PRIDI Economic Focus: เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลักดันเศรษฐกิจไทยด้วยอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเริ่มมีเกมสัญชาติไทยได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมผีชื่อดังแบบ Home Sweet Home ที่พยายามขายเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีไทยและไสยศาสตร์ไทย ซึ่งเกมดังกล่าวได้รับคะแนนบนแพลตฟอร์ม Steam 9 คะแนน (เต็ม 10 คะแนน) ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมมากพอสมควร

การประสบความสำเร็จของเกม Home Sweet Home นั้น สะท้อนการเข้าไปมีบทบาทในโลกผ่านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) มากขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เกมทุกเกมจะประสบความสำเร็จในลักษณะเดียวกัน เกมของคนไทยจำนวนหนึ่งไปไม่ถึงฝันที่จะได้รับความนิยมในระดับสากล เนื่องจากประสบอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดของการพัฒนาเช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์อื่นๆ

มูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมเกม

มูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมเกมในปัจจุบันเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากเกมไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นสิ่งให้ความบันเทิง แต่ยังเป็นไลฟ์สไตล์และกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้กับคนจำนวนมาก ทั้งผ่านการไลฟ์สดเล่นเกมและการแข่งขันกีฬาประเภทอีสปอร์ต

จากการสำรวจของบริษัท Newzoo พบว่า อุตสาหกรรมเกมมีมูลค่าทั่วโลกอยู่ราวๆ 175.8 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าสื่อบันเทิงประเภทเพลงและภาพยนตร์ทั่วโลก 2-3 เท่า โดยคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) จะมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หากคิดแยกประเภทเกมตามเครื่องเล่นแล้ว ในปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) มูลค่าของอุตสาหกรรมเกมประเภทโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ 90.7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เกมคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 35.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเกมคอนโซลอยู่ที่ 49.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเกมโทรศัพท์มือถือมีรายได้คิดเป็นร้อยละ 52 ของรายได้ทางบัญชีทั้งหมดของตลาดเกม[1]

กล่าวเฉพาะในแง่ของอุตสาหกรรมเกมไทยในปี พ.ศ. 2563 พบว่าจำนวนคนเล่นเกมในประเทศไทยมีประมาณ 27.8 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 41 จากจำนวนประชากรไทย 69.3 ล้านคนในเวลานั้น โดยมูลค่าคาดการณ์ของตลาดเกมไทยในปี พ.ศ. 2563 มีมูลค่า 27,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตประมาณร้อยละ 15.8 จากปีก่อน[2]

เมื่อพิจารณาในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมในปี พ.ศ. 2564 จากข้อมูลของ Brand Inside พบว่า บริษัทดิจิทัลคอนเทนต์สัญชาติไทยชื่อว่า Yggdrazil Group ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาเกม Home Sweet Home มีรายได้ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) เป็นจำนวน 227 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณร้อยละ 16[3] ภาพดังกล่าวสะท้อนความสำเร็จของอุตสาหกรรมเกมไทยในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีแบบ Yggdrazil Group เพราะโดยสภาพแล้วไม่ใช่เกมทุกเกมที่จะออกมาแล้วได้กระแสตอบรับดีแบบ Home Sweet Home เพราะแม้แต่ภาคต่อๆ ของเกมดังกล่าวก็ไม่ได้กระแสตอบรับดีเท่ากัน[4]

ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย

การเติบโตของอุตสาหกรรมเกมไทยนั้นเมื่อพิจารณาจากฝั่งผู้บริโภคแล้วส่วนหนึ่งนั้นมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งในส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อาทิ การพัฒนาสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งแต่เดิมนั้นต้องใช้โมเด็ม (modem) ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับสายโทรศัพท์ และส่งสัญญาณผ่านสายแลน (LAN) เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้อินเทอร์เน็ตสมัยก่อนขาดความเสถียร แต่ในปัจจุบันสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีความเร็วมากขึ้นทำให้การท่องอินเทอร์เน็ตและการเล่นเกมทำได้สะดวกขึ้น[5]

ขณะเดียวกันในด้านเครื่องเล่นเกมนั้น ส่วนใหญ่เกมที่เล่นในปัจจุบันสามารถเล่นบนโทรศัพท์มือถือได้โดยที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเกมคอนโซล ซึ่งโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นมีคุณภาพในขณะที่มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้ยอดผู้เล่นเกมผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น[6]

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในด้านผู้ผลิตนั้นกลับประสบปัญหาในด้านความสำเร็จ จากการสำรวจของสำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2561 พบว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรมเกมประกอบไปด้วยปัญหาสำคัญ 7 ด้าน[7] ดังนี้

  1. ต้นทุนทางการผลิตเกมในด้านเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อผู้ประกอบการในการปรับตัว
  2. การแปลภาษานั้นมีต้นทุน และเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ต่างประเทศ
  3. ผู้ประกอบการไทยจดทะเบียนในต่างประเทศค่อนข้างมาก เพราะตลาดต่างประเทศได้รับความไว้วางใจจากผู้เล่นสูงกว่า
  4. ปัญหาด้านแรงงาน ซึ่งสถาบันการศึกษายังพัฒนาหลักสูตรได้ไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งแรงงานที่มีความรู้นั้นไปทำงานให้กับบริษัทต่างประเทศ
  5. ปัญหาในการวางจำหน่ายเกมบนช่องทางการขายกลาง เช่น Google Play หรือ App Store เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมีการกีดกันทางการค้าหรือมีข้อกำหนดในการนำแอพเข้าสู่แพลตฟอร์มดังกล่าว รวมถึง ข้อจำกัดในด้านการนำแอพเข้าสู่ตลาดประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการบริโภคสูง
  6. ปัญหาด้านการละเมิดลิขสิทธิ์
  7. ปัญหาการขาดนโยบายดึงดูดการลงทุนต่างๆ

นอกจากปัญหาทั้ง 7 ประการข้างต้นแล้ว สื่อสร้างสรรค์ไทยอาจจะเจออุปสรรคใหญ่ที่สุด คือ ความไม่เข้าใจและไม่รับรู้ของรัฐไทย ซึ่งแสดงออกผ่านการพยายามห้าม ควบคุม ตลอดจนถึงการเซนเซอร์สื่อสร้างสรรค์ แม้แต่เกมที่ประสบความสำเร็จระดับสากลอย่าง Home Sweet Home ก็เคยมีประเด็นว่า กระทรวงวัฒนธรรมสั่งห้ามนำท่ารำไปใส่ในเกม เนื่องจากจะทำให้คนกลัว[8] ซึ่งการสงวนหวงห้ามให้วัฒนธรรมจะต้องเป็นไปตามขนบของรัฐในลักษณะดังกล่าวนั้นกลายเป็นการขัดขวางแทนที่จะส่งเสริมให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ รวมถึงสิ่งนี้ยังขัดกับความต้องการของรัฐบาลที่จะสร้างซอฟต์พาว์เวอร์ของประเทศ เพราะโดยลักษณะของซอฟต์พาวเวอร์แล้วต้องไม่ใช่การใช้อำนาจบังคับ[9] แต่เป็นการสนับสนุนเพื่อสะกิด (nudge) ให้คนมาสนใจและรับเอาเรื่องดังกล่าวไปเป็นส่วนหนึ่งของความสนใจ

ทางออกของปัญหา

ในหลายๆ ปัญหาภาครัฐอาจจะเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนเพื่อให้วงการอุตสาหกรรมผลิตเกมไทยเติบโตได้มากกว่านี้ โดยอาจจะเริ่มต้นจากการไม่ทำอะไรที่ขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตเกมผ่านการควบคุมเนื้อหาของเกมแบบกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับ Home Sweet Home ตลอดจนถึงการเข้ามาดำรงบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) เพื่อให้เกิดการผลักดันอุตสาหกรรมผลิตเกม เช่น การสนับสนุนการแปลภาษาที่มีต้นทุน การส่งเสริมให้เกิดแรงงานสร้างสรรค์ในกลุ่มนี้ การส่งเสริมการลงทุนและดึงดูดนักลงทุนเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เป็นต้น

ซึ่งหากภาครัฐเข้ามาสนับสนุนในลักษณะดังกล่าว อุตสาหกรรมการผลิตเกมของประเทศไทยจะต้องมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศได้เป็นอย่างมาก แต่หากบทบาทของภาครัฐไม่ได้เข้ามาสนับสนุนใดๆ และคอยแต่จะหาผลประโยชน์จากความสำเร็จของเอกชน แนวโน้มที่อุตสาหกรรมรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจคนไทยจะออกไปเติบโตในต่างประเทศเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็อาจจะเป็นไปได้มากเช่นกัน

กล่าวโดยสรุป อุตสาหกรรมการผลิตเกมเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างหนึ่งที่มีความน่าสนใจและกำลังเติบโต แต่ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างอื่นที่ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐค่อนข้างน้อย และถูกปล่อยให้เติบโตตามยถากรรม ซึ่งหากใครโชคดีเติบโตก็เป็นเรื่องดี แต่ใครล่มจมก็ถูกปล่อยให้ล่มจมไป สภาพดังกล่าวนี้อาจจะกลายเป็นการลดทอนกำลังใจของผู้พัฒนาเกม และชะลอการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตเกมที่อาจจะเข้ามาช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทย


เชิงอรรถ

[1] Dean Takahashi, ‘Newzoo: Global game market will shrink in 2021 for first time in many years’ (GamesBeat, 6 May 2021) <https://venturebeat.com/games/how-to-empower-diverse-perspectives-at-the-games-for-change-festival/> accessed 22 August 2022.

[2] PeerPower, ‘อุตสาหกรรม “เกมไทย” 2020’ <https://www.peerpower.co.th/blog/investor/thai-game-industry/> accessed 22 August 2022.

[3] Brand Inside, ‘รู้จัก Yggdrazil Group เจ้าของเกม Home Sweet Home ที่โตสวนวิกฤตด้วยรายได้ 227 ล้านบาท’ (Brand Inside, 19 กรกฎาคม 2564) <https://brandinside.asia/yggdrazil-group-home-sweet-home/> สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2565.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] PeerPower (เชิงอรรถ 2).

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), รายงานการศึกษาการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สาขาซอฟต์แวร์ (เกมและอนิเมชั่น) (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) 2564) 37 <https://article.tcdc.or.th/uploads/media/2022/6/22/media_8-CEA-Game-and-Animation-Final-Report.pdf> สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2565.

[8] The Matter, ‘สรุปประเด็น กระทรวงวัฒนธรรมสั่งห้ามนำท่ารำใส่ในเกมผี ‘Home Sweet Home’ เพราะอาจทำให้คนกลัว’ (The Matter, 11 ธันวาคม 2563) <https://thematter.co/brief/130713/130713> สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2565.

[9] พนธกร วรภมร และนณริฏ พิศลยบุตร, ‘Soft power ไทย เหตุใดจึงยังไม่เวิร์ค’ (TDRI, 19 เมษายน 2565) <https://tdri.or.th/2022/04/soft-power-thai/> สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2565.

Pridi Economic Focus: การศึกษาและราคาของการขยับสถานะทางสังคม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเหลื่อมล้ำ” เป็นปัญหาสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอื่นๆ ในสังคมไทย และหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คือ ปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเครื่องมือในการขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม (Social Mobility) หมายถึง การที่คน ครอบครัว และครัวเรือนเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม โดยเปลี่ยนจากตำแหน่งแห่งที่ในสังคมที่เป็นอยู่[1] ซึ่งอาจจะเป็นการเลื่อนสถานะทางสังคมขึ้นหรือลง[2]

การขยับสถานะทางสังคมนั้นส่วนใหญ่มักถูกอธิบายโดยเกี่ยวข้องกับเรื่องทางชนชั้น/สถานะใดๆ[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาการขยับสถานะทางสังคมที่วัดโดยเปรียบเทียบช่วงเวลา ซึ่งพิจารณาความสามารถของเด็กที่จะได้สัมผัสกับชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่ หรืออาจจะวัดในลักษณะช่วงเวลาว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร และเวลา 10 ปีต่อมาจะมีสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร เป็นต้น

นอกจากนี้ การขยับสถานะทางสังคมยังมีส่วนเกี่ยวพันกับการประเมินผลกระทบภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลลัพธ์ต่อชีวิตของแต่ละบุคคล[4]

การขยับสถานะทางสังคมกับความเหลื่อมล้ำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยการลดความเหลื่อมล้ำมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจน ในขณะที่การขยับสถานะทางสังคมมีวัตถุประสงค์เพื่อการให้คนคนหนึ่งสามารถที่จะขยับสถานะทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีขึ้น[5]

ในการประเมินการขยับสถานะทางสังคมนั้น มีดัชนี (Index) ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักในการขยับสถานะทางสังคม ประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 10 ด้าน ได้แก่ การสาธารณสุข (Health) การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Education Accesess) การมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม (Education Quality and Equity) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learing) การได้รับความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) การเข้าถึงเทคโนโลยี (Technology Acceses) การเข้าถึงโอกาสในการทำงาน (Work Opportunities) การได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรม (Fair Wages) การมีเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม (Working Conditions) และการมีสถาบันที่สนับสนุนการเข้าถึงโอกาส (Inclusive Institutions)

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก ที่มา : World Economic Forum (2020)
ที่มา: World Economic Forum (2020)

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังขาดปัจจัยอันเหมาะสมที่จะทำให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม โดยกลุ่มของเด็กที่ครอบครัวมีสถานะทางเศรษฐกิจเปราะบาง จะส่งผลต่อการเผชิญกับอุปสรรคในการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี[6] โดยปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจคือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และการมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มรายได้มากขึ้นในอนาคต

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นการวัดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการเข้าถึงการศึกษา โดยทำให้เกิดความมั่นใจว่า ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยปราศจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อป้องกันมิให้เด็กต้องขาดโอกาสทางการศึกษา[7]

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่าระดับการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทยในแง่โอกาสการเข้าถึงการศึกษา ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 51 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 59 คะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (upper-middle-income group average) เพียงนิดหน่อย (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน) ในขณะที่ในด้านคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษา ประเทศไทยนั้นอยู่ในลำดับที่ 44 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 44 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน)

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย ที่มา : World Economic Forum (2020)

ที่มา : World Economic Forum (2020)

ในบริบทของประเทศไทย ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เคยอธิบายว่า “เด็กนักเรียนยากจนจะมีต้นทุนในการเรียนที่สูงกว่าคนอื่น คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงไม่มีเงินเก็บ แต่ยังเป็นหนี้ด้วย เขาต้องมีรายได้วันนี้ ถ้าไม่มีรายได้วันนี้ การมาเรียนของเขาจะมีมูลค่าหลายพันบาท เด็กยากจนส่วนใหญ่ยังมีเงินติดลบและมีค่าเสียโอกาส”[8] ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสำคัญว่า ราคาของการศึกษาของเด็กไทยตลอดชีวิตคิดเป็นมูลค่าเท่าใด

ราคาของการศึกษาของเด็กไทยที่พ่อแม่จะต้องใช้จ่ายเพื่อให้ลูกสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น มีค่าใช้จ่ายอยู่หลายๆ ส่วนประกอบกัน ได้แก่ ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าทำกิจกรรม ค่าภาษีสังคมอื่นๆ ค่ากวดวิชา เป็นต้น และเมื่อเข้าสู่ช่วงการศึกษามหาวิทยาลัยแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เช่น ค่าหอพัก เป็นต้น จากการสำรวจของธนาคารกรุงศรี พบว่าเมื่อจำแนกค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ที่ต้องใช้ในการสนับสนุนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรีต่อเทอมดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

ตารางแสดงค่าใช้จ่ายต่อเทอมตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มหาวิทยาลัย (ปริญญาตรี)

ระดับการศึกษาค่าใช้จ่าย (บาท/เทอม)
อนุบาล20,000 – 80,000
ประถม20,000 – 150,000
มัธยม50,000 – 300,000
มหาวิทยาลัย70,000 – 500,000
ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา.

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านลักษณะของสถาบันการศึกษายังมีส่วนสำคัญต่อการผันแปรของราคาค่าใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าการศึกษาสำหรับเด็กวัยเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับปริญญาตรีไว้ว่า หากเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 ล้านบาท หากเลือกศึกษาในสถาบันการศึกษาของเอกชนค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท และหากเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติ จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 20.1 ล้านบาทตลอดระยะเวลาเล่าเรียน[9]

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาของการเข้าสู่การศึกษาทางการศึกษาของประเทศไทยไม่ได้เป็นราคาน้อยๆ ซึ่งหากครอบครัวใดมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากจนย่อมมีอุปสรรคในการเข้าสู่การศึกษามาก และแม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะรับรองสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาเอาไว้ให้เด็กสามารถได้เรียนฟรี 12 ปี[10] โดยเป็นหน้าที่ของรัฐในการทำให้เด็กสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ฟรี ทว่า ราคาของการศึกษานั้นแพงกว่าเพียงแค่ค่าเล่าเรียน แต่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ตามมา การที่รัฐธรรมนูญเพียงแต่รับรองเรื่องการศึกษาฟรี แต่ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว การศึกษาฟรีก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเข้าถึงการศึกษาจริงๆ

ท้ายที่สุด สิ่งนี้อาจจะต้องทำให้ประเทศไทยกลับมาทบทวนว่า การศึกษาควรจะเป็นเรื่องที่ฟรีและทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริงๆ โดยปราศจากการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ แล้ว การศึกษาที่ฟรีก็อาจจะเป็นเพียงการศึกษาฟรีบนกระดาษเท่านั้น ซึ่งอาจจะถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องทบทวนเรื่องนโยบายสวัสดิการด้านการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง


เชิงอรรถ

[1] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, ‘การขยับสถานะทางสังคม’ (มติชนออนไลน์, 22 ตุลาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/columnists/news_1720579#:~:text=อธิบายง่ายๆ%20ว่าในเชิง,สถานะนั้น%20เขามักจะ> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[2] World Economic Forum, ‘The Global Social Mobility Report 2020 Equality, Opportunity and a New Economic Imperative’ (World Economic Forum, January 2020) <https://www3.weforum.org/docs/Global_Social_Mobility_Report.pdf> accessed 21 August 2022, p9.

[3] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (เชิงอรรถ 1).

[4] เพิ่งอ้าง; World Economic Forum (no 2.), p9.

[5] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘โลกเหลื่อมล้ำกับการเปลี่ยนลำดับชั้นทางเศรษฐกิจ’ (The Momentum, 24 กุมภาพันธ์ 2563) <https://themomentum.co/inequality-with-economic-mobility/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[6] World Economic Forum (no 2.), p9.

[7] World Economic Forum (no 2.), p16.

[8] Way Magazine, ‘โอกาสทางการศึกษา บันไดสู่การเลื่อนชั้นทางสังคม’ (สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.), 28 กรกฎาคม 2563) <https://research.eef.or.th/โอกาสทางการศึกษา-บันไดส/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[9] ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ‘จ่ายหนักแค่ไหน? เมื่อเทศกาลเปิดเทอมใกล้เข้ามา (ฉบับพ่อแม่มือใหม่)’ (ธนาคารกรุงศรี) <https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/life/children/จายหนกแคไหน-เมอเปดเทอม> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2563.

[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54.

เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง: มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่มีประชาชนคนใดที่จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทว่า การได้รับผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ดี ในภาพกว้างของสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมนี้มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำอยู่ ทั้งในเชิงรายได้ ทรัพย์สิน รวมไปถึงสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่ากัน ซึ่งภายใต้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำมีคนบางกลุ่มที่จะถูกโครงสร้างความเหลื่อมล้ำกดทับมากกว่า ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกกดทับก็คือ “ผู้หญิง”

เศรษฐกิจกับเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจ

การก่อตัวของแรงงานเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่แยกกระบวนการผลิตออกจากการผลิตในหน่วยครัวเรือน เพื่อเข้าสู่การผลิตในหน่วยอุตสาหกรรม โดยทำให้เกิดกระบวนการแบ่งงานกันทำระหว่างหญิงชาย รวมถึงทำให้เกิดการแบ่งบทบาทหญิงชาย โดยกำหนดให้ผู้หญิงมีบทบาทในครัวเรือน ในขณะที่ผู้ชายมีบทบาทในพื้นที่สาธารณะและการทำงาน[1]

ในบริบทของประเทศไทยอาจจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก คือการกำหนดบทบาทของผู้หญิงในสังคม โดยเฉพาะเมื่อในเวลาต่อมาประเทศไทยมีการรับเอาคติแบบวิคตอเรียน (Victorian) เข้ามา ผ่านทางราชสำนัก ก่อนภาพดังกล่าวจะถูกผลิตซ้ำในสังคมและกลายเป็นแบบแผนของผู้หญิงที่ควรจะเป็นในสังคม[2] ทำให้สังคมไทยมีลักษณะคล้ายๆ กับสังคมตะวันตกที่มีการแบ่งบทบาทของชายและหญิงออกจากกัน โดยผู้หญิงถูกสังคมมอบหมายบทบาทให้เป็นคนดูแลเรื่องในบ้านและมีหน้าที่ดูแลลูก ในขณะที่ผู้ชายถูกกำหนดให้มีบทบาทในสังคมในฐานะของแรงงานและการออกไปทำงานนอกบ้าน

ผลของการแบ่งพื้นที่ระหว่างเรื่องในบ้านและเรื่องนอกบ้านอย่างเด็ดขาด ทำให้การทำงานของผู้หญิงไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงานที่สร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากงานของผู้ชาย[3] อย่างไรก็ดี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปและกระแสของประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในพื้นที่สาธารณะ (นอกบ้าน) ทำให้ผู้หญิงมีพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าสู่ตำแหน่งทางการงานต่างๆ ตั้งแต่ในภาคเอกชนและราชการ

ทว่า การเข้ามาทำงานของผู้หญิงทั้งในภาคเอกชนและราชการ ก็ยังมีประเด็นอีกมากที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้หญิงในทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความเท่าเทียม

ผู้หญิงกับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มากกว่าผู้ชาย

แม้ว่าในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุน รวมถึงสามารถมีความก้าวหน้าในตำแหน่งต่างๆ ได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย  อย่างไรก็ดี ปัญหาความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายยังคงมีอยู่โดยปรากฏอยู่ในรูปแบบอื่นๆ อาทิ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างหญิงชาย โดยจากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2561 พบว่าช่องว่างระหว่างค่าจ้างหญิงชายเทียบเป็นสัดส่วนกับค่าจ้างของหญิงไม่ได้ขึ้นกับระดับการศึกษา กล่าวคือ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใดๆ ลูกจ้างเอกชนชายมีค่าจ้างสูงกว่าหญิงร้อยละ 22-57 ในปี พ.ศ. 2530-2539 ร้อยละ 12-50 ในปี พ.ศ. 2540-2549 และร้อยละ 11-32 ในปี พ.ศ. 2550-2559 สถานการณ์ดีขึ้นสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ แต่กลับแย่ลงสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี[4] สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงมีความเสียเปรียบผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี

ปัจจัยส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้ผู้หญิงได้รับค่าจ้างต่ำกว่ามาจากวิธีคิดเกี่ยวกับผู้หญิงที่ว่า ผู้หญิงนั้นไม่ได้มีสถานะเป็นแรงงานที่เท่าเทียมกับผู้ชาย เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของการทำงานและการออกจากงานของผู้หญิงเมื่อมีครอบครัว ทำให้บริษัทส่วนใหญ่อาจจะให้ค่าจ้างกับผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้ในด้านของแรงงานไร้ฝีมือในกระบวนการผลิตปกตินั้น ผู้ชายกับผู้หญิงก็อาจจะได้ค่าตอบแทนแตกต่างกันบ้าง แต่แนวโน้มที่ค่าตอบแทนจะปรับมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงมากขึ้น สวนทางของแรงงานมีฝีมือที่ความแตกต่างระหว่างค่าจ้างของผู้หญิงและผู้ชายที่จบปริญญาตรีมีสูงมาก ทั้งๆ ที่การทำงานไม่ได้มีความแตกต่างในเชิงกายภาพ[5] 

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านค่าใช้จ่ายจะพบว่า ผู้หญิงมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นโดยเหตุผลธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายประจำวันที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ อาทิ ค่าใช้จ่ายจากผ้าอนามัย โดยหากคำนวณราคาผ้าอนามัยแบบมาตรฐานเฉลี่ยชิ้นละ 5 บาท โดยค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้าอนามัยจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 75 – 175 บาท ซึ่งเมื่อคิดจากระยะเวลาการมีประจำเดือนของผู้หญิงที่จะมีประจำเดือนจนอายุ 40 ปี ผู้หญิงจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับผ้าอนามัยประมาณ 84,000 บาท ตลอดช่วงชีวิต[6] ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเกิดเป็นผู้หญิง

ภาพของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงชายยังมีประเด็นอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก โดยหากขยับไปสู่ประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงในบทบาทของแม่

บทบาทของแม่ กับมุมหนึ่งของการเป็นแม่ที่ไม่ถูกมองเห็น

อีกหนึ่งเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ การเป็นแม่ แม้ว่าสังคมจะยกย่องบทบาทของการเป็นแม่ว่าเป็นความสำคัญและเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งที่ควรยกย่อง ถึงขนาดมีการมอบรางวัลแม่ดีเด่นต่างๆ ทว่า บทบาทของการเป็นแม่นั้นมีภาระในทางตรงกันข้าม การที่สังคมกำหนดบทบาทความเป็นแม่ให้เป็นหน้าที่เฉพาะของผู้หญิงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้สถานะความเป็นแม่ถูกสังคมคาดหวังจนกลายเป็นภาระที่กดทับผู้หญิง

บทบาทของการเป็นแม่เปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก นอกจากการจะต้องโฟกัสและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปให้กับลูก ทำให้ผู้หญิงมีภาระมากกว่าปกติ รวมถึงการมีลูกนั้นทำให้ผู้หญิงอาจจะต้องละทิ้งการโฟกัสชีวิตในด้านอื่นๆ เพื่อมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก ดังจะเห็นได้ว่า มีผู้หญิงจำนวนมากที่ออกจากงานภายหลังการมีลูก ซึ่งกลายเป็นว่า ผู้หญิงต้องละทิ้งโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับการเลี้ยงลูก เพราะในมุมมองของบริษัทจะมองว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานคือ การแบ่งบทบาทระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ขาดออกจากกัน ซึ่งในความเป็นจริง การจะทำแบบนั้นได้มีต้นทุนที่จะต้องแบกรับ เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝากลูกไว้กับเนิร์สเซอรีหรือการจ้างคนอื่นมาเลี้ยงลูก เป็นต้น

ดังนั้น ทางเลือกของผู้หญิงจึงถูกบีบให้เหลือเพียงแค่ “ถ้าอยากมีลูกก็ไม่ต้องเน้นการทำงาน แต่ถ้าอยากก้าวหน้าในการทำงาน ก็ไม่ต้องมีลูก” ซึ่งในท้ายที่สุด หากผู้หญิงอยากจะกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่งอาจจะต่อไม่ติดกับงานอีกแล้ว รวมถึงอาจจะไม่มีความก้าวหน้าในการงานอีกต่อไป[7]

ในทางเศรษฐกิจ การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือ ผู้หญิงในบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวันอาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางก็คือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[8]

เช่นเดียวกันหากผู้หญิงเปลี่ยนไปเดินทางด้วยวิธีการอื่น ต้นทุนของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นก็ยังคงมีอยู่จากการเดินทางหลายต่อ สิ่งนี้สะท้อนว่าผู้หญิงในบทบาทความเป็นแม่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วยขนส่งสาธารณะสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีลูกและผู้ชาย

นอกจากนี้ ปัญหาของผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่อีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าผู้หญิงจะสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีระหว่างเรื่องการทำงานและการเลี้ยงลูก แต่ในบทบาทของชีวิตสมรสภายใต้สถาบันครอบครัวที่ผู้หญิงได้รับ คือ การเป็นแม่ศรีเรือนหรือแม่บ้านแม่เรือนตามที่สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงจะต้องทำงานบ้านด้วย ซึ่งการทำงานบ้านนี้เป็นงานที่ไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงาน เพราะในวิธีคิดแบบเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ได้มองว่าการทำงานบ้านเป็นงานที่มีผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่การทำงานบ้านเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิตแรงงานในระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง

ปัญหาทั้งหมดจะยิ่งซ้ำเติมผู้หญิง เมื่อต้องดำรงบทบาทของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่จะต้องดูแลลูกคนเดียวโดยปราศจากการสนับสนุนจากคู่สมรส ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุว่าคู่สมรสเสียชีวิตหรือหย่าขาด เพราะทำให้ผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่ต้องรับต้นทุนแต่เพียงฝ่ายเดียว

การสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับคนในสังคม

การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมของหญิงชายนั้นต้องแก้ไขปัญหาในหลายระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิงให้มากยิ่งขึ้น

ในเชิงนโยบายรัฐมีส่วนเข้ามาช่วยเหลือได้มากในหลายๆ วิธีการ ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การจัดให้มีรัฐสวัสดิการที่จะช่วยเข้ามาแบ่งเบาภาระและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในเรื่องต่างๆ เช่น การจัดให้มีสวัสดิการผ้าอนามัยเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้หญิงในแง่มุมหนึ่ง หรือการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรผ่านการได้รับเงินช่วยเลี้ยงดูบุตรในลักษณะต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในบริบทของการทำงานในกรณีของผู้หญิงโดยเฉพาะกรณีของการเป็นแม่ ซึ่งเวลาการทำงานควรจะถูกปรับให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับกับผู้หญิงที่ต้องการให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือ กรณีของประเทศอังกฤษ ได้มีการตรา Children and Family Act 2007 ขึ้นมา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิแก่คนทำงานได้อย่างยืดหยุ่นทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย

ต้องถือว่ารัฐมีส่วนสำคัญในการโอบอุ้มและให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงและแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแม่ เพราะการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมานั้นต้องใช้ทรัพยากรที่มาก การจะปล่อยให้บทบาทการเลี้ยงดูเด็กภายใต้สถาบันครอบครัวเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากความช่วยเหลือหรือประคับประคองโดยรัฐอาจจะไม่เหมาะสม

แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ปัญหาของระบบเศรษฐกิจที่กดทับผู้หญิงบางส่วนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสถานะทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบทบาทความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรม ในความเป็นจริงการเป็นแม่หรือสวมบทบาทแม่นั้นไม่ควรจะจำกัดเฉพาะผู้หญิง แต่หน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็กให้เกิดและเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีนั้นควรเป็นบทบาทของทุกคนในสถาบันครอบครัวทั้งไม่ว่าจะเป็นสามีภริยาหรือครอบครัวในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงสังคมก็ควรจะมีบทบาทในการช่วยเหลือในการเลี้ยงดูเด็กเช่นกัน


เชิงอรรรถ

[1] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, ‘เศรษฐศาสตร์จากมุมมองสตรีนิยม’ (การสัมมนานักวิชาการรุ่นเยาว์ ณ ห้องประชุมคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547) 6.

[2] การรับอิทธิพลแบบวิคตอเรียนเข้ามาในสังคมไทยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปฏิรูปรัฐราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ประเทศไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกผ่านการเข้าทำความตกลงกับอังกฤษ.

[3] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, (เชิงอรรถ 1) 6-7.

[4] วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, ‘3 ทศวรรษ ของการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานไทย’ (TDRI, 5 มีนาคม 2561) <https://tdri.or.th/2018/03/3decade-thai-labour-market/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] นุชประภา โมกข์ศาสตร์, ‘สร้างสวัสดิการขั้นพื้นฐานเพื่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ด้วยผ้าอนามัยที่ทุกคนเข้าถึงได้’ (ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต, 29 มีนาคม 2565) <https://think.moveforwardparty.org/article/welfare/2217/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[7] ดู พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล และ วิโรจน์ สุขพิศาล, ‘ผศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา : เมื่อการเป็นผู้หญิง ไม่ได้ทำให้คนเสียเปรียบเท่าการเป็นแม่’ (the 101.world, 23 เมษายน 2562) <https://www.the101.world/manasikan-interview/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[8] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the 101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

24 มิถุนายน 2475: อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พลิกฟ้าปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…” 

ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
(พ.ศ. 2475 ตามปฏิทินเก่า)


การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
 มีความสำคัญในฐานะของวันที่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นคำที่ ปรีดี พนมยงค์ ใช้อธิบายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี การดำเนินการของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบอบการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ของประเทศ ดังเช่นที่ปรีดี ได้กล่าวไว้ใน เค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[2] 

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแล้วสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า โครงสร้างของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นมีความฝืดเคืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ กระบวนการสะสมทุนทางเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำจนส่งผลโดยตรงต่อความทุกข์ยากของราษฎร[3]

ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในปัจจุบันงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกผ่านการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริง[4] โดยกลุ่มขุนนางและเจ้าศักดินาในระบอบเดิมได้ปรับตัวเข้ากับระเบียบโลกใหม่ตามพระราชนิยมและความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สยามจะอาศัยประโยชน์นี้โดยเข้าไปมีส่วนร่วมและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก การค้าเพื่อสะสมทุนได้เข้ามาเป็นฐานอำนาจหลักของชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่แทน[5]

รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเวลานั้นให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางผ่านการสถาปนารัฐราชการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประการที่สอง การรวมทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้การควบคุมของรัฐบาลราชสำนักที่กรุงเทพฯ[6]

กล่าวเฉพาะในเรื่องของการระดมทรัพยากร ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นก็คือ “ที่ดิน” กลไกที่รัฐบาลในเวลานั้นใช้ก็คือ การออกพระบรมราชโองการประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 120 และพระบรมราชโองการประกาศแก้วิธีและพิกัดเก็บเงินค่านา ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บอากรค่านาของรัฐบาลราชสำนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องมีการประเมินใหม่ทุกปีดังเช่นนาฟางลอย แต่ผลกระทบกลับตกอยู่กับชาวนา เพราะนอกจากอากรค่านาจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว จาก 1 สลึงเป็น 1 บาทแล้ว ชาวนายังถูกบังคับให้ต้องทำนาให้เต็มพื้นที่ทุกปี เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องเสียอากรอยู่ดี[7] ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบต่อชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ในเวลานั้นนอกจากอาชีพข้าราชการแล้ว อาชีพอีกอย่างหนึ่งที่ชาวสยามนิยมทำกันคือ การทำเกษตรกรรม เป็นชาวนา  โดยจากการสำรวจของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจในชนบท ในปี พ.ศ. 2473 พบว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในสยามจะมีอาชีพเป็นชาวนา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและอาศัยวิธีการเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน[8] และสภาพของการทำนาในเวลานั้นพึ่งพาธรรมชาติและขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี ประกอบกับต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมา แต่ได้ผลตอบแทนน้อย[9] แต่กลับต้องแบกรับภาระจากการทำนาเป็นอาชีพเป็นจำนวนมากทั้งภาษีและค่าใช้จ่ายในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ดังนั้น นโยบายทางการเงินการคลังในช่วงก่อน 2475 กลายเป็นเครื่องมือในการดึงส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจจากราษฎรตามหัวเมืองต่างๆ ที่เรียกว่า ‘การสกัดส่วนเกิน’ เพื่อมาแบ่งสรรให้แก่ชนชั้นปกครองโดยเฉพาะราชสำนักและกองทัพ[10]

การอภิวัฒน์สยามเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ผลของความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เอง ทำให้เมื่อเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจตนารมณ์นี้ปรากฏชัดเจนใน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ความว่า

“…บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”

นอกจากนี้ ความในประกาศคณะราษฎรแล้ว อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะราษฎรมุ่งที่จะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็คือ หลักการในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 3

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

เมื่อพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังนั้น ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญ และผู้ถูกเรียกว่า มันสมองของคณะราษฎรนั้น เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านทฤษฎีปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องบน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องล่าง ซึ่งก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ[11] โดยการทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องทางเศรษฐกิจผ่านกระบวนการประชาธิปไตย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย


เชิงอรรถ

[1] พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล, ‘บางบันทึกของ ‘ปรีดี’ ต่อกรณีอภิวัฒน์สยาม 2475’ (the 101.world, 30 มิถุนายน 2560) <https://www.the101.world/pridi-on-2475/> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565; อิทธิพล โคตะมี, ‘การอภิวัฒน์ที่นำมาสู่หลักการ ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 16 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/738> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150.

[3] อิทธิพล โคตะมี, ‘การสกัดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ : กลไกสะสมทุนศักดินา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1063> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563 <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[5] อิทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 4).

[9] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525) 57.

[10] ทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

กว่าจะมาเป็น (ประเทศ) กรุงเทพมหานครแบบทุกวันนี้: ประวัติความเป็นมา และหน้าที่ภารกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

นอกจากการเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแล้ว กรุงเทพมหานครยังมีความสำคัญในฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ และยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยประชากรจำนวนมาก

อดีตของกรุงเทพฯ จากเทศบาลพระนครสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอย่างในปัจจุบัน ในอดีตกรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า เทศบาล โดยย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2476

รัฐบาลในเวลานั้นโดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในช่วงก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองนายปรีดี ผ่านการสถาปนาโครงสร้างความคิดเกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนกลาง-ภูมิภาค-ส่วนท้องถิ่นของไทย[1] 

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 และ พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินของไทยใหม่ โดยการยุบมณฑลลงให้เหลือแต่จังหวัดและอำเภอเท่านั้น และได้มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเทศบาลนั้นเป็นรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบใหม่ของประเทศไทยโดยรับเอารูปแบบเทศบาลมาจากประเทศฝรั่งเศส[2]

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลได้มีการเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งเทศบาลนครกรุงเทพ พ.ศ. 2479 และพระราชบัญญัติจัดตั้งเทศบาลนครธนบุรี พ.ศ. 2479 โดยให้มีผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2480 เมื่อเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2480 เทศบาลนครกรุงเทพมี นายพลเอก เจ้าพระยารามราฆพ เป็นนายกเทศมนตรีคนแรก จนกระทั่งในเวลาต่อมา จอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะรัฐประหารในเวลานั้น ได้สั่งให้รวมจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรีเป็นหนึ่งจังหวัด เรียกว่า “นครหลวงกรุงเทพธนบุรี” โดยตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เรียกว่า ผู้ว่าราชการนครหลวงกรุงเทพธนบุรี[3]  ผลของการรวมจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกันมีผลให้เทศบาลนครทั้งสองถูกยุบเข้าด้วยกันกลายเป็น “เทศบาลนครหลวง”

ในเวลาต่อมา คณะรัฐประหารของจอมพลถนอม ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ใหม่เป็น “กรุงเทพมหานคร” โดยให้มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบ และได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครตามจำนวนเขตในกรุงเทพมหานคร โดยให้สมาชิกสภากรุงเทพมาจากการเลือกตั้ง (อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกสภาบางส่วนมาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) รวมถึงให้มีการแปลงสภาพอำเภอทั้งหมดไปเป็นเขตแทน และตำบลไปเป็นแขวง[4] ซึ่งรูปร่างหน้าตาของกรุงเทพมหานครเวลานั้นเป็นรูปร่างหน้าตาที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบันมากที่สุด

ภายหลังจากนี้ แม้จะมีการตรากฎหมายจัดระเบียบกรุงเทพมหานครฉบับอื่นๆ ออกมา ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 และ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แต่ก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของกรุงเทพมหานครไปจากที่กำหนดไว้ในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 เท่าใดนัก

ภารกิจของกรุงเทพมหานคร

ในแง่ของการกระจายอำนาจและความคล่องตัวในการบริหารของกรุงเทพมหานคร ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ได้รับรองอำนาจของกรุงเทพมหานครไว้แตกต่างจากอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในเวลานั้น โดยมีการโอนอำนาจในหลายๆ ส่วนทั้งของข้าราชการส่วนกลางในบางส่วนและส่วนภูมิภาคมาเป็นอำนาจของกรุงเทพมหานคร[5]

ด้วยสถานะของกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองหลวง ทำให้มีความพยายามที่จะยกสถานะของกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษให้แตกต่างไปจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่า กฎหมายกำหนดอำนาจให้กับกรุงเทพมหานครในการดำเนินบริการสาธารณะหลายประการ ดังนี้[6]

  • การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 
  • การทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด
  • การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
  • การผังเมือง
  • การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ
  • การวิศวกรรมจราจร
  • การขนส่ง
  • การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ
  • การดูแลรักษาที่สาธารณะ
  • การควบคุมอาคาร
  • การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
  • การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
  • การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  • การสาธารณูปโภค
  • การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล
  • การจัดให้มีและควบคุมสุสานและฌาปนสถาน
  • การควบคุมการเลี้ยงสัตว์
  • การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์
  • การควบคุมความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการอนามัยในโรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
  • การจัดการศึกษา
  • การสาธารณูปการ
  • การสังคมสงเคราะห์
  • การส่งเสริมการกีฬา
  • การส่งเสริมการประกอบอาชีพ
  • การพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร
  • หน้าที่อื่นๆ ตามที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เทศบาลนคร หรือตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย หรือที่กฎหมายระบุเป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ตามกฎหมายยังกำหนดให้ในกรณีที่กฎหมายใดอ้างถึงกรุงเทพมหานคร เขต แขวง จังหวัด อำเภอ ตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล ให้ถือว่ากฎหมายนั้นอ้างถึงกรุงเทพมหานคร[7] ซึ่งเป็นวิธีการเขียนกฎหมายเพื่อขยายอำนาจมาให้เป็นของกรุงเทพมหานคร

ดังจะเห็นได้ว่า ในทางเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้กรุงเทพมหานครมีความสามารถและได้รับอำนาจมากๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารอย่างคล่องตัวภายในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ในความเป็นจริงอำนาจโดยส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครก็ถูกจำกัดเอาไว้เช่นเดียวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ กล่าวคือ ในกรณีที่กรุงเทพมหานครจะมีอำนาจดำเนินการในเรื่องใดๆ ในข้างต้นได้นั้น ต้องพิจารณาว่ามีกฎหมายอื่นๆ เสียก่อน[8] ซึ่งถ้ากฎหมายอื่นไม่ได้กำหนดให้กรุงเทพมหานครกระทำการดังกล่าว กรุงเทพมหานครจะไม่สามารถดำเนินการเช่นว่าได้[9]

นอกจากนี้ ในเชิงการเมืองมีความพยายามโดยตลอดที่จะลดทอนอำนาจของกรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกไป กล่าวคือ เดิมกรุงเทพมหานคร (ในช่วงเป็นเทศบาลนครกรุงเทพ) เคยมีทรัยพ์สินและกิจกรรมอยู่ในการดูแลเป็นจำนวนมาก

โดยในช่วงแรกกรุงเทพมหานครได้รับโอนหน่วยงานและทรัพย์สินจากรัฐบาลมาเป็นของกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ ในเวลานั้น รับมอบสิทธิในกิจการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการในกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กองช่างนคราทร และกองถนน จากกรมโยธาเทศบาล กองสาธารณสุขพระนคร (ยกเว้นกิจการอันเกี่ยวกับลหุโทษ) โรงพยาบาลกลาง และวชิรพยาบาล จากกรมสาธารณสุข และกองตำรวจเทศบาล (ยกเว้นแผนกยานพาหนะพระนครและธนบุรี และ แผนกยานพาหนะหัวเมือง) จากกรมตำรวจ[10] รวมถึงการรับเอากิจการบางอย่าง เช่น กิจการประปา[11] เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมารัฐบาลได้มีความพยายามเอาทรัพย์สินและกิจกรรมที่อยู่ในความดูแลคืนไปจากกรุงเทพมหานคร เช่น กิจการประปา ในปัจจุบันรัฐบาลได้รับโอนกิจการประปากลับมาเป็นของกระทรวงมหาดไทยในรูปของรัฐวิสาหกิจโดยตั้งเป็นการประปานครหลวง[12] เป็นต้น ซึ่งในแง่หนึ่งการกระทำดังกล่าวก็เป็นการลดทอนความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่า “กรุงเทพมหานคร” นั้น นอกจากการมีสถานะเป็นเมืองหลวงแล้ว กรุงเทพมหานครยังมีมุมอีกด้านหนึ่ง คือ การเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่รูปแบบพิเศษ โดยมีหน้าที่ในการบริหารจัดการทำบริการสาธารณะภายในพื้นที่ ในอดีตที่ผ่านมากรุงเทพมหานครค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงจากเทศบาลนครกรุงเทพ มาสู่การเป็นกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ภารกิจของกรุงเทพมหานคร เพิ่มขึ้นมากจากเดิม แม้ว่าในบางส่วนจะถูดฉุดรั้งด้วยนโยบายที่พยายามลดทอนความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จะเห็นได้ว่า รูปแบบการบริหารจัดการกรุงเทพมหานครนั้นแตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ตลอดพื้นที่อย่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งจะเห็นได้ว่า สถานะขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นไม่ได้มีสถานะเทียบเท่ากับกรุงเทพมหานคร ทั้งในเชิงอำนาจขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และความสามารถในการจัดการดูแลภายในพื้นที่ ซึ่งในกรุงเทพมหานครไม่มีราชการส่วนภูมิภาคคอยดูแล

การจัดการทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของกรุงเทพมหานครทั้งหมด แตกต่างกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ภายในพื้นที่ยังประกอบด้วยจังหวัดและอำเภอ ในขณะที่บทบาทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดยังถูกจำกัดด้วยการกำกับดูแลของ “ผู้ว่าราชการ”


เชิงอรรถ

[1] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ‘ปรีดี พนมยงค์ กับการปกครองท้องถิ่นไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 4 กันยายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/09/406> สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 24 ข้อ 1 และข้อ 2.

[4] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ข้อ 1 ถึงข้อ 3, ข้อ 8 และข้อ 11 ถึงข้อ 20.

[5] ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ข้อ 18.

[6] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 89.

[7] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 4.

[8] พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 89.

[9] บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 168/2544.

[10] พระราชกฤษฎีกามอบสิทธิกิจบางส่วนตลอดทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทยให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ จัดทำ พ.ศ. 2479 และพระราชกฤษฎีกามอบสิทธิกิจการบางส่วนในกรมสาธารณสุข กรมตำรวจ และกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย ให้เทศบาลนครกรุงเทพฯ จัดทำ พ.ศ. 2480.

[11] พระราชกฤษฎีกามอบการประปากรุงเทพฯ ในกรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทย ให้เทศบาลนครกรุงเทพ จัดทำ พุทธศักราช 2482 มาตรา 3.

[12] พระราชบัญญัติมอบกิจการประปาเทศบาลนครกรุงเทพ ให้กรมโยธาเทศบาล กระทรวงมหาดไทยจัดทำ พ.ศ. 2495 มาตรา 3 และมาตรา 4.

PRIDI Economic Focus: อ่าน “รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ” และสำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ในอีกไม่กี่ชั่วโมง นอกจากผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหลายท่านจะมีประวัติภูมิหลังที่น่าสนใจแล้ว ที่ผ่านมาหลายท่านก็ได้ยกนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองขึ้นมาพูดอย่างหลากหลายมิติ

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปอ่านบางส่วนของ “รายงานการตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ” ก่อนจะพาทุกท่านไปดูงบประมาณที่กรุงเทพฯ ใช้ในแต่ละปี โดยอาจจะเน้นไปที่ปี พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบัน และชวนสำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

อ่าน “รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ”

ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่รายงานตรวจการบ้านอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ เพื่อสรุปผลงานที่ผ่านมาของอดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ คนก่อน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และจัดทำข้อเสนอแนะให้กับว่าที่ผู้ว่ากรุงเทพฯ คนใหม่ โดยรายงานฉบับนี้ทีดีอาร์ไอกับศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UddC-CEUS) ได้ร่วมกันจัดทำรายงานการศึกษา

ในรายงานฉบับนี้มีประเด็นที่น่าสนใจสำคัญหลายๆ ประเด็น โดยแบ่งประเด็นการตรวจการบ้านออกเป็น 9 เรื่อง ได้แก่ การวางผังเมือง การจราจรและความปลอดภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดการขยะมูลฝอย การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย การส่งเสริมทักษะเพื่อการประกอบอาชีพ การศึกษา และการรักษาพยาบาล อย่างไรก็ดีที่นี้อาจจะขอยกตัวอย่างการตรวจการบ้านสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ การวางผังเมือง การจราจรและความปลอดภัย และการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

การวางผังเมือง

“การวางผังเมืองกรุงเทพมหานคร” (กทม.) ได้จัดทำผังเมืองรวมและบังคับใช้ผังเมืองรวมไปหลายฉบับ ซึ่งสะท้อนความพยายามในการวางผังเมืองกรุงเทพฯ ในหลายๆ ด้าน

อย่างไรก็ดี กทม. ยังไม่เคยได้บังคับใช้ผังเมืองเฉพาะ แม้จะได้มีการจัดซื้อจัดจ้างให้สถาบันการศึกษาหรือบริษัทที่ปรึกษาหลายแห่ง จัดทำสำหรับบางย่านไปแล้ว สาเหตุมาจากกฎหมายผังเมืองกำหนดให้ผังเมืองเฉพาะจะต้องทำในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการที่ซับซ้อน ผลจากการที่ไม่มีผังเมืองเฉพาะทำให้ผังพัฒนาในระดับย่านที่ กทม. จัดทำขึ้นถูกใช้เป็นเพียงกรอบในการดำเนินงานให้หน่วยงานของ กทม. ของบประมาณพัฒนาโครงการต่างๆ ได้เท่านั้น

ในขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ยังไม่มี “ธรรมนูญท้องถิ่น” เหมือนเมืองที่เป็นมหานครอื่นๆ ที่เป็นข้อตกลงร่วมกันในการพัฒนาย่านต่างๆ และเป็นเครื่องมือในการต่อรอง ควบคุม หรือลดข้อขัดแย้งอันเกิดจากการพัฒนา ทำให้ทิศทางการพัฒนามีลักษณะกระจัดกระจายขาดทิศทาง

นอกจากนี้ การขาดธรรมนูญท้องถิ่นยังส่งผลให้ประชาชน นักพัฒนา สถาบัน และหน่วยงานต่างๆ ในย่านต่างๆ ของกรุงเทพฯ สูญเสียโอกาสในการร่วมมีโอกาสในการพัฒนาเมืองในย่านของตน สิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ต้องจัดทำคือ การหาโอกาสผลักดันให้เกิดผังเมืองฉบับใหม่ ซึ่งยกระดับให้ผังเมืองเฉพาะนั้นกลายเป็น “ธรรมนูญของท้องถิ่น” ที่มีผลบังคับทางกฎหมาย และเป็นจุดเริ่มต้นให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง รวมถึงการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของเมืองในพื้นที่ของตน และใช้ผังเมืองเฉพาะจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ[1]

การจราจรและความปลอดภัย

ผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ผ่านมานั้นมีทั้งส่วนที่แก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและแก้ไขปัญหาได้ไม่ตรงจุด โดยในแง่หนึ่งในช่วงเวลาของพลตำรวจเอกอัศวิน ได้มีการพัฒนาเส้นทางการเดินทางใหม่ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง โครงการเดินเรือในเส้นทางคลองผดุงกรุงเกษม และส่วนต่อขยายคลองแสนแสบ เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาป้ายรถประจำทางโดยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าวนั้นไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่เพียงพอ  นอกจากนี้ ในด้านความปลอดภัย ที่ผ่านมาพลตำรวจเอกอัศวิน ได้มีการติดตั้งกล้อง CCTV ทั่วกรุงเทพฯ แบบเชื่อมต่อศูนย์ควบคุมเพิ่มขึ้น 4,834 ตัว และเชื่อมโยงกล้องเข้าสู่ศูนย์ควบคุมทั้งหมด 42,000 ตัว รวมแล้วทั้งหมด 46,834 ตัว 

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความปลอดภัยในการเดินทางอย่างแท้จริง โดยรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า สถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในอัตราทรงตัว 800 คนต่อปี และจำนวนอุบัติเหตุของคนเดินเท้านั้นมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น[2]

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ กลายเป็นมหานครที่เอื้อต่อรถยนต์มากกว่าประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยผู้ใช้ทางเท้าและผู้ใช้จักรยานยังคงถูกละเลย โดยตัวเลขงบประมาณของสำนักการโยธา กทม. ได้ชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนของงบประมาณทางเท้าและทางจักรยานในแต่ละปีคิดเป็นเพียงร้อยละ 5 ของงบประมาณทั้งหมดของสำนักการโยธา

ด้วยเหตุที่งบประมาณในการสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนที่เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานในสัดส่วนที่ต่ำ ยังสะท้อนผ่านความคืบหน้าในการติดตั้งสัญญาณไฟแบบมีปุ่มกดตรงทางข้าม ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 12 แห่งในระยะเวลา 5 ปี (จาก 214 แห่ง ในปี 2558 เป็น 226 แห่งในปี 2563) คิดเป็นร้อยละ 0.37 ของจำนวนทางข้ามทั้งสิ้น 3,280 จุด ในขณะที่การติดตั้งไฟกระพริบเตือนคนข้ามถนนกลับมีจำนวนลดลงจาก 1,344 แห่งในปี 2561 เหลือเพียง 846 แห่ง ในปี 2563  นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกทั้งเลนจักรยานและการรายงานข้อมูลในเรื่องดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 2560[3]

การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

จากรายงานของทีดีอาร์ไอ ได้ให้ข้อสังเกตว่า การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นปัญหาใหญ่สำหรับมหานคร เช่น กรุงเทพฯ และจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ มากขึ้นจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน จากสถิติการเกิดสาธารณภัยในกรุงเทพฯ (ไม่รวมอุบัติเหตุจากการคมนาคมและขนส่ง) ในช่วงปี พ.ศ. 2550 – 2564 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า เกิดอัคคีภัยขึ้น 2,622 ครั้ง โดยทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คน ในขณะที่ความถี่ในการเกิดอุทกภัยในกรุงเทพฯ ไม่สูงนัก แต่อาจสร้างผลกระทบกับคนกรุงเทพฯ​  นอกจากนี้ ยังมีสาธารณภัยจากฝุ่น PM 2.5 ในช่วงธันวาคม-มีนาคมทุกปี โดยมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจำนวน 38,803 ราย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ[4]

ข้อเสนอแนะของทีดีอาร์ไอต่อ ผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนใหม่จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนของประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งสร้างความปลอดภัยแก่คนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยาน การลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะให้รองรับการเดินทางทั้งบนถนนสายหลัก การเดินทางในซอย และพื้นที่ super block โดยมุ่งให้เกิดการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่บนถนนสายหลัก  อย่างไรก็ดี แม้ว่าการคมนาคมและขนส่งจะไม่สามารถดำเนินการได้โดย กทม. ฝ่ายเดียวทั้งหมด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ต่างๆ แต่หาก กทม. ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและทรัพยากรของตนที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการในการเดินทางของประชาชนได้[5]

ย้อนกลับมาพิจารณางบประมาณของกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ นอกจากจะมีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศ และเมืองสำคัญของประเทศไทย กรุงเทพฯ ยังมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ซึ่งกฎหมายรับรองอำนาจในการบริหารจัดการภายในกรุงเทพฯ รวมถึงให้ความเป็นอิสระในการจัดมากกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นๆ และเพื่อให้สมกับการเป็นเมืองเทพสร้าง กรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการบริหารจัดการภายในพื้นที่

เมื่อพิจารณาย้อนหลังกลับไป 6 ปี (งบประมาณ) กรุงเทพฯ มีการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่น้อยกว่าปีละ 70,000 ล้านบาท โดยในบางปีอาจจะมีการทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม[6]

สำหรับในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมาครึ่งปีงบประมาณแล้ว กรุงเทพฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 79,855 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ จำนวน 78,979 ล้านบาท และ และรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพฯ จำนวน 876 ล้านบาท เมื่อจำแนกงบประมาณรายจ่ายในปี 2565 โดยจำแนกลักษณะงานได้ 9 รายการ ดังนี้[7]

  • ด้านการบริหารจัดการและบริหารราชการกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน 7,386,303,591 บาท
  • ด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย จำนวนเงิน 190,431,425 บาท
  • ด้านเศรษฐกิจและการพาณิชย์ จำนวน 235,144,252 บาท
  • ด้านเมืองและการพัฒนาเมือง จำนวน 10,212,192,200 บาท
  • ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 12,620,934,361 บาท
  • ด้านสาธารณสุข จำนวน 6,092,987,935 บาท
  • ด้านพัฒนาสังคมและชุมชนเมือง จำนวน 1,303,460,611 บาท
  • ด้านการศึกษา จำนวน 711,446,221 บาท
  • การจัดบริการของสํานักงานเขต 16,344,955,867 บาท

เมื่อพิจารณาในแง่ของหน่วยงาน เนื่องจากโครงสร้างการบริหารงานของจากกรุงเทพฯ สะท้อนโครงสร้างการบริหารงานของประเทศ กรุงเทพฯ จึงมีโครงสร้างหน่วยงานในสังกัดจำนวนมาก โดยหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดในปีงบประมาณ 2565 10 อันดับ คือ

  1. สำนักการระบายน้ำ
  2. สำนักสิ่งแวดล้อม
  3. สำนักการโยธา
  4. สำนักการแพทย์
  5. สำนักการจราจรและขนส่ง
  6. สำนักการคลัง
  7. มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  8. สำนักอนามัย
  9. สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว
  10. สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร[8]

ดังจะเห็นได้ว่า งบประมาณรายจ่ายส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ ในปี 2565 ถูกนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่กรุงเทพฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ การระบายน้ำ สิ่งแวดล้อม การโยธา การแพทย์ และการจราจรและขนส่ง โดยเฉพาะเรื่องการระบายน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่กรุงเทพมหานครถูกวิพากษ์วิจารณ์เสมอตั้งแต่ในช่วงที่ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร  อย่างไรก็ดี ในสภาพความเป็นจริงจะเห็นได้ว่า เมื่อฝนตกและน้ำท่วมกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหาในเรื่องการระบายน้ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่หลายๆ เขตที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ[9]

ในแง่รายได้ของกรุงเทพฯ นั้น  ส่วนใหญ่มาจากเงินรายได้ที่เป็นภาษี โดยในปีงบประมาณ 2563 กรุงเทพฯ สามารถจัดเก็บรายได้ที่เป็นภาษีได้ 63,722 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ลำดับรองลงมาคือ รายได้จากสาธารณูปโภค การพาณิชย์และกิจกรรมอื่นๆ 49,410 ล้านบาท รายได้เบ็ดเตล็ด 1,538 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับ และค่าบริการ 1,154 ล้านบาท รายได้จากทรัพย์สิน 1,062 ล้านบาท[10] 

ในแง่ความสำเร็จส่วนหนึ่งในการแสวงหารายได้ของกรุงเทพฯ นั้นเป็นผลมาจากการที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เขตองค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ และมีประชากรหนาแน่น ทำให้กรุงเทพฯ มีแหล่งรายได้จำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ

สำรวจนโยบายผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ

เมื่อพิจารณางบประมาณของกรุงเทพฯ แล้ว สิ่งที่อยากชวนให้ย้อนกลับมาพิจารณาก็คือ นโยบายของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ โดยยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งจะเห็นได้ว่ามีการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพฯ หลายคน รวมถึงมีการเปิดเผยนโยบายต่างๆ มากขึ้น โดยรายละเอียดของนโยบายที่ผู้สมัครแต่ละคนนำเสนอนั้นมีทั้งในรูปแบบของนโยบายในภาพรวมของกรุงเทพฯ ทั้งหมด และนโยบายในลักษณะรายเขตเชิงพื้นที่ มุ่งตอบสนองความต้องการของพลเมืองในกรุงเทพฯ

นโยบายของวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

นโยบายของ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มีนโยบายสำคัญ 12 นโยบาย ซึ่งได้แถลงเปิดตัวนโยบายหลัก12 ด้าน เพื่อสร้าง “เมืองที่คนเท่ากัน” ณ อาคารอนาคตใหม่ (หัวหมาก) วันที่ 27 มีนาคม 2565[11] โดยเน้นความเท่าเทียมให้กับชาวกรุงเทพมหานคร และการลดอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่[12] ดังนี้

  • เพิ่มเบี้ยสูงอายุ-คนพิการ โดยเน้นการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาท ต่อเดือนต่อคน (เดิม 600 บาท) และให้เงินสนับสนุนเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จำนวน 1,200 บาท ต่อเดือนต่อคน (เดิม 600 บาท) โดยคุณวิโรจน์ ชี้ว่า งบประมาณในลักษณะนี้สามารถดำเนินการได้โดยอาศัยเงินได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจ่าย[13]
  • วัคซีนฟรี โดยเน้นการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับชาวกรุงเทพฯ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และปอดอักเสบ เป้าหมายสำคัญของนโยบายนี้คือ การลดความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้จากการเข้าไม่ถึงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนไข้เลือดออกซึ่งมีราคาแพง[14]
  • ประชาชนร่วมโหวตเลือกงบ-โครงการ จุดมุ่งหมายของนโยบายนี้คือ การสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างคนในชุมชน โดยให้คนกรุงเทพฯ มีส่วนร่วมในการโหวตว่าจะนำงบประมาณไปใช้ยังโครงการใดที่ตนต้องการ[15]
  • บ้านในเมือง 10,000 ยูนิต โดยนโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างที่พักอาศัยราคาถูกและมีคุณภาพดีจำนวน 10,000 ยูนิต ตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยกำหนดให้การเข้าถึงในลักษณะเป็นการเช่า 30 ปีต่อยูนิต และให้มีการต่ออายุสัญญาได้ เพื่อให้สามารถรับรองความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย และสถานที่ตั้งของบ้านพักจะตั้งอยู่ในเขตเมืองเพื่อให้มีความแน่นอนในการเข้าถึงขนส่งมวลชนได้ง่าย[16]
  • ยกระดับรถเมล์ โดยปรับปรุงคุณภาพรถเมล์และเส้นทางการเดินรถ และเพิ่มเส้นทางเดินรถเมล์ให้ผ่านชุมชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้รถเมล์แทนรถยนต์ส่วนบุคคลในการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพ[17]
  • ขึ้นค่าเก็บขยะห้างใหญ่ โดยคุณวิโรจน์ชี้ว่า ค่าใช้จ่ายในการเก็บขยะของกรุงเทพฯ ในปัจจุบันมากถึง 7,000 ล้านบาท แต่เก็บขยะได้เพียง 500 ล้านบาท โดยเมื่อพิจารณาในรายละเอียดรายได้ที่จัดเก็บ ร้านสะดวกซื้อจ่ายค่าเก็บขยะเพียง 120 บาทต่อเดือน หรือตกวันละ 4 บาท ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าจ่ายเพียงไม่กี่หมื่นบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนขยะที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านั้น[18]
  • อัปเกรดศูนย์เด็กเล็ก
  • การศึกษาตอบโจทย์นักเรียน โดยเน้นให้การศึกษาในโรงเรียนในสังกัดของกรุงเทพฯ ต้องปลอดการกลั่นแกล้ง (บูลลี่) เคารพสิทธิและความหลากหลายทางเพศ และต้องมีการพยายามปลูกฝัง Growth Mindset ให้กับเด็กและเยาวชน ให้มีทักษะที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต รวมถึงต้องเปิดให้มีการสอนออนไลน์ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครเข้าถึงหลักสูตรของเมืองอย่างเท่าเทียม[19]
  • ลอกท่อ-คลองแทนอุโมงค์ยักษ์ งบประมาณเกี่ยวกับอุโมงค์ยักษ์ที่กลุ่มทุนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหรือซ่อมบำรุง แทบไม่มีการตัดเลย แต่งบประมาณการดูแลท่อระบายน้ำและคลองกลับถูกตัดทุกปี โดยคุณวิโรจน์ชี้ว่า การลอกท่อ-คลองนั้นมีความสำคัญต่อการเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วมของกรุงเทพ[20]
  • เปลี่ยนที่รกร้างเป็นสวนสาธารณะ กรุงเทพมหานครมีพื้นที่สีเขียวน้อย ซึ่งสามารถเพิ่มพื้นที่ดังกล่าวจะการเช่าระยะยาวกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมทางหลวง เป็นต้น และการใช้มาตรการทางภาษีมาจูงใจเจ้าของที่ดินรกร้างให้กรุงเทพมหานครเช่า[21]
  • ทางเท้าดีเท่ากันทั้งกรุงเทพฯ
  • เจอส่วยแจ้งผู้ว่าฯ

นโยบายของสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

ในส่วนของ คุณสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ พี่เอ้ ได้เปิดเผยนโยบายเบื้องต้นในการหาเสียงและลงมือปฏิบัติได้หากได้รับเลือกเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ โดยมีนโยบายหลักเพื่อแก้ไขปัญหา 5 ประการ ดังนี้[22]

  • ปัญหาพื้นฐานของกรุงเทพฯ ฝนตกน้ำท่วม รถติด ตึกถล่ม ตนมีความพร้อมเพราะจบมาทางด้านวิศวะ มีผลงานที่ทุกคนรับทราบเป็นอย่างดี และยังทำกิจกรรม “วิศวกรอาสา” ช่วยคนติดซากตึกก็เคยมาแล้ว ฉะนั้นงานลุยๆ งานบริการประชาชนจึงไม่ใช่ปัญหา
  • งานด้านการศึกษา ต้องเข้าไปแก้ไข เพราะรู้สึกแย่มากๆ ที่โรงเรียนในสังกัด กทม. มีคุณภาพด้อยกว่าโรงเรียนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียอีก ผิดกับที่ญี่ปุ่น เกาหลี ที่โรงเรียนระดับจังหวัด หรือ ระดับเมือง มีคุณภาพสูงมาก ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องเดินทางไกล พาลูกไปสมัครเรียนโรงเรียนดังๆ แบบกระจุกตัว แก้ปัญหาจราจรไปด้วยในตัว
  • งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากการรับมือโควิด-19 ที่เป็นปัญหาระยะยาวแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องแก้ปัญหาให้ได้ว่า ทำไมสถานีอนามัยในชุมชนจึงไม่มีคนไปใช้บริการ เรื่องนี้สะท้อนปัญหาความไม่เชื่อมั่นทำให้ระบบสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศมีปัญหากว่าทุกจังหวัด
  • ปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ยอมไม่ได้เด็ดขาด เรื่อง PM 2.5 ต้องมีโครงการเสาไฟอัจฉริยะ ติดตั้งทั้งแผงโซลาร์เซลล์ กล้องวงจรปิด เครื่องวัดคุณภาพอากาศ อยู่บนเสาต้นเดียว ตัวต้นแบบราคาเพียง 35,000 บาทเท่านั้น เสาไฟอัจฉริยะตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องความปลอดภัย การจราจร คุณภาพอากาศ โดยทุกคนสามารถวัดคุณภาพอากาศแถวบ้านได้ ไม่ต้องไปพึ่งสถานีวัดที่อยู่ห่างไกล และยังไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า
  • ต้อง “ช่วยกันฉุดกรุงเทพฯ ไม่ให้จม” เพราะสถานการณ์โลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และอีกไม่กี่ปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกเริ่มแก้ไขปัญหากันแล้ว แต่ กทม. ยังไม่เริ่มอย่างชัดเจน จึงได้เวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

นอกจากปัญหาทั้ง 5 ประการข้างต้นแล้ว คุณสุชัชวีร์ ยังได้มีการแสดงวิสัยทัศน์และการเสนอนโยบายที่น่าสนใจอีกหลายลักษณะ เช่น นโยบายผู้ค้าแผงลอยขายของได้ทุกวัน โดยจากการรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนชาวกรุงเทพฯ โดยเชื่อว่า จะช่วยให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากนโยบายขายได้ทุกวันได้รับการนำไปใช้จะได้ดึงดูดคนมาเดินย่านการค้าสำคัญที่ซบเซาลงจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งการดูแลเรื่องความสะอาดเรียบร้อยเป็นหน้าที่กรุงเทพฯ และเรื่องเล็กๆ อย่างก๊อกน้ำประปาต้องมีทั่วกรุงเทพ คุณสุชัชวีร์เชื่อว่าสามารถที่จะดำเนินการได้[23] หรือนโยบายเกี่ยวกับรถเข็นอัจฉริยะ[24] เป็นต้น

นโยบายของชัชชาติ สิทธิพันธุ์

เมื่อพิจารณานโยบายของ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะเห็นได้ว่า นโยบายที่ปรากฏตามเว็บไซต์ www.chadchart.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์แคมเปญของผู้สมัคร โดยจะเห็นได้ว่า นโยบายของคุณชัชชาติประกอบไปด้วยนโยบาย 2 ส่วนใหญ่ คือ นโยบายสำหรับภาพรวมของกรุงเทพฯ และนโยบายรายเขต

ในแง่ของนโยบายสำหรับภาพรวมของกรุงเทพฯ ในเว็บไซต์ดังกล่าว ได้แบ่งออกเป็น 214 นโยบาย และแบ่งออกเป็น 9 หมวด ซึ่งในหลายๆ นโยบายมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องร่วมกัน ดังนี้

  • ปลอดภัยดี 34 นโยบาย เช่น กรุงเทพฯ ต้องสว่าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ปลอดภัยต่อการเดินทางสัญจรในเวลากลางคืนให้คนกรุงเทพฯ เป็นต้น
  • สร้างสรรค์ดี 20 นโยบาย เช่น กรุงเทพฯ พื้นที่แห่งดนตรีและศิลปะการแสดง (สตรีทโชว์) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้ชมงานแสดงดนตรี ศิลปะการแสดง ฯลฯ และได้รับความสุนทรีนอกบ้านในทุก ๆ วันที่มากกว่าการชมโฆษณาระหว่างทาง รวมถึงส่งเสริมให้ศิลปินหน้าใหม่มีพื้นที่แสดงผลงาน เป็นต้น
  • สิ่งแวดล้อมดี 34 นโยบาย เช่น ตรวจสอบคุณภาพอากาศเชิงรุกในโรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้โรงงานที่ไม่มีการปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน เป็นต้น
  • เศรษฐกิจดี 30 นโยบาย เช่น ดึงอัตลักษณ์ สร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ เป็นต้น
  • เดินทางดี 42 นโยบาย เช่น ท่าเรือเข้าสะดวก ออกสบาย เชื่อมต่อปลอดภัย เป็นต้น
  • สุขภาพดี 34 นโยบาย  เช่น เพิ่มเวลา เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก เพิ่มการเข้าถึงสวนและพื้นที่สาธารณะ เป็นต้น
  • โครงสร้างดี 34 นโยบาย เช่น เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับพื้นที่การค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น
  • เรียนดี 28 นโยบาย เช่น เรียนฟรี ชุดฟรี ไม่มีเก็บเพิ่ม เป็นต้น
  • บริหารจัดการดี 31 นโยบาย เช่น พัฒนาระบบติดตามการขออนุญาตกับ กทม. เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อพิจารณา 214 นโยบายของคุณชัชชาตินั้นจะเห็นได้ว่า มุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาและการเสริมสร้างสวัสดิการของคนกรุงเทพทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพ

ในแง่ของนโยบายรายเขตในเว็บไซต์ของแคมเปญได้มีการจัดทำนโยบายเฉพาะ ซึ่งรวบรวมปัญหาของแต่ละเขตพื้นที่ว่ามีสภาพปัญหาอย่างไรบ้าง ไม่เพียงแค่ในลักษณะเขตเป็นภาพรวมเท่านั้น แต่ข้อมูลดังกล่าวลงลึกไปถึงในตำแหน่งว่า ในพื้นที่นั้นๆ เลยมีปัญหาอย่างไรบ้าง เช่น ในพื้นที่หัวลำโพง (สถานีรถไฟกรุงเทพฯ) มีปัญหาเรื่องคนไร้บ้าน หรือพื้นที่ตรงธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์และโรงละครแห่งชาติ บริเวณสนามหลวงมีความสำคัญในฐานะจุดเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถประจำทาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ของแคมเปญดังกล่าวยังได้มีการรวบรวมสภาพปัญหาทั้งหมดที่ได้มีการร้องเรียนเข้ามาผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวทั้งสิ้น 1,330 เรื่อง โดยอยู่ในระหว่างรอรับเรื่องจำนวน 25 เรื่อง ส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1,304 เรื่อง และสำเร็จแล้ว 1 เรื่อง[25] ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการดำเนินการจัดทำนโยบาย และเข้าใจสภาพปัญหาของกรุงเทพฯ โดยการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวดำเนินการก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ และสมาชิกสภากรุงเทพ

นโยบายของอัศวิน ขวัญเมือง

พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ ผู้มากด้วยประสบการณ์และมีผลงานมาก่อนหน้าผู้สมัครคนอื่นๆ ในการบริหารกรุงเทพฯ มาก่อน ในครั้งนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ได้กลับมาสานต่องานที่ทำไปไม่เสร็จในสโลแกน #กรุงเทพฯ ต้อง…ไปต่อ โดยชูนโยบายด้านหลัก 8 ด้าน ดังนี้[26]

  • ไปต่อ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เพราะอยากเห็น  “เมืองกรุงเทพฯ” มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมที่ลดลง  ซึ่งลดไปแล้วจาก 24 จุด เหลือ 9 จุด และจะลดต่อ ด้วยวิธีที่ตนมีประสบการณ์
  • ไปต่อ เพื่อสร้างความสะดวกในทุกการเดินทาง เพราะอยากเห็น “คนกรุงเทพฯ คนเดินเท้าปลอดภัย ระบบขนส่งมวลชนสะดวกและสร้างความเชื่อมโยง 
  • ไปต่อ เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับ “คนเมือง” และระบบการรักษาที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ” มีที่รักษาพยาบาลใกล้บ้านและครอบคลุมทุกพื้นที่ ดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ไปต่อ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมเมืองที่ดี เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ”  เพิ่มพื้นที่สีเขียว จัดการขยะที่ต้นทาง มีคลองสวยน้ำใส
  • ไปต่อ เพื่อทำกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ เพราะอยากเห็น “ลูกหลานและคนกรุงเทพฯ” มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งกายและใจในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้น จะได้รับการศึกษาทั้งทักษะอาชีพและความรู้พร้อมกันไป
  • ไปต่อ เพื่อเติมเต็มความปลอดภัยให้กับคนเมือง เพราะอยากเห็น “เมืองกรุงเทพฯ มีอาชญากรรมลดลง” และมีการเตรียมพร้อมขจัดภัยพิบัติ
  • ไปต่อ เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ สู่เมืองดิจิทัล เพราะอยากเห็น “คนกรุงเทพฯ” ได้รับบริการจากหน่วยงานราชการของกรุงเทพฯ ที่โปร่งใสเชื่อมโยงและรวดเร็ว
  • ไปต่อ เพื่อดูแลคนทุกกลุ่มทุกวัย เพราะอยากเห็นบริการและสวัสดิการชุมชนทั่วถึง

นโยบายของสกลธี ภัททยิกุล

นโยบายของ คุณสกลธี ภัททยิกุล ในฐานะผู้สมัครอิสระอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจ ได้แถลงเปิดตัว 6 นโยบายสำคัญ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่บริเวณบางกอก ริเวอร์วิว เขตบางรัก[27]

นโยบายของรสนา โตสิตระกูล

คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่คว่ำหวอดในวงการการเมืองไทย ทั้งในฐานะอดีตที่เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภามาก่อน และเป็นนักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค และมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงขบวนการทุจริต โดยในเว็บไซต์ rosanabkk.com ได้เผยแพร่นโยบาย 10 ข้อ ภายใต้สโลแกน ‘หยุดโกง กรุงเทพฯเปลี่ยนแน่’ โดยมีนโยบายเด่น คือ บำนาญประชาชน 3,000 บาท จุดยืนจะไม่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย ขุดลอกคูคลอง แทนเมกะโปรเจกต์อุโมงค์น้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ในส่วนนโยบายสาธารณสุข จะสนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจร และยาไทย ติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อประหยัดพลังงาน และค่าใช้จ่าย ติดตั้งกล้อง CCTV ทั้งทางบก และทางน้ำ 1.5 ล้านตัว ยกระดับศูนย์อนามัย ขยายเวลา 24 ชั่วโมงพัฒนาเป็นโรงพยาบาล และกระจาย งบประมาณ 50 ล้าน 50 เขต ให้ประชาชนบริหารจัดการงบประมาณตามความต้องการ อีกจุดหนึ่งที่คุณรสนาให้ความสำคัญและน่าสนใจคือ นโยบายด้านพลังงาน[28]

นโยบายของศิธา ทิวารี

น.ต.ศิธา ทิวารี เป็นอีกหนึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ที่น่าสนใจ โดยการแถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย 11 ด้านของ น.ต. ศิธา มาในคอนเซปว่า 11 พลังสร้าง กทม. สู่การเป็นมหานครที่ดีที่สุด โดยมีหลักในการทำงานคือการปลดปล่อยหรือ Liberate ประชาชน จากการถูกกดทับ โดยระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้ประชาชนลุกขึ้นมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด แข็งแรงที่สุด รวมถึงการสร้างพลัง Empower ประชาชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาด โดยเฉพาะประชาชนคนตัวเล็ก[29] ดังนี้

  • พลังที่ 1 การสร้างอำนาจ คืนอำนาจให้คน กทม. ร่วมบริหาร กทม.ด้วยระบบ Blockchain ผู้ว่าฯ จะทราบความต้องการจากประชาชนที่เสนอเข้ามา
  • พลังที่ 2 การสร้างโอกาสให้คนกรุงเทพ กลับมาทํามาหากินได้เร็วที่สุด สะดวก ที่สุด เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทันที หลังต้องเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และวิกฤตจากโควิด โดยตนจะเข้าไปดูกฎหมายที่ขัดขวางการทำมาหากิน จำเป็นต้องใช้ยาแรง เพื่อปลดล็อค และพักใบอนุญาต แขวนการบังคับใช้ไว้ชั่วคราว 3-5 ปี โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นอำนาจของ กทม. จะทำทันทีใช้พื้นที่ กทม. เป็นพื้นที่นำร่อง สร้าง “Bangkok legal Sandbox” เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้กลับมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด
  • พลังที่ 3 ลดค่าใช้จ่ายและอํานวยความ สะดวกการเดินทางให้คนกรุงเทพ โดยค่าใช้จ่ายจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินเดือน แต่ปัจจุบันพี่น้องคนกรุง ต้องเสียค่าใช้จ่าย สูงถึงเกือบครึ่งของเงินเดือน หากเป็นเช่นนี้ประชาชนก็จะหันกลับมาใช้รถยนต์ส่วนตัว และทำให้เกิดปัญหาการจราจรตามมา ดังนั้นรัฐบาลจะต้องคุยกับ กทม. และคุยกับเอกชน เพื่อให้ราคากลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าไม่ควรเกิน 1,500 – 1,600 บาทต่อเดือน
  • พลังที่ 4 สร้างการจราจรที่ไหลลื่น ลด ปริมาณรถในแต่ละวัน ด้วยการสลับเวลาทํางาน ลดเวลาเรียน หรือการสลับวันเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีศักยภาพในการเรียนจากที่บ้านได้ ซึ่งจะบรรเทาปัญหาการจราจรลงได้ ลดการไปส่งลูกหลานที่ต้องเดินทางไปโรงเรียน
  • พลังที่ 5 สร้าง กทม. เป็นเมือง Start up และดิจิทัล Economy ของเอเชีย โดยเราจะสร้างกทม. ให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับดิจิทัล Economy เพราะเราอยู่ในยุคดิจิทัล ที่โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างมากๆ กทม. ต้องสนับสนุนพี่น้องชาวกรุงเทพ ในด้านนี้อย่างเต็มที แต่เราต้องกล้าปรับตัว กล้าปรับเปลี่ยนกฎ กติกา เพื่อรองรับการเติบโตของระบบเศรษฐกิจใหม่ในด้านนี้ ซึ่งหากกติกาเอื้อต่อการทำงาน กทม. จะไม่เป็นเพียงเมืองแค่น่าท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ กทม. จะเป็นเมืองที่น่าลงทุน จะทำให้กรุงเทพมหานคร และประเทศไทยได้รับประโยชน์จากตรงนี้อย่างมหาศาล ดังนั้นเราต้องปรับ กทม. ให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งหมด
  • พลังที่ 6 สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสุขภาพ รองรับพี่น้องประชาชนยามเจ็บป่วย โดยเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยงทางสุขภาพ หลายพื้นที่ไปถึงโรงพยาบาลไม่ทันตามเวลา ซึ่งทีมไทยสร้างไทยได้วางเป้าหมายไว้ว่า ทุกเขตต้องมีโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 โรงพยาบาล แต่ปัจจุบัน พบว่า กทม. มีเพียง 11 โรงพยาบาลเท่านั้น ดังนั้นเขตที่ยังไม่พร้อม มีโรงพยาบาลไม่เพียงพอจำเป็นต้องได้รับการเติมเต็ม
  • พลังที่ 7 การป้องกันและรักษาสุขภาพ โดยเพิ่มสวนสาธารณะ และเพิ่มเวลาบริการ รวมถึงสนามกีฬาและสถานที่ออกกําลังกาย เช่นในสมัยที่ตนเคยดำรงตำแหน่ง ประธานบอร์ดการท่าอากาศยาน ได้นำพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่ามาทำสนามจักรยาน พื้นที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่นและที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ติดอันดับ 1 ของโลกซึ่งมีประชาชนมาปั่นจักรยานมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อปี ระยะทางไม่ต่ำกว่า 23.5 กิโลเมตรต่อครั้ง เฉลี่ยแล้วการพัฒนาพื้นที่รกร้างรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้คนไทยปั่นจักรยานได้เฉลี่ย 30 กิโลเมตรต่อปี โดยภาครัฐไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว แต่มีเอกชนลงขันกันมาลงทุนเกือบ 2 พันล้าน ซึ่งหากตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะดำเนินการลักษณะนี้ทั่วทุกมุมเมืองของ กทม.
  • พลังที่ 8 สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสะอาดปลอดภัย มีระเบียบ สร้างกรุงเทพ เป็นเมืองสะอาดปลอดภัย มีระเบียบ โดยเริ่มจาก Bangkok eyes กล้องวงจนปิดแบบ AI และเพิ่มแสงสว่างในทุกพื้นที่เพื่อป้องกัน อาชญากรรมและสร้างความสบายใจให้พี่น้องประชาชน , ลดฝุ่นพิษ PM 2.5 โดยการควบคุมรถควันดํา และผลักดันสนับสนุนส่งเสริมการใช้รถ EV ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพทางเท้าให้พี่น้องประชาชนทุก คนใช้ได้อย่างปลอดภัย
  • พลังที่ 9 สร้างกรุงเทพ เป็นมหานครแห่งการ สร้างสรรค์ Creative metropolis เพื่อสร้างรายได้ให้คนกรุงเทพ จัด Event ในแต่ละเขตทุกเดือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หมุนเวียนในชุมชนเช่น ที่ตลาดน้อยที่ต้องพลิกฟื้นชุมชนเก่าดั่งเดิมให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ พร้อมส่งเสริมให้แต่ละเขตมีความโดดเด่นทางอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของแต่ละชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกครั้ง
  • พลังที่ 10 โรงเรียนดีใกล้บ้าน เริ่มจากให้โรงเรียนสังกัด กทม. ต้องมีมาตรฐานเท่าเทียม เพราะถ้าโรงเรียนมีมาตรฐานเท่าเทียมกันทั้งหมด โรงเรียนที่ดีที่สุดก็คือโรงเรียนใกล้บ้าน พร้อมกับพัฒนาโรงเรียน โดยมีเจ้าของภาษาเป็นผู้สอนเอง ผสมผสานการเรียนที่โรงเรียนและออนไลน์เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนได้อย่างเท่าเทียม ใช้อินเทอร์เน็ตฟรีอย่างเท่าเทียม และปรับหลักสูตรเน้นให้เด็กๆ ได้รู้จักตัวเอง และสามารถพัฒนาไป เป็นอาชีพที่สามารถทํามาหากินได้จริง
  • พลังที่ 11 การจัดการด้านน้ำท่วมอย่างมี ประสิทธิภาพ “ลาขาดน้ำรอการระบาย” การจัดการด้านน้ำ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเตรียมระบบระบายน้ำให้พร้อมใช้งานก่อนเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม จัดทําระบบท่อและสัญญาณเตือนน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพที่ดีได้ โดยหลักการที่สำคัญต้องดูน้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน ซึ่ง กทม. มีตัวชี้วัดแล้วทั้งหมด แต่ยังไม่ได้นำตัวชี้วัดเหล่านั้นมาทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพ และที่ผ่านมา กทม. ไม่บริหารจัดการปล่อยให้น้ำในคลองสูงในระดับเดียวกับท่อระบายน้ำ โดยไม่เคยพร่องน้ำในคลองรอ จนเกิดปัญหาน้ำรอระบายบ่อยครั้ง ซึ่งหากมีการบริหารจัดการในแต่ละเขตให้ดีปัญหาน้ำรอระบายก็จะเบาบางลง

กล่าวโดยสรุป จากรายงานรายงานของทีดีอาร์ไอ จะเห็นได้ว่า กรุงเทพฯ ยังมีปัญหาอีกเป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งยังจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ในแง่ของงบประมาณกรุงเทพมหานครมีงบประมาณมากถึงปีละประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยเอาไปใช้เพื่อการจัดทำบริการสาธารณะในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาของกรุงเทพฯ ในเรื่องการระบายน้ำ สิ่งแวดล้อม และการจราจร

สำหรับนโยบายของผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ หลายคนออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว  อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากจะให้คำนึงถึงคือ ปัญหาหลายๆ ส่วนนั้นยังอาจจะไม่ได้สะท้อนปัญหาของคนทุกกลุ่มในกรุงเทพฯ เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นเมืองขนาดใหญ่และมีคนจำนวนมากที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

ในขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นเป็นประชาชนเพียงส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ เท่านั้น กรุงเทพฯ ยังมีพลเมืองแฝง ซึ่งจริงๆ คนเหล่านี้ก็มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนของกรุงเทพฯ ทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของการเลือกตั้ง


เชิงอรรถ

[1] สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘การประเมินผลงานผู้ว่าฯ อัศวิน และข้อเสนอแนะสำหรับผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่’ (ทีดีอาร์ไอ, 19 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] นลิศา เตชะศิริประภา, ‘เปิดงบ กทม. ปี 2565 ได้เท่าไร และใช้ทำอะไรบ้าง’ (Thairath+ ,9 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[7] กรุงเทพฯ, เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 2 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำแนกตามโครงสร้างแผนงานงบประมาณ 1 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[8] กรุงเทพฯ, ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 3 – 63 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[9] กรุงเทพธุรกิจ ‘เช็ค 12 จุดเสี่ยง ‘น้ำท่วม’ เดิมพัน 8 เขต ‘กทม.’ ฝั่งธนฯ-พระนคร’ (กรุงเทพธุรกิจ, 1 กันยายน 2564) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[10] กรุงเทพฯ, ประมาณการรายรับ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1 – 4 สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[11] กรุงเทพธุรกิจ, ‘วิโรจน์ เปิด12นโยบาย ชิง “ผู้ว่าฯกทม.” สร้างคนเท่ากัน เพิ่มเงินสวัสดิการ’ (กรุงเทพธุรกิจ, 27 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[12] คมกฤช ดวงมณี, ‘วิโรจน์ เปิด 12 นโยบายชิงผู้ว่าฯ กทม. เน้นชนนายทุน-ต้นตอปัญหา’ (Sanook.com, 27 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[13] เพิ่งอ้าง.

[14] เพิ่งอ้าง.

[15] เพิ่งอ้าง.

[16] เพิ่งอ้าง.

[17] เพิ่งอ้าง.

[18] เดลินิวส์ออนไลน์ ‘ยกเครื่องเก็บขยะ! ‘วิโรจน์’ คาใจกลุ่มทุนใหญ่จ่ายน้อย’ (เดลินิวส์ออนไลน์, 27 เมษายน 2565) https://www.dailynews.co.th/news/995649/.

[19] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[20] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[21] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 12).

[22] ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล, ‘ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ได้เปิดแนวนโยบายเบื้องต้นที่จะใช้หาเสียงและลงมือปฏิบัติหากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. งานหลักๆ 5 เรื่องที่ตั้งใจทำเพื่อคนกรุงเทพฯ และเปลี่ยนกรุงเทพฯ ไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อ’ (ฐานเศรษฐกิจ, 16 ธันวาคม 2564) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[23] โพสต์ทูเดย์, ‘เอ้ สุชัชวีร์ ชูนโยบายผู้ค้าแผงลอยขายของได้ทุกวัน’ (โพสต์ทูเดย์, 21 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[24] บรรณาธิการบางกอกอินไซด์, ‘สุชัชวีร์ รับสะเทือนใจกรณี ปริญญ์ ยันต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศทุกรูปแบบ’ (The Bangkok Insight, 25 เมษายน 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[25] ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 ดู https://share.traffy.in.th/teamchadchart#.

[26] ไทยพีบีเอส, ‘อัศวิน ชูนโยบาย 8 ด้าน “กรุงเทพต้องไปต่อ” สู้ศึกผู้ว่าฯ กทม.’ (Thai PBS News, 28 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[27] มติชนออนไลน์, ‘สกลธี ชู 6 นโยบาย ทำกรุงเทพฯ ให้ดีกว่านี้ ชี้ต้องใช้คนที่เข้าใจปัญหา โปร่งใส ชอบธรรม’ (มติชน, 24 มีนาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[28] WorkpointToday, ‘รสนา ปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ชู 10 นโยบายทำได้ ย้ำ หยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่’ (WorkpointToday, 8 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

[29] ไทยโพสต์, ‘ศิธา’ ประกาศนโยบาย 11 ด้าน สร้างพลังคนตัวเล็ก มีอำนาจบริหารงบ ขจัดคอร์รัปชัน’ (ไทยโพสต์, 4 พฤษภาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565.

ประชาธิปไตยจะยั่งยืน: เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กับการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีการกล่าวถึง “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ SDGs เป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของชื่อกิจกรรม งานเสวนา และการกล่าวขึ้นอย่างลอยๆ ในการเปิดงานของหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่างๆ[1] ตามวาระและโอกาส 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้นในประเทศไทย

ทว่า สิ่งนี้อาจจะสวนทางกับท่าทีของรัฐบาลและนโยบายหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในประเทศ เมื่อพิจารณาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้วจะเห็นได้ว่า เป้าหมายดังกล่าวมีลักษณะเป็นกรอบกว้างๆ ที่บรรจุหลักการจำนวน 17 หลักการ ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้นมา[2] 

จะเห็นว่าเป้าหมายส่วนใหญ่นั้นสอดรับกับแนวคิดประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นบรรทัดฐานร่วมกันของประชาคมโลกในการพัฒนา[3] เพื่อให้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในฐานะเป้าหมายของการพัฒนาอย่างรอบด้าน

“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นโจทย์ใหญ่ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2558 โดยมีประเทศสมาชิกตกลงที่จะปฏิบัติตาม 193 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย

แผนภาพเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน

ที่มา : SDG Move.

ที่มา: SDG Move.

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประกอบไปด้วยกรอบกว้างๆ จำนวน 17 ประการ (ภาพที่ 1) ซึ่งถ้าจับกลุ่มของกรอบต่างๆ แล้วจะทำให้เราสามารถจำแนกกรอบดังกล่าวได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้[4]

  • กลุ่ม People ที่ว่าด้วยเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คน (เป้าหมายที่ 1, 2, 3, 4, 5)
  • กลุ่ม Prosperity ที่ว่าด้วยเรื่องความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและครอบคลุม (เป้าหมายที่ 7, 8, 9, 10, 11)
  • กลุ่ม Planet ที่ว่าด้วยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เป้าหมาย 6, 12, 13, 14, 15)
  • กลุ่ม Peace ที่ว่าด้วยเรื่องสันติภาพ สถาบันที่เข้มแข็ง และความยุติธรรม (เป้าหมาย 16)
  • กลุ่ม Partnership ที่ว่าด้วยเรื่องการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เป้าหมาย 17)

ประชาธิปไตยจะยั่งยืนได้ต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

“ประชาธิปไตย” เป็นระบอบการปกครองที่ให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะที่ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจและเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง แม้ว่าในเชิงการเมืองสมัยใหม่อาจจะให้ความสำคัญกับการช่วงชิงความหมายของประชาธิปไตย[5] แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประชาธิปไตยยังคงเป็นเรื่องที่ยึดโยงกับประชาชนเสมอ และประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

ประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยประชาธิปไตยทางการเมือง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย[6] ซึ่งประชาธิปไตยทั้ง 3 ด้านนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน การจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยประชาธิปไตยทั้ง 3 ด้านประกอบกัน[7] โดยประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะการมีประชาธิปไตยทางการเมืองนั้นจำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ การจะทำให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพได้อย่างแท้จริง รัฐบาลจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานในเชิงกายภาพของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถที่จะตอบสนองทางการเมืองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับสถานภาพทางเศรษฐกิจ[8]

เมื่อพิจารณากรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ด้านแล้ว จะเห็นได้ว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในแต่ละด้านนั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตพื้นฐานทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งอาจจะเทียบได้กับการให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยในทั้ง 3 ด้าน ดังปรากฏตามตารางเปรียบเทียบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

ตารางเปรียบเทียบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 กลุ่มประชาธิปไตยสมบูรณ์
กลุ่ม People ที่ว่าด้วยเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คนประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม Prosperity ที่ว่าด้วยเรื่องความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและครอบคลุมประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม Planet ที่ว่าด้วยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย
กลุ่ม Peace ที่ว่าด้วยเรื่อง สันติภาพ สถาบันที่เข้มแข็ง และความยุติธรรมประชาธิปไตยทางการเมือง
กลุ่ม Partnership ที่ว่าด้วยเรื่องการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย
ที่มา: ผู้เขียน

อย่างไรก็ดี การมองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นควรมองในลักษณะที่ว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเครื่องมือและกลไกในการขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่สมบูรณ์[9] เพราะโดยสภาพไม่เพียงแต่สารัตถะของการพัฒนาที่ยั่งยืนเท่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ แต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนยังเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการสร้างแรงกดดันของรัฐบาลให้ปฏิบัติตามและดำเนินการตามพันธกรณีที่ได้เข้าผูกพันตามกรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน[10] หากเพียงแต่ว่ารัฐบาลนั้นจะมีความรับผิดชอบ (accountability)  ทว่า เรื่องดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

ในทางทฤษฎีอาจจะกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยสมบูรณ์กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีลักษณะเกื้อกูลกันอยู่ ดังจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นเป็นกรอบพื้นฐานในทางการเมืองบนพื้นฐานของการยึดถือประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งการจะปฏิบัติตามกรอบเป้าหมายแต่ละเป้าหมายได้นั้นก็ต้องยึดถือประชาชนเป็นส่วนกลาง ในขณะเดียวกันกรอบดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนในทางการเมือง ในส่วนของประชาธิปไตยนั้นจะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้จะต้องมีความยั่งยืน

มองภาพย้อนกลับมาที่ประเทศไทย

กลับมาที่ภาพของรัฐบาลไทยที่ได้เข้าผูกพันและรับเรื่องดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลประเทศไทย และถึงขนาดว่าช่วงหนึ่งประเทศไทยเคยชูนโยบายว่า ประเทศไทยจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา แต่ที่ผ่านมาเราจะพบว่า ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ขัดกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแทบทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้มีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น หรือการเข้าไม่ถึงสวัสดิการรักษาพยาบาล[11] ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลกำลังบกพร่องในการดำเนินการตามกรอบที่ 1 ขจัดความยากจน[12] และกรอบที่ 3 การสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสำหรับทุกคนในทุกวัย[13] หรือการยอมรับให้มีการผูกขาดในธุรกิจค้าปลีก[14] และกำลังจะเกิดการผูกขาดในธุรกิจโทรคมนาคม[15] ซึ่งจะไม่สอดคล้องกับกรอบที่ 8 ในเรื่องของส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน[16] หรือกรณีร้ายแรงที่สุดคือ การออกมาเปิดเผยของพลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ซึ่งออกมาเปิดเผยเรื่องขบวนการค้ามนุษย์และถูกบีบให้ต้องลี้ภัยออกจากประเทศ[17] ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ได้ดำเนินการสอดคล้องกับกรอบที่ 16 ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรมและสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผลรับผิดชอบและครอบคลุมในทุกระดับ[18]

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลได้พยายามเพียงพอแล้วหรือไม่ในการดำเนินการตามเป้าหมาย หรือเป็นเพียงคำสัญญาที่ขอเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาปัญหาในข้างต้นอาจจะพอได้คำตอบอยู่บ้างว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนแบบไทยๆ นั้น คือ ภาพสะท้อนของความล้มเหลวในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นวาทกรรมทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อใช้ในการหาเสียงและสร้างความนิยมแบบขายฝัน

ในสถานการณ์ที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆ กลางๆ และมีผู้นำรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงใดๆ กับประชาชนและพร้อมอย่างเต็มที่ในการลอยนวลพ้นผิดกับทุกๆ เรื่อง จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์


เชิงอรรถ

[1] กรมประชาสัมพันธ์ ‘นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงผ่านกิจกรรม SDG Moment มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่าน ระบบสาธารณสุข โมเดลเศรษฐกิจ BCG และการพัฒนาด้าน Digital ในการประชุม UNGA สมัยที่ 76’ (กรมประชาสัมพันธ์, 21 กันยายน 2564) <https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/43120> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[2] SDG Move ‘ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/aboutsdgs/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[3] สัมภาษณ์ ชล บุนนาค, อาจารย์ประจำ, คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ทางอิเล็กทรอนิกส์, 29 เมษายน 2565) สัมภาษณ์โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์.

[4] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 2).

[5] ประจักษ์ ก้องกีรติ, ‘ประชาธิปไตยของฉัน ของท่าน และของเธอ’ <http://v-reform.org/wp-content/uploads/2014/01/Democracy.-Rj.Prajak.pdf> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[6] วรรณภา ติระสังขะ, ‘ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 17 กันยายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/09/420> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[7] เพิ่งอ้าง; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[8] เพิ่งอ้าง.

[9] อ้างแล้ว (เชิงอรรถ 3).

[10] เพิ่งอ้าง.

[11] ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ ‘สิทธิเข้า(ไม่)ถึงวัคซีนของคนไร้บ้าน’ (workpoint today, 22 มิถุนายน 2564) <https://workpointtoday.com/photo-essay-สิทธิเข้าไม่ถึงวัคซี/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[12] SDG Move, ‘SDG 101’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/sdg-101/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[13] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

[14] กนกนัย ถาวรพานิช, ‘ดีลควบรวม ‘ซีพี’ กับ ‘เทสโก้ โลตัส’ : รัฐประหารทางเศรษฐกิจที่ยังมาไม่ถึง?’ (the 101.world, 15 เมษายน 2563) <https://www.the101.world/cp-and-tesco/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[15] ฉัตร คำแสง, ‘5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทค และบทบาทของ กสทช.’ (the 101.world, 2 พฤษภาคม 2565) <https://www.the101.world/5-narratives-vs-5-facts-about-dtac-true-merger/> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[16] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

[17] BBC News ไทย, ‘พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย เมื่อขอลี้ภัยในออสเตรเลียปลายปี 2558’ (BBC, 23 กุมภาพันธ์ 2565) <https://www.bbc.com/thai/thailand-60481194> สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2565.

[18] อ้างแล้ว (เชิงอรรถที่ 12).

การพัฒนาที่ยั่งยืนกับความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของสังคมในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของความขัดแย้งและการใช้ทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลายมาเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน ถูกนำมาพูดถึงในเวทีสาธารณะทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ โดยในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) สมัชชาสหประชาชาติได้ร่วมกันกำหนด “เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยประกอบไปด้วยเป้าหมายสำคัญ 17 ประการ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน และมีเจตจำนงที่จะให้เป้าหมายทั้ง 17 ประการ สามารถบรรลุได้ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573)

เมื่อพิจารณาเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้วจะเห็นได้ว่า เป้าหมายโดยส่วนใหญ่นั้นมีการพูดถึงความยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากร โดยช่วยให้สมาชิกในสังคม (ประเทศ) สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้[1] เช่น เป้าหมายที่ 1 การขจัดความยากจนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดหรือที่ใดก็ตาม หรือ เป้าหมายที่ 2 การขจัดความอดอยาก โดยยุติความหิวโหย บรรลุเป้าความมั่นคงทางอาหาร การปรับปรุงด้านการโภชนาการและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งเป็นความพยายามที่จะรักษาความยุติธรรมในสังคม

ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

“การสร้างความยุติธรรมในสังคม” เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในการจะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้นั้นความยุติธรรมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากสังคมไร้ซึ่งความยุติธรรมแล้วสังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้เลย[2] ซึ่งความยุติธรรมที่กล่าวถึงนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เพียงความยุติธรรมในทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม แต่รวมถึงความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรด้วย ซึ่งการเข้าถึงทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีวิตได้แล้ว ก็จะนำไปสู่ข้อจำกัดในการใช้สิทธิอื่นๆ

ในอดีตภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม สิ่งแรกที่คณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ได้ย้ำเตือนความสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่มาก่อนหน้าการอภิวัฒน์[3]

เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนา คือ การสร้างความยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรระหว่างคนในสังคมอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม วิธีคิดดังกล่าวนั้นเป็นรากฐานสำคัญของยุคที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายๆ เรื่อง เช่น การสร้างระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐาน (รัฐสวัสดิการ) การชดเชยให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในนโยบายการพัฒนา การสนับสนุนการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้พิการ หรือการยอมรับสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรหรือใช้สิทธิของตนได้อย่างเท่าเทียมกันบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ดี การพิจารณาความยุติธรรมในลักษณะดังกล่าว เป็นเรื่องของ ความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบัน หรือ ความยุติธรรมของคนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (intragenerational justice)[4]

อย่างไรก็ดี การพิจารณาเฉพาะความยุติธรรมในช่วงเวลาปัจจุบันนั้นอาจจะไม่เพียงพอกับปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา

แนวคิดเรื่อง “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพูดถึงในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ทรัพยากรธรรมชาติ” โดยแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา (intergenerational justice) นี้ หมายถึง การคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรในช่วงเวลาปัจจุบันโดยตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัย (generation) ถัดไป

แนวคิด “ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา” ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงหลังเพื่อนำเสนอแนวทางที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากการพัฒนาดังกล่าวนั้น หากไม่คำนึงถึงความยุติธรรมของคนในช่วงเวลาถัดไป และใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพจนเกิดผลกระทบต่อคนในช่วงเวลาถัดไปแล้ว การพัฒนาดังกล่าวย่อมไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน

แนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลานั้น เป็นกรอบกว้างๆ และถูกนำมาใช้ในหลายประเด็นของสังคม เช่น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ได้ลงนามในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยตระหนักว่า ความพยายามนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลงอย่างมีนัยสำคัญ[5]และกำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะกระตุ้นให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น[6] 

ดังจะเห็นได้ว่า มาตรการที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนสำหรับคนในช่วงวัยถัดไป โดยสร้างเงื่อนไขให้คนในยุคปัจจุบันจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้[7] หรือ ในเรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ ในแนวคิดเรื่องความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลาได้ขยายมาสู่เรื่องของการคลังสาธารณะและการดำเนินนโยบายการคลังสาธารณะ โดยในบางประเทศได้กำหนดให้ในการดำเนินนโยบายทางการคลังสาธารณะของรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงวัยถัดไป โดยจะต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบต่อคนในช่วงวัยถัดไป[8] เป็นต้น

ลักษณะดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นว่า หลักการความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เริ่มเข้ามามีบทบาทความสำคัญต่อนโยบายการพัฒนาสมัยใหม่

ย้อนกลับมาดูประเทศไทย การดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความยุติธรรมระหว่างช่วงเวลา เท่าที่ควร ดังจะเห็นได้ว่า จากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนั้นไม่ได้มุ่งหมายจะกระทำโดยคำนึงถึงคนในช่วงวัยถัดไป


เชิงอรรถ

[1] SDG Move, ‘SDG 101’ (SDG Move) <https://www.sdgmove.com/sdg-101/> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[2] โตมร ศุขศรี, ‘เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ คือคุณธรรมแรกสุดของทุกสถาบันทางสังคม’ (The MATTER, 30 ตุลาคม 2563) <https://thematter.co/thinkers/theory-of-justice/127272> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2565.

[4] InforMEA ‘intragenerational equity’ (InforMEA) <https://www.informea.org/en/terms/intragenerational-equity> accessed 28 April 2022.

[5] Paris Agreement Article 2 (1.) (a).

[6] Paris Agreement Article 4 (1.).

[7] James M. Nguyen, ‘Intergenerational Justice and the Paris Agreement’ (E-International Relations, 11 May 2020) <https://www.e-ir.info/2020/05/11/intergenerational-justice-and-the-paris-agreement/> accessed 28 April 2022.

[8] Charter of Budget Honesty Clause 1 and 20 – 21.

ครบรอบ 84 ปี ประมวลรัษฎากร: ความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ประมวลรัษฎากร” ถือเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ ในฐานะเป็นกฎหมายที่รวบรวมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรจากเงินได้ของประชาชนผู้มีเงินได้และเข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษี โดยในช่วงตลอดระยะเวลา 84 ปี ประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขหลายครั้งและทำให้ประมวลรัษฎากรกลายเป็นกฎหมายที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดฉบับหนึ่ง

หากพิจารณาเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นของการจัดทำประมวลรัษฎากรก็เพื่อที่จะลดความทับซ้อน ซ้ำซ้อน และซับซ้อนของกฎหมายภาษีที่จัดเก็บในเวลานั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมจากการจัดเก็บภาษีตามหลักการประชาธิปไตย บทความนี้จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านสำรวจความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของประมวลรัษฎากร

ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร

“ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร” นั้น เริ่มต้นมาจากสภาพสังคมในอดีตของประเทศไทยที่มีการจัดเก็บภาษีที่ซับซ้อน และมีภาษีบางรายการที่ซ้ำซ้อนกัน ในขณะเดียวกันระบบภาษีในเวลานั้นไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของผู้จ่ายภาษีว่าจะมีความสามารถหรือไม่ อาทิ ภาษีรัชชูปการ เป็นเงินที่เก็บจากชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี โดยมิได้คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวมีรายได้หรือไม่ หรือ ภาษีสมพัตสร ซึ่งรัฐบาลเก็บจากจำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปี โดยไม่ได้คำนึงว่าไม้ผลดังกล่าวจะสร้างรายได้จริงหรือไม่ก็ตาม จึงจะเห็นได้ว่าระบบการเก็บภาษีก่อนช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการหารายได้ให้กับรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรม ความเหมาะสม และความสามารถในการจ่ายภาษีของประชาชน[1]

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบภาษีในอดีตของประเทศมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อนกัน เกิดมาจากข้อจำกัดของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้ประเทศสยามมีข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีการค้า (ภาษีขาเข้า-ออก) เนื่องจากตามสนธิสัญญากำหนดให้สยามจัดเก็บภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของราคาสินค้าในท้องน้ำ[2] ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อการขยายตัวของรายได้รัฐบาล[3] ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใช้วิธีการเก็บภาษีซับซ้อนและซ้ำซ้อนกันหลายชนิด ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ประเทศไทยเคยใช้มาตลอด

นัยสำคัญของการจัดทำประมวลรัษฎากรจึงเป็นการเปลี่ยนหลักของสังคม โดยยึดหลักการที่ว่า “มีมากเสียมาก มีน้อยเสียน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย” ตามหลักการเก็บภาษีอากรของประเทศในระบอบประชาธิปไตย[4]

พัฒนาการของประมวลรัษฎากร

“ประมวลรัษฎากร” ถือได้ว่า เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบ่อยครั้งมากทั้งในระดับของการแก้ไขประมวลรัษฎากร และในระดับกฎหมายลำดับรอง ทำให้ทุกวันนี้ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมากและมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้ประมวลรัษฎากรอีกเป็นจำนวนมาก

ในแง่ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 80 กว่าครั้ง โดยหลายครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละสมัย โดยการแก้ไขนั้นมีทั้งการแก้ไขในเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษี และการแก้ไขในเรื่องสำคัญ เช่น อำนาจของรัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษี ข้อยกเว้นในการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี และปีภาษี เป็นต้น สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรกนี้ ผู้เขียนได้สรุปไว้ ดังต่อไปนี้

การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 หรือราวๆ 1 ปีหลังจากการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร โดยขยายรูปแบบของกิจกรรมที่จะถูกเก็บภาษีให้ออกไปให้กว้างมากขึ้น รวมถึงมีการกำหนดให้ที่ดินในครอบครองของรัฐวิสาหกิจจะต้องเสียเงินบำรุงท้องที่เท่ากับที่ดินในเขตเทศบาล เนื่องจากเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีความเจริญแล้ว[5]

โดยต่อมาได้มี การปรับปรุงแก้ไขประมวลรัษฎากรอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2483 โดยมีสาระสำคัญหลายประการ แต่ส่วนหนึ่งที่มีความน่าสนใจก็คือ การแก้ไขปรับปรุงครั้งนี้เป็นการกำหนดปีภาษีใหม่ โดยใช้เกณฑ์ปีภาษียึดตามปีปฏิทิน[6] โดยเริ่มต้นที่ 1 มกราคม และ สิ้นสุดที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป ซึ่งแต่เดิมยึดตามปีปฏิทินหลวง คือ เริ่มต้น 1 เมษายนและจบลงที่ 30 มีนาคมของปีถัดไป[7]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ได้มีการจำแนกประเภทเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยเพิ่มประเภทของเงินได้ในมาตรา 40 (1) (2) และมาตรา 42 (4) ของประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมประเภทของเงินได้มากขึ้น[8] และมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็น ลักษณะ 5 แห่งประมวลรัษฎากร[9] เรื่อง ภาษีการซื้อข้าว[10] และ ภาษีการซื้อน้ำตาล[11] ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าทำความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมการซื้อขายและจัดเก็บภาษีในการซื้อขายข้าว และน้ำตาล[12]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 6 โดยแก้ไขให้สามารถนำเงินบำรุงท้องที่สามารถโอนเงินไปจ่ายบำรุงท้องที่ตำบลอื่นที่ไม่ใช่ตำบลที่เก็บเงินบำรุงท้องที่นั้นในอำเภอเดียวกันก็ได้[13] ซึ่งมีความน่าสนใจในแง่ของการทำให้เกิดระบบที่เปิดช่องให้มีการนำเงินภาษีจากพื้นที่หนึ่งไปใช้ประโยชน์เพื่ออีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นจากตำบลที่พัฒนาแล้วและรายได้สูง ไปยังพื้นที่ยังไม่พัฒนาและรายได้ต่ำ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2494 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 8 โดยในการแก้ไขครั้งนี้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำในบทบัญญัติให้ชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับการลดอัตรารัษฎากรให้เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือสภาพของบางท้องที่ และยกเว้นรัษฎากรแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสนธิสัญญา โดยทำเป็นพระราชกฤษฎีกา[14] ซึ่งแต่เดิมกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลเพียงแค่ตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อปรับลดอัตราเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในบางท้องที่เท่านั้น[15] 

นอกจากนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ รัฐบาลได้ยกเลิกเงินช่วยการประถมศึกษาสำหรับใช้จ่ายการบำรุงประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นภาษีเสริมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 โดยเก็บจากชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วในครั้งแรกปีละ 1 บาท[16]  และต่อมาได้ปรับเป็นปีละ 2 บาท โดยการยกเลิกนี้สันนิษฐานได้ว่าในเวลานั้นประเทศไทยได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาทั่วถึงแล้ว ความจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเสริมเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาจึงมีความจำเป็นลดลง ในท้ายที่สุดเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรครั้งนี้ได้มีการจัดเก็บภาษีโรงแรมภัตตาคารขึ้นมาโดยตั้งเป็นบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็นลักษณะ 7 ภาษีโรงแรมภัตตาคาร[17] ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้มีการจัดเก็บเงินช่วยชาติประเภทโรงแรมและภัตตาคาร[18]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 9 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในลักษณะ 3 ภาษีบำรุงท้องที่ใหม่[19]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 10 โดยเป็นการเพิ่มเติมหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร[20]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 12 เนื่องด้วยวิธีการเสียภาษีอากรกับวิธีปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ภาษีป้าย อากรแสตมป์ อากรมหรสพ และภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ควรได้แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สะดวกและรัดกุมยิ่งขึ้นตามกาลสมัย[21]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 เนื่องจากผู้ประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุก ได้แบกภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเกินกว่าอัตภาพในขณะนี้ เงินที่นำมาชำระภาษีก็ได้จากการจำหน่ายผลิตผลที่เกิดจากการกสิกรรมในที่ดินของตน ปกติพืชที่ปลูกมากก็คือข้าว ในปัจจุบันราคาข้าวไม่ดี การทำนาได้ผลน้อยอยู่แล้ว  ฉะนั้น สมควรยิ่งที่จะลดภาระภาษีบำรุงท้องที่[22]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 17 เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นปรากฏว่าอัตราก้าวหน้าแต่ละขั้นมีช่วงยาวเกินไปไม่เป็นธรรม จึงได้แก้ไขให้มีช่วงสั้นกว่าเดิม

อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นต่ำไปมาก และอัตราภาษีการค้าบางประเภทยังต่ำกว่าที่ควร แต่บางประเภทก็มีอัตราสูงไปกว่าที่ควร เฉพาะอัตราอากรแสตมป์สำหรับตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินมีอัตราสูงไป จึงได้แก้ลดอัตราลงเพื่อช่วยส่งเสริมนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกันอยู่ขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีอากรของประเทศอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าอัตราภาษีอากรของประเทศไทยยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอแก่การทำนุบำรุงประเทศชาติให้วัฒนาถาวรได้ เพื่อประโยชน์แห่งรายได้ของรัฐที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้รุ่งเรือง จึงได้ปรับปรุงอัตราภาษีอากรดังกล่าวให้เป็นไปตามควรแก่สถานการณ์[23]

นอกจากการปรับปรุงประมวลรัษฎากรในช่วง 20 ปีแรกนี้แล้ว ภายหลังยังมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรสำคัญอีกหลายครั้ง โดยนอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ที่ได้มีการพูดถึงนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอื่นๆ มักจะเพื่อแก้ไขวิธีการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสมและมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี ยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน รวมถึงการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วง ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้ประมวลรัษฎากรมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป “ประมวลรัษฎากร” จัดทำขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม แต่ด้วยลักษณะของกฎหมายนั้น เมื่อมีการตราขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สม่ำเสมอ ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการแก้ไขและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเสมอภาคกันในสังคมที่อยู่ร่วมนั่นเอง


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงภาษีอากรที่เป็นธรรม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 ตุลาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/450> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[2] Treaty of Friendship and Commerce between Great Britain and Siam 1855, Article 8.

[3] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 13.

[4] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (สุขภาพใจ 2552) 196.

[5] สรุปสาระสำคัญจากรพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2482.

[6] ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 78.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2483 มาตรา 4 และมาตรา12.

[8] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 3 และมาตรา 4.

[9] ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 บทบัญญัติในประมวลรัษฎากรมีเพียงแค่ 4 ลักษณะเท่านั้น ได้แก่ ลักษณะ 1 ลักษณะทั่วไป ลักษณะ 2 ลักษณะภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ลักษณะ ๓ เงินช่วยบำรุงท้องที่ และลักษณะ 4 เงินช่วยการประถมศึกษา.

[10] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 37.

[11] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 38.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[13] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2490 มาตรา 3.

[14] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 4.

[15] ประมวลรัษฎากร มาตรา 3.

[16] ประมวลรัษฎากร มาตรา 167 และมาตรา 170.

[17] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 49.

[18] ศิลปวัฒนธรรม, ‘เงินช่วยชาติในภาวะคับขัน ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2’ (ศิลปวัฒนธรรม, 12 มกราคม 2565) <https://www.silpa-mag.com/history/article_62770> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[19] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2495 (ฉบับที่ 9) มาตรา 3.

[20] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2496 (ฉบับที่ 10) มาตรา 40.

[21] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[22] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2501 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[23] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2502 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

วันขึ้นปีใหม่: วันเริ่มต้นปีงบประมาณในอดีต

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันขึ้นปีใหม่มีความสำคัญต่องบประมาณของประเทศไทย โดยในอดีตวันขึ้นปีใหม่มักจะสัมพันธ์กับวันเริ่มต้นและสิ้นสุดของงบประมาณแผ่นดิน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณแบบในปัจจุบัน

นัยสำคัญของการเปลี่ยนวันและเวลา

ในอดีตที่ผ่านมา “วันที่ 13 เมษายน” นั้น มีสถานะเป็น “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งเป็น “วันปีใหม่ไทย” และประเทศอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งในอุษาคเนย์ ศรีลังกา และอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถือเอาวันพระอาทิตย์เคลื่อนออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราช และเริ่มต้นใช้กาลโยคประจำปีใหม่ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของปีใหม่ในทางโหราศาสตร์ ซึ่งโหรจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณให้แน่ชัด[1] 

อย่างไรก็ดี นัยของวันปีใหม่ในลักษณะดังกล่าว ยังไม่ค่อยมีบทบาทหรือความสำคัญกับประชาชนมากทั่วไปเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้ามเมื่อประชาชนอยากจะรู้ว่า ขึ้นต้นปีใหม่แล้วหรือไม่ ก็จำเป็นที่จะต้องติดตามประกาศของทางราชการ

นัยสำคัญของวันปีใหม่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงปฏิรูประบบราชการและได้มีการนำระบบปฏิทินเข้ามาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีนัยสำคัญและส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักรสยามเป็นอย่างมาก

“ระบบปฏิทินใหม่” ที่นำเข้ามาใช้อาศัยวิธีการคำนวณแบบสุริยคติแทนการคำนวณวันแบบจันทรคติ พร้อมๆ กับทรงยกเลิกการใช้จุลศักราชและเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทร์ศกแทน[2] โดยทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่แทนโดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการ และวันเริ่มต้นปีทางบัญชีของราชการ แต่การนับวันตามพระราชพิธียังคงใช้วิธีการคำนวณวันตามปฏิทินจันทรคติ[3]

ความสำคัญของการเปลี่ยนให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการนั้น มีความสำคัญในเชิงงบประมาณ เพราะเป็นการกำหนดให้ราชการตลอดทั้งราชอาณาจักรเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยต้องจัดทำงบประมาณเสนอต่อเสนาบดีเพื่อขอพระบรมราชานุญาต โดยงบประมาณรายจ่ายนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม และเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน[4]

วันที่ 1 เมษายนถูกใช้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณต่อไปเรื่อยๆ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และแม้ในเวลาต่อมาประเทศมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลคณะราษฎรที่เข้ามา บริหารประเทศในเวลานั้นก็ยังคงยึดการใช้ วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ[5]

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณ

ความสำคัญของวันที่ 1 เมษายนในฐานะของวันเริ่มต้นปีงบประมาณได้มาสิ้นสุดลง ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2481 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 โดยพระราชบัญญัตินี้ได้มีการเสนอให้ ปรับเปลี่ยนปีงบประมาณ ซึ่งเดิมเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมของอีกปีหนึ่ง มาเป็นเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่ง

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนปีงบประมาณนี้มีเหตุผลเนื่องจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า จะกําหนดปีงบประมาณให้เหมาะสมแก่ฤดูกาล

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้น ได้มีการชี้แจงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ในการที่รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้พิจารณาโดยด่วนนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยเสียก่อนว่า ในการที่ให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้พิจารณาโดยด่วน ก็เพราะเหตุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ กล่าวคือว่า รัฐบาลได้แถลงไว้ว่า รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล และจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะขอให้สภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยแต่เพียงในวาระที่ 1 คือว่า จะควรรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น ส่วนรายการละเอียดนั้น ถ้าหากว่าสภาฯ ได้รับหลักการแล้ว ก็จะได้ขอให้ตั้งกรรมาธิการไปพิจารณา… 

…หลักการแห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณนั้น ก็มีอยู่ว่าเพื่อเปลี่ยนปีงบประมาณ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ โดยจะได้เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง และไปหมดในวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่งนั้น ทั้งนี้ ก็โดยคำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม”[6]

ในส่วนของเหตุผลในการเปลี่ยนปีงบประมาณนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นหลัก โดยยกเหตุผลสนับสนุนดังนี้

(1) งานก่อสร้างต่างๆ จะทำได้ในฤดูแล้ง คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ถ้าปีงบประมาณเริ่มในเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยห่วงเรื่องงบประมาณตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม

(2) เดือนเมษายนเป็นเดือนที่หยุดราชการ ดังนั้น กว่าที่จังหวัดต่าง ๆ จะได้รับงบประมาณก็เลยไปถึงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนที่เริ่มฤดูฝนแล้ว ทำให้ทำงานต่าง ๆ ได้ลำบาก และ

(3) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก ดังนั้น จึงควรรอให้เสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวก่อน เพื่อให้รัฐบาลสามารถคำนวณรายได้จากการเก็บภาษีได้ดีขึ้น[7]

ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนปีงบประมาณดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ปีงบประมาณของประเทศสอดคล้องกับการใช้จ่ายและแนวทางในการพัฒนาประเทศที่มีลักษณะเป็นประเทศเกษตรกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่หากไปทำในช่วงหลังเมษายนและเข้าหน้าฝน การก่อสร้างอาจจะติดขัด โดยการเริ่มต้นใช้ระยะเวลาปีงบประมาณใหม่นี้ได้เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482

การประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ และการปรับปีงบประมาณอีกครั้ง

การปรับมาใช้วันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลาปีงบประมาณที่มีเหตุมีผลและพิจารณาถึงความเหมาะสมของประเทศ  ทว่า การใช้ระยะเวลาปีงบประมาณตามแบบใหม่นี้ก็อยู่ได้ไม่นานราวๆ เพียงแค่ปีเศษ ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่อีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็มาจากการปรับเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทย

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีดำริที่จะเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลมีความประสงค์ที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความสอดคล้องเป็นสากลมากขึ้น โดยพยายามเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ให้สอดคล้องกันกับประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป และประเทศตะวันตกอื่นๆ ซึ่งนิยมใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่

รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่นั้น ไม่ยึดโยงกับความเชื่อหรือแนวคิดทางศาสนาใด แตกต่างจากวันขึ้นปีใหม่ตามขนบไทยเดิมที่ยึดโยงอยู่กับความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์ เพื่อให้ประเทศมีวันขึ้นปีใหม่ที่สอดคล้องกันกับสากล รัฐบาลจึงได้มีการประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่[8]

ผลของการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน โดยการตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2483 โดยกำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มต้นที่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป  อย่างไรก็ดี ในรายงานการประชุมไม่ได้ระบุเหตุผลได้ว่าทำไมถึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน[9]

การปรับปีงบประมาณกลับมาที่ 1 ตุลาคมอีกครั้งหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณที่เริ่มต้น ในเดือนมกราคมนี้ถูกใช้อยู่กว่า 20 ปี จนมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 โดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไปทั้งนี้ ปีงบประมาณที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ เริ่มใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2505 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2504 เป็นต้นมา[10] จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับปี พ.ศ. 2502 ได้ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการกลับมาใช้ปีงบประมาณตามเริ่มต้นที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุด 30 กันยายนของปีถัดไปก็เนื่องมาจากเหตุผลในลักษณะเดียวกันกับที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเคยให้เอาไว้ในการประชุมยกร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอดีต

การเปลี่ยนปีงบประมาณในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเนื่องจากระยะเวลาในการจัดทำงบประมาณที่อาจจะเกิดความล่าช้าซึ่งทำให้งบประมาณนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีประกอบกับช่วงระยะเวลาที่งบประมาณนั้นอาจจะถูกใช้ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการก่อสร้าง แม้ปีงบประมาณตามกฎหมายเดิม จะสอดคล้องกับสากล แต่ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยซึ่งฤดูกาลมีส่วนสำคัญ จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง[11]

กล่าวโดยสรุป การเริ่มต้นปีงบประมาณนั้นแต่เดิมพยายามให้มีความสอดคล้องกับการเริ่มต้นปีปฏิทิน โดยส่วนมากจะใช้วันที่ในเดือนเมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทยแต่เดิม ในเวลาต่อมาก็ได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณให้มีความเหมาะสมกับประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของฤดูกาลซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แต่ระยะเวลาในลักษณะดังกล่าวเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยเจตนารมณ์ก็อาจจะเป็นไปเพื่อให้มีความสอดคล้องกับความเป็นสากล

แต่ในที่สุดแล้วสภาพดังกล่าวก็อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศไทยซึ่งมีเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ฤดูกาลที่แตกต่าง ดังนั้น วันเริ่มต้นปีงบประมาณจึงกลับมาอยู่ที่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งยึดถือเช่นนั้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 จนถึงปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] สมบัติ พลายน้อย, ‘สงกรานต์ 3 วัน 13-15 เม.ย.เริ่มมีเมื่อใด ปีใหม่ไทยในอดีตเปลี่ยนไปมา ชาวบ้านตามตรวจดูวันเอง’ (ศิลปวัฒนธรรม, 13 เมษายน 2564) <https://www.silpa-mag.com/history/article_31026> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[2] ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนจากการใช้รัตนโกสินทร์ศกมาเป็นพุทธศักราชแทน.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การจัดทำงบประมาณครั้งแรก ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 28 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/651> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476 มาตรา 9.

[6] วรพงษ์ แพรม่วง, ‘ปีงบประมาณของไทย’ (หอสมุดรัฐสภา, ตุลาคม 2563) <https://library.parliament.go.th/th/radioscript/rr2563-oct1> สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] ประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ (ประกาศมา ณ วันที่ 24 ธันวาคม พุทธศักราช 2483).

[9] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2483, 32-33.

[10] วรพงษ์ แพรม่วง (เชิงอรรถ 6).

[11] สภานิติบัญญัติ, รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ครั้งที่ 38/วันที่ 15 ตุลาคม 2502, 1491 – 1493.