เลือกตั้งเสมอภาคในบริบทรัฐธรรมนูญไทยและเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือที่ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดสิทธิทางการเมืองของประชาชนภายในรัฐ

เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพื่อให้ผู้แทนราษฎรเข้าไปเป็นตัวแทนในการใช้สิทธิและเสียงแทนประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และตรากฎหมายที่สำคัญมีผลกับประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร[1] โดยหลักการสำคัญประการหนึ่งของการเลือกตั้งได้แก่ความเสมอภาค กล่าวคือ เสียงของประชาชนทุกๆ คนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะยากจนหรือร่ำรวย หรือมีชาติกำเนิดอย่างไร[2]

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ราษฎรทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในอดีตสิทธิการเลือกตั้งอาจมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดสิทธิสำหรับคนบางกลุ่ม อาทิ ผู้หญิง และผู้ชายที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน เป็นต้น หรือในกรณีของประเทศไทยปัจจุบันรัฐธรรมนูญยังจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช[3]

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในอดีตจะพบว่า เจตนารมณ์เริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น กฎหมายต้องการให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งที่เสมอภาคกัน

เมื่อสิทธิการเลือกตั้งถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ตอกหมุดหมายแห่งความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ถือเงื่อนไขด้านเพศหรือทรัพย์สินมาเป็นเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง ดังปรากฏในบทบัญญัติของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้ใช้วิธีเลือกตั้งโดยทางอ้อมผ่านผู้แทนหมู่บ้าน[4] โดยรับรองสิทธิของบุคคลในการเลือกตั้งไว้ว่า ราษฎรไม่ว่าเพศใดเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ไร้หรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่ถูกศาลพิพากษาให้เสียสิทธิในการออกเสียง และมีสัญชาติไทย ย่อมมีสิทธิออกเสียงลงมติเลือกผู้แทนหมู่บ้านได้[5] บทบัญญัติในมาตรานี้เป็นจุดกำเนิดของการรับรองความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกผู้แทนราษฎร

ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้กำหนดเรื่องสิทธิการเลือกตั้งเอาไว้ โดยกำหนดให้คุณสมบัติแห่งผู้เลือกตั้งให้ไปกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[6] หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

พระราชบัญญัติฉบับนี้ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการยกร่างพระราชบัญญัตินี้ขึ้นมา[7] โดยตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม[8] และประเภทที่ 2 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตั้งโดยพระมหากษัตริย์โดยมีวิธีการปลดหรือตั้งเพิ่มเติมแตกต่างกับประเภทที่ 1[9]

กล่าวเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 นั้นกระบวนการเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยกำหนดให้กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ ให้ราษฎรเลือกตั้งผู้แทนตำบล และให้ผู้แทนตำบลไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดละหนึ่งคน[10]

ในแง่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนตำบลจะต้องมีสัญชาติไทย มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่เป็นผู้ต้องคุมขังอยู่โดยหมายศาลในขณะเลือกตั้ง ไม่เป็นภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชขณะเลือกตั้ง และไม่ถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง[11]

พึงสังเกตไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการกำหนดข้อจำกัดการเลือกตั้งอะไรที่จะกระทบต่อความเสมอภาค อาทิ ข้อจำกัดเรื่องเพศ ข้อจำกัดเรื่องการศึกษา หรือการถือครองที่ดิน จะมีแต่ข้อจำกัดเรื่องการห้ามภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช ซึ่งในอดีตกฎหมายต้องการห้ามมิให้นักบวชในศาสนาซึ่งควรจะต้องเป็นกลางทางการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นการเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังจากเมื่อมีการพิจารณาในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ดี พึงตั้งข้อสังเกตว่าการจำกัดสิทธิของภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ในบริบทสังคมการเมืองปัจจุบัน

มองรัฐธรรมนูญในแดนเทศเปรียบเทียบไทย

ในบริบทของต่างประเทศนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) จากการสำรวจของ CONSTITUTE Project พบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่มีรัฐธรรมนูญในเวลานั้นคิดเป็นร้อยละ 77 ได้มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งสำหรับประชาชนบางกลุ่มเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายการเลือกตั้ง อาทิ ประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนเอาไว้ (แต่อาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน) แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีประวัติศาสตร์ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน

ในกรณีของประเทศสหราชอาณาจักรในช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาสิทธิในการเลือกตั้งเป็นสิทธิที่จำกัดไว้เฉพาะประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น แม้ว่ารัฐสภาจะทำหน้าที่ออกกฎหมายมาใช้บังคับกับคนทุกคนภายในประเทศ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในช่วงปี ค.ศ. 1492 – 1832 สิทธิการเลือกตั้งในประเทศสหราชอาณาจักรยังถูกสงวนไว้ให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพักอาศัยรวมถึงต้องมีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 40 ปอนด์ขึ้นไป ในขณะที่สิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการยอมรับในปี ค.ศ. 1869 แต่ผู้หญิงที่จะมีสิทธิในการเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้หญิงส่วนใหญ่ เพราะกฎหมายยังคงกำหนดเงื่อนไขเรื่องการเป็นผู้มีทรัพย์สินเอาไว้[12] ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ในเวลานั้นไม่สามารถใช้สิทธิในการเลือกตั้งได้ จากข้อมูลของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1918 มีประชาชนเพียงแค่ร้อยละ 58 เท่านั้นที่เป็นผู้ชายและมีสิทธิเลือกตั้ง[13] แม้ว่าจะมีประชากรชายมากกว่าร้อยละ 21 ที่มีสิทธิเลือกตั้ง[14] ผู้ชายบางคนที่มีเกณฑ์มีสิทธิเลือกตั้งอาจเสียสิทธิเนื่องจากไม่ได้อยู่ในประเทศสหราชอาณาจักร (ในเกาะอังกฤษ) ในเวลานั้น อาทิ ทหาร[15]

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงเริ่มมีความเสมอภาคทัดเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1918 เมื่อ Representation of the People Act 1918 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ขยายสิทธิในการเลือกตั้งให้กับผู้ชายทุกคนที่มีอายุ 21 ปี โดยไม่ต้องมีการนำเงื่อนไขเรื่องทรัพย์สินและรายได้มาเป็นเงื่อนไขการมีสิทธิ ในขณะเดียวกันพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ให้สิทธิกับผู้หญิงทุกคนที่มีอายุมากว่า 30 ปี และเป็นเจ้าของบ้านหรือภริยาของเจ้าของบ้านก็มีสิทธิเลือกตั้งได้เช่นกัน[16] ซึ่งทำให้ผู้หญิงประมาณ 8.5 ล้านคนมีสิทธิเลือกตั้ง แต่จำนวนดังกล่าวก็เป็นเพียง 2 ใน 3 ของประชากรผู้หญิงทั้งหมดในสหราชอาณาจักร[17] อย่างไรก็ดี  แม้กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่มีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในการเลือกตั้ง

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการรับรองให้เท่าเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1928 เมื่อมีการประกาศใช้ Equal Franchise Act 1928 ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป มีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้จำนวนของผู้หญิงที่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านคน[18]

ในประเทศสหรัฐอเมริกาปัญหาการใช้จำกัดสิทธิในการเลือกตั้งมีความซับซ้อนมากกว่านี้ เพราะในประเทศสหรัฐอเมริกาการเลือกตั้งไม่ได้มีเฉพาะในระดับประเทศเท่านั้น เพราะในแต่ละมลรัฐก็มีอำนาจที่จำกัดหลักเกณฑ์ในเรื่องการเลือกตั้งไว้ในกฎหมายของแต่ละมลรัฐได้เช่นกัน ในขณะที่รัฐธรรมนูญไม่ได้มีข้อกำหนดว่าบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นบุคคลประเภทใด[19]

ช่วงแรกที่มีการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา บางรัฐได้เริ่มต้นตรากฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยกำหนดเงื่อนไขด้านศาสนา ความสามารถในการเสียภาษี และเชื้อชาติ  ด้วยเหตุนี้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1789 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นชายผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการผ่อนคลายเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิการเลือกตั้งลง และค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดสิทธิเลือกตั้งที่เดิมห้ามมิให้ทาส และชนพื้นเมืองในอเมริกามีสิทธิในการเลือกตั้ง พร้อมๆ กับกระแสที่พยายามรณรงค์สิทธิความเท่าเทียมในการเลือกตั้ง ข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งต่างๆ ถูกขจัดสิ้นลงในปี ค.ศ. 1965 เมื่อ Voting Rights Act ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติสำคัญที่กำหนดห้ามการกระทำใดๆ หรือมีเงื่อนไขใดๆ ที่จำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง[20]

ความสำคัญของการเลือกตั้งโดยเสมอภาค คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเข้าไปมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทางการเมืองผ่านการเลือกผู้แทนของตน เพื่อไปทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ในสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเมื่อเริ่มต้นปกครองในระบอบประชาธิปไตยหลักการเลือกตั้งโดยเสมอภาคได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกและได้ถูกส่งต่อมาเป็นมรดกสำคัญ เมื่อเทียบกับในบริบทของต่างประเทศแล้วสิ่งนี้อาจจะเป็นความโชคดีของประเทศไทยและวิสัยทัศน์ของผู้ยกร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ที่ได้วางหลักการสำคัญนี้เอาไว้


เชิงอรรถ

[1] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล, ‘การเลือกตั้ง: ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย’ (ศาลรัฐธรรมนูญ, ไม่ระบุวันที่) <https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=1353> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 96.

[4] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล (เชิงอรรถ 1).

[5] ระบบการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 กำหนดกระบวนการเลือกตั้งเอาไว้เป็นขั้นตอน โดยในระยะแรกการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะใช้การเลือกตั้งทางอ้อมแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ ขั้นแรกราษฎรเลือกผู้แทนหมู่บ้านแล้วผู้แทนหมู่บ้านไปเลือกผู้แทนตำบล จากนั้นให้ผู้แทนตำบลไปเลือกผู้แทนราษฎร.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2547 มาตรา 17.

[7] รวินทร์ คำโพธิ์ทอง, ‘แนวคิดของปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร เรื่องการเลือกตั้งครั้งแรกของสยาม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 พฤศจิกายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/11/1324#_ftn2> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[8] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 1 (ตั้งแต่มาตรา 3 ถึงมาตรา 46).

[9] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 2 (มาตรา 47); สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นี้ตั้งขึ้นตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 นี้ โดยกฎหมายกำหนดให้เมื่อครบวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 แล้ว ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงตำแหน่งอยู่ดำเนินการคัดเลือกเพื่อให้ได้สมาชิกเท่ากับจำนวนเดิม.

[10] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[11] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[12] Norfolk Record Office, ‘Key developments in voting rights’ (Norfolk Record Office) <https://www.archives.norfolk.gov.uk/help-with-your-research/family-history/electoral-registers/key-developments-in-voting-rights> accessed 16 December 2022.

[13] Ibid.

[14] UK Parliament, ‘Women get the vote’ (UK Parliament) <https://www.parliament.uk/about/living-heritage/transformingsociety/electionsvoting/womenvote/overview/thevote/> accessed 16 December 2022.

[15] Norfolk Record Office (n 14).

[16] Ibid.

[17] UK Parliament, (n 16).

[18] Ibid.

[19] Amy Tikkanen, ‘Voting in the U.S.A.’ (Encyclopedia Britannica, 7 November 2016) <https://www.britannica.com/story/voting-in-the-usa> accessed 16 December 2022.

[20] Ibid.

อุปสรรคกติกาขัดขาคราฟต์เบียร์ไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

คราฟต์เบียร์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น หลังผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ไทยชนะการประกวดเบียร์ในระดับนานาชาติหลายรางวัล เช่น เบียร์ศิวิไลซ์ ที่ชนะรางวัลเหรียญเงิน ในเวที World Beer Awards 2020 และเบียร์ SPACECRAFT ที่ชนะ 6 รางวัลในเวที Asia Beer Championship 2021

ความเหมือนกันของการชนะรางวัลทั้งสองรายการคือ การเป็นเบียร์ไทยแต่รับรางวัลในนามเบียร์ที่ผลิตในประเทศเวียดนาม สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่สามารถร่วมยินดีกับความสำเร็จดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ เพราะเบียร์ที่ชนะการประกวดผลิตในชื่อประเทศอื่น

สาเหตุที่ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ต้องไปผลิตเบียร์ในประเทศอื่น เพราะสภาพแวดล้อมภายในประเทศไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ผลิตเบียร์หน้าใหม่ก้าวเข้ามามีที่ยืนในอุตสาหกรรมนี้ได้ เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มีขนาดเล็กดำเนินธุรกิจอย่างอิสระและใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมตั้งแต่การคิดสูตร หมัก บรรจุขวดและจัดจำหน่าย แต่ พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตที่ควบคุมการผลิตสุราเดิมตั้งอยู่บนมาตรฐานการผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายใต้โรงงานที่เป็นกิจจะลักษณะ ทำให้ผู้ผลิตรายย่อยไม่สามารถก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมภายใต้กฎหมายไทยได้

ปัญหาดังกล่าวนำมาสู่กระแสเรียกร้องให้มีการยกร่างกฎหมายใหม่คือ พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า (ร่างแก้ไข พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสุรารายย่อยสามารถมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้ได้ จนในท้ายที่สุดความพยายามดังกล่าวก็ไปถึงรัฐบาลและนำมาสู่การแก้ไขกฎกระทรวงผลิตสุราฉบับใหม่ที่มีการผ่อนคลาย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการผลิตสุรามากขึ้น

กฎกระทรวงฉบับนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้กับผู้ผลิตสุรา สำหรับ “คราฟต์เบียร์” กฎกระทรวงฉบับใหม่ มีการผ่อนคลายเงื่อนไขเดิมหลายอย่าง อาทิ การไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับผู้ขอใบอนุญาตผลิต และการไม่กำหนดกำลังการผลิตต่อปี

แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว กฎหมายใหม่ได้สร้างล็อกใหม่ที่อาจจะยับยั้ง การเติบโตของคราฟต์เบียร์ไทยได้ ตัวอย่าง เช่น การกำหนดให้เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตต้องมีมาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งเงื่อนไขการผลิตดังกล่าวยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ ออกมารองรับ

ความน่ากังวลที่อาจจะเกิดขึ้นคือ มาตรฐานดังกล่าวอาจจะสูงเกินกว่าที่ผู้ผลิตรายย่อยจะรับได้ ดังนั้น ในกระบวนการกำหนดหลักเกณฑ์กรมสรรพสามิตควรจะต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ผลิต โดยเฉพาะรายย่อยเพื่อให้ได้รับข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจกำหนดหลักเกณฑ์ต่อไป นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังได้กำหนดให้ผู้ผลิตผลิตเบียร์บรรจุขวด/กระป๋อง จะต้องติดตั้งระบบพิมพ์เครื่องหมายการเสียภาษี ซึ่งอาจสร้างต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และอาจเกินศักยภาพของผู้ผลิตรายย่อย โดยหนทางที่จะไม่ก่อภาระต้นทุนแก่ผู้ผลิต รายย่อยมากเกินไป คือการทำให้กฎเกณฑ์นี้มีความชัดเจน เช่น ผู้ผลิตสามารถใช้ วิธีการอื่นแทนการติดตั้งระบบพิมพ์ อาทิ การให้พนักงานติดเครื่องหมายการเสียภาษีได้หรือไม่

นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังยอมให้ ผู้ผลิตผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองภายใน ครัวเรือนได้ ซึ่งเป็นหลักการที่ก้าวหน้า แต่เมื่อ ดูรายละเอียดของกฎหมาย กลับระบุว่าผู้ที่จะ ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองต้องได้รับอนุญาตต่ออธิบดีและเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย และกฎหมายยังห้ามไม่ให้ผู้ได้รับอนุญาตผลิต เบียร์เพื่อบริโภคเองผลิตเกินปีละ 200 ลิตร และห้ามแจกจ่ายให้กับบุคคลอื่น การกำหนดเงื่อนไขนี้กระทบต่อธุรกิจคราฟต์เบียร์ไทยเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจคราฟต์เบียร์นั้นเริ่มต้นขึ้นจากผู้ผลิตมีความพยายามรังสรรค์คราฟต์เบียร์ ที่ต้องผ่านการทดลองและปรับปรุงสูตรด้วยความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ผลิตเบียร์อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายทั้งที่ยังไม่ได้ค้าขายทำกำไร หรือควรจะต้องขออนุญาต

ดังนั้น การกำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเองต้องขออนุญาต และถูกควบคุมเสมือนกับเป็นผู้ผลิตในเชิงค้าขาย ก็อาจจะกลายเป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์และผู้ที่สนใจศึกษาและพัฒนาเบียร์

ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเห็น ของ ผศ.เจริญ เจริญชัย แห่งเพจสุราไทย เพจวิชาการเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิต สุราที่มีคุณภาพ ได้ให้ความเห็นว่า การกำหนด เงื่อนไขการขออนุญาตผลิตเบียร์เพื่อบริโภคเอง ภายในครัวเรือนนี้สร้างความยุ่งยากเกินไปสำหรับการผลิตเบียร์บริโภคที่บ้าน ซึ่งไม่ก่อให้ เกิดผลกระทบต่อบุคคลอื่น และการผลิตเบียร์ ปีละไม่เกิน 200 ลิตร นั้นไม่เพียงพอต่อการทดลองทำและพัฒนาสูตรเบียร์

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ พบว่ากฎหมายของสิงคโปร์ ไม่ได้กำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนจะต้องขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐแบบประเทศไทย รวมถึงกฎหมายยังกำหนดให้คนที่ต้องการผลิตสามารถผลิตเบียร์ได้ถึง 30 ลิตรต่อเดือน/คน หรือ 360 ลิตรต่อปี/คน ซึ่งมากกว่าที่ประเทศไทยอนุญาตให้ผลิต และไม่ได้ห้ามแจกจ่ายเบียร์ที่ผลิตจากครัวเรือนแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดเป้าหมายของการปลดล็อกกฎหมายเพื่อการผลิตคราฟต์เบียร์ คือการต้องการให้มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นและมีการพัฒนาคุณภาพของเบียร์ในประเทศ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่เงื่อนไขหลายอย่างในกฎหมายยังไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตคราฟต์เบียร์ได้อย่างเต็มที่

หากกฎหมายยังคอยขัดแข้งขัดขา ผู้ผลิตอย่างนี้ต่อไป คนไทยและประเทศย่อมสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจ เบียร์ไทยให้สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เพราะคนไทยผู้ผลิตคราฟต์เบียร์จะหนีไปผลิตในประเทศเพื่อนบ้านตามเดิม และประเทศไทยจะเสียท่า ด้วยกติกาขัดแข้ง ขัดขาตัวเองอีกครั้ง

ทหารและกองทัพในบริบทของรัฐธรรมนูญไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ทหารและกองทัพเป็นตัวแสดงสำคัญตัวหนึ่งในการเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา บทบาทของทหารและกองทัพในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นและกลายมาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญถึงขนาดถูกกำหนดบทบาทไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการย้ำเตือนความสำคัญของทหารและกองทัพ รวมถึงเป็นการสร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในสังคมไทยโดยผูกพันไว้กับรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของประเทศ (รัฐ) ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรม ทหารและกองทัพเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลมากและเป็นผู้เล่นสำคัญในการเมืองไทย

ทหารและกองทัพกับรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร

นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น 13 ฉบับ  โดยนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 บทบาทของกองทัพได้มีความสำคัญท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ณ ขณะนั้น ในฐานะตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรแห่งความชั่วร้าย[1]

เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองได้เปิดบทบาทให้ทหารเข้ามามีส่วนสำคัญในทางการเมืองไทย ทหารและกองทัพได้เริ่มต้นฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญไทย ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492[2] โดยกำหนดบทบาทของทหารและกองทัพไว้ในบทบัญญัติเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในรัฐธรรมนูญไทย

ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับทหารและกองทัพปรากฏอยู่ใน 4 ลักษณะ ได้แก่

  • เรื่องที่ 1 การกำหนดหน้าที่ให้บุคคลเป็นทหาร[3]
  • เรื่องที่ 2 การกำหนดความจำเป็นในการมีกองกำลังทหารให้มีเท่าที่จำเป็น[4]
  • เรื่องที่ 3 การกำหนดให้ทหารเป็นของชาติโดยอยู่ในบังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ไม่ขึ้นต่อเอกชน คณะบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ[5] ซึ่งรวมถึงการกำหนดมิให้เอกชน คณะบุคคล และพรรคการเมืองจะนำทหารไปเป็นเครื่องมือไม่ได้[6] และ
  • เรื่องที่ 4 การกำหนดบทบาทหน้าที่ของทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม หรือเพื่อปราบปรามการจลาจล และจะใช้ได้ก็แต่โดยกระแสพระบรมราชโองการ[7]

บทบัญญัติทั้ง 4 เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับทหารและกองทัพในลักษณะเดียว  อย่างไรก็ดี ในบางช่วงเวลาบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีเนื้อหาแตกต่างไปบ้างและบางเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองของทหารและกองทัพในเวลานั้นๆ แต่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทหารและกองทัพได้ถูกผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองสำคัญตามกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของรัฐ พึงสังเกตไว้ว่า การเข้ามามีบทบาทของทหารในทางกฎหมายมักจะมาภายหลังจากการมีรัฐประหาร อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ก็ลอกเรียนแบบตามๆ กันมา

นอกจากนี้ พึงสังเกตว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจกับทหารและกองทัพเอาไว้มาก แต่นัยดังกล่าวนั้นมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อตำแหน่งแห่งที่ของทหารและกองทัพในการเมืองไทย

ทหารและกองทัพในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย

นอกจากบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว รัฐธรรมนูญยังประกอบไปด้วยมิติเชิงวัฒนธรรมในฐานะข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ[8] การพิจารณารัฐธรรมนูญในมิตินี้จึงเป็นการพิจารณาระเบียบในความเป็นจริงของสังคมหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร

นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยได้อธิบายว่า ทหารและกองทัพเป็นอิทธิพลหรืออำนาจที่ไม่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในระบอบการปกครองใดๆ ยกเว้นเผด็จการ ทหารและกองทัพจะมีส่วนแบ่งของอำนาจนิดเดียวเสมอ[9]

ลักษณะดังกล่าวนี้สอดคล้องกับลักษณะของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่เกี่ยวกับทหารและกองทัพ กล่าวคือ เมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่นๆ ในการเมืองไทย ทหารจะมีอำนาจอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอำนาจที่กำหนดไว้จะมีลักษณะเป็นการบ่งชี้ในเชิงความสำคัญ แต่ไม่ได้มีอำนาจพิเศษใดๆ รองรับ อาทิ ในรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเมียนมาร์ได้รองรับอำนาจพิเศษของกองทัพในการเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้[10]

เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรมไทยทหารและกองทัพเป็นประดิษฐกรรมใหม่ของรัฐไทยที่พึ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ 5 ในฐานะเป็นกลไกหนึ่งในการก่อตั้งรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

อย่างไรก็ดี นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทหารและกองทัพเป็นสถาบันการเมืองที่พิเศษกว่าสถาบันอื่นๆ เพราะแม้ว่ากองทัพจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ[11] ซึ่งเป็นกลไกของการเป็นรัฐสมัยใหม่[12] แต่ทหารและกองทัพเป็นกลุ่มตัวแสดงทางการเมืองที่พิเศษกว่าข้าราชการทั่วๆ ไป กล่าวคือ ทหารและกองทัพไม่มีขอบเขตอำนาจเหนือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งภายในประเทศ ในขณะเดียวกันกองทัพแม้จะมีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีน้อย แต่มีการสะสมอิทธิพลอย่างรวดเร็ว และอิทธิพลของทหารและกองทัพนั้นถูกมองแตกต่างจากข้าราชการทั่วไปที่อาจจะถูกมองว่าฉ้อฉล แต่ทหารและกองทัพกลับถูกสังคมมองในแง่ที่ดีกว่า โดยสังคมมองว่ากองทัพไม่ใช่ผู้ปกครองแต่อยู่ในสถานะของผู้ปกป้อง (เปรียบเสมือนพ่อขุน) ซึ่งคนไทยบางส่วนก็ยินดีและยอมรับการใช้อำนาจของทหารและกองทัพไปใช้ในการขจัดข้าราชการที่ฉ้อฉล[13]

การมีอิทธิพลแต่ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีมากเช่นสถาบันอื่นๆ ทำให้ทหารและกองทัพไม่ถูกตระหนักถึงอิทธิพลที่แผ่ขยายออกไปเท่ากับข้าราชการกลุ่มอื่นๆ ฉะนั้น ทหารและกองทัพบ่อยครั้งจึงหลุดลอยไปจากการถูกตรวจสอบ[14]

ในทางกลับกัน อิทธิพลของทหารจะได้รับการยอมรับเสมอตราบเท่าที่ทหารไม่กลายเป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายหรือประเพณี เพราะจะทำให้สถานะของทหารกลายมาเป็นผู้ปกครอง และทหารจะไม่กลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาควบคุมการใช้อำนาจ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจที่ฉ้อฉล ในลักษณะเช่นนี้การเมืองไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจของทหาร ซึ่งทำให้ความนิยมในทหารลดลง[15] จนในท้ายที่สุดจึงมีความพยายามขจัดทหารออกจากอำนาจ ดังเช่นในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การพยายามขับไล่รัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร หรือการที่มีสมาชิกวุฒิสภามาจากทหารและกองทัพในปัจจุบัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเห็นว่าไม่เหมาะสม

เมื่อพิจารณาบทบาทของทหารและกองทัพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับต่างๆ ประกอบกับรัฐธรรมนูญในมิติวัฒนธรรมไทย จะเห็นได้ว่า แม้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นทหารและกองทัพอาจมิได้มีอำนาจมาก แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นได้สร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในฐานะสถาบันอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้มีอำนาจเช่นเดียวกันสถาบันอื่นๆ

อาทิ สภาผู้แทนราษฎร ศาล คณะรัฐมนตรี หรือบรรดาองค์กรอิสระ แต่กระบวนการนี้ได้ยกระดับความสำคัญของทหารและกองทัพให้เป็นส่วนหนึ่งในสถาบันภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบกับเมื่อพิจารณาในมิติวัฒนธรรมการเมืองไทยจะเห็นได้ว่า ในระเบียบแห่งอำนาจในสังคมไทย ทหารและกองทัพมีส่วนสำคัญที่เป็นอิทธิพลในฐานะของผู้ปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องประชาชนจากอำนาจอันฉ้อฉลของข้าราชการ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองต่างๆ

สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทหารเป็นผู้เล่นสำคัญในทางการเมืองไทย ทั้งในฐานะผู้ปกป้อง และไม่ถูกตรวจสอบภายใต้กระบวนการต่างๆ อีกด้วย


เชิงอรรถ

[1] ดู ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ‘รัฐประหาร 2490: หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเมืองไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 6 พฤศจิกายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/11/487> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.

[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นมาภายหลังจากรัฐประหารล้มล้างการปกครองของรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 57.

[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 58.

[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 59.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 61.

[7] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 60.

[8] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติ เมืองไทย แบบเรียน และอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม รัฐ และรูปการจิตสำนึก (พิมพ์ครั้งที่ 4, มติชน 2563) 115.

[9] เพิ่งอ้าง 131.

[10] อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ, ‘มองพม่า : สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ผ่านรัฐธรรมนูญ-การเลือกตั้ง-อ้างปฏิรูป’ (TCIJ, 13 สิงหาคม 2558) <https://www.tcijthai.com/news/2015/13/scoop/5733> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.

[11] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132.

[12] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, การเป็นสมัยใหม่กับแนวคิดชุมชน (สร้างสรรค์ 2557) 9 และ 27.

[13] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132-133.

[14] เพิ่งอ้าง 133 – 134.

[15] ดู เพิ่งอ้าง.

พัฒนาการของการรับรองสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในเดือนธันวาคมนี้ จะมีวันสำคัญของชาติไทยอีกวันหนึ่ง คือ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งความสำคัญของวันดังกล่าวคือเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่ถูกนับเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย”

บทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ แม้ว่าในเวลาต่อมาคณะรัฐประหารทั้งหลายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะของเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจให้กับคณะรัฐประหารทั้งหลาย

การเปลี่ยนผ่านเข้ามาของคณะรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่องนี้มีความน่าสนใจบางอย่างที่เกิดขึ้นตามมา คือทุกๆ ครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มิเพียงแต่อาศัยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมเท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เพิ่มเติมกลไกต่างๆ เข้ามาเสมอๆ โดยกลไกหนึ่งที่มีความน่าสนใจ คือ กลไกในเรื่องการรับรองสิทธิและเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่มีการรับรองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ หรือจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

บทความฉบับนี้มิได้ต้องการสื่อสารว่า การฉีกรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเพิ่มเติมและรับรองสิทธิและเสรีภาพประเภทต่างๆ เป็นเรื่องดี ในทางตรงกันข้าม ปรากฏการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าการรับรองสิทธิและเสรีภาพเป็นด้านที่รัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จน้อยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการรับรองสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะสิทธิในทางเศรษฐกิจยิ่งมากกว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมา แต่ทว่าในยุคสมัยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะเรียกได้ว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกคุกคามโดยรัฐในหลายๆ มิติ และแม้กระทั่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญควรคุ้มครองก็ถูกทำลายลงด้วยอำนาจแห่งกลุ่มทุน

เป้าหมายสำคัญของบทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นรูปแบบของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญไทยในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจว่ามีพัฒนาการอย่างไร ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญโดยไล่เรียงตามลำดับเวลา และเน้นเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยไม่รวมบรรดาธรรมนูญการปกครองแผ่นดินและรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ต่างๆ

ในเดือนธันวาคมนี้ จะมีวันสำคัญของชาติไทยอีกวันหนึ่ง คือ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งความสำคัญของวันดังกล่าวคือเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่ถูกนับเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย” บทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ แม้ว่าในเวลาต่อมาคณะรัฐประหารทั้งหลายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะของเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจให้กับคณะรัฐประหารทั้งหลาย

พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475

แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญอย่างฉบับอื่นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ในขณะนั้นที่ยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ จึงเลือกนำคำว่า “พระราชบัญญัติ” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกฎหมายในเวลานั้น และคำว่า “ธรรมนูญ” ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่จัดวางระเบียบแบบแผนหรือระบบต่างๆ มาใช้เป็นคำที่เรียกรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย (สยาม)

รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความน่าสนใจว่าเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้น แม้ว่าโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้เป็นการชั่วคราวตามชื่อ เพราะบทบัญญัติในหลายๆ มาตรามีการบัญญัติหลักการและกรอบของการปกครองประเทศต่อไปในอนาคตอย่างเป็นขั้นตอน อาทิ การกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีผลใช้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น[1]

ในแง่ของสิทธิและเสรีภาพ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเอาไว้มากมาย โดยหากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้เพียงแค่สิทธิในการเลือกตั้งเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในแง่สิทธิและเสรีภาพอื่นๆ ของประชาชนได้มีรับการรับรองไว้ในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ที่มีการประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎรและกำหนดหลัก 6 ประการเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ[2] ซึ่งในเวลาต่อมาคณะรัฐมนตรีชุดแรกก็ได้รับเอาหลัก 6 ประการมาเป็นนโยบายของรัฐบาล[3]

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

หลักการสำคัญๆ ในหลัก 6 ประการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปรากฏในหลักที่ 3 กล่าวคือจะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ และไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

ยุคเริ่มต้นของการรับรองสิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

ในช่วงแรกของการรับรองสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ สิทธิและเสรีภาพจะมีลักษณะเป็นการรับสิทธิพื้นฐานที่สุด 2 ประการ คือ ประการแรก สิทธิในทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยที่รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซงอย่างไม่มีเหตุผลสมควร และประการที่สอง เสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนมีเสรีภาพที่จะประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องการของตนเอง โดยรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือควบคุมการตัดสินใจเลือกของประชาชน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 (รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยสิทธิที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองเอาไว้โดยส่วนใหญ่จะเป็นสิทธิในทางการเมือง อาทิ การรับรองสิทธิในทรัพย์สิน และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพดั้งเดิมที่ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ก็ได้รับรองไว้เช่นกัน

โดยสิทธิและเสรีภาพทั้งสองประการนี้จะกลายเป็นสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานในทางเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงในอนาคตจะได้ขยายต่อสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวไปในลักษณะต่างๆ เช่น สิทธิในการไม่โดนโอนทรัพย์สินเป็นของรัฐ (เวนคืน) ซึ่งเป็นการยกระดับสิทธิในทรัพย์สินขึ้นมากล่าวในมุมเฉพาะ หรือ สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งเป็นการยกระดับเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยยกระดับให้กลายเป็นสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับโดยอำนาจรัฐเพื่อใช้แรงงาน สิทธิทั้งสองประการนี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ซึ่งมาพร้อมกับการรับรองสิทธิในการได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม

การเกิดขึ้นของบทบัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

บทบัญญัติเกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเป็นหมวดใหม่ที่รัฐธรรมนูญในยุคหลังๆ เพิ่มขึ้นมาเพื่อกำหนดกรอบและทิศทางในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการออกกฎหมายมาเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องนั้นๆ โดยรัฐธรรมนูญในอดีตจะกำหนดให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่นำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อให้รัฐบังคับตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ[4]

แนวนโยบายดังกล่าวเป็นเสมือนความฝันที่ไม่ได้มีการกำหนดแนวทางอย่างจริงจังเนื่องจากรัฐบาลบางรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2492 เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. 2540 เป็นรัฐบาลที่นำโดยทหารจากการรัฐประหาร และมีกองทัพคอยสนับสนุน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจเท่าที่ควร ทำให้บทบัญญัติในส่วนแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติไว้เป็นเพียง “ส่วนเกิน” ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ[5]

แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ รวมถึงการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน ตัวอย่างของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมีดังนี้

  • การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการกำหนดอุดมการณ์เสรีนิยม
  • ส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
  • การส่งเสริมการศึกษา
  • การส่งเสริมการสาธารณสุข
  • การได้รับบริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคระบาดฟรี
  • การส่งเสริมด้านสาธารณสุขของมารดาและเด็ก
  • การส่งเสริมการเข้าถึงสาธารณสุขของผู้มีรายได้น้อย
  • การส่งเสริมการทำงาน การหางาน และคุ้มครองแรงงาน
  • การส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำ
  • การส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์
  • การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
  • การลดความเหลื่อมล้ำ
  • จัดระบบกรรมสิทธิ์และการครอบครองที่ดิน
  • ส่งเสริมเกษตรกรรม
  • สนับสนุนสหกรณ์
  • การส่งเสริมและสนับสนุนพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
  • การส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์
  • การส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะและกิจการเคหะของผู้มีรายได้น้อย
  • สงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส

การกำหนดหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจ

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับบทบัญญัติทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่มีการตราบทบัญญัติหมวดใหม่เกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ โดยกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่อประชาชน รวมถึงให้สิทธิประชาชนสามารถฟ้องร้องรัฐให้ดำเนินการดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายได้กำหนดไว้[6] โดยหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจมี 3 หน้าที่ ดังนี้

  • ดำเนินการให้ได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง และพัฒนาการบริการสาธารณสุข
  • ดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน
  • รักษาคลื่นความถี่และดำเนินการจัดสรรอย่างเป็นอิสระ

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาการใช้สิทธิในการฟ้องร้องรัฐยังไม่มีหลักเกณฑ์วิธีการที่ชัดเจนรองรับสิทธิของประชาชนในเรื่องนี้แต่อย่างใด


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/748> สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.

[2] วัลยา, ‘การอภิวัฒน์สยาม 2475 : “ข้อมูลใหม่” เรื่องความเป็นมาแห่งหลัก 6 ประการของคณะราษฎร (ตอนที่ 2)’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 มิถุนายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1142> สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.

[3] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่ 1/2475 (28 มิถุนายน 2475), 6 – 7.

[4] บทบัญญัติที่กำหนดห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐปรากฏตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2492 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[5] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ‘เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540’ (รายงานวิจัยเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย 2545) 4.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 51.

PRIDI Economic เศรษฐกิจของความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีความน่าสนใจทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ ในแง่หนึ่ง ปรีดี เป็นนักคิดและเป็นนักปฏิบัติภายในตัวเอง โดยมีความคิดในการผสมผสานเอาหลักการทางเศรษฐกิจหลายๆ เรื่องมาใช้เพื่อวางโครงการทางเศรษฐกิจ หนึ่งในแนวคิดสำคัญ และอาจเรียกได้ว่าเป็นอุดมการณ์สำคัญของ ปรีดี คือ ความรักชาติ ซึ่งสะท้อนอยู่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจที่ถูกนำเสนอมาควบคู่กับเจตนารมณ์จะทำเพื่อบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เค้าโครงการเศรษฐกิจเป็นความพยายามของ ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นเอกสารการวางแผนทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการวางแผนเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคมไทย

ในความเห็นของ ปรีดี พนมยงค์ มองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีความสำคัญ และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยปรีดีมีความเห็นว่า การเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องเป็นประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป เพราะหากประชาชนยังมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีทางของประชาธิปไตยได้[1]

อย่างไรก็ดี เค้าโครงดังกล่าวนั้นยังเป็นเพียงกรอบและมีลักษณะเป็นแผนการเบื้องต้นพอสมควร ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไป  อนึ่ง เค้าโครงได้สะท้อนวิธีคิดสำคัญและแนวทางของ ปรีดี ในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ประกอบไปด้วยเนื้อหาสำคัญหลายส่วน โดยแบ่งออกเป็น 10 หมวด โดยเริ่มต้นจากคำชี้แจงในการมีเค้าโครงการเศรษฐกิจ และตามด้วยเนื้อหาในหมวดต่างๆ ได้แก่ หมวด 1 ประกาศของคณะราษฎร หมวดที่ 2 ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน หมวดที่ 3 การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร หมวดที่ 4 แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก หมวดที่ 5 วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน, แรงงาน เงินทุน หมวดที่ 6 การจัดทำให้รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ หมวดที่ 7 การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์ หมวดที่ 8 รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ หมวดที่ 9 การป้องกันความยุ่งยาก ในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง หมวดที่ 10 แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ

ความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ความรักชาติในทางเศรษฐกิจหรือแนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยมเป็นสิ่งที่ปรากฏในแนวคิดการบริหารเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในหลายๆ เรื่อง[2] โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างชาติและการพัฒนาชาติให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ซึ่งความรู้สึกในเชิงชาตินิยมนี้เป็นความรู้สึกร่วมกันของสมาชิกคณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีเจตนาต้องการให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ[3]

ประกอบกับในเวลานั้นภายในประเทศไทยระบบเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยต่างชาติ บริษัทโดยส่วนใหญ่ของประเทศไทยในเวลานั้นเป็นบริษัทของชาวตะวันตกหรือชาวจีน[4]

ในส่วนของ ปรีดี พนมยงค์ หลักฐานที่ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่การบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรเท่านั้น แต่ต้องการให้การสร้างชาติและพัฒนาชาติให้ทัดเทียมอารยประเทศปรากฏอย่างชัดเจนในคำชี้แจงของปรีดี พนมยงค์ ในรายงานการประชุมคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราจะถอยหลังเข้าคลองให้คนมีความต้องการเพียงผ้าที่ปิดร่างกายนิดหน่อยเหมือนคนป่าแล้ว และถ้ากลับเป็นคนป่า เราไม่ต้องทำอะไรมาก ปัญหามีอยู่ว่าเรากลับเป็นคนป่านั้น ต้องการกันหรือไม่ เวลานี้มนุษย์สัมพันธ์กันมาก เราต้องเทียบฐานะของเรากับประเทศที่เจริญแล้ว จึงจะเห็นได้ว่า เราแร้นแค้นเพียงใด เราต้องพยายามทำให้ถึงเขา…”[5]

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาแหล่งความรู้ ปรีดี พนมยงค์ อ้างถึงในการจัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า ปรีดี ได้รับอิทธิทางความคิดสำคัญมาจาก เฟรดอริค ลิสต์ (Friedrich List) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีความคิดทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยม โดยเชื่อว่าภายในประเทศจะต้องมีการลงทุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม กสิกรรม และศิลปวิทยาให้พร้อมมูลเพื่อป้องกันมิให้ประเทศเกิดการขาดดุลทางการค้า และอาจจะมีการตั้งกำแพงภาษีเพื่อให้เกิดการคุ้มครองเศรษฐกิจภายในประเทศ (protectionism)[6]

จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อมีการยกร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในเวลานั้น ปรีดี พนมยงค์ จึงพยายามนำแนวคิดเกี่ยวกับชาตินิยมทางเศรษฐกิจมาตราไว้ อาทิ การผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายภายในประเทศ การเข้ามาดำเนินการทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาลผ่านการจัดตั้งองค์การทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (รัฐวิสาหกิจ) การพยายามทำให้ประเทศได้ดุลการค้าโดยการส่งออกมากกว่านำเข้า การผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติเพื่อให้คนในชาติเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนา[7] ซึ่งบรรดาแนวคิดเหล่านี้จะนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบการทางเศรษฐกิจ พ.ศ. … ต่อไป

นอกจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมแล้ว ปรีดี ยังตั้งใจจะให้รัฐเป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยตั้งใจให้รัฐเป็นกลไกในการรวบรวมความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งสะท้อนนัยของอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบภราดรภาพนิยม (solidarism)[8] ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายที่ ปรีดี คาดหวังไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจก็คือ การวางแผนทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นในชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เนื่องจาก ปรีดี มองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นว่าประชาชนมีความยากลำบากและมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ดังปรีดีกล่าวว่า

“…ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่า ราษฎรได้มีความอัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ และไม่มีสิทธิ เสรีภาพ กับเสมอภาคในทางการเมืองอีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม ผมมีความคิดก่อนที่ได้ศึกษาในฝรั่งเศสว่า จะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมว่า มีวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น…”[9]


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565.

[2] อนุสรณ์ ธรรมใจ, ปรีดี พนมยงค์ : รัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์ (กรุงเทพธุรกิจ Bizbook 2552) 149.

[3] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2544) 384 – 386.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, สังคมกับเศรษฐกิจ (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2519) 321 อ้างถึงใน เพิ่งอ้าง 390.

[5] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2552) 151.

[6] สถาบันปรีดี พนมยงค์, ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ (สถาบันปรีดี พนมยงค์) สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 1).

[9] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, สถาบันปรีดี พนมยงค์ 2542) 51.

PRIDI Economic Focus: จาก “ควบรวม” ถึง “ผูกขาด” ประเมินความเสี่ยงที่สังคมไทยต้องแบกรับ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลายเรื่องในประเทศไทย ทั้งการที่รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยการผ่านกฎหมายให้สิทธิต่างชาติศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท อย่างน้อย 3 ปี หรือการปรับค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยใหม่ที่เริ่มต้นมีผลเมื่อช่วงต้นเดือน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ PRIDI Economic Focus: 2565 ปรับค่าแรงใหม่เพียงพอหรือไม่ สำรวจบทวิเคราะห์ค่าแรง)

แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ประเด็นร้อนเหล่านี้ก็คือ การที่ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) มีมติให้มีการควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัทให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ 2 ราย ซึ่งในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอสรุปสถานการณ์ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลัง กสทช. มีมติให้ควบรวม

สภาพปัจจุบันของการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ

ในปัจจุบันประเทศไทยประกอบไปด้วยผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 6 บริษัท/กลุ่มบริษัท โดยประกอบไปด้วยบริษัท AIS, กลุ่มบริษัท DTAC, กลุ่มบริษัท TRUE, บริษัท Aces, กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการแบบ MVNO และบริษัท NT 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ให้บริการรายหลักที่มีนัยสำคัญต่อการแข่งขันแล้วจะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วผู้ให้บริการรายหลักในประเทศไทยมีเพียงแค่ 4 บริษัทเท่านั้น คือ บริษัท AIS, กลุ่มบริษัท DTAC, กลุ่มบริษัท TRUE และบริษัท NT

เมื่อพิจารณาในแง่ส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะพบว่า ส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ 3 ราย ได้แก่ กลุ่มบริษัท AIS มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 47.72 กลุ่มบริษัท TRUE มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 31.99 และกลุ่มบริษัท DTAC มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 17.41

นอกจากนี้ ผลของการวิเคราะห์เบื้องต้นของสำนักงาน กสทช. สรุปว่า ภายหลังจากควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จะมีผลทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทที่รวมกันเป็นร้อยละ 49.40[1] 

อย่างไรก็ดี 101 Public Policy ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวแตกต่างไป โดยมองว่าส่วนแบ่งตลาดภายหลังจากการควบรวมธุรกิจแล้วในตลาดโทรศัพท์มือถือจะมีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 50.4 และตลาดอินเทอร์เน็ตมือถือร้อยละ 51.2 ของตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตมือถือ[2]

มติ กสทช. ให้ควบรวมธุรกิจ

ก่อนจะไปเริ่มดูสถานการณ์โดยรอบ ผู้เขียนขอเริ่มต้นจากมติ กสทช. ให้ควบรวมธุรกิจเสียก่อน โดยในวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกรณีการควบรวมธุรกิจดังกล่าวนั้นถูกสังคมจับจ้องเป็นพิเศษในฐานะเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อสาธารณะ

เนื่องจากการควบรวมธุรกิจดังกล่าวจะมีผลทำให้การแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมลดลง ซึ่งในท้ายที่สุด กสทช. ได้มีมติ 3:2 (ประธานกรรมการใช้อำนาจในการโหวต 2 ครั้ง ทำให้เสียงที่เท่ากันมี 3 เสียง โดยมีหนึ่งใน กสทช. งดออกเสียง) โดยถือว่า การรวมธุรกิจนี้ไม่ใช่การรวมธุรกิจของผู้ถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 

ดังนั้น กสทช. จึงไม่มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมธุรกิจหรือไม่ ผลดังกล่าวทำให้ กสทช. มีอำนาจเพียงแค่รับแจ้งการควบรวมธุรกิจ และดำเนินการตามข้อ 9 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม (ประกาศฉบับปี 2561) และเมื่อได้รับแจ้งผลการควบรวมธุรกิจแล้ว กสทช. จึงจะกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและการแข่งขันต่อไป[3]

เพจ E-Public Law[4] ได้สรุปสาระสำคัญเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและการแข่งขันดังต่อไปนี้

  1. กำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย และกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์
  2. กำหนดเงื่อนไขบังคับก่อน และเงื่อนไขเฉพาะภายหลังการควบรวมธุรกิจ
  3. กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำรงคุณภาพการให้บริการ
  4. กำหนดเงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการถือครองคลื่นความถี่
  5. กำหนดเงื่อนไขด้านนวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital divide)

สถานการณ์ภายหลังการมีมติของ กสทช.

ภายหลังการมีมติของ กสทช. นั้น อาจกล่าวได้ว่า มติดังกล่าวถูกตั้งคำถามจากสังคมเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันการวิเคราะห์เป็นจำนวนมากก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การควบรวมธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและต่อผู้บริโภคอย่างมาก และในแถลงข่าวของสำนักงาน กสทช. ก็ไม่ได้ให้ความเห็นของ กสทช. ว่ามีความเห็นต่อการควบรวมธุรกิจนี้โดยละเอียดอย่างไรซึ่งต้องรอเวลาสักพักหนึ่ง ภายหลังจากการประชุมสิ้นสุดลง จึงเริ่มมีการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของ กสทช. เสียงข้างน้อย

ศาสตราจารย์ พิรงรอง รามสูต หนึ่งใน กสทช. เสียงข้างน้อย ได้ให้ความเห็นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัวว่า[5] 

“ในทางกฎหมาย การตัดสินใจสงวนความเห็นที่จะรับทราบการรวมธุรกิจ และยืนยันที่จะไม่อนุญาต เพราะเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลดหรือจำกัดการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง…”

นอกจากนี้ อ.พิรงรอง ยังได้ให้เหตุผลสนับสนุนข้อคัดค้านจำนวน 7 ข้อ โดยสรุปได้ดังนี้

  1. การควบรวมธุรกิจจะทำให้การแข่งขันลดลงโดยเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่
  2. การควบรวมจะกระทบต่อผู้บริโภคมาก โดยจากการประเมินของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ SCF Associates Ltd. ระบุว่า มาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมดในบริบทของตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย เช่น การสนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MNO) รายใหม่, การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดค้าส่ง, การร่วมใช้คลื่น (Roaming) และการโอนคลื่นความถี่ (Spectrum Transfer) เป็นต้น โดยการรวมธุรกิจจะนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และจะทำให้ค่าบริการโทรศัพท์เพิ่มสูงขึ้น
  3. มาตรการลดผลกระทบที่กำหนดไม่ช่วยเพิ่มการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และภายหลังจากการควบรวมธุรกิจในส่วนของ กสทช. อาจจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อกำกับดูแล โดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้เช่นเดียวกับที่เคยมีอยู่ก่อนการควบรวมหรือไม่
  4. ข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อการควบรวมธุรกิจยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อสาธารณะ
  5. การควบรวมธุรกิจอาจจะนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขันทางการค้า ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
  6. การให้รวมธุรกิจจะส่งผลกระทบกว้างขวางและต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งยังหวนคืนไม่ได้ เพราะตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยอยู่ในภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ยาก
  7. หนึ่งในผู้ขอรวมธุรกิจมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจครบวงจร (Conglomerate) รายใหญ่ ซึ่งครอบครองตลาดสินค้าและบริการในระดับค้าปลีกและค้าส่งของทั้งประเทศ จึงมีโอกาสที่จะขยายตลาดโดยใช้กลยุทธ์ขายบริการแบบเหมารวม ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกอบการรายอื่น

ในขณะที่ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์ก่อนแถลงข่าวผลการพิจารณาการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ว่า คาดหวังว่าผลที่ออกมาจะเป็นบวกต่อผู้บริโภค เนื่องจากผลการควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) แต่จะเกิดความเสียหายกับผู้บริโภคกว่า 80 ล้านเลขหมาย จึงอยากให้ กสทช. ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประชาชน

“อยากให้ กสทช. กลไกหรือกติกาที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้ให้บริการสามารถใช้โครงข่ายโทรคมนาคมร่วมกันมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน แต่ที่ผ่านมา กสทช. อาจจะยังไม่มีการบังคับอย่างชัดเจน และควรที่จะทำให้ทรูและดีแทค แข่งขันกับเอไอเอสให้มากขึ้น” 

น.ส.สารี เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ยังกล่าวอีกว่า หากมติ กสทช. เป็นไปในแนวทาง “รับทราบ” รายงานการควบรวมกิจการที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอมา ในฐานะภาคประชาชนจะขอใช้สิทธิในการดำเนินคดีต่อ กสทช. ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเข้าข่ายปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต นอกจากนี้ยังมีกฎหมายให้มอบอำนาจใหักับสภาองค์กรผู้บริโภคสามารถดำเนินคดีได้ หากพบว่ามีการละเมิดสิทธิผู้บริโภค[6]

นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เรียกผลคำติดสินดังกล่าวว่าเป็น “มติอัปยศ” โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่า การควบรวมธุรกิจดังกล่าวส่งผลต่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไร และเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะที่ไม่มีผลลดความเสียหายใดๆ รวมถึง ดร.สมเกียรติ ยังได้นำเสนอแนวทางในการดำเนินการต่อไป โดยเสนอให้มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลยกเลิกมติของ กสทช. ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ และขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว อย่าให้มีการควบรวมก่อนมีคำตัดสิน และดำเนินการเพื่อฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การที่ กสทช. อนุญาตให้ควบรวมแล้วมีผลทำให้บริการโทรคมนาคมซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน จะมีค่าบริการที่สูงขึ้นในอนาคตและเป็นภาระต่อประชาชน ตามที่มีผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ไว้ ซึ่งจะทำให้การกระทำของ กสทช. ขัดต่อมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าโดยอ้างมาตราเดียวกันอยู่ รวมถึงดำเนินการร่วมมือกับองค์กรด้านต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันร้องเรียนให้ ปปช. ตรวจสอบการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. และเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะ ส.ส. ตรวจสอบ กสทช. อย่างเข้มข้น และพิจารณาแก้ไขกฎหมาย กสทช. ครั้งใหญ่เพื่อปฏิรูป กสทช. และสำนักงาน กสทช. ให้มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อประชาชน ในท้ายที่สุด รณรงค์ให้ประชาชนและผู้บริโภคแสดงออก โดยงดซื้อสินค้าและบริการจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ อาหารและอาหารสัตว์ อินเทอร์เน็ต ระบบการชำระเงินและกิจการอื่นๆ

ในปัจจุบัน สภาองค์กรของผู้บริโภคได้มีการเปิดให้ร่วมลงชื่อสนับสนุนสภาองค์กรของผู้บริโภค ในการฟ้องศาลปกครองเพิกถอนมติเสียงข้างมาก กสทช. ที่ให้ควบรวมทรู-ดีแทค พร้อมขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนนำมติผิดกฎหมายไปดำเนินการต่อ

อาจจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปจากนี้ว่าเรื่องดังกล่าวจะจบลงอย่างไร?


เชิงอรรถ

[1] สำนักงาน กสทช., ‘ข้อมูลเบื้องต้นในการวิเคราะห์ผลกระทบกรณีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ๊คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)’ อ้างใน ฉัตร คำแสง, ‘5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทค และบทบาทของ กสทช.’ (The 101.World, 2 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] สำนักงาน กสทช., ข่าวประชาสัมพันธ์ 51/2565 วันที่ 20 ตุลาคม 2565 เรื่อง กสทช. มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวม ทรู-ดีแทค พร้อมกำหนดเงื่อนไข/มาตราการเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคม.

[4] ดู Facebook E-Public Law I https://www.facebook.com/photo?fbid=116928027863269&set=a.114120234810715&_rdc=1&_rdr

[5] ดู Facebook Pirongrong Ramasoota I https://www.facebook.com/pirongrong.ramasoota?_rdc=1&_rdr

[6] BBC News ไทย, ‘กสทช. ไม่เอกฉันท์ ไฟเขียวควบทรู-ดีแทคท่ามกลางเสียงค้านของกลุ่มผู้บริโภค’ (BBC News ไทย, 20 ตุลาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2565.

[7] ดู Facebook Somkiat Tangkitvanich I https://www.facebook.com/photo/?fbid=10229474744355447&set=a.1847179781672&_rdc=1&_rdr

ถอดรหัสรัฐสวัสดิการผ่านวัฒนธรรมการขอบริจาค

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“การบริจาค” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คู่กับสังคมไทย เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การบริจาคและการทำการกุศลนั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้สังคมดีขึ้น และสร้างความเป็นภราดรภาพ (ให้รู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน) ให้เกิดขึ้นภายใต้การอยู่ร่วมกัน มายาคติที่ว่านี้ส่วนหนึ่งนั้นอาจมาจากอิทธิพลของพุทธศาสนาและความเชื่อเรื่องบาป-บุญ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ รัฐบาลได้หยิบยกการบริจาคมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลอย่างหนึ่งที่เห็นได้บ่อย คือ การขอรับบริจาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การประสบสถานการณ์อุทกภัย การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เป็นต้น สิ่งนี้ชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า 

รัฐควรจะเล่นบทบาทเป็นคนกลางในฐานะผู้รับบริจาคเพื่อนำเงินไปแจกจ่ายหรือไม่

รัฐไทยกับวัฒนธรรมการบริจาค

ด้วยพื้นฐานของสังคมไทยภายใต้อิทธิพลความเชื่อของพุทธศาสนาทำให้การบริจาคทานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ในฐานะทางเลือกของการทำความดีทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริจาคที่นำไปสู่การบำรุงรักษาสาธารณสมบัติเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสังคม หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ประสบภัยพิบัติ

เมื่อย้อนกลับไปอ่านราชกิจจานุเบกษาโดยพิมพ์คำว่า “บริจาค” จะมีประกาศจำนวนหนึ่งของทางราชการเพื่อขอบคุณ หรือประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือทางราชการ โดยจะเห็นได้ว่าการบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงสาธารณูปโภค การบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงอาคารสถานที่ราชการ และการบริจาคยาจำเป็นเพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดโรคในเวลานั้น โดยประกาศเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมากและมีจากหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงธรรมการศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ทว่า การบริจาคในลักษณะดังกล่าวโดยส่วนมากจะเป็นกรณีที่รัฐมีบทบาทเป็นผู้รับประโยชน์เพื่อบำรุง และเป็นการสนับสนุนภารกิจของราชการ

การบริจาคช่วยเหลือราชการจึงกลายมาเป็นประเพณีของสังคมไทยที่ประชาชน คหบดีและผู้มีอันจะกิน อาจจะช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการผ่านการบริจาคเพื่อสมทบทุนและช่วยเหลือการทำงานของราชการที่ขาดทุนทรัพย์ ซึ่งในปัจจุบันรัฐได้สร้างแรงจูงใจให้เอกชนมาบริจาคเพื่อแลกกับสิทธิในการลดหย่อนภาษี และเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือสังคม ซึ่งพลังของการบริจาคนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐ

ในงานวิจัยของ James Rolph Edwards สรุปว่า เงินบริจาคสามารถกระจายความช่วยเหลือให้กับประชาชนได้มากกว่างบประมาณของรัฐ เพราะงบประมาณของรัฐในบางกรณีได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอตามความต้องการใช้งาน ซึ่งในบริบทของประเทศไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI: Thailand Development Research Institute) พบว่าประเทศไทยมีเงินบริจาคจำนวนมาก เฉลี่ยสิบปีอยู่ที่ปีละ 7.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่างบประมาณของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ทว่า การบริจาคนั้นควรจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมภารกิจของรัฐเมื่อภาครัฐไม่มีความพร้อมหรือไม่มีงบประมาณที่เพียงพอจะเข้ามาจัดการ การบริจาคจึงไม่ควรถูกนำมาใช้ในทุกๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคในเรื่องที่ควรจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่ได้มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว หรือในเรื่องที่รัฐมีความพร้อมที่จะทำได้แต่ไม่ได้ทำ

การบริจาคในฐานะดาบสองคมของการบั่นทอนบทบาทของรัฐ

แม้ว่าการบริจาคจะมีข้อดีในการช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริจาคเป็นดาบสองคม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การบริจาคเกิดขึ้นในกรณีที่สิ่งนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลควรจะต้องรับผิดชอบ โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะที่มีความยากลำบากเกิดขึ้นทั้งจากภัยพิบัติและโศกนาฏกรรมต่างๆ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกลับจัดให้มีการขอรับบริจาคเงิน เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของประชาชน แทนการใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้มีการกันเงินดังกล่าวเอาไว้

Timeline การขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ*

  • ม.ค. 2560 รัฐบาลเปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้
  • ก.ค. 2560 รัฐบาลรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากพายุเซินกา (SONCA) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ม.ค. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดรวมน้ำใจไทย ช่วยวาตภัยใต้ รับเงินบริจาคสมทบเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาปึก (PABUK) ในภาคใต้
  • ก.ย. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากพายุโซนร้อนโพดุล (PODUL) และพายุโซนร้อนคาจิกิ (KAJIKI)
  • มี.ค. 2563 รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
  • ธ.ค. 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนวิจัยค้นคว้าวัคซีนโควิด-19 สำหรับใช้ภายในประเทศไทย
  • ธ.ค. 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
  • ต.ค. 2565 รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู

หมายเหตุ * นับเฉพาะการขอบริจาคครั้งสำคัญโดยรัฐบาลและเหตุการณ์สำคัญๆ

ทว่า ปัญหาของเรื่องนี้ คือ เรื่องดังกล่าวข้างต้นที่รัฐบาลได้ขอรับบริจาคนั้น เป็นเรื่องที่รัฐได้จัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการสำรองเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้เป็นจำนวนมาก (ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง) นอกจากนี้ ในบางปีได้มีการโอนงบประมาณมาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น (ตารางแสดงการโอนงบประมาณ)

ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (หน่วย : ล้านบาท)
ที่มา : ผู้เขียนเรียบเรียงจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 – 2566

ตารางแสดงการโอนงบประมาณในช่วงปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563
(เรียงจากปีงบประมาณใหม่ไปปีงบประมาณเก่า)

ลำดับปีงบประมาณจำนวนที่โอน
(หน่วย : บาท)
หมายเหตุ
1.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256388,452,597,900โดยที่รายการสำรองจ่ายฯ ที่ตั้งไว้จำนวน 96,000,000,000 บาท ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19
2.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256110,000,000,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
3.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256011,866,512,300โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
4.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 255921,885,555,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
5.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 25587,917,077,700โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
ที่มา:  ผู้เขียนเรียบเรียงพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563

สภาพดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลือกที่จะใช้วิธีการบริจาคมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยใช้เงินจากประชาชนเพื่อมาช่วยเหลือประชาชนด้วยกันเอง แทนที่รัฐบาลจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้มาเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุดที่รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งในทางหลักการแล้วผู้ประสบเหตุมีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยาจากหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดสรรเงินงบประมาณไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะแล้ว อาทิ การได้รับการชดเชยจากกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา[4] และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์[5] ซึ่งถ้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนอาจจะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องขอรับบริจาค

ภาพดังกล่าวยังไม่รวมถึงการขอรับบริจาคย่อยๆ หรืองานการกุศลของเอกชนที่เข้ามาดำเนินการเพื่อสนับสนุนภารกิจรัฐสามารถจะทำได้เพียงนำงบประมาณไปใช้จ่ายอย่างเหมาะสม อาทิ การระดมเงินเพื่อนำเงินไปใช้ในการบริจาคเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งหากรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่นำงบประมาณไปใช้กับกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ การนำงบประมาณไปใช้กับจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท และอากาศยานไร้คนขับจำนวน 3 ลำ มูลค่า 4,100 ล้านบาท ถ้าหากรัฐบาลนำงบประมาณที่ใช้เพื่อกิจการทางกองทัพมาเน้นความมั่นคงของมนุษย์ผ่านสวัสดิการทางสังคมอาจจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า

การที่รัฐบาลกลายมาเป็นผู้รับบริจาครายใหญ่ทั้งที่มีงบประมาณเตรียมไว้สำหรับการดำเนินการในเรื่องนั้นแล้ว ภาพดังกล่าวเสมือนกับรัฐไทยเป็นรัฐอนาถาที่รอแต่การรับบริจาคเงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เมื่อเกิดสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ แต่มีเงินสำหรับนำไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาบางสิ่งบางอย่างที่มีความจำเป็นน้อยในปัจจุบัน เสมือนคนที่ไม่สามารถลำดับความสำคัญของเรื่องได้อย่างถูกต้อง

อีกทั้งการบริจาคนี้ยังกลายเป็นการบั่นทอนคุณค่าของสิทธิสวัสดิการของประชาชนที่ควรจะได้รับจากรัฐบาล เพราะเมื่อเป็นการบริจาคนั้นลักษณะของความช่วยเหลือจึงมาในรูปแบบของการสงเคราะห์ ทั้งที่ความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยธรรมชาติ การได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน หรือกระทั่งการช่วยเหลือเมื่อได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมเหล่านี้ ควรจะเป็นสิทธิของประชาชนและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะต้องช่วยเหลือประชาชน และการช่วยเหลือมาจากเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเอาไว้อยู่แล้ว ในขณะที่การบริจาคนั้นควรจะมีหน้าที่เป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมหรืออุดช่องว่างของความไม่พอเพียงของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากเงินภาษีของประชาชน

กล่าวโดยสรุป การบริจาคเป็นสิ่งที่ดีแต่การบริจาคไม่ควรทำให้สังคมละเลยต่อปัญหาใหญ่ที่สุด คือ การบริจาคไม่สามารถชดเชยหน้าที่ของรัฐที่มีต่อประชาชน การใช้วิธีการขอรับบริจาคมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทุกๆ ครั้ง จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงความไม่รับผิดชอบของรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหา โดยให้สังคมช่วยเหลือกันเอง ทั้งที่มีการตั้งงบประมาณไว้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้แล้ว


อ้างอิงจาก

วัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดที่ขยายช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม เหตุการณ์สำคัญที่จะต้องหยิบมาพูดถึงคือ เหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในหน้าการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ทั้งสอง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการลอยนวลพ้นผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการลอยนวลพ้นผิดนี้สร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยในหลายๆ ด้าน ทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังถ่างช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น

การลอยนวลพ้นผิด : อภิสิทธิ์ปลอดความผิด

การลอยนวลพ้นผิด (impunity) หรือ อภิสิทธิ์ปลอดความผิด ถูกอธิบายในฐานะของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการหยิบยื่นความรับผิดชอบให้แก่ผู้กระทำความรุนแรง ซึ่งได้กระทำลงในนามของอำนาจรัฐต่อประชาชน[1]

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิด คือ การใช้ความรุนแรงโดยรัฐกับประชาชนโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ โดยหลักการทั่วไปแล้ว รัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นใหญ่ มีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่แบบในสังคมไทย กลับเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรง และ การลอยนวลพ้นผิด เกิดขึ้นและดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันได้ในบางกลุ่มคน ซึ่งมักจะมีมายาคติและคำพูดที่ใช้กันจนชินว่า “มันก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ”

หากนับตั้งแต่การอภิวัฒน์สยามหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่องมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยต้องเผชิญกับการใช้ความรุนแรงในหลายๆ ลักษณะ  อิทธิพล โคตะมี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการลอยนวลพ้นผิดและความรุนแรงได้สรุปว่า

“งานศึกษาความรุนแรงบางชิ้นเสนอว่า คนไทยที่เกิดหลังปี 2475 เป็นต้นมา จะต้องมีชีวิตผ่านปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอย่างน้อยถึง 14 รูปแบบ ในแง่นี้จึงไม่น่าแปลกใจหากคนไทยจะคุ้นชินกับความรุนแรงและเห็นมันตั้งแต่ยามค่ำจนยันกลางวันแสกๆ”[2]

ตัวอย่างของความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยรัฐ (และเครือข่ายของรัฐ) ที่ชัดเจนก็คือ การใช้กำลังปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือการสังหารหมู่กลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519

นอกจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว ความรุนแรงดังกล่าวยังเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เกิดการรัฐประหาร และมีการใช้กำลังกับผู้เห็นต่างทางการเมือง การอุ้มฆ่า การซ้อมทรมาน การดำเนินคดี และการสังหารผู้มีความเห็นต่างทางศาสนา โดยปฏิบัติการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจด้วยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ความรุนแรงที่หลุดลอยไปจากการตรวจสอบ : วัฒนธรรมหนึ่งของสังคมไทย

คำถามสำคัญและน่าสนใจก็คือ “ทำไมถึงไม่มีการดำเนินการใดๆ กับบุคคลเหล่านี้เลย?”

คำตอบของคำถามดังกล่าว คือ ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหารนั้น สิ่งที่ตามมา คือ การนิรโทษกรรมในทางการเมือง ทั้งการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นความรับผิดใดๆ ที่ตนเคยได้ทำ หรือ การรับรองให้การกระทำใดๆ ของตนล้วนชอบด้วยกฎหมายและด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้กระทำ ซึ่งรวมแล้วมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเกือบ 23 ฉบับ โดยแบ่งเป็น พ.ร.ก. ได้ 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ[3] ซึ่งบรรดากฎหมายเหล่านี้เป็นที่มาของการลอยนวลพ้นผิด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดความรู้สึกว่า การลอยนวลพ้นผิดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และดูเหมือนจะเป็นเรื่องชั่วคราว  แต่ทว่า การยกเว้นความผิดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่โดยทั่วไปกฎหมายไม่อาจให้กระทำได้ เพราะเป็นการทำลายความยุติธรรมและการปกครองแบบนิติรัฐ

ในทุกๆ ครั้งที่มีการลอยนวลพ้นผิดย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสังคมโดยไร้ข้อจำกัดด้านเวลา และกลายเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย รวมทั้งกลายเป็นการปูทางให้มีการใช้ความรุนแรงในนามของรัฐในกาลข้างหน้าต่อไป[4]

ภาพที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ภายใต้คำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 นั้น ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งใดๆ ก็ตาม ซึ่งถูกรับรองความชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะไม่ถูกตรวจสอบ และแม้จะพ้นยุคสมัยของ คสช. ไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ยังคงรับรองความชอบด้วยกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผลิตซ้ำการลอยนวลพ้นผิดยังค่อยๆ ถูกแทรกซึมเข้ามาในสถานการณ์ปกติ ผ่านกลไกทางกฎหมายต่างๆ ที่ให้อำนาจรัฐยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายโดยอาศัยข้ออ้างในด้านความมั่นคง อาทิ การห้ามมิให้ศาลปกครองตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองใดๆ ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน[5] หรือการพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยข้ออ้างในการตีความที่ไม่ชัดเจนและมีขอบเขตกว้าง อาทิ การพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของรัฐบาลปัจจุบัน โดยให้เหตุผลด้านประโยชน์สาธารณะและความมั่นคง[6] ตัวอย่างดังกล่าวเป็นเพียงการลอยนวลพ้นผิดที่มีการรองรับโดยกฎหมายเท่านั้น

ซึ่งยังไม่รวมถึงกรณีเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายอาศัยอำนาจที่ไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพของการสร้างอภิสิทธิ์พิเศษแก่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการตามคำสั่งรัฐในการกระทำการใดๆ ที่จะละเมิดสิทธิของประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมายและในนามของกฎหมายได้

ภาพดังกล่าว คือ การฉายซ้ำของการลอยนวลพ้นผิดที่ได้แปรรูปแบบ และสะท้อนภาพกลายเป็นวัฒนธรรมหรือเป็นสถาบันของสังคมไทยอย่างหนึ่งที่กำหนดให้รัฐมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม[7] ซึ่งไม่เพียงแต่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของสังคมไทยได้ถูกทำให้ปกติอย่างถูกกฎหมายและในนามของกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการบั่นทอนระบอบนิติรัฐ

การลอยนวลพ้นผิดสัมพันธ์อย่างไรกับความเหลื่อมล้ำ

นิติรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะโดยหลักการแล้ว นิติรัฐเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อ่อนแอจากผู้มีอำนาจ[8] แต่การที่กฎหมายเข้ามาทำหน้าที่ตรงกันข้ามเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก เมื่อคนคนหนึ่งทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะขาดแรงจูงใจที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น และไม่พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดการทำร้ายนั้น[9] บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้อาจจะละเลยความใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งมิเพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้ ในบางกรณีผู้มีอำนาจอื่นๆ ก็อาจจะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าแทรกแซง รวมถึงโน้มน้าวการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น เพื่อให้ได้ผลสมปรารถนาที่พวกเขาต้องการ อาทิ การติดสินบน และการใช้อิทธิพลหรืออำนาจ

กรณีที่สอง การทำให้สถานะของมนุษย์ที่ควรจะเท่ากันอย่างน้อยในทางกฎหมายเกิดความไม่เท่ากัน (กับคนอื่นๆ) เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้ถูกทำลายลงจากการลอยนวลพ้นผิด (หรืออย่างน้อยก็พยายามจะทำให้ลอยนวลพ้นผิด จนกว่าจะถูกตัดสินโดยศาล)

ตัวอย่างของสถานการณ์ที่ส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจนี้ เช่น ในคดีของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล การที่ศาลไม่ได้ยึดถือหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นบริสุทธิ์ (แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรอง) และเรียกหลักประกันในอัตราที่สูงหรือสร้างข้อยุ่งยาก ผิดกับคดีในลักษณะอื่นๆ ที่ศาลไม่ได้เรียกหลักประกันหรือให้เงื่อนไขที่ทำให้มีอิสระในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ต้องหาในคดีเหล่านี้ต้องอาศัยหลักประกันที่มีทุนทรัพย์เป็นจำนวนมากมาใช้ในการต่อสู้คดี ซึ่งในกรณีนี้หากรัฐบาลใดๆ ใช้กลไกอำนาจรัฐในการบังคับลงโทษกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ผู้เรียกร้องเรื่องสิทธิและเสรีภาพ หรือผู้ต่อสู้เพื่อสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า การบั่นทอนนิติรัฐนั้นกำลังดำเนินปฏิบัติการบางอย่างที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำ

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิดนั้นสร้างผลร้ายต่อสังคม มิเพียงแต่บั่นทอนนิติรัฐ แต่กลับให้อำนาจรัฐในการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และวัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดก็เชื่อมโยงเข้ากับสถานะทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นในทุกขณะ


เชิงอรรถ

[1] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 4 อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง, ‘กฎหมายในความรุนแรง ความรุนแรงในกฎหมาย: การลอยนวลพ้นผิดทางกฎหมายของรัฐไทยในกรณีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง’ (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) 58.

[2] อิทธิพล โคตะมี, ‘ลอยนวลพ้นผิด: สำรวจ ‘วัฒนธรรมเฉพาะ’ เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล’ (Way Magazine, 10 ธันวาคม 2562) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[3] ปรับแก้ตัวเลขจากบทความของ อิทธิพล โคตะมี ซึ่งในบทความที่กล่าวถึงนี้มีการนับจำนวนกฎหมายไว้ 22 ฉบับ; เพิ่งอ้าง.

[4] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 6; อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง (เชิงอรรถ 1) 60.

[5] บทวิพากษ์ของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์; ดู ธีระ สุธีวรางกูร, ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้บังคับ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 150.

[6] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ช่องโหว่กฎหมาย PDPA เมื่อ ‘Big Brother’ จ้องคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชน’ (Way Magazine, 26 กรกฎาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ยกเว้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลที่อาจตามมา’ (กรุงเทพธุรกิจ, 10 สิงหาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ‘รัฐลอยนวล’ (มติชนออนไลน์, 3 กันยายน 2561) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[8] โจเซฟ อี. สติกลิตซ์, ราคาของความเหลื่อมล้ำ – The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future (สฤณี อาชวานันทกุล แปล, สำนักพิมพ์ Openworlds 2556) 318.

[9] เพิ่งอ้าง 318.

PRIDI Economic Focus: 2565 ปรับค่าแรงใหม่เพียงพอหรือไม่ สำรวจบทวิเคราะห์ค่าแรง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” นับเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งนำมาสู่ประเด็นต่างๆ เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำมีความเหมาะสมหรือไม่ หรือ ต้นทุนของผู้ประกอบการจะเป็นเช่นไร เป็นต้น

ในบทความนี้ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ภายใต้คอลัมน์ PRIDI Economic Focus จะขอพาท่านไปติดตามเรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ที่มีผลใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และสำรวจบทวิเคราะห์ที่ว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำ

การปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2565 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยมีอัตราค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท เป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยขึ้น 5.02 %[1] การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้เป็นผลมาจากข้อเสนอของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งได้มีการเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา ซึ่งที่ประชุมพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำบนพื้นฐานของความเสมอภาค เพื่อให้นายจ้างสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ และลูกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข และมีเป้าหมายเพิ่มเติม คือ การเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น[2] ซึ่งการจัดแบ่งค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา มีลักษณะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ดังนี้

ตารางแสดงค่าแรงขั้นต่ำปี พ.ศ. 2565

ลำดับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(บาท/วัน)
จำนวน
(จังหวัด)
เขตท้องที่บังคับใช้
13543จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
23536กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
33451จังหวัดฉะเชิงเทรา
43431จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
534014จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา ปราจีนบุรี พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
63386จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
733519จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง และอุตรดิตถ์
833222จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุทัยธานี
93285จังหวัดนราธิวาส น่าน ปัตตานี ยะลา และอุดรธานี

โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ได้เริ่มต้นใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลเป็นการปรับเปลี่ยนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม

ค่าจ้างขั้นต่ำคืออะไร และมีหลักการเบื้องหลังการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ อัตราค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนวิธีคิดว่า อัตราค่าจ้างดังกล่าวเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน 1 คน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น[3]

กล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ การที่รัฐเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดราคาขั้นต่ำของค่าจ้างมิให้ต่ำไปกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป้าหมายของการแทรกแซงดังกล่าวก็เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเพิ่มค่าจ้าง และช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากร และทำให้การกระจายรายได้เป็นธรรมมากขึ้น[4]

อย่างไรก็ดี ทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ (ในอดีต) มักจะอธิบายว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมีผลเสียที่เกิดขึ้น และอาจจะไม่ได้ดีกับแรงงานเสมอไป เพราะในแง่หนึ่งการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการให้สูงขึ้น โดยสมมติให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมอยู่ที่ 300 บาท ต่อมามีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมาเป็น 360 บาท ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 60 บาท

ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยอาจจะต้องลดจำนวนแรงงานลงหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปพึ่งพาเครื่องจักรมากขึ้น ซึ่งหากเป็นธุรกิจประเภท SMEs และอุตสาหกรรมประเภทต้องใช้แรงงานคนที่เข้มข้นก็อาจจะได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก และการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรอาจจะไม่ช่วยอะไร

นอกจากนี้ การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอาจจะกระทบการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้เกิดการเปลี่ยนฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศแทน ซึ่งทำให้จำนวนแรงงานที่จะตกงานเพิ่มขึ้นอีก[5] (อย่างไรก็ดี การประเมินภาพในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่จริงเสมอไป และในปัจจุบันก็มีงานวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ยืนยันว่า การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดการว่างงานมากเท่าใดนัก)

ด้วยเหตุที่การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีผลกระทบต่อสังคมในด้านต่างๆ มาก ทำให้รัฐบาลไม่สามารถกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้โดยลำพัง ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นหลักการเบื้องหลังของการกำหนดอัตราค่าจ้างก็คือ “การเจรจา” บนฐานคิดว่าควรจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเท่าใด โดยโจทย์สุดท้ายของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะกลับไปสู่กระบวนการเจรจาและใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำระหว่างผู้แทน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน[6] โดยจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากตัวเลขเดิมก่อนหน้านี้เท่าใด ซึ่งผลสรุปที่ได้ก็คือ ตัวเลขดังปรากฏตามตารางข้างต้น

ค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต?

การที่รัฐบาลเข้ามากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อีกแง่หนึ่งมีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เพราะหากไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2556 ได้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้บางจังหวัดหรือบางพื้นที่ มีอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม เช่น ในจังหวัดพะเยา ก่อนหน้าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบาย 300 บาท มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 159 บาท เป็นต้น[7] ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในพื้นที่นั้นให้ดีขึ้น

ทว่า ปัญหาของประเทศไทย คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดกันในวันนี้เหมาะสมหรือไม่ ดังกล่าวมาแล้วว่า หลักการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนพื้นฐานของการมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพของแรงงานในแต่ละวันเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะหรือความจำเป็นที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของแรงงาน

ผลก็คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้แรงงานใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งนี้นำมาสู่การตั้งคำถามจาก 101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำควรกำหนดด้วยฐานคิดว่า “ควรเพิ่มเท่าไหร่” ไม่ใช่ “ควรเป็นเท่าไหร่” ในบทความชื่อว่า “ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต”

ประเด็นที่ 101 PUB ได้ยกขึ้นมากล่าวอย่างน่าสนใจก็คือ ในการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำควรจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดต่อปัจจัยการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเสียใหม่ โดยวิธีการที่ใช้สำหรับการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน คิดจากฐานของการใช้ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำเดิมมาเป็นตัวกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ แล้วจึงค่อยพิจารณาปรับและกำหนดจำนวน โดยดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยอาจพิจารณาเพิ่มเติมด้วยอัตราสมทบของแรงงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ตามคำชี้แจงการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ)[8]

ทว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำโดยวิธีการดังกล่าวมีปัญหา เพราะค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ โดย 101 PUB ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำไทยเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มน้อยกว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย และ GDP per Capita เป็นต้น

ซึ่งทาง 101 PUB ได้ดำเนินการเปรียบเทียบค่าจ้างขั้นต่ำกับค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2556 – 2563 ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย (average wage) เพิ่มขึ้น 108 บาทต่อวัน กลายเป็น 587 บาทต่อวัน GDP per Capita เพิ่มขึ้น 151 บาทต่อวัน กลายเป็น 757 บาทต่อวัน แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 28-54 บาทต่อวัน กลายเป็น 328-354 บาทต่อวัน และเมื่อพิจารณาจากค่าจ้างขั้นต่ำเป็นมูลค่าที่แท้จริง (ขจัดผลของอัตราเงินเฟ้อออก) ยิ่งสะท้อนว่า แนวทางการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ไม่สามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดีขึ้นได้[9]

ประเด็นดังกล่าวนำมาสู่ข้อเสนอในการปรับปัจจัยที่ใช้ในการคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากปัจจัยค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบ เพื่อให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานมากขึ้น

101 PUB จึงเสนอว่า ควรเปลี่ยนปัจจัยในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นการคิด “ค่าจ้างเพื่อชีวิต” (living wage) โดยค่าตอบแทนสำหรับการทำงานตามเวลาปกติ ที่ทำให้แรงงานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล การเดินทาง เครื่องนุ่งห่ม และสิ่งจำเป็นอื่นๆ ในการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของสังคม ตลอดจนการเตรียมตัวรับมือกรณีฉุกเฉิน[10]

การปรับแก้ปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้น การทบทวนปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ จึงเป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ที่สังคมไทยต้องเร่งผลักดันกันต่อไป


เชิงอรรถ

[1] The Standard, ‘ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ มีผล 1 ต.ค. 2565 ตามกรอบที่เสนอ กทม.-ปริมณฑล 353 บาท’ (The Standard, 13 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/cabinet-minimum-wages/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[2] The Standard, ‘เปิดค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 5% ทั่วประเทศ มีผล 1 ตุลาคม 2565’ (The Standard, 26 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/minimum-wage-year-2022/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[3] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[4] ศศิวิมล ตันติวุฒิ, ‘ค่าจ้างขั้นต่ำช่วยแรงงานจริงหรือ?’ (TDRI, 22 กันยายน 2559) <https://tdri.or.th/2016/09/does-minimum-wage-effective/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[7] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘ค่าแรงขั้นต่ำ ทำไมถึงต้องสูง?’ (The 101 world, 2 ธันวาคม 2564) <https://www.the101.world/why-high-minimum-wage/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[8] กษิดิ์เดช คำพุช, ‘ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต’ (The 101.world, 29 กันยายน 2565) <https://www.the101.world/minimum-wage-to-living-wage/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2565.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] เพิ่งอ้าง.

PRIDI Economic Focus: ทำไมค่าไฟฟ้าในประเทศไทยถึงแพงขึ้น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในปัจจุบันไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในฐานะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ในชีวิตประจำวัน การที่ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นย่อมกระทบต่อชีวิตประชาชน ในบทความนี้สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอพาไปทำความเข้าใจสถานการณ์และการปรับเปลี่ยนของราคาค่าไฟฟ้าในช่วงนี้

โครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทย

อุตสาหกรรมไฟฟ้าประกอบไปด้วยการผลิตไฟฟ้า การรับซื้อ การส่งไฟฟ้า (ค้าส่ง) และการจำหน่ายไฟฟ้า (ขายปลีก) ให้กับครัวเรือน ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม ในปัจจุบันตลาดธุรกิจผลิตไฟฟ้าประกอบด้วยผู้ประกอบธุรกิจหลายราย ทั้งในลักษณะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก

อย่างไรก็ดี ในตลาดการส่งไฟฟ้ากลับมีลักษณะเป็นการผูกขาดระบบสายส่งไฟฟ้า (Transmission System) โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียว (Single Buyer) เนื่องจากการส่งไฟฟ้ามีลักษณะเป็นการผูกขาดตามธรรมชาติ (Natural Monopoly) อันเนื่องมาจาก กฟผ. เป็นผู้ครอบครองสายส่งไฟฟ้าที่มีโครงข่ายทั่วประเทศ ทำให้มีต้นทุนในการส่งไฟฟ้าถูกกว่าผู้ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้ารายอื่นอีก[1]

ประกอบกับธรรมชาติของธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถเก็บไฟฟ้าที่ผลิตไว้เป็นสต็อกเหมือนสินค้าอื่น จำเป็นต้องส่งไปยังลูกค้าหรือผู้ใช้ทันทีผ่านระบบส่ง[2] การขายส่งไฟฟ้าในปัจจุบันจึงต้องกระทำผ่าน กฟผ. ซึ่งจะขายไฟฟ้าดังกล่าวต่อการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าขั้นสุดท้ายในการรับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก ที่ผลิตทั้งในและต่างประเทศ จะใช้วิธีการทำสัญญาระยะยาวและมีลักษณะเป็นการไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay)

ซึ่งแม้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในเวลานั้นจะลดลงจาก ณ เวลาที่มีการทำสัญญา และโรงงานไฟฟ้าลดการผลิตไฟฟ้าลง แต่ กฟผ. ยังคงต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ผลิตในรูปแบบค่าความพร้อมจ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจเอกชนมาลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนคงที่สูงแทน[3] ซึ่งการจ่ายเงินในลักษณะดังกล่าวส่งผลให้ กฟผ. ต้องแบกรับต้นทุน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาค่าไฟฟ้าที่จะถูกคิดกับประชาชน

การกำหนดราคาไฟฟ้า

ก่อนจะไปหาสาเหตุว่าทำไมราคาไฟฟ้าถึงแพงขึ้น เราจำเป็นต้องกลับมาทำความเข้าใจก่อนว่า โครงสร้างราคาไฟฟ้าในประเทศไทยถูกคิดอย่างไร ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศผันแปรตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยของความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 0.9 – 1.1 เท่าของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ[4] ซึ่งสะท้อนความสำคัญของไฟฟ้าต่อการดำรงชีวิตและต่อเศรษฐกิจ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของราคาไฟฟ้าส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

การเปลี่ยนแปลงราคาค่าไฟฟ้านั้นขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเผชิญ และต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายไฟฟ้าแบบปลีกของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ดี ตลาดไฟฟ้ามิได้มีลักษณะเช่นเดียวกันกับสินค้าและบริการอื่นๆ เนื่องจากตลาดไฟฟ้าเป็นตลาดที่มีความสำคัญทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาควบคุมราคา เพื่อไม่ให้ราคาไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอิสระจนกระทบกับผู้บริโภค โดยกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำกับดูแลสูตรค่าไฟฟ้าเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)[5] โดยโครงสร้างค่าไฟฟ้าถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ได้แก่[6]

  • ค่าพลังงานไฟฟ้า (ค่าไฟฟ้าฐาน) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ค่าระบบส่งไฟฟ้า ค่าระบบจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงค่าเชื้อเพลิงและการรับซื้อไฟฟ้าตามนโยบายรัฐบาลต่างๆ โดยจะมีการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐานทุก 3 – 5 ปี โดยในปัจจุบันค่าไฟฟ้าฐานอยู่ประมาณ 3.79 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ดี ในการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าฐานนี้จะมีการเรียกเก็บจากกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกัน เช่น บ้านอยู่อาศัย (ครัวเรือน) เป็นต้น ซึ่งกลุ่มบ้านอยู่อาศัยปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุดถึงร้อยละ 90 ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าฐานยังแบ่งย่อยได้เป็นอีก 2 ประเภทคือ อัตราปกติ และอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ ซึ่งกำหนดตามความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง/ต่ำในแต่ละช่วงเวลา
  • ค่าไฟฟ้าผันแปร (Float time: Ft) ซึ่งเป็นอัตราที่คิดจากการลอยค่าของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ราคาเชื้อเพลิง อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ตามช่วงเวลาต่างๆ ที่ใช้เป็นกรอบในการคำนวณ
  • ค่าบริการรายเดือน ซึ่งเก็บจากการดำเนินการจัดเก็บเงินค่าไฟฟ้า
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม อัตราร้อยละ 7

จุดสำคัญที่อยากให้ผู้อ่านทุกคนเน้นเป็นพิเศษ คือ ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่า Ft เนื่องจากค่าดังกล่าวมีผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคา

ทำไมราคาไฟฟ้าถึงแพงขึ้น

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าไฟฟ้าครั้งสำคัญที่ทำให้ราคาไฟฟ้าแพงขึ้นมีสาเหตุมาจากการปรับเปลี่ยนค่า Ft ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งประเด็นหนึ่งที่ทำให้มีการปรับค่า Ft เนื่องจากก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าขาดแคลน  จึงนำไปสู่การปรับค่า Ft ใหม่

ปัญหาก๊าซธรรมชาติขาดแคลนมีปัญหามาจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรก ก๊าซธรรมชาติส่วนหนึ่งที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้ามาจากอ่าวไทย ซึ่งมีแหล่งผลิตหลักที่เอราวัณ จากการรายงานข่าวของสำนักข่าว WorkpointTODAY พบว่า ในปัจจุบันสถานการณ์เกี่ยวกับการผลิตก๊าซธรรมชาติอยู่ระหว่างรอยต่อการเข้าดำเนินการระหว่างกลุ่มบริษัทเชฟรอนที่ผู้รับสัมปทานรายเก่า และกลุ่มบริษัท ปตท. ที่เป็นผู้พัฒนาพื้นที่รายใหม่ ซึ่งรอยต่อนี้ทำให้การส่งก๊าซธรรมชาติไม่ต่อเนื่องและเกิดการขาดแคลน

ปัจจัยที่สอง ก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นก๊าซธรรมชาตินำเข้ามาจากต่างประเทศ คือ ประเทศเมียนมาราวๆ ร้อยละ 34 เพื่อชดเชยก๊าซธรรมชาติที่ไม่เพียงพอจากการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของเมียนมาไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตเดิม และมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นเข้ามาทดแทน

ทว่า ในปัจจุบันด้วยวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ส่งผลต่อราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลก เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกหลักก๊าซธรรมชาติให้กับทวีปยุโรป ผลของการที่รัสเซียลดการขายก๊าซธรรมชาติให้กับทวีปยุโรปทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่น ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติแพงขึ้นทั่วโลก รวมถึงในทวีปเอเชีย  ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้ผู้ประกอบการผลิตก๊าซธรรมชาติชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานมีน้อย (ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และสถานที่ราชการปิดเพื่อลดการเคลื่อนไหวและคนหันมา Work from Home) เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ความต้องการก๊าซธรรมชาติสูง ยิ่งทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติดีดตัวขึ้นสูงกว่าเดิม

พิจารณาลงไปในรายละเอียดเฉพาะบริบทของประเทศไทย เมื่อพิจารณามองย้อนกลับไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก กฟผ. ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อพลังงานรายหลักจากโรงไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา การใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องจากห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และสถานที่ราชการปิดเพื่อลดการเคลื่อนไหวและคนหันมา Work from Home เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ในความเป็นจริงราคาค่าไฟฟ้าควรจะเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลมีนโยบายลดค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน[7] รวมถึงรัฐบาลได้มีการคงอัตราค่า Ft ไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงปี 2562 – 2564[8]

สภาพดังกล่าวเป็นการทำให้ กฟผ. ต้องแบกรับต้นทุนที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ กฟผ. ประกอบกิจการขาดทุน ซึ่งในเวลาต่อมา กกพ. ได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2565 ได้ปรับเพิ่มค่า Ft เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2565 ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาทต่อหน่วย[9] และปรับค่า Ft ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 68.66 ต่อหน่วยเป็น 5.00 บาทต่อหน่วย[10] เพื่อช่วยลดภาระของ กฟผ.

ปัญหาสำคัญ คือ การที่ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นนั้น แม้จะมีการรณรงค์ให้มีการลดการบริโภคไฟฟ้าลงในฝั่งของภาคครัวเรือนก็อาจจะไม่ช่วยให้ราคาไฟฟ้าถูกลงมากเท่าใดนัก เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสินค้าที่มีความจำเป็น ประกอบกับปัจจัยที่ทำให้ราคาไฟฟ้าแพงขึ้นมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือควบคุม สิ่งนี้จึงอาจจะเป็นคำถามทิ้งทายกลับไปหารัฐบาลว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?


เชิงอรรถ

[1] คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ‘จุดไฟการแข่งขันให้ทั่วฟ้า: ถึงเวลาเปิดตลาดเสรีการซื้อขายไฟฟ้าในไทย’ (31 สิงหาคม 2564) <https://www.econ.chula.ac.th/จุดไฟการแข่งขันให้ทั่ว/> สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2565.

[2] นรินทร์ ตันไพบูลย์, ‘แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2564-2566: ธุรกิจผลิตไฟฟ้า’ (ธนาคารกรุงศรี, 30 เมษายน 2564) <https://www.krungsri.com/th/research/industry/industry-outlook/Energy-Utilities/Power-Generation/IO/io-power-generation-21> สืบค้นเมือ 4 กันยายน 2565.

[3] คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เชิงอรรถ 1).

[4] นรินทร์ ตันไพบูลย์ (เชิงอรรถ 2).

[5] พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 11 (1) และ (4); ดู สำนักงาน กกพ., ‘เอกสารการนำเสนอบทบาทหน้าที่ กกพ. การกำกับกิจการพลังงาน’ (สำนักงาน กกพ.) <https://pdf.erc.or.th/file_upload/module/jbimages/3-บริการข้อมูลข่าวสาร/4-กองทุนมาตรา 97(5)/ข้อมูล%20บทบาท%20กกพ-และสนง-.pdf> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.

[6] กฟผ., ‘อัตราค่าไฟฟ้า’ (กฟผ.) <https://www.egat.co.th/home/egat-price/> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.

[7] BBC News ไทย, ‘โควิด-19: รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาเพิ่มเติม ลดค่าไฟฟ้า 3 เดือน ให้ผู้ใช้ไฟฟ้า 22 ล้านราย’ (BBC News ไทย, 20 เมษายน 2563) <https://www.bbc.com/thai/thailand-52352091> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565; คณะผู้วิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘วิเคราะห์มาตรการลดค่าไฟในช่วงวิกฤตโควิด-19’ (TDRI, 15 เมษายน 2563) <https://tdri.or.th/2020/04/covid-11/> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.

[8] ดู การปรับอัตราค่า Ft ไฟฟ้า จาก สถิติ Ft ของ กกพ.; สำนักงาน กกพ. ‘อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)’ (สำนักงาน กกพ.) <https://www.erc.or.th/th/automatic> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.

[9] ณัญณัฏฐ์ บุตรดี, ‘ค่า Ft คืออะไร มีผลอย่างไร กับราคาไฟฟ้าประชาชน’ (กรุงเทพธุรกิจ, 19 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.

[10] สำนักงาน กกพ., ‘เอกสารการรับฟังความคิดเห็น เรื่อง ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม’ (สำนักงาน กกพ.) <https://www.erc.or.th/web-upload/200xf869baf82be74c18cc110e974eea8d5c/202207/m_publichearing/8776/472/file_download/1fc498999d9cc9d2b8d066933c2a9eea.pdf> สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2565.