ความจน ชาวนา แรงงาน: ภาพสะท้อนของการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยรัฐ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ เกี่ยวกับแรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475 บทสัมภาษณ์นี้ อาจารย์แล ได้ฉายภาพให้เห็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำผ่านการต่อสู้ของแรงงาน ชาวนา และบทบาทของรัฐ ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้มีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจประกอบกับผู้เขียนได้มีโอกาสไปฟังการนำเสนอบทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธร ปิติดล ในบทความชื่อ “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” ผู้เขียนใคร่ขอนำมุมมองจากทั้งสองเรื่องมาชวนผู้อ่านคิดตามไปเกี่ยวกับบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ

เริ่มต้นจากบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล  ที่ฉายภาพให้เห็นปัญหาเศรษฐกิจไทย 3 เรื่องสำคัญภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามปี พ.ศ. 2475 คือ (1) การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน (2) เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม และ (3) บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยผู้เขียนขอนำประเด็นที่ได้จากการสัมภาษณ์อาจารย์แล มาสรุปไว้ตรงนี้

เรื่องแรก การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน ในบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล ได้เล่าถึงขบวนการแรงงานไทยมีการต่อสู้และเรียกร้องของแรงงานไทย ที่มีการรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ การเปลี่ยนสังคมไทยที่อดีตไม่มีการคุ้มครองแรงงานใดๆ มาสู่กฎหมายคุ้มครองแรงงานซึ่งช่วยสร้างมาตรฐานให้แก่สิทธิของแรงงานให้ได้รับความคุ้มครอง และกฎหมายประกันสังคมที่ช่วยจัดสวัสดิการให้กับแรงงานไทย

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มาจากการต่อสู้ของขบวนการแรงที่มีมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์แลได้ชี้ให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันบทบาทของขบวนการแรงงานไทยอยู่ในช่วงที่เผชิญกับความท้าทายจากรูปแบบความสัมพันธ์แรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของความสัมพันธ์แรงงานรูปแบบใหม่ที่เข้าไปทำงานในแพลตฟอร์มออนไลน์ ขบวนการแรงงานในเวลานี้จึงอยู่ในช่วงของการปรับกระบวนการใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว

เรื่องที่สอง เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม อาจารย์แล เน้นย้ำว่าประเด็นชาวนาเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทยมาโดยตลอดและเป็นแรงผลักดันให้เกิดการอภิวัฒน์การปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 นอกจากนี้ อาจารย์แล ชี้ให้เห็นว่าภาพจำของสังคมไทยที่ถูกนำเสนอผ่านเรื่องความอุดมสมบูรณ์แบบในน้ำมีปลาในนามีข้าวนั้นอาจจะไม่เป็นความจริง เพราะแม้ว่าอุตสาหกรรมเกษตรจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยก่อนการอภิวัฒน์สยาม แต่สภาพสังคมไทยในเวลานั้นชาวนาเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคง ชาวนาไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ และวิธีทำการเกษตรยังมุ่งเน้นการใช้แรงงานคนมากกว่าการใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำชาวนาไทยมีความยากลำบาก

สภาพดังกล่าวทำให้ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม คณะราษฎรได้มอบหมายให้ นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยที่เป็นอยู่ในเวลานั้นให้ดีขั้นทั้งในแง่การจัดสรรที่ดินใหม่ เพื่อให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ได้ รวมถึงการเสนอให้ชาวนารวมตัวกันเป็นสหกรณ์เพื่อให้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น แต่การที่เค้าโครงการเศรษฐกิจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นวิธีการแบบคอมมิวนิสต์ดังปรากฏในสมุดปกขาวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้ความมุ่งหมายที่จะช่วยเหลือชาวนาถูกขัดขวาง และสร้างภาพจำสังคมไทยให้เห็นว่าการพยายามช่วยเหลือชาวนามีความเกี่ยวโยงกับคอมมิวนิสต์

ประกอบกับในเวลาต่อมาขบวนการชาวนาได้รวมกันเป็นแนวร่วม 3 ประสาน (กรรมกร ชาวนา และนักศึกษา) ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมนั้นขบวนการชาวนาถูกกวาดล้างอย่างจริงจังแบบถอนรากถอนโคน เพราะถูกรัฐไทยเชื่อมโยงขบวนการชาวนากับขบวนการคอมมิวนิสต์

การเชื่อมโยงชาวนากับคอมมิวนิสต์ทำให้ชาวนาอยู่ในสถานะตัวร้ายและคนที่พยายามจะช่วยเหลือชาวนาก็อยู่ในสถานะตัวร้ายเช่นกัน ดังนั้น ความช่วยเหลือจากรัฐไปสู่ชาวนามักจะเป็นไปอย่างจำกัด รัฐไม่เน้นการช่วยเหลือชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เน้นการช่วยเหลือผ่านการสงเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การให้เงินช่วยเหลือผ่านการผันเงินไปลงหรือการช่วยประกันราคาสินค้าเกษตร แต่ไม่ลงไปถึงการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชาวนาจริงๆ ในทางตรงข้ามเมื่อชาวนารวมตัวกันเป็นขบวนการเมื่อไร รัฐจะปฏิบัติต่อชาวนาอย่างไม่ไว้วางใจ

เรื่องที่สาม บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ในช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสำคัญของสังคมไทยกลับมาอยู่ที่บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาฐ บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาทั้งในกรณีของแรงงานหรือชาวนา รัฐจะตั้งบทบาทไว้ในฐานะผู้สงเคราะห์มากกว่าจะแก้ไขปัญหา และมองปัญหาความยากจนไว้กับเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าจะมองว่า ความยากจนเป็นผลผลิตของสังคมโดยรวม ข้อเสนอแนะของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจึงมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาที่ตัวบุคคลมากกว่า อาทิ การให้เงินสงเคราะห์ การรับซื้อสินค้าเกษตรกร หรือการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือ ทำอย่างไรให้ชาวนาไม่เป็นหนี้หรือมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แม้ว่าบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล จะเน้นอธิบายบทวิเคราะห์ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านบริบททางประวัติศาสตร์ แต่ดังจะเห็นได้ว่า ภาพดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องในปัจจุบัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยความเหลื่อมล้ำนั้นมีที่มาจากปัจจัยหลายๆ ประการ ทั้งปัจจัยภายนอก ปัจจัยเชิงนโยบาย และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำหายไป

จากการศึกษาวิจัยของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เรื่อง เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดขึ้นจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข้อสำคัญที่ตรงกับบทวิเคราะห์ที่ อาจารย์แลให้สัมภาษณ์ไว้บางประการ โดยปัจจัยความเหลื่อมล้ำที่ถูกยกขึ้นมา คือ (1) ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เนื่องจากคนไทยสัดส่วนร้อยละ 31 ทำงานอยู่ในภาคเกษตร เมื่อการเติบโของรายได้เกษตรอยู่ในระดับต่ำทำให้ความเหลื่อมล้ำกว้างขวางขึ้น สะท้อนภาพของชาวนาที่มีความไม่มั่นคง (2) ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เกิดจากโอกาสทางการศึกษาไม่ครอบคลุมและมีคุณภาพแตกต่างกัน สิทธิแรงงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าแรงเติบโตช้ากว่าเศรษฐกิจ และภาครัฐขาดมาตรการสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยอย่างเป็นระบบ (3) วิกฤตโควิด-19 เร่งให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะโควิด-19 ได้กระทบรายได้ของกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการและความคุ้มครองทางสังคม อาทิ เงินชดเชยในช่วงที่ไม่มีงาน และ (4) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยและเป็นปัจจัยที่เร่งเร้าให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแย่ลง

นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังเน้นย้ำว่า สาเหตุสำคัญที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการเมืองไทย โดยงานวิจัยระบุว่า สังคมไทยนั้นการเมืองมีลักษณะไม่เชื่อมโยงกับความรับผิดต่อส่วนรวม (accountability) การเมืองปล่อยให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดำเนินต่อไป

คำถามสำคัญต่อมาคือ เพราะเหตุใดรัฐจึงลอยตัวเหนือปัญหาความเหลื่อมล้ำ? ในส่วนนี้บทความของ อาจารย์ธร ปิติดล น่าจะช่วยตอบคำถามดังกล่าวได้

งานวิจัยของ อาจารย์ธร ปิติดลชื่อว่า “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” เป็นส่วนหนี่งของเวทีนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์: แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” โดยงานวิจัยนี้ได้ใช้วิธีการศึกษาแบบการวิเคราะห์วาทกรรม(discourse analysis) และการวิเคราะห์เรื่องเล่า (narrative analysis) เป็นวิธีการศึกษาแนวคิดหรือความคิดที่มีอิทธิพลในการกำกับสังคม

งานวิจัยศึกษามิติเกี่ยวกับแนวคิดและอุดมการณ์สวัสดิการผ่านมุมมองสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐ ชุมชนและครอบครัว และความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ดี บทบาทสำคัญที่ผู้เขียนอยากชวนให้ผู้อ่านทุกคนลองคิดตามงานของ อาจารย์ธร คือ เรื่องบทบาทของรัฐและมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำ

อาจารย์ธร อธิบายแนวคิดเบื้องหลังของสังคมไทยเกี่ยวกับรัฐ โดยเริ่มต้นจากการอธิบายความชอบธรรมของรัฐที่เชื่อมโยงกับคติความเชื่อในอดีต ซึ่งเชื่อว่าผู้ปกครองต้องมีบุญบารมีที่จะนำพาให้เกิดความสงบสุขในสังคม ประชาธิปไตยแบบไทยจึงมุ่งเน้นหาคนดีเข้ามาปกครอง ในขณะที่โครงสร้างการปกครองก็ควรจะต้องมีการจัดลำดับการปกครองลดหลั่นลงมาจากผู้มีบุญบารมีสูงสุดลงมาสู่ผู้มีบุญบารมีต่ำสุด

รัฐและผู้นำของรัฐ จึงวางตัวเสมือนเป็นพ่อขุนอุปถัมภ์ ซึ่งปกครองประชาชนด้วยความห่วงใยและเมตตา ประชาชนจึงไม่ได้อยู่ในสถานะของพลเมืองที่ได้รับสิทธิจากรัฐ แต่อยู่ในฐานะผู้รับการสงเคราะห์จากรัฐ รัฐและผู้นำให้ด้วยความเมตตาไม่ใช่สิทธิ (มุมมองนี้ผู้เขียนคิดว่า อาจารย์ธร หยิบยืมมาจากงานเขียนของ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เรื่อง การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ)

ในส่วนของความเหลื่อมล้ำ อาจารย์ธร นำเสนอว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยไม่ถูกแก้ไขเพราะสังคมไทยมีมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำในฐานะสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ กล่าวคือ ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่มีขึ้นพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นมากับความเป็นคน แนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกับความคิดเรื่องบุญกรรม ทำให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเข้าไปให้สิทธิแก่บุคคลที่ต้องได้รับการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเปรียบเสมือนการทำให้เกิดความแตกร้าวในวิถีทางของสังคมและไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ อาจารย์ธร นำเสนอต่อไปว่า ในสังคมไทยมีการอธิบายปัญหาความเหลื่อมล้ำสามารถถูกเอาชนะได้ด้วยความเพียรพยายามและการทำงานหนัก โดยยกตัวอย่างของการต่อสู้ของชาวจีนที่พกเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกทำให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าปัญหาของสังคมในภาพรวม

การอธิบายบทบาทของรัฐและความเหลื่อมล้ำโดยใช้กรอบแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมของ อาจารย์ธร ข้างต้นทำให้เห็นปัญหาต่อไปว่า เพราะเหตุใดรัฐสวัสดิการถึงไม่สามารถตั้งมั่นในประเทศไทยได้ในฐานะของสิทธิ ขณะเดียวกันเพราะเหตุใดรัฐถึงวางตัวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจนโดยลอยตัว เพราะมองว่าบทบาทของรัฐในการให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องหน้าที่ในการสงเคราะห์มากกว่าเป็นสิทธิของพลเมือง

ผู้เขียนคิดว่างานวิจัยของ อาจารย์ธร มีความน่าสนใจและคิดว่าหากงานวิจัยฉบับเต็มได้เผยแพร่น่าจะได้มีการนำงานวิจัยนี้มาพูดถึงอย่างจริงจังอีกครั้งในอนาคต

บทสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ “แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475” โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์


อ้างอิงจาก

  • สถาบันปรีดี พนมยงค์, (6 พ.ย. 2566), “PRIDI Interview : แล ดิลกวิทยรัตน์ : แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475,” สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ, (21 เม.ย. 2564), “เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร,” กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร.  สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ธร ปิติดล, “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย,” เอกสารประกอบการนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์ : แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” จัดโดยมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย รวมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรม Grand Center Point Terminal.

นโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของคณะราษฎร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมีเจตนาที่จะผลักดันนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งคือ การปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อหลักที่ 3 ของหลัก 6 ประการที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้ว่า 

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”[1]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินเริ่มต้นปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ในบทความนี้จะเริ่มต้นจากการฉายภาพสภาพเศรษฐกิจและสังคมสยามก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

หลังจากนั้นจะได้อธิบายแนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ และปิดท้ายด้วยความพยายามในการปฏิรูปเรื่องการถือครองที่ดินในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของกลุ่มคณะราษฎรหลังการอภิวัฒน์

สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทย

ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้ไม่นาน แม้สยามจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจของในฟากทวีปยุโรปได้รับผลกระทบก็ย่อมส่งผลต่อสังคมสยามไปด้วย อันเนื่องจากการผนวกตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398

เมื่อเศรษฐกิจในยุโรปตกต่ำลงเพราะพิษของสงคราม จึงส่งผลให้ข้าว, ไม้สัก, ดีบุก และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกราคาต่ำลงและขายในตลาดต่างประเทศไม่ได้ราคาอย่างที่คาดหวังไว้ ทำให้สยามมีรายได้ลดลงจากเดิม ในปี พ.ศ. 2473 รัฐบาลสยามในขณะนั้นจึงแก้ปัญหาโดยการตัดทอนรายจ่ายเพื่อให้งบประมาณไม่ขาดดุลด้วยการลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทางทหารลง[2]

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาสินค้า การลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรากฐานของปัญหาในสังคมไทยเวลานั้น เพราะปัญหาหลักของสังคมไทยในเวลาดังกล่าวคือการมีอาชีพหลักเพียง 2 ประการคือ ข้าราชการ และเกษตรกร

กล่าวเฉพาะเกษตรกร ราษฎรสยามที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรในเวลานั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จากการสำรวจของคาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน (Carl C. Zimmerman) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกันซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจของชนบทในปี พ.ศ. 2473 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่ของสยามทำอาชีพเป็นชาวนาโดยเช่านาจากเจ้าของที่ดินเป็นส่วนใหญ่ โดยสัดส่วนการเช่าที่ดินแบ่งตามจำนวนภาคได้ดังนี้ ใน ภาคกลาง ชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่ราวร้อยละ 36, ใน ภาคเหนือ ร้อยละ 27, ภาคใต้ ร้อยละ 14 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 18 โดยเฉพาะจังหวัดธัญญบุรี (ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี) พบว่าชาวนาส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าที่ดินในราวร้อยละ 85 โดยเช่าที่ดินจากบริษัทที่เข้ามาพัฒนาขุดคลองและพัฒนาที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมในขณะนั้น เช่น บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด และชนชั้นปกครองของสยามในเวลานั้น[3]

สภาพที่ดินมีลักษณะเป็นแปลงเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ในเจ้าของหลายคน (รายละเอียดปรากฏตามตารางแนบท้าย) ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินทำได้ไม่เต็มศักยภาพ โดยชาวนาคนหนึ่งมีที่ดินที่ต้องใช้ทำนากระจายอยู่ห่างกัน และแปลงหนึ่งมีเนื้อที่เพียงงานเดียว[4] ทำให้ชาวนาต้องใช้แรงกายในการทำนามาก และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงที่ดินเพื่อทำนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่กลับได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประกอบกับการทำนามีต้นทุนหลายประการ อาทิ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแก่เงินกู้มาลงทุนทำนา ค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินค่ารัชชูปการ ซึ่งมีลักษณะซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม ผลผลิตจากการเพาะปลูกจึงตอบสนองเพียงพอแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น[5]

ตารางแสดงเจ้าของที่ดิน 5 อันดับแรกและกำไรจากการถือครองที่ดินในเขตรังสิต
ชื่อ/สังกัดปี (พ.ศ.)จำนวนที่ (ไร่)ราคาตอนซื้อโดยประมาณราคาในปี พ.ศ. 2468 หลังเขื่อนป่าสัก
[ประมาณการกำไร]
(อัตราผลตอบแทนต่อปี)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นทิวากรวงษ์
ประวัติ (ต้นราชสกุลเกษมศรี)
244217,945406,8131,435,600 – 1,794,500
[1,028,787 – 1,387,687]
(4.97 – 5.87%)
บริษัทลำไทร จำกัด2441 – 24429,000117,765720,000 – 900,000
[602,235 – 782,235]
(7.07 – 7.98%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นสรรพศาสตร์
ศุภกิจ (ต้นราชสกุลทองแถม)
24417,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมพระนราธิปพระพันธ์พงศ์ (ต้นราชสกุล
วรวรรณ)
7,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด24436,584189,850526,720 – 658,400
[336,780 – 468,550]
(4.17 – 5.1%)
ที่มา : สรุปจากการวิเคราะห์ของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา: สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564) หน้า 27 – 28.

การถือครองที่ดินแปลงใหญ่โดยเจ้าของที่ดินชนชั้นสูงซึ่งอยู่อาศัยนอกพื้นที่ อาทิ กรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตพื้นที่รังสิต เป็นผลมาจากการให้สัมปทานในการขุดคลอง[6] ขณะที่ราษฎรที่บุกเบิกจับจองที่ดินนั้นเข้าใจว่าตนมีสิทธิในที่ดินจากการเข้าไปหักร้างถางพงและทำประโยชน์ โดยไม่ได้ตระหนักถึงระบบกรรมสิทธิ์ที่ถูกนำเข้ามาใช้ใหม่แทนที่การครอบครองที่ดินแบบเดิม[7] ทำให้การครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ไม่มีความหมาย จนนำมาสู่การเกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินกับชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองและทำประโยชน์ในที่ดินในฐานะผู้เช่า ทั้งในแง่ของการปลอมเอกสารสิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ออกโดยหน่วยงานหลายหน่วยงานในเวลาเดียวกัน หรือการขับไล่ชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองที่ดินตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราค่าเช่านา[8]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) รับบทบาทในการจัดทำ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ซึ่งเรื่องหนึ่งที่นายปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศสยามในเวลานั้นจากเดิมเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่รัฐมีบทบาทจำกัดและปล่อยให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปตามกลไกตลาด[9] มาสู่การเป็นสังคมนิยมแบบสหกรณ์ (cooperative socialism) โดยเน้นการจัดสรรทรัพยากรโดยรัฐเข้ามามีบทบาทในการวางแผนทางเศรษฐกิจแล้วใช้สหกรณ์เป็นหน่วยในการปฏิบัติตามนโยบายเพื่อจัดสรรทรัพยากร[10]

ในแง่วิธีการจัดหาที่ดินนั้นนายปรีดีเสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…รัฐบาลจะซื้อที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ก็เชื่อว่าชาวนาเจ้าของที่ดินผู้รับจำนองทั้งหลายคงจะยินดีมิใช่น้อย เพราะการที่ตนยังคงมีกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดิน หรือยังยึดที่ดินไว้เป็นประกันมีแต่จะขาดทุนอย่างเดียว การซื้อที่ดินกลับคืนมานี้เป็นวิธีต่างกับวิธีริบทรัพย์ของคอมมิวนิสต์”[11]

กล่าวคือ รัฐบาลควรจะดำเนินการโดยการซื้อที่ดินจากเอกชนกลับมาเป็นของรัฐ เนื่องจากในเวลานั้นราคาที่ดินลดลงและเจ้าของที่ดินไม่สามารถเก็บหนี้ค่าเช่าที่ดินจากชาวนาได้ เพราะชาวนาทำนาขาดทุน การขายที่ดินให้กับรัฐบาลจึงเป็นวิธีการดีที่สุดที่เจ้าของที่ดินจะได้ประโยชน์จากราคาที่ดิน โดยการซื้อคืนที่ดินนี้ นายปรีดีเสนอให้มีการออกใบกู้เงินให้เจ้าของถือไว้ตามราคาที่ดิน และให้ถือว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล (คล้ายกับพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบัน) รัฐบาลจะดำเนินการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะนั้น ซึ่งในทรรศนะของนายปรีดีมองว่า วิธีการนี้ดีกว่าการถือโฉนดที่ดินหรือหนังสือสำคัญเอาไว้ในสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากตอนนี้เจ้าของที่ดินไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการเป็นเจ้าหนี้

นอกจากนี้ การได้ที่ดินของรัฐบาลมาโดยวิธีการนี้ไม่ได้เป็นการบังคับยึดที่ดินมา แต่เป็นการใช้วิธีการซื้อคืนที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยสมัครใจ และเป็นการซื้อคืนเฉพาะที่ดินเพื่อการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ อาทิ ที่นาหรือที่ไร่เท่านั้น ไม่รวมถึงที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย[12]

เมื่อพิจารณาถึงแรงจูงใจในการร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ นายปรีดีได้ชี้แจงต่อคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ร่างขึ้นตามแนวทางแบบสังคมนิยมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ โดยตนเห็นว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมต้องเป็นลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่อกัน[13] ตามปรัชญาภราดรภาพนิยมที่นายปรีดียึดถือ[14] การที่รัฐเข้ามาจัดสรรที่ดินจึงเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมองเห็นความจริงของสังคมว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคลคนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแรงงานของตนเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดขึ้นจากสังคมและฝูงชนโดยรอบที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและร่วมประกันภัยต่อกัน[15]

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของนายปรีดีถูกต่อต้านจากรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พร้อมกับการนำพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจ[16]

อนึ่ง สถานการณ์ดังกล่าวในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจคือ คำอธิบายของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ ซึ่งได้กล่าวว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจที่มีการกำหนดให้รัฐซื้อที่ดินจากเอกชนมาเป็นของรัฐ ส่งผลกระทบต่อชนชั้นปกครองในเวลานั้นรวมถึงราชสำนักที่เป็นเจ้าของพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

การปฏิรูปที่ดินจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมรับได้ของชนชั้นนำสยาม เพราะที่ดินถือเป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งให้กับชนชั้นนำ โดยอภิชาตและอิสร์กุลอ้างถึงงานของ สุเอฮิโระว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 การถือครองที่ดินของพระคลังข้างที่ให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อาทิ กิจการรถไฟฟ้า ธนาคาร การเดินเรือ ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเพียงร้อยละ 4-12 เท่านั้น[17]

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นำไปสู่การทำรัฐประหารเงียบโดยการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีผลเป็นการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา จนท้ายที่สุดในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนานำอำนาจคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย พร้อมยุติบทบาทของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวความพยายามในการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจได้สะดุดหยุดลง และต่อมาในปี พ.ศ. 2476 พระยาโกมารกุลมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการในรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้เสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินรกร้างว่างเปล่าแทนการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจ[18]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

การปฏิรูปที่ดินถูกหยิบยกกลับมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่งในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงปี พ.ศ. 2491 – 2500 นโยบายการปฏิรูปที่ดินของจอมพล ป. เป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การตกอยู่ภายใต้พันธะของความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่จะต้องส่งข้าวเพื่อชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม[19] ทำให้ราคาส่งออกข้าวกลับมามีราคาเพิ่มสูงขึ้นและเกิดการสะสมที่ดินอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ปัญหาแรงงานล้นเกินยังมีส่วนให้เกิดแรงกดดันของประชากรต่อที่ดินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินตามมา[20]

นอกจากนี้ ด้วยสภาพทางการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งอยู่ระหว่างการเมืองแบบสามเส้า ทำให้จอมพล ป. อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การดึงเอาการสนับสนุนทางการเมืองจากประชาชน และการรับนโยบายจากสหรัฐอเมริกาจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม[21] กรณีดังกล่าวจึงนำมาสู่การตรากฎหมายที่ให้อำนาจรัฐในการยกเลิกโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบเพื่อแย่งชิงสิทธิกับประชาชน และยกเลิกการออกโฉนดที่ไม่เป็นธรรมแล้วนำไปจัดสรรใหม่ให้กับประชาชน[22]

อีกประการหนึ่งที่รัฐบาลจอมพล ป. ได้ดำเนินการ คือ การจำกัดการถือครองที่ดิน กล่าวคือพยายามเสนอร่างกฎหมายใหม่โดยการตราประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งกำหนดห้ามมิให้ถือครองที่ดินเกินกว่า 50 ไร่ ถ้าเกินกว่า 50 ไร่ต้องขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด[23] อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่านโยบายดังกล่าวนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากรัฐบาลในเวลานั้นยอมแก้ไขร่างประมวลกฎหมายที่ดินโดยไม่ให้มีผลย้อนหลัง ทำให้ไม่กระทบต่อชนชั้นนำที่ครอบครองที่ดินในเวลานั้น[24] แต่ในความเป็นจริงนโยบายการจำกัดการถือครองที่ดินของจอมพล ป. ก็ต้องสิ้นสุดลงไปพร้อมกับการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์[25]

กล่าวได้ว่าปัญหาการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทยมีส่วนสำคัญมาจากแรงจูงใจทางการเมืองของชนชั้นนำในสังคมไทยในเวลานั้น ที่มีส่วนในการขัดขวางกระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลประโยชน์เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทว่า ปัจจัยสำคัญที่ชนชั้นนำไม่ต้องการให้เกิดการปฏิรูปที่ดินเนื่องจากการปฏิรูปจะกระทบต่อความมั่งคั่งเดิมและประโยชน์ที่พึงรักษาไว้จากความเหลื่อมล้ำในสังคม


เชิงอรรถ

[1] หลัก 6 ประการนี้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของคำปฏิญาณคนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1; ดู สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญ) (28 มิถุนายน 2475), หน้า 6.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[3] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525), หน้า 18 – 20.

[4] เพิ่งอ้าง, หน้า 20.

[5] เพิ่งอ้าง, หน้า 32.

[6] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา : สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564), หน้า 42.

[7] ผู้เขียนพัฒนาแนวคิดเรื่องนี้มาจากกรอบการวิเคราะห์ของ รองศาสตราจารย์ ดร.หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์; ดู อคิน รพีพัฒน์, ‘กำเนิดรหัสหมายสลัม/ชุมชนแออัด’ ใน อคิน รพีพัฒน์ (หัวหน้าโครงการ) โครงการวิจัยและปฏิบัติการวิวัฒนาการชุมชนแออัดและองค์กรชุมชนแออัดในเมือง (รายงานวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2541).

[8] ดู กิตติกาญจน์ หาญกุล, ‘บทวิเคราะห์ข้อขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินและกลไกการแก้ไขปัญหา : ศึกษาเฉพาะกรณีที่ดินในเขตชลประทานทุ่งรังสิต’ (2550) 1 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,หน้า 32, 37-38.

[9] ข้อสังเกตคือ การทำงานโดยกลไกตลาดในเวลานั้นไม่มีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรเนื่องจากมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจอยูกับกลุ่มชนชั้นนำ และธุรกิจทุนต่างประเทศ ดู พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 105-106.

[10] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ : ข้อคิดจากปรีดี พนมยงค์ ถึงยุคปัจจุบัน (เสมสิกขาลัย, 2564) 32-33; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ ใน ณภัทร ปัญกาญจน์ (บรรณาธิการ) รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2564), หน้า 71.

[11] ปรีดี พนมยงค์, ‘ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์ <pridi.or.th/th/libraries/1583466113> สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (เชิงอรรถ 10), หน้า 88 – 91.

[13] สันติสุข โสภณสิริ, เค้าโครงการเศรษฐกิจ (โครงการจัดทำสื่อเผยแพร่เกียรติคุณ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส สำหรับเด็กและเยาวชน 2542), หน้า 107.

[14] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[15] สันติสุข โสภณสิริ (เชิงอรรถ 13), หน้า 107 – 108.

[16] ณัฐพล ใจจริง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจจะไม่ใช่ผู้เขียนพระบรมราชวินิจฉัยตัวจริง ข้อสังเกตดังกล่าวมีความน่าสนใจในทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่มีนัยต่อการพิจารณาในเรื่องนี้; ดู ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝในฝันอันเหลือเชื่อ (ฟ้าเดียวกัน, 2566), หน้า 237 – 287.

[17] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, (เชิงอรรถ 6), หน้า 74.

[18] เพิ่งอ้าง, หน้า 72.

[19] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[20] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[21] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500)’ (2553) 2 วารสารสถาบันพระปกเกล้า 1, หน้า 1-6. ..สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[22] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[23] พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 58 ทวิ

[24] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘กระบวนการกำหนดนโยบายที่ดินในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2500’ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2553), หน้า 158 – 174.

[25] ประชาไท, ‘จอมพล ป.กับการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ-จุดริเริ่มการปฏิรูปเพื่อกระจายการถือครองที่ดินแก่ ปชช. หลัง 2475’, (ประชาไท, 22 มกราคม 2565) <prachatai.com/journal/2022/01/96921> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

เเนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของ ปรีดี พนมยงค์ ต่อสังคมไทย: บทสรุปในหนังสือวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมืองของ ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บทบาทของนายปรีดี พนมยงค์ ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในฐานะสมาชิกคณะราษฎร นายปรีดีได้เข้าไปมีส่วนในการดำเนินการในรัฐบาลใหม่หลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการตรากฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในสังคมไทยเวลานั้น อีกเรื่องหนึ่งที่ปรีดี ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุดคือ การเข้าไปวางเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ในหนังสือ “รื้อถอนการพัฒนา ความยั่งยืนทางนิเวศและความยุติธรรมทางสังคม : บทวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” โดย ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ถึงขนาดกล่าวว่า “…สิ่งที่อาจารย์ (ปรีดี) เสนอนั้นไม่ใช่ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” อย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “วิชั่น” (vision; วิสัยทัศน์ เพิ่มเติมโดยผู้เขียนบทความ) ของสังคมไทยในอนาคตด้วย…

ด้วยความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจึงขอสรุปสาระสำคัญและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจหาหนังสือฉบับเต็มของอาจารย์ปรีชามาอ่าน

หลักคิด 4 ประการของเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบปรีดี

ในการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองของนายปรีดี พนมยงค์ กรอบสำคัญที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักการในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานั้นประกอบไปด้วยหลักการ 4 ประการ ได้แก่

ประการแรก การเข้าใจว่าเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมซึ่งมีหลายมิติ ซึ่งในมุมของนายปรีดี ได้แบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วน คือ การเมืองเป็นโครงสร้างส่วนบน เศรษฐกิจเป็นโครงสร้างส่วนล่าง และทรรศนะทางสังคมเป็นส่วนที่เชื่อมโยงกันระหว่างโครงสร้างทั้งสองส่วนดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนต่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดเวลา 

ประการที่สอง เศรษฐศาสตร์การเมืองมองว่ารูปแบบความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในสังคมมีหลายอย่าง แต่รูปแบบความสัมพันธ์ที่สำคัญคือ ความขัดแย้ง ซึ่งนายปรีดีเลือกศึกษาความขัดแย้งที่เกิดจากชนชั้นและอำนาจ

ประการที่สาม สังคมทุกสังคมมีความขัดแย้งภายในตนเอง ซึ่งนำไปสู่การปะทะสังสรรค์กันของความขัดแย้งที่ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในสังคม โดยประเด็นนี้นายปรีดีได้นำวิธีคิดมาจากกฎทางพระพุทธศาสนาในเรื่องความเป็นอนิจจัง ทำให้นายปรีดีเห็นว่าสังคมมีความเป็นอนิจจังที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และ

ประการที่สี่ นายปรีดีมองว่าเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเรื่องของการวิพากษ์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิพากษ์ไปให้ถึงต้นตอของปัญหา

มองสังคมอย่างเป็นองค์รวม

การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองโดยอาศัยหลักการดังกล่าวของนายปรีดี ทำให้การมองสังคมอย่างเป็นองค์รวมมองเห็นสภาพปัญหาของสังคมไทยที่แท้จริงในช่วงเวลาก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมองว่าปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรที่ทุกข์ยากนั้น มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และการเข้าไม่ถึงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้น ในทรรศนะของนายปรีดี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงมีเป้าหมายเพื่อเป็นปฏิบัติการทางสังคมผ่านการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์แบบเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยนายปรีดีเห็นว่า หากเปลี่ยนแปลงการเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แล้ว เศรษฐกิจที่เป็นโครงสร้างส่วนล่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

นายปรีดีเชื่อว่า เศรษฐกิจกับประชาธิปไตยเป็นเรื่องคู่กัน ถ้าหากเป็นประชาธิปไตย ระบบเศรษฐกิจจะตอบสนองต่อราษฎรมากกว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขในการเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ กล่าวคือ หากมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ดีแล้ว ประชาชนจะมีประชาธิปไตยทางการเมืองที่มั่นคง และจะทำให้คนในสังคมมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางสังคมขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีสิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์

เศรษฐศาสตร์การเมืองของสิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์

นอกจากนี้ สิทธิแห่งมนุษยชนสมบูรณ์ที่เป็นคุณค่าของประชาธิปไตย 3 ประการ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ จะไม่สามารถเกิดขึ้นในบริบทที่การผูกขาดทางเศรษฐกิจอยู่ภายใต้อำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น เค้าโครงการเศรษฐกิจที่นายปรีดีได้เสนอขึ้นมา จึงไม่ใช่เพียงเค้าโครงของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในเวลานั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นทรรศนะของนายปรีดีที่มองไปในอนาคตว่า สภาพเศรษฐกิจในอุดมคติของสังคมไทย ซึ่งในทรรศนะของนายปรีดีต้องการให้รัฐหรือรัฐบาลเป็นศูนย์รวมความภราดรภาพของราษฎรในสังคมไทย ผ่านการให้รัฐเข้าไปเป็นผู้จัดการระบบเศรษฐกิจ ดังนี้

ประการแรก รัฐเข้าไปดำเนินการประกอบการเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อมิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างชนชั้นที่มีอำนาจไม่เท่ากันในสังคม โดยเมื่อรัฐเป็นผู้เข้าไปดำเนินการก็เสมือนราษฎรทุกคนมีความเป็นเจ้าของร่วมกัน

ประการที่สอง การจัดให้มีประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรโดยเป็นหลักประกันในการดำรงชีวิตของราษฎรที่อาจจะมีความไม่มั่นคงให้เกิดความมั่นคงขึ้นมา โดยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ จะเป็นหลักประกันตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย

ประการที่สาม การจัดระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ โดยให้ราษฎรเข้าไปทำงานในสหกรณ์ ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งและร่วมกันเป็นการเจ้าของหน่วยการผลิตร่วมกัน นอกจากนี้ สหกรณ์จะทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยการผลิตและจำหน่าย และ

ประการที่สี่ รัฐวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้สหกรณ์แต่ละหน่วยรับนโยบายไปดำเนินการ

ระบบเศรษฐกิจตามอุดมคติของนายปรีดีในเค้าโครงการเศรษฐกิจ จึงสะท้อนนัยสำคัญของนายปรีดีที่ต้องการให้ราษฎรไทยเวลานั้นมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมหรือผูกขาดทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง มีความเสมอภาคโดยมีความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกันผ่านรัฐ และมีความเป็นภราดรภาพเสมือนพี่น้อง ร่วมกันแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนผ่านระบบประกันความสุขสมบูรณ์

กล่าวโดยสรุป แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของนายปรีดี จึงเป็นการตั้งหลักการในการวิพากษ์สังคมอย่างเป็นองค์รวม โดยมองให้เห็นรากฐานของปัญหาและนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยปฏิบัติการทางสังคมผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยมีแกนกลางอยู่ที่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่เกื้อหนุนราษฎรในประเทศ

หมายเหตุ : ผู้เขียนสรุปสาระสำคัญและเรียบเรียงประเด็นจาก ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์, รื้อถอนการพัฒนา ความยั่งยืนทางนิเวศและความยุติธรรมทางสังคม : บทวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง (กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองบูรพา 2555).

ความเป็นจริงของความเสมอภาคทางเพศ: เมื่อสิทธิในรัฐธรรมนูญไม่เป็นจริงในชีวิตจริง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเท่าเทียมทางเพศ” ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่การรับสิทธิในการเลือกตั้งโดยเสมอภาคเท่าเทียม จนไปถึงการรับรองสิทธิในความเท่าเทียมทางเพศ การรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกำหนดห้ามมิให้เลือกปฏิบัติโดยอาศัยเหตุเนื่องจากเพศของบุคคล อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกันกับกฎหมายหลายๆ ฉบับที่ในกฎหมายกับในความเป็นจริงแตกต่างกัน สิทธิความเสมอภาคทางเพศก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ในทางกฎหมายกับในความเป็นจริงอาจจะเดินสวนทางกันอยู่ ด้วยปัจจัยเชิงสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ที่อยู่ภายในสังคม

ทรรศนะทางสังคมที่ยังไม่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศ

สิทธิความเสมอภาคทางเพศนั้นเช่นเดียวกันกับสิทธิต่างๆ ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย กล่าวคือ สิทธิทั้งหลายนั้นไม่ใช่เพียงแค่จะต้องมีการรับรองในฐานะสิทธิทางการเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์คนในสังคมจะต้องมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย ปัญหาของสังคมไทยที่ผ่านมาคือ ทรรศนะทางสังคมเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศยังคงไม่เป็นจริงมากเท่าใดนัก

จากการสำรวจของธนาคารโลกในปี พ.ศ. 2561 ระบุว่า ในประเทศไทยมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นทั้งในเรื่องการเข้าถึงโอกาสในการทำงาน การรับบริการของรัฐ  การศึกษาหรือการฝึกอบรม และบริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า ร้อยละ 60 ของกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) ร้อยละ 30 ของกลุ่มเลสเบี้ยน และร้อยละ 20 ของกลุ่มเกย์ ถูกเลือกปฏิบัติในการทำงาน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ใบสมัครของตนถูกปฏิเสธด้วยเหตุแห่งการมีอัตลักษณ์เป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[1]

นอกจากนี้ UNDP และ Love Frankie ได้ทำการสำรวจเกี่ยวรูปแบบการถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ พบว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยมีแนวโน้มจะถูกเลือกปฏิบัติได้อย่างน้อย 7 รูปแบบ ได้แก่ (1) โดนล้อเลียนหรือดูถูกหรือต่อว่า (2) ถูกทอดทิ้งจากกลุ่ม/สังคม (3) โดนไล่ออกจากงานหรือสูญเสียโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (4) โดนล่วงละเมิดทางเพศ (5) โดนทำร้ายร่างกาย (6) โดนให้ออกจากที่อยู่อาศัย และ (7) โดนตำรวจมาตรวจจับ โดยรูปแบบการเลือกประบัติที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด 4 อันดับ คือ รูปแบบที่ (1) – (4)[2]

ส่วนหนึ่งของกระบวนการเลือกปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นในสภาวะที่สังคมกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้และพยายามปรับตัว สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่อุปสรรคใหญ่ของสังคมนั้นมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เข้ามาผสมโรง ทำให้การก่อให้เกิดทรรศนะทางสังคมที่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศไม่เกิดขึ้น อาทิ การกีดกันสิทธิในการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือการยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ที่มีความหลากหลายในสังคมอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างเพศในสังคมซ้ำๆ

ความเสมอภาคทางเพศที่ไม่ใช่แค่มิติหญิงชาย: การปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเพศเสียใหม่

การทำความเข้าต่อประเด็นความเสมอภาคทางเพศในปัจจุบัน ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ “เพศ” เสียใหม่ โดยในปัจจุบันเมื่อพูดถึงเรื่องความเสมอภาคทางเพศแล้ว อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายเพศในปัจจุบันไม่ควรถูกอธิบายผ่านเพศโดยกำเนิด (คิดจากฐานคิดว่าเพศมีแค่หญิงชายและใช้อวัยวะเพศเป็นเกณฑ์) แต่ควรทำความเข้าใจบทบาทเกี่ยวกับเพศในแง่ของเพศสภาพ (Gender) และเพศวิถี (Sexuality) ของบุคคลมากกว่า ซึ่งทำให้เพศมีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ เลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวล ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงของสังคมที่ในปัจจุบันเพศไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศหญิงหรือเพศชายอีกต่อไป

ฉะนั้น เมื่อการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่แล้ว จะเห็นได้ว่ามิติของความเสมอภาคทางเพศจึงไม่ใช่แค่มิติความเสมอภาคระหว่างเพศหญิงและเพศชายอีกต่อไป แต่ควรพิจารณาความเสมอภาคทางเพศบนมิติของความหลากหลายและโอบรับความหลากหลายที่เพิ่มมากขึ้น

การอธิบายกรอบคิดเรื่องเพศในลักษณะนี้รัฐควรจะต้องนำไปปรับเปลี่ยนในเชิงนโยบาย รวมไปถึงมุมมองของรัฐที่มีต่อเรื่องเพศเสียใหม่ นอกจากนี้การจะรองรับความเสมอภาคดังกล่าวได้นั้น กฎหมายก็ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการรับรองสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งกฎหมายใดที่ขัดขวางหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวก็ควรจะต้องถูกแก้ไขให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน

แม้สังคมจะก้าวไปข้างหน้า แต่กฎหมายล้าสมัยยังคงถูกใช้บังคับอยู่

กฎหมายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่คอยย้ำเตือนต่อวัฒนธรรมความไม่เสมอภาคทางเพศ และคอยขัดขวางการสร้างทรรศนะทางสังคมที่ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ในปัจจุบันมีกฎหมายบางฉบับที่ยังเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงไทยที่สมรสกับชายต่างด้าว อาทิ กฎหมายสัญชาติซึ่งกำหนดให้สามีต่างด้าวที่ประสงค์จะต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ในขณะที่ภรรยาต่างด้าวของชายชาวไทยไม่ถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน[3] ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวทำให้คู่สมรสของผู้หญิงมีความยุ่งยากมากกว่าคู่สมรสของผู้ชาย

อีกกรณีหนึ่งคือ การจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เพศกำเนิดเป็นเพศเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิดังกล่าวเอาไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กรณีดังกล่าวนี้เป็นภาพสะท้อนของกฎหมายที่ล้าสมัยที่ยังดำเนินอยู่ในสังคมไทย

ปัจจุบันการสมรสเท่าเทียมได้ถูกผลักดันทั้งจากฝ่ายการเมือง ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป โดยพยายามผลักดันให้รัฐบาลและพรรคร่วมผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่รัฐบาลพยายามเลี่ยงที่จะไปออกกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิต ซึ่งสถานะที่แตกต่างนี้นำไปสู่หนทางของการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมบนพื้นฐานทางเพศเช่นกัน[4]

แม้กฎหมายจะรับรองความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย แต่สังคมทำให้ผู้หญิงไม่เท่ากับผู้ชาย

ความไม่เท่าเทียมทางเพศปรากฏอยู่ในหลายลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงให้อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่า อาทิ กรณีผู้หญิงมุสลิมในภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา หลักประกันทางสังคม การบริการทางสุขอนามัย และโอกาสทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากวัฒนธรรมประเพณีและสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ อีกทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงเป็นฝ่ายแบกรับภาระในการวางแผนครอบครัว[5]

ในกรณีพื้นฐานที่สุด ความเหลื่อมล้ำทางเพศปรากฏอยู่ในรูปแบบของการควบคุมเรื่องการแต่งกาย อาทิ ในกรณีของข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 20 กำหนดให้ในเวลาว่าความ ทนายความหญิงต้องใส่กระโปรงและเสื้อสีสุภาพไม่ฉูดฉาด ซึ่งหากทนายความผู้หญิงคนใดฝ่าฝืนอาจจะถูกลงโทษหรือได้รับผลร้าย เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนมรรยาททนายความ โดยข้อบังคับดังกล่าวถูกใช้มาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปีแล้ว[6]

แม้ว่าในปัจจุบันข้อบังคับดังกล่าวจะถูกวินิจฉัย โดย คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ให้มีการดำเนินการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว[7] แต่กรณีนี้อาจจะไม่เพียงพอ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเข้าสู่ห้องพิจารณาคดีผู้พิพากษายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในฐานะผู้ควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในห้องพิจารณาคดี ซึ่งบางครั้งผู้พิพากษาอาจจะเห็นว่าการใส่กระโปร่งของทนายความหญิง อาจจะขัดกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในห้องพิจารณา รวมถึงในปัจจุบันสภาทนายความอยู่ในระหว่างการฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการดังกล่าว[8]

ความเสมอภาคที่แท้จริงต้องได้รับการสนับสนุน

ความเสมอภาคไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่สิทธิทางกฎหมาย แต่การยกระดับชีวิตของบุคคลควรลงไปถึงมิติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิง (ผู้ชายในบางบริบท และผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ให้มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดคือ ผู้หญิงต่อบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวัน อาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางคือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[9]

ฉะนั้นการออกแบบนโยบายจึงควรพิจารณาต้นทุนการใช้ชีวิตที่เกิดขึ้นกับคนเพศนั้นๆ ประกอบร่วมด้วย เพราะผู้หญิงอาจจะต้องคำนึงถึงภาระและต้นทุนในการเลี้ยงลูก หรือคนที่มีเพศหลากหลายอาจจะต้องคำนึงถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขที่เพิ่มเติมกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในบางบริบท อาทิ การแปลงเพศ เป็นต้น[10]

ทางออกและหนทางสู่สังคมเสมอภาคทางเพศ

ท้ายที่สุด หนทางของการเสริมสร้างความเสมอภาคทางเพศต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยพิจารณาปัจจัย 3 ด้าน ประกอบกัน ได้แก่ (1) การสร้างความตระหนักรู้และความรับรู้เกี่ยวกับเพศในสังคม โดยต้องลงไปแก้ที่หลักสูตรการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในวิชาสุขศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองและทำให้เกิดความเข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น (2) การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางเพศ และ (3) การกำหนดนโยบายใหม่ๆ เพื่อเสริมพลังและให้ตอบโจทย์แก่ประชาชนในทุกๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม


เชิงอรรถ

[1] ธนาคารโลก, ‘การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTI ในประเทศไทย’ (ธนาคารโลก, 17 พฤศจิกายน 2561) <http://documents.worldbank.org/curated/en/527451521822208295/pdf/124554-v1-THAI- Executive-Summary-Thai-23-March-format.pdf> สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2561 อ้างใน จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ และปิยะวรรณ แก้วศรี, ‘รายงานการศึกษา การทบทวนความก้าวหน้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558’ (เสนอต่อกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) 2563) 20.

[2] UNDP และ Love Frankie, ‘ผลการสำรวจระดับชาติเกี่ยวกับทัศนคติด้านรสนิยมทางเพศอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศในประเทศไทย’ (นำเสนอในการสัมมนา Being LGBTI in Asia: Thailand Country Dialogue ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2561) อ้างใน เพิ่งอ้าง 20.

[3] ดวงพร เพชรคง, ‘ความเท่าเทียมระหว่างเพศ’ (สภาผู้แทนราษฎร, ไม่ปรากฏวันที่) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/download/article/article_20181012153459.pdf> อ้างใน เพิ่งอ้าง 19.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รักเราไม่เท่ากัน : พิจารณามุมมองของ สมรสเท่าเทียม และ จดทะเบียนคู่ชีวิต’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1137> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[5] (เชิงอรรถ 1) 19.

[6] iLaw, ‘ทนายหญิงจะใส่กางเกงว่าความได้แล้ว? ย้อนไทม์ไลน์ สภาทนายความ-เนติฯ ไม่แก้ข้อบังคับแต่งกาย’ (iLaw, 8 ธันวาคม 2565) <https://ilaw.or.th/node/6330> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[7] ประชาไท, ‘วลพ. มีคำสั่ง สภาทนาย – เนติบัณฑิตฯ แก้กฎระเบียบ ให้ ‘ทนายหญิง’ สวมกางเกง – กระโปรง ว่าความได้’ (ประชาไท, 1 ธันวาคม 2565) <https://prachatai.com/journal/2022/12/101681> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[8] วศินี พบูประภาพ, ‘สภาทนายความยื่นฟ้อง วลพ. หลังมีคำวินิจฉัยให้แก้กฎการแต่งกายเท่าเทียม’ (Workpointtoday, 7 สิงหาคม 2565) <https://workpointtoday.com/220807-lgbtlawyers/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[9] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[10] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง : มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2 สิงหาคม 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1194> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

PRIDI Economic เศรษฐกิจของความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีความน่าสนใจทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ ในแง่หนึ่ง ปรีดี เป็นนักคิดและเป็นนักปฏิบัติภายในตัวเอง โดยมีความคิดในการผสมผสานเอาหลักการทางเศรษฐกิจหลายๆ เรื่องมาใช้เพื่อวางโครงการทางเศรษฐกิจ หนึ่งในแนวคิดสำคัญ และอาจเรียกได้ว่าเป็นอุดมการณ์สำคัญของ ปรีดี คือ ความรักชาติ ซึ่งสะท้อนอยู่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจที่ถูกนำเสนอมาควบคู่กับเจตนารมณ์จะทำเพื่อบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เค้าโครงการเศรษฐกิจเป็นความพยายามของ ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นเอกสารการวางแผนทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการวางแผนเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคมไทย

ในความเห็นของ ปรีดี พนมยงค์ มองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีความสำคัญ และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยปรีดีมีความเห็นว่า การเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องเป็นประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป เพราะหากประชาชนยังมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีทางของประชาธิปไตยได้[1]

อย่างไรก็ดี เค้าโครงดังกล่าวนั้นยังเป็นเพียงกรอบและมีลักษณะเป็นแผนการเบื้องต้นพอสมควร ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไป  อนึ่ง เค้าโครงได้สะท้อนวิธีคิดสำคัญและแนวทางของ ปรีดี ในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ประกอบไปด้วยเนื้อหาสำคัญหลายส่วน โดยแบ่งออกเป็น 10 หมวด โดยเริ่มต้นจากคำชี้แจงในการมีเค้าโครงการเศรษฐกิจ และตามด้วยเนื้อหาในหมวดต่างๆ ได้แก่ หมวด 1 ประกาศของคณะราษฎร หมวดที่ 2 ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน หมวดที่ 3 การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร หมวดที่ 4 แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก หมวดที่ 5 วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน, แรงงาน เงินทุน หมวดที่ 6 การจัดทำให้รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ หมวดที่ 7 การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์ หมวดที่ 8 รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ หมวดที่ 9 การป้องกันความยุ่งยาก ในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง หมวดที่ 10 แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ

ความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ความรักชาติในทางเศรษฐกิจหรือแนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยมเป็นสิ่งที่ปรากฏในแนวคิดการบริหารเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในหลายๆ เรื่อง[2] โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างชาติและการพัฒนาชาติให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ซึ่งความรู้สึกในเชิงชาตินิยมนี้เป็นความรู้สึกร่วมกันของสมาชิกคณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีเจตนาต้องการให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ[3]

ประกอบกับในเวลานั้นภายในประเทศไทยระบบเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยต่างชาติ บริษัทโดยส่วนใหญ่ของประเทศไทยในเวลานั้นเป็นบริษัทของชาวตะวันตกหรือชาวจีน[4]

ในส่วนของ ปรีดี พนมยงค์ หลักฐานที่ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่การบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรเท่านั้น แต่ต้องการให้การสร้างชาติและพัฒนาชาติให้ทัดเทียมอารยประเทศปรากฏอย่างชัดเจนในคำชี้แจงของปรีดี พนมยงค์ ในรายงานการประชุมคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราจะถอยหลังเข้าคลองให้คนมีความต้องการเพียงผ้าที่ปิดร่างกายนิดหน่อยเหมือนคนป่าแล้ว และถ้ากลับเป็นคนป่า เราไม่ต้องทำอะไรมาก ปัญหามีอยู่ว่าเรากลับเป็นคนป่านั้น ต้องการกันหรือไม่ เวลานี้มนุษย์สัมพันธ์กันมาก เราต้องเทียบฐานะของเรากับประเทศที่เจริญแล้ว จึงจะเห็นได้ว่า เราแร้นแค้นเพียงใด เราต้องพยายามทำให้ถึงเขา…”[5]

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาแหล่งความรู้ ปรีดี พนมยงค์ อ้างถึงในการจัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า ปรีดี ได้รับอิทธิทางความคิดสำคัญมาจาก เฟรดอริค ลิสต์ (Friedrich List) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีความคิดทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยม โดยเชื่อว่าภายในประเทศจะต้องมีการลงทุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม กสิกรรม และศิลปวิทยาให้พร้อมมูลเพื่อป้องกันมิให้ประเทศเกิดการขาดดุลทางการค้า และอาจจะมีการตั้งกำแพงภาษีเพื่อให้เกิดการคุ้มครองเศรษฐกิจภายในประเทศ (protectionism)[6]

จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อมีการยกร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในเวลานั้น ปรีดี พนมยงค์ จึงพยายามนำแนวคิดเกี่ยวกับชาตินิยมทางเศรษฐกิจมาตราไว้ อาทิ การผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายภายในประเทศ การเข้ามาดำเนินการทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาลผ่านการจัดตั้งองค์การทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (รัฐวิสาหกิจ) การพยายามทำให้ประเทศได้ดุลการค้าโดยการส่งออกมากกว่านำเข้า การผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติเพื่อให้คนในชาติเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนา[7] ซึ่งบรรดาแนวคิดเหล่านี้จะนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบการทางเศรษฐกิจ พ.ศ. … ต่อไป

นอกจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมแล้ว ปรีดี ยังตั้งใจจะให้รัฐเป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยตั้งใจให้รัฐเป็นกลไกในการรวบรวมความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งสะท้อนนัยของอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบภราดรภาพนิยม (solidarism)[8] ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายที่ ปรีดี คาดหวังไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจก็คือ การวางแผนทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นในชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เนื่องจาก ปรีดี มองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นว่าประชาชนมีความยากลำบากและมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ดังปรีดีกล่าวว่า

“…ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่า ราษฎรได้มีความอัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ และไม่มีสิทธิ เสรีภาพ กับเสมอภาคในทางการเมืองอีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม ผมมีความคิดก่อนที่ได้ศึกษาในฝรั่งเศสว่า จะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมว่า มีวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น…”[9]


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565.

[2] อนุสรณ์ ธรรมใจ, ปรีดี พนมยงค์ : รัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์ (กรุงเทพธุรกิจ Bizbook 2552) 149.

[3] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2544) 384 – 386.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, สังคมกับเศรษฐกิจ (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2519) 321 อ้างถึงใน เพิ่งอ้าง 390.

[5] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2552) 151.

[6] สถาบันปรีดี พนมยงค์, ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ (สถาบันปรีดี พนมยงค์) สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 1).

[9] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, สถาบันปรีดี พนมยงค์ 2542) 51.

PRIDI Economic Focus: จาก “ควบรวม” ถึง “ผูกขาด” ประเมินความเสี่ยงที่สังคมไทยต้องแบกรับ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลายเรื่องในประเทศไทย ทั้งการที่รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยการผ่านกฎหมายให้สิทธิต่างชาติศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท อย่างน้อย 3 ปี หรือการปรับค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยใหม่ที่เริ่มต้นมีผลเมื่อช่วงต้นเดือน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ PRIDI Economic Focus: 2565 ปรับค่าแรงใหม่เพียงพอหรือไม่ สำรวจบทวิเคราะห์ค่าแรง)

แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ประเด็นร้อนเหล่านี้ก็คือ การที่ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) มีมติให้มีการควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัทให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ 2 ราย ซึ่งในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอสรุปสถานการณ์ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลัง กสทช. มีมติให้ควบรวม

สภาพปัจจุบันของการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ

ในปัจจุบันประเทศไทยประกอบไปด้วยผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 6 บริษัท/กลุ่มบริษัท โดยประกอบไปด้วยบริษัท AIS, กลุ่มบริษัท DTAC, กลุ่มบริษัท TRUE, บริษัท Aces, กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการแบบ MVNO และบริษัท NT 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ให้บริการรายหลักที่มีนัยสำคัญต่อการแข่งขันแล้วจะเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วผู้ให้บริการรายหลักในประเทศไทยมีเพียงแค่ 4 บริษัทเท่านั้น คือ บริษัท AIS, กลุ่มบริษัท DTAC, กลุ่มบริษัท TRUE และบริษัท NT

เมื่อพิจารณาในแง่ส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะพบว่า ส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ 3 ราย ได้แก่ กลุ่มบริษัท AIS มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 47.72 กลุ่มบริษัท TRUE มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 31.99 และกลุ่มบริษัท DTAC มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 17.41

นอกจากนี้ ผลของการวิเคราะห์เบื้องต้นของสำนักงาน กสทช. สรุปว่า ภายหลังจากควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จะมีผลทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทที่รวมกันเป็นร้อยละ 49.40[1] 

อย่างไรก็ดี 101 Public Policy ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวแตกต่างไป โดยมองว่าส่วนแบ่งตลาดภายหลังจากการควบรวมธุรกิจแล้วในตลาดโทรศัพท์มือถือจะมีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 50.4 และตลาดอินเทอร์เน็ตมือถือร้อยละ 51.2 ของตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตมือถือ[2]

มติ กสทช. ให้ควบรวมธุรกิจ

ก่อนจะไปเริ่มดูสถานการณ์โดยรอบ ผู้เขียนขอเริ่มต้นจากมติ กสทช. ให้ควบรวมธุรกิจเสียก่อน โดยในวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกรณีการควบรวมธุรกิจดังกล่าวนั้นถูกสังคมจับจ้องเป็นพิเศษในฐานะเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อสาธารณะ

เนื่องจากการควบรวมธุรกิจดังกล่าวจะมีผลทำให้การแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมลดลง ซึ่งในท้ายที่สุด กสทช. ได้มีมติ 3:2 (ประธานกรรมการใช้อำนาจในการโหวต 2 ครั้ง ทำให้เสียงที่เท่ากันมี 3 เสียง โดยมีหนึ่งใน กสทช. งดออกเสียง) โดยถือว่า การรวมธุรกิจนี้ไม่ใช่การรวมธุรกิจของผู้ถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 

ดังนั้น กสทช. จึงไม่มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมธุรกิจหรือไม่ ผลดังกล่าวทำให้ กสทช. มีอำนาจเพียงแค่รับแจ้งการควบรวมธุรกิจ และดำเนินการตามข้อ 9 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม (ประกาศฉบับปี 2561) และเมื่อได้รับแจ้งผลการควบรวมธุรกิจแล้ว กสทช. จึงจะกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและการแข่งขันต่อไป[3]

เพจ E-Public Law[4] ได้สรุปสาระสำคัญเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและการแข่งขันดังต่อไปนี้

  1. กำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย และกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์
  2. กำหนดเงื่อนไขบังคับก่อน และเงื่อนไขเฉพาะภายหลังการควบรวมธุรกิจ
  3. กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำรงคุณภาพการให้บริการ
  4. กำหนดเงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการถือครองคลื่นความถี่
  5. กำหนดเงื่อนไขด้านนวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital divide)

สถานการณ์ภายหลังการมีมติของ กสทช.

ภายหลังการมีมติของ กสทช. นั้น อาจกล่าวได้ว่า มติดังกล่าวถูกตั้งคำถามจากสังคมเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันการวิเคราะห์เป็นจำนวนมากก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การควบรวมธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและต่อผู้บริโภคอย่างมาก และในแถลงข่าวของสำนักงาน กสทช. ก็ไม่ได้ให้ความเห็นของ กสทช. ว่ามีความเห็นต่อการควบรวมธุรกิจนี้โดยละเอียดอย่างไรซึ่งต้องรอเวลาสักพักหนึ่ง ภายหลังจากการประชุมสิ้นสุดลง จึงเริ่มมีการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของ กสทช. เสียงข้างน้อย

ศาสตราจารย์ พิรงรอง รามสูต หนึ่งใน กสทช. เสียงข้างน้อย ได้ให้ความเห็นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัวว่า[5] 

“ในทางกฎหมาย การตัดสินใจสงวนความเห็นที่จะรับทราบการรวมธุรกิจ และยืนยันที่จะไม่อนุญาต เพราะเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลดหรือจำกัดการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง…”

นอกจากนี้ อ.พิรงรอง ยังได้ให้เหตุผลสนับสนุนข้อคัดค้านจำนวน 7 ข้อ โดยสรุปได้ดังนี้

  1. การควบรวมธุรกิจจะทำให้การแข่งขันลดลงโดยเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่
  2. การควบรวมจะกระทบต่อผู้บริโภคมาก โดยจากการประเมินของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ SCF Associates Ltd. ระบุว่า มาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมดในบริบทของตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย เช่น การสนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MNO) รายใหม่, การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดค้าส่ง, การร่วมใช้คลื่น (Roaming) และการโอนคลื่นความถี่ (Spectrum Transfer) เป็นต้น โดยการรวมธุรกิจจะนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และจะทำให้ค่าบริการโทรศัพท์เพิ่มสูงขึ้น
  3. มาตรการลดผลกระทบที่กำหนดไม่ช่วยเพิ่มการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และภายหลังจากการควบรวมธุรกิจในส่วนของ กสทช. อาจจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อกำกับดูแล โดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้เช่นเดียวกับที่เคยมีอยู่ก่อนการควบรวมหรือไม่
  4. ข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อการควบรวมธุรกิจยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อสาธารณะ
  5. การควบรวมธุรกิจอาจจะนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขันทางการค้า ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
  6. การให้รวมธุรกิจจะส่งผลกระทบกว้างขวางและต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งยังหวนคืนไม่ได้ เพราะตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยอยู่ในภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ยาก
  7. หนึ่งในผู้ขอรวมธุรกิจมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจครบวงจร (Conglomerate) รายใหญ่ ซึ่งครอบครองตลาดสินค้าและบริการในระดับค้าปลีกและค้าส่งของทั้งประเทศ จึงมีโอกาสที่จะขยายตลาดโดยใช้กลยุทธ์ขายบริการแบบเหมารวม ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกอบการรายอื่น

ในขณะที่ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์ก่อนแถลงข่าวผลการพิจารณาการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ว่า คาดหวังว่าผลที่ออกมาจะเป็นบวกต่อผู้บริโภค เนื่องจากผลการควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) แต่จะเกิดความเสียหายกับผู้บริโภคกว่า 80 ล้านเลขหมาย จึงอยากให้ กสทช. ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประชาชน

“อยากให้ กสทช. กลไกหรือกติกาที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้ให้บริการสามารถใช้โครงข่ายโทรคมนาคมร่วมกันมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน แต่ที่ผ่านมา กสทช. อาจจะยังไม่มีการบังคับอย่างชัดเจน และควรที่จะทำให้ทรูและดีแทค แข่งขันกับเอไอเอสให้มากขึ้น” 

น.ส.สารี เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ยังกล่าวอีกว่า หากมติ กสทช. เป็นไปในแนวทาง “รับทราบ” รายงานการควบรวมกิจการที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอมา ในฐานะภาคประชาชนจะขอใช้สิทธิในการดำเนินคดีต่อ กสทช. ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเข้าข่ายปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต นอกจากนี้ยังมีกฎหมายให้มอบอำนาจใหักับสภาองค์กรผู้บริโภคสามารถดำเนินคดีได้ หากพบว่ามีการละเมิดสิทธิผู้บริโภค[6]

นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เรียกผลคำติดสินดังกล่าวว่าเป็น “มติอัปยศ” โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่า การควบรวมธุรกิจดังกล่าวส่งผลต่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไร และเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะที่ไม่มีผลลดความเสียหายใดๆ รวมถึง ดร.สมเกียรติ ยังได้นำเสนอแนวทางในการดำเนินการต่อไป โดยเสนอให้มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลยกเลิกมติของ กสทช. ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ และขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว อย่าให้มีการควบรวมก่อนมีคำตัดสิน และดำเนินการเพื่อฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การที่ กสทช. อนุญาตให้ควบรวมแล้วมีผลทำให้บริการโทรคมนาคมซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน จะมีค่าบริการที่สูงขึ้นในอนาคตและเป็นภาระต่อประชาชน ตามที่มีผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ไว้ ซึ่งจะทำให้การกระทำของ กสทช. ขัดต่อมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าโดยอ้างมาตราเดียวกันอยู่ รวมถึงดำเนินการร่วมมือกับองค์กรด้านต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันร้องเรียนให้ ปปช. ตรวจสอบการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. และเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะ ส.ส. ตรวจสอบ กสทช. อย่างเข้มข้น และพิจารณาแก้ไขกฎหมาย กสทช. ครั้งใหญ่เพื่อปฏิรูป กสทช. และสำนักงาน กสทช. ให้มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อประชาชน ในท้ายที่สุด รณรงค์ให้ประชาชนและผู้บริโภคแสดงออก โดยงดซื้อสินค้าและบริการจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ อาหารและอาหารสัตว์ อินเทอร์เน็ต ระบบการชำระเงินและกิจการอื่นๆ

ในปัจจุบัน สภาองค์กรของผู้บริโภคได้มีการเปิดให้ร่วมลงชื่อสนับสนุนสภาองค์กรของผู้บริโภค ในการฟ้องศาลปกครองเพิกถอนมติเสียงข้างมาก กสทช. ที่ให้ควบรวมทรู-ดีแทค พร้อมขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนนำมติผิดกฎหมายไปดำเนินการต่อ

อาจจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปจากนี้ว่าเรื่องดังกล่าวจะจบลงอย่างไร?


เชิงอรรถ

[1] สำนักงาน กสทช., ‘ข้อมูลเบื้องต้นในการวิเคราะห์ผลกระทบกรณีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทโทเทิ่ล แอ๊คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)’ อ้างใน ฉัตร คำแสง, ‘5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทค และบทบาทของ กสทช.’ (The 101.World, 2 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] สำนักงาน กสทช., ข่าวประชาสัมพันธ์ 51/2565 วันที่ 20 ตุลาคม 2565 เรื่อง กสทช. มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวม ทรู-ดีแทค พร้อมกำหนดเงื่อนไข/มาตราการเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคม.

[4] ดู Facebook E-Public Law I https://www.facebook.com/photo?fbid=116928027863269&set=a.114120234810715&_rdc=1&_rdr

[5] ดู Facebook Pirongrong Ramasoota I https://www.facebook.com/pirongrong.ramasoota?_rdc=1&_rdr

[6] BBC News ไทย, ‘กสทช. ไม่เอกฉันท์ ไฟเขียวควบทรู-ดีแทคท่ามกลางเสียงค้านของกลุ่มผู้บริโภค’ (BBC News ไทย, 20 ตุลาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2565.

[7] ดู Facebook Somkiat Tangkitvanich I https://www.facebook.com/photo/?fbid=10229474744355447&set=a.1847179781672&_rdc=1&_rdr

ถอดรหัสรัฐสวัสดิการผ่านวัฒนธรรมการขอบริจาค

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“การบริจาค” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คู่กับสังคมไทย เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การบริจาคและการทำการกุศลนั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้สังคมดีขึ้น และสร้างความเป็นภราดรภาพ (ให้รู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน) ให้เกิดขึ้นภายใต้การอยู่ร่วมกัน มายาคติที่ว่านี้ส่วนหนึ่งนั้นอาจมาจากอิทธิพลของพุทธศาสนาและความเชื่อเรื่องบาป-บุญ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ รัฐบาลได้หยิบยกการบริจาคมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลอย่างหนึ่งที่เห็นได้บ่อย คือ การขอรับบริจาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การประสบสถานการณ์อุทกภัย การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เป็นต้น สิ่งนี้ชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า 

รัฐควรจะเล่นบทบาทเป็นคนกลางในฐานะผู้รับบริจาคเพื่อนำเงินไปแจกจ่ายหรือไม่

รัฐไทยกับวัฒนธรรมการบริจาค

ด้วยพื้นฐานของสังคมไทยภายใต้อิทธิพลความเชื่อของพุทธศาสนาทำให้การบริจาคทานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ในฐานะทางเลือกของการทำความดีทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริจาคที่นำไปสู่การบำรุงรักษาสาธารณสมบัติเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสังคม หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ประสบภัยพิบัติ

เมื่อย้อนกลับไปอ่านราชกิจจานุเบกษาโดยพิมพ์คำว่า “บริจาค” จะมีประกาศจำนวนหนึ่งของทางราชการเพื่อขอบคุณ หรือประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือทางราชการ โดยจะเห็นได้ว่าการบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงสาธารณูปโภค การบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงอาคารสถานที่ราชการ และการบริจาคยาจำเป็นเพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดโรคในเวลานั้น โดยประกาศเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมากและมีจากหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงธรรมการศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ทว่า การบริจาคในลักษณะดังกล่าวโดยส่วนมากจะเป็นกรณีที่รัฐมีบทบาทเป็นผู้รับประโยชน์เพื่อบำรุง และเป็นการสนับสนุนภารกิจของราชการ

การบริจาคช่วยเหลือราชการจึงกลายมาเป็นประเพณีของสังคมไทยที่ประชาชน คหบดีและผู้มีอันจะกิน อาจจะช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการผ่านการบริจาคเพื่อสมทบทุนและช่วยเหลือการทำงานของราชการที่ขาดทุนทรัพย์ ซึ่งในปัจจุบันรัฐได้สร้างแรงจูงใจให้เอกชนมาบริจาคเพื่อแลกกับสิทธิในการลดหย่อนภาษี และเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือสังคม ซึ่งพลังของการบริจาคนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐ

ในงานวิจัยของ James Rolph Edwards สรุปว่า เงินบริจาคสามารถกระจายความช่วยเหลือให้กับประชาชนได้มากกว่างบประมาณของรัฐ เพราะงบประมาณของรัฐในบางกรณีได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอตามความต้องการใช้งาน ซึ่งในบริบทของประเทศไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI: Thailand Development Research Institute) พบว่าประเทศไทยมีเงินบริจาคจำนวนมาก เฉลี่ยสิบปีอยู่ที่ปีละ 7.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่างบประมาณของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ทว่า การบริจาคนั้นควรจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมภารกิจของรัฐเมื่อภาครัฐไม่มีความพร้อมหรือไม่มีงบประมาณที่เพียงพอจะเข้ามาจัดการ การบริจาคจึงไม่ควรถูกนำมาใช้ในทุกๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคในเรื่องที่ควรจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่ได้มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว หรือในเรื่องที่รัฐมีความพร้อมที่จะทำได้แต่ไม่ได้ทำ

การบริจาคในฐานะดาบสองคมของการบั่นทอนบทบาทของรัฐ

แม้ว่าการบริจาคจะมีข้อดีในการช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริจาคเป็นดาบสองคม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การบริจาคเกิดขึ้นในกรณีที่สิ่งนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลควรจะต้องรับผิดชอบ โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะที่มีความยากลำบากเกิดขึ้นทั้งจากภัยพิบัติและโศกนาฏกรรมต่างๆ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกลับจัดให้มีการขอรับบริจาคเงิน เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของประชาชน แทนการใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้มีการกันเงินดังกล่าวเอาไว้

Timeline การขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ*

  • ม.ค. 2560 รัฐบาลเปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้
  • ก.ค. 2560 รัฐบาลรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากพายุเซินกา (SONCA) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ม.ค. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดรวมน้ำใจไทย ช่วยวาตภัยใต้ รับเงินบริจาคสมทบเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาปึก (PABUK) ในภาคใต้
  • ก.ย. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากพายุโซนร้อนโพดุล (PODUL) และพายุโซนร้อนคาจิกิ (KAJIKI)
  • มี.ค. 2563 รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
  • ธ.ค. 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนวิจัยค้นคว้าวัคซีนโควิด-19 สำหรับใช้ภายในประเทศไทย
  • ธ.ค. 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
  • ต.ค. 2565 รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู

หมายเหตุ * นับเฉพาะการขอบริจาคครั้งสำคัญโดยรัฐบาลและเหตุการณ์สำคัญๆ

ทว่า ปัญหาของเรื่องนี้ คือ เรื่องดังกล่าวข้างต้นที่รัฐบาลได้ขอรับบริจาคนั้น เป็นเรื่องที่รัฐได้จัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการสำรองเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้เป็นจำนวนมาก (ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง) นอกจากนี้ ในบางปีได้มีการโอนงบประมาณมาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น (ตารางแสดงการโอนงบประมาณ)

ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (หน่วย : ล้านบาท)
ที่มา : ผู้เขียนเรียบเรียงจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 – 2566

ตารางแสดงการโอนงบประมาณในช่วงปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563
(เรียงจากปีงบประมาณใหม่ไปปีงบประมาณเก่า)

ลำดับปีงบประมาณจำนวนที่โอน
(หน่วย : บาท)
หมายเหตุ
1.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256388,452,597,900โดยที่รายการสำรองจ่ายฯ ที่ตั้งไว้จำนวน 96,000,000,000 บาท ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19
2.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256110,000,000,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
3.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256011,866,512,300โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
4.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 255921,885,555,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
5.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 25587,917,077,700โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
ที่มา:  ผู้เขียนเรียบเรียงพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563

สภาพดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลือกที่จะใช้วิธีการบริจาคมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยใช้เงินจากประชาชนเพื่อมาช่วยเหลือประชาชนด้วยกันเอง แทนที่รัฐบาลจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้มาเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุดที่รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งในทางหลักการแล้วผู้ประสบเหตุมีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยาจากหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดสรรเงินงบประมาณไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะแล้ว อาทิ การได้รับการชดเชยจากกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา[4] และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์[5] ซึ่งถ้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนอาจจะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องขอรับบริจาค

ภาพดังกล่าวยังไม่รวมถึงการขอรับบริจาคย่อยๆ หรืองานการกุศลของเอกชนที่เข้ามาดำเนินการเพื่อสนับสนุนภารกิจรัฐสามารถจะทำได้เพียงนำงบประมาณไปใช้จ่ายอย่างเหมาะสม อาทิ การระดมเงินเพื่อนำเงินไปใช้ในการบริจาคเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งหากรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่นำงบประมาณไปใช้กับกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ การนำงบประมาณไปใช้กับจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท และอากาศยานไร้คนขับจำนวน 3 ลำ มูลค่า 4,100 ล้านบาท ถ้าหากรัฐบาลนำงบประมาณที่ใช้เพื่อกิจการทางกองทัพมาเน้นความมั่นคงของมนุษย์ผ่านสวัสดิการทางสังคมอาจจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า

การที่รัฐบาลกลายมาเป็นผู้รับบริจาครายใหญ่ทั้งที่มีงบประมาณเตรียมไว้สำหรับการดำเนินการในเรื่องนั้นแล้ว ภาพดังกล่าวเสมือนกับรัฐไทยเป็นรัฐอนาถาที่รอแต่การรับบริจาคเงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เมื่อเกิดสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ แต่มีเงินสำหรับนำไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาบางสิ่งบางอย่างที่มีความจำเป็นน้อยในปัจจุบัน เสมือนคนที่ไม่สามารถลำดับความสำคัญของเรื่องได้อย่างถูกต้อง

อีกทั้งการบริจาคนี้ยังกลายเป็นการบั่นทอนคุณค่าของสิทธิสวัสดิการของประชาชนที่ควรจะได้รับจากรัฐบาล เพราะเมื่อเป็นการบริจาคนั้นลักษณะของความช่วยเหลือจึงมาในรูปแบบของการสงเคราะห์ ทั้งที่ความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยธรรมชาติ การได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน หรือกระทั่งการช่วยเหลือเมื่อได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมเหล่านี้ ควรจะเป็นสิทธิของประชาชนและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะต้องช่วยเหลือประชาชน และการช่วยเหลือมาจากเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเอาไว้อยู่แล้ว ในขณะที่การบริจาคนั้นควรจะมีหน้าที่เป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมหรืออุดช่องว่างของความไม่พอเพียงของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากเงินภาษีของประชาชน

กล่าวโดยสรุป การบริจาคเป็นสิ่งที่ดีแต่การบริจาคไม่ควรทำให้สังคมละเลยต่อปัญหาใหญ่ที่สุด คือ การบริจาคไม่สามารถชดเชยหน้าที่ของรัฐที่มีต่อประชาชน การใช้วิธีการขอรับบริจาคมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทุกๆ ครั้ง จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงความไม่รับผิดชอบของรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหา โดยให้สังคมช่วยเหลือกันเอง ทั้งที่มีการตั้งงบประมาณไว้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้แล้ว


อ้างอิงจาก

วัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดที่ขยายช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม เหตุการณ์สำคัญที่จะต้องหยิบมาพูดถึงคือ เหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในหน้าการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ทั้งสอง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการลอยนวลพ้นผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการลอยนวลพ้นผิดนี้สร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยในหลายๆ ด้าน ทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังถ่างช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น

การลอยนวลพ้นผิด : อภิสิทธิ์ปลอดความผิด

การลอยนวลพ้นผิด (impunity) หรือ อภิสิทธิ์ปลอดความผิด ถูกอธิบายในฐานะของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการหยิบยื่นความรับผิดชอบให้แก่ผู้กระทำความรุนแรง ซึ่งได้กระทำลงในนามของอำนาจรัฐต่อประชาชน[1]

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิด คือ การใช้ความรุนแรงโดยรัฐกับประชาชนโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ โดยหลักการทั่วไปแล้ว รัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นใหญ่ มีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่แบบในสังคมไทย กลับเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรง และ การลอยนวลพ้นผิด เกิดขึ้นและดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันได้ในบางกลุ่มคน ซึ่งมักจะมีมายาคติและคำพูดที่ใช้กันจนชินว่า “มันก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ”

หากนับตั้งแต่การอภิวัฒน์สยามหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่องมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยต้องเผชิญกับการใช้ความรุนแรงในหลายๆ ลักษณะ  อิทธิพล โคตะมี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการลอยนวลพ้นผิดและความรุนแรงได้สรุปว่า

“งานศึกษาความรุนแรงบางชิ้นเสนอว่า คนไทยที่เกิดหลังปี 2475 เป็นต้นมา จะต้องมีชีวิตผ่านปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอย่างน้อยถึง 14 รูปแบบ ในแง่นี้จึงไม่น่าแปลกใจหากคนไทยจะคุ้นชินกับความรุนแรงและเห็นมันตั้งแต่ยามค่ำจนยันกลางวันแสกๆ”[2]

ตัวอย่างของความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยรัฐ (และเครือข่ายของรัฐ) ที่ชัดเจนก็คือ การใช้กำลังปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือการสังหารหมู่กลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519

นอกจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว ความรุนแรงดังกล่าวยังเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เกิดการรัฐประหาร และมีการใช้กำลังกับผู้เห็นต่างทางการเมือง การอุ้มฆ่า การซ้อมทรมาน การดำเนินคดี และการสังหารผู้มีความเห็นต่างทางศาสนา โดยปฏิบัติการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจด้วยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ความรุนแรงที่หลุดลอยไปจากการตรวจสอบ : วัฒนธรรมหนึ่งของสังคมไทย

คำถามสำคัญและน่าสนใจก็คือ “ทำไมถึงไม่มีการดำเนินการใดๆ กับบุคคลเหล่านี้เลย?”

คำตอบของคำถามดังกล่าว คือ ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหารนั้น สิ่งที่ตามมา คือ การนิรโทษกรรมในทางการเมือง ทั้งการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นความรับผิดใดๆ ที่ตนเคยได้ทำ หรือ การรับรองให้การกระทำใดๆ ของตนล้วนชอบด้วยกฎหมายและด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้กระทำ ซึ่งรวมแล้วมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเกือบ 23 ฉบับ โดยแบ่งเป็น พ.ร.ก. ได้ 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ[3] ซึ่งบรรดากฎหมายเหล่านี้เป็นที่มาของการลอยนวลพ้นผิด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดความรู้สึกว่า การลอยนวลพ้นผิดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และดูเหมือนจะเป็นเรื่องชั่วคราว  แต่ทว่า การยกเว้นความผิดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่โดยทั่วไปกฎหมายไม่อาจให้กระทำได้ เพราะเป็นการทำลายความยุติธรรมและการปกครองแบบนิติรัฐ

ในทุกๆ ครั้งที่มีการลอยนวลพ้นผิดย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสังคมโดยไร้ข้อจำกัดด้านเวลา และกลายเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย รวมทั้งกลายเป็นการปูทางให้มีการใช้ความรุนแรงในนามของรัฐในกาลข้างหน้าต่อไป[4]

ภาพที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ภายใต้คำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 นั้น ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งใดๆ ก็ตาม ซึ่งถูกรับรองความชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะไม่ถูกตรวจสอบ และแม้จะพ้นยุคสมัยของ คสช. ไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ยังคงรับรองความชอบด้วยกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผลิตซ้ำการลอยนวลพ้นผิดยังค่อยๆ ถูกแทรกซึมเข้ามาในสถานการณ์ปกติ ผ่านกลไกทางกฎหมายต่างๆ ที่ให้อำนาจรัฐยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายโดยอาศัยข้ออ้างในด้านความมั่นคง อาทิ การห้ามมิให้ศาลปกครองตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองใดๆ ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน[5] หรือการพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยข้ออ้างในการตีความที่ไม่ชัดเจนและมีขอบเขตกว้าง อาทิ การพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของรัฐบาลปัจจุบัน โดยให้เหตุผลด้านประโยชน์สาธารณะและความมั่นคง[6] ตัวอย่างดังกล่าวเป็นเพียงการลอยนวลพ้นผิดที่มีการรองรับโดยกฎหมายเท่านั้น

ซึ่งยังไม่รวมถึงกรณีเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายอาศัยอำนาจที่ไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพของการสร้างอภิสิทธิ์พิเศษแก่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการตามคำสั่งรัฐในการกระทำการใดๆ ที่จะละเมิดสิทธิของประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมายและในนามของกฎหมายได้

ภาพดังกล่าว คือ การฉายซ้ำของการลอยนวลพ้นผิดที่ได้แปรรูปแบบ และสะท้อนภาพกลายเป็นวัฒนธรรมหรือเป็นสถาบันของสังคมไทยอย่างหนึ่งที่กำหนดให้รัฐมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม[7] ซึ่งไม่เพียงแต่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของสังคมไทยได้ถูกทำให้ปกติอย่างถูกกฎหมายและในนามของกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการบั่นทอนระบอบนิติรัฐ

การลอยนวลพ้นผิดสัมพันธ์อย่างไรกับความเหลื่อมล้ำ

นิติรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะโดยหลักการแล้ว นิติรัฐเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อ่อนแอจากผู้มีอำนาจ[8] แต่การที่กฎหมายเข้ามาทำหน้าที่ตรงกันข้ามเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก เมื่อคนคนหนึ่งทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะขาดแรงจูงใจที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น และไม่พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดการทำร้ายนั้น[9] บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้อาจจะละเลยความใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งมิเพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้ ในบางกรณีผู้มีอำนาจอื่นๆ ก็อาจจะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าแทรกแซง รวมถึงโน้มน้าวการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น เพื่อให้ได้ผลสมปรารถนาที่พวกเขาต้องการ อาทิ การติดสินบน และการใช้อิทธิพลหรืออำนาจ

กรณีที่สอง การทำให้สถานะของมนุษย์ที่ควรจะเท่ากันอย่างน้อยในทางกฎหมายเกิดความไม่เท่ากัน (กับคนอื่นๆ) เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้ถูกทำลายลงจากการลอยนวลพ้นผิด (หรืออย่างน้อยก็พยายามจะทำให้ลอยนวลพ้นผิด จนกว่าจะถูกตัดสินโดยศาล)

ตัวอย่างของสถานการณ์ที่ส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจนี้ เช่น ในคดีของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล การที่ศาลไม่ได้ยึดถือหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นบริสุทธิ์ (แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรอง) และเรียกหลักประกันในอัตราที่สูงหรือสร้างข้อยุ่งยาก ผิดกับคดีในลักษณะอื่นๆ ที่ศาลไม่ได้เรียกหลักประกันหรือให้เงื่อนไขที่ทำให้มีอิสระในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ต้องหาในคดีเหล่านี้ต้องอาศัยหลักประกันที่มีทุนทรัพย์เป็นจำนวนมากมาใช้ในการต่อสู้คดี ซึ่งในกรณีนี้หากรัฐบาลใดๆ ใช้กลไกอำนาจรัฐในการบังคับลงโทษกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ผู้เรียกร้องเรื่องสิทธิและเสรีภาพ หรือผู้ต่อสู้เพื่อสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า การบั่นทอนนิติรัฐนั้นกำลังดำเนินปฏิบัติการบางอย่างที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำ

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิดนั้นสร้างผลร้ายต่อสังคม มิเพียงแต่บั่นทอนนิติรัฐ แต่กลับให้อำนาจรัฐในการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และวัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดก็เชื่อมโยงเข้ากับสถานะทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นในทุกขณะ


เชิงอรรถ

[1] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 4 อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง, ‘กฎหมายในความรุนแรง ความรุนแรงในกฎหมาย: การลอยนวลพ้นผิดทางกฎหมายของรัฐไทยในกรณีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง’ (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) 58.

[2] อิทธิพล โคตะมี, ‘ลอยนวลพ้นผิด: สำรวจ ‘วัฒนธรรมเฉพาะ’ เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล’ (Way Magazine, 10 ธันวาคม 2562) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[3] ปรับแก้ตัวเลขจากบทความของ อิทธิพล โคตะมี ซึ่งในบทความที่กล่าวถึงนี้มีการนับจำนวนกฎหมายไว้ 22 ฉบับ; เพิ่งอ้าง.

[4] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 6; อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง (เชิงอรรถ 1) 60.

[5] บทวิพากษ์ของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์; ดู ธีระ สุธีวรางกูร, ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้บังคับ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 150.

[6] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ช่องโหว่กฎหมาย PDPA เมื่อ ‘Big Brother’ จ้องคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชน’ (Way Magazine, 26 กรกฎาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ยกเว้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลที่อาจตามมา’ (กรุงเทพธุรกิจ, 10 สิงหาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ‘รัฐลอยนวล’ (มติชนออนไลน์, 3 กันยายน 2561) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[8] โจเซฟ อี. สติกลิตซ์, ราคาของความเหลื่อมล้ำ – The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future (สฤณี อาชวานันทกุล แปล, สำนักพิมพ์ Openworlds 2556) 318.

[9] เพิ่งอ้าง 318.

PRIDI Economic Focus: 2565 ปรับค่าแรงใหม่เพียงพอหรือไม่ สำรวจบทวิเคราะห์ค่าแรง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” นับเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งนำมาสู่ประเด็นต่างๆ เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำมีความเหมาะสมหรือไม่ หรือ ต้นทุนของผู้ประกอบการจะเป็นเช่นไร เป็นต้น

ในบทความนี้ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ภายใต้คอลัมน์ PRIDI Economic Focus จะขอพาท่านไปติดตามเรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ที่มีผลใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และสำรวจบทวิเคราะห์ที่ว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำ

การปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2565 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยมีอัตราค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท เป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยขึ้น 5.02 %[1] การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้เป็นผลมาจากข้อเสนอของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งได้มีการเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา ซึ่งที่ประชุมพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำบนพื้นฐานของความเสมอภาค เพื่อให้นายจ้างสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ และลูกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข และมีเป้าหมายเพิ่มเติม คือ การเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น[2] ซึ่งการจัดแบ่งค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา มีลักษณะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ดังนี้

ตารางแสดงค่าแรงขั้นต่ำปี พ.ศ. 2565

ลำดับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(บาท/วัน)
จำนวน
(จังหวัด)
เขตท้องที่บังคับใช้
13543จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
23536กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
33451จังหวัดฉะเชิงเทรา
43431จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
534014จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา ปราจีนบุรี พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
63386จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
733519จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง และอุตรดิตถ์
833222จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุทัยธานี
93285จังหวัดนราธิวาส น่าน ปัตตานี ยะลา และอุดรธานี

โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ได้เริ่มต้นใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลเป็นการปรับเปลี่ยนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม

ค่าจ้างขั้นต่ำคืออะไร และมีหลักการเบื้องหลังการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ อัตราค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนวิธีคิดว่า อัตราค่าจ้างดังกล่าวเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน 1 คน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น[3]

กล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ การที่รัฐเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดราคาขั้นต่ำของค่าจ้างมิให้ต่ำไปกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป้าหมายของการแทรกแซงดังกล่าวก็เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเพิ่มค่าจ้าง และช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากร และทำให้การกระจายรายได้เป็นธรรมมากขึ้น[4]

อย่างไรก็ดี ทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ (ในอดีต) มักจะอธิบายว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมีผลเสียที่เกิดขึ้น และอาจจะไม่ได้ดีกับแรงงานเสมอไป เพราะในแง่หนึ่งการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการให้สูงขึ้น โดยสมมติให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมอยู่ที่ 300 บาท ต่อมามีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมาเป็น 360 บาท ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 60 บาท

ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยอาจจะต้องลดจำนวนแรงงานลงหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปพึ่งพาเครื่องจักรมากขึ้น ซึ่งหากเป็นธุรกิจประเภท SMEs และอุตสาหกรรมประเภทต้องใช้แรงงานคนที่เข้มข้นก็อาจจะได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก และการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรอาจจะไม่ช่วยอะไร

นอกจากนี้ การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอาจจะกระทบการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้เกิดการเปลี่ยนฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศแทน ซึ่งทำให้จำนวนแรงงานที่จะตกงานเพิ่มขึ้นอีก[5] (อย่างไรก็ดี การประเมินภาพในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่จริงเสมอไป และในปัจจุบันก็มีงานวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ยืนยันว่า การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดการว่างงานมากเท่าใดนัก)

ด้วยเหตุที่การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีผลกระทบต่อสังคมในด้านต่างๆ มาก ทำให้รัฐบาลไม่สามารถกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้โดยลำพัง ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นหลักการเบื้องหลังของการกำหนดอัตราค่าจ้างก็คือ “การเจรจา” บนฐานคิดว่าควรจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเท่าใด โดยโจทย์สุดท้ายของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะกลับไปสู่กระบวนการเจรจาและใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำระหว่างผู้แทน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน[6] โดยจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากตัวเลขเดิมก่อนหน้านี้เท่าใด ซึ่งผลสรุปที่ได้ก็คือ ตัวเลขดังปรากฏตามตารางข้างต้น

ค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต?

การที่รัฐบาลเข้ามากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อีกแง่หนึ่งมีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เพราะหากไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2556 ได้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้บางจังหวัดหรือบางพื้นที่ มีอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม เช่น ในจังหวัดพะเยา ก่อนหน้าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบาย 300 บาท มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 159 บาท เป็นต้น[7] ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในพื้นที่นั้นให้ดีขึ้น

ทว่า ปัญหาของประเทศไทย คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดกันในวันนี้เหมาะสมหรือไม่ ดังกล่าวมาแล้วว่า หลักการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนพื้นฐานของการมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพของแรงงานในแต่ละวันเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะหรือความจำเป็นที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของแรงงาน

ผลก็คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้แรงงานใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งนี้นำมาสู่การตั้งคำถามจาก 101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำควรกำหนดด้วยฐานคิดว่า “ควรเพิ่มเท่าไหร่” ไม่ใช่ “ควรเป็นเท่าไหร่” ในบทความชื่อว่า “ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต”

ประเด็นที่ 101 PUB ได้ยกขึ้นมากล่าวอย่างน่าสนใจก็คือ ในการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำควรจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดต่อปัจจัยการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเสียใหม่ โดยวิธีการที่ใช้สำหรับการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน คิดจากฐานของการใช้ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำเดิมมาเป็นตัวกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ แล้วจึงค่อยพิจารณาปรับและกำหนดจำนวน โดยดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยอาจพิจารณาเพิ่มเติมด้วยอัตราสมทบของแรงงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ตามคำชี้แจงการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ)[8]

ทว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำโดยวิธีการดังกล่าวมีปัญหา เพราะค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ โดย 101 PUB ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำไทยเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มน้อยกว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย และ GDP per Capita เป็นต้น

ซึ่งทาง 101 PUB ได้ดำเนินการเปรียบเทียบค่าจ้างขั้นต่ำกับค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2556 – 2563 ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย (average wage) เพิ่มขึ้น 108 บาทต่อวัน กลายเป็น 587 บาทต่อวัน GDP per Capita เพิ่มขึ้น 151 บาทต่อวัน กลายเป็น 757 บาทต่อวัน แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 28-54 บาทต่อวัน กลายเป็น 328-354 บาทต่อวัน และเมื่อพิจารณาจากค่าจ้างขั้นต่ำเป็นมูลค่าที่แท้จริง (ขจัดผลของอัตราเงินเฟ้อออก) ยิ่งสะท้อนว่า แนวทางการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ไม่สามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดีขึ้นได้[9]

ประเด็นดังกล่าวนำมาสู่ข้อเสนอในการปรับปัจจัยที่ใช้ในการคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากปัจจัยค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบ เพื่อให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานมากขึ้น

101 PUB จึงเสนอว่า ควรเปลี่ยนปัจจัยในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นการคิด “ค่าจ้างเพื่อชีวิต” (living wage) โดยค่าตอบแทนสำหรับการทำงานตามเวลาปกติ ที่ทำให้แรงงานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล การเดินทาง เครื่องนุ่งห่ม และสิ่งจำเป็นอื่นๆ ในการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของสังคม ตลอดจนการเตรียมตัวรับมือกรณีฉุกเฉิน[10]

การปรับแก้ปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้น การทบทวนปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ จึงเป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ที่สังคมไทยต้องเร่งผลักดันกันต่อไป


เชิงอรรถ

[1] The Standard, ‘ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ มีผล 1 ต.ค. 2565 ตามกรอบที่เสนอ กทม.-ปริมณฑล 353 บาท’ (The Standard, 13 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/cabinet-minimum-wages/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[2] The Standard, ‘เปิดค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 5% ทั่วประเทศ มีผล 1 ตุลาคม 2565’ (The Standard, 26 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/minimum-wage-year-2022/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[3] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[4] ศศิวิมล ตันติวุฒิ, ‘ค่าจ้างขั้นต่ำช่วยแรงงานจริงหรือ?’ (TDRI, 22 กันยายน 2559) <https://tdri.or.th/2016/09/does-minimum-wage-effective/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[7] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘ค่าแรงขั้นต่ำ ทำไมถึงต้องสูง?’ (The 101 world, 2 ธันวาคม 2564) <https://www.the101.world/why-high-minimum-wage/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[8] กษิดิ์เดช คำพุช, ‘ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต’ (The 101.world, 29 กันยายน 2565) <https://www.the101.world/minimum-wage-to-living-wage/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2565.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] เพิ่งอ้าง.

อภิสิทธิ์ของการทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมง: การเวลาพักผ่อนและการพัฒนาตัวเอง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ Kisi ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีให้คำปรึกษาด้านการทำงาน ได้เผยแพร่ผลการสำรวจในหัวข้อ “เมืองที่มีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีที่สุด ในปี พ.ศ. 2565” (Cities with the Best Work-Life Balance 2022) ซึ่งระบุตัวชี้วัดว่า เมืองใดบ้างที่เป็นเมืองที่มีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และเมืองใดที่มีการทำงานหนักเกินไป โดยในการสำรวจปี พ.ศ. 2565 นั้น Kisi ระบุว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นอันดับที่ 96 ซึ่งลำดับเพิ่มจากในปี พ.ศ. 2564 ที่อยู่ในอันดับที่ 49 (จากทั้งหมด 100 อันดับ) โดยกรุงเทพมหานครมีประชากรที่ทำงานหนักประมาณร้อยละ 15.10[1] ซึ่งในงานวิจัยนี้แสดงจำนวนประชากรที่ทำงานเกินกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 6 วัน วันละ 8 ชั่วโมง[2]

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาพของภาระการทำงานที่หนักหน่วงของคนไทยบางส่วน โดยเมื่อพิจารณาผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2561 พบว่า การทำงานหนักมีส่วนในการทำให้เกิดอัตราเสียชีวิตมากถึงปีละ 745,000 คนต่อปี[3] โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาระการทำงานหนักเพิ่มขึ้นเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งการทำงานดังกล่าวมีความยืดหยุ่นมากกว่าการทำงานภายในสำนักงานหรือบริษัท รวมถึงการทำงานผ่านระบบรีโมท (Remote Jobs) นี้ มีส่วนในการจำกัดเวลาพักผ่อนระหว่างชั่วโมงลงไป[4] ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้น คนทำงานในกรุงเทพมหานครมีจำนวนถึงร้อยละ 16.84 ที่ทำงานผ่านระบบรีโมท[5]

การทำงานเกินเวลาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เริ่มต้นมีการทำงานในระบบแรงงาน ภายหลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมอุตสาหกรรมภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมอุตสาหกรรม

ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมสถานะของแรงงานได้พลิกไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การทำงานในสังคมอุตสาหกรรมเป็นการทำงานภายใต้ระบบการผลิตแบบโรงงาน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตที่มีลักษณะเป็นการผลิตเพื่อยังชีพในอดีต มาสู่การผลิตเพื่อจำหน่ายในฐานะสินค้า ภายใต้ระบบดังกล่าว แรงงานของผู้ใช้แรงงานก็มีสถานะไม่ต่างอะไรกับสินค้าที่ผู้ใช้แรงงานจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งผู้ประกอบการจะนำแรงงานของผู้ใช้แรงงานมาควบรวมกับทุนอย่างอื่นในการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ได้กำไรสูงสุด

เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ กำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้า สิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องกระทำจึงเป็นความพยายามที่จะควบคุมต้นทุนของธุรกิจให้ต่ำที่สุด ซึ่งหนึ่งในต้นทุนที่จำเป็นต้องจำกัด คือ อัตราค่าจ้างของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งจะต้องควบคุมค่าจ้างดังกล่าวไว้

การกำหนดค่าจ้างของผู้ใช้แรงงานนั้น ในมุมมองสายตาของ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า นายจ้างมักจะกำหนดอัตราค่าจ้างของผู้ใช้แรงงานให้เพียงพอ (เหมาโดยคิดเป็นจำนวนที่แน่นอน) กับการอยู่รอดของผู้ใช้แรงงานซึ่งแลกกับพลังแรงงานของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งในความเป็นจริงค่าจ้างที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับแรงงานนั้น อาจจะน้อยกว่าผลผลิตที่ผู้ใช้แรงงานสร้างขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ค่าตอบแทนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ผู้ใช้แรงงานสำหรับการทำงานในโรงงาน อาจจะคิดเป็นเพียงค่าตอบแทนเท่ากับ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเวลาทำงานดังกล่าว คือ เวลาทำงานที่แท้จริงเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าจ้างที่ใช้ในการดำรงชีวิต

แต่ในความเป็นจริง ผู้ใช้แรงงานอาจจะต้องทำงานให้กับโรงงานเป็นระยะเวลา 9 ชั่วโมง ซึ่งเป็นชั่วโมงการทำงานที่ผู้ประกอบธุรกิจได้คิดเหมามาแล้ว ซึ่งเวลา 6 ชั่วโมงที่เกินมานี้ คือ ส่วนเกินของพลังแรงงานที่ผู้ประกอบการได้รับไป ในท้ายที่สุด เมื่อชิ้นงานที่เกิดขึ้นจากพลังแรงงานเสร็จสิ้น ชิ้นงานดังกล่าวจะมีมูลค่าได้มากกว่ามูลค่าของพลังแรงงานเอง มูลค่าที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นมูลค่าส่วนเกินที่ผู้ประกอบการเก็บเอาไว้เพื่อใช้ในการตอบสนองความมั่นคั่งและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการต่อไป

การทำงานภายใต้การจำกัดเวลา

ดังจะเห็นได้ว่า ค่าจ้างที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับผู้ใช้แรงงาน คิดอัตราค่าจ้างให้เพียงพอกับการอยู่รอดของผู้ใช้แรงงาน โดยผู้ใช้แรงงานจะต้องทำงานภายใต้ระยะเวลาที่ผู้ประกอบการกำหนด สิ่งนี้เองส่งผลให้ผู้ประกอบการในอดีตมีแนวโน้มที่จะกำหนดชั่วโมงการทำงานเอาไว้ให้สูง เพื่อให้สามารถได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้แรงงาน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบธุรกิจอาจจะกำหนดชั่วโมงการทำงานสำหรับแรงงานไว้ที่ 14 ชั่วโมง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ดังนั้น การใช้กำลังแรงงานของมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยล้าหรืออันตรายที่จะเกิดต่อชีวิตของผู้ใช้แรงงาน อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม การเรียกร้องให้มีการปรับเวลาการทำงานจึงเกิดขึ้น โดยรัฐต้องเข้ามาแทรกแซงและขีดเส้นกำหนดชั่วโมงการทำงาน การกำหนดชั่วโมงการทำงานค่อยๆ ขยับลดลง โดยการเคลื่อนไหวครั้งแรกปรากฏขึ้นในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยข้อเรียกร้องของ โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยโอเวนเสนอให้จำกัดชั่วโมงการทำงานลดลงเหลือเพียงแค่ 10 ชั่วโมง[6] ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกนำไปกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติโรงงาน ค.ศ. 1847 ในเวลาต่อมา[7]

การจำกัดช่วงโมงการทำงานดังกล่าวเป็นสถานการณ์เพียงเบื้องต้นเท่านั้น เพราะข้อเสนอสำคัญที่สุดที่โอเวนต้องการ คือ การเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั่วโมงการทำงาน โดยจำกัดชั่วโมงการทำงานให้เหลือเพียง 8 ชั่วโมง โดยโอเวนชูสโลแกนว่า “8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อน และ 8 ชั่วโมงสำหรับการนันทนาการ”[8] ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวใช้ระยะเวลาอีกช่วงเวลาหนึ่งกว่าจะบรรลุผลครั้งแรก และกลายมาเป็นข้อจำกัดของชั่วโมงการทำงานมาตรฐานในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากกฎหมายของหลายประเทศได้กำหนดชั่วโมงการทำงานสูงสุดจะต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง ตามอนุสัญญาว่าด้วยชั่วโมงการทำงาน (ในภาคอุตสาหกรรม) ค.ศ. 1919 (Hours of Work (Industry) Convention 1919)[9] ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) ซึ่งในบริบทของประเทศไทย การกำหนดชั่วโมงการทำงานในปัจจุบันเป็นผลสืบเนื่องมาจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดชั่วโมงการทำงานไว้ที่ 8 ชั่วโมง[10]

แรงงานกับเวลาว่าง

การทำงานกับเวลาว่างมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพราะเวลาว่างไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจเพียงอย่างเดียว แต่เวลาว่างมีความสำคัญต่อการพัฒนาตัวเองของผู้ใช้แรงงาน[11] ซึ่งจะเพิ่มความสามารถและพัฒนาตัวเองของผู้ใช้แรงงาน

การพัฒนา คือ เงื่อนไขสำคัญของการดำรงชีวิต เพราะเมื่อสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ ผู้ใช้แรงงานสามารถที่จะเลื่อนระดับหรือพัฒนาศักยภาพเพื่อเปลี่ยนสถานะไปสู่สถานะที่ดีกว่าได้ อย่างไรก็ดี ในอดีตการได้รับเวลาว่างเพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่มีการกำหนดชั่วโมงการทำงาน

อย่างไรก็ดี แม้จะได้มีการกำหนดชั่วโมงการทำงานแล้ว แต่ผู้ประกอบการก็อาจจะใช้วิธีการเพิ่มภาระงานเพื่อให้การทำงานยังคงอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายยอมรับให้กระทำได้ ทว่า ภาระงานที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เป็นการขูดรีดแรงงานอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อจบสิ้นการทำงานแรงงานก็อาจจะเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะนำเวลาไปใช้พัฒนาตัวเองได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ การพิจารณาชั่วโมงการทำงานดังกล่าว เป็นการพิจารณาเฉพาะชั่วโมงการทำงานของแรงงานในระบบเท่านั้น ปัญหาจึงเกิดขึ้นเมื่อแรงงานดังกล่าวไม่ใช่แรงงานในระบบแรงงาน อาทิ แรงงานแพลตฟอร์มที่รับงานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในอดีตอาจจัดแรงงานเหล่านี้ให้เป็นแรงงานอิสระ ทว่า ในปัจจุบันรูปแบบของการควบคุมการทำงาน ได้เปลี่ยนแปลงแรงงานแพลตฟอร์มให้ได้รับความกดดันจากแพลตฟอร์ม ให้ต้องทำงานและอาจจะโดนเร่งรัดเรื่องเวลาการทำงานโดยแพลตฟอร์ม ผ่านการกดดันให้ต้องทำงานเสร็จอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้รับรายได้เพียงพอ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการขูดรีดแรงงานที่เปลี่ยนไปตามลักษณะของการทำงาน

กล่าวโดยสรุป ชั่วโมงการทำงานเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งของการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั่วโมงการทำงานซึ่งเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการพัฒนาตัวตนของแรงงานเอง อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่ขูดรีดแรงงานโดยการที่จะกำหนดชั่วโมงการทำงานเอาไว้ให้มากที่สุด และแม้ในเวลาต่อมาจะได้มีการกำหนดชั่วโมงการทำงาน แต่วิธีการขูดรีดเอาส่วนเกินจากแรงงานก็ยังคงมีอยู่ โดยอาจจะเปลี่ยนแปลงวิธีการขูดรีดแรงงานไปจากเดิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเองของผู้ใช้แรงงาน


เชิงอรรถ

[1] สถิติดังกล่าวอ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2565. ดู Kiri, ‘Cities with the Best Work-Life Balance 2022’ (2022) <https://www.getkisi.com/work-life-balance-2022> accessed 17 September 2022.

[2] Ibid.

[3] BBC, ‘Long working hours killing 745,000 people a year, study finds’ (BBC, 17 May 2021) <https://www.bbc.com/news/business-57139434> accessed 17 September 2022.

[4] Hilary Osborne, ‘Home workers putting in more hours since Covid, research shows’ (The Guardian, 4 February 2021) <https://www.theguardian.com/business/2021/feb/04/home-workers-putting-in-more-hours-since-covid-research> accessed 17 September 2022.

[5] Kiri (no 1).

[6] Karl Marx, ‘The Capital Volume 1: The Process of Production of Capital’ (Marxists Internet Archive Library) <https://www.marxists.org/archive/marx/works/download/pdf/Capital-Volume-I.pdf> accessed 17 September 2022, 211 ;The Federation of International Employers, ‘History of Working Time’ (The Federation of International Employers) <https://www.fedee.com/labour-relations/history-of-working-time/> accessed 17 September 2022.

[7] see The Factory Act 1847.

[8] Anna McEvinney ‘Why Do We Have An 8-Hour Working Day?’ (History Guild, 6 November 2022) <https://historyguild.org/why-do-we-have-an-8-hour-working-day/> accessed 17 September 2022.

[9] Hours of Work (Industry) Convention 1919, Article 8.

[10] เดิมประเทศไทยเคยกำหนดชั่วโมงการทำงานไว้ไม่เกิน 7 ชั่วโมง แต่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยแก้ไขเป็น 8 ชั่วโมง ในเวลาต่อมา.

[11] Oleg Komlik, ‘Karl Marx on Free Time – Time for the Full Development of the Individual’ (Economic Sociology & Political Economy, 13 October 2016) <https://economicsociology.org/2016/10/13/karl-marx-on-free-time-time-for-the-full-development-of-the-individual/> accessed 17 September 2022.