ลดอุปสรรค ผลักดัน ร่าง ก.ม.ประชาชนผ่านสภาฯ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ปิยพร ประสงค์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ นักวิจัยอาุวโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจำนวน 4 ฉบับที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการเมื่อไม่นานมานี้ หนึ่งในสี่ฉบับนั้นมีร่าง พ.ร.บ.ที่ภาคประชาชนเป็นผู้เสนอ นำโดยคุณอรรณว์ ชุมาพร นักกิจกรรมเพื่อความหลากหลายทางเพศจากเครือข่ายภาคีสีรุ้งและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 11,611 คน

การรับหลักการนี้เป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จในการออกกฎหมายที่มาจากความต้องการประชาชนตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญฯรับรองไว้ อย่างไรก็ตามหากย้อนไปในสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมา แม้จะมีกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนกว่า 86 ฉบับแต่ผ่านการพิจารณาของสภาฯเพียง 1 ฉบับเท่านั้นนั่นคือ ร่าง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่…) พ.ศ.. ร่างนี้มีความคล้ายกับร่างสมรสเท่าเทียมในแง่ที่มีร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีเสนอควบคู่กันมาด้วย จึงได้รับความสนใจและผ่านสภาฯ มาได้

จำนวนของร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณานี้ สะท้อนความเป็นจริงที่ว่ากระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายโดยประชาชนยังคงมีอุปสรรค แม้ว่า “หัวใจ” ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะให้ความสำคัญกับ “ประชาชน” ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงมีการออกแบบกระบวนการต่างๆให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้นแล้วก็ตาม

เช่นที่ผ่านมา รัฐไทยพยายามเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในออกกฎหมายอย่างการเปิดให้ประชาชนเสนอกฎหมายและการรับฟังความคิดเห็น เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงร่างกฎหมายที่ประชาชนได้ร่วมกันเสนอกลับผ่านออกมาเป็นกฎหมายน้อยมากเมื่อเทียบกับกฎหมายของคณะรัฐมนตรี โดยอุปสรรคที่ทำให้ร่างกฎหมายของประชาชนผ่านสภาจำนวนน้อยมี 2 ปัจจัย   

ปัจจัยแรกคือ “นโยบาย” ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่าให้ประชาชนสามารถเสนอกฎหมายบางเรื่องเท่านั้น ถ้านอกเหนือไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จะถูกปัดตก และหากเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินถ้านายกรัฐมนตรีไม่รับรองก็ไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ รวมไปถึงในกรณีที่ร่างกฎหมายที่ไม่ตรงกับนโยบายที่รัฐบาลต้องการผลักดันก็อาจทำให้ไม่ผ่านการโหวตในสภาฯ

ตัวอย่างกรณีนี้ เช่น พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคสช.ที่กระทบสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงแทรกแซงกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ป่าไม้ และผังเมืองในช่วงที่คสช.เข้ามาบริหารประเทศซึ่งถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านจะทำให้เกิดการทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของคสช.ใหม่    

หนทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้อง “รื้อ” กระบวนทัศน์ใหม่ในระดับนโยบายและแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าไปมีพื้นที่ในกระบวนการออกกฎหมายมากขึ้น   

อุปสรรคอีกปัจจัยหนึ่ง คือกระบวนการเสนอและกลั่นกรองกฎหมายเข้าสู่สภาฯในชั้นของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าในปัจจุบันสำนักงานฯจะพยายามอำนวยความสะดวกโดยทำระบบการเข้าชื่อเสนอกฎหมายรองรับประชาชนเอาไว้ แต่การใช้งานในปัจจุบันยังเป็นเพียงการติดตามสถานะของการเสนอกฎหมายมากกว่า ในขณะที่ประชาชนยังคงต้องรวบรวมรายชื่อเพื่อทำแบบฟอร์มเอกสารเสนอต่อสำนักงานฯเช่นเดิม

ดังนั้น ควรมีการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริงและระบบดังกล่าวควรทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่มีความสนใจในประเด็นคล้ายๆกันให้เข้ามาลงชื่อเพื่อสนับสนุนให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไปถึงผู้แทนของประชาชนได้

อีกปัญหาหนึ่งของการเสนอกฎหมายคือ ประชาชนบางส่วนอาจมีข้อจำกัดด้านความรู้และไม่เข้าใจความซับซ้อนของกฎหมายแต่มีความคิดความต้องการที่จะเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกับรัฐบาลที่มีฝ่ายกฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นนักกฎหมายคอยยกร่างและพัฒนากฎหมายให้ก่อนเสนอสู่สภาฯ

อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้โดยสำนักงานฯมีหน้าที่ช่วยยกร่างกฎหมายให้กับประชาชนภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าที่ควรเนื่องจากประชาชนต้องยื่นคำขอพร้อมเอกสารประกอบด้วยตนเองผ่านไปรษณีย์หรืออีเมล ได้แก่ ร่างกฎหมาย บันทึกหลักการ และเหตุผล และบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างกฎหมาย

เทียบกับกรณีของสิงคโปร์มีการจัดทำระบบการเสนอกฎหมายให้อยู่ในรูปแบบที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอแนวคิดเสมือนการตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดจุดประกายให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำปัญหานี้ไปร่างหรือแก้ไขกฎหมาย และดึงประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนต่อๆไป ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ได้ร่างกฎหมายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากที่สุด

ดังนั้น สำนักงานเลขาการสภาฯ จึงควรปรับบทบาทมาเป็นคนกลางในการเป็นแพลตฟอร์มให้คนมาร่วมกันลงชื่อเสนอกฎหมายและทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการช่วยคิดช่วยทำให้ร่างกฎหมายเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเริ่มเสนอแนะแนวคิดโดยที่ยังไม่ต้องมีร่างกฎหมายหรือเริ่มรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย

ส่วนกระบวนการกลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของร่างกฎหมายที่มีอยู่เดิมของไทยนั้น ก็เพื่อส่งให้ประธานสภาฯ พิจารณาเพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสภาฯ แต่กระบวนการกลั่นกรองกฎหมายนี้ไม่มีกรอบเวลาดำเนินการที่ชัดเจน รวมไปถึงกลไกสภาฯที่ทำงานตามสมัยประชุมของรัฐสภาซึ่งมีวาระประชุมหลายเรื่องต้องพิจารณาทำให้กฎหมายบางฉบับต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะได้เข้าสู่การพิจารณา

ร่างกฎหมายที่รอนานที่สุดคือร่าง พ.ร.บ.สหกรณ์ ซึ่งเสนอตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 1,291 วันกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หรือในกรณีร่างกฎหมายที่เสนอภายในสมัยของสภาฯ ชุดที่ผ่านมาคือ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยก็ใช้เวลากว่า 909 วันในการรอพิจารณา

การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการปรับขั้นตอนการกลั่นกรองให้ชัดเจนว่า กฎหมายฉบับหนึ่งจะมีกรอบเวลาในการกลั่นกรองนานเพียงใด และควรจะต้องมีการกำหนดโควตาให้ชัดเจนว่า ร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอควรมีสัดส่วนในการเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ใกล้เคียงกับร่างของคณะรัฐมนตรีและส.ส.เพื่อให้ร่างกฎหมายของประชาชนไม่ตกไปเมื่อพ้นอายุของสภาฯ

สิ่งสำคัญที่ต้องรัฐต้องลงมือทำคือ การรื้อกระบวนทัศน์แบบเดิมที่ยังจำกัดบทบาทของประชาชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอกฎหมายและปรับกระบวนการเสนอกฎหมายของประชาชนให้สะดวก โดยมีขั้นตอนกระบวนการที่ชัดเจนใช้ระยะเวลาที่น้อยลงเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง

จะช่วยแรงงานยุคใหม่ รัฐควรต้องปรับตัว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ธุรกิจแพลตฟอร์ม” เป็นการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากการประกอบธุรกิจที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากสั่งสมและพัฒนาเทคโนโลยีหลายด้านๆ เข้าด้วยกัน วัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มคือ การเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นฐานในชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้สะดวกสบายมากขึ้น อาทิ การเดินทาง โดยเข้ามาช่วยเติมเต็มและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงรถโดยสารสาธารณะหรือการไม่มียานยนต์ขับขี่ส่วนตัว หรือการส่งอาหาร ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่ทุกร้านอาหารจะมีบริการส่งอาหาร

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนำมาสู่ปัญหาใหม่ๆ ในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ด้วยลักษณะของธุรกิจแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานและความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีอดีต ทำให้กรอบทางกฎหมายที่เคยใช้ในการคุ้มครองแรงงานอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มก็ได้รับผลกระทบจากการมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการต่อรองกับธุรกิจแพลตฟอร์มได้เหมือนกับแรงงานในอดีต

มิเพียงเท่านี้บทบาทของรัฐในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ของแรงงานกลุ่มนี้ทำได้จำกัด เพราะลักษณะของธุรกิจที่ซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้รัฐไม่สามารถที่จะตามธุรกิจแพลตฟอร์มเหล่านี้ทันและสร้างมาตรการเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของแรงงานแพลตฟอร์มได้

บทความนี้ต้องการจะนำเสนอรายละเอียดของสภาพปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่แรงงานในแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นหลัก พร้อมทั้งให้แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นกับรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ลักษณะธุรกิจที่ผิดแปลกจากอดีต

ในอดีตเวลาเราต้องการสั่งพิซซ่าจากร้าน เราอาจจะโทรศัพท์ไปที่ Call Center โดยตรง (ถ้าไม่ได้สั่งที่ร้าน) และร้านพิซซ่าก็จะให้พนักงานขับรถมาส่งอาหาร ลักษณะของการขายสินค้าจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างร้านอาหารกับผู้บริโภคโดยตรง ยอดขายและความสามารถในการส่งสินค้าขึ้นอยู่กับโปรโมชันและศักยภาพในการส่งสินค้าของร้านอาหารโดยตรง

แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจนั้นได้เปลี่ยนไปเมื่อธุรกิจแพลตฟอร์มมาถึง แพลตฟอร์มเข้ามาทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สาม ในการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริโภคและ Partner ซึ่งได้แก่ ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร สภาพดังกล่าวทำให้เกิดความสัมพันธ์ 3 ฝ่ายระหว่างผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร

ทั้ง 3 ฝ่ายนี้ถูกเชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นตัวกลางในการจับคู่ธุรกรรม กล่าวให้ง่ายขึ้นคือ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการความต้องกลางของผู้บริโภคสินค้า ร้านอาหารในการขายของ และคนขับรถส่งอาหารในการหารายได้จากการทำงาน

สิ่งนี้ทำให้เกิดสภาพการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มแตกต่างจากอดีตที่โดยทั่วไปแล้วเป็นตลาดด้านเดียว (Single-sided Market) กล่าวคือเป็นตลาดระหว่างผู้บริโภคกับผู้ขายสินค้า แต่ในกรณีของแพลตฟอร์มที่มีทั้งผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหารลักษณะของตลาดการประกอบธุรกิจจึงกลายเป็นตลาดหลายด้าน (Multi-sided Market) ด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์หลายคู่ที่เชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มอยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์เหล่านั้น ดังปรากฏตามภาพประกอบข้างท้ายนี้

ที่มา: FourWeekMBA

ความสัมพันธ์แบบตลาดหลายด้านนี้ ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากอำนาจทางเศรษฐกิจแบบเดิมคือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

อำนาจแพลตฟอร์มเหนือการควบคุมแบบเดิม

อำนาจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบเดิมในอดีตคือ การมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกรรมหลายฝ่ายในตลาดหลายด้านทำให้แพลตฟอร์มเกิดอำนาจใหม่คือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

การเกิดขึ้นของอำนาจแพลตฟอร์มนี้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก ผลกระทบเชิงเครือข่าย (Network effect) ที่เกิดจากความสัมพันธ์หลายฝ่ายบนธุรกรรมแพลตฟอร์ม เมื่อแพลตฟอร์มสามารถดึงเอาผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกัน ทำให้ลักษณะการทำงานของตลาดแพลตฟอร์มแตกต่างธุรกิจดั้งเดิมโดยเป็นตลาดหลายด้าน (Muti-sided market) ตลาดแต่ละด้านจะส่งผลเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน กล่าวคือ เมื่อตลาดด้านผู้บริโภคเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ตลาดด้านผู้ขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทำให้เกิดความอยากขายสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในส่วนของตลาดด้านคนขับรถส่งอาหารก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกันจากการเล็งเห็นว่ามีงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เรียกว่าผลกระทบเชิงเครือข่ายที่เกิดจากผลกระทบในตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง

ประการที่สอง ความสามารถในการสกัดกั้น ควบคุม และวิเคราะห์ข้อมูล โดยความสามารถนี้เกิดขึ้นมาจากการสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าปกติ ซึ่งในอดีตการเก็บข้อมูลเพื่อรู้จักตัวผู้บริโภคกระทำผ่านการสำรวจความต้องการทางการตลาด แต่การที่แพลตฟอร์มสามารถเก็บรวบรวมคนจำนวนมาก และเก็บข้อมูลได้ในระดับพฤติกรรมแบบ Real time ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพในการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้วิเคราะห์ รวมถึงควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ขายสินค้า และคนขับรถขนส่งอาหารบนแพลตฟอร์ม ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะรายบุคคล และผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจกับผู้ขายสินค้าและคนส่งอาหาร รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้สร้างเงื่อนไขในการใช้บริการ

ประการที่สาม ต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม เนื่องจากการเปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่เพียงความไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ใช้งานของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน แต่การย้ายไปสู่แพลตฟอร์มใหม่มีต้นทุนที่มากกว่านั้น ในแง่หนึ่งคือผลประโยชน์ในเชิงของชื่อเสียง ที่ได้รับจากการให้คะแนนรีวิวสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม รวมถึงการสร้างระบบผลประโยชน์ตอบแทนในระบบบิดภายใต้แพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถโอนย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ อาทิ คะแนนสะสม และเครดิตเงินคืน สิ่งนี้กระทบต่อคนส่งอาหารในฐานะแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ เพราะเท่ากับว่าแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการโยกย้ายแพลตฟอร์ม เพราะแรงงานจะสูญเสียคะแนนจากการรีวิว และแม้ว่าในทางปฏิบัติเราจะเห็นว่าแรงงานอาจจะทำงานให้มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งนี้มีข้อจำกัดและไม่ได้สะดวกอย่างที่เห็นซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

ไม่เพียงแต่อำนาจของแพลตฟอร์มเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มแตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมและกระทบต่อความสัมพันธ์ในทางแรงงานคือ การอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ธุรกิจแพลตฟอร์มอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่รองรับความสัมพันธ์ของแรงงานแบบเดิม ทำเกิดภาวะสุญญากาศในการคุ้มครองแรงงานและคนงาน กล่าวคือ กฎหมายแรงงานเดิมออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับความสัมพันธ์ในทางแรงงานในสถานประกอบการ และสัญญาจ้างแรงงานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น

ในขณะเดียวกันอำนาจของแพลตฟอร์มนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน จากงานวิจัยของของโจอันนา มาซูร์ และมาร์ซิน เซราฟิน ในปี ค.ศ. 2022 ได้ระบุว่าในกรณีของธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้นหากธุรกิจเหล่านี้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม รัฐอาจจะดำเนินการปิดกิจการนั้นเสีย หรือพยายามเข้าไปควบคุมผ่านการดำเนินการลงโทษหรือปรับเงิน แต่ธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น แตกต่างออกไปผลกระทบเชิงโครงข่ายไม่ได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีอำนาจทางทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันผลกระทบเชิงโครงข่ายได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีไพ่เหนือกว่ารัฐไปด้วย ผ่านการที่แพลตฟอร์มเข้าถึงผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมจำนวนมาก ซึ่งบรรดาคนเหล่านี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาล ทำให้เมื่อรัฐพยายามเข้ามากำกับดูแลแพลตฟอร์ม อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้บริโภคของแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ รัฐยังมีข้อจำกัดในการเข้ามาควบคุมการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม เนื่องจากปัญหาความไม่สมมาตรกันของข้อมูลของรัฐกับธุรกิจแพลตฟอร์ม เพราะว่าลักษณะของการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  เนื่องมาจากปัจจัยที่สลับซับซ้อนในการวิเคราะห์และอัลกอริธึมภายหลังระบบ ซึ่งรัฐไม่สามารถเข้าใจข้อมูลดังกล่าวได้ จากการเข้าไม่ถึงข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบของแพลตฟอร์มต่อแรงงาน

ผลกระทบของธุรกิจแพลตฟอร์มต่อแรงงานนั้น ส่งผลสำคัญมากๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากการที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปควบคุมและกำกับกิจกรรมของแพลตฟอร์มได้

การที่กฎหมายปัจจุบันไม่คุ้มครองในแรงงานในมิติต่างๆ ได้แก่

ประการแรก สัญญาจ้างแบบยืดหยุ่น การไม่นำความสัมพันธ์แบบการจ้างงานมาใช้ ทำให้ลักษณะของการทำงานของแรงงานมีความไม่มั่นคง นายจ้างมีอำนาจต่อรองและสามารถยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา

ประการที่สอง สภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง และการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านต้นทุนของการทำงานไปยังแรงงาน สภาพการทำงานที่พ้นไปจากสัญญาจ้าง ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานภายใต้แพลตฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานแรงงานทั่วไป

ประการที่สาม การไม่มีอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกัน ผลจากการไม่มีสถานะทางสัญญาจ้างแรงงานและการมีความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เหลื่อมล้ำกัน ส่งผลให้แรงงานแพลตฟอร์มต่าง ๆ นั้นจะมีระบบการจัดสรรงานและโอกาสในการทำงานให้กับแรงงานไม่เท่ากัน ในขณะเดียวกันแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แม้ว่าในทางปฏิบัติจะสามารถย้ายแพลตฟอร์มทำงานได้ แต่การย้ายแพลตฟอร์มก็มาพร้อมข้อจำกัด เนื่องจากแพลตฟอร์มสามารถตั้งเงื่อนไขให้ในกรณีที่ไม่ได้รับงานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเป็นเวลานาน  อาจทำให้ถูกปฏิเสธการเข้าใช้งานและถูกบล็อกออกจากระบบ

ประการที่สี่ การตั้งเงื่อนไขให้แรงงานแพลตฟอร์มสะสมทุนผ่านชื่อเสียง การสะสมอิทธิพลของแรงงานแพลตฟอร์ม กระทำผ่านการสะสมชื่อเสียงจากการรีวิวการทำงาน เงื่อนไขเหล่านี้ถูกนำมากำหนดเป็นความดีความชอบในการทำงาน โดยแรงงานได้ประโยชน์จากการอยู่ในระบบหนึ่งๆ แต่ไม่สามารถย้ายชื่อเสียงหรือผลงานของตัวเองออกไปยังระบบอื่นๆ ได้ โดยเมื่อออกมาจากระบบแล้ว ชื่อเสียงดังกล่าวแทบไม่มีประโยชน์ต่อแรงงานเลย

รัฐจะช่วยแรงงานได้อย่างไร

การแก้ไขปัญหานี้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายแรงงานและสัญญาจ้าง การแก้ไขกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมถึงแรงงานแพลตฟอร์มในเรื่องชั่วโมงการทำงาน การมีหลักประกันความเสี่ยงภัยในการทำงาน และความคุ้มครองที่เกิดขึ้นจากการจ่ายเงินทดแทน เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองจากที่ไม่เคยได้รับการคุ้มครองมาก่อน รวมถึงการกำหนดให้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงานล่วงหน้าเพื่อให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถตัดสินใจได้

การเข้ามาแทรกแซงนิติสัมพันธ์ในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นช่วยให้แรงงานสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การดำเนินการกำกับกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม รัฐต้องเข้าไปดำเนินการมากกว่าการควบคุมธุรกิจในแบบเดิม


อ้างอิงจาก

  • Sebastian Wismer and Arno Rasek, “Market Definition in Multi-sided Markets,” OECD [Online], accessed 16 November 2023, from https://one.oecd.org/document/DAF/COMP/WD%282017%2933/FINAL/En/pdf#:~:text=As%20multi%2Dsided%20markets%20involve%20distinct%20groups%20of%20customers%2C%20there,market%20encompassing%20all%20customer%20groups
  • ธร ปิติดล, เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย: บทเรียนจากโครงการชุมชนนโยบายเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2564).
  • สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ, “รายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาผลกระทบและนำเสนอมาตรการในการกำกับดูแล Digital Platform ในประเทศไทย,” (รายวิจัยเสนอต่อสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), 2566).
  • เดือนเด่น นิคมบริรักษ์, “การผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ,” TDRI [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2013/05/A151_Chapter2.pdf
  • ธร ปีติดล, “เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย (2): การผูกขาด การแข่งขัน และโจทย์ใหญ่ของการกำกับดูแล,” the 101.world [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://www.the101.world/platform-econ-challenge-thai-2/
  • อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ และเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร, แพลตฟอร์มอีโคโนมีและผลกระทบต่อแรงงานในภาคบริการ: กรณีศึกษาในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2561).
  • Platform Revolution, “How digital platforms increase inequality,” Platform Thinking Labs [Online] accessed on 16 November 2022, from https://platformthinkinglabs.com/materials/how-digital-platforms-increase-inequality/
  • Joanna Mazur and Marcin Serafin, “Stalling the State: How Digital Platforms Contribute to and Profit From Delays in the Enforcement and Adoption of Regulations,” Comparative Political Studies, 56(1), 101-130, https://doi.org/10.1177/00104140221089651.

สุขสันต์วันเกิด 91 ปี รัฐธรรมนูญไทย: การเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ไม่ได้เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการสถาปนาระบอบการปกครองประชาธิปไตยขึ้นมาแทนที่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง มาสู่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทยเท่านั้น แต่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว สิ่งที่ถูกสถาปนาขึ้นพร้อมๆ กันก็คือ การปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารทางการเมืองสำคัญที่กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทั้งหมด รวมถึงกำหนดรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ภายหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 วันดังกล่าวได้กลายมาเป็นวันรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงปีปัจจุบันนี้ การมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ได้ล่วงเลยมาแล้ว 91 ปีแล้ว บทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย ผ่านเรื่องราวของการเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ถูกประการใช้มาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วเป็นระยะเวลา 91 ปี (เกือบ 1 ชั่วอายุคน) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอาจจะถือได้ว่า ประชาธิปไตยยังมีอายุน้อยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานแบบสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส แต่ก็ยังมีอายุมากกว่าประเทศเกิดใหม่ (เพิ่งได้รับเอกราช) อาทิ อินเดีย ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์

ส่วนญี่ปุ่นแม้จะไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่ แต่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกยกร่างขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูปเมจิ (Meji restoration) ที่ใช้มาตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ. 1890 – 1947 โดยเป็นรัฐธรรมนูญแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1947 นี้เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการวางระบบการเมืองการปกครองใหม่โดยประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 91 ปีที่ผ่านมารัฐธรรมนูญไทยไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เฉยๆ หากแต่มีการเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดมักจะลงเอยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทน นับถึงปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ฉบับชั่วคราว 7 ฉบับ และฉบับถาวร 13 ฉบับ) การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทย

การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยสะท้อนอะไรให้กับเราบ้าง สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาจากจำนวนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนความสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก บริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลา และประการที่สอง พลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา

ในแง่ของบริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลานั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นตราสารทางการเมืองที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมสะท้อนกลายๆ คล้ายกับที่วรรณกรรมเรื่องหนึ่งสะท้อนว่าสังคมในเวลานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องใด ในแง่นี้รัฐธรรมนูญก็สะท้อนให้เห็นว่าในเวลาที่มีการร่างรัฐธรรมนูญนั้นสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องใด

ส่วนในแง่ของพลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลานั้นเป็นการมองลงไปลึกในอีกระดับหนึ่ง โดยมองไปว่าในช่วงเวลานั้น กลุ่มการเมืองภายในสังคมใดที่เข้าไปมีพลังในการผลักดันให้เกิดบทบัญญัติในเรื่องใดในรัฐธรรมนูญ

การเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย

โดยทั่วไปแล้วบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะกำหนดบทบัญญัติพื้นฐาน 2 เรื่อง คือ เรื่องแรกคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐตามหลักการแบ่งแยกอำนาจคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ และอีกเรื่องหนึ่งคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งบทบัญญัติส่วนนี้เป็นการรับรองสิทธิของประชาชนที่มีอยู่และสามารถยกขึ้นนำมาใช้กับรัฐได้ บทบัญญัติดังกล่าวทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ในโลกมีร่วมกัน

นอกจากนี้ ดังที่กล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ชัดเจนในบริบทของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 91 ปี ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและรัฐธรรมนูญชั่วคราว) ซึ่งจำนวนดังกล่าวทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยฉบับละ 4.5 ปี ทำให้เนื้อหาในรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ยุติบทบาทการใช้งานลงเป็นผลมาจากการรัฐประหาร

ทุกครั้งที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่อง คือ การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ

เรื่องแรก การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา ในกรณีนี้เป็นการที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามา โดยเพิ่มเติมจากเนื้อหาเดิมที่มีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ตัวอย่างเช่น ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประเทศไทยไม่ได้มีการบัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐหรือแนวนโยบายแห่งรัฐมาก่อน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดหลักการและกรอบแนวทางชี้นำให้รัฐบาลไปตรากฎหมายดังกล่าว[1] แม้ว่าในเวลาต่อมารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยการนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 มาใช้บังคับ แต่รัฐบาลไทยในเวลานั้นก็ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 โดยเพิ่มเติมหมวดเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ได้รับเอาแนวคิดนี้ไปบัญญัติไว้เช่นกัน[2] เว้นแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้นที่มีการตัดบทบัญญัติหลายเรื่องออกไป โดยมองว่ารัฐบาลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อาจไม่ตอบสนองต่อนโยบายที่จำเป็นต่อสังคม

เมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีความพยายามสร้างกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาให้ใช้อำนาจส่วนหนึ่งจากรัฐธรรมนูญ อาทิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยเป้าหมายของการสร้างองค์กรในลักษณะนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ถูกมองว่ามีมาอย่างยาวนานในสังคมไทย

เรื่องที่สอง การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีเนื้อหาในเรื่องดังกล่าวบัญญัติไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวจะคงอยู่แบบเดิมตลอด กล่าวคือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนในเรื่องนั้นจะถูกนำมาบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจจะถูกบัญญัติไว้แตกต่างจากที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน

ในช่วงนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ของประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 200 มาตรา ด้วยบริบทของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป  รัฐธรรมนูญจึงอาจจะมีเนื้อหาหรือหมวดหมู่ของบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้มีการบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ การเกิดขึ้นของบทบัญญัติในมาตรานี้มาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังในสังคมที่เรียกร้องให้รัฐหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนามากขึ้นในฐานะศาสนาประจำชาติ แต่สุดท้ายกลุ่มพลังดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันวาระดังกล่าวนี้  อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้รับรองหน้าที่ของรัฐในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ[3] บทบัญญัติในเรื่องนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จนกระทั่งมามีการเปลี่ยนแปลงในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติในเรื่องนี้ได้มีเนื้อหาเพิ่มเติมโดยระบุให้รัฐมีหน้าที่มากกว่าเดิม โดยเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท และป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด รวมถึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกดังกล่าว[4]

สาเหตุที่มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาเถรวาทที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ นั้น ประกีรติ สัตสุต ให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนของกลุ่มพลังในสังคมที่มีอำนาจ รวมถึงการรักษาฐานที่มั่นของอำนาจของชนชั้นนำในสังคมไทย ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมๆ กับการสร้างขบวนการของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ในการนำอำนาจในการแต่งตั้งพระสังฆราช และพระสังฆาธิการระดับสูงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์[5]

การเปลี่ยนแปลงภายในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในโครงสร้างของบทบัญญัติ ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติเรื่องใหม่เข้ามา แต่บ่อยครั้งการเปลี่ยนแปลงภายในของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทหรือพลังในสังคม

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทย

รัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างจากคน คนยิ่งมีอายุมากขึ้นศักยภาพและกำลังกายอาจจะลดลง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างกัน ยิ่งการปกครองล่วงเลยเข้ามามีอายุเพิ่มมากขึ้นในความเป็นจริงแล้วระบอบการปกครองควรจะต้องได้มีการเรียนรู้มากขึ้นในการปรับตัวเข้าหาความท้าทายที่เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ทว่า สิ่งนี้อาจจะไม่สามารถนำมาใช้อธิบายกับระบอบรัฐธรรมนูญไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะตลอด 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญของไทยนั้น รัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยเพียง 4.5 ปีเท่านั้น และเกือบครึ่งหนึ่งของการปกครองประเทศไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการปกครองประเทศภายใต้คณะรัฐประหาร

ความเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทยเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหารและความพยายามนำเศษเสี้ยวของการรัฐประหารมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อความต่อเนื่องจากการรัฐประหาร กลไกเหล่านี้โดยสภาพแล้วเป็นการขัดกับหลักการของรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นหรือเป็นอุดมคติของรัฐธรรมนูญ

ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยอธิบายรัฐธรรมนูญอุดมคติว่าต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐธรรมนูญจะต้องเน้นให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวสอดคล้องกับหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 4 และหลักที่ 5[6] นอกจากนี้ ปรีดี พนมยงค์ ยังได้แสดงความเห็นอีกประการหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญที่ดีควรจะต้องสอดคล้องกลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอีกด้วย[7]

ดังนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าอุดมคติของรัฐธรรมนูญในสายตาของปรีดี พนมยงค์ จะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ หลักความเสมอภาค หลักสิทธิและเสรีภาพ และหลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ในเรื่องความเสมอภาคนั้น ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า ความเสมอภาค (egalité) หรือความสมภาคเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความเป็นอิสระของตนเองเสมอกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น ความเสมอภาคในแง่มุมนี้ มุ่งเน้นเฉพาะความเสมอภาคทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่บุคคลมีสิทธิและหน้าที่ในกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ  ไม่ใช่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่จะมีทรัพย์สินมากเท่าเทียมกัน[8]

ในสายตาของปรีดี พนมยงค์ ความเสมอภาคตามกฎหมายจะต้องมีความเสมอภาคในสิทธิ กล่าวคือ การมีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายเดียวกัน ภายใต้องค์กรตุลาการเดียวกัน และไม่ได้รับสิทธิแตกต่างกันไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ในขณะเดียวกันบุคคลมีความเสมอภาคในหน้าที่ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ บุคคลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมเหมือนกัน อาทิ หน้าที่ในการเสียภาษีอากร[9]

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าภายหลังการรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะรับรองความชอบธรรมและนิรโทษกรรมการกระทำของคณะรัฐประหารเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้การกระทำของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว[10]

ส่วนในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า หลักความเป็นอิสระหรือเสรีภาพ (liberté) หมายถึงความเป็นอิสระที่บุคคลอาจจะทำการใดๆ ได้โดยไม่เป็นที่รบกวนละเมิดต่อสิทธิของบุคคลอื่น[11] โดยทั่วไปแล้วการรับรองสิทธิและเสรีภาพในที่นี้มีเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ อาทิ เสรีภาพในตัวบุคคล หมายถึง การที่มนุษย์มีอิสระในตัวเองในการกระทำเรื่องใดๆ เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองได้ การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐไปจับกุมคุมขังหรือจำกัดเสรีภาพของบุคคลจะต้องอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเท่านั้น[12]

การรับรองสิทธิและเสรีภาพถูกทำให้แย่ลงภายหลังจากการรัฐประหาร ในช่วงรัฐประหารประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านการรัฐประหารหรือออกมาชุมนุม แต่ด้วยผลของประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารได้กำหนดให้ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ แม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ แม้ว่าจะเป็นการรับรองโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราว อย่างไรก็ดี เมื่อคณะรัฐประหารพ้นจากอำนาจไป ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น เพราะประกาศหรือคำสั่งดังกล่าวได้ถูกรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้การคุกคามสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวยังคงถูกเลือกปฏิบัติต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ในช่วงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังคงมีผู้ต้องโทษจากการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรัฐประหารต้องไปต่อสู้คดีต่อไปในศาลทหารตามประกาศหรือคำสั่ง คสช.

มิเพียงเท่านั้นปฏิบัติการของประกาศหรือคำสั่ง คสช. ยังมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิหรือเข้าไปแทรกแซงการจัดสรรผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติหลายประการ อาทิ การยกเว้นเขตผังเมืองหรือการออกประกาศหรือคำสั่งเพื่ออำนวยความสะดวกในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สิ่งเหล่านี้เป็นการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายในสภาวะปกติที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การที่รัฐธรรมนูญรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของเรื่องเหล่านี้ ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิเพื่อต่อสู้คดีหรือเรียกร้องให้รัฐชดเชยได้อย่างเต็มที่

ในเรื่องสุดท้ายที่เป็นอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ก็คือ การให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หัวใจสำคัญของการมีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนก็คือ การยอมรับและรับรองให้ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจองค์กรต่างๆ ภายในรัฐ ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจใดๆ ควรจะต้องมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่ยึดโยงอยู่กับประชาชน กล่าวคือ องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดๆ ควรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนให้เข้ามาสู่อำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสมาชิกวุฒิสภานั้น มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. โดยคัดเลือกจากบุคคลในเครือข่ายของ คสช. ให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง สภาพดังกล่าวทำให้หลายครั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ทำหน้าที่ตามเจตจำนงหรือความต้องการของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการเปิดโอกาสให้มีการใช้ระบอบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแอบแฝงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดความสัมพันธ์ขององค์กรที่ใช้อำนาจรัฐและกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน สภาพดังกล่าวทำให้บ่อยครั้งรัฐธรรมนูญไม่สะท้อนคุณค่าของประชาธิปไตย และในทางกลับกันรัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดผลร้ายที่ขัดขวางต่อขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งต่อต้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย อาทิ การที่สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหรือแม้แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะตีความให้การใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดกับรัฐธรรมนูญ

ดังจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันระบอบรัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นผลมาจาการยกเลิกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่มากถึง 20 ครั้ง และการเพิ่มและขยายตัวของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของกลุ่มพลังในสังคมไทยที่พยายามผลักดันวาระของของตัวเองเข้าไปในรัฐธรรมนูญ

ตลอดระยะเวลา 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญไทยเหมือนจะยาวนาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญทั่วโลก ก็จะเห็นได้ว่า ระบอบรัฐธรรมนูญไทยยังมีอายุน้อย การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญจึงอาจจะผิดพลาดบ้างหรือเกิดปัญหาบ้าง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยนั้น จะยอมให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดได้แสดงเจตจำนงแก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้การปกครองที่มีปัญหาได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดีขึ้น เพราะท้ายที่สุดหัวใจของประชาธิปไตยที่อยู่ในรัฐธรรมนูญคือ การย้อนกลับมาตอบสนองต่อประชาชน ในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดอยู่ดี


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/528.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ดู สัมภาษณ์ประกีรติ สัตสุต ใน ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, “พุทธศาสน์ปราศจากรัฐไม่ได้ฉันใด สงฆ์ไทยย่อมข้องเกี่ยวกับการเมืองฉันนั้น – คุยการเมืองเรื่องของสงฆ์กับประกีรติ สัตสุต,” the 101.world, 1 ธันวาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก the101.world/prakirati-satasut-interview/.

[4] มาตรา 67 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[5] ดู ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, อ้างแล้วใน เชิงอรรถที่ 3.

[6] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: เสรีภาพ เสมอภาค,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/529.

[7] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: กลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 9 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/530.

[8] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (กรุงเทพฯ: สำนักงานทนายความพิมลธรรม, 2513), น. 18.

[9] สมคิด เลิศไพฑูรย์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

[10] มาตรา 279 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[11] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 8, น.3.

[12] เพิ่งอ้าง, น.14.

ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในโอกาสที่วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล  (International Day for the Elimination of Violence against Women) ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำเสนอถึงประเด็นวัฒนธรรมว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบและส่งอิทธิพลต่อความประพฤติของคนในสังคม อิทธิพลของวัฒนธรรมปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษผ่านสื่อบันเทิง โดยสื่อบันเทิงไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เฉพาะในแง่ดีแต่ผลของการทำสื่อบันเทิงอาจส่งผลกระทบในเชิงลบได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อคนบางกลุ่ม อาทิ เด็กและผู้หญิง ทั้งในฐานะของผู้รับสารจากสื่อบันเทิงและผู้รับผลลัพธ์ของความรุนแรงนั้นๆ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยควรย้อนกลับมาพิจารณาเมื่อประเทศไทยต้องการก้าวเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของผู้ส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมต่างๆ และเริ่มมีบทบาทในการเมืองโลกผ่านวัฒนธรรม

บทความชิ้นนี้จึงพยายามสำรวจความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เป็นผลมาจากสื่อบันเทิง

ความรุนแรงในครอบครัว คือความรุนแรงต่อผู้หญิง

จากการสำรวจสถิติความรุนแรงในครอบครัวไทยของกรมกิจการสตรีและครอบครัวในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 พบว่า สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยเกิดขึ้นกับผู้หญิงกว่าร้อยละ 82.78 ของจำนวนกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในขณะที่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 90.5 ของจำนวนผู้กระทำความรุนแรงทั้งหมดเป็นผู้ชาย

ในแง่ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 เฉลี่ยเดือนละ 196 รายต่อเดือน โดยเดือนที่มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน 2564 จำนวน 247 ราย และเมื่อย้อนกลับไปมองภาพความรุนแรงย้อนหลังในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2566) พบว่า จำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเฉลี่ยเกิดขึ้น 1,660 รายต่อปี

นอกจากนี้ จากการสำรวจดังกล่าวระบุว่า ความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 จำนวนกว่าร้อยละ 42.8 ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภริยา

โดยสาเหตุ 10 อันดับแรกของความรุนแรงในครอบครัวเกิดมาจาก

  1. ยาเสพติด ร้อยละ 19.3
  2. สุรา ร้อยละ 11.8
  3. ความหึงหวง ร้อยละ 10.8
  4. สุราและการบันดาลโทสะ ร้อยละ 9.9
  5. บันดาลโทสะ ร้อยละ 8.6
  6. ความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่า ร้อยละ 8.1
  7. หย่าร้าง ร้อยละ 6.3
  8. ปัญหาสุขภาพจิต ร้อยละ 4.9
  9. สุราและยาเสพติด ร้อยละ 4.7
  10. ปัญหาอื่นๆ อาทิ ความเครียดทางเศรษฐกิจ และการพนัน ร้อยละ 15.6

ผลของความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้กระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ เพศ และชีวิตของผู้ถูกกระทำความรุนแรง โดยผลกระทบต่อร่างกายถือว่าเป็นผลกระทบอันดับแรกๆ ที่เกิดขึ้น

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุการใช้ความรุนแรงในครอบครัวประการหนึ่งก็คือ สาเหตุที่ว่าตนมีความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมที่สร้างบทบาทของหญิงและชาย

สื่อบันเทิงกับความรุนแรงต่อผู้หญิง

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา สื่อบันเทิงไทยมีการนำเสนอละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อดังหรือละครที่ประสบความสำเร็จในการถ่ายทำตลอดกาล โดยบรรดาละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์เหล่านี้บางเรื่องมีการทำซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายเรื่องมีการทำซ้ำหลายครั้ง (มากถึง 5-6 ครั้งในรูปแบบที่แตกต่าง)

ปัญหาของการนำบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหรือละครที่ประสบความสำเร็จนี้คือ การผลิตซ้ำความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง บทประพันธ์หรือละครเหล่านี้ส่วนหนึ่งสร้างขึ้นบนวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ กล่าวคือ บทประพันธ์เหล่านี้ให้ความชอบธรรมแก่ผู้ชายกับพฤติกรรมแบบผู้ชายกระแสหลัก ซึ่งทำให้เกิดการตั้งท่าทีรังเกียจกับคนที่เป็น LGBTQ+ หรือยอมรับการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงหรือสร้างบทบาทของผู้หญิงให้ด้อยกว่าหรือต้องพึ่งพาผู้ชาย

จุดที่น่ากังวลที่สุดก็คือ การให้ความชอบธรรมกับการข่มขืน ละครโทรทัศน์ส่วนหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เก่าหรือละครที่มีชื่อเสียงในอดีตบางเรื่องได้พยายามนำเสนอภาพของความชอบธรรมเกี่ยวกับการข่มขืนในหลายๆ ลักษณะ อาทิ ตัวละครเอกฝ่ายหญิงถูกตัวละครเอกฝ่ายชายข่มขืน กรณีนี้เป็นการใช้การข่มขืนเป็นเงื่อนไขของความรักและเป็นการทำให้การข่มขืนกลายเป็นเรื่องโรแมนติก ซึ่งในตอนสุดท้ายเรื่องก็จะจบลงอย่าง Happy Ending หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ ตัวละครหญิงฝ่ายร้าย (ผู้เขียนลำบากใจมากที่จะเรียกว่านางร้าย) ซึ่งทำเรื่องไม่ดีมาทั้งหมดตลอดทั้งเรื่องอาจจะมีจุดจบคือ การถูกข่มขืน การถูกนำไปค้าประเวณี หรือการติดโรคร้ายแรงทางเพศสัมพันธ์ หรือไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้คือการที่ผู้เขียนบทประพันธ์พยายามนำเสนอภาพของการสั่งสอนและชี้ให้เห็นผลร้ายของการทำตัวเป็นคนไม่ดีตามบทประพันธ์ ปัญหาก็คือ การที่ตัวละครหญิงฝ่ายร้ายถูกข่มขืนกับกลายเป็นเรื่องสะใจหรือที่พึงพอใจของผู้ชม เพราะมองว่าเหมาะสมกับสิ่งเลวร้ายที่ตัวละครนั้น ความเลวร้ายในเรื่องดังกล่าวถูกจัดให้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าการถูกดำเนินคดีหรือถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันตัวละครชายที่ข่มขืนตัวละครหญิงฝ่ายร้ายนี้ก็ไม่ได้รับผลร้ายจากการกระทำ

สถานการณ์ของการฉายวนภาพของความรุนแรงกับผู้หญิงและการข่มขืนในละครไทยเริ่มกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงขาลงของธุรกิจโทรทัศน์ไทยที่หลายๆ ช่องเริ่มนำละครที่เคยได้รับความนิยมกลับมาฉายซ้ำในช่วงเวลาที่ไม่ได้ไพรม์ไทม์ (ช่วงเวลายอดนิยม)

สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ไม่ควรมีใครสมควรถูกข่มขืน สิ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่สุด

นอกจากเรื่องการข่มขืนแล้ว ละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์จำนวนหนึ่งยังให้ความสำคัญหรือกำหนดคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่แบบแผนที่สังคมปรารถนาหรือมาตรฐานความสวยงามไว้กับรูปแบบที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจมากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลายหรือสร้างเรื่องราวที่เสริมสร้างให้ยอมรับความหลากหลาย แน่นอนว่าในปัจจุบันเราเริ่มเห็นผลงานที่นำเสนอในประเด็นนี้แล้วและคาดหวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

อีกรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงที่ปรากฏในละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์คือ การสร้างภาพของการทำร้ายร่างกายของตัวละครฝ่ายหญิงเพื่อแย่งชิงฝ่ายชาย ซึ่งทำให้ภาพของความภราดรภาพในหมู่ผู้หญิงอ่อนแอลง โดยทำให้ผู้หญิงเข้าสู่ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงผู้ชายกัน มากกว่าการสร้างคุณค่าของตัวละครหญิงเอง

การสร้างความตระหนักรู้ต่อความรุนแรงคือเรื่องสำคัญ

ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นปัญหาโดยรวมของสังคม กลไกการสร้างความตระหนักรู้มีส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงที่ยั่งยืนที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม

การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม โจทย์ที่สำคัญจึงมาตกอยู่กับการทำอย่างไรให้สามารถขับเคลื่อนคุณค่าของผู้หญิงและการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงไปสู่สังคมที่ผู้หญิงมีคุณค่าและได้รับการเสริมพลังอย่างเต็มที่

การสร้างความตระหนักรู้ควรจะเริ่มต้นจากการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ให้กับคนในสังคมเข้าใจ แม้ว่าผู้เขียนจะพูดถึงบทประพันธ์เก่าหรือที่เราเรียกว่างานคลาสสิกว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน แต่ในการนำเสนองานดังกล่าวอาจต้องผ่านการปรับปรุงหรืออย่างน้อยที่สุด สื่อควรมีบทบาทในการอธิบายพฤติกรรมดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้ข้อมูลกับผู้เสพสื่อเพื่อให้เขาสามารถตัดสินใจต่อไปได้

บทบาทของสื่อบันเทิงควรเปลี่ยนไป สื่อควรจะต้องสร้างภาพแทนใหม่ให้ผู้หญิงมีความเข้มแข็งมากขึ้นสามารถก้าวออกไปใช้ชีวิตและมีพื้นที่ทัดเทียมกันกับผู้ชาย รวมถึงควรเลิกสร้างสื่อที่ผลักดันหรือสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง ปัญหาสำคัญที่สุดของสื่อปัจจุบันคือ การทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ผู้ชายรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ศักยภาพของผู้ผลิตสื่อไทยสามารถที่จะนำเสนอประเด็นความรักโรแมนติกโดยที่ไม่ต้องมีการข่มขืนหรือการทำร้ายร่างกายกันได้

ในแง่ของรัฐบาลที่ต้องการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมออกไปสู่ต่างประเทศ รัฐบาลอาจจะต้องกลับมาทบทวนก่อนว่า สินค้าที่จะส่งออกนี้มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ที่จะใช้เป็นฐานในการขยายผลและสร้างที่มั่นทางการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อเทียบกับการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมในต่างประเทศที่มีการปรับตัวเข้าสู่บริบทของสังคมใหม่ๆ แล้ว ภาพของการใช้ความรุนแรง การหึงหวงแบบเกินเลย หรือการข่มขืนไม่ควรจะต้องอยู่ในชั้นวางขายสินค้าอีกต่อไป


อ้างอิงจาก

ความจน ชาวนา แรงงาน: ภาพสะท้อนของการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยรัฐ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ เกี่ยวกับแรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475 บทสัมภาษณ์นี้ อาจารย์แล ได้ฉายภาพให้เห็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำผ่านการต่อสู้ของแรงงาน ชาวนา และบทบาทของรัฐ ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้มีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจประกอบกับผู้เขียนได้มีโอกาสไปฟังการนำเสนอบทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธร ปิติดล ในบทความชื่อ “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” ผู้เขียนใคร่ขอนำมุมมองจากทั้งสองเรื่องมาชวนผู้อ่านคิดตามไปเกี่ยวกับบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ

เริ่มต้นจากบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล  ที่ฉายภาพให้เห็นปัญหาเศรษฐกิจไทย 3 เรื่องสำคัญภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามปี พ.ศ. 2475 คือ (1) การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน (2) เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม และ (3) บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยผู้เขียนขอนำประเด็นที่ได้จากการสัมภาษณ์อาจารย์แล มาสรุปไว้ตรงนี้

เรื่องแรก การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน ในบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล ได้เล่าถึงขบวนการแรงงานไทยมีการต่อสู้และเรียกร้องของแรงงานไทย ที่มีการรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ การเปลี่ยนสังคมไทยที่อดีตไม่มีการคุ้มครองแรงงานใดๆ มาสู่กฎหมายคุ้มครองแรงงานซึ่งช่วยสร้างมาตรฐานให้แก่สิทธิของแรงงานให้ได้รับความคุ้มครอง และกฎหมายประกันสังคมที่ช่วยจัดสวัสดิการให้กับแรงงานไทย

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มาจากการต่อสู้ของขบวนการแรงที่มีมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์แลได้ชี้ให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันบทบาทของขบวนการแรงงานไทยอยู่ในช่วงที่เผชิญกับความท้าทายจากรูปแบบความสัมพันธ์แรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของความสัมพันธ์แรงงานรูปแบบใหม่ที่เข้าไปทำงานในแพลตฟอร์มออนไลน์ ขบวนการแรงงานในเวลานี้จึงอยู่ในช่วงของการปรับกระบวนการใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว

เรื่องที่สอง เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม อาจารย์แล เน้นย้ำว่าประเด็นชาวนาเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทยมาโดยตลอดและเป็นแรงผลักดันให้เกิดการอภิวัฒน์การปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 นอกจากนี้ อาจารย์แล ชี้ให้เห็นว่าภาพจำของสังคมไทยที่ถูกนำเสนอผ่านเรื่องความอุดมสมบูรณ์แบบในน้ำมีปลาในนามีข้าวนั้นอาจจะไม่เป็นความจริง เพราะแม้ว่าอุตสาหกรรมเกษตรจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยก่อนการอภิวัฒน์สยาม แต่สภาพสังคมไทยในเวลานั้นชาวนาเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคง ชาวนาไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ และวิธีทำการเกษตรยังมุ่งเน้นการใช้แรงงานคนมากกว่าการใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำชาวนาไทยมีความยากลำบาก

สภาพดังกล่าวทำให้ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม คณะราษฎรได้มอบหมายให้ นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยที่เป็นอยู่ในเวลานั้นให้ดีขั้นทั้งในแง่การจัดสรรที่ดินใหม่ เพื่อให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ได้ รวมถึงการเสนอให้ชาวนารวมตัวกันเป็นสหกรณ์เพื่อให้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น แต่การที่เค้าโครงการเศรษฐกิจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นวิธีการแบบคอมมิวนิสต์ดังปรากฏในสมุดปกขาวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้ความมุ่งหมายที่จะช่วยเหลือชาวนาถูกขัดขวาง และสร้างภาพจำสังคมไทยให้เห็นว่าการพยายามช่วยเหลือชาวนามีความเกี่ยวโยงกับคอมมิวนิสต์

ประกอบกับในเวลาต่อมาขบวนการชาวนาได้รวมกันเป็นแนวร่วม 3 ประสาน (กรรมกร ชาวนา และนักศึกษา) ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมนั้นขบวนการชาวนาถูกกวาดล้างอย่างจริงจังแบบถอนรากถอนโคน เพราะถูกรัฐไทยเชื่อมโยงขบวนการชาวนากับขบวนการคอมมิวนิสต์

การเชื่อมโยงชาวนากับคอมมิวนิสต์ทำให้ชาวนาอยู่ในสถานะตัวร้ายและคนที่พยายามจะช่วยเหลือชาวนาก็อยู่ในสถานะตัวร้ายเช่นกัน ดังนั้น ความช่วยเหลือจากรัฐไปสู่ชาวนามักจะเป็นไปอย่างจำกัด รัฐไม่เน้นการช่วยเหลือชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เน้นการช่วยเหลือผ่านการสงเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การให้เงินช่วยเหลือผ่านการผันเงินไปลงหรือการช่วยประกันราคาสินค้าเกษตร แต่ไม่ลงไปถึงการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชาวนาจริงๆ ในทางตรงข้ามเมื่อชาวนารวมตัวกันเป็นขบวนการเมื่อไร รัฐจะปฏิบัติต่อชาวนาอย่างไม่ไว้วางใจ

เรื่องที่สาม บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ในช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสำคัญของสังคมไทยกลับมาอยู่ที่บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาฐ บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาทั้งในกรณีของแรงงานหรือชาวนา รัฐจะตั้งบทบาทไว้ในฐานะผู้สงเคราะห์มากกว่าจะแก้ไขปัญหา และมองปัญหาความยากจนไว้กับเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าจะมองว่า ความยากจนเป็นผลผลิตของสังคมโดยรวม ข้อเสนอแนะของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจึงมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาที่ตัวบุคคลมากกว่า อาทิ การให้เงินสงเคราะห์ การรับซื้อสินค้าเกษตรกร หรือการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือ ทำอย่างไรให้ชาวนาไม่เป็นหนี้หรือมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แม้ว่าบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล จะเน้นอธิบายบทวิเคราะห์ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านบริบททางประวัติศาสตร์ แต่ดังจะเห็นได้ว่า ภาพดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องในปัจจุบัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยความเหลื่อมล้ำนั้นมีที่มาจากปัจจัยหลายๆ ประการ ทั้งปัจจัยภายนอก ปัจจัยเชิงนโยบาย และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำหายไป

จากการศึกษาวิจัยของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เรื่อง เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดขึ้นจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข้อสำคัญที่ตรงกับบทวิเคราะห์ที่ อาจารย์แลให้สัมภาษณ์ไว้บางประการ โดยปัจจัยความเหลื่อมล้ำที่ถูกยกขึ้นมา คือ (1) ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เนื่องจากคนไทยสัดส่วนร้อยละ 31 ทำงานอยู่ในภาคเกษตร เมื่อการเติบโของรายได้เกษตรอยู่ในระดับต่ำทำให้ความเหลื่อมล้ำกว้างขวางขึ้น สะท้อนภาพของชาวนาที่มีความไม่มั่นคง (2) ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เกิดจากโอกาสทางการศึกษาไม่ครอบคลุมและมีคุณภาพแตกต่างกัน สิทธิแรงงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าแรงเติบโตช้ากว่าเศรษฐกิจ และภาครัฐขาดมาตรการสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยอย่างเป็นระบบ (3) วิกฤตโควิด-19 เร่งให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะโควิด-19 ได้กระทบรายได้ของกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการและความคุ้มครองทางสังคม อาทิ เงินชดเชยในช่วงที่ไม่มีงาน และ (4) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยและเป็นปัจจัยที่เร่งเร้าให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแย่ลง

นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังเน้นย้ำว่า สาเหตุสำคัญที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการเมืองไทย โดยงานวิจัยระบุว่า สังคมไทยนั้นการเมืองมีลักษณะไม่เชื่อมโยงกับความรับผิดต่อส่วนรวม (accountability) การเมืองปล่อยให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดำเนินต่อไป

คำถามสำคัญต่อมาคือ เพราะเหตุใดรัฐจึงลอยตัวเหนือปัญหาความเหลื่อมล้ำ? ในส่วนนี้บทความของ อาจารย์ธร ปิติดล น่าจะช่วยตอบคำถามดังกล่าวได้

งานวิจัยของ อาจารย์ธร ปิติดลชื่อว่า “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” เป็นส่วนหนี่งของเวทีนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์: แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” โดยงานวิจัยนี้ได้ใช้วิธีการศึกษาแบบการวิเคราะห์วาทกรรม(discourse analysis) และการวิเคราะห์เรื่องเล่า (narrative analysis) เป็นวิธีการศึกษาแนวคิดหรือความคิดที่มีอิทธิพลในการกำกับสังคม

งานวิจัยศึกษามิติเกี่ยวกับแนวคิดและอุดมการณ์สวัสดิการผ่านมุมมองสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐ ชุมชนและครอบครัว และความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ดี บทบาทสำคัญที่ผู้เขียนอยากชวนให้ผู้อ่านทุกคนลองคิดตามงานของ อาจารย์ธร คือ เรื่องบทบาทของรัฐและมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำ

อาจารย์ธร อธิบายแนวคิดเบื้องหลังของสังคมไทยเกี่ยวกับรัฐ โดยเริ่มต้นจากการอธิบายความชอบธรรมของรัฐที่เชื่อมโยงกับคติความเชื่อในอดีต ซึ่งเชื่อว่าผู้ปกครองต้องมีบุญบารมีที่จะนำพาให้เกิดความสงบสุขในสังคม ประชาธิปไตยแบบไทยจึงมุ่งเน้นหาคนดีเข้ามาปกครอง ในขณะที่โครงสร้างการปกครองก็ควรจะต้องมีการจัดลำดับการปกครองลดหลั่นลงมาจากผู้มีบุญบารมีสูงสุดลงมาสู่ผู้มีบุญบารมีต่ำสุด

รัฐและผู้นำของรัฐ จึงวางตัวเสมือนเป็นพ่อขุนอุปถัมภ์ ซึ่งปกครองประชาชนด้วยความห่วงใยและเมตตา ประชาชนจึงไม่ได้อยู่ในสถานะของพลเมืองที่ได้รับสิทธิจากรัฐ แต่อยู่ในฐานะผู้รับการสงเคราะห์จากรัฐ รัฐและผู้นำให้ด้วยความเมตตาไม่ใช่สิทธิ (มุมมองนี้ผู้เขียนคิดว่า อาจารย์ธร หยิบยืมมาจากงานเขียนของ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เรื่อง การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ)

ในส่วนของความเหลื่อมล้ำ อาจารย์ธร นำเสนอว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยไม่ถูกแก้ไขเพราะสังคมไทยมีมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำในฐานะสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ กล่าวคือ ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่มีขึ้นพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นมากับความเป็นคน แนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกับความคิดเรื่องบุญกรรม ทำให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเข้าไปให้สิทธิแก่บุคคลที่ต้องได้รับการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเปรียบเสมือนการทำให้เกิดความแตกร้าวในวิถีทางของสังคมและไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ อาจารย์ธร นำเสนอต่อไปว่า ในสังคมไทยมีการอธิบายปัญหาความเหลื่อมล้ำสามารถถูกเอาชนะได้ด้วยความเพียรพยายามและการทำงานหนัก โดยยกตัวอย่างของการต่อสู้ของชาวจีนที่พกเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกทำให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าปัญหาของสังคมในภาพรวม

การอธิบายบทบาทของรัฐและความเหลื่อมล้ำโดยใช้กรอบแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมของ อาจารย์ธร ข้างต้นทำให้เห็นปัญหาต่อไปว่า เพราะเหตุใดรัฐสวัสดิการถึงไม่สามารถตั้งมั่นในประเทศไทยได้ในฐานะของสิทธิ ขณะเดียวกันเพราะเหตุใดรัฐถึงวางตัวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจนโดยลอยตัว เพราะมองว่าบทบาทของรัฐในการให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องหน้าที่ในการสงเคราะห์มากกว่าเป็นสิทธิของพลเมือง

ผู้เขียนคิดว่างานวิจัยของ อาจารย์ธร มีความน่าสนใจและคิดว่าหากงานวิจัยฉบับเต็มได้เผยแพร่น่าจะได้มีการนำงานวิจัยนี้มาพูดถึงอย่างจริงจังอีกครั้งในอนาคต

บทสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ “แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475” โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์


อ้างอิงจาก

  • สถาบันปรีดี พนมยงค์, (6 พ.ย. 2566), “PRIDI Interview : แล ดิลกวิทยรัตน์ : แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475,” สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ, (21 เม.ย. 2564), “เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร,” กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร.  สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ธร ปิติดล, “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย,” เอกสารประกอบการนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์ : แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” จัดโดยมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย รวมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรม Grand Center Point Terminal.

ความยอกย้อนของการอธิบายสถานะพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ในฐานะรัฐธรรมนูญ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในการศึกษาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทยแม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย แต่ในวงวิชาการมักจะมีการนำเสนอข้อถกเถียงหรือเอกสารหลักฐานในลักษณะเป็นการตั้งคำถามถึงความพยายามร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเสมอ เพื่ออธิบายประวัติศาสตร์แนวคิดการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญไทย

ตัวอย่างเช่น หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่ได้อธิบายว่า ศิลาจารึกเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย และนอกจากศิลาจารึกแล้ว เอกสารทางการเมืองที่มักจะถูกพูดถึงในฐานะความพยายามเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยคือ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม ซึ่งมีความพยายามตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรก็ดีตามความเห็นของผู้เขียน การอธิบายสถานะของร่างพระราชกฤษฎีกาเป็นรัฐธรรมนูญมีข้อสังเกตที่น่าสนใจและควรแก่การนำมาถกเถียง ถึงความยอกย้อนในการอธิบายสถานะของร่างพระราชกฤษฎีกานี้

ทำความเข้าใจพระราชกฤษฎีกาที่ 1

ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม หรือที่จะเรียกกันต่อไปว่าร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามีการร่างขึ้นเมื่อใด แต่จากการสันนิษฐานของคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ให้ความเห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 น่าจะทำขึ้นในช่วง ร.ศ. 113 หรือ พ.ศ. 2437 โดยเป็นช่วงปีที่ 26 ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ[1] ซึ่งเป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงต่างประเทศและผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในศาสตร์หลายสาขา ซึ่งส่วนหนึ่งมีการสันนิษฐานว่ามูลเหตุในการพยายามยกร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ขึ้นมาเป็นผลมาจากความพยายามเรียกร้องให้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองประเทศของคณะเจ้านายและข้าราชการ ซึ่งได้จัดทำคำกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2427)[2]

เนื้อหาของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ประกอบไปด้วยบทบัญญัติของกฎหมายจำนวน 20 มาตรา โดยสามารถจัดประเภทได้เป็น 5 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่หนึ่ง สถานะของพระมหากษัตริย์ภายในพระราชอาณาเขต เรื่องที่สอง ขอบเขตของพระราชอาณาเขต เรื่องที่สาม กลไกการสืบสันตติวงศ์ เรื่องที่สี่ กลไกการสำเร็จราชการแผ่นดิน และเรื่องที่ห้า กลไกเกี่ยวกับการประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน ในแต่ละมาตราของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้จะมีชื่อมาตรากำกับไว้ อาทิ มาตรา 1 ราชอิสริยยศ ซึ่งเป็นการระบุเกี่ยวกับราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์สยามเหนือดินแดนและแสดงพระราชอาณาเขตของสยาม ตัวอย่างของบทบัญญัติในลักษณะนี้ อาทิ

ราชอิศริยยศ มาตรา ๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปนพระเจ้าแผ่นดิน ฤาพระเจ้ากรุงสยาม เปนบรมราชาธิราชแห่งมลาวประเทศ มลายู ประเทศกเหรี่ยง ฯลฯ ผู้ทรงพระคุณอันมหาประเสริฐ” [3]

บทบัญญัติในมาตรา 1 นี้เป็นการระบุเกี่ยวกับราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์สยามเหนือดินแดนและผู้คน รวมถึงแสดงพระราชอาณาเขตของสยาม หรือ

อมฤตราช มาตรา ๖ พระเจ้าแผ่นดินเปนอมฤตราช เพราะเหตุว่ามีมกุฎราชกุมารเปนผู้สืบขัตติยสันตติแลแผ่นดินไม่ไร้พระเจ้าแผ่นดินได้ ด้วยราชประเพณีอันนี้เท่านั้น” [4]

บทบัญญัติมาตรานี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านรัชกาลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์โดยไม่ขาดตอน จากพระมหากษัตริย์สู่มกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการสืบราชสมบัติของสยามในอดีตที่ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจนในลักษณะนี้

ลักษณะดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของบทบัญญัติและเรื่องที่มีการบัญญัติเอาไว้ในร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ฉบับนี้

รัฐธรรมนูญคืออะไร

ย้อนกลับมาพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นรัฐธรรมนูญของร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 นี้ ในทางวิชาการมีการแสดงความเห็นต่างๆ นานาว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 นี้เป็นรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างของความเห็นนี้ปรากฏในบทความของ ดร. วิษณุ เครืองาม ที่ระบุว่า “…ผู้เขียนเองมีความเห็นไปในทางว่าร่างพระราชกฤษฎีกานี้เป็นร่างรัฐธรรมนูญ…”[5]

ในทางวิชาการนั้นอะไรจะเป็นรัฐธรรมนูญมีประเด็นที่อาจจะถกเถียงได้ในหลายลักษณะ อย่างไรก็ดี การที่เอกสารทางการเมืองใดจะมีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ไม่ได้สำคัญว่าเอกสารนั้นจะต้องมีชื่อเป็นรัฐธรรมนูญ เพราะแม้แต่คำว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันโดยแปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “constitution” ก็เป็นคำที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในภายหลัง[6]

ในการพิจารณาว่าเอกสารทางการเมืองใดจะมีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญนั้น มีหลักเกณฑ์กลางๆ ที่อาจจะนำมาพิจารณาความเป็นรัฐธรรมนูญได้ก็คือ เอกสารทางการเมืองนั้นควรจะต้องเป็นกฎหมายที่กำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเหล่านี้ต่อกันและกัน[7] โดยไม่ได้มีสาระสำคัญอยู่ที่ระบบการปกครอง เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาบริบทของไทยในอดีต แนวคิดเกี่ยวกับการมีรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นมาตั้งแต่ภายใต้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[8] ในบริบทเช่นนี้เอกสารทางการเมืองหลายๆ ฉบับอาจจะกลายเป็นเอกสารที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญได้ ซึ่งอาจรวมถึงพระราชกฤษฎีกาที่ 1 นี้ด้วย

เมื่อพิจารณารายละเอียดของพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ในแง่ของเนื้อหาที่ประกอบด้วยเนื้อหา 5 เรื่องดังกล่าวแล้วข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องของการจัดการกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเหล่านั้น ซึ่งความเห็นในลักษณะนี้ก็สอดคล้องกับนักวิชาการรัฐธรรมนูญคนสำคัญอย่าง ดร. วิษณุ เครืองาม[9] อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีความเห็นแตกต่างจาก ดร. วิษณุ เครืองาม ในประเด็นนี้ ดังจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

ทำความเข้าใจสถานะของพระราชกฤษฎีกาที่ 1

การอธิบายความเป็นรัฐธรรมนูญของร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม หากพิจารณาเฉพาะหลักเกณฑ์การเป็นรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเหล่านั้น นัยดังกล่าวเป็นการอธิบายรัฐธรรมนูญในบริบทปัจจุบัน แต่เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นเอกสารเก่า ในการพิจารณาสถานะความเป็นรัฐธรรมนูญอาจจะต้องย้อนกลับไปพิจารณาบริบทเวลานั้นประกอบด้วย

หากย้อนกลับไปทำความเข้าใจในช่วงเวลานั้นคือ ประมาณ พ.ศ. 2411 – 2468 ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายใต้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ความรับรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหรือ “คอนสติตูชัน” มีสาระสำคัญเชื่อมโยงอยู่กับแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและเป็นผลผลิตของแนวคิดแบบเสรีนิยม[10] ดังจะเห็นได้จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในจดหมายเหตุรายวัน เล่มที่ 2 วันที่ 13 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2454 จะพบว่า พระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับคุณลักษณะของการปกครองโดยมีคอนสติตูชันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร โดยทรงอธิบายยึดโยงอยู่กับลักษณะการปกครองแบบประชาธิปไตยทั้งในเชิงเนื้อหาและกระบวนการประชาธิปไตย อาทิ การเลือกตั้ง การมีรัฐสภา และการมีพรรคการเมือง ซึ่งพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญในบริบทเช่นนี้ ณ ช่วงเวลานั้น[11]

พระราชาธิบายดังกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นนัยของชนชั้นนำสยามที่มองว่า  รัฐธรรมนูญเป็นรูปแบบการเมืองการปกครองที่มีรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจด้วยการมีรัฐสภา แต่สะท้อนการเกรงการเสียอำนาจสมบูรณ์ที่รวมศูนย์อยู่กับพระมหากษัตริย์[12]

นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของชนชั้นนำสยามมองว่า รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองของประเทศ ก่อตั้งองค์กรต่างๆ และเป็นเครื่องมือของกษัตริย์ในการจัดระเบียบการปกครองการปฏิรูป กำหนดอำนาจให้ชัดเจน และกระชับอำนาจให้กษัตริย์เท่านั้น[13] โดยไม่ได้มีนัยของการเป็นกฎหมายกำหนดอำนาจสูงสุดที่เป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพแต่อย่างใด เพราะอำนาจสูงสุดยังคงยึดโยงอยู่กับสถานะของพระมหากษัตริย์

ในประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ในทางทฤษฎีอาจถือเอาได้ว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นความพยายามร่างรัฐธรรมนูญในประเทศไทย แต่การอธิบายในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่สอดคล้องกับความรับรู้ของชนชั้นนำไทยในเวลานั้น รวมถึงการอธิบายในลักษณะดังกล่าวมีความยอกย้อนในการอธิบาย กล่าวคือ เมื่อพิจารณาโดยตลอดแล้วเนื้อหาของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ไม่ได้มีนัยชัดเจนที่สะท้อนคุณค่าของความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ประกอบกับหากได้พิจารณาตัวอย่างของร่างรัฐธรรมนูญฉบับพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) หรือ Outline of Preliminary Draft เอกสารทางการเมืองฉบับนี้มีความใกล้เคียงกับแนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมากกว่า แม้ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญตามแนวทางแบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากเอกสารดังกล่าวพยายามอธิบายถึงการจัดโครงสร้างของรัฐและความสัมพันธ์ทางอำนาจ

รัฐธรรมนูญฉบับพระยากัลยาณไมตรีประกอบไปด้วยเนื้อหาสำคัญ 10 เรื่อง โดยกำหนดให้อำนาจสูงสุดของประเทศยังเป็นของพระมหากษัตริย์ (มาตรา 1) เพียงจัดให้มีนายกรัฐมนตรีขึ้นมาเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระเท่านั้น เนื่องจากพระมหากษัตริย์มีอำนาจในการแต่งตั้งและปลดนายกรัฐมนตรีได้ (มาตรา 2) และให้มีคณะรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่งจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยนายกรัฐมนตรีทำงาน (มาตรา 4) แต่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการลงมติปัญหาต่างๆ (มาตรา 5) โดยพระมหากษัตริย์สามารถมีพระบรมราชวินิจฉัยในปัญหาต่างๆ ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามทุกกรณี (มาตรา 6) และพระองค์มีคณะอภิรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา (มาตรา 7) และมีองคมนตรีสภาตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา 8) นอกจากนี้ยังให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในทางตุลาการ (มาตรา 10) และนิติบัญญัติ (มาตรา 11) รวมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยคำแนะนำและความยินยอมขององคมนตรีสภา (มาตรา 12)[14] ซึ่งจะเห็นได้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีลักษณะเป็นการจัดสรรอำนาจรัฐมากกว่า ดังจะเห็นได้จากการจัดแบ่งโครงสร้างการใช้อำนาจรัฐออกเป็น 3 ฝ่าย ดังเข้าใจตามหลักการแบ่งแยกอำนาจแบบที่เข้าใจกันในปัจจุบันที่ประกอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยที่อำนาจทั้งสามยังคงยึดโยงอยู่กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นลักษณะของรัฐธรรมนูญภายใต้แนวคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มุ่งเน้นการกระชับอำนาจ

ดังจะเห็นได้ว่า การอธิบายร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่อาจจะถกเถียงกันได้ว่า เป็นการพิจารณาจากมุมมองไหน เพราะหากพิจารณาในบริบทของการอธิบายรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน ก็อาจจะถือได้ว่า ร่างพระราชกฤษฎีกานี้เป็นรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าพิจารณาในบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว อาจมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นรัฐธรรมนูญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1 ได้

หมายเหตุผู้เขียน บทความนี้สรุปสาระสำคัญมาจากหัวข้อ การเสนอมุมมองต่อร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ในฐานะความพยายามทำรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ใน เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ข้อสังเกตต่อทรรศนะของ วิษณุ เครืองาม เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม” (อยู่ระหว่างกระบวนการเผยแพร่)


เชิงอรรถ

[1] ไชยันต์ ไชยพร, (11 มีนาคม 2564), “ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม (1),” โพสต์ทูเดย์ [online] posttoday.com/columnist/647633 สืบค้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566 และประพัฒน์ ตรีณรงค์, พัฒนาการรัฐธรรมนูญไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 2533), น.13.

[2] วิษณุ เครืองาม, “บทวิเคราะห์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม,” (2538) วารสารกฎหมายปกครอง 14(2) : น.185.

[3] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เอกสาร ร.5 อ.2/8 เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม. คงการสะกดตัวอักษรตามเอกสารต้นฉบับ.

[4] เรื่องเดียวกัน.

[5] วิษณุ เครืองาม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 171.

[6] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (27 มิถุนายน 2564), “รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์ [online] pridi.or.th/th/content/2021/06/748 สืบค้นเมื่อ 8 ตุลาคม 2566.

[7] หยุด แสงอุทัย, หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 9, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน 2539), น.39.

[8] ปิยบุตร แสงกนกกุล, รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนา และการเปลี่ยนผ่าน (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559), น.14.

[9] วิษณุ เครืองาม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น.182.

[10] สนธิ เตชานันท์, “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย: ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ 1 ว่าด้วยราชประเพณีกรุงสยาม” (2521) วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 8(1) : น.51.

[11] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, จดหมายเหตุรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, 2517), น.48-62.

[12] ปิยบุตร แสงกนกกุล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 8, น.18.

[13] เพิ่งอ้าง, น.27.

[14] กษิดิศ อนันทนาธร, (1 ธันวาคม 2563), “ร่างรัฐธรรมนูญของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อน 2475,” สถาบันปรีดี พนมยงค์ [online] pridi.or.th/th/content/2020/12/518 สืบค้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566.

ประชาธิปไตย: ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ (ตอนจบ)

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในบทความตอนแรก ประชาธิปไตย : ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ (ตอนที่ 1) ผู้เขียนได้เล่าถึงที่มาของคำว่า “ประชาธิปไตย” ในประเทศไทยว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร โดยบทความเริ่มต้นจากการฉายภาพให้เห็นว่าในยุคก่อนที่จะมีการนำคำว่า “ประชาธิปไตย” มาใช้อย่างที่เข้าใจในความหมายปัจจุบัน ได้มีความพยายามอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในหลายลักษณะทั้งผ่านถ้อยคำที่อธิบายระบบการปกครอง หรือองค์ประกอบของสิ่งที่เราจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย อาทิ การปกครองโดยพระมหากษัตริย์มีอำนาจจำกัด การมีรัฐสภา และการมีรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากลงไปในรายละเอียดทางวิชาการประเด็นเหล่านี้ก็ถกเถียงได้เช่นกันว่า ในรัฐหนึ่งหรือประเทศหนึ่งที่มีองค์ประกอบเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วหรือไม่

นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของบทความ ก่อนผู้เขียนได้จบด้วยการเล่า คำว่า “ประชาธิปไตย” ที่ใช้อธิบายเข้าใจในปัจจุบันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่คำนิยามของประชาธิปไตยไม่เคยมีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีเป็นร้อยเป็นพันความหมายขึ้นอยู่กับเป้าหมายและอุดมการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้น เพราะในชีวิตประจำวันแล้วมนุษย์ทุกคนติดอยู่ในโลกของการนิยามความหมาย และให้ความหมายสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้แต่ละคนรักหรือชอบพอในประชาธิปไตยแตกต่างกัน เพราะมีความหมายของประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน[1]

อย่างไรก็ดี ในบทความนี้จุดหมายสำคัญของผู้เขียนนั้นไม่ได้มุ่งหมายจะเล่าเรื่องการนิยามโดยตรง แต่ต้องการจะเล่าถึงประชาธิปไตยแบบมีคุณศัพท์หรือก็คือ แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่มีการใส่ส่วนขยายต่างๆ เข้าไป โดยผู้เขียนจะขอเล่าถึงประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นรูปแบบประชาธิปไตยในอุดมคติของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส และแนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายอื่นๆ ในไทยซึ่งผู้เขียนจะชวนมาวิเคราะห์ให้เห็นนัยทางการเมืองบางอย่างของประชาธิปไตยเหล่านี้

ประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยาย การขยายความเพื่ออธิบายเป้าหมายทางการเมือง

คำว่า “ประชาธิปไตย” นั้นก็เหมือนกับคำนามอื่นๆ ทั่วไป กล่าวคือ คำนามเหล่านี้สามารถใส่คำคุณศัพท์เข้าไปเพื่อเป็นส่วนขยายเพื่อให้ทราบรายละเอียดหรือเน้นย้ำนัยบางอย่างของคำนามเหล่านั้น ซึ่งหนึ่งในประเด็นเกี่ยวกับการนิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการที่สนใจประเด็นเรื่องประชาธิปไตยสังเกตเห็นก็คือ ความพยายามทางการเมืองที่จะใส่คุณศัพท์มาต่อท้ายคำว่า “ประชาธิปไตย” ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งลักษณะของการกระทำแบบนี้จะถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตยที่มีคำคุณศัพท์” (Democracy with Adjectives)[2] ซึ่งคำคุณศัพท์ที่ถูกใส่เข้าไปมีส่วนที่ทำให้ความหมายของประชาธิปไตยแตกต่างและผันแปร ทำให้เกิดถามว่าสิ่งนี้คือ ประชาธิปไตยจริงๆ ใช่หรือไม่

การใส่คำคุณศัพท์เพื่อทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประชาธิปไตยนั้นมีหลายลักษณะ ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มคำแบบดั้งเดิมเพื่ออธิบายถึงระบอบการปกครองของประชาธิปไตย เช่น ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ซึ่งหมายถึงระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีองค์กรสำคัญแบบรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญในการปกครอง ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) ซึ่งหมายถึงระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสามารถใช้อำนาจอธิปไตยของตนเองโดยตรงในการตัดสินใจหรือมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเข้าไปตัดสินใจด้วยตัวประชาชนเอง

ในอดีตประชาธิปไตยทางตรงถูกใช้ในกรีก และยังคงใช้ในบางประเทศที่มีประชากรไม่มากในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กันกับประชาธิปไตยทางตรงที่ให้ความสำคัญกับประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง และประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ซึ่งนัยหนึ่งหมายถึงประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีการมอบอำนาจอธิปไตยกับผู้แทนของประชาชนในสภาไปใช้อำนาจอธิปไตยแทน

ประเภทบริบทดั้งเดิมบริบทสมัยใหม่
ประชาธิปไตยทางตรงการให้ประชาชนออกไปลงคะแนนเสียงตัดสินใจเรื่องใดๆ ด้วยตนเอง ใช้ในสังคมที่มีพลเมืองน้อยการให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองโดยการลงมติมีส่วนร่วมในเรื่องสำคัญๆ ผ่านการทำประชามติหรือการรับฟังความเห็นจากประชาชน
ประชาธิปไตยแบบตัวแทนการดำเนินการทางประชาธิปไตยผ่านผู้แทนในรัฐสภา โดยประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยเลือกตั้งผู้แทนเพื่อเข้าไปใช้อำนาจแทนประชาชน

ในบางครั้งคำคุณศัพท์ของประชาธิปไตยอาจจะถูกใช้เพื่อนำเสนอแนวคิดประชาธิปไตยเพื่อตอบสนองต่อระบอบการปกครองอื่นๆ ที่เมื่อพิจารณาแล้วจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งเราจะได้ยกตัวอย่างต่อไปในประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายอื่นๆ ในประเทศไทย

ประชาธิปไตยสมบูรณ์

เราอาจจะพิจารณาได้ว่า “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการใส่คำคุณศัพท์ให้กับประชาธิปไตย ประชาธิปไตยสมบูรณ์เป็นแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ เป็นการให้ความหมายและคุณค่าของประชาธิปไตยในลักษณะที่เป็นแบบบูรณาการแบบองค์รวม[3] โดยเป็นการพิจารณาประชาธิปไตยทั้งในทางการเมือง แต่ประชาธิปไตยควรจะต้องเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และสังคมจะต้องมีทรรศนะหรือความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดีแล้ว ความสมบูรณ์ในทรรศนะของปรีดีเป็นผลสืบเนื่องมาจากการวิเคราะห์ภายใต้หลักการของ ‘ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย’ (Democratic Scientific Socialism) ซึ่งเป็นหลักคิดเฉพาะตัวของปรีดี[4]

แนวทางการวิเคราะห์นี้ ปรีดีสังเคราะห์ขึ้นจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ตนได้เผชิญมาและได้ใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มาโดยตลอด ทั้งนี้ปรีดีได้แบ่งโครงสร้างทางสังคมออกเป็น 3 ส่วนที่ประกอบกัน คือ ส่วนที่หนึ่งที่เป็นโครงสร้างส่วนล่างซึ่งเป็นโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และส่วนที่สองคือโครงสร้างส่วนบนซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมือง โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบต่อกัน และองค์ประกอบส่วนที่สามเป็นองค์ประกอบทางจิตใจที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของสังคม คือ ทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย[5]

การจะทำให้สังคมใดสังคมหนึ่งที่จะเป็นประชาธิปไตยได้จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสามประการจึงจะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยปรีดีได้ตระหนักว่า ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้[6]

ดังนี้ ทรรศนะของปรีดีต่อการอภิวัฒน์การเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามจึงเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย ในขณะเดียวกัน การวางแผนเพื่อประกาศใช้เค้าโครงการเศรษฐกิจจึงเป็นความพยายามที่จะให้เกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเมื่อเกิดองค์ประกอบทั้งสองอย่างจะทำให้ประชาชนค่อยๆ พัฒนาทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น และสร้างองค์ประกอบทางจิตใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนทุกๆ คน ซึ่งองค์ประกอบนี้จะทำนุบำรุงประชาธิปไตยให้มั่นคง[7]

เป้าหมายของประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่มีองค์ประกอบทั้งสามประการทำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมที่มนุษย์มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์และมีความเสมอภาคกับเพื่อนมนุษย์ในสังคม และมีสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย และมนุษย์ในสังคมนั้นจะต้องร่วมมือกันฉันพี่น้องโดยปราศจากการกดขี่และเบียดเบียนกัน

ดังจะเห็นได้ว่าเป้าหมายของประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดีนั้นเป็นไปเพื่อสร้างหลักการแห่งคำอธิบายที่สะท้อนภาพของสังคมอุดมคติในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นควรจะประกอบไปด้วยหลักการในลักษณะใดบ้าง โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญคือ ความต้องการให้ระบบเศรษฐกิจช่วยค้ำจุนการใช้ชีวิตของมนุษย์ให้สามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้อย่างเต็มที่

ตามนัยนี้เราอาจจะยังกล่าวได้ว่า แนวคิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดีเป็นลักษณะส่วนหนึ่งของวิธีคิดที่พูดถึงระบอบประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายอื่นๆ ในประเทศไทย

ลักษณะของประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายนั้น บ่อยครั้งถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการเมืองหรือเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมือง รวมถึงกีดกันการดำเนินการใดๆ ที่แตกต่างจากแนวคิดของประชาธิปไตยที่ถูกสื่อสารออกไป มิเพียงเท่านั้นประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายยังถูกนำไปใช้เพื่อเป็นกลไกในการทำลายผู้เห็นต่างทางการเมืองได้เช่นกัน

ในบรรดาแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่มีการเพิ่มเติมคำคุณศัพท์ทั้งหลายนั้น มีอยู่จำนวนหนึ่งที่น่าสนใจและควรถูกหยิบนำมาพูดถึงในบริบทของประเทศไทย

คำแรกที่ควรถูกหยิบยกมาพูดถึงก็คือ ประชาธิปไตยแบบไทย (Thai-style Democracy) คือ แนวคิดที่ถูกนำเสนอโดยชนชั้นนำและนักคิดสายอนุรักษนิยมในประเทศไทย เพื่อสร้างบริบทเฉพาะของประชาธิปไตยแบบไทยให้แตกต่างไปจากประชาธิปไตยที่ปรากฏในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะไม่เหมือนกับประชาธิปไตยแบบตะวันตก[8]

ชนชั้นนำและนักคิดสายอนุรักษนิยมไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยว่าเป็นของไม่ดี ในทางตรงกันข้ามประชาธิปไตยที่เหมาะสมควรจะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมประเพณีของชาติไทยที่มีแกนกลางอยู่ที่สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีความชอบธรรมมาตั้งแต่ดั้งเดิมและอยู่เหนือราษฎร ในขณะที่ราษฎรทุกคนนั้นมีฐานะที่เท่าเทียมกัน และหากแบ่งแยกราษฎรออกแล้วจึงเหลือเพียงแต่ราษฎรที่ภักดีและไม่ภักดีเท่านั้น

ในขณะเดียวกันชนชั้นนำและนักคิดสายอนุรักษนิยมยังพยายามอธิบายว่าประชาธิปไตยแบบไทยมีมาก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม โดยเกิดขึ้นนับตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์ศิลาจารึกขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันทางสังคม ซึ่งเน้นย้ำบทบาทของประชาธิปไตยแบบไทยที่มีความผูกพันกับสถาบันกษัตริย์[9]

มิเพียงเท่านั้นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยังคาดหวังให้บทบาทผู้นำมีความเด็ดขาดและในขณะเดียวกันก็ต้องมีเมตตาธรรมปกครองประเทศแบบบิดาปกครองบุตร ซึ่งการประกอบสร้างตัวตนในลักษณะนี้ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่อำนาจเพื่อปกครองประเทศไทยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หน้าที่ของประชาชนจึงเป็นเพียงการทำตามคำสั่งของรัฐและสังคมกำหนดไว้เท่านั้น[10]

ประชาธิปไตยแบบมีคำคุณศัพท์อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ “ประชาธิปไตยสุจริต” ซึ่งเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่พรรคประชาธิปัตย์มักจะนำเสนอในแคมเปญการหาเสียง แต่เมื่อพิจารณาหรือพยายามศึกษาความหมายของประชาธิปไตยสุจริตแล้ว เราจะไม่พบว่า ประชาธิปไตยสุจริตคืออะไร แต่หลายครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งจะพบว่าผู้ปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์มักจะกล่าวถึงว่าจุดยืนของพรรคการเมืองนี้คือมี ประชาธิปไตยสุจริต

ตัวอย่างของการปราศรัยในลักษณะนี้คือ เมื่อครั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวปราศรัยเมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 13 มี.ค. 2566 ที่โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) เครือมติชนจัดแคมเปญ “มติชน: เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย” เปิด 5 เวที 10 ยุทธศาสตร์ 2 กลยุทธ์ ซึ่งเป็นเวทีแรก ประชันนโยบาย “ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง” ที่มีตัวแทนจาก 8 พรรคการเมืองร่วมขึ้นเวทีประชันนโยบาย

นายจุรินทร์ได้เน้นย้ำว่า หนึ่งในจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์คือ “ประชาธิปไตยสุจริต ซึ่งประชาธิปไตยสุจริตเท่านั้นที่จะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้ เพราะไม่ว่าจะมีการทำรัฐประหารกี่ครั้ง เกือบจะทุกครั้งที่อ้างเงื่อนไขการทุจริต แล้วยึดอำนาจ” แต่เมื่อเราพยายามทำความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตยสุจริต” แล้วก็ไม่อาจจะเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยสุจริตได้อยู่ดี แต่หากให้คาดเดาความหมายของคำประชาธิปไตยสุจริตแล้ว น่าจะเป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็นนัยทางการเมืองเพื่อโจมตีการบริหารราชการแผ่นดินของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

อีกคำหนึ่งของ “ประชาธิปไตย” แบบมีคำคุณศัพท์ที่น่าสนใจและนำมาสู่ข้อถกเถียงในสังคมไทยก็คือ คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ดูเผินๆ คำนี้น่าจะหมายถึงระบอบการปกครองแบบระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แต่ในความเป็นจริงคำๆ นี้มีนัยที่พิเศษไปกว่านั้น

หากพิจารณาคำในภาษาอังกฤษที่ถูกนำมาใช้แปลระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ Democratic form of Government with the King as Head of State ซึ่งเป็นคำแปลอย่างเป็นทางการที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับภาษาอังกฤษของประเทศไทยมาโดยตลอดคำนี้สะท้อนนัยพิเศษ

คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เป็นคำที่มาจากข้อความว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งมักจะปรากฏในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญไทยหลายๆ ฉบับ

หากพิจารณาผิวเผินคำว่า “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ควรจะเป็นคำคุณศัพท์ที่เข้ามาขยายคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่หากพิจารณาลงไปในบริบททางประวัติศาสตร์แล้วจะเห็นได้ว่า คำคำนี้แต่เดิมไม่ได้มีสถานะเป็นคำเดียวกัน โดยหากพิจารณาใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พยายามใส่ระบอบการปกครองเข้ามาในรัฐธรรมนูญ และพูดถึงสถานะของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐแล้วจะเห็นได้ว่าข้อความที่รัฐธรรมนูญใช้จะระบุว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”[11] และใช้มาในลักษณะนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ซึ่งบัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”[12] โดย ไม่มีการเว้นวรรคระหว่างคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ และกลายมาเป็น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ซึ่งบัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข”[13]

การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยดังกล่าวนั้นมีนัยสำคัญ เพราะการเติมส่วนขยายเข้าไปจากในครั้งแรกที่ข้อความทั้งสองแยกออกจากกันเป็นการเน้นย้ำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไม่ใช่ประชาธิปไตยเฉยๆ ที่มีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์ แต่เป็นระบอบการปกครองอีกแบบหนึ่ง รวมถึงเป็นคำสะท้อนให้การหลอมรวมกันของระบอบการปกครอง 2 ระบอบที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยและระบอบกษัตริย์เดิม[14]

มิเพียงเท่านั้นหากพิจารณาในแง่บริบทของการเกิดขึ้นของคำนี้ในรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่า คำคำนี้เป็นคำพิเศษที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารและแย่งชิงความหมาย แย่งชิงอำนาจนำ ระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ และเป็นภาพสะท้อนของประชาธิปไตยแบบไทยที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พยายามสนับสนุน[15]

“ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง นัยหนึ่งเพราะประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตอกย้ำประชาธิปไตยแบบไทยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของแนวคิด ระบอบการปกครองที่แตกต่างนี้จึงไม่ยอมรับต่อความแตกต่าง ความหลากหลาย และการแสดงความคิดเห็นที่ต่อต้านต่อสถาบันกษัตริย์ในระบอบดังกล่าว

ดังเช่นในกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ คมจ. 5/2566 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งของ นางสาวพรรณิการ์ วานิช เนื่องจากขัดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงโดยไม่ธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมา ซึ่งหากเป็นสังคมประชาธิปไตยทั่วไป การแสดงออกใดๆ ย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่การที่ศาลฎีกาเลือกจะตัดสินติดในลักษณะดังกล่าวย่อมสะท้อนว่าศาลฎีกาเข้าใจนัยของสถาบันกษัตริย์ในระบอบการปกครองนี้ที่แตกต่างจากประชาธิปไตยทั่วไป

จากข้างต้นทั้งหมดจะเห็นได้ว่า “ประชาธิปไตย” นั้นมีนัยทางการเมืองบางประการที่น่าสนใจ และเป็นพื้นที่ยื้อแย่งทางอำนาจการเมืองในการนิยามประชาธิปไตยลักษณะต่างๆ รวมถึงหลายครั้งประชาธิปไตยแบบมีคำคุณศัพท์ไม่ได้มีแนวคิดหรือหลักการเบื้องหลัง (แตกต่างจากกรณีของประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่มีความพยายามอธิบายแนวคิดเบื้องหลังไว้)

ดังจะเห็นได้จาก ‘ประชาธิปไตยสุจริต’ แต่เป็นการหยิบยกคำเพื่อสร้างนัยทางการเมือง หรือประชาธิปไตยแบบไทยหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ดูเผินๆ คำนี้จะไม่ได้มีความหมายแฝง แต่หากตระหนักถึงอำนาจของถ้อยคำแล้วประชาธิปไตยดังกล่าวนั้นซ่อนนัยทางการเมืองของการช่วงชิงอำนาจ และท้ายที่สุดจะเห็นได้ว่า “ประชาธิปไตยแบบมีคำคุณศัพท์” บ่อยครั้งมักจะถูกนำมาใช้บิดพลิ้ว เนื่องจากคำเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงหรือคำอธิบายประกอบ จึงมีแนวโน้มที่จะถูกหยิบใช้อย่างอิสระไปตามสถานการณ์[16]


เชิงอรรถ

[1] ประจักษ์ ก้องกีรติ, ประชาธิปไตยในยุคเปลี่ยนผ่าน: รวมบทความว่าด้วยประชาธิปไตย ความรุนแรง และความยุติธรรม, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2558), น.37-38.

[2] เรื่องเดียวกัน, น.42.

[3] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล “แนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี พนมยงค์” จากงานเสวนาเรื่อง “เค้าโครงเศรษฐกิจกับประชาธิปไตยสมบูรณ์” เนื่องในวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อ้างใน วรรณภา ติระสังขะ, (17 กันยายน 2563), “ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ของปรีดี พนมยงค์,” [Online] สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2566.

[4] เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, “ความคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์,” ใน ปรีดีปริทัศน์ ปาฐกถาชุดปรีดี พนมยงค์ อนุสรณ์ (กรุงเทพฯ: เทียนวรรณ, 2526), น.127.

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (15 มิถุนายน 2563),“มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์,” [Online] สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2566.

[6] เรื่องเดียวกัน.

[7] เรื่องเดียวกัน.

[8] ประจักษ์ ก้องกีรติ, ประชาธิปไตย: หลากความหมาย หลายรูปแบบ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม, 2562) น.185.

[9] เรื่องเดียวกัน, น.185-186.

[10] เรื่องเดียวกัน, น.186.

[11] มาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492.

[12] มาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521.

[13] มาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534.

[14] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ความหมายและความเป็นมาของ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”, (หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 สิงหาคม 2539).

[15] เรื่องเดียวกัน.

[16] ดู ประจักษ์ ก้องกีรติ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 8, น.185.

คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในโลกแพลตฟอร์ม รัฐไทยพร้อมหรือยัง?

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ (ตอนที่ 1) และเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ (ตอนที่ 2)

ในปี 2564 ธุรกิจแพลตฟอร์มมีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 9 แสนล้านบาท การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ เป็นผลมาจากความได้เปรียบจากการสะสมข้อมูลจำนวนมาก ที่ทำให้ธุรกิจแพลตฟอร์มสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและออกแบบบริการได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่ง การที่ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค ได้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคลมากขึ้น

จึงเป็นความท้าทายของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในธุรกิจแพลตฟอร์มในประเทศไทยว่าจะมีการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ได้มากน้อยเพียงใด ในการที่จะรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับการการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

สำรวจความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ความท้าทายแรก คือ การขาดแนวทางในการสื่อสารที่ดีกับผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคใช้บริการแพลตฟอร์ม แม้ว่ากฎหมาย PDPA จะเริ่มใช้บังคับเมื่อปีที่ผ่านมา แต่จากการสำรวจของ TDRI ในงานวิจัยการศึกษาผลกระทบและการนำเสนอมาตรการในการกำกับดูแล Digital Platform พบว่าแนวทางการแจ้งการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคยังมีลักษณะ “ไม่เป็นมิตร” ต่อผู้บริโภค เช่น การใช้ข้อความเยิ่นเย้อ หรือการใช้ถ้อยคำทางกฎหมายที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดที่จะดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลได้ รวมไปถึงการปิดกั้นเนื้อหาโดยกำหนดให้ต้องมีการให้ความยินยอมให้ใช้เทคโนโลยีติดตาม เช่น cookie wall ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญและทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจให้ความยินยอมโดยอาจจะไม่ได้พิจารณาเนื้อหาการเก็บและใช้ข้อมูล

การสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักว่าข้อมูลส่วนบุคคลกำลังถูกเก็บและนำไปใช้ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโดยทั่วไปแล้วแพลตฟอร์มมักมีลักษณะเป็นการให้บริการฟรีไม่เสียค่าตอบแทน แต่กลับมี “ราคา” ที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์ม คือ ข้อมูลส่วนบุคคลและพฤติกรรมการใช้งานบนแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ในปัจจุบันแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ในกลุ่ม Super App ที่รวบหลายบริการไว้ในแอปเดียว ยังขาดแนวทางสื่อสารที่ชัดเจนที่จะทำให้ผู้บริโภคตระหนักว่า ข้อมูลที่ให้กับแพลตฟอร์มอาจจะถูกนำไปใช้กับเพื่อเสนอบริการอื่น และเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสร้างการรบกวนให้ผู้บริโภคได้

ความท้าทายที่สอง แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ออกประกาศเรื่อง มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในปี2565 แต่ไม่ใช่ทุกแพลตฟอร์มจะมีมาตรฐานเพียงพอที่จะคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามประกาศฉบับนี้

ขณะเดียวกันยังพบว่า มีแพลตฟอร์มจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความเข้าใจในการดำเนินการ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการจััดทำแนวทางที่่เป็นคำแนะนำ เพื่ออธิบายวิธีการและเทคโนโลยีที่ควรนำมาใช้กับภาคธุรกิจ ทำให้แพลตฟอร์มบางรายยังไม่ได้จัดให้มีวิธีการดำเนินงานที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค เช่น บางแพลตฟอร์มไม่ได้จัดให้มีช่องทางการใช้สิทธิสำหรับผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคต้องการขอใช้สิทธิตามกฎหมาย หรือบริษัทยังมีความกังวลในการปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าควรจะต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเท่าใดจึงจะเพียงพอ ทำให้บริษัทมีทางจำกัดคือ ถ้าไม่เลือกใช้มาตรฐานที่สูงในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ก็อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและเลือกรับความเสี่ยงเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแทน

ความท้าทายที่สาม การถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังบริษัทและประเทศที่ไม่ได้มีระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่าประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลในการถ่ายโอนข้อมูลไปยังปลายทางเหล่านั้นสามารถทำได้หรือไม่ ปัญหานี้ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ต้องไปตรวจสอบว่าประเทศปลายทางมีความพร้อมในการรับข้อมูล และต้องไปเจรจาเกี่ยวกับมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับบริษัทในประเทศปลายทาง รวมถึงต้องมีต้นทุนในการเจรจากับผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการขอความยินยอมในบางกรณี

ความท้าทายที่สี่ การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหน่วยงานของรัฐ โดยเดือนกรกฎาคม ปี 2565  คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในหน่วยงานของรัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของชาติหรือประโยชน์สาธารณะ อย่างไรก็ดีได้มีการเปลี่ยนหลักการของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใหม่ โดยแก้ไขข้อยกเว้นให้จำกัดลงและกำหนดมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไว้

แต่ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่ ภาครัฐควรจะตระหนักถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มากกว่านี้ โดยไม่ควรกำหนดข้อยกเว้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กว้างเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อการป้องกันความเป็นส่วนตัวของประชาชนที่อยู่กับรัฐ  โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันรัฐก็มีการเก็บข้อมูลของประชาชนบนแพลตฟอร์มเช่นเดียวกัน  และในการยกเว้นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภาครัฐควรจะต้องกำหนดมาตรการที่จะเยียวยาผลกระทบไว้เสมอ นั่นหมายความว่ากฎหมายไม่ควรจะยกเว้นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยสมบูรณ์

ปมปัญหาเหล่านี้ทำให้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยไม่ทัดเทียมกับต่างประเทศ จนกลายเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจดิจิทัลตามแนวทางสากล

การเติบโตของธุรกิจแพลตฟอร์ม นำมาสู่ความกังวลในความปลอดภัยและผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคล ความกังวลนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค ใช้วิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อนำไปออกแบบบริการให้ตอบความต้องการของผู้บริโภค

แม้ว่าจะมีการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA แต่ก็มีคววามท้าทายว่าจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับการการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด

หลังจากที่วาระทีดีอาร์ไอ : คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในโลกแพลตฟอร์ม รัฐไทยพร้อมหรือยัง ? (ตอนที่1 )ได้ระบุถึงโจทย์ความท้าทายไปแล้ว บทความนี้จะสำรวจการดำเนินการของนานาชาติว่ามีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างไร 

กรณีของสหภาพยุโรป (EU) และสหราชอาณาจักร มีความพยายามอย่างมากในการรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 

โดย EU ออกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการและแพลตฟอร์ม รวมถึงมีตัวอย่างของสิ่งที่ผู้ให้บริการควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้มากกว่าการออกเพียงแค่กฎเกณฑ์

ขณะที่สหราชอาณาจักร มีหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  หรือ Information Commissioner’s Office (ICO) โดยมีความพยายามผลักดันให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำ “จรรยาบรรณทางธุรกิจ” (code of conduct) เพื่อใช้ภายในอุตสาหกรรม

เนื่องจากภาครัฐอาจจะไม่สามารถเข้าใจทางปฏิบัติของภาคธุรกิจได้ทั้งหมด การเปิดให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดมาตรฐาน โดยภาครัฐตรวจสอบคุณภาพของมาตรฐานเหล่านี้เป็นทางออกที่ดีในการจัดการกับความท้าทายใหม่ๆที่ภาครัฐอาจจะวิ่งตามไม่ทัน

อีกทั้งภาครัฐยังไม่ปิดประตูของการพัฒนานวัตกรรม โดย ICO ได้เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถมาปรึกษาหารือและร่วมกันพัฒนา Sandbox ทดลองการพัฒนานวัตกรรม ให้คำแนะนำด้านกฎหมายของ ICO

ส่วนกรณีของการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ตามแนวทางสากล กำหนดว่า การถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องถ่ายโอนข้อมูลไปยังประเทศที่มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทัดเทียมกัน

ในสหภาพยุโรปได้มีการประกาศรายชื่อประเทศ (whitelist) ที่ถูกรับรองว่ามีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่า (adequacy) ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจกับภาคธุรกิจในการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปประมวลผลทางธุรกิจในประเทศเหล่านั้น

“ 3 เร่ง 1 เลิก” คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 

สำหรับข้อเสนอในประเทศไทยนั้น “3 สิ่งที่ควรทำ และ 1 สิ่งที่ควรเลิก” ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้รัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยควรเร่งดำเนินการ คือ  

“เร่งออก” แนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการจัดทำตัวอย่างในการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยคอยสื่อสารอย่างสม่ำเสมอว่าการสื่อสารในลักษณะใดควรจะต้องทำหรือไม่ควรจะต้องทำ และจับตาดูเป็นพิเศษเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ 

“เร่งทำ” ความร่วมมือกับสมาคมธุรกิจในการจัดทำจรรยาบรรณทางธุรกิจ รวมถึงสร้างความร่วมมือในการปรึกษาหารือในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับภาคธุรกิจ

“เร่งประกาศ” แนวทางการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศและประกาศตัวอย่างของประเทศที่มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่ากับประเทศไทย โดยการเร่งดำเนินการทั้งสามเรื่องเป็นงานหลักและงานใหญ่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

และสุดท้าย “เลิกพยายาม” ในการยกเว้นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหน่วยงานของรัฐ รัฐบาลควรจะจริงจังในการเลิกพยายามทำเรื่องดังกล่าว เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่ได้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่ากับต่างประเทศ ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มโลก

ประชาธิปไตย : ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ (ตอนที่ 1)

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในบรรดาคำศัพท์ทางการเมืองทั้งหลาย คำๆ หนึ่งที่หลายคนน่าจะรู้จักก็คือ คำว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นคำที่เห็นอยู่ทั่วไปตามหัวข้อข่าวการเมือง รวมถึงในหน้าสื่อออนไลน์ต่างๆ หากพิจารณาเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่า คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นคำที่พูดแล้วคนมีความเข้าใจต้องตรงกันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

แต่ในความเป็นจริงคำว่า “ประชาธิปไตย” อาจจะมีความสลับซับซ้อนมากกว่านี้ รวมถึงตัวนิยามไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉยๆ หากแต่มันมีบริบทของการเกิดขึ้นโดยเป็นเรื่องในทางการเมืองและการช่วงชิงความหมาย เพราะโดยเนื้อแท้การนิยามความหมายใดๆ ล้วนเป็นกิจกรรมทางการเมืองชนิดหนึ่งและตัวผู้ให้คำนิยามก็มีเจตจำนงทางการเมืองอยู่เบื้องหลังเสมอ[1] ซึ่งเป็นสิ่งที่บทความนี้ต้องการจะนำเสนอและชวนทำความเข้าใจบริบทของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ

ก่อนหน้าจะมีคำว่า “ประชาธิปไตย”

ในอดีตก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยไม่ได้มีคำที่ใช้เรียกระบอบการปกครองแบบที่เข้าใจในปัจจุบันว่า “ประชาธิปไตย” มาก่อน ในเวลานั้นชนชั้นนำสยามหรือปัญญาชนหัวก้าวหน้าของสยามโดยส่วนใหญ่มักจะใช้คำอธิบายระบอบที่ต่อมาเรียกว่า ประชาธิปไตยไปในลักษณะต่างๆ[2] อาทิ

ใน คำกราบบังคมทูลถวายความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2427) ของกลุ่มเจ้านายและข้าราชการที่นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ซึ่งปฏิบัติราชการอยู่ในทวีปยุโรปขณะนั้น ได้มีการจัดทำข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเสนอให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยในข้อเสนอครั้งนั้นคำที่คณะเจ้านายและข้าราชการเสนอใช้เรียกระบอบประชาธิปไตยคือคำว่า “คอนสติตูชาแนลโมนากี” ซึ่งถูกอธิบายในเชิงว่าเป็นการปกครองที่พระมหากษัตริย์ลงมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยรัฐบาลทำการปกครองแทน[3] หรือ

ใน พระราชดำรัสตอบความเห็นของผู้จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง จ.ศ. 1247 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงอธิบายระบบการปกครองของประเทศไทยในเวลานั้นกับประเทศอังกฤษ และอธิบายถึงกระบวนการออกกฎหมายหรือกระบวนการนิติบัญญัติ (legislative) ของประเทศอังกฤษซึ่งมี “เฮาสออฟปาลียเมนต” (House of Parliament)[4] หรือรัฐสภาแบบที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ซึ่งพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นการอธิบายถึงรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษ โดยการอธิบายถึงองค์ประกอบที่ใช้อำนาจอธิปไตยในลักษณะต่างๆ โดยไม่ได้มีการเรียกชื่อระบอบการปกครอง

นอกเหนือจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว มีปัญญาชนสยามอีกคนหนึ่งที่นำรัฐสภามาใช้อธิบายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็คือ เทียนวรรณ (ต.ว.ส. วัณณาโภ) ในงานเขียนที่ชื่อว่า “ว่าด้วยฝันละเมอ แต่มิใช่นอนหลับ” (พ.ศ. 2447) เทียนวรรณ ได้พูดถึงข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศของตัวเองโดยพูดถึงในข้อที่ 28 ว่า “จะตั้งปาลิเมน อะนุญาตให้มีหัวหน้าราษฎรมาพูดธุระชี้แจงของตนแก่รัฐบาลได้, ในข้อที่มีคุณแลมีโทษทางความเจริญแลไม่เจริญนั้นๆ ได้ตามเวลาที่กำหนดอะนุญาตไว้”[5]

การอธิบายเกี่ยวกับระบอบการปกครองประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยไม่มีคำที่เรียกชื่อระบอบนี้อย่างเป็นทางการที่เป็นที่ยอมรับแพร่หลาย แม้กระทั่งในช่วงใกล้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ตัวอย่างเช่น การเรียกระบอบการปกครองแบบลิมิเต็ดมอนากี้ (Limited Monarchy) โดยกลุ่มผู้กบฏ ร.ศ. 130[6]

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าเค้าความคิดของรากฐานคำว่า “ประชาธิปไตย” จะไม่เคยปรากฏมาก่อน หากพิจารณาย้อนไปในอดีตได้ปรากฏการใช้คำว่า “ประชาธิปตัย” บ้างแล้วในประเทศไทยในงานเขียนของ ก.ศ.ร. กุหลาบ (กุหลาบ ตฤษณานนท์) ในหนังสือพิมพ์สยามออปเซอร์เวอร์ในช่วง พ.ศ. 2437 โดย ก.ศ.ร. กุหลาบ ประดิษฐ์ใช้คำว่า “ประชาธิปตัย” และ “ปชาธิปไตย์” เพื่ออธิบายและเรียกรัฐบาลที่ไม่มีกษัตริย์ โดยเฉพาะในบริบทของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ อาจจะประดิษฐ์คำนี้จากการถอดรากศัพท์จากคำว่า “Democracy” ในภาษาอังกฤษ[7] และปัญญาชนสยามอีกคนหนึ่งที่มีการนำคำนี้มาใช้ก็คือ นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) โดยใช้คำว่า “ประชาธิปตัย” เพื่ออธิบายระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ[8]

แม้กระทั่งในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ก็มิได้มีการตั้งชื่อให้กับระบอบการปกครองที่ต่อมาถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตย” แต่อย่างใด หากแต่เป็นคณะราษฎรที่ได้ฉายภาพระบอบการปกครองใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา ส่วนการใช้คำว่าประชาธิปตัยยังคงถูกอธิบายในแง่ของการปกครองแบบสาธารณรัฐ ดังปรากฏในข้อความว่า

“…คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิด ดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงได้ขอเชิญกษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปตัย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา…”

จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า ระบอบการปกครองใหม่ที่คณะราษฎรได้สถาปนาขึ้นมานั้นยังไม่ถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตย”

ในแง่ของการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองจะพบว่า ในเอกสารของนายปรีดี พนมยงค์ บางส่วนได้มีการเรียกชื่อระบอบการปกครองใหม่นี้ว่า “ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นผลมาจากคณะราษฎรประสงค์จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง และคณะราษฎรได้ขอพระราชทานธรรมนูญการปกครองแผ่นดินตามที่คณะราษฎรได้ร่างถวาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงยอมตามคำขอของคณะราษฎร[9]

คำว่าประชาธิปไตยมาจากไหน

ดังจะเห็นได้ว่าชนชั้นนำและปัญญาชนไทยมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบการปกครองที่ในเวลาต่อมาเรียกว่า “ประชาธิปไตย” การเข้าใจถึงระบอบการปกครองนี้ลึกซึ้งถึงขนาดว่ามีการต่อสู้กันทางความคิดในกลุ่มชนชั้นนำและปัญญาชนไทย อาทิ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารได้ทรงมีพระราชนิพนธ์ติเตียนความคิดเกี่ยวกับการปกครองโดยใช้ “ปาลิเมนต์” หรือ “รัฐสภา” โดยในบทความชื่อว่า “ปาลิเมนต์” 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงวิพากษ์วิจารณ์ว่าระบบรัฐสภามีข้อเสียอย่างไรและรัฐบาลที่ไม่มีรัฐสภาจะมีข้อดีอย่างไร โดยเน้นไปในเชิงข้อเสียของระบบดังกล่าวว่าทำให้เกิดความเชื่องช้าไม่รวดเร็วเมื่อเปรียบกับรัฐบาลที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสูงสุดที่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[10] พระบรมราชาธิบายดังกล่าวข้างต้นสะท้อนการต่อสู้และช่วงชิงอำนาจในการแสดงความเห็นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในขณะเดียวกันปัญญาชนและชนชั้นนำสยามบางส่วนที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ได้เริ่มมีภาพของการปกครองในระบอบที่ต่อมาจะเรียกว่าประชาธิปไตย ดังปรากฏในคำให้การของข้าราชการทหารที่เข้าร่วมแผนก่อการกบฏในปี ร.ศ. 130 ซึ่งให้เหตุผลว่าการเข้าร่วมกบฏในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้เรียกร้องให้มีที่ประชุมราษฎร[11] หรือก็คือ รัฐสภา

ดังนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าในช่วงแรกการเข้ามาของสิ่งที่ต่อไปจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นมีภาพแทนเป็นการปกครองโดยมีรัฐธรรมนูญหรือที่ในเวลานั้นเรียกทับศัพท์ว่า “คอนสติตูชัน” และการมีรัฐสภา ซึ่งในเวลานั้นเรียกทับศัพท์ว่า “ปาลิเมนต์” โดยมีเพียง ก.ศ.ร. กุหลาบ และนายปรีดี พนมยงค์ที่พยายามจะให้ชื่อระบอบการปกครองนี้ แต่ชื่อทั้งสองยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสังคมไทย

คำว่า “ประชาธิปไตย” เริ่มต้นใช้อย่างเป็นรูปเป็นร่างครั้งแรกโดยนักคิดและปัญญาชนคนสำคัญของไทยคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือพระนามเดิมหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ซึ่งเป็นนักคิดและปัญญาชนคนสำคัญที่มีส่วนในการประดิษฐ์คำทางการเมืองไทยจำนวนมาก อาทิ รัฐธรรมนูญ[12]

สาเหตุที่การใช้คำของกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้รับการยอมรับและแพร่หลายมากกว่าบุคคลก่อนหน้านี้ ก็ด้วยกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงเป็นนักหนังสือพิมพ์ โดยเมื่อมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงเล็งเห็นว่าจำเป็นต้องมีคิดศัพท์ใหม่สำหรับระบอบการปกครองใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบการปกครองใหม่มากขึ้น ดังได้ทรงแสดงเจตนารมณ์ในการตั้งหนังสือพิมพ์ประชาชาติว่า

“เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องคิดศัพท์ใหม่ขึ้นใช้สำหรับศัพท์การเมือง คำเหล่านั้นและความหมายของคำเหล่านั้นจะได้ไปถึงประชาชนคนไทย ข้าพเจ้าก็ได้จัดตั้งหนังสือพิมพ์ ‘ประชาชาติ’ ขึ้น เพื่อเผยแพร่ระบอบรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย โดยนำเอาคำที่คิดขึ้นนั้นมาใช้ด้วย”[13]

“เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2475 ฉันเห็นว่าไม่ใช่เปลี่ยนแปลงการปกครองเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยทีเดียว ทำให้ฉันระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศส ฉันจึงได้บัญญัติศัพท์ใหม่ คือคำว่า ปฏิวัติ พร้อมกันก็คิดออกหนังสือพิมพ์เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลง…หนังสือพิมพ์ประชาชาติออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักมูลคือวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทย พึงเข้าใจว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย หรือที่เราเรียกกันว่าระบอบประชาธิปไตย”[14]

“…ข้าพเจ้าเล็งเห็นความจำเป็น ที่จะชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจหลักประชาธิปไตยที่ว่า รัฐบาลเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน หรืออำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย…”[15]

การนำคำว่า “ประชาธิปไตย” ของกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์มาใช้ในการอธิบายระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเพื่ออธิบายระบอบการปกครองใหม่ที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้แสดงให้เห็นบริบทของสังคมไทยที่มีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับระบอบการปกครองใหม่ ซึ่งการใช้กลไกของหนังสือพิมพ์จะทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น

ณ จุดนี้การใช้คำว่าประชาธิปไตยจึงได้เริ่มแพร่หลายมากขึ้น และได้รับการยอมรับในการใช้อธิบายการปกครองในระบอบใหม่ แม้ในเวลาต่อมาคำว่า ประชาธิปไตยจะได้ถูกนำมาใช้ในบริบทอื่นๆ เพื่ออธิบายอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งหมาย อาทิ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ หรือใช้เพื่อเป้าหมายทางการเมืองต่างๆ ดังปรากฏในรูปแบบของประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ อาทิ ประชาธิปไตยสุจริต ประชาธิปไตยแบบไทยๆ และประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปในตอนที่ 2 ของบทความนี้


เชิงอรรถ

[1] ประจักษ์ ก้องกีรติ, ประชาธิปไตย: หลากความหมาย หลายรูปแบบ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2562), น.18-19.

[2] คำว่า “Democratic” เริ่มต้นใช้ในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การใช้งานยังจำกัดเฉพาะในกลุ่มมิชชันนารี โดยเรียกทับศัพท์ว่า “เดะโมแกรติก” โดยปรากฏในหนังสือจดหมายเหตุสยามไสมยของ ซามูเอล สมิธ (Samuel Smith) ดู เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์, “ความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทยจนถึง พ.ศ. 2475: การก่อรูป, การประชันความหมายและการผสมผสาน,” (วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561), น.117.

[3] ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ และกษิดิศ อนันทนาธร, สยามปฏิวัติ: จาก ‘ฝันละเมอ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่อภิวัฒน์ 2475, (กรุงเทพฯ บุ๊คสเคป, 2564), น.119.

[4] เรื่องเดียวกัน, น.131.

[5] เรื่องเดียวกัน, น.83.

[6] ดู เอกสารคำบรรยายของร้อยเอก ขุนทวยหาญพิทัพษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) เรื่อง ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ ใน เรื่องเดียวกัน, น. 65-67.

[7] เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์, “ความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทยจนถึง พ.ศ. 2475: การก่อรูป, การประชันความหมายและการผสมผสาน,” (วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561), น.161-166.

[8] หลวงประดิษฐมนูธรรม และพระสารสาสน์ประพันธ์, คำอธิบายกฎหมายปกครอง (ม.ป.ท., 2475).

[9] ดู สุนทรพจน์เรื่อง คณะราษฎรกับการกับการอภิวัฒน์ประชาธิปไตย 24 มิถุนายน: เอกสารถอดจากเทปบันทึกเสียง สุนทรพจน์งานกึ่งศตวรรษประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2525 ใน ปรีดี พนมยงค์, ปรีดี พนมยงค์ กับสังคมไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526), น.346. หมายเหตุ ในบทความชื่อเดียวกันที่ปรากฏในการตีพิมพ์ครั้งอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงคำโดยไปใช้คำว่า “ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” แทน ซึ่งไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของนายปรีดี พนมยงค์.

[10] เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ, 2447, “ปาลิเมนต์,”ทวีปัญญา, 7(2), น.1-4.

[11] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, ร.6 บ. 17/5 อ้างใน กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), น.304.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (27 มิถุนายน 2564), “รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ,” [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566, สืบค้นจาก

[13] เสมียนอารีย์, ( 25 สิงหาคม 2565), “กรมหมื่นนราธิปฯ กับการบัญญัติศัพท์ในภาษาไทย และการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ประชาชาติ,” [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566,

[14] เรื่องเดียวกัน.

[15] ขรรค์ชัย บุญปาน, ประดับไว้ในโลกา, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2544), น.112.

“รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” กับ การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“รัฐธรรมนูญ” เป็นตราสารทางการเมืองที่สำคัญที่ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยว่ารัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นข้อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐ และประชาชน

อย่างไรก็ดี ภาพของรัฐธรรมนูญดังกล่าวมักจะเป็นลักษณะของรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเป็นฉบับๆ แต่นอกจากรัฐธรรมนูญในลักษณะข้างต้นแล้ว รัฐธรรมนูญยังมีอีกมิติหนึ่งที่เป็นด้านของวัฒนธรรมการเมืองหรือที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของปฏิสัมพันธ์ทางอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจรัฐในลักษณะต่างๆ

รัฐธรรมนูญในลักษณะนี้มีความสำคัญ เพราะหลายครั้งรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้ มีส่วนกำหนดความสัมพันธ์ที่แท้จริงขององค์กรที่ใช้อำนาจรัฐ รวมถึงบางครั้งรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้อาจจะทรงอำนาจกว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังจะเห็นได้ว่า ในหลายครั้งรัฐธรรมนูญไทยอาจถูกฉีกและร่างขึ้นใหม่ แต่ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในประเทศยังคงเป็นไปในทิศทางเดิมๆ กับสถานการณ์ก่อนหน้านี้

บทความนี้ต้องการจะอธิบายปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมกับการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ข้อพิจารณาใดบ้างที่ควรนึกถึง และหากจะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมนี้ให้เอื้อต่อประชาชนควรจะเป็นอย่างไร

“รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” โครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงในสังคมไทย

โดยทั่วไปแล้วภาพของรัฐธรรมนูญในสายตาคนส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพของรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจเหล่านี้ต่อกันและกัน และต่อประชาชน[1] นัยสำคัญของรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผนความประพฤติของคนในสังคม[2]

ในขณะเดียวกัน เมื่อกำหนดให้รัฐธรรมนูญอยู่ในฐานะกฎหมายสูงสุดแล้ว กฎเกณฑ์ทางกฎหมายอื่นๆ หรือการกระทำของรัฐบาลย่อมจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้[3] ดังจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับจะได้รับรองหลักการดังกล่าวเอาไว้ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 6 บัญญัติว่า

“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

ภาพของรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดดังกล่าวจึงดูราวกับว่า รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งทรงคุณค่าและศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นจริงในประเทศประชาธิปไตย แต่ในบริบทของประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวรมาแล้วมากกว่า 13 ฉบับ และยังมีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารในฐานะเครื่องมือในการรักษาและสืบทอดอำนาจ

การยกเลิกหรือที่เรียกทั่วไปว่า ‘ฉีกรัฐธรรมนูญ’ ในบริบทของประเทศไทย ทำให้สถานะของรัฐธรรมนูญถูกทำให้ไม่เป็นสิ่งทรงคุณค่าและศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มากไปกว่านั้นการยกเลิกหรือฉีกรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้บรรดากฎเกณฑ์ต่างๆ ในรัฐธรรมนูญไม่ได้ฝังรากลึกลงไปในสังคมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญในส่วนที่เป็นองค์ประกอบทางวัฒนธรรม หรือรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่เกิดจากบุคคลและสถาบันต่างๆ ในสังคมได้ต่อสู้ช่วงชิงและรักษาสถานะแห่งอำนาจของตนมาเป็นเวลานานจนทำให้เกิดการยอมรับกันในระดับหนึ่ง และกลายมาเป็นประเพณีการปกครองและการเมืองของสังคม[4]

รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ถึงขนาดว่า นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมคือ รัฐธรรมนูญที่แท้จริงของรัฐนั้นๆ ซึ่งไม่สามารถฉีกหรือทำลายได้ และในทางปฏิบัติไม่มีกฎระเบียบใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมนี้ได้[5]

ในลักษณะดังกล่าว เราอาจกล่าวได้ว่า ความไม่ศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญอาจไม่ได้หมายความว่าการเมืองไทยไร้ซึ่งระเบียบข้อตกลงเป็นอนาธิปไตย แต่ระเบียบสถานะทางอำนาจในสังคมไทยถูกกำหนดโดย “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” ที่เป็นข้อบังคับอันไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ของชนชั้นนำ รวมถึงในสังคมไทย[6] รวมถึงว่าบทบาทของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่กำหนดสถานะทางอำนาจในสังคม แต่ยังสร้างกลไกแห่งอำนาจเพื่อแข่งขันกันกับกลไกแห่งอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรแต่ละฉบับ และทำให้บรรดาคุณค่าในทางประชาธิปไตยต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นไร้คุณค่าลง

อาทิ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองให้ประชาชนมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองตามสิทธิและเสรีภาพที่ควรจะมี หรือแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่มุ่งหมายจะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งหากบรรดาคุณค่าเหล่านี้ไม่ได้สอดคล้องไปกับรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม การนำคุณค่าเหล่านี้ไปบังคับใช้ก็ย่อมทำได้โดยยาก

ตัวอย่างของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของไทยในเรื่องที่สำคัญคือ ตำแหน่งแห่งที่ของทหารและกองทัพที่มีตำแหน่งแหล่งที่สำคัญในสังคมไทย แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะกำหนดบทบาทและกองทัพไว้น้อยมากก็ตาม แต่บทบาทของทหารและกองทัพกลับยังมีอำนาจนำในสังคม โดยเชื่อมโยงกับความมั่นคงและผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติ แตกต่างจากนักการเมืองและข้าราชการทั่วๆ ไปที่อยู่ในสถานะของผู้ปกครองในสายตาของประชาชนทั่วไป[7]

การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสร้างสมดุลอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในเชิงว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ไม่ได้ร่างขึ้นมาโดยมุ่งหมายเพื่อจะหาสมดุลแห่งอำนาจที่ลงตัว แต่มุ่งสร้างระบบที่ถาวรมั่นคงด้วยการจัดสมดุลแห่งอำนาจตามใจชอบ ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพาอำนาจอื่นๆ เพื่อรักษารัฐธรรมนูญเอาไว้ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ อาทิ อำนาจของทหารและกองทัพ สภาพของสมดุลอำนาจที่เกิดขึ้นอย่างตามอำเภอใจนี้ ย่อมเป็นข้อยืนยันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน[8]

แม้ ณ เวลานี้จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรัฐบาลที่เป็นผลสืบทอดจากการรัฐประหารจะหมดวาระลงภายหลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 แต่จะเห็นได้ว่า กลไกที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญได้ทำให้เกิดผลกระทบในหลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น การทำให้สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเครือข่ายของระบอบรัฐประหารมีส่วนในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ หรือการทำให้พรรคการเมืองต้องร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้วโดยละทิ้งพรรคการเมืองที่มีเสียงมากอันดับหนึ่ง

นอกจากทั้งสองเรื่องแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางกลไกที่มุ่งทำลายประชาธิปไตย อาทิ องค์กรอิสระและองค์กรตุลาการเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองสูง ซึ่งทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า การรัฐประหารในรัฐธรรมนูญ (Constitutional Coup)[9]

ทั้งสองตัวอย่างข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาเรื่องสมดุลอำนาจ ซึ่งเกิดมาจากการร่างรัฐธรรมนูญตามใจชอบที่เป็นผลิตของระบอบรัฐประหาร

สภาพข้างต้นนี้ยังต้องคำนึงถึงบทบาทของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยที่มีอยู่แล้ว ซึ่งสถาบันต่างที่มีอิทธิพลอยู่ในวัฒนธรรมการเมือง ย่อมมีอำนาจในการกำหนดทิศทางการเมือง รวมถึงลดทอนคุณค่าของรัฐธรรมนูญฉบับที่จะมีขึ้น

ดังนี้ ในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สิ่งที่ต้องดำเนินการจึงควรต้องพิจารณาบริบทของผลกระทบจากสมดุลอำนาจเดิมที่ผิดเพี้ยนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และต้องปรับบทบาทของสถาบันต่างๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย ซึ่งอย่างหลังอาจจะทำได้ยากกว่าอย่างแรก เพราะอำนาจต่างๆ ของสถาบันเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นทางการ แต่ไม่ใช่ว่าวัฒนธรรมการเมืองที่กำกับสถาบันต่างๆ เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะโดยสภาพวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา[10] การเพิ่มบทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา

ทั้งนี้ สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเดิม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของไทย ควรจะต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ดังนี้

ประการแรก การเขียนรัฐธรรมนูญควรให้ความสำคัญกับการกำหนดความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ให้เป็นไปตามหลักสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ (อธิปไตย) ที่แท้จริง ดังนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในเชิงว่า การเขียนรัฐธรรมนูญควรตั้งอยู่บนหลักการของสิทธิของประชาชน เพื่อให้การต่อสู้ใดๆ ต้องกลับไปหาสมดุลแห่งอำนาจที่ตั้งอยู่บนกติกาที่มีสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นพื้นฐาน

สิ่งนี้จะช่วยให้สมดุลอำนาจมีความยืดหยุ่น แต่ยังมีกติกาที่รองรับและสะท้อนที่ตำแหน่งแหล่งที่ของประชาชน[11] รวมถึงบรรดาสถาบันต่างๆ ในวัฒนธรรมการเมืองไทยจะพยายามใช้อำนาจเข้ามาแทรกแซงจะทำได้ยากขึ้น เพราะสถาบันเหล่านั้นอาศัยอำนาจที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรม การทำให้ประชาชนกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเมืองมีผลเป็นการลดทอนอำนาจเดิมของสถาบันต่างๆ ที่เคยมีอำนาจและปรับเปลี่ยนบทบาทของอำนาจสถาบันเหล่านั้นใหม่

ประการที่สอง การเขียนรัฐธรรมนูญควรให้ความสำคัญกับสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง ไม่เพียงแต่การทำให้คณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรเข้มแข็งพอจะยืนหยัดต่อสู้กับสถาบันต่างๆ ที่มีอำนาจนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ อาทิ กองทัพและทหาร ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ เพราะระบอบประชาธิปไตยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นภายหลังจากเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่จะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะพลังทางการเมืองของระบอบเผด็จการที่เพิ่งถูกโค่นล้มไป แต่ยังคงแฝงตัวอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นใหม่[12] โดยเฉพาะเมื่อสิ่งเหล่านี้แฝงอยู่ในวัฒนธรรม

ในส่วนของคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรนั้น รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นใหม่ควรจะทำให้ทั้งสององค์กรผูกพันกับประชาชนให้มากที่สุด กลไกในการเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงอยู่จึงควรยึดโยงกับประชาชน การกำหนดให้สถาบันการเมืองที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน อาทิ วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมดมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรเกิดขึ้น รวมถึงสถาบันต่างๆ ที่มีอำนาจในเชิงวัฒนธรรมและอาจเป็นปฏิปักษ์ของประชาธิปไตยจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป อาทิ การปรับบทบาทของทหารและกองทัพซึ่งอาจจะกลายเป็นแกนนำของการรัฐประหารให้ห่างออกจากการเมือง

ประการที่สาม การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ควรจะต้องทำให้อำนาจถูกกระจายออกไปในแนวระนาบ วิธีการทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมืองอีกวิธีการหนึ่งนอกจากการทำให้สิทธิของประชาชนเป็นจริงก็คือ การทำให้ประชาชนเข้าถึงและควบคุมทรัพยากรเพื่อพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง การกระจายอำนาจจะช่วยสร้างพื้นที่ต่อรองทางการเมืองและลดการพึ่งพิงจากส่วนกลาง ซึ่งการจะทำในลักษณะดังกล่าวได้ จำเป็นต้องกระจายอำนาจ ทั้งในการตัดสินใจใช้ทรัพยากรของท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณที่ท้องถิ่นมีข้อจำกัดในการเข้าถึง และการเพิ่มบทบาทของประชาชนในพื้นที่ในการจัดการงบประมาณดังกล่าว เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและร่วมกันตัดสินใจพัฒนาทิศทางของท้องถิ่นได้[13]

ท้ายที่สุด ระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ย่อมเผชิญกับการมท้าทายหลายอย่าง โดยความเข้มแข็งและการตั้งรากฐานที่มั่นคงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่สิ่งสำคัญที่ควรจะต้องคำนึงถึงเสมอ คือประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ให้ความสำคัญกับประชาชน การปรับเปลี่ยนสมดุลอำนาจ อาจจะต้องใช้เวลา แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ

กล่าวโดยสรุป “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” มีบทบาทสำคัญต่อการเมืองไทย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้สะท้อนให้เห็นสมดุลของอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงในสังคมไทย และบ่อยครั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้แสดงปฏิสัมพันธ์เหนือกว่ากติกาทางการเมืองใดๆ ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร จุดสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ควรจะนึกถึงอย่างสำคัญๆก็คือ การทำให้สมดุลอำนาจที่เป็นอยู่กลับมาหาประชาชนได้อย่างไร และจะต่อต้านอำนาจของสถาบันต่างๆ ที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรและมีอำนาจครอบงำในสังคม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยให้เปลี่ยนแปลงไป

หมายเหตุ ผู้เขียนขออุทิศบทความนี้แด่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ครูซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพบเจอ แต่สอนให้ข้าพเจ้ามีมุมมองที่แตกต่างท่ามกลางความมืดของยุคสมัย


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน, 2538), น.39.

[2] สมยศ เชื้อไทย, คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง: หลักทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน, 2564, น.70.

[3] ฐากูร ศิริยุทธ์วัฒนา, กฎหมายรัฐธรรมนูญ: หลักพื้นฐานแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย, (กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน, 2561), น.136-137.

[4] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์, (กรุงเทพมหานคร: มติชน, 2563), น.115.

[5] เรื่องเดียวกัน, น.115-116.

[6] กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ (18 สิงหาคม 2566), “ชวนอ่าน “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” มรดกความคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์,” [online] สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566, สืบค้นจาก pgmf.in.th/niti-cultural-constitution/.

[7] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (13 ธันวาคม 2565). “ทหารและกองทัพในบริบทของรัฐธรรมนูญไทย,” [online] สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2022/12/1358.

[8] กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล, แผ่นดินจึงดาล: การเปลี่ยนผ่านในสภาพบังคับ, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ประชาไท, 2560), น.32.

[9] พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย (30 มิถุนายน 2566), “รัฐประหารซ้อน: รัฐธรรมนูญในฐานะเครื่องมือทางการเมือง,” [online] สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2023/06/1594.

[10] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์, (กรุงเทพมหานคร: มติชน, 2563), น.141.

[11] กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล, แผ่นดินจึงดาล: การเปลี่ยนผ่านในสภาพบังคับ, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ประชาไท, 2560), น.47-48.

[12] ปิยบุตร แสงกนกกุล, รัฐธรรมนูญ: ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนา และการเปลี่ยนแปลง, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559), น.106.

[13] นิธิ เอียวศรีวงศ์, สังคมไทยในกระแสการเปลี่ยนแปลง, (กรุงเทพมหานคร: คณะกรรมการเผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.), 2539), น.10-12. และ เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (7 กรกฎาคม 2565), “ปลดล็อคท้องถิ่น เดอะ ซีรีส์ : ปรับข้อจำกัดด้านการจัดทำงบประมาณ เพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น,” [online] สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2022/07/1165.