ปลดล็อคท้องถิ่น เดอะ ซีรีส์ : ปรับข้อจำกัดด้านการจัดทำงบประมาณ เพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

กระแสเรียกร้องให้ “ปลดล็อคท้องถิ่น” ถูกพูดมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายกเมืองพัทยา จึงเกิดกระแสเรียกร้องในหลายๆ จังหวัดที่ต้องการมีผู้ว่าราชการที่มาจากการเลือกตั้งแบบเดียวกันกับกรุงเทพฯ และเมืองพัทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการได้ผู้ว่ากรุงเทพฯ กลายเป็นความหวังใหม่ของคนกรุงเทพฯ ท่ามกลายสถานการณ์ที่เคร่งเครียดทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตที่ติดหล่ม

อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจนี้มาพร้อมความอิสระจริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการคลัง ซึ่งงบประมาณเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งรวมถึงกรุงเทพฯ มีอิสระแค่ไหน ผู้บริหารท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจ และคนในพื้นที่มีความสามารถจะร่วมกับ อปท. เพื่อใช้งบประมาณตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ได้แค่ไหน

ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้สถาบันปรีดีชวนท่านผู้อ่านทุกท่านติดตาม “ปลดล็อคท้องถิ่น เดอะ ซีรีส์” ซึ่งจะนำเสนอเรื่องราวและแนวทางเพื่อนำไปสู่การพัฒนา อปท. ที่ดีขึ้น

งบประมาณจำกัด จำกัดศักยภาพของท้องถิ่น

การกระจายอำนาจทางการคลัง ถือเป็นองค์ประกอบหลักของการกระจายอำนาจ ซึ่งสามารถใช้เป็นดัชนีวัดถึงระดับความก้าวหน้าในการกระจายอำนาจของประเทศได้[1] ซึ่งปัญหาของ อปท. ประการหนึ่งก็คือ ข้อจำกัดในการจัดทำงบประมาณประจำปี

การจัดทำงบประมาณประจำปีของ อปท. นั้น แตกต่างจากการจัดทำงบประมาณประจำปีของรัฐบาล เนื่องจากในการจัดทำงบประมาณประจำปีของ อปท. จะต้องจัดทำงบประมาณแบบสมดุล หรือ งบประมาณแบบเกินดุลเท่านั้น

เพราะลักษณะของการจัดทำงบประมาณประจำปีของ อปท. รายได้ (รายรับ) เป็นตัวกำหนดรายจ่าย และไม่สามารถที่จะดำเนินการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลอย่างรัฐบาลได้ เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้ อปท. กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลของงบประมาณได้[2]

ดังนั้น อปท. จึงมีข้อจำกัดในการจัดทำงบประมาณประจำปี ซึ่งกฎหมายไม่อนุญาตให้ อปท. จัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลของงบประมาณได้[3]

ปัญหาที่ตามมาก็คือ อปท. แต่ละแห่งมีข้อจำกัดในการมีรายได้ของตนเอง เนื่องมาจากขนาดของ อปท. ที่แตกต่างก็จะมีแหล่งรายได้ที่ต่างกัน โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนประมาณ 7,850 แห่ง (สรุปข้อมูล ณ วันที่ 9 กันยายน 2563)[4] โดยจำแนกประเภทของ อปท. เป็น 5 รูปแบบ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และ อปท. รูปแบบพิเศษ 2 แห่งคือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 สรุปข้อมูล อปท. ทั่วประเทศ

อปท.จำนวน
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด76 แห่ง
2. เทศบาล2,472 แห่ง
– เทศบาลนคร30 แห่ง
– เทศบาลเมือง195 แห่ง
– เทศบาลตำบล2,247 แห่ง
3. องค์การบริหารส่วนตำบล5,300 แห่ง
4. องค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ (กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา)2 แห่ง
รวมทั้งสิ้น7,850 แห่ง
ที่มา : กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (2563)

อปท. แต่ละประเภทมีศักยภาพในการแสวงหารายได้ต่างกัน รวมถึงกฎหมายมีการกำหนดชนิดของรายได้ไว้แตกต่างกัน[5] ซึ่งในความเป็นจริงรายได้ที่เก็บได้อาจจะน้อยลงไปอีก หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่นั้นน้อย อีกทั้งในแง่ของการรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลก็มีการจัดสรรที่แตกต่างกัน โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่จะได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนที่มากกว่า

ฉะนั้น ในความเป็นจริง อปท. ขนาดเล็กที่ห่างไกลและมีบทบาทน้อยย่อมมีรายได้น้อยกว่า อปท. ขนาดใหญ่และมีความสำคัญ (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 แสดงตัวอย่างรายได้ของ อปท. ในเขตจังหวัดนนทบุรีบางส่วน (ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562)

ลำดับจังหวัดอำเภออปท.จำนวนเงินอุดหนุน
1นนทบุรีเมืองนนทบุรีอบจ. นนทบุรี47,800,662.00
2นนทบุรีปากเกร็ดทน. ปากเกร็ด94,467.826.00
3นนทบุรีเมืองนนทบุรีทน. นนทบุรี138,541,597.00
4นนทบุรีไทรน้อยอบต. ทวีวัฒนา3,365,083.00
5นนทบุรีบางบัวทองอบต. บางบัวทอง16,080,275.00
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (2562)

การไม่มีอิสระในเรื่องการกู้เงิน

ผลของการไม่สามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้ ส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณของ อปท. ทำได้จำกัดเพียงเท่าที่มีรายได้ (รายรับ) ซึ่งอาจจะสวนทางกับลักษณะการทำงานของ อปท. ที่มีภารกิจหน้าที่ที่จะต้องดูแลรับผิดชอบในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณะต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ลักษณะดังกล่าวจึงทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมีรายได้ (รายรับ) ไม่เพียงพอกับรายจ่าย แม้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพิ่มเติมแล้วก็ตาม[6]

ลักษณะดังกล่าวทำให้ อปท. ต้องหาทางเลือกใหม่ คือ “การกู้ยืมเงิน” เพื่อนำมาใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะ โดยเฉพาะในกรณีที่ อปท. จะต้องดำเนินโครงการขนาดใหญ่นั้น ซึ่งในกรณีนี้กฎหมายยินยอมให้ อปท. สามารถออกพันธบัตร กู้เงินจากหน่วยงานของรัฐหรือนิติบุคคลต่างๆ ทั้งที่มีลักษณะเป็นการกู้เงินภายในประเทศหรือต่างประเทศ[7]

ในการกู้เงินนั้น อปท. จะต้องกระทำโดยการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย[8] ซึ่งกระบวนการต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้นกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญและเป็นอุปสรรคต่อการกู้ยืมเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของ อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี และ สุนทรชัย ชอบยศ ในปี พ.ศ. 2557 พบว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ถึงปี พ.ศ. 2557 หรือกว่า 2 ทศวรรษ ยังไม่มีการตราระเบียบกระทรวงหมาดไทย ให้อำนาจแก่ อบต. ในการกู้ยืมเงินแต่ประการใด[9] ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาจากความเข้มงวดในความพยายามควบคุมการกู้เงินของ อปท. โดยรัฐบาล ซึ่งในเรื่องการกู้เงินของ อปท. นั้น ควรปรับเปลี่ยนจากการควบคุมโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มาเป็นการควบคุมผ่านกรอบวินัยทางการคลังแทน โดยจำกัดการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการก่อหนี้ โดยจำกัดให้การก่อหนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2561 แทน และใช้กระบวนการรายงานตรวจสอบตามหลักการวินัยทางการคลัง

การควบคุมการก่อหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจะมีพร้อมกับการพยายามรักษาสมดุลของการกู้เงินเพื่อนำไปใช้ในโครงการพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและมีประสิทธิภาพของการใช้จ่าย เพราะหากมีความเชื่อมั่นว่า การก่อหนี้จะนำมาซึ่งการเพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น จะช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แล้ว ก็ควรผ่อนคลายเพื่อให้โอกาสองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เติบโต

หมายเหตุ พันธิตรา สุขวิสิฏฐ์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] สกนธ์ วรัญญูวัฒนา และคณะ, ‘การกระจายอำนาจทางการคลังเพื่อขับเคลื่อนบริการทางสังคมไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น’ (รายงานวิจัยเสนอต่อ สำนักงานคณะกรรมการรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ UNICEF 2552) อ้างใน ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น (เปนไท 2555) 12.

[2] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 11 ประกอบกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 20 และมาตรา 21.

[3] หากพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณของ อปท. แล้วจะพบว่า อปท. นั้นไม่มีกฎหมายให้อำนาจในการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลของงบประมาณ. ดู ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2529; และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2563.

[4] กลุ่มงานกฎหมายและระเบียบท้องถิ่น 2 กองกฎหมายและระเบียบท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, ‘สรุปข้อมูล อปท ทั่วประเทศ’ (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 9 กันยายน 2563) สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2565.

[5] ดู พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542; และกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น.

[6] ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น (เปนไท 2555) 109-110.

[7] พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 28 วรรคหนึ่ง (8) (9) และ (10).

[8] พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 28 วรรคสอง; กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่นั้นก็จะเขียนอำนาจในเรื่องการกู้เงินเอาไว้ในลักษณะเดียวกันกับมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย.

[9] อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี และสุนทรชัย ชอบยศ, ‘ความจำเป็นและปัญหาของการกู้ยืมเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย’ 2 วารสารการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน 127, 131.

สำรวจความพร้อมภาครัฐ ปฏิบัติตาม ‘PDPA’

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ใกล้จะครบ 1 เดือนที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA มีผลใช้บังคับ หลังจากเลื่อนการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 2 ปี ด้วยเหตุผลเพื่อภาครัฐและบริษัทเอกชนได้เตรียมความพร้อม

หลังกฎหมายบังคับใช้ เกิดคำถามและความเข้าใจผิดหลายกรณีเกี่ยวกับสิ่งที่ ทำได้-ทำไม่ได้ ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลคือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจำเป็นต้อง ให้ความกระจ่างแก่ประชาชนอย่างทันถ่วงที เพื่อป้องกันการสร้างความเข้าใจผิด หรือการใช้ ประโยชน์จากกฎหมายในทางไม่ชอบ ซึ่งอาจ เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวรับการบังคับใช้ PDPA ตามเจตนารมณ์แท้จริงของกฎหมาย

นอกจากการแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ กฎหมายสำหรับประชาชนแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งยกระดับคือ ความพร้อมของ หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานของภาครัฐ เนื่องจากภาคเอกชนได้เร่งปรับตัว เตรียมความพร้อมคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามหลักสากล GDPR ไปก่อนแล้ว รวมทั้งการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรในการประกอบกิจการ

แต่สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต ยังติดกับอุปสรรคหลาย ประการที่ทำให้ยังไม่ได้ยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐ ซึ่งการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐที่ผ่านมาเป็นไปตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ.2540 แต่ในตอนนี้ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาครัฐจะต้องปรับไปตาม PDPA ด้วย

จากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ พบว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีบางหน่วยงานได้เตรียม ความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ไปบ้างแล้ว เช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ซึ่งเป็นหน่วยงาน ของรัฐแรกๆ ที่ได้ดำเนินการปฏิบัติตาม PDPA และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหน่วยงาน อื่นๆ โดยการทำเอกสารแม่แบบสำหรับการ ดำเนินการในการปฏิบัติตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายหน่วยงานมีเพียงบนกระดาษ ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงระดับนโยบาย กระบวนการทำงาน ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจทำให้ ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนถูกละเมิด/รั่วไหลได้ ตามที่เคยเกิดขึ้นแล้ว หลัง PDPA ประกาศใช้ในช่วงปี 2564 มีการละเมิด/รั่วไหล ของข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐถึง 5 ครั้ง

เพื่อยกระดับความพร้อมให้กับภาครัฐ และป้องกันปัญหาเกิดขึ้นเช่นในอดีต จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆ ดังนี้

1. สร้างความเข้าใจและความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ความไม่เข้าใจหรือไม่ชัดเจนในบทบาทของภาครัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูล ส่วนบุคคลตาม PDPA ทำให้บางส่วนอาจเห็นว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน้าที่ของสำนัก/กอง/กลุ่ม/แผนกหนึ่งในหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น สำนักเทคโนโลยี เป็นต้น แต่ตามหลักคือ หน่วยงานภาครัฐจะต้องสร้างความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนและยึดหลักปฏิบัติเดียวกันทั้งองค์กร

2. มีนโยบายภายในองค์กรเพื่อรองรับการปฏิบัติตาม PDPA  หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยน กฎเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้อำนาจของ หน่วยงานของรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

3. มีแนวปฏิบัติ (guidelines) เพื่อการ เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA และมีคำอธิบายบทบัญญัติของ PDPA ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะตัวพระราชบัญญัติแล้ว  จะเห็นเพียงหลักการแต่ไม่เห็นแนวทางในการปฏิบัติตาม

4. มีความเข้าใจต่อการพิจารณาฐานทางกฎหมาย เมื่อขาดนโยบายและแนวปฏิบัติ หน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่จึงไม่มั่นใจว่า ภารกิจหรือกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนจะต้องใช้ฐานการประมวลผล ข้อมูลส่วนบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตราที่กฎหมายห้ามไม่ให้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล หากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะเป็นปัญหาสำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจต้องเก็บจากบุคคลเป็นจำนวนมาก เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร หรือฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่มั่นใจว่าจะสามารถขอความยินยอมได้อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว PDPA ได้ให้อำนาจหน่วยงานของรัฐในฐานการประมวลผลเพื่อการใช้ประโยชน์ในการจัดทำบริการสาธารณะเอาไว้ โดยไม่ต้อง ขอความยินยอม นอกจากนี้ ในกรณีอื่นๆ หน่วยงานของรัฐก็อาจจะอาศัยฐานในการประมวลผลอื่นๆ เพื่อเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลได้ ได้แก่ ฐานสัญญา ฐานสถิติ  เอกสารประวัติศาสตร์ และจดหมายเหตุ ฐานป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่ง PDPA รับรองเอาไว้

5. มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ปลอดภัย หน่วยงานของรัฐบางแห่งยังไม่มีระบบที่ทันสมัยเพียงพอกับการรับมือกับการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจเกิดการรั่วไหลหรือถูกโจมตีต่อระบบคอมพิวเตอร์ได้ หรือในกรณีที่เก็บรักษาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์สำนักงานโดยไม่มีการตั้งรหัสการเข้าถึงข้อมูล (access control) อาจทำให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่จำเป็น

นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว หลักสำคัญในการปรับตัวตาม PDPA ของภาครัฐคือการตระหนักถึงบทบาทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ที่ต้องให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และต้องสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน

ในกรณีที่จะต้องเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ภาครัฐควรจะต้องมีการแจ้งให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชสามารถใช้สิทธิของตนเองได้ตามกฎหมาย เพราะหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ยังขาดการเตรียมกระบวนการเพื่อแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ทราบเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การจัดเตรียมช่องทางการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยควรจะต้องแจ้งให้ประชาชนรับรู้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการควบคุมสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง

24 มิถุนายน 2475: อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พลิกฟ้าปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…” 

ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
(พ.ศ. 2475 ตามปฏิทินเก่า)


การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
 มีความสำคัญในฐานะของวันที่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นคำที่ ปรีดี พนมยงค์ ใช้อธิบายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี การดำเนินการของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบอบการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ของประเทศ ดังเช่นที่ปรีดี ได้กล่าวไว้ใน เค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[2] 

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแล้วสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า โครงสร้างของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นมีความฝืดเคืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ กระบวนการสะสมทุนทางเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำจนส่งผลโดยตรงต่อความทุกข์ยากของราษฎร[3]

ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในปัจจุบันงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกผ่านการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริง[4] โดยกลุ่มขุนนางและเจ้าศักดินาในระบอบเดิมได้ปรับตัวเข้ากับระเบียบโลกใหม่ตามพระราชนิยมและความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สยามจะอาศัยประโยชน์นี้โดยเข้าไปมีส่วนร่วมและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก การค้าเพื่อสะสมทุนได้เข้ามาเป็นฐานอำนาจหลักของชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่แทน[5]

รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเวลานั้นให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางผ่านการสถาปนารัฐราชการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประการที่สอง การรวมทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้การควบคุมของรัฐบาลราชสำนักที่กรุงเทพฯ[6]

กล่าวเฉพาะในเรื่องของการระดมทรัพยากร ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นก็คือ “ที่ดิน” กลไกที่รัฐบาลในเวลานั้นใช้ก็คือ การออกพระบรมราชโองการประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 120 และพระบรมราชโองการประกาศแก้วิธีและพิกัดเก็บเงินค่านา ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บอากรค่านาของรัฐบาลราชสำนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องมีการประเมินใหม่ทุกปีดังเช่นนาฟางลอย แต่ผลกระทบกลับตกอยู่กับชาวนา เพราะนอกจากอากรค่านาจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว จาก 1 สลึงเป็น 1 บาทแล้ว ชาวนายังถูกบังคับให้ต้องทำนาให้เต็มพื้นที่ทุกปี เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องเสียอากรอยู่ดี[7] ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบต่อชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ในเวลานั้นนอกจากอาชีพข้าราชการแล้ว อาชีพอีกอย่างหนึ่งที่ชาวสยามนิยมทำกันคือ การทำเกษตรกรรม เป็นชาวนา  โดยจากการสำรวจของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจในชนบท ในปี พ.ศ. 2473 พบว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในสยามจะมีอาชีพเป็นชาวนา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและอาศัยวิธีการเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน[8] และสภาพของการทำนาในเวลานั้นพึ่งพาธรรมชาติและขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี ประกอบกับต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมา แต่ได้ผลตอบแทนน้อย[9] แต่กลับต้องแบกรับภาระจากการทำนาเป็นอาชีพเป็นจำนวนมากทั้งภาษีและค่าใช้จ่ายในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ดังนั้น นโยบายทางการเงินการคลังในช่วงก่อน 2475 กลายเป็นเครื่องมือในการดึงส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจจากราษฎรตามหัวเมืองต่างๆ ที่เรียกว่า ‘การสกัดส่วนเกิน’ เพื่อมาแบ่งสรรให้แก่ชนชั้นปกครองโดยเฉพาะราชสำนักและกองทัพ[10]

การอภิวัฒน์สยามเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ผลของความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เอง ทำให้เมื่อเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจตนารมณ์นี้ปรากฏชัดเจนใน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ความว่า

“…บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”

นอกจากนี้ ความในประกาศคณะราษฎรแล้ว อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะราษฎรมุ่งที่จะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็คือ หลักการในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 3

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

เมื่อพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังนั้น ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญ และผู้ถูกเรียกว่า มันสมองของคณะราษฎรนั้น เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านทฤษฎีปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องบน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องล่าง ซึ่งก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ[11] โดยการทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องทางเศรษฐกิจผ่านกระบวนการประชาธิปไตย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย


เชิงอรรถ

[1] พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล, ‘บางบันทึกของ ‘ปรีดี’ ต่อกรณีอภิวัฒน์สยาม 2475’ (the 101.world, 30 มิถุนายน 2560) <https://www.the101.world/pridi-on-2475/> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565; อิทธิพล โคตะมี, ‘การอภิวัฒน์ที่นำมาสู่หลักการ ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 16 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/738> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150.

[3] อิทธิพล โคตะมี, ‘การสกัดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ : กลไกสะสมทุนศักดินา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1063> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563 <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[5] อิทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 4).

[9] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525) 57.

[10] ทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

รักเราไม่เท่ากัน: พิจารณามุมมองของ “สมรสเท่าเทียม” และ “จดทะเบียนคู่ชีวิต”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 มิถุนายน 2565) ได้มีการจัดงานบางกอก “นฤมิตไพรด์” ซึ่งเป็นการจัดงานไพรด์พาเหรดอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการร่วมฉลองเทศกาลไพรด์พร้อมๆ กับทั่วโลก สิ่งหนึ่งที่ปรากฏในงานพาเหรดดังกล่าวคือ การแสดงจุดยืนที่เรียกร้องกฎหมายรับรองการสมรสเท่าเทียม (เดิมมีกำหนดเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา แต่ถูกเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 แทน)

การขับเคลื่อนเพื่อรับรองการ “สมรสเท่าเทียม” ในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นกระบวนการที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณเกือบ 10 ปี ผ่านการขับเคลื่อนและการเรียกร้องของนักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศและสังคม  ทว่า อุปสรรคสำคัญของเรื่องนี้คือ ทัศนคติของรัฐที่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมถึงสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะได้รับรองจากกฎหมายในการจัดตั้งครอบครัว

เมื่อรัฐบงการ รักเราจึงไม่เท่ากัน

แม้ความรักอาจจะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องความสัมพันธ์ดังกล่าวจะพ้นไปจากเรื่องการเมือง (เช่นเดียวกันกับเพศที่ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะเพศ ชาย-หญิง เท่านั้น) เหตุที่ความสัมพันธ์ของคนสองคนกลายมาเรื่องการเมืองก็เพราะว่า การรับรองสิทธิในความสัมพันธ์ถูกบงการด้วยอำนาจรัฐผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งครอบครัว

ความพยายามบงการเรื่องความสัมพันธ์นั้น ไม่ได้ถูกบงการเฉพาะในกฎหมายปัจจุบัน แต่ความพยายามบงการในความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นจากมุมมองของรัฐในการตรากฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักเพศหลากหลาย ดังจะเห็นได้จากท่าทีของรัฐบาลที่มุ่งมั่นจะไม่สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … หรือร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม[1] และพยายามเสนอร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ซึ่งรัฐบาลได้ทำการศึกษาและจัดทำร่างดังกล่าวขึ้นมา[2]

สภาพดังกล่าวสะท้อนปัญหาการรับรองเรื่องความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยที่รัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ถูกสังคมเลือกประติบัติ[3] อย่างเพียงพอ ผ่านการไม่ได้รับรองความหลากหลายทางเพศ และสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศในการกำหนดเจตนารมณ์ของชีวิตครอบครัว การไม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเลือกที่จะสนับสนุนกฎหมายการจดทะเบียนคู่ชีวิตแทนการจะผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม (พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม)

ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่ว่า การที่รัฐเข้ามาบงการเหนือเนื้อตัวร่างกายและกำหนดความสัมพันธ์ในชีวิตครอบครัวของปัจเจกบุคคลอาจจะทำให้เกิดความไม่เสมอภาคกันระหว่างผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จดทะเบียนคู่ชีวิตกับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรส

ความแตกต่างระหว่าง “กฎหมายคู่ชีวิต” กับ “กฎหมายการสมรสเท่าเทียม”

ความแตกต่างระหว่างกฎหมายการสมรสเท่าเทียมกับกฎหมายคู่ชีวิตนั้น ตั้งอยู่บนวิธีคิดที่แตกต่างกัน การจดทะเบียนคู่ชีวิตเป็นการสร้างระดับของความสัมพันธ์ที่แยกออกจากระบบการจดทะเบียนสมรส โดยผู้จดทะเบียนจะมีสถานะเป็นคู่ชีวิตของคนเพศเดียวกัน[4] ในขณะที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมุ่งที่จะแก้ไขบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จากการกำหนดให้ใช้เฉพาะชายและหญิงเพื่อให้รองรับการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ[5]

จุดเริ่มต้นของการเกิดกฎหมายคู่ชีวิตนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 เมื่อมีคู่รักเพศเดียวกันไปแสดงความประสงค์จดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธโดยนายทะเบียนครอบครัว เพราะไม่ใช่คู่รักชายหญิง[6] ที่กฎหมายรับรองให้จดทะเบียนสมรสได้[7] ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่ความพยายามผลักดันกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม[8] ร่างกฎหมายคู่ชีวิตฉบับแรกเกิดขึ้นโดยกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรม ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2556 แต่ในท้ายที่สุดร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวก็ตกไปโดยไม่ได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

จนในเวลาต่อมาได้มีความพยายามเสนอร่างกฎหมายคู่ชีวิต ฉบับภาคประชาชน[9] ภายใต้การขับเคลื่อนของนักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ภาคประชาสังคม และวิชาการ โดยการดูแลของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)[10]  

อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดร่างกฎหมายคู่ชีวิต ภาคประชาชน ก็ไม่มีความคืบหน้าและหยุดการเคลื่อนไหวไป เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนจากการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร จนในปัจจุบันหน้าที่ในการขับเคลื่อนกฎหมายคู่ชีวิตกลับไปอยู่ในการดูแลของกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรมอีกครั้งหนึ่ง

ในขณะที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาในภายหลัง โดยประมาณปี พ.ศ. 2562 ประชาชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และพรรคการเมืองได้มีความพยายามในการนำเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ 5 ครอบครัว เพื่อรองรับการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และในเวลาต่อมาคณะทำงานเพื่อการสมรสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน ร่วมกับองค์กรและบุคคล 80 รายชื่อ เพื่อแสดงจุดยืนและขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยกเลิกร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และเสนอให้แก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แทน ทว่า ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากหน่วยงานภาครัฐ[11]

จนกระทั่งในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ยื่นร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว มีเนื้อความแก้ไขอีกหลายมาตราที่เกี่ยวพันกับการสมรสและสิทธิการตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ[12] โดย ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อธิบายเหตุผลในการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า สิทธิในการก่อตั้งครอบครัวเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน การออกแบบกฎหมายจึงต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ด้วย การแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับรองเฉพาะคู่รักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่มีเป้าหมายเพื่อรองรับสิทธิของทุกคน ให้สอดคล้องต่อความลื่นไหลทางเพศที่เปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตของสังคม[13]

ท้ายที่สุดจะเห็นได้ว่า กฎหมายทั้งสองฉบับตั้งอยู่บนวิธีคิดที่แตกต่างกัน โดยกฎหมายคู่ชีวิตนั้นมุ่งที่จะรับรองสิทธิในการจดทะเบียนคู่ชีวิตของคนเพศเดียวกัน แต่ในขณะที่การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นการรับรองสิทธิในการสมรสของคนทุกเพศ

นอกเหนือจากความแตกต่างของในเชิงวิธีคิดแล้ว ในเชิงเนื้อหาเมื่อเปรียบเทียบเนื้อหาของร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนั้นก็มีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังต่อไปนี้

บุคคลที่ได้รับรองสิทธิตามกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต มุ่งหมายจะให้ความสำคัญกับการรับรองสิทธิของคนเพศเดียวกันโดยกำเนิดเท่านั้น ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม มุ่งจะรับรองสิทธิของคนทุกๆ เพศ[14] ซึ่งในปัจจุบันความหลากหลายทางเพศมีมากกว่าการเป็นเพียงคนรักเพศเดียวกันเท่านั้น  ทว่า เพศนั้นมีความหลากหลายมากไปกว่านั้น เช่น คู่รักเพศหลากหลายอาจจะเป็นชายที่เคยผ่านกระบวนการแปลงเพศและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงในฐานะคู่รักที่เป็นเลสเบี้ยน บทนิยามของกฎหมายที่ให้พื้นที่เฉพาะกับคนรักเพศเดียวกันโดยกำเนิดอาจจะไม่สอดคล้องกับเพศที่เป็นอยู่จริง เป็นต้น

สถานะของบุคคลตามกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ได้กำหนดสถานะใหม่ในความสัมพันธ์ขึ้นมาเรียกว่า “คู่ชีวิต” ซึ่งหมายถึง บุคคลสองคนซึ่งเป็นเพศเดียวกันโดยกำเนิดและได้จดทะเบียนคู่ชีวิต[15] ซึ่งสถานะของคู่ชีวิตก็จะแตกต่างจากคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม) เป็นความพยายามแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสมรสเพื่อรองรับการสมรสของคนเพศหลากหลาย เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในการสมรสของคนทุกเพศ โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการสมรสของคนทุกเพศ[16]

การหมั้น ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ไม่ได้กำหนดเรื่องการหมั้นเอาไว้ในกฎหมาย  ฉะนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่า การหมั้นและสถานะของการเป็นคู่หมั้นนั้นไม่ได้รับการรับรองในกรณีของการเป็นคู่ชีวิต  ฉะนั้น เมื่อมีการหมั้นเกิดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นคู่ชีวิตในอนาคต และมีเหตุให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำการจดทะเบียนคู่ชีวิตต่อไปได้ การใช้สิทธิใดๆ ระหว่างบุคคลสองคนนั้นก็จะไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องการหมั้นได้ ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม นอกเหนือจากจะมีการแก้ไขเพื่อรับรองสิทธิในการหมั้นของผู้มีความหลากหลายทางเพศแล้ว กฎหมายยังได้แก้ไขในเรื่องการหมั้นที่เดิมจะมีเฉพาะฝ่ายชายที่มอบของหมั้นให้กับฝ่ายหญิง แต่กลายเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความสามารถเป็นผู้ให้ของหมั้นได้[17]

อายุขั้นต่ำของผู้จดทะเบียน ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต กำหนดไว้ว่า บุคคลที่จะจดทะเบียนคู่ชีวิตได้นั้นจะต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องสมรสในปัจจุบัน[18] (ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต เดิมเคยกำหนดไว้ที่อายุ 20 ปีบริบูรณ์)[19]

สิทธิต่างๆ ในทางกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต กำหนดสิทธิต่างๆ ของคู่ชีวิตไว้[20] เช่น การให้ความยินยอมรักษาพยาบาล การเข้ามาจัดการสิทธิในกรณีเป็นผู้ไร้ความสามารถ การดำเนินคดีอาญาแทนคู่ชีวิตของตน การจัดการศพ และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น บรรดาสิทธิเหล่านี้ได้นำความสัมพันธ์ของคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาเป็นต้นแบบ ซึ่งหากมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อรองรับสิทธิดังกล่าวก็จะทำให้คู่สมรสที่เป็นคนเพศหลากหลายสามารถที่จะจัดการสิทธิของคู่สมรสได้ตามปกติ

การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต กำหนดเรื่องทรัพย์สินระหว่างคู่ชีวิตไว้ในลักษณะคล้ายคลึงกันกับทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส โดยกำหนดรับรองทรัพย์สินระหว่างคู่ชีวิต หากไม่ได้มีการแยกไว้เป็นสินส่วนตัวโดยการทำสัญญาไว้ก็จะต้องบังคับตามกฎหมายคู่ชีวิต โดยกำหนดหน้าที่จัดการทรัพย์สินร่วมกันไว้ ในส่วนของร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมนั้น กฎหมายแก้ไขเรื่องคู่สมรสทำให้เรื่องการจัดการทรัพย์สินร่วมกันเป็นเช่นเดียวกันกับหลักการเรื่องคู่สมรส

การสิ้นสุดความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ในเรื่องการสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างคู่ชีวิตตาม พ.ร.บ. คู่ชีวิตนั้น มีเนื้อหาโดยส่วนใหญ่ลอกเลียนแบบมาจากคู่สมรส

การรับมรดก ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ให้เอาเรื่องการรับมรดกของคู่สมรสมาใช้

การรับบุตรบุญธรรมและการมีบุตร กฎหมายบัญญัติเรื่องการรับบุตรบุญธรรมของคู่ชีวิตเอาไว้จากเดิมกำหนดให้บุตรบุญธรรมเป็นบุตรบุญธรรมเฉพาะของคู่ชีวิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ภายหลังการรับฟังความคิดเห็นได้มีการปรับปรุงร่างให้มีการยอมรับให้บุตรบุญธรรมสามารถเป็นบุตรบุญธรรมของคู่ชีวิตทั้งสองฝ่ายได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เนื้อหามีความสอดรับกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มากขึ้น

การเข้าถึงสวัสดิการ การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐตามสิทธิต่างๆ ยังคงมีปัญหาอยู่ เนื่องจาก พ.ร.บ. คู่ชีวิต ยังไม่ชัดเจนว่า รับรองสิทธิของคู่ชีวิตไว้ในฐานะที่เท่าเทียมกับคู่สมรส  ฉะนั้น ในกรณีที่กฎหมายใดๆ ให้สิทธิแก่คู่สมรสในเรื่องการเบิกสิทธิสวัสดิการของข้าราชการ หรือการลดหย่อนภาษีตามประมวลรัษฎากร ในกรณีที่บุคคลเป็นคู่สมรส และอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำงานสามารถลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น แต่การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม จะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ โดยการรับรองสิทธิบางประการที่ให้กับคู่สมรสเดิม และเปิดไปสู่การแก้ไขกฎหมายอื่นๆ เพื่อรับรองสิทธิ

การเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนคู่ชีวิต การจดทะเบียนคู่ชีวิตตามร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนคู่ชีวิต 500 บาท แตกต่างจากการจดทะเบียนสมรสที่ไม่เสียค่าธรรมเนียม แม้อัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนคู่ชีวิตดังกล่าวจะเป็นเพดานขั้นสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า กฎหมายควรจะต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้บนหลักการที่เท่าเทียมกันหรือไม่ หากต้องการสนับสนุนสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง

 ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนคู่ชีวิต[21]ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสมรส[22]
การจดทะเบียนไม่เสียค่าธรรมเนียมไม่เสียค่าธรรมเนียม
การจดทะเบียนนอก
สำนักทะเบียน
1,000 บาท200 บาท
การจดทะเบียนนอก
สำนักทะเบียนในพื้นที่ห่างไกล
1,000 บาท1 บาท
ค่าใช้จ่ายสำหรับพาหนะให้แก่นายทะเบียน1,000 บาทกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของคู่สมรสในการจัดพาหนะหรือใช้ค่าใช้จ่ายตามสมควร

ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สาระสำคัญของการเป็นคู่ชีวิต ตามร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต รับรองไว้จะมีสาระสำคัญใกล้เคียงกับการเป็นคู่สมรสมากขึ้น แต่ยังคงมีรายละเอียดบางประเด็นที่ทำให้เกิดความแตกต่าง เช่น สถานะของบุคคลตามกฎหมาย การหมั้น และการรับสิทธิสวัสดิการ เป็นต้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดสถานะของคู่ชีวิตที่ยังไม่เท่ากันกับคู่สมรส ซึ่งกลายเป็นการจำกัดพื้นที่ของผู้มีความหลากหลายทางเพศให้แตกต่างจากเพศชายและหญิงในการดำรงบทบาทการเป็นครอบครัว การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต จึงอาจกลายเป็นการละเลยต่อสิ่งสำคัญที่สุดที่สังคมควรให้ความสำคัญ คือ ความเสมอภาคบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

สิ่งนี้อาจจะกลับมาสู่ประเด็นว่า แท้จริงแล้วภายใต้การบงการของรัฐสถานะของความสัมพันธ์บนพื้นฐานความรักของคนสองคนอาจจะไม่เท่ากับคนอื่น และสังคมเช่นนี้จะเป็นมิตรกับผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริงหรือไม่ อาจจะถึงเวลาที่รัฐจำเป็นต้องตั้งใจฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนให้มากขึ้นเสียที


เชิงอรรถ

[1] ประชาไท, ‘ครม.มีมติคว่ำร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ที่สภาเสนอ ชี้ เนื้อหาคล้าย พ.ร.บ.คู่ชีวิตของ รบ.’ (ประชาไทย, 29 มีนาคม 2565) <https://prachatai.com/journal/2022/03/97915> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[2] กรุงเทพธุรกิจ, ‘ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ส่งต่อที่ประชุม ส.ส. พิจารณา’ (กรุงเทพธุรกิจ, 7 มิถุนายน 2565) <https://www.bangkokbiznews.com/politics/1008641> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[3] ประติบัติ คำนี้มิได้สะกดผิด การเลือกใช้คำว่า “ประติบัติ” หมายถึง การปฏิติบัติต่อเขาในเชิงร้าย

[4] ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … มาตรา 3 (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร).

[5] ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 15 (ฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร).

[6] วจนา วรรลยางกูร ‘ขนมหวานจาก คสช. ‘พ.ร.บ. คู่ชีวิต’ คนเท่ากันแต่ยังไม่เท่าเทียม’ (The 101.World, 8 เมษายน 2562) <https://www.the101.world/partnership-law/> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[7] ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448.

[8] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 6).

[9] ร่างกฎหมายคู่ชีวิต ภาคประชาชน มีความแตกต่างจากร่างกฎหมายคู่ชีวิตของกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรม โดยมีสาระสำคัญ 8 ประการ ได้แก่ (1) ร่างกฎหมายนี้จะรับรองการจดทะเบียนคู่ชีวิตของบุคคลสองคน (ไม่มีการระบุเพศแต่อย่างใด) บุคคลที่จะจดทะเบียนภายใต้กฎหมายนี้จะสามารถกระทำได้ระหว่างบุคคลสองคนไม่ว่าจะมีเพศกำเนิดเช่นใด (2) บุคคลที่มีสัญชาติไทยสามารถทำการจดทะเบียนกับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยฝ่ายหลังได้รับสิทธิพำนักอาศัยและสามารถขอสัญชาติไทยได้ (3) ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการหมั้นตามกฎหมายครอบครัว (4) ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ชีวิต ต้องดำเนินชีวิตร่วมกันด้วยความเคารพและปฏิบัติต่อกันบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่กินในครัวเรือนเดียวกัน และไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กันก็ได้ (5) การจัดการทรัพย์สินเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายครอบครัว โดยยอมรับหลักการจัดการทรัพย์สินซึ่งจำแนกเป็นสินส่วนตัวซึ่งแต่ละคนได้มาก่อนการจดทะเบียนคู่ชีวิต และทรัพย์สินที่ได้มาภายหลังการจดทะเบียนคู่ชีวิตถือว่าเป็นการทำมาหาได้ร่วมกัน และยอมรับการทำสัญญาระหว่างบุคคลทั้งสองในเรื่องที่ว่าด้วยทรัพย์สินก่อนจดทะเบียนคู่ชีวิต (6) การยุติสถานะคู่ชีวิตสามารถเป็นไปได้ตามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการยุติสถานะคู่ชีวิตโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม ก็สามารถดำเนินการร้องขอ โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวหาความผิดของอีกฝ่าย (No Fault Base) ก็ได้ (7) บุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายนี้สามารถรับบุตรบุญธรรมได้โดยเป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ (8) คู่ชีวิตที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายนี้มีสถานะเช่นเดียวกับคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว และสามารถได้รับสิทธิตามที่กฎหมายอื่นได้บัญญัติรับรองสิทธิของคู่สมรสต่างเพศเอาไว้ เช่น สิทธิในฐานะเป็นทายาทตามประมวลกฎหมายและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่องมรดก สิทธิสวัสดิการในฐานะเป็นคู่สมรสของข้าราชการ  ดังจะเห็นได้ว่า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ 4 ประการนั้นต้องการเสริมสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างผู้มีความหลากหลายทางเพศให้เท่าเทียมกับชายและหญิง ซึ่งกฎหมายไม่ได้ประสงค์จะให้เกิดการแบ่งแยกโดยเหตุของเพศ ดู มนธ.เพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ (for-sogi), ‘ขออัปเดตเรื่องร่างพรบ.คู่ชีวิตฉบับภาคประชาชน’ (Facebook, 10 กุมภาพันธ์ 2561) <https://www.facebook.com/thaisogi/photos/ขออัปเดตเรื่องร่างพรบคู่ชีวิตฉบับภาคประชาชนนะคะ-หลังจากรปห-ก็ยังไม่ได้มีการจักิ/2128950877131617/> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[10] สิริโฉม พรหมโฉม, ‘การจดทะเบียนสมรสของคนรักเพศเดียวกัน’ (2560) 1 จุลนิติ 159, 165 <https://www.senate.go.th/assets/portals/93/fileups/272/files/S%E0%B9%88ub_Jun/12know/k132.pdf> สืบค้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2565.

[11] ประชาไท, ‘ร่อน จม. เปิดผนึก ถึง รมว. ยุติธรรม ขอยกเลิก ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต เหตุยังไม่ครอบคลุมทั้งหมดของการใช้ชีวิตคู่’ (ประชาไท, 22 สิงหาคม 2562) <https://prachatai.com/journal/2019/08/83980> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[12] BBC News ไทย, ‘LGBTQ: ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เลื่อนเข้าสภา 15 มิ.ย. อาจได้พิจารณาประกบร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต’ (BBC, 7 มิถุนายน 2565) <https://www.bbc.com/thai/thailand-61716154> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[13] iLaw, ‘Pride Month: สำรวจ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต-กฎหมายแพ่งว่าด้วยการสมรส’ (iLaw, 18 มิถุนายน 2563) <https://ilaw.or.th/node/5695> สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2565.

[14] ดู ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … มาตรา 3 (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร) เปรียบเทียบกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 15 (ฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร).

[15] ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … มาตรา 3 (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร).

[16] ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 15 (ฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร).

[17] ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 5 และมาตรา 6 (ฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร).

[18] ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … มาตรา 7 (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร).

[19] อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องอายุของคู่สมรสนั้น ตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 15 (ฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ได้มีการเสนอปรับอายุของคู่สมรสไปเป็น 18 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้สอคดล้องกับอนุสัญญาเด็ก ซึ่งกำหนดอายุขั้นต่ำของบุคคลที่เหมาะสมจะสมรสได้จะต้องอายุ 18 บริบูรณ์  ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้ห้ามเหตุเฉพาะที่จำเป็นต้องให้มีการสมรส.

[20] ดู ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … มาตรา 18 ถึงมาตรา 23 (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร).

[21] ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … อัตราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายท้ายพระราชบัญญัติ (ฉบับที่คณะรัฐมนตรีใช้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร).

[22] กฎกระทรวงฉบับที่ 6 ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478.

Unfair Laws in Tourism Need Overhaul

First Published in Bangkok Post on Wednesday, June 9, 2022

For the past two years, Thailand’s tourism industry has been in a coma due to the Covid-19 pandemic. To revive the economy, the government has now relaxed Covid-19 control measures to reopen the country. Big hotels now have a chance to recover but for a majority of small hotels, however, it is already too late — many of them had their fate sealed by outdated laws regulating hotels that made it near impossible for them to gain an operating licence.

Ask operators of small hotels and hostels, and they will pour out the same grievances; the laws regulating hotels not only favour big hotels and discriminate against small operators, but they also prevented small players from receiving state assistance during the pandemic.

For example, when the government launched the Sandbox Programme to revive the tourism industry last year, small hotel operators cried foul with only big hotels eligible for the programme. Small hotel operators petitioned Prime Minister Prayut Chan-o-cha for intervention for they, too, desperately needed help.

The state authorities argued that most small hotels were not eligible because they did not have an operating licence. But not having the licence is not their fault, smaller operators claimed. The crux of the problem is that the laws regulating hotels make it next to impossible for small operators to obtain a licence.

For starters, laws governing hotels do not differentiate between big and small businesses. They have fixed, uniform standards that require high investment for all hotels regardless of business size. While big hotels with money can meet such requirements, most small hotels and those run by local communities cannot.

“Without an operating licence, they cannot get emergency assistance from the government when hit by the pandemic. Worse, they are considered illegal businesses.”

The smaller operators’ requests for more flexible and timely regulations to fit local conditions and adapt to changes have been rejected. Without an operating licence, they cannot get emergency assistance from the government when hit by the pandemic. Worse, they are considered illegal businesses.

At present, hotel operators are governed by the 2004 Hotel Act, the 1990 Town and Country Planning Act and the 1979 Building Control Act. Apart from being outdated, the standards required by these laws are based on the operations of large hotels. When small operators cannot meet the legal requirements more suited for big hotels such as noise control, the size of a water treatment system, and parking spaces, they are denied the licences.

Similarly, the building law is designed for the construction and safety of large buildings. Many small hotels, meanwhile, are renovations of old homes or commercial buildings. Although the authorities at the Department of Public Works and Town and Country Planning have adjusted some requirements to accommodate small buildings, the changes still do not cover many types of accommodation such as boathouses or treehouses.

The tourists’ increasing preference for cosy accommodations with quaint charms has led to the mushrooming of boutique hotels and small hotels across the country. The locals finally have a chance to benefit from tourism, not only big investors. The outdated laws, however, make it very difficult for them to obtain an operating licence.

According to the Department of Provincial Administration, there are 30,000 registered hotels nationwide. Meanwhile, over 60,000 hotels are listed on the Online Travel Agency website.

Apart from specifying the size and structure of the buildings, hotel laws also require a separation between the operators’ homes and hotel areas. They also prohibit homestays to have more than four rooms and receive more than 20 customers.

These rules affect homestay businesses where the owners live on the same premises. It also prevents homestays from growing, thus making it difficult for the owners to improve their venues and services.

Furthermore, hotel laws specify in detail what services must be provided. When small hotel customers only need clean rooms to stay in, this rule on mandatory services has put an extra financial burden on small hotel operators.

In 2019, the government initiated a temporary solution for small hotels, giving them two years to improve their premises so they comply with the laws and file for a licence. The grace period expired in August last year.

The reprieve was no use, however, because it came when the country was hit by Covid which almost wiped out the whole tourism industry. Small hotels, struggling to survive, simply have no resources to develop their operations and file for the licence within the deadline.

Instead of forcing small operators to comply with outdated laws, the government must overhaul the laws that prevent small players and local communities from benefiting from the tourism industry.

True, the hotel and building laws aim to protect customers and the public but the situation has changed and the laws are now out-of-date. They must be modernised to help small hotels conduct business.

Changing the rules and regulations here and there does not suffice, however. The laws governing the tourism industry must be comprehensively revamped.

First, since the grace period for applying for the operating licence is over, the government should consider issuing an emergency decree to extend the reprieve. This will give the operators more time to develop their premises and apply for the licence.

For a long-term solution, the government must overhaul the laws and ministerial regulations that affect small hotel operations and licensing. Building standards and other requirements should accommodate a wide range of accommodations, especially small hotels and special categories such as boathouses and treehouses.

With tourism markets becoming more niche, hotel laws should support the operations of small hotels to answer the customers’ particular needs. Unnecessary requirements and rules should be lifted. Importantly, the laws on hotel operations and building control should not be implemented separately, not combined in one package to govern the hotel industry as it is now.

Importantly, the oversight authority should be in the hands of local governments instead of being centralised by the Department of Provincial Administration. The local administration bodies understand better local conditions and can provide faster remedies when problems occur. Also, local governments have more incentives to support tourism in their jurisdictions much more so than the officialdom based in Bangkok.

Such a legal overhaul will help small hotels develop and expand their businesses. For not having to meet large hotel standards will give them more resources to improve their venues and services in other ways. The customers will then have more high-quality choices for their different tastes and needs.

Modernising the laws is necessary if Thailand wants to recover from the pandemic quickly. Importantly, the legal overhaul will ensure that tourism benefits will be distributed fairly to all players, especially local communities. After all, it is the duty of the government to ensure fair play and prevent the law from aggravating injustices.

PDPA101: มาเข้าใจกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแบบนับหนึ่งกันเถอะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

1 มิถุนายน 2565 วันนี้เป็นวันแรกที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะเริ่มบังคับใช้ ภายหลังจากเลื่อนมาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว ทำให้เกิดความตื่นตัวขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อช่วงที่ผ่านมาได้มีข่าวเกี่ยวกับการนำรูปภาพส่วนตัวออกมาเผยแพร่ ประกอบกับมีผู้นำเสนอข้อมูลและสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงทำให้กฎหมายฉบับนี้ถูกพูดถึงเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ มีทั้งความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้อง

ก่อนการบังคับใช้ ในบทความนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนมาทำความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้

ที่มาของกฎหมาย

ในความเป็นจริงแล้ว “กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” นั้น สังคมไทย หากแต่มีความพยายามในการยกร่างกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540[1]  อย่างไรก็ดี เวลาล่วงมากว่า 20 ปี กฎหมายก็ไม่ได้มีการประกาศใช้ จนกระทั่งกระแสเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกลับมาถูกกล่าวถึงมากขึ้นในโลกเมื่อสหภาพยุโรปผ่าน “กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป” (General Data Protection Regulation: GDPR) ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการจัดว่าเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุด และมีผลเป็นการทำให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือต้องยกร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่มีกฎหมายฉบับดังกล่าวเป็นแม่แบบในการยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA

จุดมุ่งหมายของ PDPA

ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสื่อมวลชนและบุคคลสาธารณะจำนวนหนึ่งที่พยายามจะสื่อสารว่า ห้ามมิให้มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะตาม PDPA แล้ว ไม่ได้ห้ามมิให้มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล แต่กฎหมายต้องการให้เกิดความตระหนักถึงสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject; คนที่ข้อมูลนั้นเชื่อมโยงไปถึง) เพื่อให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีอำนาจควบคุมและสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของกฎหมาย คือ การมอบอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การแจ้งเกี่ยวกับการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล และการขอความยินยอมในการเก็บและใช้สำหรับกิจกรรมบางกิจกรรม เป็นต้น

ใครที่ PDPA มุ่งคุ้มครอง

PDPA มุ่งคุ้มครองคนธรรมดาทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังจะเห็นได้จากกฎหมายกำหนดความหมายของ “ข้อมูลส่วนบุคคล” คือ ข้อมูลใดๆ ก็ตามที่สามารถเชื่อมโยงไปหาบุคคลนั้นได้โดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายไม่รวมถึงข้อมูลของคนตายโดยเฉพาะ[2]  ฉะนั้น หากเป็นข้อมูลของคนตายไปแล้วก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายฉบับนี้ แต่ในกรณีของหน่วยงานของรัฐที่เก็บหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลยังคงมีหน้าที่ต้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายอื่น[3]  อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่า นอกหน่วยงานของรัฐข้อมูลส่วนบุคคลของคนตายจะไม่ได้รับความคุ้มครอง ทายาทยังคงดำเนินการในเรื่องของคนตายตามกฎหมายอื่นๆ ได้

PDPA ใช้กับเรื่องใดบ้าง

ขอบเขตการบังคับใช้ PDPA นั้นใช้กับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคนธรรมดา (ฉะนั้น กฎหมายไม่ใช้กับข้อมูลของหน่วยงานหรือองค์กร) ทุกประเภทโดยไม่จำกัด ว่าการเก็บข้อมูลนั้นจะเป็นดิจิทัลหรือกระดาษ

การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยบุคคลธรรมดา หน่วยงานของรัฐ องค์กรธุรกิจเอกชน หรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (สมาคมและมูลนิธิ) 

อย่างไรก็ดี กฎหมายฉบับนี้มุ่งใช้กับกิจกรรมของหน่วยงานหรือองค์กรขนาดใหญ่เสียส่วนใหญ่ที่มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลจำนวนมาก  ฉะนั้น กฎหมายจึงไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของคนธรรมดา เพราะหากเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัวก็จะได้รับการยกเว้น[4] เช่น การถ่ายภาพที่ระลึกครอบครัว การถ่ายวิดีโอของครอบครัว หรือการทำแผนผังครอบครัว เป็นต้น  ฉะนั้น ในทางปฏิบัติคนธรรมดาแบบเราคือคนสำคัญที่กฎหมายมุ่งจะคุ้มครอง

ใครมีหน้าที่ตาม PDPA และต้องทำอะไรบ้าง

ตาม PDPA กำหนดหน้าที่ให้กับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ซึ่งก็คือ “บุคคลธรรมดา” (คนธรรมดาแบบเรา) หรือ “นิติบุคคล” (หน่วยงานหรือองค์กร) ที่มีการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (เข้าไปเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของคนอื่น) ซึ่งกฎหมายกำหนดหน้าที่ให้คนคนนี้ ต้องปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหน้าที่โดยส่วนใหญ่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลก็คือ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ให้หลักประกัน) มิให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้นอกเหนือความคาดหมายของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และสนับสนุนการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจจะสรุปหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลักการสำคัญที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้[5]

1. หลักความชอบด้วยกฎหมาย ความเป็นธรรม และความโปร่งใส ผู้ควบคุมจะต้องกำหนดให้การเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องเป็นไปโดยมีเหตุผลความจำเป็นที่สามารถอ้างอิงฐานการประมวลผลได้ และมีการประกาศ/แจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบเหตุผลความจำเป็น

2. หลักการจำกัดวัตถุประสงค์ โดยกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลกระทำเท่าที่จำเป็นภายใต้ขอบเขตของวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. หลักการรวบรวมข้อมูลเท่าที่จำเป็น การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์และรวบรวมข้อมูลเฉพาะเท่าที่จำเป็นและในสัดส่วนที่เหมาะสม

4. หลักความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคล การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจำเป็นต้องจัดให้มีมาตรการหรือวิธีการใดๆ เพื่อรับรองข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

5. หลักการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจำกัดระยะเวลา ภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์

6. หลักความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลและการเก็บรักษาเป็นความลับ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลด้วยความระมัดระวังและใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลหรือการสูญหาย

7. หลักความรับผิดชอบ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีความรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวข้างต้น และจะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้มีการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ดี หากจะสรุปหน้าที่ตามหลักการ 7 ประการก็คือ

(1) การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องใช้เท่าที่จำเป็น เหมาะสมโดยแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบวัตถุประสงค์การเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย และในกรณีที่ต้องขอความยินยอมก็ต้องขอความยินยอมให้ถูกต้องตามกฎหมาย

(2) ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล หลีกเลี่ยงการให้บุคคลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล และคอยตรวจสอบให้ข้อมูลดังกล่าวอัปเดตตรงกับความเป็นจริง และ

(3) เมื่อเกิดข้อผิดพลาดใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องดำเนินการแจ้งหน่วยงานกำกับดูแลให้ทราบและแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่กฎหมายกำหนด

แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะใหม่ แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ เพราะหากทำความเข้าใจหลักการของกฎหมายทั้งหมดแล้วการปฏิบัติตามกฎหมายในลำดับต่อไปก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ PDPA สามารถติดตามช่องทางอย่างเป็นทางการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามกฎหมายได้ทาง Facebook Fanpage PDPC Thailand


เชิงอรรถ

[1] นคร เสรีรักษ์, ความเป็นส่วนตัว (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์ฟ้าฮ่าม 2563) 263 – 264.

[2] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 6.

[3] ดู พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540.

[4] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 4 (1).

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เมื่อเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีค่าดั่งทองคำ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 28 กุมภาพันธ์ 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/02/991> สืบค้นเมื่อ 31 พฤษภาคม 2565.

กว่าจะมาเป็น (ประเทศ) กรุงเทพมหานครแบบทุกวันนี้: ประวัติความเป็นมา และหน้าที่ภารกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

นอกจากการเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแล้ว กรุงเทพมหานครยังมีความสำคัญในฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ และยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยประชากรจำนวนมาก

อดีตของกรุงเทพฯ จากเทศบาลพระนครสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอย่างในปัจจุบัน ในอดีตกรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า เทศบาล โดยย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2476

รัฐบาลในเวลานั้นโดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในช่วงก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองนายปรีดี ผ่านการสถาปนาโครงสร้างความคิดเกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนกลาง-ภูมิภาค-ส่วนท้องถิ่นของไทย[1] 

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 และ พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินของไทยใหม่ โดยการยุบมณฑลลงให้เหลือแต่จังหวัดและอำเภอเท่านั้น และได้มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเทศบาลนั้นเป็นรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบใหม่ของประเทศไทยโดยรับเอารูปแบบเทศบาลมาจากประเทศฝรั่งเศส[2]

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลได้มีการเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งเทศบาลนครกรุงเทพ พ.ศ. 2479 และพระราชบัญญัติจัดตั้งเทศบาลนครธนบุรี พ.ศ. 2479 โดยให้มีผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2480 เมื่อเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2480 เทศบาลนครกรุงเทพมี นายพลเอก เจ้าพระยารามราฆพ เป็นนายกเทศมนตรีคนแรก จนกระทั่งในเวลาต่อมา จอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะรัฐประหารในเวลานั้น ได้สั่งให้รวมจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรีเป็นหนึ่งจังหวัด เรียกว่า “นครหลวงกรุงเทพธนบุรี” โดยตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เรียกว่า ผู้ว่าราชการนครหลวงกรุงเทพธนบุรี[3]  ผลของการรวมจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกันมีผลให้เทศบาลนครทั้งสองถูกยุบเข้าด้วยกันกลายเป็น “เทศบาลนครหลวง”

ในเวลาต่อมา คณะรัฐประหารของจอมพลถนอม ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ใหม่เป็น “กรุงเทพมหานคร” โดยให้มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบ และได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครตามจำนวนเขตในกรุงเทพมหานคร โดยให้สมาชิกสภากรุงเทพมาจากการเลือกตั้ง (อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกสภาบางส่วนมาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) รวมถึงให้มีการแปลงสภาพอำเภอทั้งหมดไปเป็นเขตแทน และตำบลไปเป็นแขวง[4] ซึ่งรูปร่างหน้าตาของกรุงเทพมหานครเวลานั้นเป็นรูปร่างหน้าตาที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบันมากที่สุด

ภายหลังจากนี้ แม้จะมีการตรากฎหมายจัดระเบียบกรุงเทพมหานครฉบับอื่นๆ ออกมา ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 และ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แต่ก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของกรุงเทพมหานครไปจากที่กำหนดไว้ในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 เท่าใดนัก

ภารกิจของกรุงเทพมหานคร

ในแง่ของการกระจายอำนาจและความคล่องตัวในการบริหารของกรุงเทพมหานคร ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ได้รับรองอำนาจของกรุงเทพมหานครไว้แตกต่างจากอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในเวลานั้น โดยมีการโอนอำนาจในหลายๆ ส่วนทั้งของข้าราชการส่วนกลางในบางส่วนและส่วนภูมิภาคมาเป็นอำนาจของกรุงเทพมหานคร[5]

ด้วยสถานะของกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองหลวง ทำให้มีความพยายามที่จะยกสถานะของกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษให้แตกต่างไปจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่า กฎหมายกำหนดอำนาจให้กับกรุงเทพมหานครในการดำเนินบริการสาธารณะหลายประการ ดังนี้[6]

  • การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 
  • การทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด
  • การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
  • การผังเมือง
  • การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ
  • การวิศวกรรมจราจร
  • การขนส่ง
  • การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ
  • การดูแลรักษาที่สาธารณะ
  • การควบคุมอาคาร
  • การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
  • การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
  • การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  • การสาธารณูปโภค
  • การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล
  • การจัดให้มีและควบคุมสุสานและฌาปนสถาน
  • การควบคุมการเลี้ยงสัตว์
  • การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์
  • การควบคุมความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการอนามัยในโรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
  • การจัดการศึกษา
  • การสาธารณูปการ
  • การสังคมสงเคราะห์
  • การส่งเสริมการกีฬา
  • การส่งเสริมการประกอบอาชีพ
  • การพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร
  • หน้าที่อื่นๆ ตามที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เทศบาลนคร หรือตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย หรือที่กฎหมายระบุเป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ตามกฎหมายยังกำหนดให้ในกรณีที่กฎหมายใดอ้างถึงกรุงเทพมหานคร เขต แขวง จังหวัด อำเภอ ตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล ให้ถือว่ากฎหมายนั้นอ้างถึงกรุงเทพมหานคร[7] ซึ่งเป็นวิธีการเขียนกฎหมายเพื่อขยายอำนาจมาให้เป็นของกรุงเทพมหานคร

ดังจะเห็นได้ว่า ในทางเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้กรุงเทพมหานครมีความสามารถและได้รับอำนาจมากๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารอย่างคล่องตัวภายในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ในความเป็นจริงอำนาจโดยส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครก็ถูกจำกัดเอาไว้เช่นเดียวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ กล่าวคือ ในกรณีที่กรุงเทพมหานครจะมีอำนาจดำเนินการในเรื่องใดๆ ในข้างต้นได้นั้น ต้องพิจารณาว่ามีกฎหมายอื่นๆ เสียก่อน[8] ซึ่งถ้ากฎหมายอื่นไม่ได้กำหนดให้กรุงเทพมหานครกระทำการดังกล่าว กรุงเทพมหานครจะไม่สามารถดำเนินการเช่นว่าได้[9]

นอกจากนี้ ในเชิงการเมืองมีความพยายามโดยตลอดที่จะลดทอนอำนาจของกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกไป กล่าวคือ เดิมกรุงเทพมหานคร (ในช่วงเป็นเทศบาลนครกรุงเทพ) เคยมีทรัยพ์สินและกิจกรรมอยู่ในการดูแลเป็นจำนวนมาก

โดยในช่วงแรกกรุงเทพมหานครได้รับโอนหน่วยงานและทรัพย์สินจากรัฐบาลมาเป็นของกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ ในเวลานั้น รับมอบสิทธิในกิจการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการในกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กองช่างนคราทร และกองถนน จากกรมโยธาเทศบาล กองสาธารณสุขพระนคร (ยกเว้นกิจการอันเกี่ยวกับลหุโทษ) โรงพยาบาลกลาง และวชิรพยาบาล จากกรมสาธารณสุข และกองตำรวจเทศบาล (ยกเว้นแผนกยานพาหนะพระนครและธนบุรี และ แผนกยานพาหนะหัวเมือง) จากกรมตำรวจ[10] รวมถึงการรับเอากิจการบางอย่าง เช่น กิจการประปา[11] เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมารัฐบาลได้มีความพยายามเอาทรัพย์สินและกิจกรรมที่อยู่ในความดูแลคืนไปจากกรุงเทพมหานคร เช่น กิจการประปา ในปัจจุบันรัฐบาลได้รับโอนกิจการประปากลับมาเป็นของกระทรวงมหาดไทยในรูปของรัฐวิสาหกิจโดยตั้งเป็นการประปานครหลวง[12] เป็นต้น ซึ่งในแง่หนึ่งการกระทำดังกล่าวก็เป็นการลดทอนความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่า “กรุงเทพมหานคร” นั้น นอกจากการมีสถานะเป็นเมืองหลวงแล้ว กรุงเทพมหานครยังมีมุมอีกด้านหนึ่ง คือ การเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่รูปแบบพิเศษ โดยมีหน้าที่ในการบริหารจัดการทำบริการสาธารณะภายในพื้นที่ ในอดีตที่ผ่านมากรุงเทพมหานครค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงจากเทศบาลนครกรุงเทพ มาสู่การเป็นกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ภารกิจของกรุงเทพมหานคร เพิ่มขึ้นมากจากเดิม แม้ว่าในบางส่วนจะถูดฉุดรั้งด้วยนโยบายที่พยายามลดทอนความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จะเห็นได้ว่า รูปแบบการบริหารจัดการกรุงเทพมหานครนั้นแตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ตลอดพื้นที่อย่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งจะเห็นได้ว่า สถานะขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นไม่ได้มีสถานะเทียบเท่ากับกรุงเทพมหานคร ทั้งในเชิงอำนาจขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และความสามารถในการจัดการดูแลภายในพื้นที่ ซึ่งในกรุงเทพมหานครไม่มีราชการส่วนภูมิภาคคอยดูแล

การจัดการทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของกรุงเทพมหานครทั้งหมด แตกต่างกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ภายในพื้นที่ยังประกอบด้วยจังหวัดและอำเภอ ในขณะที่บทบาทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดยังถูกจำกัดด้วยการกำกับดูแลของ “ผู้ว่าราชการ”


เชิงอรรถ

[1] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ‘ปรีดี พนมยงค์ กับการปกครองท้องถิ่นไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 4 กันยายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/09/406> สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 24 ข้อ 1 และข้อ 2.

[4] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ข้อ 1 ถึงข้อ 3, ข้อ 8 และข้อ 11 ถึงข้อ 20.

[5] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ข้อ 18.

[6] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 89.

[7] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 4.

[8] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 89.

[9] บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 168/2544.

[10] พระราชกฤษฎีกามอบสิทธิกิจบางส่วนตลอดทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทยให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ จัดทำ พ.ศ. 2479 และพระราชกฤษฎีกามอบสิทธิกิจการบางส่วนในกรมสาธารณสุข กรมตำรวจ และกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย ให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ จัดทำ พ.ศ. 2480.

[11] พระราชกฤษฎีกามอบการประปากรุงเทพฯ ในกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย ให้เทศบาลนครกรุงเทพ จัดทำ พุทธศักราช 2482 มาตรา 3.

[12] พระราชบัญญัติมอบกิจการประปาเทศบาลนครกรุงเทพ ให้กรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทยจัดทำ พ.ศ. 2495 มาตรา 3 และมาตรา 4.

PRIDI Economic Focus: อ่าน “รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ” และสำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ในอีกไม่กี่ชั่วโมง นอกจากผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหลายท่านจะมีประวัติภูมิหลังที่น่าสนใจแล้ว ที่ผ่านมาหลายท่านก็ได้ยกนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองขึ้นมาพูดอย่างหลากหลายมิติ

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปอ่านบางส่วนของ “รายงานการตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ” ก่อนจะพาทุกท่านไปดูงบประมาณที่กรุงเทพฯ ใช้ในแต่ละปี โดยอาจจะเน้นไปที่ปี พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบัน และชวนสำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

อ่าน “รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ”

ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ เพื่อสรุปผลงานที่ผ่านมาของอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ คนก่อน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และจัดทำข้อเสนอแนะให้กับว่าที่ผู้ว่ากรุงเทพฯ คนใหม่ โดยรายงานฉบับนี้ทีดีอาร์ไอกับศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UddC-CEUS) ได้ร่วมกันจัดทำรายงานการศึกษา

ในรายงานฉบับนี้มีประเด็นที่น่าสนใจสำคัญหลายๆ ประเด็น โดยแบ่งประเด็นการตรวจการบ้านออกเป็น 9 เรื่อง ได้แก่ การวางผังเมือง การจราจรและความปลอดภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดการขยะมูลฝอย การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย การส่งเสริมทักษะเพื่อการประกอบอาชีพ การศึกษา และการรักษาพยาบาล อย่างไรก็ดีที่นี้อาจจะขอยกตัวอย่างการตรวจการบ้านสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ การวางผังเมือง การจราจรและความปลอดภัย และการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

การวางผังเมือง

“การวางผังเมืองกรุงเทพมหานคร” (กทม.) ได้จัดทำผังเมืองรวมและบังคับใช้ผังเมืองรวมไปหลายฉบับ ซึ่งสะท้อนความพยายามในการวางผังเมืองกรุงเทพฯ ในหลายๆ ด้าน

อย่างไรก็ดี กทม. ยังไม่เคยได้บังคับใช้ผังเมืองเฉพาะ แม้จะได้มีการจัดซื้อจัดจ้างให้สถาบันการศึกษาหรือบริษัทที่ปรึกษาหลายแห่ง จัดทำสำหรับบางย่านไปแล้ว สาเหตุมาจากกฎหมายผังเมืองกำหนดให้ผังเมืองเฉพาะจะต้องทำในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการที่ซับซ้อน ผลจากการที่ไม่มีผังเมืองเฉพาะทำให้ผังพัฒนาในระดับย่านที่ กทม. จัดทำขึ้นถูกใช้เป็นเพียงกรอบในการดำเนินงานให้หน่วยงานของ กทม. ของบประมาณพัฒนาโครงการต่างๆ ได้เท่านั้น

ในขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ยังไม่มี “ธรรมนูญท้องถิ่น” เหมือนเมืองที่เป็นมหานครอื่นๆ ที่เป็นข้อตกลงร่วมกันในการพัฒนาย่านต่างๆ และเป็นเครื่องมือในการต่อรอง ควบคุม หรือลดข้อขัดแย้งอันเกิดจากการพัฒนา ทำให้ทิศทางการพัฒนามีลักษณะกระจัดกระจายขาดทิศทาง

นอกจากนี้ การขาดธรรมนูญท้องถิ่นยังส่งผลให้ประชาชน นักพัฒนา สถาบัน และหน่วยงานต่างๆ ในย่านต่างๆ ของกรุงเทพฯ สูญเสียโอกาสในการร่วมมีโอกาสในการพัฒนาเมืองในย่านของตน สิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ต้องจัดทำคือ การหาโอกาสผลักดันให้เกิดผังเมืองฉบับใหม่ ซึ่งยกระดับให้ผังเมืองเฉพาะนั้นกลายเป็น “ธรรมนูญของท้องถิ่น” ที่มีผลบังคับทางกฎหมาย และเป็นจุดเริ่มต้นให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง รวมถึงการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของเมืองในพื้นที่ของตน และใช้ผังเมืองเฉพาะจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ[1]

การจราจรและความปลอดภัย

ผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ผ่านมานั้นมีทั้งส่วนที่แก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและแก้ไขปัญหาได้ไม่ตรงจุด โดยในแง่หนึ่งในช่วงเวลาของพลตำรวจเอกอัศวิน ได้มีการพัฒนาเส้นทางการเดินทางใหม่ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง โครงการเดินเรือในเส้นทางคลองผดุงกรุงเกษม และส่วนต่อขยายคลองแสนแสบ เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาป้ายรถประจำทางโดยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าวนั้นไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่เพียงพอ  นอกจากนี้ ในด้านความปลอดภัย ที่ผ่านมาพลตำรวจเอกอัศวิน ได้มีการติดตั้งกล้อง CCTV ทั่วกรุงเทพฯ แบบเชื่อมต่อศูนย์ควบคุมเพิ่มขึ้น 4,834 ตัว และเชื่อมโยงกล้องเข้าสู่ศูนย์ควบคุมทั้งหมด 42,000 ตัว รวมแล้วทั้งหมด 46,834 ตัว 

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความปลอดภัยในการเดินทางอย่างแท้จริง โดยรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า สถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในอัตราทรงตัว 800 คนต่อปี และจำนวนอุบัติเหตุของคนเดินเท้านั้นมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น[2]

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ กลายเป็นมหานครที่เอื้อต่อรถยนต์มากกว่าประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยผู้ใช้ทางเท้าและผู้ใช้จักรยานยังคงถูกละเลย โดยตัวเลขงบประมาณของสำนักการโยธา กทม. ได้ชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนของงบประมาณทางเท้าและทางจักรยานในแต่ละปีคิดเป็นเพียงร้อยละ 5 ของงบประมาณทั้งหมดของสำนักการโยธา

ด้วยเหตุที่งบประมาณในการสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนที่เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานในสัดส่วนที่ต่ำ ยังสะท้อนผ่านความคืบหน้าในการติดตั้งสัญญาณไฟแบบมีปุ่มกดตรงทางข้าม ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 12 แห่งในระยะเวลา 5 ปี (จาก 214 แห่ง ในปี 2558 เป็น 226 แห่งในปี 2563) คิดเป็นร้อยละ 0.37 ของจำนวนทางข้ามทั้งสิ้น 3,280 จุด ในขณะที่การติดตั้งไฟกระพริบเตือนคนข้ามถนนกลับมีจำนวนลดลงจาก 1,344 แห่งในปี 2561 เหลือเพียง 846 แห่ง ในปี 2563  นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกทั้งเลนจักรยานและการรายงานข้อมูลในเรื่องดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 2560[3]

การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

จากรายงานของทีดีอาร์ไอ ได้ให้ข้อสังเกตว่า การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นปัญหาใหญ่สำหรับมหานคร เช่น กรุงเทพฯ และจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ มากขึ้นจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน จากสถิติการเกิดสาธารณภัยในกรุงเทพฯ (ไม่รวมอุบัติเหตุจากการคมนาคมและขนส่ง) ในช่วงปี พ.ศ. 2550 – 2564 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า เกิดอัคคีภัยขึ้น 2,622 ครั้ง โดยทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คน ในขณะที่ความถี่ในการเกิดอุทกภัยในกรุงเทพฯ ไม่สูงนัก แต่อาจสร้างผลกระทบกับคนกรุงเทพฯ​  นอกจากนี้ ยังมีสาธารณภัยจากฝุ่น PM 2.5 ในช่วงธันวาคม-มีนาคมทุกปี โดยมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจำนวน 38,803 ราย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ[4]

ข้อเสนอแนะของทีดีอาร์ไอต่อ ผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนใหม่จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนของประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งสร้างความปลอดภัยแก่คนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยาน การลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะให้รองรับการเดินทางทั้งบนถนนสายหลัก การเดินทางในซอย และพื้นที่ super block โดยมุ่งให้เกิดการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่บนถนนสายหลัก  อย่างไรก็ดี แม้ว่าการคมนาคมและขนส่งจะไม่สามารถดำเนินการได้โดย กทม. ฝ่ายเดียวทั้งหมด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ต่างๆ แต่หาก กทม. ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและทรัพยากรของตนที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการในการเดินทางของประชาชนได้[5]

ย้อนกลับมาพิจารณางบประมาณของกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ นอกจากจะมีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศ และเมืองสำคัญของประเทศไทย กรุงเทพฯ ยังมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ซึ่งกฎหมายรับรองอำนาจในการบริหารจัดการภายในกรุงเทพฯ รวมถึงให้ความเป็นอิสระในการจัดมากกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นๆ และเพื่อให้สมกับการเป็นเมืองเทพสร้าง กรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการบริหารจัดการภายในพื้นที่

เมื่อพิจารณาย้อนหลังกลับไป 6 ปี (งบประมาณ) กรุงเทพฯ มีการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่น้อยกว่าปีละ 70,000 ล้านบาท โดยในบางปีอาจจะมีการทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม[6]

สำหรับในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมาครึ่งปีงบประมาณแล้ว กรุงเทพฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 79,855 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ จำนวน 78,979 ล้านบาท และ และรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพฯ จำนวน 876 ล้านบาท เมื่อจำแนกงบประมาณรายจ่ายในปี 2565 โดยจำแนกลักษณะงานได้ 9 รายการ ดังนี้[7]

  • ด้านการบริหารจัดการและบริหารราชการกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน 7,386,303,591 บาท
  • ด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย จำนวนเงิน 190,431,425 บาท
  • ด้านเศรษฐกิจและการพาณิชย์ จำนวน 235,144,252 บาท
  • ด้านเมืองและการพัฒนาเมือง จำนวน 10,212,192,200 บาท
  • ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 12,620,934,361 บาท
  • ด้านสาธารณสุข จำนวน 6,092,987,935 บาท
  • ด้านพัฒนาสังคมและชุมชนเมือง จำนวน 1,303,460,611 บาท
  • ด้านการศึกษา จำนวน 711,446,221 บาท
  • การจัดบริการของสํานักงานเขต 16,344,955,867 บาท

เมื่อพิจารณาในแง่ของหน่วยงาน เนื่องจากโครงสร้างการบริหารงานของจากกรุงเทพฯ สะท้อนโครงสร้างการบริหารงานของประเทศ กรุงเทพฯ จึงมีโครงสร้างหน่วยงานในสังกัดจำนวนมาก โดยหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดในปีงบประมาณ 2565 10 อันดับ คือ

  1. สำนักการระบายน้ำ
  2. สำนักสิ่งแวดล้อม
  3. สำนักการโยธา
  4. สำนักการแพทย์
  5. สำนักการจราจรและขนส่ง
  6. สำนักการคลัง
  7. มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  8. สำนักอนามัย
  9. สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว
  10. สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร[8]

ดังจะเห็นได้ว่า งบประมาณรายจ่ายส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ ในปี 2565 ถูกนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่กรุงเทพฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ การระบายน้ำ สิ่งแวดล้อม การโยธา การแพทย์ และการจราจรและขนส่ง โดยเฉพาะเรื่องการระบายน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่กรุงเทพมหานครถูกวิพากษ์วิจารณ์เสมอตั้งแต่ในช่วงที่ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร  อย่างไรก็ดี ในสภาพความเป็นจริงจะเห็นได้ว่า เมื่อฝนตกและน้ำท่วมกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาในเรื่องการระบายน้ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่หลายๆ เขตที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ[9]

ในแง่รายได้ของกรุงเทพฯ นั้น  ส่วนใหญ่มาจากเงินรายได้ที่เป็นภาษี โดยในปีงบประมาณ 2563 กรุงเทพฯ สามารถจัดเก็บรายได้ที่เป็นภาษีได้ 63,722 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ลำดับรองลงมาคือ รายได้จากสาธารณูปโภค การพาณิชย์และกิจกรรมอื่นๆ 49,410 ล้านบาท รายได้เบ็ดเตล็ด 1,538 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับ และค่าบริการ 1,154 ล้านบาท รายได้จากทรัพย์สิน 1,062 ล้านบาท[10] 

ในแง่ความสำเร็จส่วนหนึ่งในการแสวงหารายได้ของกรุงเทพฯ นั้นเป็นผลมาจากการที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เขตองค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ และมีประชากรหนาแน่น ทำให้กรุงเทพฯ มีแหล่งรายได้จำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ

สำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

เมื่อพิจารณางบประมาณของกรุงเทพฯ แล้ว สิ่งที่อยากชวนให้ย้อนกลับมาพิจารณาก็คือ นโยบายของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ โดยยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งจะเห็นได้ว่ามีการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ หลายคน รวมถึงมีการเปิดเผยนโยบายต่างๆ มากขึ้น โดยรายละเอียดของนโยบายที่ผู้สมัครแต่ละคนนำเสนอนั้นมีทั้งในรูปแบบของนโยบายในภาพรวมของกรุงเทพฯ ทั้งหมด และนโยบายในลักษณะรายเขตเชิงพื้นที่ มุ่งตอบสนองความต้องการของพลเมืองในกรุงเทพฯ

นโยบายของวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

นโยบายของ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มีนโยบายสำคัญ 12 นโยบาย ซึ่งได้แถลงเปิดตัวนโยบายหลัก12 ด้าน เพื่อสร้าง “เมืองที่คนเท่ากัน” ณ อาคารอนาคตใหม่ (หัวหมาก) วันที่ 27 มีนาคม 2565[11] โดยเน้นความเท่าเทียมให้กับชาวกรุงเทพมหานคร และการลดอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่[12] ดังนี้

  • เพิ่มเบี้ยสูงอายุ-คนพิการ โดยเน้นการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาท ต่อเดือนต่อคน (เดิม 600 บาท) และให้เงินสนับสนุนเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จำนวน 1,200 บาท ต่อเดือนต่อคน (เดิม 600 บาท) โดยคุณวิโรจน์ ชี้ว่า งบประมาณในลักษณะนี้สามารถดำเนินการได้โดยอาศัยเงินได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจ่าย[13]
  • วัคซีนฟรี โดยเน้นการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับชาวกรุงเทพฯ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และปอดอักเสบ เป้าหมายสำคัญของนโยบายนี้คือ การลดความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้จากการเข้าไม่ถึงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนไข้เลือดออกซึ่งมีราคาแพง[14]
  • ประชาชนร่วมโหวตเลือกงบ-โครงการ จุดมุ่งหมายของนโยบายนี้คือ การสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างคนในชุมชน โดยให้คนกรุงเทพฯ มีส่วนร่วมในการโหวตว่าจะนำงบประมาณไปใช้ยังโครงการใดที่ตนต้องการ[15]
  • บ้านในเมือง 10,000 ยูนิต โดยนโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างที่พักอาศัยราคาถูกและมีคุณภาพดีจำนวน 10,000 ยูนิต ตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยกำหนดให้การเข้าถึงในลักษณะเป็นการเช่า 30 ปีต่อยูนิต และให้มีการต่ออายุสัญญาได้ เพื่อให้สามารถรับรองความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย และสถานที่ตั้งของบ้านพักจะตั้งอยู่ในเขตเมืองเพื่อให้มีความแน่นอนในการเข้าถึงขนส่งมวลชนได้ง่าย[16]
  • ยกระดับรถเมล์ โดยปรับปรุงคุณภาพรถเมล์และเส้นทางการเดินรถ และเพิ่มเส้นทางเดินรถเมล์ให้ผ่านชุมชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้รถเมล์แทนรถยนต์ส่วนบุคคลในการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพ[17]
  • ขึ้นค่าเก็บขยะห้างใหญ่ โดยคุณวิโรจน์ชี้ว่า ค่าใช้จ่ายในการเก็บขยะของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันมากถึง 7,000 ล้านบาท แต่เก็บขยะได้เพียง 500 ล้านบาท โดยเมื่อพิจารณาในรายละเอียดรายได้ที่จัดเก็บ ร้านสะดวกซื้อจ่ายค่าเก็บขยะเพียง 120 บาทต่อเดือน หรือตกวันละ 4 บาท ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าจ่ายเพียงไม่กี่หมื่นบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนขยะที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านั้น[18]
  • อัปเกรดศูนย์เด็กเล็ก
  • การศึกษาตอบโจทย์นักเรียน โดยเน้นให้การศึกษาในโรงเรียนในสังกัดของกรุงเทพฯ ต้องปลอดการกลั่นแกล้ง (บูลลี่) เคารพสิทธิและความหลากหลายทางเพศ และต้องมีการพยายามปลูกฝัง Growth Mindset ให้กับเด็กและเยาวชน ให้มีทักษะที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต รวมถึงต้องเปิดให้มีการสอนออนไลน์ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครเข้าถึงหลักสูตรของเมืองอย่างเท่าเทียม[19]
  • ลอกท่อ-คลองแทนอุโมงค์ยักษ์ งบประมาณเกี่ยวกับอุโมงค์ยักษ์ที่กลุ่มทุนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหรือซ่อมบำรุง แทบไม่มีการตัดเลย แต่งบประมาณการดูแลท่อระบายน้ำและคลองกลับถูกตัดทุกปี โดยคุณวิโรจน์ชี้ว่า การลอกท่อ-คลองนั้นมีความสำคัญต่อการเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วมของกรุงเทพ[20]
  • เปลี่ยนที่รกร้างเป็นสวนสาธารณะ กรุงเทพมหานครมีพื้นที่สีเขียวน้อย ซึ่งสามารถเพิ่มพื้นที่ดังกล่าวจะการเช่าระยะยาวกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมทางหลวง เป็นต้น และการใช้มาตรการทางภาษีมาจูงใจเจ้าของที่ดินรกร้างให้กรุงเทพมหานครเช่า[21]
  • ทางเท้าดีเท่ากันทั้งกรุงเทพฯ
  • เจอส่วยแจ้งผู้ว่าฯ

นโยบายของสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

ในส่วนของ คุณสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ พี่เอ้ ได้เปิดเผยนโยบายเบื้องต้นในการหาเสียงและลงมือปฏิบัติได้หากได้รับเลือกเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ โดยมีนโยบายหลักเพื่อแก้ไขปัญหา 5 ประการ ดังนี้[22]

  • ปัญหาพื้นฐานของกรุงเทพฯ ฝนตกน้ำท่วม รถติด ตึกถล่ม ตนมีความพร้อมเพราะจบมาทางด้านวิศวะ มีผลงานที่ทุกคนรับทราบเป็นอย่างดี และยังทำกิจกรรม “วิศวกรอาสา” ช่วยคนติดซากตึกก็เคยมาแล้ว ฉะนั้นงานลุยๆ งานบริการประชาชนจึงไม่ใช่ปัญหา
  • งานด้านการศึกษา ต้องเข้าไปแก้ไข เพราะรู้สึกแย่มากๆ ที่โรงเรียนในสังกัด กทม. มีคุณภาพด้อยกว่าโรงเรียนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียอีก ผิดกับที่ญี่ปุ่น เกาหลี ที่โรงเรียนระดับจังหวัด หรือ ระดับเมือง มีคุณภาพสูงมาก ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องเดินทางไกล พาลูกไปสมัครเรียนโรงเรียนดังๆ แบบกระจุกตัว แก้ปัญหาจราจรไปด้วยในตัว
  • งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากการรับมือโควิด-19 ที่เป็นปัญหาระยะยาวแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องแก้ปัญหาให้ได้ว่า ทำไมสถานีอนามัยในชุมชนจึงไม่มีคนไปใช้บริการ เรื่องนี้สะท้อนปัญหาความไม่เชื่อมั่นทำให้ระบบสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศมีปัญหากว่าทุกจังหวัด
  • ปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ยอมไม่ได้เด็ดขาด เรื่อง PM 2.5 ต้องมีโครงการเสาไฟอัจฉริยะ ติดตั้งทั้งแผงโซลาร์เซลล์ กล้องวงจรปิด เครื่องวัดคุณภาพอากาศ อยู่บนเสาต้นเดียว ตัวต้นแบบราคาเพียง 35,000 บาทเท่านั้น เสาไฟอัจฉริยะตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องความปลอดภัย การจราจร คุณภาพอากาศ โดยทุกคนสามารถวัดคุณภาพอากาศแถวบ้านได้ ไม่ต้องไปพึ่งสถานีวัดที่อยู่ห่างไกล และยังไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า
  • ต้อง “ช่วยกันฉุดกรุงเทพฯ ไม่ให้จม” เพราะสถานการณ์โลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และอีกไม่กี่ปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกเริ่มแก้ไขปัญหากันแล้ว แต่ กทม. ยังไม่เริ่มอย่างชัดเจน จึงได้เวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

นอกจากปัญหาทั้ง 5 ประการข้างต้นแล้ว คุณสุชัชวีร์ ยังได้มีการแสดงวิสัยทัศน์และการเสนอนโยบายที่น่าสนใจอีกหลายลักษณะ เช่น นโยบายผู้ค้าแผงลอยขายของได้ทุกวัน โดยจากการรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนชาวกรุงเทพฯ โดยเชื่อว่า จะช่วยให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากนโยบายขายได้ทุกวันได้รับการนำไปใช้จะได้ดึงดูดคนมาเดินย่านการค้าสำคัญที่ซบเซาลงจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งการดูแลเรื่องความสะอาดเรียบร้อยเป็นหน้าที่กรุงเทพฯ และเรื่องเล็กๆ อย่างก๊อกน้ำประปาต้องมีทั่วกรุงเทพ คุณสุชัชวีร์เชื่อว่าสามารถที่จะดำเนินการได้[23] หรือนโยบายเกี่ยวกับรถเข็นอัจฉริยะ[24] เป็นต้น

นโยบายของชัชชาติ สิทธิพันธุ์

เมื่อพิจารณานโยบายของ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะเห็นได้ว่า นโยบายที่ปรากฏตามเว็บไซต์ www.chadchart.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์แคมเปญของผู้สมัคร โดยจะเห็นได้ว่า นโยบายของคุณชัชชาติประกอบไปด้วยนโยบาย 2 ส่วนใหญ่ คือ นโยบายสำหรับภาพรวมของกรุงเทพฯ และนโยบายรายเขต

ในแง่ของนโยบายสำหรับภาพรวมของกรุงเทพฯ ในเว็บไซต์ดังกล่าว ได้แบ่งออกเป็น 214 นโยบาย และแบ่งออกเป็น 9 หมวด ซึ่งในหลายๆ นโยบายมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องร่วมกัน ดังนี้

  • ปลอดภัยดี 34 นโยบาย เช่น กรุงเทพฯ ต้องสว่าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ปลอดภัยต่อการเดินทางสัญจรในเวลากลางคืนให้คนกรุงเทพฯ เป็นต้น
  • สร้างสรรค์ดี 20 นโยบาย เช่น กรุงเทพฯ พื้นที่แห่งดนตรีและศิลปะการแสดง (สตรีทโชว์) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้ชมงานแสดงดนตรี ศิลปะการแสดง ฯลฯ และได้รับความสุนทรีนอกบ้านในทุก ๆ วันที่มากกว่าการชมโฆษณาระหว่างทาง รวมถึงส่งเสริมให้ศิลปินหน้าใหม่มีพื้นที่แสดงผลงาน เป็นต้น
  • สิ่งแวดล้อมดี 34 นโยบาย เช่น ตรวจสอบคุณภาพอากาศเชิงรุกในโรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้โรงงานที่ไม่มีการปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน เป็นต้น
  • เศรษฐกิจดี 30 นโยบาย เช่น ดึงอัตลักษณ์ สร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ เป็นต้น
  • เดินทางดี 42 นโยบาย เช่น ท่าเรือเข้าสะดวก ออกสบาย เชื่อมต่อปลอดภัย เป็นต้น
  • สุขภาพดี 34 นโยบาย  เช่น เพิ่มเวลา เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก เพิ่มการเข้าถึงสวนและพื้นที่สาธารณะ เป็นต้น
  • โครงสร้างดี 34 นโยบาย เช่น เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับพื้นที่การค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น
  • เรียนดี 28 นโยบาย เช่น เรียนฟรี ชุดฟรี ไม่มีเก็บเพิ่ม เป็นต้น
  • บริหารจัดการดี 31 นโยบาย เช่น พัฒนาระบบติดตามการขออนุญาตกับ กทม. เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อพิจารณา 214 นโยบายของคุณชัชชาตินั้นจะเห็นได้ว่า มุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาและการเสริมสร้างสวัสดิการของคนกรุงเทพทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพ

ในแง่ของนโยบายรายเขตในเว็บไซต์ของแคมเปญได้มีการจัดทำนโยบายเฉพาะ ซึ่งรวบรวมปัญหาของแต่ละเขตพื้นที่ว่ามีสภาพปัญหาอย่างไรบ้าง ไม่เพียงแค่ในลักษณะเขตเป็นภาพรวมเท่านั้น แต่ข้อมูลดังกล่าวลงลึกไปถึงในตำแหน่งว่า ในพื้นที่นั้นๆ เลยมีปัญหาอย่างไรบ้าง เช่น ในพื้นที่หัวลำโพง (สถานีรถไฟกรุงเทพฯ) มีปัญหาเรื่องคนไร้บ้าน หรือพื้นที่ตรงธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์และโรงละครแห่งชาติ บริเวณสนามหลวงมีความสำคัญในฐานะจุดเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถประจำทาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ของแคมเปญดังกล่าวยังได้มีการรวบรวมสภาพปัญหาทั้งหมดที่ได้มีการร้องเรียนเข้ามาผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวทั้งสิ้น 1,330 เรื่อง โดยอยู่ในระหว่างรอรับเรื่องจำนวน 25 เรื่อง ส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1,304 เรื่อง และสำเร็จแล้ว 1 เรื่อง[25] ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการดำเนินการจัดทำนโยบาย และเข้าใจสภาพปัญหาของกรุงเทพฯ โดยการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวดำเนินการก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ และสมาชิกสภากรุงเทพ

นโยบายของอัศวิน ขวัญเมือง

พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ ผู้มากด้วยประสบการณ์และมีผลงานมาก่อนหน้าผู้สมัครคนอื่นๆ ในการบริหารกรุงเทพฯ มาก่อน ในครั้งนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ได้กลับมาสานต่องานที่ทำไปไม่เสร็จในสโลแกน #กรุงเทพฯ ต้อง…ไปต่อ โดยชูนโยบายด้านหลัก 8 ด้าน ดังนี้[26]

  • ไปต่อ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เพราะอยากเห็น  “เมืองกรุงเทพฯ” มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมที่ลดลง  ซึ่งลดไปแล้วจาก 24 จุด เหลือ 9 จุด และจะลดต่อ ด้วยวิธีที่ตนมีประสบการณ์
  • ไปต่อ เพื่อสร้างความสะดวกในทุกการเดินทาง เพราะอยากเห็น “คนกรุงเทพฯ คนเดินเท้าปลอดภัย ระบบขนส่งมวลชนสะดวกและสร้างความเชื่อมโยง 
  • ไปต่อ เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับ “คนเมือง” และระบบการรักษาที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ” มีที่รักษาพยาบาลใกล้บ้านและครอบคลุมทุกพื้นที่ ดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ไปต่อ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมเมืองที่ดี เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ”  เพิ่มพื้นที่สีเขียว จัดการขยะที่ต้นทาง มีคลองสวยน้ำใส
  • ไปต่อ เพื่อทำกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ เพราะอยากเห็น “ลูกหลานและคนกรุงเทพฯ” มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งกายและใจในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้น จะได้รับการศึกษาทั้งทักษะอาชีพและความรู้พร้อมกันไป
  • ไปต่อ เพื่อเติมเต็มความปลอดภัยให้กับคนเมือง เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ มีอาชญากรรมลดลง” และมีการเตรียมพร้อมขจัดภัยพิบัติ
  • ไปต่อ เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ สู่เมืองดิจิทัล เพราะอยากเห็น “คนกรุงเทพฯ” ได้รับบริการจากหน่วยงานราชการของกรุงเทพฯ ที่โปร่งใสเชื่อมโยงและรวดเร็ว
  • ไปต่อ เพื่อดูแลคนทุกกลุ่มทุกวัย เพราะอยากเห็นบริการและสวัสดิการชุมชนทั่วถึง

นโยบายของสกลธี ภัททยิกุล

นโยบายของ คุณสกลธี ภัททยิกุล ในฐานะผู้สมัครอิสระอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจ ได้แถลงเปิดตัว 6 นโยบายสำคัญ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่บริเวณบางกอก ริเวอร์วิว เขตบางรัก[27]

นโยบายของรสนา โตสิตระกูล

คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่คว่ำหวอดในวงการการเมืองไทย ทั้งในฐานะอดีตที่เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภามาก่อน และเป็นนักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค และมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงขบวนการทุจริต โดยในเว็บไซต์ rosanabkk.com ได้เผยแพร่นโยบาย 10 ข้อ ภายใต้สโลแกน ‘หยุดโกง กรุงเทพฯเปลี่ยนแน่’ โดยมีนโยบายเด่น คือ บำนาญประชาชน 3,000 บาท จุดยืนจะไม่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย ขุดลอกคูคลอง แทนเมกะโปรเจกต์อุโมงค์น้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ในส่วนนโยบายสาธารณสุข จะสนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจร และยาไทย ติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อประหยัดพลังงาน และค่าใช้จ่าย ติดตั้งกล้อง CCTV ทั้งทางบก และทางน้ำ 1.5 ล้านตัว ยกระดับศูนย์อนามัย ขยายเวลา 24 ชั่วโมงพัฒนาเป็นโรงพยาบาล และกระจาย งบประมาณ 50 ล้าน 50 เขต ให้ประชาชนบริหารจัดการงบประมาณตามความต้องการ อีกจุดหนึ่งที่คุณรสนาให้ความสำคัญและน่าสนใจคือ นโยบายด้านพลังงาน[28]

นโยบายของศิธา ทิวารี

น.ต.ศิธา ทิวารี เป็นอีกหนึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ที่น่าสนใจ โดยการแถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย 11 ด้านของ น.ต. ศิธา มาในคอนเซปว่า 11 พลังสร้าง กทม. สู่การเป็นมหานครที่ดีที่สุด โดยมีหลักในการทำงานคือการปลดปล่อยหรือ Liberate ประชาชน จากการถูกกดทับ โดยระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้ประชาชนลุกขึ้นมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด แข็งแรงที่สุด รวมถึงการสร้างพลัง Empower ประชาชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาด โดยเฉพาะประชาชนคนตัวเล็ก[29] ดังนี้

  • พลังที่ 1 การสร้างอำนาจ คืนอำนาจให้คน กทม. ร่วมบริหาร กทม.ด้วยระบบ Blockchain ผู้ว่าฯ จะทราบความต้องการจากประชาชนที่เสนอเข้ามา
  • พลังที่ 2 การสร้างโอกาสให้คนกรุงเทพ กลับมาทํามาหากินได้เร็วที่สุด สะดวก ที่สุด เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทันที หลังต้องเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และวิกฤตจากโควิด โดยตนจะเข้าไปดูกฎหมายที่ขัดขวางการทำมาหากิน จำเป็นต้องใช้ยาแรง เพื่อปลดล็อค และพักใบอนุญาต แขวนการบังคับใช้ไว้ชั่วคราว 3-5 ปี โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นอำนาจของ กทม. จะทำทันทีใช้พื้นที่ กทม. เป็นพื้นที่นำร่อง สร้าง “Bangkok legal Sandbox” เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้กลับมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด
  • พลังที่ 3 ลดค่าใช้จ่ายและอํานวยความ สะดวกการเดินทางให้คนกรุงเทพ โดยค่าใช้จ่ายจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินเดือน แต่ปัจจุบันพี่น้องคนกรุง ต้องเสียค่าใช้จ่าย สูงถึงเกือบครึ่งของเงินเดือน หากเป็นเช่นนี้ประชาชนก็จะหันกลับมาใช้รถยนต์ส่วนตัว และทำให้เกิดปัญหาการจราจรตามมา ดังนั้นรัฐบาลจะต้องคุยกับ กทม. และคุยกับเอกชน เพื่อให้ราคากลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าไม่ควรเกิน 1,500 – 1,600 บาทต่อเดือน
  • พลังที่ 4 สร้างการจราจรที่ไหลลื่น ลด ปริมาณรถในแต่ละวัน ด้วยการสลับเวลาทํางาน ลดเวลาเรียน หรือการสลับวันเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีศักยภาพในการเรียนจากที่บ้านได้ ซึ่งจะบรรเทาปัญหาการจราจรลงได้ ลดการไปส่งลูกหลานที่ต้องเดินทางไปโรงเรียน
  • พลังที่ 5 สร้าง กทม. เป็นเมือง Start up และดิจิทัล Economy ของเอเชีย โดยเราจะสร้างกทม. ให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับดิจิทัล Economy เพราะเราอยู่ในยุคดิจิทัล ที่โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างมากๆ กทม. ต้องสนับสนุนพี่น้องชาวกรุงเทพ ในด้านนี้อย่างเต็มที แต่เราต้องกล้าปรับตัว กล้าปรับเปลี่ยนกฎ กติกา เพื่อรองรับการเติบโตของระบบเศรษฐกิจใหม่ในด้านนี้ ซึ่งหากกติกาเอื้อต่อการทำงาน กทม. จะไม่เป็นเพียงเมืองแค่น่าท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ กทม. จะเป็นเมืองที่น่าลงทุน จะทำให้กรุงเทพมหานคร และประเทศไทยได้รับประโยชน์จากตรงนี้อย่างมหาศาล ดังนั้นเราต้องปรับ กทม. ให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งหมด
  • พลังที่ 6 สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสุขภาพ รองรับพี่น้องประชาชนยามเจ็บป่วย โดยเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยงทางสุขภาพ หลายพื้นที่ไปถึงโรงพยาบาลไม่ทันตามเวลา ซึ่งทีมไทยสร้างไทยได้วางเป้าหมายไว้ว่า ทุกเขตต้องมีโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 โรงพยาบาล แต่ปัจจุบัน พบว่า กทม. มีเพียง 11 โรงพยาบาลเท่านั้น ดังนั้นเขตที่ยังไม่พร้อม มีโรงพยาบาลไม่เพียงพอจำเป็นต้องได้รับการเติมเต็ม
  • พลังที่ 7 การป้องกันและรักษาสุขภาพ โดยเพิ่มสวนสาธารณะ และเพิ่มเวลาบริการ รวมถึงสนามกีฬาและสถานที่ออกกําลังกาย เช่นในสมัยที่ตนเคยดำรงตำแหน่ง ประธานบอร์ดการท่าอากาศยาน ได้นำพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่ามาทำสนามจักรยาน พื้นที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่นและที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ติดอันดับ 1 ของโลกซึ่งมีประชาชนมาปั่นจักรยานมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อปี ระยะทางไม่ต่ำกว่า 23.5 กิโลเมตรต่อครั้ง เฉลี่ยแล้วการพัฒนาพื้นที่รกร้างรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้คนไทยปั่นจักรยานได้เฉลี่ย 30 กิโลเมตรต่อปี โดยภาครัฐไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว แต่มีเอกชนลงขันกันมาลงทุนเกือบ 2 พันล้าน ซึ่งหากตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะดำเนินการลักษณะนี้ทั่วทุกมุมเมืองของ กทม.
  • พลังที่ 8 สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสะอาดปลอดภัย มีระเบียบ สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสะอาดปลอดภัย มีระเบียบ โดยเริ่มจาก Bangkok eyes กล้องวงจนปิดแบบ AI และเพิ่มแสงสว่างในทุกพื้นที่เพื่อป้องกัน อาชญากรรมและสร้างความสบายใจให้พี่น้องประชาชน , ลดฝุ่นพิษ PM 2.5 โดยการควบคุมรถควันดํา และผลักดันสนับสนุนส่งเสริมการใช้รถ EV ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพทางเท้าให้พี่น้องประชาชนทุก คนใช้ได้อย่างปลอดภัย
  • พลังที่ 9 สร้างกรุงเทพ เป็นมหานครแห่งการ สร้างสรรค์ Creative metropolis เพื่อสร้างรายได้ให้คนกรุงเทพ จัด Event ในแต่ละเขตทุกเดือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หมุนเวียนในชุมชนเช่น ที่ตลาดน้อยที่ต้องพลิกฟื้นชุมชนเก่าดั่งเดิมให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ พร้อมส่งเสริมให้แต่ละเขตมีความโดดเด่นทางอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของแต่ละชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกครั้ง
  • พลังที่ 10 โรงเรียนดีใกล้บ้าน เริ่มจากให้โรงเรียนสังกัด กทม. ต้องมีมาตรฐานเท่าเทียม เพราะถ้าโรงเรียนมีมาตรฐานเท่าเทียมกันทั้งหมด โรงเรียนที่ดีที่สุดก็คือโรงเรียนใกล้บ้าน พร้อมกับพัฒนาโรงเรียน โดยมีเจ้าของภาษาเป็นผู้สอนเอง ผสมผสานการเรียนที่โรงเรียนและออนไลน์เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนได้อย่างเท่าเทียม ใช้อินเทอร์เน็ตฟรีอย่างเท่าเทียม และปรับหลักสูตรเน้นให้เด็กๆ ได้รู้จักตัวเอง และสามารถพัฒนาไป เป็นอาชีพที่สามารถทํามาหากินได้จริง
  • พลังที่ 11 การจัดการด้านน้ำท่วมอย่างมี ประสิทธิภาพ “ลาขาดน้ำรอการระบาย” การจัดการด้านน้ำ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเตรียมระบบระบายน้ำให้พร้อมใช้งานก่อนเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม จัดทําระบบท่อและสัญญาณเตือนน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพที่ดีได้ โดยหลักการที่สำคัญต้องดูน้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน ซึ่ง กทม. มีตัวชี้วัดแล้วทั้งหมด แต่ยังไม่ได้นำตัวชี้วัดเหล่านั้นมาทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพ และที่ผ่านมา กทม. ไม่บริหารจัดการปล่อยให้น้ำในคลองสูงในระดับเดียวกับท่อระบายน้ำ โดยไม่เคยพร่องน้ำในคลองรอ จนเกิดปัญหาน้ำรอระบายบ่อยครั้ง ซึ่งหากมีการบริหารจัดการในแต่ละเขตให้ดีปัญหาน้ำรอระบายก็จะเบาบางลง

กล่าวโดยสรุป จากรายงานรายงานของทีดีอาร์ไอ จะเห็นได้ว่า กรุงเทพฯ ยังมีปัญหาอีกเป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งยังจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ในแง่ของงบประมาณกรุงเทพมหานครมีงบประมาณมากถึงปีละประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยเอาไปใช้เพื่อการจัดทำบริการสาธารณะในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาของกรุงเทพฯ ในเรื่องการระบายน้ำ สิ่งแวดล้อม และการจราจร

สำหรับนโยบายของผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ หลายคนออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว  อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากจะให้คำนึงถึงคือ ปัญหาหลายๆ ส่วนนั้นยังอาจจะไม่ได้สะท้อนปัญหาของคนทุกกลุ่มในกรุงเทพฯ เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นเมืองขนาดใหญ่และมีคนจำนวนมากที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

ในขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นเป็นประชาชนเพียงส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ เท่านั้น กรุงเทพฯ ยังมีพลเมืองแฝง ซึ่งจริงๆ คนเหล่านี้ก็มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนของกรุงเทพฯ ทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของการเลือกตั้ง


เชิงอรรถ

[1] สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘การประเมินผลงานผู้ว่าฯ อัศวิน และข้อเสนอแนะสำหรับผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่’ (ทีดีอาร์ไอ, 19 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] นลิศา เตชะศิริประภา, ‘เปิดงบ กทม. ปี 2565 ได้เท่าไร และใช้ทำอะไรบ้าง’ (Thairath+ ,9 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[7] กรุงเทพฯ, เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 2 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำแนกตามโครงสร้างแผนงานงบประมาณ 1 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[8] กรุงเทพฯ, ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 3 – 63 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[9] กรุงเทพธุรกิจ ‘เช็ค 12 จุดเสี่ยง ‘น้ำท่วม’ เดิมพัน 8 เขต ‘กทม.’ ฝั่งธนฯ-พระนคร’ (กรุงเทพธุรกิจ, 1 กันยายน 2564) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[10] กรุงเทพฯ, ประมาณการรายรับ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1 – 4 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[11] กรุงเทพธุรกิจ, ‘วิโรจน์ เปิด12นโยบาย ชิง “ผู้ว่าฯกทม.” สร้างคนเท่ากัน เพิ่มเงินสวัสดิการ’ (กรุงเทพธุรกิจ, 27 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[12] คมกฤช ดวงมณี, ‘วิโรจน์ เปิด 12 นโยบายชิงผู้ว่าฯ กทม. เน้นชนนายทุน-ต้นตอปัญหา’ (Sanook.com, 27 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[13] เพิ่งอ้าง.

[14] เพิ่งอ้าง.

[15] เพิ่งอ้าง.

[16] เพิ่งอ้าง.

[17] เพิ่งอ้าง.

[18] เดลินิวส์ออนไลน์ ‘ยกเครื่องเก็บขยะ! ‘วิโรจน์’ คาใจกลุ่มทุนใหญ่จ่ายน้อย’ (เดลินิวส์ออนไลน์, 27 เมษายน 2565) https://www.dailynews.co.th/news/995649/.

[19] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[20] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[21] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[22] ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล, ‘ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ได้เปิดแนวนโยบายเบื้องต้นที่จะใช้หาเสียงและลงมือปฏิบัติหากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. งานหลักๆ 5 เรื่องที่ตั้งใจทำเพื่อคนกรุงเทพฯ และเปลี่ยนกรุงเทพฯ ไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อ’ (ฐานเศรษฐกิจ, 16 ธันวาคม 2564) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[23] โพสต์ทูเดย์, ‘เอ้ สุชัชวีร์ ชูนโยบายผู้ค้าแผงลอยขายของได้ทุกวัน’ (โพสต์ทูเดย์, 21 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[24] บรรณาธิการบางกอกอินไซด์, ‘สุชัชวีร์ รับสะเทือนใจกรณี ปริญญ์ ยันต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศทุกรูปแบบ’ (The Bangkok Insight, 25 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[25] ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 ดู https://share.traffy.in.th/teamchadchart#.

[26] ไทยพีบีเอส, ‘อัศวิน ชูนโยบาย 8 ด้าน “กรุงเทพต้องไปต่อ” สู้ศึกผู้ว่าฯ กทม.’ (Thai PBS News, 28 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[27] มติชนออนไลน์, ‘สกลธี ชู 6 นโยบาย ทำกรุงเทพฯ ให้ดีกว่านี้ ชี้ต้องใช้คนที่เข้าใจปัญหา โปร่งใส ชอบธรรม’ (มติชน, 24 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[28] WorkpointToday, ‘รสนา ปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ชู 10 นโยบายทำได้ ย้ำ หยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่’ (WorkpointToday, 8 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[29] ไทยโพสต์, ‘ศิธา’ ประกาศนโยบาย 11 ด้าน สร้างพลังคนตัวเล็ก มีอำนาจบริหารงบ ขจัดคอร์รัปชัน’ (ไทยโพสต์, 4 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

ประชาธิปไตยจะยั่งยืน: เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กับการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีการกล่าวถึง “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ SDGs เป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของชื่อกิจกรรม งานเสวนา และการกล่าวขึ้นอย่างลอยๆ ในการเปิดงานของหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่างๆ[1] ตามวาระและโอกาส 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้นในประเทศไทย

ทว่า สิ่งนี้อาจจะสวนทางกับท่าทีของรัฐบาลและนโยบายหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในประเทศ เมื่อพิจารณาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้วจะเห็นได้ว่า เป้าหมายดังกล่าวมีลักษณะเป็นกรอบกว้างๆ ที่บรรจุหลักการจำนวน 17 หลักการ ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้นมา[2] 

จะเห็นว่าเป้าหมายส่วนใหญ่นั้นสอดรับกับแนวคิดประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นบรรทัดฐานร่วมกันของประชาคมโลกในการพัฒนา[3] เพื่อให้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในฐานะเป้าหมายของการพัฒนาอย่างรอบด้าน

“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นโจทย์ใหญ่ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2558 โดยมีประเทศสมาชิกตกลงที่จะปฏิบัติตาม 193 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย

แผนภาพเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน

ที่มา : SDG Move.

ที่มา: SDG Move.

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประกอบไปด้วยกรอบกว้างๆ จำนวน 17 ประการ (ภาพที่ 1) ซึ่งถ้าจับกลุ่มของกรอบต่างๆ แล้วจะทำให้เราสามารถจำแนกกรอบดังกล่าวได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้[4]

  • กลุ่ม People ที่ว่าด้วยเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คน (เป้าหมายที่ 1, 2, 3, 4, 5)
  • กลุ่ม Prosperity ที่ว่าด้วยเรื่องความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและครอบคลุม (เป้าหมายที่ 7, 8, 9, 10, 11)
  • กลุ่ม Planet ที่ว่าด้วยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เป้าหมาย 6, 12, 13, 14, 15)
  • กลุ่ม Peace ที่ว่าด้วยเรื่องสันติภาพ สถาบันที่เข้มแข็ง และความยุติธรรม (เป้าหมาย 16)
  • กลุ่ม Partnership ที่ว่าด้วยเรื่องการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เป้าหมาย 17)

ประชาธิปไตยจะยั่งยืนได้ต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

“ประชาธิปไตย” เป็นระบอบการปกครองที่ให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะที่ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจและเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง แม้ว่าในเชิงการเมืองสมัยใหม่อาจจะให้ความสำคัญกับการช่วงชิงความหมายของประชาธิปไตย[5] แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประชาธิปไตยยังคงเป็นเรื่องที่ยึดโยงกับประชาชนเสมอ และประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

ประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยประชาธิปไตยทางการเมือง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย[6] ซึ่งประชาธิปไตยทั้ง 3 ด้านนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน การจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยประชาธิปไตยทั้ง 3 ด้านประกอบกัน[7] โดยประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะการมีประชาธิปไตยทางการเมืองนั้นจำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ การจะทำให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพได้อย่างแท้จริง รัฐบาลจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานในเชิงกายภาพของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถที่จะตอบสนองทางการเมืองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับสถานภาพทางเศรษฐกิจ[8]

เมื่อพิจารณากรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ด้านแล้ว จะเห็นได้ว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในแต่ละด้านนั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตพื้นฐานทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งอาจจะเทียบได้กับการให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยในทั้ง 3 ด้าน ดังปรากฏตามตารางเปรียบเทียบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

ตารางเปรียบเทียบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 กลุ่มประชาธิปไตยสมบูรณ์
กลุ่ม People ที่ว่าด้วยเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คนประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม Prosperity ที่ว่าด้วยเรื่องความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและครอบคลุมประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม Planet ที่ว่าด้วยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย
กลุ่ม Peace ที่ว่าด้วยเรื่อง สันติภาพ สถาบันที่เข้มแข็ง และความยุติธรรมประชาธิปไตยทางการเมือง
กลุ่ม Partnership ที่ว่าด้วยเรื่องการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย
ที่มา: ผู้เขียน

อย่างไรก็ดี การมองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นควรมองในลักษณะที่ว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเครื่องมือและกลไกในการขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่สมบูรณ์[9] เพราะโดยสภาพไม่เพียงแต่สารัตถะของการพัฒนาที่ยั่งยืนเท่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ แต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการสร้างแรงกดดันของรัฐบาลให้ปฏิบัติตามและดำเนินการตามพันธกรณีที่ได้เข้าผูกพันตามกรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน[10] หากเพียงแต่ว่ารัฐบาลนั้นจะมีความรับผิดชอบ (accountability)  ทว่า เรื่องดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

ในทางทฤษฎีอาจจะกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยสมบูรณ์กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีลักษณะเกื้อกูลกันอยู่ ดังจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นเป็นกรอบพื้นฐานในทางการเมืองบนพื้นฐานของการยึดถือประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งการจะปฏิบัติตามกรอบเป้าหมายแต่ละเป้าหมายได้นั้นก็ต้องยึดถือประชาชนเป็นส่วนกลาง ในขณะเดียวกันกรอบดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนในทางการเมือง ในส่วนของประชาธิปไตยนั้นจะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้จะต้องมีความยั่งยืน

มองภาพย้อนกลับมาที่ประเทศไทย

กลับมาที่ภาพของรัฐบาลไทยที่ได้เข้าผูกพันและรับเรื่องดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลประเทศไทย และถึงขนาดว่าช่วงหนึ่งประเทศไทยเคยชูนโยบายว่า ประเทศไทยจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา แต่ที่ผ่านมาเราจะพบว่า ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ขัดกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแทบทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้มีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น หรือการเข้าไม่ถึงสวัสดิการรักษาพยาบาล[11] ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลกำลังบกพร่องในการดำเนินการตามกรอบที่ 1 ขจัดความยากจน[12] และกรอบที่ 3 การสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสำหรับทุกคนในทุกวัย[13] หรือการยอมรับให้มีการผูกขาดในธุรกิจค้าปลีก[14] และกำลังจะเกิดการผูกขาดในธุรกิจโทรคมนาคม[15] ซึ่งจะไม่สอดคล้องกับกรอบที่ 8 ในเรื่องของส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน[16] หรือกรณีร้ายแรงที่สุดคือ การออกมาเปิดเผยของพลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ซึ่งออกมาเปิดเผยเรื่องขบวนการค้ามนุษย์และถูกบีบให้ต้องลี้ภัยออกจากประเทศ[17] ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ได้ดำเนินการสอดคล้องกับกรอบที่ 16 ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรมและสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผลรับผิดชอบและครอบคลุมในทุกระดับ[18]

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลได้พยายามเพียงพอแล้วหรือไม่ในการดำเนินการตามเป้าหมาย หรือเป็นเพียงคำสัญญาที่ขอเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาปัญหาในข้างต้นอาจจะพอได้คำตอบอยู่บ้างว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนแบบไทยๆ นั้น คือ ภาพสะท้อนของความล้มเหลวในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นวาทกรรมทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อใช้ในการหาเสียงและสร้างความนิยมแบบขายฝัน

ในสถานการณ์ที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆ กลางๆ และมีผู้นำรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงใดๆ กับประชาชนและพร้อมอย่างเต็มที่ในการลอยนวลพ้นผิดกับทุกๆ เรื่อง จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์


เชิงอรรถ

[1] กรมประชาสัมพันธ์ ‘นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงผ่านกิจกรรม SDG Moment มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่าน ระบบสาธารณสุข โมเดลเศรษฐกิจ BCG และการพัฒนาด้าน Digital ในการประชุม UNGA สมัยที่ 76’ (กรมประชาสัมพันธ์, 21 กันยายน 2564) <https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/43120> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[2] SDG Move ‘ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/aboutsdgs/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[3] สัมภาษณ์ ชล บุนนาค, อาจารย์ประจำ, คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ทางอิเล็กทรอนิกส์, 29 เมษายน 2565) สัมภาษณ์โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์.

[4] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 2).

[5] ประจักษ์ ก้องกีรติ, ‘ประชาธิปไตยของฉัน ของท่าน และของเธอ’ <http://v-reform.org/wp-content/uploads/2014/01/Democracy.-Rj.Prajak.pdf> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[6] วรรณภา ติระสังขะ, ‘ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 17 กันยายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/09/420> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[7] เพิ่งอ้าง; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[8] เพิ่งอ้าง.

[9] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 3).

[10] เพิ่งอ้าง.

[11] ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ ‘สิทธิเข้า(ไม่)ถึงวัคซีนของคนไร้บ้าน’ (workpoint today, 22 มิถุนายน 2564) <https://workpointtoday.com/photo-essay-สิทธิเข้าไม่ถึงวัคซี/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[12] SDG Move, ‘SDG 101’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/sdg-101/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[13] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

[14] กนกนัย ถาวรพานิช, ‘ดีลควบรวม ‘ซีพี’ กับ ‘เทสโก้ โลตัส’ : รัฐประหารทางเศรษฐกิจที่ยังมาไม่ถึง?’ (the 101.world, 15 เมษายน 2563) <https://www.the101.world/cp-and-tesco/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[15] ฉัตร คำแสง, ‘5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทค และบทบาทของ กสทช.’ (the 101.world, 2 พฤษภาคม 2565) <https://www.the101.world/5-narratives-vs-5-facts-about-dtac-true-merger/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[16] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

[17] BBC News ไทย, ‘พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย เมื่อขอลี้ภัยในออสเตรเลียปลายปี 2558’ (BBC, 23 กุมภาพันธ์ 2565) <https://www.bbc.com/thai/thailand-60481194> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[18] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

PDPA มีผลใช้บังคับแล้ว ถอดบทเรียนการเตรียมความพร้อมและชวนภาครัฐสำรวจความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมาย

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA เริ่มมีผลใช้บังคับวันนี้ภายหลังจากเลื่อนการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 2 ปี[1] ความสำคัญของ PDPA คือ การยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาพรวม เนื่องจาก PDPA มุ่งหมายใช้กับกิจกรรมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคนธรรมดาทุกประเภทโดยไม่จำกัดว่า การเก็บข้อมูลนั้นจะเป็นดิจิทัลหรือกระดาษ การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยบุคคลธรรมดา หน่วยงานของรัฐ องค์ธุรกิจเอกชน หรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

เมื่อพิจารณาในส่วนของภาครัฐซึ่งมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก และเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐจึงมีความสำคัญ ซึ่งในอดีตการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐจะเป็นไปตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 แต่ในปัจจุบันการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาครัฐจะต้องยกระดับขึ้นมาตาม PDPA ไปด้วย คำถามสำคัญคือ ภาครัฐมีความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA แล้วหรือไม่

1. บทสำรวจความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ของภาครัฐ

สถานการณ์การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตาม PDPA นั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้เคยทำการสำรวจเอาไว้ในปี พ.ศ. 2561 

หน่วยงานของรัฐอาจไม่คุ้นเคยกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจะเห็นว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน้าที่ของสำนัก/กอง/กลุ่ม/แผนกหนึ่งในหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบ[2] เช่น สำนักเทคโนโลยี เป็นต้น อีกทั้งหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ยังไม่มีนโยบายการปรับเปลี่ยนภายในองค์กรเพื่อรองรับการปฏิบัติตาม PDPA[3] อาทิ การเตรียมกระบวนการเพื่อแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ทราบเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การจัดเตรียมช่องทางการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดบุคคลที่จะปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer: DPO) หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้อำนาจของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ความไม่พร้อมสำคัญของภาครัฐก็คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ดังจะเห็นได้ว่า ภายหลัง PDPA ถูกประกาศใช้หน่วยงานของรัฐบางแห่งก็ยังมีข้อจำกัดด้านระบบ รวมถึงยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะเห็นได้ว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2564 มีการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลในภาครัฐถึง 5 ครั้ง[4] ซึ่งเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นความกังวลสำคัญในภาครัฐเนื่องจากภาครัฐมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก แต่หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งมีการใช้เทคนิคและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ปลอดภัยไปจนถึงหน่วยงานของรัฐที่ไม่มีระบบที่ทันสมัยเพียงพอกับการรับมือกับการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจเกิดการรั่วไหลหรือถูกโจมตีต่อระบบคอมพิวเตอร์ได้ หรือในกรณีที่เก็บรักษาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์สำนักงานโดยไม่มีการตั้งรหัสการเข้าถึงข้อมูล (access control) อาจทำให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่จำเป็น[5]

2. ถอดบทเรียนการเตรียมความพร้อมของภาครัฐในการปฏิบัติตาม PDPA

จากการได้มีโอกาสพูดคุยและเข้าไปช่วยแนะนำการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามPDPA พบว่า ปัญหาของหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตาม PDPA มีอยู่ 3 ปัญหา ดังนี้

หน่วยงานของรัฐไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ตาม PDPA

ในการปฏิบัติตาม PDPA ของภาครัฐขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้คือ การทำความเข้าใจบทบาทของภาครัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลว่ามีหน้าที่ใดต้องปฏิบัติตามบ้างตาม PDPA ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลายหน่วยงานอาจจะได้เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ไปบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐแรกๆ ที่ได้ดำเนินการปฏิบัติตาม PDPA และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นๆ โดยการทำเทมเพลตเอกสารในการปฏิบัติตามกฎหมาย

อย่างไรก็ดี หลายหน่วยงานในภาครัฐยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA โดยการทำเพียงเอกสารตามกฎหมายเท่านั้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการทำงานเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัญหาในตอนท้ายและไม่บรรลุเป้าหมายของ PDPA  ฉะนั้น การทำความเข้าใจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความสำคัญ

ในส่วนของบทบาทหน้าที่ของภาครัฐในการปฏิบัติตาม PDPA ที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน ในกรณีที่จะต้องเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ภาครัฐควรจะต้องมีการแจ้งให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชสามารถใช้สิทธิของตนเองได้ตามกฎหมาย

หน่วยงานของรัฐขาดแนวทางในการปฏิบัติตาม PDPA

ในการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA หน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ประสบปัญหาคล้ายๆ กันคือ ความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในการปฏิบัติตาม PDPA ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดมาจากการขาดแนวปฏิบัติ (guidelines) ที่วางแนวทางให้กับหน่วยงานของรัฐ ทั้งในแง่ของการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA และอธิบายบทบัญญัติของ PDPA ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะตัวพระราชบัญญัติแล้วจะเห็นเพียงหลักการ แต่ไม่เห็นแนวทางในการปฏิบัติตาม

ในส่วนของแนวทางการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ในภาครัฐ อาจแบ่งขั้นตอนในการเตรียมความพร้อมได้เป็น 5 ขั้นตอน[6] ดังนี้

  • การเตรียมตัวเบื้องต้น การปฏิบัติตาม PDPA ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทั้งองค์กรต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ขั้นตอนนี้จึงเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันของเจ้าหน้าที่ภายในองค์กรทั้งในระดับผู้บริหารลงมาถึงระดับปฏิบัติการ/ปฏิบัติงาน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเปิดทางไปสู่การเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม PDPA ด้านอื่นๆ
  • การสำรวจภายในองค์กร การจะปฏิบัติตาม PDPA ให้มีประสิทธิภาพหน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องรู้จักการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลภายในองค์กรของตนเป็นอย่างดี เพื่อจะได้ทราบว่าภายในองค์กรมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในกิจกรรมใดบ้าง
  • การลงรายละเอียดแผนงาน ในขั้นตอนนี้จะเป็นการพิจารณาลงในรายละเอียดว่า ในแต่ละกิจกรรมที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีข้อมูลใดบ้าง และข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภทมีความเสี่ยงอย่างไรบ้างถ้าหากมีการละเมิด/รั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
  • การปิดช่องว่าง ขั้นตอนนี้เป็นการปิดช่องว่างของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย และการจัดแนวทางในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในอนาคต โดยอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของหน่วยงานของรัฐ และการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในบางกิจกรรมที่ไม่จำเป็น
  • การจัดเตรียมเอกสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนในการจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติตาม PDPA อาทิ การจัดทำ Privacy Notice เพื่อแจ้งการรายละเอียดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล การจัดทำ Privacy Policy สำหรับการแสดงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในภาพรวมขององค์กร การจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Record of Processing Activity: RoPA) และเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเห็นได้ว่า กระบวนการนี้เป็นกระบวนการท้ายๆ ในการปฏิบัติตาม PDPA แต่ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่นั้นมักจะเริ่มต้นจากการทำตามเทมเพลตต้นแบบ
  • การสืบสาน รักษา และต่อยอด ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวางระบบตามกรอบ PDPA โดยหน่วยงานของรัฐ โดยหน่วยงานของรัฐจะต้องพยายามสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ PDPA ให้อยู่ในองค์กร โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนในองค์กรควรมีการตระหนักเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปิดช่องว่างที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงจะต้องมีการติดตามผลคอยปรับปรุงระบบที่วางไว้

ปัญหาการขาดความมั่นใจในการเลือกฐานทางกฎหมาย

สิ่งหนึ่งที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องปฏิบัติตาม PDPA ก็คือ การเลือกฐานในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีของภาครัฐหน่วยงานของรัฐก็ต้องมีหน้าที่จะต้องเลือกฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่า ภารกิจหรือกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนจะต้องใช้ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาบทบัญญัติในมาตรา 19[7]และมาตรา 24[8] 

ซึ่งหากพิจารณาเพียงผิวเผินอาจจะทำให้เข้าได้ว่า กฎหมายห้ามมิให้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้เกิดปัญหามากกับหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจหรือกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องเก็บจากบุคคลเป็นจำนวนมากตลอดพื้นที่ เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร หรือฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น จะสามารถขอความยินยอมได้อย่างไร

ในความเป็นจริงแล้ว PDPA ได้กำหนดฐานการประมวลผลที่เหมาะสมสำหรับหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามกฎหมายที่ให้อำนาจ และเพื่อการประโยชน์ในการจัดทำบริการสาธารณะเอาไว้ โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐไม่ต้องขอความยินยอมตาม PDPA ก็สามารถเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้[9]

นอกจากนี้ ในกรณีอื่นๆ หน่วยงานของรัฐก็อาจจะอาศัยฐานในการประมวลผลอื่นๆ เพื่อเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ นอกเหนือจากการใช้ฐานความยินยอม ได้แก่ ฐานสัญญา ฐานสถิติ เอกสารประวัติศาสตร์ และจดหมายเหตุ ฐานป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่ง PDPA รับรองเอาไว้

เมื่อพิจารณาแนวทางทั้งหมดแล้วท้ายที่สุด ต้องเน้นย้ำกับภาครัฐเสมอในการปรับตัวตาม PDPA ของภาครัฐคือ การตระหนักถึงบทบาทของภาครัฐในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และพยายามสร้างความโปร่งใสในกรณีที่ต้องมีการเก็บรวบรวมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยควรจะต้องให้ประชาชนรับรู้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการควบคุมสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง


เชิงอรรถ

[1] ครั้งที่ 1 พระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ประกาศเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 และในครั้งที่ 2 พระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ประกาศเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564.

[2] สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, รายงานผลการสำรวจการเตรียมความพร้อมหน่วยงานในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี 2561 (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 2561) 110.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] พสิษฐ์ คงคุณากรกุล. ‘ย้อนรอยเหตุ ‘ข้อมูลเสี่ยงรั่ว-รั่วไหล’ ขององค์กรในไทย จากทั้งปี 64 ถึงกรณี TCAS’ (The Standard, 4 กุมภาพันธ์ 2565) สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2565.

[5] วิชญาดา อำพนกิจวิวัฒน์, ‘ระบบ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ที่ดี รัฐต้องมี ‘คน’ ที่พร้อม’ (TDRI, 27 สิงหาคม 2564)  สืบค้นเมื่อ 6 มิถุนายน 2565.

[6] ดู กิรติพงศ์ แนวมาลี เขมภัทร ทฤษฎิคุณ และคณะ, แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: หน่วยงานของรัฐ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2564) 8 – 14.

[7] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 19  

ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะกระทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนหรือในขณะนั้น เว้นแต่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้กระทำได้.

[8] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 24

ห้ามมิให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่

(1) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์หรือจดหมายเหตุเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยหรือสถิติซึ่งได้จัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล  ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

(2) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล

(3) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น

(4) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

(5) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(6) เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

[9] พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 24 (4).