำกับดูแลไปตกที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลแทน
 

ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลการสอบบัญชีของกิจการในตลาดทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรกำกับดูแลควบคู่กันไประหว่างผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี เมื่อพิจารณาจากแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ได้ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนโดยกำหนดให้สำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบ/ขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบมาตรฐานการควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชี การกำหนดลักษณะกิจการต้องห้ามมิให้สำนักงานสอบบัญชีให้บริการ และการกำหนดเงื่อนไขเพื่อป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ 

ด้วยเหตุดังกล่าวการกำหนดให้สำนักงานสอบบัญชีต้องถูกกำกับดูแลโดยสำนักงาน ก.ล.ต. นั้นก็เพื่อให้สำนักงานสอบบัญชีเข้ามาร่วมรับผิดชอบในความบกพร่องในการสอบบัญชีในตลาดทุนร่วมกับผู้สอบบัญชี เว้นแต่สำนักงานสอบบัญชีจะพิสูจน์ได้ว่าความบกพร่องนั้นเกิดขึ้นจากตัวผู้สอบบัญชีเองโดยสำนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการที่จะกำกับดูแลเช่นนั้นได้ก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันเพื่อรับรองการให้ความเห็นชอบ/ขึ้นทะเบียนสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุน

กล่าวโดยสรุป การสอบบัญชีไม่สามารถทำได้โดยผู้สอบบัญชีเพียงคนเดียว บทบาทของสำนักงานสอบบัญชีก็มีความสำคัญต่อการสอบบัญชีเป็นอย่างมาก แต่ช่องว่างของกฎหมายในปัจจุบันทำให้สำนักงาน ก.ล.ต. ไม่สามารถเข้าไปควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชีได้ การแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้สำนักงานสอบบัญชีมีส่วนรับผิดชอบ แทนที่จะตกอยู่กับผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลเพียงอย่างเดียว จึงมีความจำเป็น เพื่อส่งเสริมให้ระบบควบคุมมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ดาวน์โหลด [pdf]

ทุกข์ของชาวนา: กลุ่มคนที่ถูกสังคมทอดทิ้งไว้ที่ชายขอบของการพัฒนาเสมอ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เปิบข้าวทุกคราวคำ

จงสูจำเป็นอาจิณ

เหงื่อกูที่สูกิน

ให้ชนชิมทุกชั้นชน

เบื้องหลังซิทุกข์ทน

และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง

ระยะทางนั้นเหยียดยาว

จากรวงเป็นเม็ดพราว

ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ

เหงื่อหยดสักกี่หยาด

ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น

ปูดโปนกี่เส้นเอ็น

จึงแปรรวงมาเป็นกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง

และน้ำแรงอันหลั่งริน

สายเลือดกูทั้งสิ้น

ที่สูซดกำซาบฟัน

– เปิบข้าว, จิตร ภูมิศักดิ์

ทุกข์ของชาวนา

บทกวีข้างต้นมีชื่อว่า “เปิบข้าว” ซึ่งเขียนขึ้นโดย จิตร ภูมิศักดิ์ นี้ได้ถ่ายทอดความยากลำบากของชาวนาในการเพาะปลูกข้าวในแต่ละครั้งนั้นยากลำบากและต้องใช้กำลังแรงงานลงไปกับการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก บทกวีของจิตรนี้ได้สะท้อนความในใจของจิตรที่ต้องการปลุกเร้าความรู้สึกของผู้อ่านและคนในสังคมให้ทราบถึงความยากลำบากของชาวนาหรือทุกข์ของชาวนา ซึ่งทุกข์ยากของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่โดยตลอดในความรับรู้ของสังคมไทย ผ่านงานเขียนและวรรณกรรมต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ งานพระราชนิพนธ์เรื่องทุกข์ของชาวนาสมในบทกวี ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงนำบทกวี “เปิบข้าว” ของจิตร ภูมิศักดิ์ กับบทกวีของ หลี่เซิน กวีชาวเมืองอู๋ซีซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากของชาวนาไปในทิศทางเดียวกัน

ทุกข์ของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดในสังคมไทย และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากในช่วงก่อนปี 2475 นั้นชาวได้รับความยากลำบากมากเนื่องจากโครงสร้างทางสังคมในเวลานั้นที่ราษฎรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีรายได้จากการขายข้าว แต่เมื่อขายข้าวเสร็จสิ้นแล้วกลับไม่ได้มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ เพราะชาวนามีต้นทุนในการทำนาสูง เช่น ค่าเช่านา อากรค่าโคกระบือ และเงินรัชชูปการ เป็นต้น ประกอบกับการทำนานั้นต้องพึ่งพาธรรมชาติ ซึ่งหากธรรมชาติไม่เป็นใจก็จะได้รับผลผลิตน้อย อีกทั้งการทำนาในเวลานั้นก็ใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลักไม่ได้มีเครื่องจักรสนับสนุน

แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลงไปแต่ปัญหาความทุกข์ของชาวนาก็ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาความทุกข์ของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่สังคมไทยนั้นตระหนักดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชนชั้นนำไทย อย่างไรก็ตาม ชนชั้นนำไทยได้มีความพยายามอย่างยาวนานที่จะรักษา “ชาวนา” (peasantry) เอาไว้ เพราะชาวนาที่พออยู่พอกินตามอัตภาพ ย่อมพอใจกับสถานะเดิมที่เป็นอยู่ ไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงใดๆ และแม้ว่าจะมีความพยายามจากชนชั้นนำของสังคมไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบทบาทของชาวนาให้เป็น “เกษตรกร” ซึ่งเป็นผู้ผลิตด้านเกษตรกรรมเพื่อป้อนตลาด[1] แต่ก็มีข้อจำกัดที่ทำให้นโยบายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ตลอดเพราะหากชาวนาซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ลุกขึ้นมามีปากเสียงในสังคมก็อาจจะกระทบต่อโครงสร้างทางสังคม

ชาวนากับนโยบายทางสังคม

อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพพื้นฐานอาชีพหนึ่งของสังคมไทย โดยจากการสำรวจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรจำนวนรวม 8.063 ล้านครัวเรือนหรือคิดเป็นจำนวน 9.394 ล้านคน[2] (มากกว่าจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานครทั้งหมดในปี 2563[3]) แม้จำนวนเกษตรกรจะเป็นอาชีพของคนจำนวนมาก หากแต่อาชีพเกษตรกรนั้นเป็นอาชีพที่ยากลำบากและในบางครั้งการทำเกษตรกรรมนั้นเป็นการลงทุนมากแต่ได้รับผลตอบแทนน้อยโดยเฉพาะชาวนา

รัฐบาลส่วนใหญ่เข้าให้ความช่วยเหลือชาวนาและเกษตรกรผ่านนโยบายเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตรกรรม เช่น การจำนำข้าวหรือการประกันราคาข้าว เป็นต้น แต่ปัญหาของชาวนาและเกษตรกรไทยหลักๆ นั้นมีสาเหตุสำคัญๆ ส่วนใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ การไม่ได้ถือครองที่ดิน การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และการไม่มีสวัสดิการ

ประการแรก การไม่ได้ถือครองที่ดิน เนื่องจากที่ดินเป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญ แต่ปัญหาก็คือชาวนาโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเอง ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าปี 2475 แล้วและแม้จะมีความพยายามของรัฐบาลบางชุดที่ต้องการปฏิรูปเรื่องการถือครองที่ดินดังปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ หรือการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการสนับสนุนจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือ FAO[4] เป็นต้น ซึ่งการเข้าไม่ถึงการถือครองที่ดินนั้นส่งผลให้ชาวนาต้องเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ที่ได้มาจากการขายข้าวนั้นก็ต้องมาจ่ายค่าเช่าที่ดินหรือการต้องสูญเสียรายได้จากการขายข้าวเพราะต้องแบ่งข้าวบางส่วนเพื่อไปจ่ายค่าเช่า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยส่วนใหญ่ก็แก้ไขปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอดผ่านชุดนโยบายการกระจายที่ดินที่ไม่ยั่งยืนต่างๆ ตัวอย่างเช่น ที่ดิน สปก. ที่ดินนิคมสร้างตัวเอง หรือการกระจายที่ดินทำกินผ่านคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

ประการที่สอง การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนนั้นเป็นปัญหาของชาวนาไทย (และคนจนส่วนใหญ่ของประเทศ) เนื่องจากการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินเนื่องจากไม่มีหลักประกันการชำระหนี้ที่น่าเชื่อถือเพียงพอนั้นทำให้ชาวนาที่ต้องลงทุนต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบเพื่อให้ได้เงินทุนมาใช้ในการทำนา ซึ่งผลของการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้โดยสถาบันการเงินนั้นก็มีผลทำให้ชาวนาตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือต้องถูกหลอกลวงจากเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เช่น การถูกยึดที่ดินติดจำนองหรือการถูกหลอกให้ทำสัญญาขายฝากที่ดิน เป็นต้น

ประการที่สาม การไม่มีสวัสดิการของชาวนา แม้ว่าการทำนาหรือเกษตรกรรมการทำงานแบบหนึ่งเช่นเดียวกันกับอาชีพอื่นๆ แต่ความแตกต่างระหว่างชาวนาหรือเกษตรกรกับอาชีพอื่นๆ ก็คือ อาชีพโดยส่วนใหญ่นั้นมีสวัสดิการรองรับ เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัท และลูกจ้างโรงงาน เป็นต้น ซึ่งจะได้รับสวัสดิการในรูปแบบประกันสังคมหรือสิทธิข้าราชการ ซึ่งทำให้เมื่อเกิดการเจ็บป่วยชาวนาและเกษตรกรนั้นการรักษาพยาบาลก็ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเอง (แม้ว่าจะสามารถใช้สิทธิ 30 บาทได้แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ทำให้ไม่สามารถใช้แรงงานได้) และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดรายได้

ปัญหาทั้งสามประการนั้นส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชาวนาไทยไม่ได้รับการยกระดับขึ้นมาและซ้ำเติมความทุกข์ของชาวนาให้ยังคงอยู่โดยตลอด การยกระดับคุณภาพของชีวิตของชาวนานอกเหนือจากการใช้นโยบายเกี่ยวกับรายได้สินค้าเกษตรกรรมแล้ว อาจจะต้องมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นทั้งสามประการด้วยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยขึ้นมาผ่านการปฏิรูปที่ดิน การทำให้ชาวนาเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการจัดให้ชาวนามีสวัสดิการ แม้ในบางประเด็นนั้นอาจจะทำได้ยากมากในบริบทปัจจุบัน เช่น การปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลว่า ชนชั้นนำอาจจไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่ดิน แต่ปัญหาที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าชนชั้นนำไทยจะเห็นด้วยหรือไม่ กับการปฏิรูปที่ดิน หากการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นจะต้องมาจากการเห็นพ้องต้องกันของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคม

กล่าวโดยสรุป สภาพความเป็นอยู่ชาวนาในปัจจุบันและปัญหาความทุกข์ของชาวนาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในสังคมไทย ชาวนายังคงเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุด แต่ในขณะเดียวกันสังคมก็ไม่ได้มีสวัสดิการใดๆ ให้กับชาวนา  นอกจากนี้ ปัญหาของชาวนายังมีอีกหลายปัญหาด้วยกัน เช่น การขาดที่ดินเพื่อทำกินและการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เป็นต้น นโยบายของรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาและเกษตรกรนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนโยบายเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อสังคมมีความต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมร่วมกัน เพื่อไม่ให้ชาวนากลายเป็นกลุ่มที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่ชายขอบของการพัฒนา


เชิงอรรถ

[1] นิธิ เอียวศรีวงศ์, เบี้ยไล่ขุน (มติชน 2554) 65 – 66.

[2] ‘รายงานสรุปข้อมูลสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์’ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2564) <https://data.moac.go.th&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

[3] ประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563.

[4] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500)” วารสารสถาบันพระปกเกล้า (2020) 8 (2) <https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/view/244554&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

มหากาพย์งบประมาณรายจ่ายงบกลาง: วิธีคิดและมุมมองต่อความเหมาะสม

ช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนนั้นเป็นช่วงเทศกาลพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งต้องตราให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีอันเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ ซึ่งในช่วงดังกล่าวมักมีสีสันเป็นพิเศษดังจะได้เห็นนักการเมืองในสภาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาพูดเรื่องงบประมาณหรือนักวิชาการน้อยใหญ่ต่างก็ออกมาให้ความเห็นถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอมาพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีข่าวอะไรจะดังเท่ากับการเห็นต่างกันระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณประจำปี

ชนวนความขัดแย้ง

สาเหตุของชนวนความขัดแย้งนั้นมาจากการแปรญัตติตัดลดงบประมาณรายจ่ายโดยการโยกงบประมาณที่ตัดลดมาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การแปรญัตติเพื่อตัดลดงบประมาณรายจ่ายมาไว้เป็นงบกลางนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามกรอบกฎหมายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎเกณฑ์ระดับพระราชบัญญัติต่างๆ ดังนั้น ในแง่ของความชอบด้วยกฎหมายนั้นย่อไม่มีปัญหาแต่ประการใด  อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่กลายเป็นเรื่องร้อนแรงระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งสองฝ่ายก็คือ วิธีคิดและความเหมาะสมของการโยกงบประมาณจำนวนดังกล่าวมาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ซึ่งเกิดขึ้นในวงกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 (ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2565) เนื่องจากกรรมาธิการพรรคร่วมฝ่ายค้านระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นดังกล่าว

จากการสรุปของสำนักงานข่าวออนไลน์บีบีซีไทยได้สรุปประเด็นความคิดเห็นแตกต่างกันโดยฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า การนำงบประมาณที่ตัดลดไว้ไปเพิ่มในงบกลางเพื่อบรรเทาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการใช้จ่ายงบกลางมีระเบียบการใช้เงินรองรับ ไม่สามารถใช้เงินนอกวัตถุประสงค์หรือใช้โดยปราศจากการตรวจสอบได้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมองว่า การจ่ายโยกงบประมาณที่ตัดลดไปเป็นงบประมาณกลางเป็นการตีเช็คเปล่าให้อิสระกับรัฐบาลในการบริหารจัดการงบประมาณ แต่ควรนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปเพิ่มให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการแบ่งเบาภาระของประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19[1]

อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองประเด็นเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่พอจะถกเถียงได้ในเรื่องความเหมาะสม และผลสุดท้ายก็คงเป็นไปตามเจตนารมณ์ทางการเมืองที่แสดงออกผ่านการลงมติของรัฐสภาของบรรดาผู้แทนปวงชนชาวไทย (ซึ่งรวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง) แต่ในทางวิชาการต่อประเด็นดังกล่าวในทางหลักวิชาย่อมอาจจะมีความเห็นแตกต่างไปจากในทางการเมือง หากประเทศไทยต้องการส่งเสริมให้เกิดหลักการทางงบประมาณที่ดี

หลักการทางการคลังและการงบประมาณ

ในประเทศที่ปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย (รวมถึงประเทศที่แอบอ้าง) จะมอบอำนาจสูงสุดทางการคลังให้เป็นการตัดสินใจของรัฐสภาในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีของฝ่ายรัฐบาล บรรดางบประมาณรายจ่ายทั้งหลายจึงต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาและตราขึ้นในรูปแบบของพระราชบัญญัติ ซึ่งรวมถึงงบประมาณกลางที่เป็นชนวนเหตุในครั้งนี้ด้วย

ในทางหลักการของกฎหมายการคลังและการงบประมาณนั้นกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปอย่างเฉพาะเจาะจง (The principle of specificity) หลักการนี้ได้รับการยอมรับเป็นการทั่วไปในประเทศเสรีประชาธิปไตยต่างๆ เพื่อควบคุมและกำหนดการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยกำหนดให้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะต้องกำหนดรายการจ่ายเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าจะนำไปใช้ในเรื่องใด โครงสร้างงบประมาณยิ่งย่อยลงไปยิ่งต้องมีการเฉพาะเจาะจงรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการใช้จ่าย เพื่อให้รัฐสภาสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายและการดำเนินงานของรัฐบาลได้[2]

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้การใช้จ่ายงบประมาณมีลักษณะที่กระด้างมากจนเกินไปหรือไม่สามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์บ้านเมืองจนกลายเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศ ในกรณีที่เหตุผลและความจำเป็นหลักการดังกล่าวก็สามารถยกเว้นได้หากไม่สามารถจัดสรรงบประมาณลงไปตามรายการดังกล่าวได้ก็สามารถจัดสรรไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลางที่แยกต่างหากจากงบประมาณรายจ่ายของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหลักการดังกล่าวได้รับการรับรองเอาไว้ในมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561[3] ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติในการรักษาวินัยทางการคลังของรัฐ โดยส่วนมากการจัดสรรงบประมาณใดไว้เป็นงบประมาณงบกลางมักจะเกิดจากการที่ไม่สามารถระบุได้ว่าหน่วยของรัฐใดจะเป็นหน่วยรับงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ หรือเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นต้น[4] ซึ่งเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่งที่กันเอาไว้เพื่อการใช้จ่ายสำหรับการบริหารงานทั่วไปของรัฐ (เงินสวัสดิการข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐที่ปฏิบัติงานให้กับรัฐ) หรือเป็นเงินในลักษณะเดียวกับเงินติดกระเป๋าในกรณีสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งโดยลักษณะของงบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นไม่สามารถระบุรายละเอียดหรือแผนของการใช้จ่าย และหน่วยรับงบประมาณลงไปได้อย่างชัดเจนผิดกับงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ โดยลักษณะของเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลางดังกล่าวรัฐสภาทำได้แต่เพียงการอนุมัติกรอบวงเงินของการใช้จ่ายเท่านั้น แต่ไม่อาจทราบรายละเอียดของการใช้จ่ายได้เลยจนกว่าจะมีการใช้จ่ายจริงเกิดขึ้นว่า งบประมาณดังกล่าวได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยหน่วยงานใด การใช้จ่ายงบประมาณงบกลางจึงเป็นการปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวตามดุลพินิจของตน ดังคำที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ตีเช็คเปล่า”

เมื่อพิจารณาลักษณะของงบประมาณรายจ่ายงบกลางแล้วจะเห็นได้ว่า งบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นมีข้อดีคือ การสร้างความคล่องตัวในการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะในกรณีที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่างบประมาณดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงในการใช้งบประมาณของรัฐบาลอีกทั้งในแง่ของการตรวจสอบโดยรัฐสภาก็จะถูกตัดขาดออกไปเนื่องจากถูกจำกัดด้วยการอนุมัติเพียงแต่กรอบวงเงินเท่านั้น และแม้จะเป็นที่แน่นอนว่าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบกลางนั้นจะมีระเบียบและขั้นตอนกำหนดไว้ในการเบิกจ่ายทั้งปรากฏตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 โดยเข้ามาควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แต่ก็เป็นลักษณะทั่วไปของกฎหมายไทยที่มีปัญหาในการตีความว่า “ความจำเป็นเร่งด่วน” ซึ่งเป็นเหตุในการใช้จ่ายนั้นคืออะไร ประกอบกับการตั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้เป็นจำนวนมากสำหรับเรื่องที่รัฐบาลก็รู้อยู่แล้วว่าจะมีปัญหาอยู่แล้วและปัญหานั้นยังดำเนินต่อไปก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดพอสมควร เช่น การตั้งงบประมาณไว้กับเรื่องภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่รัฐบาลก็น่าจะเห็นได้ว่ายังคงดำเนินต่อไปเป็นแน่แท้ เป็นต้น

ในมุมมองทางวิชาการว่าด้วยความเหมาะสม

ในทางทฤษฎีงบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นงบที่มีความจำเป็นต่อการบริหารประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อเสียของงบประมาณดังกล่าวไม่ได้ การกำหนดรายการงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้เป็นจำนวนมากๆ หรือทำให้งบประมาณส่วนดังกล่าวกลายเป็นถังรวมจากการตัดลดงบประมาณอาจจะเป็นแนวคิดที่ไม่เหมาะสม เพราะโดยสภาพงบประมาณรายจ่ายงบกลางควรจะมีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะหากเงินซึ่งสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้นไม่เพียงพอ รัฐบาลอาจดำเนินการตามวิธีการที่บรรดากฎหมายการคลังและการงบประมาณรับรองเอาไว้ก็ได้ เช่น ตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) ของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 กำหนดให้รายการจ่ายที่มีการอนุญาตให้จ่ายเงินได้แล้วตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ แต่เงินที่ตั้งไว้มีจำนวนไม่พอจ่ายและพฤติการณ์เกิดขึ้นให้มีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว ให้สามารถจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 2 ได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาพฤติกรรมของรัฐบาลก็มีความพยายามที่จะโอนเงินงบประมาณจากรายการต่างๆ มาเพิ่มเติมไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มมากขึ้นดังแสดงตามตารางการโอนงบประมาณในช่วงปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2558 – 2561 ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถใช้ดุลพินิจในการบริหารจัดการเงินงบประมาณดังกล่าวโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย ประกอบกับช่องว่างของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายการนี้ที่มีอยู่ตามได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น

ตารางแสดงการโอนงบประมาณในช่วงปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2558 – 2561

ลำดับปีงบประมาณจำนวนที่โอน (หน่วย:บาท)หมายเหตุ
1.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256388,452,597,900โดยที่รายการสำรองจ่ายฯ ที่ตั้งไว้จำนวน 96,000,000,000 บาท ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการระบาดโควิด-19[5]
2.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256110,000,000,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง[6]
3.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256011,866,512,300โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง[7]
4.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 255921,885,555,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง[8]
5.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 7,917,077,700โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง[9]
ที่มา:  ผู้เขียน.

ในท้ายที่สุดแล้วต่อประเด็นที่ถกเถียงกันนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่าการตัดลดงบประมาณไปเพื่อโดยนำไปไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญและกฎเกณฑ์ระดับพระราชบัญญัติต่างๆ หากแต่การตัดลดงบประมาณไปเพิ่มไว้ในงบประมาณรายจ่ายประเภทงบกลางมากเกินไปนั้นอาจจะไม่ส่งเสริมหลักการงบประมาณที่ดี เพราะเท่ากับสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถใช้ดุลพินิจในการใช้จ่ายงบประมาณโดยละเลยต่อความเห็นชอบหรือการตรวจสอบของรัฐสภาตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ  นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่าหน่วยงานใดบ้างจะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเป็นหน่วยรับงบประมาณได้ และหน่วยงานใดบ้างที่ไม่เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถเจาะจงลงไปในเป็นรายการและรายละเอียดของการใช้งบประมาณได้ โดยรัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายให้เพียงพอต่อการใช้งานเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งก็คงไม่มีพรรคการเมืองใดจะคัดค้านการดำเนินการในเรื่องนี้เพราเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนั้นจะเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศและสร้างความโปร่งใสให้กับกระบวนการงบประมาณแผ่นดินและสอดคล้องกับวินัยทางการคลัง

อย่างไรก็ตาม หากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณานร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2565 ยังมีความกังวลว่างบประมาณดังกล่าวจะไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็อาจจะตัดลบงบบางส่วนเอาไว้ในรายการงบประมาณรายจ่ายงบกลางโดยระบุให้ชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ แต่เงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะในท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลยังมีหนทางอื่นที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่งบประมาณจำนวนดังกล่าวไม่เพียงพอ


[1] สุปรียา แก้วละเอียด, กฎหมายการคลัง: ภาคงบประมาณแผ่นดิน (วิญญูชน 2563), 240.

[2] “งบ 65 : เพื่อไทย-ก้าวไกล ขบเหลี่ยมปม “ตีเช็คเปล่า” 1.6 หมื่นล้านให้ พล.อ. ประยุทธ์” (BBC News ไทย, 4 สิงหาคม 2564)<https://www.bbc.com/thai/thailand-58087459> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

[3] พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561, มาตรา 22  งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ให้ตั้งได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง.

[4] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561, มาตรา 15 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจัดสรรให้แก่หน่วยรับงบประมาณใช้จ่าย โดยแยกต่างหากจากงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ และให้มีรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นด้วย.

[5] โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/057/T_0001.PDF> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

[6] โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/056/1.PDF> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

[7] โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/053/1.PDF> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

[8] โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/055/1.PDF> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

[9] โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/091/1.PDF> สืบค้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564.

การแก้ไขสนธิสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เหตุแห่งการทำ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้นเป็นจุดเปลี่ยนของสยามในหลายลักษณะ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และระบบราชการของประเทศ โดยหนึ่งในเรื่องที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ “การเสียเอกราชทางการศาล”

เนื่องจากสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์โดยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในการบังคับใช้กฎหมายเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ประมาณอีก 12 ประเทศที่ได้จัดทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

แม้โดยเนื้อวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาเบาว์ริงจะมีวัตถุประสงค์ในฐานะสนธิสัญญาทางการค้าพาณิชย์ แต่เนื้อหาของสนธิสัญญาโดยส่วนใหญ่มีการพูดถึงเรื่องการค้าไว้เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น (สาระและใจความเกี่ยวกับการค้าจะปรากฏตามข้อ 1 ข้อ 4 และข้อ 8 ซึ่งพูดถึงการรับรองการค้าเสรีกับการไม่จำกัดสิทธิของคู่ค้า และการไม่เก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและไม่เกินร้อยละ 3) 

สำหรับข้ออื่นๆ อีกประมาณ 9 นั้น เน้นเรื่องความคุ้มครองคนในบังคับของของสหราชอาณาจักรและการตั้งสถานีการค้า ห้างร้านและบริษัท โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจคือ การจำกัดเขตอำนาจของศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรในข้อ 2 และ 3 ความดังต่อไปนี้

ภาพ: เนื้อหาในหนังสือสนธิสัญญาเบาว์ริง ข้อ 2 
ที่มา: The National Archives, United Kingdom.

“ข้อ 2 ว่าบันดาการงานของคนที่อยู่ในบังคับอังกฤษซึ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องฟังบังคับบันชาของกงซุนที่เข้ามาตั้งอยู่ ณกรุงฯ กงซุนจะได้ทำหนังสือสัญญานี้ แลข้อหนังสือสัญญาเก่าที่มิได้ยกเสียจงทุกประการแล้ว จได้บังคับบันชาคนในบังคับอังกฤษให้ทำตามด้วย 

แล้วกงซุนจรับรักษากดหมายการค้าขาย แลกดหมายที่จะห้ามปรามมิให้คนที่อยู่ในบังคับอังกฤษทำผิดล่วงเกินกดหมายของอังกฤษกับไทที่มีอยู่แล้ว แลจะมีต่อไปพายน่า ถ้าคนอยู่ในบังคับอังกฤษ จะเกิดวิวาทกันขึ้นกับคนอยู่ในบังคับไท กงซุนกับเจ้าพนักงานฝ่ายไทจะปฤกษาชำระตัดสินคนอยู่ในบังคับอังกฤษทำผิด กงซุนจะทำโทษตามกดหมายอังกฤษ คนอยู่ในบังคับไททำผิดไทจะทำโทษตามกดหมายเมืองไท 

ถ้าคนอยู่ใต้บังคับไทเปนความกันเอง กงซุนไม่เอาเปนธุระ คนอยู่ในบังคับอังกฤษเปนความกันเอง ไทก็ไม่เอาเปนธุระ แลไทกับอังกฤษยอมกันว่า กงซุนซึ่งจเข้ามาตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานครนั้นยังไม่ตั้ง ต่อเมื่อทำหนังสือสัญญาตกลงๆ ชื่อกันแล้ว กำปั่นอังกฤษเข้ามาค้าขาย ณ กรุงเทพมหานคร ใช้ธงอังกฤษมีหนังสือสำหรับลำเปนสำคัญครบ ๑๐ ลำ หนังสือสัญญาปิด์ตราเฃ้ามาถึงเปลี่ยนกันแล้ว กงซุนจึ่งตั้งได้”[1]

ภาพ: เนื้อหาในหนังสือสนธิสัญญาเบาว์ริง ข้อ 3
ที่มา: The National Archives, United Kingdom.

“ข้อ 3 ว่าคนซึ่งอยู่ในบังคับไทจะไปเปนลูกจ้างอยู่ในบังคับอังกฤษก็ดี คนอยู่ในใต้บังคับไทที่มิได้เปนลูกจ้างก็ดี ทำผิดกดหมายเมืองไทจะหนีไปอาไศรยอยู่กับคนในบังคับอังกฤษซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีพยานว่าทำผิดหนีไปอยู่กับคนในบังคับอังกฤษจริง กงซุนจะจับตัวส่งให้กับเจ้าพนักงานฝ่ายไท

ถ้าคนอยู่ในบังคับอังกฤษที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนแลเข้ามาอาไศรยค้าฃายอยู่ในกรุงเทพมหานครทำผิด หนีไปอยู่กับคนในใต้บังคับไท ถ้ามีพยานว่าทำผิดหนีไปอยู่กับคนในบังคับไทจริง กงซุนจะฃอเอาตัวเจ้าพนักงานฝ่ายไทจะจับตัวส่งให้ ถ้าพวกจีนคนไรว่าเปนคนอยู่ในบังคับของอังกฤษไม่มีสำคัญสิ่งไรเปนพยานว่าเปนคนอยู่ในบังคับอังกฤษ กงซุนไม่รับเอาเปนธุระ”[2]

ในมุมมองของอังกฤษ ระบบกฎหมายของสยามในเวลานั้นมีปัญหาเนื่องจากเป็นระบบกฎหมายที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับการทำงานของกลไกตลาดดังจะได้กล่าวต่อไป การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นเป็นไปเพื่อมิให้นำกฎหมายของสยามในเวลานั้นมาใช้กระทบกับการค้าพาณิชย์ระหว่างสยามและสหราชอาณาจักร โดยข้อตกลงดังกล่าวได้กลายมาเป็นต้นแบบของประเทศอื่นๆ อีก 12 ประเทศที่ได้เข้ามาทำสนธิสัญญากับสยามและจำกัดเขตอำนาจศาลของสยามเหนือคนในบังคับของตน

การปฏิรูปกฎหมายภายใต้เงาของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

กระบวนการปฏิรูปกฎหมายเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ โดยจำกัดอำนาจทางการศาลของไทยเอาไว้ไม่ให้นำไปใช้กับคนในบังคับของสหราชอาณาจักร หรือประเทศซึ่งไทยได้เข้าทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าในลักษณะเดียวกันกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

ในทางประวัติศาสตร์กฎหมายไทยนั้น นักกฎหมายไทยที่ให้ความสนใจศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายโดยส่วนใหญ่ได้อธิบายการปฏิรูปกฎหมายไทยนั้นเป็นผลมาจากการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ดังเช่นในงานของ ‘แสวง บุญเฉลิมวิภาส’ ผู้บรรยายและนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์กฎหมายคนสำคัญของประเทศไทย ได้แสดงให้ความเห็นว่า “ในทางประวัติศาสตร์ เรามักจะกล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่หลายประเทศเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ต้องยอมรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกมาใช้ในระบบกฎหมายของตนว่าเนื่องมาจากปัญหาในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต จึงจำเป็นต้องปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย ซึ่งสาเหตุดังกล่าวก็เป็นเหตุผลและความจำเป็นที่มีอยู่ในเวลานั้น”[3]

การสรุปว่าการปฏิรูปกฎหมายภายใต้เงาของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว การปฏิรูปกฎหมายนั้นเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่สยามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกผ่านการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของสยามผูกพันกับระบบเศรษฐกิจของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นสยามจึงต้องปรับตัวเข้ากับระเบียบของโลกใหม่ (New World Order)

ระบบกฎหมายแบบเดิมของสยามที่วางรากฐานอยู่ตามคติพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งแสดงถึงพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์และไม่มีการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เนื่องจากภายใต้บริบทของ “กฎหมายตราสามดวง” ไทยที่รับอิทธิพลจากคติพราหมณ์-ฮินดู และถูกดัดแปลงด้วยบริบทการเมืองเฉพาะของสยามนั้น ไม่ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น กฎหมายตราสามดวงไม่ได้รับรองเสรีภาพทางเศรษฐกิจพื้นฐานอย่างระบบกรรมสิทธิ์ ภายใต้ระบบกฎหมายตราสามดวงของสยาม กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดเป็นของพระมหากษัตริย์ เพียงแต่ทรงอนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น[4] หรือ ระบบกฎหมายสัญญาที่ไม่ได้รับรองสิทธิของคู่สัญญาภายใต้สถานะที่เท่าเทียมกัน เป็นต้น 

หลักกฎหมายทั้งสองประการ เป็นพื้นฐานของโครงสร้างตลาดภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ในขณะที่กฎหมายอาญาก็ไม่ได้เน้นการลงโทษบุคคลที่กระทำการฝ่าฝืนการจัดสรรทรัพยากรโดยกลไกตลาด หากแต่เป็นการลงโทษเพื่อรักษาพระเดชานุภาพในการปกครองเท่านั้น และในแง่ของวิธีพิจารณาคดีที่ศาลใช้ก็เน้นการจารีตนครบาล ซึ่งเป็นรูปแบบของการลงโทษเพื่อให้ยอมรับสารภาพในความผิด[5]

บริบทดังกล่าวแสดงความไม่สอดคล้องของกฎหมายที่จะรองรับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่จะเข้ามา การปฏิรูปกฎหมายของสยามในช่วงแรกจึงกระทำโดยการนำกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษเข้ามาใช้ แต่ในท้ายที่สุดภายใต้การแนะนำของ ‘มงซิเออร์กุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์’ (Gustave Rolin Jaequemyns) หรือ ‘พระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ’

‘มงซิเออร์กุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์’ (Gustave Rolin Jaequemyns) หรือ ‘พระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ’เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชาวเบลเยียม ซึ่งมารับราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาราชการทั่วไปของสยามประเทศเป็นเวลาถึง 9 ปี ได้แนะนำให้รัฐบาลสยามเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายเดิมซึ่งรัตนโกสินทร์ได้รับสืบทอดมาจากสมัยอยุธยา โดยการยกร่างประมวลกฎหมายขึ้นมาแบบประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งรัฐบาลสยามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ดำเนินการจ้างนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมาเพื่อช่วยเหลือกุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์ เพื่อจัดทำประมวลกฎหมาย[6] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงและที่ปรึกษาชาวต่างชาติเป็นอย่างดี 

เว้นเสียแต่ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์’ และ ‘พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์’ จบการศึกษากฎหมายมาจากประเทศสหราชอาณาจักร มองว่าการจัดทำประมวลกฎหมายนั้นทำได้ยาก และใช้เวลานานในการเรียบเรียงกฎหมายให้เป็นระบบ อีกทั้งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ[7]

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดความเห็นของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็เป็นอันตกไป รัฐบาลสยามมุ่งมั่นในการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นมา และแม้จะล่าช้าด้วยความขัดแย้งภายในของคณะกรรมการร่างกฎหมาย แต่ในที่สุดประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทยก็สำเร็จ โดยรัฐบาลสยามได้ประกาศใช้ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127” เป็น “ประมวลกฎหมายฉบับแรก” และต่อมาได้ประกาศใช้ “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บางบรรพ”

‘ปรีดี พนมยงค์’ กับ ภารกิจการแก้ไขสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม

นาย ‘ปรีดี พนมยงค์’ มีความตระหนักและมีความตั้งใจที่จะแก้ไขสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ดังความเคยเล่าไว้ว่า

“ระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชากฎหมายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามหาอำนาจต่างชาติถือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม  ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ  

คนในสังกัดมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เพราะคดีที่มีคู่ความเป็นคนสังกัดต่างชาติเหล่านั้น จะต้องให้ศาลกงสุลหรือศาลคดีระหว่างประเทศตัดสิน ทั้งนี้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศสยาม 

ในศาลคดีระหว่างประเทศ คำวินิจฉัยของผู้พิพากษาชาติยุโรปจะมีน้ำหนักกว่าคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาชาวสยาม ข้าพเจ้าไม่พอใจการอำนาจอธิปไตยเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม…”[8]

แม้ว่าประเทศสยามจะได้มีการปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยมากขึ้นพร้อมๆ กับการปรับปรุงระบบราชการให้มีความทันสมัย แต่ปัญหาการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขในทันที ดังเช่นที่มีผู้พยายามอธิบายและได้สร้างความเข้าใจผิดว่า ประเทศสยามสามารถแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่รัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ หรือบ้างก็ย้ำว่าได้แก้ไขอย่างเรียบร้อยและสมบูรณ์ไปแล้วในรัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’

อันเนื่องมาจากประเทศสยามเข้าร่วมมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับการพิจารณาและได้รับการรับรองแล้วว่ามีความเจริญตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ[9] แต่แท้ที่จริงแล้ว หากไม่มีการยอมรับการแก้ไขสนธิสัญญาร่วมกันระหว่างประเทศภาคีในสนธิสัญญาแล้ว อันความตกลงซึ่งได้ทำกันเอาไว้ก็ย่อมผูกพันกันต่อไป  

ดังนั้น เมื่อมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในมุมมองของนายปรีดีที่เห็นว่าปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตยังคงกัดกร่อนและกระทบกระเทือนต่อเอกราชสมบูรณ์ของประเทศสยาม ดังคำประกาศหลัก 6 ประการ ข้อที่ 1 ที่คณะราษฎรได้เคยประกาศไว้ว่า “จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง”

“คณะราษฎร” โดย ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ หรือ นาย ‘ปรีดี พนมยงค์’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการแก้ไขบรรดาสนธิสัญญาที่สยามได้เคยทำเอาไว้และสร้างความไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ โดยเข้าเจรจากับประเทศต่างๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2480 – 2481 ซึ่งนายปรีดี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือ โมฆสงคราม ตอนหนึ่งว่า

“การดำเนินนโยบายการเมืองระหว่างประเทศสมัยพระยาพหลฯ ได้รับผลประจักษ์เป็นรูปธรรม โดยอาศัยวางพื้นฐานประชาธิปไตยภายในประเทศให้เป็นกำลังหลักของปวงชนชาวสยาม และการจัดทำประมวลกฎหมายครบถ้วนเป็นหลักประกันให้แก่ชาวสยามและชาวต่างประเทศที่เข้ามาพึ่งโพธิสมภาร อีกทั้งเราประคับประคองบรรยากาศสันติภาพไว้ให้ดี เราจึงเป็นฝ่ายกุมดุลแห่งอำนาจระหว่างประเทศไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับสยาม  

ดังนั้น เราจึงสามารถบอกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับ 12 ประเทศ แล้วเปิดการเจรจาทำสนธิสัญญาใหม่โดยถือหลักเสมอภาค, ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน, ความเป็นธรรม, ประโยชน์แก่กันและกัน   

นานาประเทศจึงเห็นใจเรายินยอมทำสนธิสัญญานั้น อันเป็นผลให้ปวงชนชาวสยามมีความเป็นเอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์ทุกประการ ศาลต่างประเทศและศาลกงสุลได้ยกเลิกไป ศาลสยามมีอำนาจเต็มที่ในการชำระคดีของคนต่างประเทศด้วย”[10]

กล่าวโดยสรุป ผลประการหนึ่งของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น แม้จะมีผลเป็นการทำให้สยามเปิดตลาดเข้าสู่ตลาดโลกผ่านการค้ากับสหราชอาณาจักร แต่ก็ทำให้สยามมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามเนื้อหาของสนธิสัญญาโดยจำกัดอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของอังกฤษ เนื่องมาจากกฎหมายไทย ไม่สอดคล้องกันกับระเบียบของโลกในเวลานั้นที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ยุโรป และการเติบโตของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม  

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาประเทศสยามก็สามารถดำเนินการปฏิรูปกฎหมายสำเร็จ แต่สถานะความไม่เสมอภาคนั้นยังคงดำเนินอยู่ต่อไปจนกระทั่งภายหลังเมื่อรัฐบาลคณะราษฎรได้เข้ามาบริหารประเทศ และได้ดำเนินนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ผ่านการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคและจัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้นแทนที่ สยามประเทศจึงได้เอกราชกลับคืน ดังปณิธานของคณะราษฎรที่มุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

อ่าน: สนธิสัญญาเบาว์ริง” ต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ประเทศอังกฤษ (The National Archives, United Kingdom) จัดทำเอกสารและถ่ายภาพโดย อาจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

Infographic: การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคทำให้ไทยได้รับเอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ โดย กุลพัชร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

หมายเหตุ: จัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


[1] คัดลอกความจากต้นฉบับสนธิสัญญาเบาว์ริง จาก The National Archives, United Kingdom.

[2] คัดลอกความจากต้นฉบับสนธิสัญญาเบาว์ริง จาก The National Archives, United Kingdom.

[3] แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย (พิมพ์ครั้งที่ 13, วิญญูชน 2557) 136.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ‘กรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 12 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/635&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และ คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร, “อ่านประวัติศาสตร์พระปฐมบรมราชโองการ (ใหม่) : คันฉ่องสะท้อนนัยยะทางกฎหมายและการเมืองของกษัตริย์และสยามสมัยใหม่” แปลโดย อัญชลี มณีโรจน์ (2563) 18 ฟ้าเดียวกัน 2, 18 – 19.

[5] แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, (เชิงอรรถที่ 3) 141 – 142.

[6] เพิ่งอ้าง 203.

[7] เพิ่งอ้าง 203 – 204.

[8] ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธาณรัฐราษฎรจีน (แปลโดย พรทิพย์ โตใหญ่ และ จำนง ภควรวุฒิ, เทียนวรรณ 2529) 18 อ้างใน พระกษิดิศ สุหชฺโช, ‘การยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต: จากกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถึงนายปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 สิงหาคม 2563) < https://pridi.or.th/th/content/2020/08/371 > สืบค้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564.

[9] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ใน คำนำของหนังสือการสิ้นสุดแห่งสภาพนอกอาณาเขตต์ในกรุงสยาม ตีพิมพ์ครั้งที่ 3 โดย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2547 หน้า 11; อ้างใน พระกษิดิศ สุหชฺโช, เพิ่งอ้าง.

[10] เพิ่งอ้าง.

บทความที่เกี่ยวข้อง

สนธิสัญญาเบาว์ริง: หนังสือสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องระหว่างราชอาณาจักรสยามกับสหราชอาณาจักร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th


ภาพ: ปกด้านหน้าของ สนธิสัญญาเบาว์ริง
พร้อมตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
ที่มา: The Nation Archives, UK

สนธิสัญญาเบาว์ริงคืออะไร

“สนธิสัญญาเบาว์ริง” หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม” ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่าอังกฤษกับประเทศไทยหรือสยามในเวลานั้น[1]

ส่วนชื่อ สนธิสัญญาเบาว์ริง นั้น มาจากข้อความบนปกสมุดไทย (สมุดข่อย) ซึ่งใช้ชื่อว่า “หนังสือสัญญาเซอร์ยอนโบวริง”[2] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้าและพาณิชย์เพื่อเปิดการค้าเสรีระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักร

สนธิสัญญาฉบับนี้ไม่ใช่สนธิสัญญาการค้าและพาณิชย์ระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรเป็นฉบับแรก โดยก่อนหน้านั้น สยามได้เคยทำสนธิสัญญากับสหราชอาณาจักรขึ้นแล้วในช่วงปี พ.ศ. 2369 คือ “สนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรสยามกับสหราชอาณาจักร” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สนธิสัญญาเบอร์นีย์” ซึ่งตั้งตามชื่อของ ‘เฮนรี เบอร์นีย์’ พ่อค้า-นักเดินทาง-นักการทูตของบริษัท บริติช อีสอินเดีย ซึ่งทำขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


ภาพ: สำเนาสนธิสัญญาเบอร์นีย์
ที่มา: วิกิพีเดีย

ความแตกต่างระหว่างสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสนธิสัญญาฉบับอื่น

ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับประเทศยุโรปตะวันตก จะเห็นได้ว่าสยามและประเทศทางแถบยุโรปตะวันตกมีความสัมพันธ์กันมาเป็นเวลานาน จากเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก เช่น ในสมัยอยุธยาได้มีการทำการค้ากับโปรตุเกส ฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) หรือเคยรับคณะทูตจากราชอาณาจักรสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น ซึ่งในสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นก็มีเนื้อหาที่แตกต่างกับสนธิสัญญาเบอร์นีย์ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศที่ผ่านมานั้น มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น กรณีของโปรตุเกสกับฮอลันดา มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อทำการค้ากับสยามเท่านั้น หรือ กรณีของฝรั่งเศส ที่มุ่งจะเผยแพร่ศาสนาตามพันธกิจและคตินิยมของกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์คริสตศานาในเวลานั้น เป็นต้น

เป้าหมายของการทำสนธิสัญญาในช่วงรัตนโกสินทร์นั้นเปลี่ยนแปลงไป การค้าขายกับพระคลังสินค้าสร้างความยากลำบากให้กับประเทศยุโรปตะวันตก เนื่องจากพระคลังสินค้าคอยเอาเปรียบและโก่งราคาสินค้า อีกทั้งยังเก็บภาษีซ้ำซ้อน ทำให้ราคาสินค้าที่ต้องซื้อจากสยามมีราคาแพง

ในขณะเดียวกัน บริบทของการค้าในเวลานั้น ต่างถูกควบคุมด้วย “พระคลังสินค้า” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา เนื่องจากในเวลานั้นพระคลังสินค้าได้ทำการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศเอาไว้กับพระคลังสินค้า[3] และพ่อค้ายุโรปตะวันตกไม่สามารถเลือกที่จะทำการค้าโดยไม่ผ่านพระคลังสินค้าได้

แม้ความตั้งใจแรกของสหราชอาณาจักรเมื่อเข้ามาตกลงทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับสยามจะมีความตั้งใจที่จะให้สยามเปิดเสรีการค้า โดยยกเลิกบทบาทการผูกขาดทางการค้าโดยพระคลังสินค้า และแก้ไขปัญหาภาษีดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทว่า ในท้ายที่สุดความตั้งใจในเวลานั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

อย่างไรก็ตาม ผลของการเจรจาในครั้งนั้นก็คือ หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยามฉบับแรก ซึ่งประกอบด้วยความตกลงร่วมกันทั้งหมด 14 ข้อ โดยเนื้อหาในข้อ 1 – 4 จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสยามและสหราชอาณาจักรในเรื่องเขตแดนและคนในบังคับของสหราชอาณาจักร และในข้อ 5 – 14 จะเป็นเรื่องในทางการค้า ด้วยเหตุที่เจรจาในครั้งนั้นยังไม่สำเร็จสมความตั้งใจรัฐบาลสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมาจึงได้ติดต่อเข้ามาเพื่อทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่

การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

การทำ สนธิสัญญาเบาว์ริง นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากความตั้งใจที่ยังไม่บรรลุสมใจหมายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร  ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคตแล้ว และรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้รับสัญญาณจากสยามว่าอยากให้มีการเจรจาทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่ รัฐบาลสหราชอาณาจักรจึงได้แต่งตั้งให้ ‘เซอร์จอห์น เบาว์ริง’ ณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงเกาะฮ่องกงเดินทางมายังราชอาณาจักรสยามเพื่อทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่


ภาพ: เซอร์จอห์น เบาว์ริง

การทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่นั้นมีการลงนามกันใน วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2399 ณ ราชอาณาจักรสยาม เนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับนี้คือ การผนวกรวมเอาเนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับก่อน (เบอร์นีย์) ประกอบเข้ากับเนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยมีจุดเน้นย้ำสำคัญที่แตกต่างจากสนธิสัญญาฉบับก่อนคือ การกำหนดให้สยามต้องเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งทำให้บทบาทของพระคลังสินค้าหมดลง และกำหนดสินค้าควบคุมไว้เฉพาะฝิ่นเท่านั้นที่จะต้องขายให้กับรัฐบาล และมีการเจรจาตกลงกันในเรื่องภาษีโดยกำหนดห้ามมิให้สยามเก็บภาษีซ้ำซ้อนและเก็บภาษีไม่เกินร้อยละ 3


ภาพ: เนื้อหาบางส่วนในสนธิสัญญาเบาว์ริง

อย่างไรก็ตาม ผลสำคัญที่เป็นผลพลอยเกิดขึ้นไปด้วยก็คือ ภายใต้สนธิสัญญาฉบับนี้รัฐบาลสยามต้องยอมรับเขตอำนาจศาลของอังกฤษเหนือเขตอำนาจศาลไทยในบุคคลภายใต้บังคับของสหราชอาณาจักร ซึ่งคนทั่วไปอาจเรียกกันว่าเป็น การเสียเอกราชทางการศาล หรือ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

ด้วยเหตุว่าในเวลานั้นกฎหมายที่สยามใช้ มีลักษณะเป็นจารีตนครบาลซึ่งในมุมของประเทศยุโรปตะวันตกมองว่า วิธีการดังกล่าวนั้นล้าสมัยและไม่ส่งเสริมการขยายตัวทางการค้า การขอยกเว้นเขตอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งผลประการหนึ่งจากการยกเว้นเขตอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรถูกถ่ายทอดมาสู่ประเทศไทยและกลายเป็นรากฐานธรรมเนียมทางการค้าของไทยในเวลาต่อมา

ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริง

ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบในหลายลักษณะ ทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและทางการเมือง  (อ่าน: ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม)

อย่างไรก็ตาม ในแง่สำคัญที่สุดก็คือ สนธิสัญญาเบาว์ริงกลายเป็นต้นแบบของการทำสนธิสัญญาอีกหลายฉบับที่ประเทศยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นได้เจรจาขอเข้ามาทำกับประเทศไทยในลักษณะเดียวกัน ซึ่งนักวิชาการบางคนเรียกสนธิสัญญาในลักษณะดังกล่าวว่าเป็น สนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค โดยรวมแล้วรัฐบาลสยามได้ทำสนธิสัญญาไว้ทั้งสิ้น 12 ฉบับ ดังนี้[4]

ประเทศวันที่ (นับแบบเก่า)การทำหนังสือสัญญา
สหรัฐอเมริกา29 พฤษภาคม พ.ศ. 2399ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
ฝรั่งเศส15 สิงหาคม พ.ศ. 2399ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
เดนมาร์ก29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
โปรตุเกส10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2401ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
สันนิบาตฮันเซอ (รัฐอิสระในเยอรมนี)25 ตุลาคม พ.ศ. 2403ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
เนเธอร์แลนด์29 ธันวาคม พ.ศ. 2403ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
ปรัสเซีย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
นอร์เวย์18 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ (เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
เบลเยียม29 สิงหาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
อิตาลี29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
โปรตุเกส3 ตุลาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี17 พฤษภาคม พ.ศ. 2402ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)

ดังนั้น หากเราพิจารณาต่อสนธิสัญญาเบาว์ริงในมิติของความมั่นคงแต่เพียงถ่ายเดียว การเกิดขึ้นของสนธิสัญญาที่ราชสำนักสยามจำยอมต้องลงนามตามข้อตกลง เพราะครั่นคร้ามต่ออิทธิพลของชาติมหาอำนาจใหม่จากดินแดนตะวันตก ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเหนือรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการคุกคาม ให้สยามต้องสูญเสียการควบคุมสิทธิการค้าที่แต่เดิมถูกผูกขาดไว้เฉพาะเพียงชนชั้นนำ ผ่านกลไกการควบคุมของ “พระคลังสินค้า”เปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบการค้าเสรี ที่บริษัทตัวแทนของชาติมหาอำนาจสามารถเข้าถึงสินค้าและเปิดโอกาสของสินค้าเข้าสู่สยามได้อย่างเสรี และนำมาสู่การเปิดทางให้สยามจำต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคต่อประเทศอื่นๆ อีก 12 ฉบับในเวลาต่อมา นั้นว่าเป็นผลเสียต่อผู้ปกครองสยาม แต่หากเราพิจารณาถึงคุณูปการของสนธิสัญญาเบาร์ริง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สยามได้รับความเปลี่ยนแปลงจากการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดเสรีที่ส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของสยามอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงย้อนกลับไปครั้งก่อนการลงนามได้อีกต่อไป

อ่าน: สนธิสัญญาเบาว์ริง” ต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ประเทศอังกฤษ (The National Archives, United Kingdom) จัดทำเอกสารและถ่ายภาพโดย อาจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

อ่าน: ทวิภพ The Siam Renaissance 2547: ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์และจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ตีตราสนธิสัญญาเบาว์ริง โดย เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

หมายเหตุ: จัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


[1] สนธิสัญญาฉบับนี้ทำขึ้นในวันที่ 6 เมษายน 2399 ในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่กับ (สยาม) และสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย (สหราชอาณาจักร).

[2] ปรามินทร์ เครือทอง, พระจอมเกล้า “King Mongkut” พระเจ้ากรุงสยาม (มติชน 2547) 169.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม’ https://pridi.or.th/th/content/2021/07/774 สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564.

[4] ชัย เรื่องศิลป์, ประวัติศาสตร์ไทย สมัย พ.ศ. 2352 – 2453 ด้านเศรษฐกิจ (โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ 2527) 181.

บทความที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีผลเป็นจุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศสยาม ทั้งในทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยยนแปลงต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในบทความนี้จะได้อธิบายถึงผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

ภาพของเศรษฐกิจสยามกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

แม้ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” จะมีผลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเปลี่ยน “ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ” มาเป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด” ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่เป็นกิจจะลักษณะและมีการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ในขณะที่นโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสยามประเทศก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจาก “การค้าแบบผูกขาด” โดยพระคลังสินค้าโดยเปลี่ยนไปเป็น “การค้าแบบเสรี”

“สนธิสัญญาเบาว์ริง” เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจสยามเข้ากับโลกเศรษฐกิจของยุโรป สภาพภูมิศาสตร์ของสยามมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการเพาะปลูกข้าวเพื่อตอบสนองอุปสงค์ข้าวจากตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น[1] โดยเฉพาะในฝั่งของราษฎรนั้น ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงมีนัยยะสำคัญต่อการกระตุ้นให้ราษฎรไทยทำการผลิตสินค้าโดยเฉพาะข้าวเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลกและทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่[2] อันดับต้นๆ ของโลก

อย่างไรก็ตาม ลักษณะการผลิตสินค้าของสยามนั้นเน้นไปที่สินค้าปฐมภูมิโดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งจะกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามไปจนกระทั่งทศวรรษที่ 1960 (นับแบบคริสตศักราช) ส่วนการผลิตน้ำตาลของสยามในเวลานั้น ยังอาศัยกระบวนการผลิตแบบกึ่งอุตสาหกรรม ทำให้ไม่อาจแข่งขันกับการผลิตน้ำตาลในฟิลิปปินส์หรือชวาได้ ทำให้ธุรกิจการขายน้ำตาลของสยามซบเซาลง[3]

ด้วยลักษณะของสินค้าปฐมภูมิที่ไม่ได้ผ่านกระบวนผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สินค้าไม่ได้มีราคาสูงมากนักเมื่อเทียบกับแรงงาน และทรัพยากรที่ใช้ไปกับการผลิตข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่มีการบุกร้างถางพงในพื้นที่ ซึ่งเป็นคลองรังสิตในปัจจุบัน และพื้นที่ภาคกลางของประเทศจึงถูกใช้เพื่อการเพาะปลูกข้าว พื้นที่ที่ราบภาคกลางจึงถูกดึงเข้าสู่โลกเศรษฐกิจของยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเจริญเติบโตจากการค้าของป่ากับโลกเศรษฐกิจของจีนก็เสื่อมถอยลงเพราะไม่อาจตอบสนองความต้องการของโลกเศรษฐกิจของยุโรป[4]

ภาพดังกล่าวจะกลายเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อไปในช่วงปี พ.ศ. 2473 และนำมาสู่การอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อตลาดแรงงานของรัฐสยาม

การเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยมได้ทวีความสำคัญของเงินตรา การเก็บภาษีอากร และการค้า ในขณะที่เกษตรกรรมและการควบคุมกำลังคนในฐานะแหล่งที่มาของทรัพย์สินและอำนาจกลับลดความสำคัญลง[5]

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตในสังคมสยามทำให้แรงงานมีความจำเป็นและสำคัญ ทว่า ในเวลานั้นแรงงานถูกยึดโยงอยู่กับระบบไพร่-ทาส ซึ่งสังกัดอยู่กับมูลนายตามระบบศักดินา

ดังนั้น “การยกเลิกระบบไพร่-ทาส” จะทำให้เกิดตลาดแรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการผลิตขึ้น[6] ทำให้ในเวลาต่อมาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีนโยบายในการเลิกระบบไพร่-ทาส ซึ่งเป็นการปลดปล่อยแรงงานให้เป็นอิสระสามารถเข้าทำงานในระบบการผลิตใหม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลมุ่งแสวงหาประโยชน์จากภาษีมากกว่า ซึ่งนำมาสู่แผนการปฏิรูปการคลังในการจัดเก็บภาษีในเวลาต่อมา ซึ่งจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาทางการคลังของประเทศที่มีมาจากระบบศักดินาดังจะได้อธิบายต่อในหัวข้อถัดไป

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อการคลังของรัฐสยาม

ผลของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ที่มีการกำหนดให้รัฐบาลสยามจะต้องไม่เก็บภาษีเกินร้อยละ 3 ทำให้รัฐบาลสยามไม่สามารถใช้นโยบายภาษีในการแสวงหารายได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือ การพัฒนาเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะภาษีค่อนข้างจำกัด[7] ประกอบกับลักษณะโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในช่วงปี พ.ศ. 2398 จนถึง พ.ศ. 2468 นั้น มีลักษณะยึดโยงอยู่กับระบบศักดินาเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

พระมหากษัตริย์ทรงแบ่งอำนาจในการจัดเก็บภาษีกระจายไปอยู่กับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงบางตระกูล/องค์ ทำให้การจัดเก็บภาษีเข้าท้องพระคลังทำได้น้อย เพราะขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงเหล่านั้นก็จะกันเงินบางส่วนที่เก็บได้จากการปฏิบัติหน้าที่มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานของตนและนำส่งเข้าพระคลังเพียงแต่น้อย ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้พระคลังไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย ในขณะที่บทบาทของพระคลังสินค้าลดลงจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้การจัดเก็บภาษีถูกกระจายไปอยู่กับขุนนางหลายกลุ่ม ดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

กลุ่มขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงภาษีอากร
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เสนาบดีกรมท่าภาษีฝิ่น อากรสุรา และอากรขาเข้าและขาออก
กรมหลวงวงศาธิราชสนิทภาษีอากรจากพระคลังสินค้า
พระยาพลเทพ เสนาบดีกรมนาอากรค่านา

โครงสร้างการจัดเก็บภาษีภายใต้ระบบศักดินาจึงเสมือนการแบ่งเค้กระหว่างชนชั้นนำของสยามมากกว่า ในขณะที่ราชสำนักและพระมหากษัตริย์จะได้รับเพียงเงินส่วนน้อยเท่านั้น ขุนนางผู้ใหญ่ถือว่าภาษีอากรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และใช้ทุกโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายเงินเข้าท้องพระคลัง โดยมองว่าการนำรายได้เข้าพระคลังเป็นจำนวนแน่นอนนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ[8]

ดังนั้น แม้เศรษฐกิจของสยามกำลังขยายตัวแต่พระคลังซึ่งเป็นแหล่งเก็บเงินแผ่นดินกลับได้ประโยชน์ในเรื่องนี้น้อยมาก ทำให้ในเวลาต่อจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทางการคลังใหม่โดยการรวมอำนาจการจัดเก็บภาษีไว้ที่หอรัษฎากรพิพัฒน์และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติแทน โดยเป็นเหตุผลในเชิงงบประมาณที่มารองรับการขยายตัวของระบบราชการใหม่ และสร้างประเภทภาษีรูปแบบใหม่เพื่อแสวงหารายได้เข้าสู่รัฐบาล

ผลกระทบในแง่ของการผลิตข้าวสินค้าสำคัญของรัฐสยาม

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง แรงงานและที่ดินทั้งหมดของสยามถูกจัดสรรไปเพื่อใช้ในการผลิตข้าวเพื่อการค้ามากขึ้นตามลำดับ กระบวนการผลิตแบบนี้ได้เข้ามาทดแทนวิถีชีวิตในการผลิตแบบเดิมที่เน้นให้ครัวเรือนเป็นหน่วยการผลิตเพื่อยังชีพและบริโภคภายในครัวเรือน เช่น การทำสินค้าหัตถกรรมแบบสิ่งทอ เป็นต้น

เมื่อสยามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกผ่านการค้าขายกับอังกฤษ การผลิตภายในครัวเรือนโดยเฉพาะสิ่งทอก็ถูกทำลายลงจากการตีตลาดโดยสินค้าต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากวิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม แรงงานส่วนใหญ่ที่เคยทำการผลิตสินค้าอื่นก็ถูกนำมาใช้กับการผลิตข้าว และด้วยความนิยมในการผลิตข้าวนั้นมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพราะเมื่อสยามได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริงและเปิดการค้าเสรีกับอังกฤษและยุโรป ผลที่ตามมาก็คือ การผลิตข้าวต้องใช้แรงงานจำนวนมากจึงเกิดการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานจากภูมิภาค อื่นๆ ของสยาม โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแต่เดิมได้ประโยชน์จากการค้าของป่ากับจีน

การผลิตข้าวเพื่อการส่งออกนั้นนำมาซึ่งนโยบายของรัฐสยาม 4 ประการที่มีผลต่อการขยายตัวและการเจริญเติบโตของการส่งออกข้าว[9]

ประการแรก การพัฒนาระบบการขนส่งระหว่างประเทศ กล่าวคือ ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เรี่ยกับการขุดคลองสุเอช (14 ปี หลังทำสนธิสัญญา) ทำให้เกิดการย่นระยะทางและค่าขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียตะวันออก ทำให้เกิดความต้องการข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้นทุนที่ลดลงจากการส่งสินค้าทำให้มีการนำมาใช้ลงทุนกับการนำเรือกลไฟมาใช้ในการขนส่งข้าวซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการส่งออกข้าวเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานชาวนาให้หันมาปลูกข้าวแบบรับจ้างแทนที่จะปลูกข้าวเพื่อบริโภคยังชีพ

ประการที่สอง การพัฒนาระบบขนส่งภายในประเทศ รัฐบาลได้ขุดคลองเพื่อสนับสนุนการผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยมีการขุดคลองมากกว่า 15 สาย เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ และที่ราบภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2403 – 2453 การขุดคลองเป็นจำนวนมากเพื่อให้ชาวนาผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยรัฐบาลได้ให้สัมปทานในการขุดคลองเป็นจำนวนมาก  นอกเหนือจากคลองแล้วรัฐบาลยังได้ลงทุนในการสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการเพาะปลูกแม้จะไม่เท่ากับเส้นทางคลอง

ประการที่สาม การเพิ่มขึ้นของประชากร โดยนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มีผลทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรของประเทศในเอเชียและยุโรปได้เพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ตลาดการบริโภคข้าวภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ประการที่สี่ นโยบายการเลิกไพร่-ทาส และนโยบายภาษีดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น

ดังจะเห็นได้ว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากในหลายมิติ และยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบริบททางการเมืองของสยาม

นโยบายหลายประการที่ดำเนินในช่วงเวลานั้น เชื่อมโยงกันทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทย จนกระทั่งในปัจจุบันภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม


[1] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย (อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ฟ้าเดียวกัน 2562) 63.

[2] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 15.

[3] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 63.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] เพิ่งอ้าง, 79.

[6] เพิ่งอ้าง, 90.

[7] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 14.

[8] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 66.

[9] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 16 – 21.

บทความที่เกี่ยวข้อง

‘ปรีดี พนมยงค์’ ผู้วางรากฐานกฎหมายมหาชนไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“กฎหมายมหาชน” เป็นนวัตกรรมทางกฎหมายที่ประเทศไทยนำเข้าจากต่างประเทศ ในฐานะของกลุ่มสาขาวิชากฎหมายที่มีส่วนในการกำหนดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐมิให้ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันตก ในส่วนของประเทศไทยนั้นวิชากฎหมายมหาชนเป็นของใหม่ และไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูปประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้เริ่มการเรียนการสอนครั้งแรกในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2474 หลังจากอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เดินทางกลับมาประเทศไทย ในบทความนี้สถาบันปรีดี พนมยงค์ จะชวนผู้อ่านมาศึกษาบทบาทของอาจารย์ปรีดี ในฐานะผู้วางรากฐานของกฎหมายมหาชนไทย

ผู้บรรยายกฎหมายปกครองคนแรก

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมายังประเทศไทย อาจารย์ปรีดีได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาชั้น 6 กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับการฝึกหัดเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย ซึ่งนอกเหนือจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว อาจารย์ปรีดียังเป็นผู้บรรยายสำคัญที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม โดยเริ่มเป็นผู้บรรยายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2470 โดยในช่วงแรกนั้นเป็นการสอนในวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วนบริษัทและสมาคม ต่อมาได้บรรยายกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับต่อนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ

ต่อมาโรงเรียนกฎหมายได้เปลี่ยนหลักสูตรการสอนในปี พ.ศ. 2474 ได้มีการเพิ่มเติมวิชาใหม่ๆ เข้าไปในหลักสูตร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วิชากฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการเรียนการสอนวิชานี้โดยมีอาจารย์ปรีดีเป็นผู้บรรยายกฎหมายปกครอง โดยวิชากฎหมายปกครองนี้เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เพราะสาระวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชน การริเริ่มสอนกฎหมายปกครองในครั้งนี้ทำให้ถึงขนาดทำให้ ดร.พนม เอี่ยมประยูร ยกย่องอาจารย์ปรีดีเป็น “บิดาแห่งกฎหมายปกครองไทย”

คุณูปการของการบรรยายกฎหมายปกครอง

ความตั้งใจของอาจารย์ปรีดีในการสอนวิชากฎหมายปกครองดังกล่าวนั้นก็เพื่อจะเป็นการปลุกจิตสำนึกนักเรียนกฎหมายในสมัยนั้นให้สนใจแนวทางประชาธิปไตย และแนวทางเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นรากฐานของสังคม ส่วนกฎหมายเป็นแต่โครงร่างเบื้องบนของสังคมเท่านั้น ซึ่งการสอนกฎหมายปกครองในประเทศเวลานั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะกฎหมายปกครองเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอันเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ทว่า การสอนวิชากฎหมายปกครองในเวลานั้นต้องอาศัยความกล้าหาญและความมุ่งมั่นทางการเมืองอยู่ไม่น้อย เพราะบริบทของประเทศในเวลานั้นยังคงปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้การสอนกฎหมายปกครองนั้นได้รับการจับตามองเป็นพิเศษจากเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในความตอนหนึ่งนั้นอาจารย์ปรีดีได้เล่าถึงการสอนวิชากฎหมายปกครองของท่านได้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งกับมีผู้กล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความกระด้างกระเดื่องของอาจารย์ปรีดี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมาสอบถามและตักเตือน และเมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าครั้งหนึ่ง ณ หน้าพระที่นั่งอัมพรสถานในงานอุทยานสโมสรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เดินผ่านแถวข้าราชการที่เฝ้าเสด็จ และทรงแวะทักทายข้าราชการบางคนก่อนจะทรงมาหยุดตรงปลายแถวของข้าราชการกระทรวงยุติธรรมและทรงแวะทักทายเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และทรงทักทายอาจารย์ปรีดี ดังความที่อาจารย์เล่าว่า

“พระองค์ได้ทรงรู้จักตั้งแต่ครั้งพระองค์ทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส ส่วนข้าพเจ้านั้นเป็นนักเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฝรั่งเศส โดยทรงเรียกชื่อเดิมข้าพเจ้าว่า “ปรีดีทำงานที่ไหน” ข้าพเจ้ากราบทูลตำแหน่งประจำของข้าพเจ้าว่า “ทำงานที่กรมร่างกฎหมาย พระพุทธเจ้าค่ะ” โดยมิได้กราบทูลถึงตำแหน่งพิเศษที่เป็นผู้สอน ณ โรงเรียนกฎหมาย  พระองค์จึงรับสั่งว่า “สอนด้วยไม่ใช่หรือ” ซึ่งแสดงว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องสอนกฎหมายปกครองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าค่ะ””

การสอนกฎหมายรัฐธรรมนูญครั้งแรก

แม้กระแสเรื่องการปฏิรูปประเทศให้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะได้มีมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นยังไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมาก และถึงขนาดว่าคำที่ใช้เรียกกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศแบบที่เราเรียกว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” ในปัจจุบันนั้นก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ฉะนั้น การเรียนการสอนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ แม้แต่ในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมก่อนหน้าอาจารย์ปรีดีกลับมาจากประเทศฝรั่งเศสนั้น เนื้อหาการสอนโดยส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญาเสียส่วนใหญ่

การศึกษาเกี่ยวกับว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศแบบที่เรียกว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” แบบในปัจจุบันนั้นเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่ออาจารย์ปรีดีกลับมาสอนหนังสือที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม โดยหากพิจารณาคำบรรยายวิชากฎหมายปกครองของอาจารย์ปรีดีในภาค 1 นั้น จะเห็นได้ว่า เนื้อหาโดยส่วนใหญ่นั้นพูดชัดเจนถึงเรื่องการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศ เช่น ในเรื่องรูปของรัฐ แนวคิดการเมืองการปกครอง รัฐบาล การแบ่งแยกอำนาจ และอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น สิ่งนี้ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอาจารย์ที่ต้องการให้มีการปลุกจิตสำนึกขึ้นมาในหมู่นักเรียนกฎหมาย

อาจารย์สอนกฎหมายเคารพของศิษย์

ในช่วงที่บรรยายอยู่ที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมนั้นอาจารย์ปรีดีมีลูกศิษย์อยู่เป็นจำนวนมากที่มาเข้าฟังบรรยาย ลูกศิษย์สำคัญของอาจารย์ปรีดีในช่วงนั้นได้แก่ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายจิตติ ติงศภัทิย์ นายดิเรก ชัยนาม นายเสริม วินิจฉัยกุล นายเสวต เปี่ยมพงศ์สานต์ นายไพโรจน์ ชัยนาม นายประยูร กาญจนดุล และนายทองเปลว ชลภูมิ

บทบาทการสอนหนังสือของอาจารย์ปรีดีที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมนั้นได้รับการชื่นชมจากนักเรียนกฎหมายเป็นจำนวนมาก โดยได้รับการบอกเล่าว่าอาจารย์ปรีดีอนุญาตให้นักเรียนเข้าพบเพื่อปรึกษาปัญหาการเรียนที่บ้านป้อมเพชร์ที่ถนนสีลมอันเป็นบ้านพักของอาจารย์ในเวลานั้น สิ่งนี้ทำให้อาจารย์คุ้นเคยและมีความสัมพันธ์กับนักเรียนกฎหมายเป็นอย่างดี และทำให้นักเรียนโรงเรียนกฎหมายหลายคนเจริญรอยตามอาจารย์ในสาขากฎหมายมหาชน ดังเช่น นายไพโรจน์ ชัยนาม ซึ่งในภายหลังได้กลับมาเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ พล.ต.ต. พัฒน์ นีลวัฒนานนท์ ซึ่งในเวลาต่อมาท่านได้กลายมาเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายปกครองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยท่านได้กล่าวถึงคุณูปการของอาจารย์ปรีดีเกี่ยวกับกฎหมายปกครองไว้ในคำสั่งเสียสุดท้ายว่า

“โดยที่ได้ใช้ คำอธิบายกฎหมายปกครอง นี้เป็นหลักในการศึกษา และท่านเจ้าของ คำอธิบายกฎหมายปกครอง คนนี้เองด้วยเป็นผู้สอนให้มีความรู้ในเรื่องกฎหมายปกครองเป็นคนแรก จนสามารถเป็นผู้บรรยายกฎหมายปกครองในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อมาได้  ดังนั้น จึงอยากให้เอาคำอธิบายนี้ พร้อมด้วยวิเคราะห์ศัพท์ว่าด้วยกฎหมายปกครองของ ดร. แอล ดูปลาตร์…มาลงต่อท้ายไว้ในตอนท้ายของเล่มด้วย ถ้าไม่ได้พิมพ์ในโอกาสที่มีชีวิตอยู่ ก็ขอผู้อยู่ข้างหลังพิมพ์ในงานศพให้ด้วย”

บิดาของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามที่ไม่ได้ตั้งใจให้ชั่วคราว

หลังจากเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายปกครองได้ประมาณเกือบปี คณะราษฎรก็ได้ดำเนินการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสำคัญของอาจารย์ปรีดีอย่างหนึ่งทั้งในฐานะรัฐธรรมนูญฉบับแรก และการสถาปนากฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยความตั้งใจของอาจารย์ปรีดีเมื่อยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้คือ ต้องการให้เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดแผนและขั้นตอนเอาไว้ทั้งในแง่ของการกำหนดสัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการปกครองในระบอบเดิมมาสู่ระบอบใหม่

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อคณะราษฎรได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระอักษรกำกับต่อท้ายชื่อพระราชบัญญัตินั้นว่า “ชั่วคราว” ซึ่งในวันถัดมาอาจารย์ปรีดีจึงได้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับนี้เป็นธรรมนูญชั่วคราว เพราะได้สร้างขึ้นมาด้วยเวลากะทันหัน อาจมีข้อบกพร่องได้ จึงควรจะได้ตั้งผู้มีความรู้ความชำนาญตรวจแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่”

ดังนั้น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงได้เห็นพ้องตามข้อเสนอของอาจารย์ปรีดี และได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 7 คน ได้แก่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาเทพวิทุร พระยามานวราชเสวี พระยานิติศาสตร์ไพศาล พระยาปรีดานฤเบศร์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ ซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” เรียกชื่อกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ*

วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม และได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมา ณ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นวิชากฎหมายมหาชนได้รับการตั้งมั่นไว้เป็นอย่างดี ในส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งธรรมศาสตร์บัณฑิตทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐการ และบรรดาวิชาอื่นๆ อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยในชั้นนี้วิชากฎหมายมหาชนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้จัดให้มีการบรรยาย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการคลัง กฎหมายการเลือกตั้ง และกฎหมายมหาชนและระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ เป็นต้น

การเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศาลปกครอง

ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว รัฐบาลใหม่ผูกพักที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยข้อยืนยันประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลในขณะนั้นโดยดำริของอาจารย์ปรีดี ซึ่งเสนอให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทยคล้ายๆ กันกับสภาแห่งรัฐ (Conseil d’État) ของประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้ศาลปกครองทำหน้าที่พิทักษ์รักษาสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของราษฎร และไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐมากลั่นแกล้งราษฎรตามเจตนารมณ์ของหลัก 6 ประการ

อย่างไรก็ตาม ความพยายามจัดตั้งศาลปกครองในเวลานั้นยังไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาในรูปแบบศาลเช่นทุกวันนี้  ทว่า อาจารย์ปรีดีเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้นใช้บังคับ โดยมีหน้าที่สำคัญอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรก พิจารณาจัดทำร่างกฎหมาย และให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาล และประการที่สอง พิจารณาพิพากษาคดีปกครองตามที่จะได้มีกฎหมายให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งหน้าที่ประการที่สองนี้เป็นเสมือนการวางเสาเอกให้การจัดตั้งศาลปกครองเกิดขึ้นมาได้ในประเทศไทย

ทว่า เมื่อยังไม่ได้มีการตรากฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครองทำให้สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาไม่สามารถพิจารณาพิพากษาคดีปกครองได้ตามหน้าที่ๆ ได้จัดตั้งขึ้น และเมื่อมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติพิจารณาพิพากษาคดีปกครองต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยรัฐบาลในปี พ.ศ. 2478 และโดยนายประมวล กุลมาตย์ ในปี พ.ศ. 2489 ข้อสรุปของสภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้นก็คือ ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะมีศาลปกครองในเวลานั้น และได้มีการเลี่ยงไปจัดตั้งคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ขึ้ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีแทนตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดการจัดตั้งศาลปกครองก็เกิดขึ้นและสำเร็จเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ขึ้นมา

ดังจะเห็นได้ว่าคุณูปการของอาจารย์ปรีดีที่ได้ริเริ่มการสอนกฎหมายปกครองในวันนั้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่พลิดอกออกผลและตั้งมั่นกลายเป็นวิชากฎหมายมหาชนในทุกวันนี้  อย่างไรก็ตาม ในสภาวะการเมืองการปกครองตกอยู่ภายใต้ห้วงอำนาจนิยมและระบบการปกครองเผด็จการ กฎหมายมหาชนที่ควรจะเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการกลั่นแกล้งประชาชนไปแทน ในทางตรงกันข้ามความตั้งใจที่จะให้การศึกษากฎหมายมหาชนกลายนั้นก่อสำนึกในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้นกลับไม่เกิดขึ้นสมดังเจตนารมณ์ของอาจารย์ปรีดี เพราะนักกฎหมายมหาชนนั้นกลับเลือกรับใช้อำนาจแทนรับใช้ประชาชน

*สำหรับสาเหตุที่ใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” นั้น เป็นไปตามหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ที่เสนอผ่านหนังสือพิมพ์ประชาชาติว่าคำว่า “ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” นั้นยืดยาวเกินไป จึงสมควรใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ”.


อ้างอิงจาก

หนังสือ

  • สมชาย ปรีชาศิลปกุล, นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง : ข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ในองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญของไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2550 (ฟ้าเดียวกัน, 2561).
  • ปิยบุตร แสงกนกกุล, รัฐธรรมนูญ : ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนาและการเปลี่ยนผ่าน, (ฟ้าเดียวกัน, 2562).
  • นรนิติ เศรษฐบุตร, การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2542).
  • ปรีดี พนมยงค์, ประชุมกฎหมายมหาชนและเอกชนของปรีดี พนมยงค์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2526).
  • หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง โดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (โรงพิมพ์นีติเวชช์, 2503).

บทความ

  • พนม เอี่ยมประยูร, ‘การจัดตั้งศาลปกครองไทย: จะเดินหน้าหรือหยุดอยู่กับที่’ (2537) ในรวมบทความทางวิชาการของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนม เอี่ยมประยูร, 100 – 113.
  • พนม เอี่ยมประยูร, ‘วิวัฒนาการ 100 ปี ของโรงเรียนกฎหมายไทย’ (2546) ในรวมบทความทางวิชาการของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนม เอี่ยมประยูร, 156 – 168.

เว็บไซต์

  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ” (Khemmapat.org, 2 ตุลาคม 2563) <https://khemmapat.org/2020/10/02/costitution-law-001/> สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564.
  • ปรีดี พนมยงค์, “แด่ พล.ต.ต. พัฒน์ นีลวัฒนานนท์” (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 30 พฤษภาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/05/282> สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564.

กฎหมาย

  • พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476.

เมื่อเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาต้องห้ามในประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเรียนรู้วิทยาการจากตะวันตก

เมื่อสยามเริ่มเรียนรู้วิทยาการจากโลกตะวันตกในช่วง “การปฏิรูปประเทศ” สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งหลายวิทยาการที่นำเข้ามาจากโลกตะวันตกได้รับความนิยมชมชอบจากชนชั้นนำของสยามในเวลานั้น ตัวอย่างเช่น วิชานิติศาสตร์สมัยใหม่ของไทยเป็นผลมาจากการปฏิรูปประเทศจนกลายมาเป็นเครื่องมือของผู้ปกครอง ภายใต้กำกับของกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

การ “ปฏิรูปกฎหมาย” ในสยามเกิดขึ้นเพื่อสนองรัฐสมัยใหม่ที่อ้างอำนาจเหนือดินและรวมอำนาจที่ศูนย์กลาง[1] ซึ่งนอกเหนือจากวิชานิติศาสตร์แล้ว วิทยาการจากโลกตะวันตกอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับความสนใจคือ “วิชาการทหาร” ซึ่งมาพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพเพื่อตอบสนองต่อการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์

อย่างไรก็ตาม วิชาการอีกอย่างหนึ่งที่ชนชั้นนำสยามได้เริ่มศึกษาก็คือ “วิชาเศรษฐศาสตร์” ซึ่งเป็นวิชาการใหม่ที่สยามในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จัก ความสนใจในวิชาเศรษฐศาสตร์ในชนชั้นนำของสยามมีอยู่มากถึงขนาดว่า ‘พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ’ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสวรรควิไสยนรบดี) พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาเป็น “ด็อกเตอร์” คนแรกๆ ของประเทศไทยในสาขาเศรษฐศาสตร์ และมีผลงานตีพิมพ์คือ เป็นหนังสือชื่อว่า “เกษตรกรรมในสยาม: บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม” (Die Landwirtschaft in Siam) โดยเป็นงานนิพนธ์เศรษฐศาสตร์เล่มแรกๆ ของไทย  

อย่างไรก็ตาม งานนิพนธ์ฉบับดังกล่าวของพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย ทำให้วงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไทยไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควร ในขณะที่องค์ความรู้โดยส่วนใหญ่ถูกจำกัดเอาไว้ที่ชนชั้นนำ

‘พระยาสุริยานุวัตร’ กับ “ทรัพยศาสตร์” ตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกของไทย

ตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกที่ตีพิมพ์ในประเทศไทยชื่อว่า “ทรัพยศาสตร์” โดย ‘พระยาสุริยานุวัตร’[2]เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ภายหลังจากลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ โดยเกิดจากการสังเกตเห็นความเจริญของต่างประเทศดีกว่าของประเทศไทยในเวลานั้น และด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ประเทศดีขึ้นจนเท่าเทียมกับชาติอื่นได้บ้าง จึงเป็นเหตุให้ที่ทำให้พระยาสุริยานุวัตรเขียนหนังสือทรัพยศาสตร์ขึ้น โดยความหวังว่าจะให้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์นี้ได้เกิดการริเริ่มและสร้างรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย[3]

สำหรับในครั้งแรกที่ได้มีการตีพิมพ์หนังสือทรัพยศาสตร์ ได้แบ่งหนังสือออกเป็น 2 เล่ม คือ ทรัพยศาสตร์ชั้นต้นเล่ม 1 และ ทรัพยศาสตร์ชั้นต้นเล่ม 2 โดยได้รับการรับรองจากกระทรวงธรรมการให้เป็นตำราเรียน[4] แต่เมื่อหนังสือฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยชนชั้นนำของสังคม และได้รับการขอความร่วมมือจากรัฐบาลมิให้เผยแพร่หนังสือ[5]

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. 2475 หนังสือทรัพยศาสตร์ได้รับการนำกลับมาตีพิมพ์ใหม่เฉพาะในส่วนเล่มที่ 1 โดย ‘ศาสตราจารย์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ’แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “เศรษฐวิทยาชั้นต้น” และคงเนื้อหาไว้เช่นเดิม ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มในชื่อทรัพยศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

ทรรศนะของ ‘พระยาสุริยานุวัตร’ กับระบบเศรษฐกิจไทย

งานนิพนธ์ทางเศรษฐกิจในยุคต้นของประเทศไทยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจของไทยนั้นมีปัญหาเชิงโครงสร้าง หนังสือทรัพยศาสตร์ของพระยาสุริยานุวัตรนั้นเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว

ในหนังสือทรัพยศาสตร์ พระยาสุริยานุวัตได้ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตราษฎรไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะชาวนาที่ยากจนขัดสนด้วยทุน ต้องออกแรงทำงานแต่ลำพังตัวด้วยความเหน็ดเหนื่อย และในเวลาที่ทำนาอยู่เสบียงอาหารและผ้านุ่งห่มไม่เพียงพอก็ต้องซื้อเชื่อโดยเสียราคาแพง หรือ ถ้าต้องกู้เงินไปซื้อก็ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างแพงเหมือนกัน และเมื่อถึงคราวเกี่ยวข้าวได้ผลผลิตออกมาแต่ไม่มีกำลังและพาหนะพอจะขนข้าวไปจากลานนวดข้าว หรือ ไม่มียุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวไว้ขาย เมื่อเวลาข้าวในตลาดจะขึ้นราคา จึงจำเป็นต้องขายข้าวในราคาตามที่มีผู้มาซื้อที่ลานโดยจะซื้อในราคาใดก็ต้องยอมรับและจำใจขาย เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีเงินไปใช้ชำระหนี้ทันกำหนดสัญญา[6] สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2473 – 2475 ดังปรากฏในรายงานการศึกษาของ ‘คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน’(Carle C. Zimmerman) ก็ได้อธิบายสภาพเศรษฐกิจสยามในช่วงเวลานั้นว่ามีปัญหาเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ‘ฉัตรทิพย์ นาถสุภา’ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ภายใต้บริบทของโครงสร้างระบบศักดินา แม้ขยันทำการผลิตสักเท่าใด ผลผลิตส่วนใหญ่ก็หาตกเป็นของตนไม่ เพราะนอกจากจะต้องชำระหนี้สินแล้วประชาชนยังต้องส่งส่วยให้รัฐบาลและเจ้าของที่ดินแทบไม่เหลือไว้บริโภค[7] ซึ่งส่วนเกินดังกล่าวนั้นจึงตกอยู่ในมือรัฐบาล ชนชั้นศักดินา คือ เจ้านาย เจ้าของที่ดิน ข้าราชการและนายทุนชาวจีนและชาวต่างชาติอื่นๆ[8]

ทรรศนะของพระยาสุริยานุวัตรที่ได้แสดงไว้ในหนังสือทรัพยาศาสตร์นั้น มีความสำคัญโดยชี้ให้เห็นสภาพความยากจนของประเทศไทย แนวทางแก้ไขด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจ และการจัดระบบเศรษฐกิจไทยใหม่ เพื่อขจัดการเอารัดเอาเปรียบ และลดความแตกต่างในรายได้และทรัพย์สิน[9] ทรรศนะในหลายๆ ส่วนของหนังสือจึงได้มีการพูดถึงประเด็นของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสยามในเวลานั้นโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ

ระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยในระยะที่พระยาสุริยานุวัตรได้เขียนไว้ คือ ระบบศักดินาเสริมด้วยนายทุน ภายใต้ระบบนี้ส่วนเกินถูกขูดรีดจากชาวนาและนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้การผลิตเกษตรเพิ่มขึ้นและถูกส่งออกตลาดโลกมากขึ้น ส่วนเกินนั้นก็ถูกใช้หมดไปไม่ถูกนำมาลงทุน การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจเปลี่ยนเทคนิคการผลิตและพัฒนาการอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้นเชื่องช้า[10]

ทรรศนะของชนชั้นนำสยามเกี่ยวกับทรัพยศาสตร์

ด้วยทรรศนะการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจของสยามในเวลานั้น ทำให้ชนชั้นนำสยามโดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือทรัพยศาสตร์เอาไว้ใน วารสารสมุทสารของราชนาวีสมาคม (สมุทสาร ปีที่ 2 เล่ม 9 กันยายน 2458) โดยทรงใช้นามปากกาว่า “อัศวพาหุ” 

ท่านทรงวิจารณ์หนังสือทรัพยศาสตร์และการศึกษาเศรษฐศาสตร์ในเวลานั้นว่าไม่มีความเหมาะสมโดยทรงอธิบายเหตุผลประการสำคัญในทำนองว่า

ทรัพยศาสตร์นั้นริเริ่มในประเทศยุโรปและอเมริกา เนื่องจากทรัพย์สมมติไปรวมอยู่ในมือบุคคลบางกลุ่มหรือบางตระกูลซึ่งในอดีตเคยเป็นนักรบ ประกอบกับด้วยในประเทศยุโรปและอเมริกานั้นมีปัญหาว่าที่ดินมีจำกัด 

เมื่อมีคนเกิดเพิ่มขึ้นก็ยิ่งต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่เมื่อที่ดินไปตกอยู่ในมือบุคคลบางกลุ่ม จึงมีไม่พอกับการอยู่อาศัยทำให้ผู้คนไม่มีทรัพย์สินรู้สึกเสียหาย วิชาเช่นทรัพยศาสตร์จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความไม่เพียงพอของทรัพยากรเช่นว่านั้น แต่ในประเทศไทย มิได้มีผู้มั่งมีเช่นในสังคมยุโรปและอเมริกา และก็ไม่ได้มีคนยากจนเท่ากับยุโรปและอเมริกา การศึกษาทรัพยศาสตร์จึงทำให้มีแต่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นกับคนในสังคมเท่านั้น และจะทำลายน้ำใจไมตรีของคนในสังคมที่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามคติแบบพุทธศาสนาคือ การให้ทาน[11]

การที่องค์ประมุขสูงสุดของประเทศออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนังสือทรัพยศาสตร์นั้นทำให้เกิดการพยายามเกลี้ยกล่อมให้มีการเผยแพร่หนังสือทรัพยศาสตร์โดยจำกัด โดยขอให้พระยาสุริยานุวัตรไม่เผยแพร่หนังสือดังกล่าว การดังกล่าวสร้างความเสียใจให้กับพระยาสุริยานุวัตรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ความประสงค์ของพระยาสุริยานุวัตรต้องการจะให้ประเทศไทยพัฒนาได้ทัดเทียมนานาประเทศ

การยิ่งซ้ำแล้วเมื่อในเวลาต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีรับสั่งไม่ให้มีการสอนวิชาเศรษฐวิทยาหรือลัทธิทางเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งก็ทำให้พัฒนาการของวิชาเศรษฐศาสตร์หยุดชะงักไป

ทรัพยศาสตร์ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม

หนังสือ “ทรัพยศาสตร์” นั้น มีความสำคัญในฐานะการก่อให้เกิดจิตสำนึกขึ้นในหมู่ชนชาวสยามโดยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาพื้นฐานโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองไทย ซึ่งในเวลาต่อมาทำให้เกิดนักคิดทางเศรษฐกิจไทยอีกหลายคนโดยเฉพาะในช่วงภายหลัง พ.ศ. 2475 เช่น ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ได้แสดงทรรศนะสำคัญเอาไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจของ ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ซึ่งพยายามวางโครงสร้างและรื้อถอนระบบเศรษฐกิจลูกผสมศักดินาทุนนิยม หรือ ‘สมสมัย ศรีศูทรพรรณ’ (จิตร ภูมิศักดิ์) ซึ่งได้เขียนหนังสือโฉมหน้าศักดินาไทยวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทย ซึ่งรวมถึงระบบเศรษฐกิจลูกผสมศักดินาทุนนิยม เป็นต้น 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความคิดริเริ่มของพระยาสุริยานุวัตรที่ต้องการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อให้เกิดถกเถียงและเผยแพร่องค์ความรู้วิทยาการทางเศรษฐศาสตร์ต่อไป

หมายเหตุ: แก้ไขและจัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


เชิงอรรถ

[1] ธงชัย วินิจจะกูลนิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของ Rule of law แบบไทย(นิตยสาร WAY, 2563) 101.

[2] พระยาสุริยานุวัตรกราบบังคมทูลลาออกจากราชการเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของนายอากรฝิ่น ภายหลังจากได้เสนอแนะให้โอนกิจการฝิ่นจากเจ้าภาษีผูกขาดให้กลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น แต่เจ้าภาษีนายอากรและข้าราชการบางคนไม่ให้ความร่วมมือ ในท้ายที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการเฉพาะแนะนำให้ลาออกจากราชการเพื่อระงับเหตุ; ‘ทรัพยศาสตร์ ตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย วิชาต้องห้ามในอดีต’ (ศิลปวัฒนธรรม, 22 พฤษภาคม 2564) <www.silpa-mag.com/history/article_45640> สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564.

[3] พระยาสุริยานุวัตร, ทรัพยศาสตร์ (สำนักพิมพ์โฆษิต, 2547), 21.

[4] อัศวพาหุ, ‘ทรัพยศาสตร์ (ความเห็นเอกชน)’ (2458) 2 สมุทสาร 9, 113.

[5] อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[6] พระยาสุริยานุวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 97.

[7] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ‘ความคิดทางเศรษฐกิจของพระยาสุริยานุวัตร’ (2519) 12 สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 9, 24-29 อ้างใน พระยาสุริยานุวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 34.

[8] เพิ่งอ้าง, 36.

[9] เพิ่งอ้าง, 23.

[10] เพิ่งอ้าง, 37.

[11] อัศวพาหุ, ‘ทรัพยศาสตร์ (ความเห็นเอกชน)’ (2458) 2 สมุทสาร 9, 127 – 129.

ทวิภพ The Siam Renaissance 2547: ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์และจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ตีตราสนธิสัญญาเบาว์ริง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อพูดถึง ‘ทมยันตี’ หรือ ‘วิมล ศิริไพบูลย์’ แล้วหลายคนอาจจะนึกถึงคู่กรรมซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความรักของหญิงสาวชาวไทยกับนายทหารชาวญี่ปุ่นโดยพื้นหลังของเรื่องเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สำหรับผู้เขียนแล้วยังมีงานวรรกรรมของทมยันตีที่ได้รับความนิยมมากไม่แพ้กับคู่กรรมก็คือ “ทวิภพ”

“ทวิภพ” เป็นงานวรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมไทย และได้รับการตีพิมพ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการผลิตซ้ำในรูปแบบสื่อภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครเวที 

โดยส่วนตัวนั้นสำหรับผู้เขียนแล้ว ทวิภพเวอร์ชั่นที่ประทับใจที่สุดก็คือ ภาพยนตร์ทวิภพ ปี พ.ศ. 2547 กำกับโดย ‘สุรพงษ์ พินิจค้า’ นำแสดงโดย ‘วนิดา เฟเวอร์’ ซึ่งเป็นที่มาของภาพประกอบและฉากที่ประทับใจของผู้เขียน

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ประทับใจและชื่นชอบเนื้อเรื่องนี้ นอกจากความรักโรแมนติกของ ‘มณีจันทร์’ และ ‘หลวงอัครเทพวรการ’ ที่มีให้กันเหนือความต่างด้านกาลเวลาแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะการสอดแทรกความรักชาติของวรรณกรรมชิ้นนี้ ซึ่งได้ปลุกจิตปลุกใจให้เกิดความรักชาติผ่านการแสดงพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยในการแก้ไขวิกฤตและการพาประเทศสยามผ่านพ้นวิกฤต 

โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเรื่องที่เล่าถึงวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นวิกฤตสำคัญของประเทศและของมณีจันทร์ หากไม่นับการนำเสนอมุมมองของวรรณกรรมและบทประพันธ์รวมถึงมองข้ามเรื่องการสู้รบและคติชาตินิยมที่ปรากฏอยู่ตามท้องเรื่องโดยตลอดแล้ว ทวิภพยังมีพื้นหลังของเรื่องเป็นเหตุการณ์สำคัญคือ การตีตราใน “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม” หรือที่รู้จักกันว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ในปี พ.ศ. 2398 หรือในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นมีลักษณะเป็น 2 ระบบ กล่าวคือ การค้าภายในนั้นเป็นไปอย่างเสรี แต่ถ้าเป็นการค้ากับชาวต่างชาติจะมีลักษณะเป็นการค้าแบบผูกขาดที่ดำเนินการโดยพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าของประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองในช่วงอยุธยาตอนต้น โดยพัฒนามาจากการเก็บส่วยของรัฐบาล และเมื่อมีทรัพยากรเกินความต้องการจึงส่งไปขายยังต่างประเทศเพื่อหาเงินเข้ารัฐ

ในเวลาต่อมารูปแบบของการค้าผ่านพระคลังสินค้าเริ่มชัดเจนมากขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เริ่มมีการค้ากับโปรตุเกสเป็นครั้งแรก ซึ่ง ‘สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ’ ได้ทรงให้ความเห็นว่า การจัดตั้งพระคลังสินค้ามีวัตถุประสงค์มาจากไทยต้องการที่จะควบคุมและผูกขาดสินค้าที่ชาติตะวันตกนำมาขายโดยเฉพาะยุทธภัณฑ์ให้ขายกับรัฐบาลเท่านั้น

 รูปแบบการค้าแบบผูกขาดผ่านพระคลังสินค้าถูกใช้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งจากการค้าถูกผูกขาดเอาไว้เฉพาะชนชั้นนำของสยามคือ พระมหากษัตริย์ และบุคคลรอบข้าง เช่น เชื้อพระวงศ์และขุนนาง เป็นต้น ซึ่งการค้าในลักษณะดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อชาติตะวันตกและไม่เป็นผลดีต่อประชาชนชาวสยามด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เนื่องจากรัฐบาลเป็นสยามผูกขาดการค้าทั้งหมดไว้กับตนเอง ทำให้ราคาสินค้ามีเพียงราคาเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีบุคคลอื่นที่สามารถซื้อขายได้แล้วในประเทศนี้ 

เช่นเดียวกันกับประชาชนชาวสยาม เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่ชาวตะวันตกต้องการนำมาซื้อขายเป็นสินค้ามีค่า เช่น ข้าว ไม้สัก เครื่องเทศ และของป่า ซึ่งสร้างขึ้น หรือ หามาได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถูกบังคับว่าจะต้องขายให้กับรัฐบาลเท่านั้น อีกทั้งหากเป็นในช่วงอยุธยาตอนกลางจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นสินค้าเหล่านี้มักจะถูกเรียกเก็บในฐานะส่วยแทนการเกณฑ์แรงงานไพร่ตามระบบศักดินาของไทย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น อังกฤษกับสยามได้มีการร่วมกันทำสนธิสัญญาขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วคือ “สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์” หรือที่รู้จักกันว่า “สนธิสัญญาเบอร์นี่” โดยมี ‘เฮนรี่ เบอร์นี่’ (Henry Burney) มาเป็นทูตในการเจรจา ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  

อย่างไรก็ตาม การเจรจาในครั้งนั้นไม่ได้มีนัยสำคัญเท่าไร ซึ่งภายหลังสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ทรงขึ้นครองราชสมบัติ รัฐบาลอังกฤษได้ทราบว่ามีความต้องการตกลงทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ จึงได้มีการส่ง ‘เซอร์ จอห์น เบาว์ริง’ (Sir John Bowring) ซึ่งเป็นข้าหลวงฮ่องกงเข้ามาเจรจาการค้ากับสยาม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเรื่องมีหลายฉากที่ได้เล่าถึงการเจรจาและการไม่ยินยอมภายใต้ข้อตกลงที่ทางอังกฤษเสนอมาโดยคณะผู้แทนไทยซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นมา

นัยสำคัญของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้นแตกต่างไปจากสนธิสัญญาฉบับก่อนๆ คือ การแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลอังกฤษ (และตัวของเบาว์ริงเอง) ที่ต้องการเปิดเสรีทางการค้ากับสยามโดยไม่ผ่านคนกลางอย่างพระคลังสินค้าเพื่อให้คนอังกฤษสามารถค้าขายได้อย่างอิสระปราศจากการกดราคาจากพระคลังสินค้า และห้ามการแทรกแซงการค้าระหว่างพ่อค้าอังกฤษกับเอกชนสยาม การตั้งสถานกงสุลอังกฤษ การกำหนดให้คนอังกฤษและคนในบังคับไม่อยู่ภายใต้อำนาจของศาลไทย และยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือ กำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจนโดยเปลี่ยนมาเก็บภาษีร้อยละ 3 แทน การตีตราในสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นถือเป็นผลงานชิ้นสำคัญและความสำเร็จของเบาว์ริง

“…การค้าขายจะทำให้สยามเปลี่ยนจากป่ากลายเป็นสวน…ประเทศของข้าพเจ้า (อังกฤษ) ก็เคยเป็นป่ามาก่อน เรา (อังกฤษ) เจริญด้วยการค้า…”

– เซอร์จอห์น เบาว์ริง, ทวิภพ (พ.ศ. 2547)

ผลของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจไทยจากระบบเศรษฐกิจที่การผลิตเป็นไปเพื่อยังชีพมาเป็นการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พร้อมๆ กันกับการเข้ามาของธุรกิจต่างของชาติตะวันตกที่เข้ามาสนับสนุนการค้าที่ขยายตัวขึ้น เช่น ที่ทำการแทนธนาคาร เป็นต้น 

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เบาว์ริงคาดหมายไว้ โดยในคำบอกเล่าของเบาว์ริงเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าและเข้าพบผู้นำสยาม บทสนทนาระหว่างสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเบาว์ริงในบันทึกของเขาได้ระบุว่า 

พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “เราไม่ควรคาดหวังจากสยามมากเกินไป เพราะสยามยังเป็นป่าดงอยู่โดยมาก”

ข้าพเจ้ากราบบังคมทูลว่า “การค้าพาณิชย์จะทำป่าดงให้เป็นสวน และประเทศของข้าพเจ้า ซึ่งปัจจุบันเพาะปลูกอย่างดีแล้วนั้นก็เคยเป็นป่าดงมาก่อน”

 พระองค์จึงตรัสว่า “ประเทศของท่านนั้นเป็นสวน ข้าพเจ้าจึงกราบบังคมทูลว่า ‘เราเจริญก้าวหน้าได้เพราะการค้า…”

ซึ่งบทสนทนานี้ได้ถูกดัดแปลงและนำไปกล่าวถึงในภาพยนตร์ทวิภพด้วยเช่นเดียวกัน

นอกเหนือจากการเปิดเสรีทางการค้าแล้ว นัยสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริงที่เกิดขึ้นกับสยามคือ “การปฏิรูปประเทศสยาม” ในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการสร้างระบบราชการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นการแทนที่ระบบศักดินาด้วยระบบราชการสมัยใหม่ และนอกจากนี้ เมื่อสยามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกผ่านการค้ากับอังกฤษแล้ว การผลิตแบบยังชีพจึงไม่เพียงพออีกต่อไประบบไพร่-ทาส ซึ่งเป็นระบบที่กีดขวางแรงงานจากตลาดแรงจึงถูกยกเลิกลงในเวลาต่อมา เพื่อให้แรงงานเข้าสู่การผลิตสินค้าส่งออกสำคัญคือ “ข้าว” และนำไปสู่นโยบายการขุดคลองทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานครเพื่อทำการเพาะปลูกข้าวส่งออก ซึ่งถ้าหากมองในมุมมองนี้ การล้มเลิกระบบไพร่-ทาส จึงมากไปกว่าแค่พระปรีชาญาณเท่านั้น หากแต่มีบริบททางเศรษฐกิจรองรับ

 อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงที่ทำให้สยามเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในการบังคับใช้กฎหมายกับคนอังกฤษและคนในบังคับของอังกฤษนั้นในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นข้อสัญญามาตรฐานที่ถูกไปใช้ในการเจรจาสนธิสัญญาระหว่างสยามกับชาติตะวันตกอื่นๆ ต่อไปด้วย และอัตราภาษีที่กำหนดไว้ต่ำเพียงไม่เกินร้อยละ 3 ก็ทำให้สยามมีปัญหาในการใช้นโยบายภาษีเพื่อแสวงหารายได้

“ทวิภพ” พ.ศ. 2547 เป็นทวิภพในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา เพราะสามารถเก็บเรื่องราวและรายละเอียดของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี และนำมาฉายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงชั่วโมงเศษ โดยรักษาสมดุลระหว่างเรื่องรักโรแมนติกของหนุ่มสาวที่ห่างกันด้วยเวลา กับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มิได้ตกหล่นไปเลยแม้แต่น้อย

หมายเหตุ ทวิภพ เวอร์ชั่นภาพยนตร์ ออกฉายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 นำแสดงโดย วนิดา เฟเวอร์ รับบท มณีจันทร์ รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง รับบท หลวงวิจิตรวาทการ กำกับภาพยนตร์โดย สุรพงษ์ พินิจค้า เขียนบทโดย สุรพงษ์ พินิจค้า วิมล ศิริไพบูลย์ และภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์


อ้างอิง

  • พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย, (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2564)
  • นันทนา กปิลกาญจน์, ผลกระทบของระบบผูกขาดทางเศรษฐกิจที่มีต่อสังคมเกษตรกรรมไทย: สมัยอยุธยาจนถึงสนธิสัญญาเบาว์ริง .ศ. 2398, (โอ. เอส. พริ้นติ้งส์ เฮ้าส์, 2398)
  • กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วิวัฒนาการรัฐไทย, (ฟ้าเดียวกัน, 2562)
  • วีระ สมบูรณ์, ‘การค้าเสรี: จากอดัม สมิธ ถึง เบาว์ริง’ (สัมมนาลุ่มแม่น้ำโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก ในวันที่ 25 – 26 มกราคม 2549 ณ ห้องประชุมโรงแรมรอยัลแม่โขง จังหวัดหนองคาย) <http://www.openbase.in.th/files/ebook/textbookproject/seminakong003.pdf> สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม 2564.

ข้อถกเถียงเมื่อคราวร่างภาษีมรดกครั้งแรก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยนั้น มิได้มีความมุ่งหมายแต่เฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น หากคณะผู้ก่อการมุ่งหมายให้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยพยายามแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อชาวนาและคนยากจน ทั้งในแง่ของการแก้ไขปัญหาการถูกยึดทรัพย์สินของกสิกรหรือการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ไปจนถึงการยกเลิกภาษีอากรบางประเภท เช่น การยกเลิกอากรสมพัตสร และการยกเลิกเก็บเงินค่ารัชชูปการ เป็นต้น ซึ่งการยกเลิกภาษีอากรจึงนำมาซึ่งการขาดรายได้ให้กับรัฐบาลสยามในเวลานั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกำหนดภาษีอากรประเภทใหม่ขึ้นเพื่อทดแทนภาษีอากรประเภทเดิมที่ยกเลิกไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “ภาษีมรดก” (ในบทความนี้จะใช้คำว่า “มฤดก” เมื่อกล่าวถึงบริบทในช่วงปี พ.ศ. 2475) 

รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ประธานคณะกรรมการราษฎร) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 มาสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้น โดยประธานคณะกรรมการราษฎรได้แถลงว่า

“ภาษีเรื่องมฤดกนี้เป็นภาษีอย่างหนึ่งที่บ้านเมืองทั้งหลายเขามีกันทั้งนั้นแล้ว ซึ่งเป็นภาษีที่สมควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง วิธีเก็บมี 2 วิธี บางเมืองก็ใช้ 2 วิธีรวมกัน บางเมืองก็ใช้วิธีเดียว วิธีเก็บอย่างที่ 1 คือ เอามฤดกมากองเป็นกองใหญ่ก่อนแบ่ง เมื่อชำระหนี้สินทั้งหลายแล้วก็หักเงินค่าภาษีออกจากเงินนั้น เหลือเท่าใดก็แบ่งกันระหว่างผู้รับมฤดก 

อีกวิธีหนึ่ง คือแบ่งเสียก่อนตามกฎหมาย ใครได้มากได้น้อยเท่าใด เสร็จแล้วจึงเสียภาษีจากส่วนแบ่งนั้นทีหนึ่ง ประเทศอังกฤษเก็บจากกองมฤดกก่อน และเมื่อแบ่งก็เก็บอีกทีหนึ่ง ฝรั่งเศสทราบว่าเก็บวิธีเดียว คือแบ่งเสียก่อนจึ่งเก็บจากส่วนแบ่งทีเดียว ส่วนของเราคิดว่าฐานะของเราเวลานี้ไม่มีศาล Probate วิธีการแบ่งมฤดกยุ่งเหยิงที่จะทำให้คล่องสะดวกง่ายนั้นยากเต็มที่ 

ถ้าจะเก็บอย่างวิธีแรก คือ เก็บจากกองมฤดก คือเอามฤดกมากองแล้วเก็บนั้น เห็นว่าเป็นวิธีที่ง่าย อีกอย่างหนึ่งวิธีตั้งอัตรา (Scale) มีอีกวิธีหนึ่ง คือเขาตั้งกำหนดอย่างน้อยไว้ตั้งแต่เปอร์เซ็นต์ต่ำแล้วสูงขึ้นไป เราได้คิดว่าสำหรับมฤดกน้อยจะเก็บภาษีก็ไม่ควร เพราะต้องแบ่งแยกกันไประหว่างผู้รับมฤดก อีกประการหนึ่งก็ได้น้อยด้วย 

ฉะนั้นจึ่งตั้งอัตราไว้ 25,000 บาท และตั้งต้นเก็บแต่ 3% ขึ้นไป ตามจำนวนมฤดกที่มีอยู่ อีกประการหนึ่งที่เราทำอย่างนี้คิดว่าคนยากจนสักหน่อย กล่าวคือคนมีมฤดกน้อยก็ไม่ได้รับความเดือดร้อน หรือแบ่งออกไปได้คนละเล็กละน้อยก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่คนที่มีมากก็เสียตามมากขึ้นตามส่วน…”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำเสนอภาษีมรดกในสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีข้อถกเถียงอยู่เป็นจำนวนมากที่น่าสนใจ และน่าสนใจควรค่าแก่การหยิบมาพิจารณาบริบทของสังคมในขณะนั้น ซึ่งข้อถกเถียงสำคัญของการจัดเก็บภาษีมรดกในเวลานั้นคือ รัฐบาลควรจะเก็บเริ่มเก็บภาษีมรดกแล้วหรือไม่

ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ภาษีมรดกนั้นภาระทางภาษีจะตกกับบุคคลใดมากน้อยเพียงใด และการจัดเก็บภาษีมรดกในประเทศสยามเวลานั้นอาจจะยังไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นการทำให้ผู้รับมรดกนั้นถึงกับล้มละลายจากรับมรดกก็ได้ อีกทั้งการจัดเก็บภาษีมรดกนั้นจะเป็นการลดทอนกำลังใจของประชาชน

ดังเช่น นายมังกร สามเสน กล่าวว่า “ในการที่จะตั้งอนุกรรมการไปพิจารณา เห็นว่าที่ประชุมนี้ควรจะวางโปลิซีในเรื่องนี้ให้ เพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์สมบัติของผู้ตายถึงกับล้มละลาย…”

หรือ พระยาปรีดานฤเบศร์ ได้กล่าวว่า “…เวลานี้ราษฎรเมืองไทยยังไม่มั่งมีสมบูรณ์ที่จะเสียภาษี…เราจะไม่คิดบ้างหรือว่า เมื่อพ่อแม่มั่งมีเมื่อตายแล้วจะไม่ปล่อยให้ลูกหลานมั่งมีด้วย เพราะการที่เขาพยายามสะสมทรัพย์ไว้ก็เพื่อลูกหลานหากจะเก็บภาษีเช่นว่านั้นก็ควรคิดให้ดี และถ้าจะถือหลักเช่นว่านั้นก็แปลว่ารัฐบาลไม่ประสงค์จะให้คนมั่งมี ซึ่งคิดว่าเป็นนโยบายผิด นโยบายที่ถูกนั้นก็คือต้องพยายามปรนให้อ้วนเสียก่อนเป็นข้อสำคัญ 

จึ่งเห็นว่าภาษีนี้แม้จะมีก็ควรเก็บแต่น้อย เช่น คนละ 6 บาทเป็นทำนองภาษีรายได้ก็จะงามดี และทั้งนี้มิใช่ว่าจะมีความเห็นเป็นการคัดค้านโดยตรง (Direct opposition) ก็หาไม่ แต่ว่าอัตราที่วางไว้นั้นค่อนข้างจะแรง”

อย่างไรก็ตาม ภาษีมรดกนั้นก็มีความสำคัญต่อการจัดหารายได้มาเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งประเทศสยามในเวลานั้นประสบปัญหาทางการคลัง และเมื่อจะมีการยกเลิกภาษีอากรบางลักษณะก็จำเป็นต้องจัดหารายได้เพิ่มเติม

ดังความเห็นของ หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี พนมยงค์) แถลงว่า “การเก็บภาษีมฤดกจากราษฎรนั้น เท่าจำนวนที่เราได้วางข้อยกเว้นไว้ 25,000 บาทนั้นก็ดีแล้ว เพราะคนที่มีเงินมากกว่านั้น ถ้าจะพูดตามศัพท์เจ้าคุณปรีดาก็กล่าวได้ว่าอ้วนบ้างแล้ว และแม้กระนั้นเราก็ไม่ได้เก็บแรงเลย เราอยากเก็บพวกที่มีมากๆ เช่น 1,000,000 บาท คิด 30% ก็เห็นว่าไม่เป็นภาษีที่มากเลย 

ส่วนที่ภรรยาปรีดาชี้แจงว่า ควรเก็บภาษีเป็นทำนองรายได้นั้น ภาษีเช่นนี้ความจริงก็ดำริและเป็นนโยบายที่เสนาบดีคลังกำลังดำริอยู่เหมือนกัน สำหรับภาษีมฤดกนั้นพิจารณาตามอัตราแล้ว ผู้ที่มีน้อยกว่า 25,000 บาทก็ไม่ต้องเสีย 

การเก็บภาษีมฤดก วัตถุประสงค์ที่จะเก็บมีว่า “ธรรมดาเมื่อบุคคลมีทรัพย์โดยได้มาจากการทำมาหากินซึ่งต้องอาศัยฝูงชนที่ร่วมกันอยู่นี้ คิดดูตามลำพังฉะเพาะคนหนึ่งๆ นั้น จะมีกำลังหาได้ตังค์ 1,000,000 บาท หรือการที่มีมากก็อาศัยฝูงชนที่ทำให้ร่ำรวย เช่นคนที่มีที่ดินซื้อที่ดินไว้เพียงราคาเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาที่ดินแถวนั้นมีคนอยู่คับคั่งก็มีราคาแพงขึ้นตั้งหลายๆ เท่าตัวนี้ใครทำให้เจ้าของที่ดินรวย ไม่ใช่ฝูงชนหรือ ฉะนั้นเมื่อคนนั้นตาย การที่จะเก็บภาษีก็เป็นการหันเข้าหาความยุติธรรม เราต้องการที่สุดที่จะสมานฐานะระหว่างคนมั่งมีกับคนจน จึงเห็นว่าการเก็บภาษีมฤดกจะทำความเสมอภาคมากขึ้นไปได้ ถ้าไม่คิดป้องกันเสียก่อนแล้วภายหลังจะลำบาก”

นายประยูร ภมรมนตรี กล่าว่า “ภาษีมฤดกนี้เป็นภาษีพิเศษ ไม่ได้เป็นอากรตามปกติซึ่งเก็บเป็นรายได้ของแผ่นดิน ในเมืองต่างประเทศโดยมากเก็บอากรมรดกไว้เพื่อประโยชน์ในการใช้จ่ายเกี่ยวแก่งานพิเศษของประเทศ เช่น ใช้หนี้ บำรุงการศึกษา สงเคราะห์คนอนาถา และการสุขาภิบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นเงินบำรุงประเทศเพราะฉะนั้นความเข้าใจเสียว่าอากรมฤดกที่จะเก็บนี้เพื่อใช้ในการพิเศษ

บรรดาข้อถกเถียงดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับภาษีมรดกนั้น เป็นข้อถกเถียงสำคัญซึ่งนำไปสู่การศึกษาเพิ่มเติม ในท้ายที่สุดสภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการไปพิจารณาศึกษารายละเอียดของภาษีมรดกเพิ่มเติม

ประการสำคัญที่สุด สิ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้มีการจัดเก็บภาษีมรดก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาษีที่มีความสำคัญและช่วยในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ดังจะเห็นได้ว่าแนวคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีนี้ มิได้เก่าไปเลยเมื่อเวลาผ่านไป เพราะท้ายที่สุดนั้น แม้แต่การยกร่างพระราชบัญญัติภาษีมรดกฉบับใหม่ ข้อถกเถียงในลักษณะเช่นนี้ก็ยังคงปรากฏอยู่เสมอ และเรื่องของภาษีมรดกนั้นยังมีให้ได้เล่าอีกเป็นจำนวนมาก


อ้างอิง

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 32/28 ตุลาคม 2475