เมื่อสวัสดิการไทยเป็นได้แค่เพียงบทบัญญัติในกระดาษ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงปีที่ผ่านมา “รัฐสวัสดิการ” หรือ “สวัสดิการสังคม” นั้น เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นจำนวนมาก และเป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทยท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ได้สะท้อนปัญหาการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ทั้งการเข้าถึงสวัสดิการในการรักษาพยาบาล การว่างงาน เบี้ยยังชีพของคนชรา และการศึกษา และทำให้เกิดการตั้งคำถามถึง ระบบสวัสดิการของประเทศไทยนั้นมีอยู่อย่างไร และรัฐได้รับรองสิทธิในสวัสดิการไทยเอาไว้อย่างไร

เนื่องในเดือนของการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ผู้เขียนจะขอนำเสนอประเด็นสิทธิสวัสดิการที่รับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ รวมถึงในความเป็นจริงสิทธิดังกล่าวนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลให้มีสถานะเป็นเพียงการอนุเคราะห์

รัฐสวัสดิการคืออะไร

“รัฐสวัสดิการ” (Welfare State) เป็นไอเดียเกี่ยวกับรัฐที่เข้ามาทำหน้าที่ทางสังคมเพื่อประกัน “ความมั่นคงและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน” เพื่อให้ประชาชนบรรลุวัตถุประสงค์ในการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลได้อย่างเต็มที่

บทบาทของรัฐในลักษณะดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่รัฐรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคล โดยรัฐใช้มาตรการทางกฎหมาย การเมือง และทรัพยากรเพื่อคลายความตึงเครียดทางสังคมและทำให้เกิดความเท่าเทียมกันท่ามกลางความแตกต่างทางสังคม (ในระดับหนึ่ง)[1]

ความเท่าเทียมในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่ใช่การอุปมาประหนึ่งผู้มีเงิน หรือ ทรัพย์สินจะใช้ช่องทางพิเศษกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความยากลำบาก อุปมาประหนึ่งคนรวยก็ไปเสียเงินขึ้นทางด่วน คนรายได้น้อยก็ใช้เส้นทางข้างล่าง (แบบที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้) แต่หมายถึงการที่รัฐเข้ามาส่งเสริมมนุษย์ทุกคนภายในรัฐให้เข้าถึงโอกาสพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน อุปมาเสมือนการทำให้ทุกๆ คนสามารถใช้ประโยชน์จากถนนที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นผู้มั่งมีหรือยากจน

สิทธิสวัสดิการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

“รัฐธรรมนูญ” นอกจากจะมีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศและจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ แล้ว “รัฐธรรมนูญ” ยังเป็นตราสารที่แสดงความผูกพันระหว่างรัฐกับประชาชนภายในรัฐผ่านบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ หน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (การรับรองหน้าที่ของรัฐและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐนั้นเป็นสิ่งที่พึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญเมื่อไม่นานมานี้ – อ่านเพิ่มเติม เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ) กล่าวเฉพาะในแง่ของสิทธิสวัสดิการนั้นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรับรองไว้ให้กับประชาชนนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 สิทธิสวัสดิการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ นั้นให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐาน และสำหรับผู้ยากไร้มีสิทธิไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการได้รับบริการ โดยสามารถแบ่งสิทธิสวัสดิการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ออกเป็นสิทธิย่อยๆ ได้ดังนี้

  • สิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐอย่างทั่วถึง และเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ (มาตรา 47 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 55 วรรคสอง)
  • สิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ยากไร้ (มาตรา 47 วรรคสอง)
  • สิทธิได้รับบริการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 47 วรรคสาม)
  • สิทธิของมารดาในการได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร (มาตรา 48 วรรคหนึ่ง)

กลุ่มที่ 2 สิทธิสวัสดิการในการเจริญเติบโตและปัจจัยในการดำรงชีพ นั้นให้ความสำคัญปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีพในด้านต่างๆ

  • สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐสำหรับผู้สูงอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ หรือบุคคลผู้ยากไร้ (มาตรา 48 วรรคสอง)
  • สิทธิในการได้รับการจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และจัดให้มีการเรียกเก็บค่าบริการโดยไม่เป็นภาระเกินสมควร (มาตรา 56 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
  • สิทธิในการได้รับการส่งเสริมให้ทำงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัย การคุ้มครองแรงงาน สุขอนามัยในการทำงาน สวัสดิการ และการประกันรายได้ (มาตรา 74 วรรคหนึ่ง)

กลุ่มที่ 3 สิทธิสวัสดิการในการได้รับการศึกษา

  • สิทธิในการได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ (มาตรา 54 วรรคหนึ่ง)
  • สิทธิในการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ (มาตรา 54 วรรคสอง)
  • สิทธิในการได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (มาตรา 54 วรรคสาม)
  • สิทธิในการได้รับการช่วยเหลือแก่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และค่าใช้จ่ายในการศึกษา (มาตรา 54 วรรคห้า)

สิทธิสวัสดิการทั้งสามกลุ่มข้างต้นนั้นเป็นเพียงกรอบของสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้  ทว่า ในทางปฏิบัติการใช้สิทธิและการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้กับประชาชนจำเป็นต้องอาศัยบทบัญญัติตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้เป็นจริงขึ้นมา

ความเปลี่ยนแปลงในสิทธิสวัสดิการในความเป็นจริง

ถ้าพิจารณาเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเท่านั้น อาจจะดูเหมือนสิทธิสวัสดิการที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ดีและมีการสนับสนุนประชาชนในการใช้สิทธิสวัสดิการ  ทว่า หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญย้อนหลังไปยังบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แล้ว จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการของประเทศไทยนั้นมีการลดคุณภาพลงไปจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยสร้างเงื่อนไขในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการทำให้สิทธิสวัสดิการกลายมาเป็นการสงเคราะห์มากกว่าจะอยู่ในฐานะสิทธิที่บุคคลจะเรียกร้องต่อรัฐให้ปฏิบัติตามเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลและสนับสนุนการใช้ชีวิตของบุคคลอย่างเสมอภาคกัน

ตัวอย่างของสิทธิสวัสดิการที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และเด่นชัดที่สุดมี 3 เรื่อง คือ สิทธิสวัสดิการทางการศึกษา โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองบางคนกล่าวว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาเหล่านั้นกลับได้ลิดรอนสิทธิสวัสดิการลง

สิทธิสวัสดิการทางการศึกษา ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 นั้นได้รับรองสิทธิในการได้รับสวัสดิการทางการศึกษาจากรัฐเป็นเวลา 12 ปี จากรัฐจน สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็คือ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ป.1 – ม.6) แต่เมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ได้มีการลดสวัสดิการทางการศึกษาลงจนถึงแค่การศึกษาภาคบังคับ ซึ่งก็คือ มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3)[2] ซึ่งแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้รวมเอาการศึกษาก่อนวัยเรียนเข้ามา (ชั้นอนุบาล)[3] เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสวัสดิการของรัฐ แต่บทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวก็เป็นการลดสิทธิสวัสดิการที่ประชาชนพึ่งจะมีและเคยมีตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ที่รับรองให้บุคคลต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ยังพอมีความดีอยู่บ้างในบางเรื่อง เช่น การเพิ่มเติมสิทธิในการได้รับเบี้ยยังชีพสำหรับบุคคลผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นการให้สิทธิเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 ได้ประกันสิทธิของผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ (ทว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติแล้วว่าสิทธิดังกล่าวนั้นใช้ได้จริงมากเพียงใด เมื่อบรรดาเบี้ยยังชีพที่รัฐบาลให้นั้นต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเฉลี่ยเป็นรายวันแล้ว เบี้ยยังชีพย่อมไม่เพียงพอจะใช้แก่การดำรงชีวิต) หรือการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาสำหรับประชาชน[4]

การใช้จ่ายของรัฐบาลไทยในช่วงปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับสวัสดิการ

นอกเหนือไปจากลักษณะของบทบัญญัติที่อาจลดทอนสิทธิสวัสดิการของประชาชนแล้ว สาระสำคัญของสิทธิสวัสดิการก็คือ บรรดาสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้นั้นจะทำได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสิ่งนี้ย่อมเชื่อมโยงมาสู่ประเด็นสำคัญคือ เรื่องงบประมาณที่จะใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม เพราะงบประมาณคือเครื่องการันตีความมั่นคงของสวัสดิการสังคม

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการจัดทำสวัสดิการของรัฐไทยนั้นกระจายไปตามส่วนกรมหรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีลักษณะรวมศูนย์ ทำให้ภาพของงบประมาณไทยนั้นกระจัดกระจายกันและไม่มีข้อมูลที่จะสามารถสรุปภาพรวมของงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการ แต่หากพิจารณาในเชิงการจัดสรรงบประมาณเราก็อาจจะพอเห็นแนวโน้มการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการได้ ดังนี้

เมื่อสำรวจเกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม อาจจะกล่าวไม่ได้ว่าประเทศไทยไม่มีงบประมาณสำหรับใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม แต่อาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีการให้ความสำคัญกับการจัดงบประมาณเพื่อใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมไม่ถูกจุด เช่น หากเราลดงบประมาณที่ใช้ในการเกณฑ์ทหารและการดูแลทหารเกณฑ์ โดยการตัดการเกณฑ์ทหารทิ้งไป และนำงบประมาณดังกล่าวมาใช้ในการจัดสวัสดิการแทน หรือ การนำเงินงบประมาณของกองทัพบกมาใช้ในการจัดสวัสดิการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์แทน

สิ่งนี้อาจจะเป็นการใช้งบประมาณถูกจุดมากกว่า เป็นต้น ซึ่งหากไม่แก้ให้ตรงจุดสภาพของการใช้งบประมาณไทยก็อาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงจัง งบประมาณที่จ่ายไปก็จะกลายเป็นเพียงการสงเคราะห์และไม่สามารถรับรองความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งทำให้มนุษย์อยู่ในสภาวะของความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ จากการสำรวจของ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ซึ่งได้ทำการตรวจสอบและยื่นหนังสือต่อกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่เผชิญมรสุมทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด 19 ซึ่งสภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสถานะสวัสดิการสังคมของไทยไม่ได้อยู่ในฐานของสิทธิอย่างแท้จริง หากแต่เป็นการปรับเปลี่ยนตามความพึงพอใจของผู้มีอำนาจนตัดสินใจ

ภาพเปรียบเทียบงบสวัสดิการลดลง

ที่มา: ประชาไท, ‘’ (ประชาไท, 6 สิงหาคม 2564) <https://prachatai.com/journal/2021/06/93419> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2564.

หากสภาพของสวัสดิการอยู่ในฐานของสิทธิสวัสดิการจริงๆ ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเกิดความตระหนักขึ้นในสังคมว่าสิทธิสวัสดิการนั้นจำเป็นแค่ไหน ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างหลักประกันว่าในทางงบประมาณสวัสดิการสังคมควรจะเป็นการใช้จ่ายที่คงที่ (ไม่ก็เพิ่มขึ้น) มากกว่าการปรับลดตามความพึงพอใจของผู้มีอำนาจ ซึ่งทำให้สถานะของสิทธิสวัสดิการไม่มั่นคง


เชิงอรรถ

[1] อเล็กซานเดอร์ เพทริง และคณะ, รัฐสวัสดิการกับสังคมประชาธิปไตย (กรพินธุ์ พัวพันสวัสดิ์ แปล, มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท สำนักงานประเทศไทย 2562), 29.

[2] พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 มาตรา 3.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง.

[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 วรรคหก.

ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของการพัฒนากฎหมายแรงงานในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นก่อรูปอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงหลังปี 2475 เนื่องจากในเวลานั้นอาชีพของคนส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ อาชีพแรงงานยังเป็นอาชีพของคนส่วนน้อยในประเทศ[1] และกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยส่วนมากนั้นเป็นคนต่างด้าวมากกว่า  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากช่วงปี 2490 เป็นต้นมาการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยเริ่มเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเข้าแทนที่ของธุรกิจของประเทศตะวันตกที่เป็นคู่สงครามโดยธุรกิจคนไทย[2] ทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น[3] ซึ่งทำให้จำนวนผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ตลอดบริบทของการก่อตัวของกฎหมายแรงงานไทยนั้นจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของแรงงานไทยโดยส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีที่มาจากความตั้งใจของรัฐบาลโดยส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เกิดกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้แรงงานอย่างจริงจัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นมาจากบริบทของการเมืองระหว่างประเทศ อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย และการเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายทางกฎหมายของรัฐบาลโดยกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516[4] 

แต่ขบวนการแรงงานไทยก็โดนแช่แข็งมาโดยตลอดรัฐบาลของคณะรัฐประหาร ซึ่งพยายามจะกดชนชั้นแรงงานไว้ให้อยู่ในสถานะที่ไม่อาจต่อรองได้เพื่อให้ยอมรับสภาพและเคยชินกับสภาวะที่ไม่มีสิทธิและเสรีภาพ เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ และในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ช่วยอำนวยผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐบาลคณะรัฐประหารไว้[5]

สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นปัญหาของการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานของประเทศไทยว่า บรรดากฎหมายแรงงานทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล หากแต่เกิดจากการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากบริบทของการเมือง เช่น ในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการผ่าน พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ. 2499 ออกมาเพื่อสร้างความนิยมทางการเมืองของตนเอง เป็นต้น หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กรณีของประเทศไทยโดนสหภาพยุโรปให้ใบเหลือง IUU แก่ประเทศไทย เนื่องจากปล่อยให้มีการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เป็นต้น ซึ่งทั้งสองสถานการณ์เป็นตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขกฎหมายแรงงานไทย

ภายใต้บทความนี้ ผู้เขียนได้ลองนำเสนอความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยผ่านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาหรือต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

ตารางแสดงบริบททางการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคมกับกฎหมายแรงงานไทย

รัฐบาลปีกฎหมายบริบท/รายละเอียด
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว2471ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะอื่นๆ ซึ่งรองรับการขยายตัวของกิจกรรมการค้าพาณิชย์ตามแนวทางตะวันตก
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา2475พ.ร.บ. สำนักงานจัดหางาน และพ.ร.บ. จัดหางานประจำท้องถิ่นเกิดปัญหาการว่างงานขึ้นมาโดยสืบเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ[6]
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา2479กฎหมายการสอบสวนภาวะกรรมกรสอบสวนและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกรรมกรเพื่อวางนโยบาย และออกกฎหมาย[7]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม2497พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2497สหอาชีวะกรรมกรไทยได้เคลื่อนไหวออกมาเรียกร้อง[8]
2499พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499กฎหมายนี้ได้ถูกตราขึ้นมาอย่างน้อย 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การถูกสันนิบาตชาติสอบถามถึงการมีกฎหมายแรงงานในการประชุมครั้งแรกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งองค์การดังกล่าวเมื่อ พ.ศ. 2462[9] อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของสหอาชีวะกรรมกร และ กรรมกร 16 หน่วย เคลื่อนไหวกับรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง[10] ในขณะเดียวกัน องค์กรที่รัฐบาลของจอมพล ป. ได้จัดตั้งเพื่อช่วงชิงองค์กรกรรมกรดั้งเดิม และสามารถควบคุมได้ ก็เปลี่ยนแปลงไปจนถึงขนาดไม่สามารถควบคุมได้อีก นอกจากนั้น ก็มีแรงจูงใจที่จะเอาใจกรรมกรเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้งในปี 2500[11]
  พ.ร.บ. สงเคราะห์อาชีพแก่คนไทย พ.ศ. 2499มีการรุกรานจากชาวต่างชาติซึ่งมาทำงานหากินในประเทศไทยในขณะนั้นเป็นจำนวนมาก[12]
จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
2501ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่19 ลงวันที่ 31 ต.ค. 2501 ซึ่งยกเลิก พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499  จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ทำการรัฐประหาร[13] และมองว่าการรวมกลุ่มของคนงานเป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉาน และเป็นเครื่องมือให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้การประกอบอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมมีความระส่ำระส่าย อันเป็นภัยต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[14] หากมีข้อพิพาท ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัย[15]
 2501 – 2502ออกกฎหมายในรูปประกาศของกระทรวงมหาดไทยแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499[16]เพื่อแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499 โดยประกอบด้วย…ประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้างประกาศเรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการจ่ายเงินทดแทน ตลอดจนจำนวนเงินค่าทดแทนประกาศว่าด้วยโรค ซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ประกาศเรื่องกำหนดงานอันอาจเป็นภัยต่อสุขภาพและอนามัย หรือร่างกายของลูกจ้างและคนงาน ประกาศเรื่องวันหยุดงานประจำสัปดาห์
จอมพลถนอม
กิตติขจร
2508ตรา พ.ร.บ. กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน[17]สืบเนื่องจากได้มีการพิพาทแรงงานและการนัดหยุดงานเกิดขึ้นมาก[18]
 2511ตรา พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2511 มาแทนที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยสำนักจัดหางาน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ. สำนักจัดหางานท้องถิ่น พ.ศ.2475[19]
 2512พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 
แทนที่ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2482 
มุ่งเน้นไปที่การกำหนดวิธีการก่อตั้งโรงงานและการคุ้มครองผู้ทำงานในโรงงาน[20]
จอมพลถนอม
กิตติขจร
(ปฏิวัติซ้อน)
2515ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ซึ่งยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501และ พ.ร.บ.กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน พ.ศ.2508องค์กรแรงงานระหว่างประเทศและขบวนการแรงงานสากลได้กดดันรัฐบาลไทยจากการปล่อยให้เกิดการกดขี่แรงงานมาเป็นระยะยาวนานในช่วงการปกครองโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกทั้งเป็นความพยายามรักษาแรงงานให้ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจ[21] โดยนอกจากจะยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารดังกล่าวแล้ว ก็ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ โดยนาหลักการแรงงานสัมพันธ์ในพ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499 มาใช้อีก แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ให้สิทธิลูกจ้างจัดตั้งองค์กรของตนขึ้นได้ แต่เรียกว่า สมาคมลูกจ้าง[22]นอกจากนั้น ยังมีประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 322 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตการทำงานของคนต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยออกบังคับใช้โรงงาน[23]
ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 12 บาทเป็นวันละ 16 บาทผลจากการอ้างว่าประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 103 เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้างที่สุด และมีข้อบัญญัติใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ ค่าจ้างขั้นต่ำ และการก่อตั้งเงินทุนค่าทดแทน
สัญญา 
ธรรมศักดิ์
2517ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 16 บาทเป็น
วันละ 20 บาท
วันที่ 10 ถึง 14 มิถุนายน พ.ศ. 2517 กรรมกรโรงงานทอผ้านับหมื่นคนภายใต้การนำของสมาคมลูกจ้างอุตสาหกรรมสิ่งทอสมุทรปราการและสมุทรสาครได้มาชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง[24]
 2518ตรา พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518คาดว่าเป็นผลจากการต่อสู้ของกรรมกรไทยในช่วงปีที่ผ่านมาที่แสดงให้เห็นถึงพลังของกรรมกรต่อรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ และเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ[25]
 2517 – 2518ค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงานรัฐสวัสดิการเริ่มดีขึ้นสมาคมลูกจ้างต่าง ๆ มีการประท้วงขอปรับเงินเดือนและปรับปรุงสวัสดิการ ตลอดจนต่อต้าน
การคอรัปชั่นของผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ (จะส่งผลต่อการต่อสู้ของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในช่วงปี 2531-2533 ให้มีความโดดเดี่ยว)
คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 
(สงัด
ชลออยู่)
2519ออกคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 46 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518– การต่อสู้ระหว่างขบวนการสามประสานต่อรัฐกับกลุ่มทุน จนพยายามตีกรอบขบวนการแรงงานในประเทศไทยให้กลายเป็นขบวนการสหภาพแรงงานของแรงงานในระบบ และค่อยสกัดกั้นผู้คนอื่นๆ ให้พ้นจากขบวนการแรงงาน[26]
– กำหนดให้องค์การแรงงานระดับชาติต้องจดทะเบียน และมีวัตถุประสงค์ที่จำกัด[27]
  การออกกฎหมาย เพื่อจำกัดเสรีภาพในการนัดหยุดงานคาดว่า เป็นผลจากการที่รัฐต้องการสกัดกั้นพลังงานของขบวนการสามประสานที่กำลังมีอิทธิพลต่อการต่อสู้กับนายจ้าง และรัฐบาล โดยการออกกฎหมายดังกล่าวจะประกอบด้วยดังนี้
– ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องห้ามนัดหยุดงาน และห้ามปิดงาน 8 ตุลาคม 2519- กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2519 (ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์)
– คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519[28]
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์
2521ตรา พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521สถานการณ์ทางการเมืองทั่วไปได้มีผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[29]
 2522ตรา พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2503 มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง และทำให้รัฐเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสในการใช้แรงงานของทุน แต่มาตรการเริ่มเสื่อมถอย และเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมของรัฐ จึงทำให้เริ่มกระบวนการดึงการต่อสู้ของแรงงานเข้ามาอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะระบบไตรภาคี ซึ่งก็มีศาลแรงงานเป็นหนึ่งในนั้น อันทำให้การต่อสู้อยู่ในกรอบที่รัฐวางขอบเขต และสร้างความสะดวกแก่รัฐ และทุนที่จะทำให้ความขัดแย้งยุติด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ย [30]
 2522การตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ซึ่งจะมีมาตรา 6 กำหนดไม่ให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองแรงงาน และว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ คาดว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงพลังต่อรองที่กำลังเริ่มเข้มแข็ง
ของแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 
 2523กลุ่มนักบริหารงานบุคคล กอ.รมน. รุ่นที่ 1 ถึง 4 เสนอต่อรัฐบาลให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจาก พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518  เช่นเดียวกันกับการตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
– 
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์

– 
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
2520 – 2523การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก 28 เป็นวันละ 35 บาท 45 บาท และ 54 บาทตามลำดับการปรับค่าจ้างเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน และได้ทำข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพราะรัฐบาลยุคธานินทร์ กรัยวิเชียรในแรกเริ่ม เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นมาเพียง 3 บาท และไม่มีทีท่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยคณะกรรมการค่าจ้างต่างก็ลงมติปรับค่าจ้างให้ต่ำกว่าข้อเสนอของสหภาพแรงงานทั้งสิ้น[31]
พลเอกเปรม 
ติณสูลานนท์
2524มติคณะรัฐมนตรี 15 กันยายน 2524ผลจากการสังเกตว่าสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจมีการวมตัวเข้มแข็งจนสามารถเรียกร้องเรื่องค่าจ้าง และสวัสดิการ โดยเดิมที ก็จะมีความอิสระในการตกลงกับฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจ จึงออกกฎห้ามรัฐวิสาหกิจทำการปรับปรุงอัตราค่าจ้าง เงินเดือน ค่าครองชีพ หรือสวัสดิการอื่นใดที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี[32]
 2528พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
 2530พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ2533ตรา พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533นักศึกษาได้มาร่วมชุมนุมสนับสนุนคนงาน ซึ่งมีองค์กรแรงงานที่นำการเคลื่อนไหว คือ สภาองค์การลูก จ้าง สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย กลุ่มสหภาพแรงงานภาคเอกชน 3 กลุ่มย่าน และกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์[33]
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: สุนทร คงสมพงษ์)และอานันท์ 
ปันยารชุน
2534ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 54 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518  การรัฐประหารของคณะ รสช. พยายามจำกัด กีดกันคนอื่นๆ ไม่ให้สามารถเข้าเป็นที่ปรึกษาแก่สหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรองได้อย่างเสรี ผู้ที่จะให้คำปรึกษาได้จะต้องได้รับการจดทะเบียนจากอธิบดีกรมแรงงานเท่านั้น[34]
 2534พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534เรียนรู้จากบทเรียนในช่วง 2531 – 2533 กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พยายามขับเคลื่อนประเด็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งการปรับโครงสร้างเงินเดือน และต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่สำเร็จจากการเคลื่อนไหวที่โดดเดี่ยว และภาพพจน์การต่อสู้เพื่อประโยชน์ของตัวจนดูหมดความชอบธรรมในสายตาประชาชน และกลายเป็นเป้าหมายในการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร โดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ออกกฎหมาย[35]  ทำให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจากพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518[36] แยกสลายขบวนการแรงงานภาครัฐวิสาหกิจกับเอกชน
ชวน หลีกภัย2537พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537เกิดกระแสการขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อประชาชนจาก
การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นไปบนบรรยากาศแห่งการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยรัฐบาลก็นำไปขับเคลื่อนด้วย 
โดยอ้างถึงความต้องการปรับปรุงกฎหมายฉบับเก่า[37]  
 2541พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
 2543พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
ทักษิณ ชินวัตร2544ออกพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2544เพื่อกำหนดให้สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518[38]
 2546ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยการส่งเสริมงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ.2546ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในด้านกฎหมายแรงงานแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพราะจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้านให้มีขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน และเสริมสร้างการรวมกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านให้เข้มแข็ง[39]
อภิสิทธิ์ 
เวชชาชีวะ
2552มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในการประชุม ครั้งที่ 7/2552 การให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างชั่วคราวของรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือน 15,000 บาท ได้รับค่าครองชีพชั่วคราวเดือนละ 2,000 บาท เป็นะระยะเวลา 6 เดือน[40]
 2553พ.ร.บ. คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553เกิดจากการขับเคลื่อนของโฮมเนท ประเทศไทย และเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยร่วมกับองค์กรอื่นๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 โดยมีการจัดทำร่างพ.ร.บ. ส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. …. โดยเป็นการนำเสนอคู่ขนานไปกับร่างกฎหมายเกี่ยวกับผู้รับงานไปทำที่บ้าน ฉบับกระทรวงแรงงาน[41] (และเข้าใจว่าร่างฉบับกระทรวงแรงงานได้รับเลือก)
 2554พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554มีที่มาจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานเคเดอร์ ใน 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้ตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม และไม่มีการซักซ้อมการรับมือกับอัคคีภัยให้แก่พนักงาน อันทำให้ขบวนการแรงงานได้มีความพยายามในการที่จะเรียกร้องให้มีกฎหมาย และรัฐบาลก็เริ่มมีนโยบาบเกี่ยวกับความปลอดภัยของแรงงาน[42]
 2555ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ และลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555การขยับฐานเงินเดือน และค่าครองชีพขั้นต่ำของข้าราชการ พนักงานราชการ  และลูกจ้างชั่วคราวให้รวมถึง 15,000 บาท เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[43]
 2555ประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ เรื่อง ค่าตอบแทนของพนักงานราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2555
 2555หนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0428/ว 12 ออกในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร2555กฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (ลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน)เกิดจากการเคลื่อนไหวของมาลี สอบเหล็ก ประธานกลุ่มลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย และสมาชิกเพื่อนร่วมอาชีพกว่า 300 ชีวิต เรียกร้องให้กระทรวงมีมาตรการคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพในบ้าน[44]
 2555 – 2556ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 7) และประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 8)การขยับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็น 300 บาทใน 70 จังหวัด และทั่วประเทศตามลำดับ เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[45]
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (1)2557กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557ต้องการเตรียมตัวในการปฏิบัติตามให้สอดคล้องกับ
กฎระเบียบ IUU[46] 
 2558พ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[47]
 2559พระราชกำหนดการนาคนต่างด้าวมาทางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. 2559หากพิจารณาหมายเหตุท้ายพ.ร.บ. ที่กล่าวไว้ส่วนหนึ่งว่า “เพื่อให้มาตรฐานในการทำงานของแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ” ก็น่าจะมีความนัยเดียวกันว่า ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการถูกจัดอันดับในกลุ่ม Tier 3 ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) และการติดใบเหลืองตามกฎระเบียบ IUU
 2557 – 2561กฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557 และกฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 (ออกตามพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541)ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[48]
 2562พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[49] โดยแม้ว่าจะมีการปลดใบเหลืองแล้ว ก็มีการเตือนอยู่ว่าจะต้องส่งเสริมสิทธิแรงงานต่อไป มิฉะนั้นจะกลับไปติดใบเหลืองอีก[50] และการปฏิบัติตามพันธกรณีตาม C188[51]
 2562พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 (แรงงานบังคับ)เป็นหลักฐานให้สหรัฐอเมริกาเห็นว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับ “ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างเต็มที่ในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินการดังกล่าว” หรือ Tier 2[52] และไม่ให้กลับไปสู่กลุ่ม Tier 3 ซึ่งเคยถูกจัดไว้ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ประกอบกับการอนุวัติการให้เป็นไปพิธีสาร ค.ศ. 2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930[53]

การศึกษาในครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นของภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับแรงงานนั้นยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อบริบทของแรงงานไทยเปลี่ยนแปลงไป

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ และหัตถพงษ์ หิรัญรัตน์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854> สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2564.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ข้อสังเกตประการหนึ่งการเพิ่มขึ้นของแรงงานสัญชาติไทยอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมกีดกันแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้รับการศึกษาโดยละเอียดภายใต้บทความนี้.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (เชิงอรรถที่ 1).

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2564.

[6] วีรนันท์ ฮวดศรี, 2558, ‘วิวัฒนาการกฎหมายแรงงานไทย’ (Blogzine, 1 กุมภาพันธ์ 2556) <https://blogazine.pub/blogs/iskra/post/3946> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, ประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานไทย (พิมพ์ตุลา 2533) 35.

[7] เพิ่งอ้าง 35.

[8] เพิ่งอ้าง 42.

[9] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, ‘รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “แม้มีสิทธิ (ตามกฎหมาย) แต่เข้าไม่ถึงสิทธิ (ตามความเป็นจริง)”: กรณีศึกษาสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานและเจรจาต่อรองตามพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518’ (สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า 2559) 9 และ 45; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 32.

[10] นภาพร อติวานิชยพงศ์, สหภาพแรงงานไทย ที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม Thai Unionism as a Social Movement (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2561) 33-34; เพิ่งอ้าง 51 – 52.

[11] เพิ่งอ้าง 26–27 และ 43–54; ศรัณย์ จงรักษ์, ‘การให้และกีดกันสิทธิของผู้ใช้แรงงานโดยพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2560) 97 – 98.

[12] ธีระ ศรีธรรมรักษ์, กฎหมายแรงงาน (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2547) <http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW401(47)/lw401(47)-1-1.pdf> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564, 8.

[13] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[14] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 66.

[15] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[16] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 67.

[17] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[18] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[19] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[20] เพิ่งอ้าง.

[21] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 35; ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 100 – 106.

[22] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[23] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[24] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 78.

[25] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 79.

[26] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 20).

[27] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 119.

[28] เพิ่งอ้าง 114–119.

[29] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[30] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 14.

[31] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 137.

[32] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 120.

[33] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42.

[34] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 16).

[35] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42-43.

[36] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46.

[37] ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 110 – 112.

[38] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46

[39] ชญานี กลีบบัว, ‘การรับงานไปทำที่บ้าน’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2558) 37–38 และ 44.

[40] การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564) <https://www.ryt9.com/s/cabt/756092>; โปรดดู สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564)  <https://resolution.soc.go.th/?page_id=74&find_word=%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88&start_date=24%2F11%2F2552&end_date=24%2F11%2F2552&book_number=&page_no=1>

[41] ชฤทธิ์ มีสิทธิ์ และพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์, ผู้รับงานไปทำที่บ้านในประเทศไทย: สิทธิและการรณรงค์นโยบาย (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2549) 27–32.

[42] นักสื่อสารแรงงาน, ‘ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำลึก 28 ปีกรณีไฟไหม้โรงงานเคเดอร์เสียชีวิต 188 ราย’ (Voicelabour, 10 พฤษภาคม 2564) <https://voicelabour.org/ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำ/> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; และศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ‘10 พฤษภาคม วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ’ (ศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม, 10 พฤษภาคม 2562) <https://www.shecu.chula.ac.th/home/content.asp?Cnt=216> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564.

[43] มติชน, ‘เพื่อไทยไม่หวั่น พปชร. ชูนโยบายขึ้นค่าแรง เพราะเคยทำได้ผลมาแล้ว 17 ปีก่อน’ (มติชนออนไลน์, วันที่ 14 มีนาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/politics/news_1405733> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[44] วศินี พบูประภาพ, ‘Opinion | สิทธิในการเข้าร่วมสหภาพ : ทางออกปัญหาการค้ามนุษย์ในแรงงานข้ามชาติ-แรงงานนอกระบบ’ (Workpoint, 30 ตุลาคม 2562) <https://workpointtoday.com/trade-union-human-trafficking/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564.

[45] มติชน, (เชิงอรรถที่ 43).

[46] สุภางค์ จันทวานิช และคณะ, ‘รายงานผลการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม การค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ พ.ศ. 2559’ (เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559), 33 – 34; ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, ‘การคุ้มครองแรงงานในงานประมงของไทยในกรอบการเจรจาทวิภาคีไทย-สหภาพยุโรป ช่วงปี พ.ศ. 2558 – พฤษภาคม 2563‘ (รายงานการศึกษาส่วนบุคคล หลักสูตรนักบริหารการทูต รุ่นที่ 12 ปี 2563 สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ 2563) 2-4 และ 15-16; และ โสรญา พิกุลหอม, ‘อนาคตของแรงงานประมงไทยภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550’ (รัฐสภาไทย, กุมภาพันธ์ 2562) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=54525&filename=house2558>, 1–2.

[47] ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, เพิ่งอ้าง 1-2.

[48] เพิ่งอ้าง 1-2.

[49] เพิ่งอ้าง 15-16; และ กองบรรณาธิการ, 2563, ‘สิทธิประมงไทย ไม่เคย New Normal’ (Way Magazine, 14 กรกฏาคม 2563) <https://waymagazine.org/cso-coalition-2020/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[50] วศินี พบูประภาพ, (เชิงอรรถที่ 44).

[51] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[52] สถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานกงสุลในประเทศไทย, ‘รายงานการค้ามนุษย์ประจำปี พ.ศ. 2562’ (U.S. Embassy, 2563) <https://th.usembassy.gov/th/our-relationship-th/official-reports-th/2019-trafficking-persons-report-thailand-th/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564; และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2564, ‘พม. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกำหนดกิจกรรมภายใต้แนวทางให้บริการช่วงระยะเวลาฟื้นฟูและไตร่ตรอง (Reflection Period) สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์’ (สำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 25 กุมภาพันธ์ 2564) <https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/mso_web/mobile_detail.php?cid=32&nid=29883> สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2564.

[53] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

ร่างทรง : ภาพสะท้อนนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

จากความสำเร็จของ ร่างทรง ในการขายเรื่องราวและวัฒนธรรมของไทยไปสู่สังคมโลก นับเป็นอีกหนึ่งก้าวของการนำเรื่องราวและวัฒนธรรมไทยสู่ประชาคมโลก 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ ประเทศไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ อุตสาหกรรม Soft Power (อำนาจอย่างอ่อน; อำนาจที่เกิดจากการสร้างเสน่ห์หรือการโน้มน้าว (co-optive power) กิตติ ประเสริฐสุข, 2560) เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซบเซาลง เนื่องจากข้อจำกัดในการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ 

อุตสาหกรรม Soft Power จึงอาจเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศและเป็นตัวช่วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงฟื้นฟู ซึ่งในบทความนี้จะเน้นความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์

“ร่างทรง” กับพื้นที่ของการสร้างเรื่องราว

หลายๆ คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องร่างทรงแล้ว อาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะรู้สึกชอบในรูปแบบของการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ฉาก ความเป็นไปของบทหนัง หรือ บางคนอาจจะให้ความเห็นว่า การดำเนินเรื่องนั้นยังดำเนินไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร ซึ่งส่วนนั้นอาจจะเป็นมุมมองของผู้ชมที่มีต่อภาพยนตร์ที่แตกต่างกันออกไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ร่างทรง ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ วิญญาณ และเรื่องราวความลี้ลับของประเทศไทยออกไปสู่สังคมโลก ซึ่งก็เป็นการเปิดศักราชของหนังผีไทย เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นหนังผีไทยในวงการภาพยนตร์สากลยังถือว่ามีพื้นที่ที่ค่อนข้างน้อย

ด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะความแตกต่างทางพื้นฐานความเชื่อ และวัฒนธรรมที่อาจทำความเข้าใจได้ยาก เรื่องร่างทรงจึงได้มีการปรับแต่งเรื่องผี และความเชื่อของท้องถิ่นให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้ทำความเข้าใจกันได้มากขึ้น แม้อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมคนไทยบางส่วนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์แล้วก็คือ ตำนาน ความเชื่อ และเรื่องลี้ลับของประเทศไทย ยังคงสามารถนำมาขายได้ในวงการภาพยนตร์ และวงการละครต่างประเทศ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า “ร่างทรง” มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ คำตอบก็คือ ประเทศไทยยังมีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ให้เกิดภาพยนตร์ที่สามารถสร้างจุดขายได้ ในเรื่องของบท และโลเคชั่นซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ 

เฉพาะในแง่ของประเทศไทยมีเรื่องราวจำนวนที่สามารถนำมาสร้างเป็นสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ หรือละคร ทั้งเรื่องผี ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องการเมืองการปกครองของประเทศ 

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบในเรื่องโลเคชั่น เนื่องจากการมีพื้นที่หลากหลายทั้งเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม คำถามสำคัญก็คือ รัฐบาลได้ตระหนักถึงข้อดีและจุดเด่นของประเทศไทยตรงนี้แล้วหรือไม่ ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้อาจจะเป็น “ไม่” 

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ การที่ “ร่างทรง” ต้องอาศัยความร่วมมือกับบริษัทในประเทศเกาหลีเพื่อประโยชน์ในการขยายฐานผู้ชม และนำภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับโลก (ปัจจัยนี้เองผู้เขียนคิดว่าทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนภาพยนตร์ให้คนทั่วโลกสามารถเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนไทย)

การเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

หากพิจารณาการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย (ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ อีก 15 อุตสาหกรรมนั้น มีการเติบโตค่อนข้างน้อย พอๆ กันกับอุตสาหกรรมดนตรีที่มีมูลค่าต่ำและมีการเติบโตต่ำ

แผนภาพเปรียบเทียบการเติบโตและขนาดของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำนวน 15 อุตสาหกรรม
(ข้อมูลค่าอุตสาหกรรม TSIC 4 หลัก ช่วงปี พ.ศ. 2553 – 2560)

หมายเหตุ : ข้อมูลจากรายงานประมวลผลมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำแนกตามสาขาการผลิต และข้อมูลจำนวนแรงงานที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปรับปรุงจาก : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2564).

นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศแล้ว นับตั้งแต่ช่วงหลังทศวรรษ 2550 ภาพยนตร์ไทยได้ลดความนิยมลดลง ในขณะที่สัดส่วนของงานภาพยนตร์ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยภาพยนตร์ไทยโดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุน จนไม่สามารถที่จะฉายได้นาน และถูกถอดออกจากโปรแกรมการฉาย 

เมื่อพิจารณาในเชิงจำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พบว่า ตลอดทั้งปีมีการผลิตภาพยนตร์ออกฉายเฉลี่ยเพียงปีละ 50 – 59 เรื่องเท่านั้น คิดเฉลี่ยเป็นสัปดาห์ได้สัปดาห์ละ 1 เรื่อง ในขณะที่ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าฉายสัปดาห์ละ 2 – 5 เรื่อง และกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้นโดนจำกัดจากหลายๆ ปัจจัยทำให้ผู้บริโภคอาจให้ความสนใจกับภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของตลาดต่างประเทศ ภาพยนตร์ไทยยังคงได้รับความสนใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ภาพยนตร์กลุ่มที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ ภาพยนตร์ตลก สยองขวัญ วัยรุ่น และการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสื่อสารเอกลักษณ์ไทยเข้าไปในเรื่อง หรือใช้นักแสดงชาวไทยซึ่งมีความนิยมมากในประเทศจีน

นอกเหนือจากในแง่ของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีนแล้ว ภาพยนตร์และผู้กำกับของประเทศไทยก้ยังได้รับรางวัลจากการประกวดภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง มะลิลา กำกับโดย อนุชา บุญยวรรธนะ ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คิม จิซก อวอร์ด จากเทศกาลหนัง Busan International Film Festival 2017 และได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนัง Singapore International Film Festival 

ภาพยนตร์เรื่อง Memoria ของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นำแสดงโดย ทิลดา สวินตัน ที่ได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2021 (ครั้งที่ 74) ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และได้รับรางวัล The Jury Prize

หากพิจารณาในแง่คุณภาพของภาพยนตร์ และความสามารถของผู้กำกับไทย ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ภาพยนตร์ไทยจำนวนหนึ่งเป็นงานที่มีคุณภาพ และผู้กำกับเป็นผู้ที่มีความสามารถ หากแต่ในความเป็นจริงวงการผลิตภาพยนตร์ไทยนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัด และลักษณะของงานภาพยนตร์ไทยไม่ค่อยหลากหลาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้นมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก อุปสรรคภาคการลงทุน ผู้สนใจลงทุนผลิตภายในประเทศมีจำนวนน้อย ดังนั้น เมื่ออำนาจการลงทุนน้อย การตัดสินใจอนุมัติทุนทำภาพยนตร์จึงค่อนข้างจำกัด คนสร้างภาพยนตร์จึงต้องตกอยู่ภายใต้กรอบความคิดของนายทุนผู้อนุมัติทุน สิ่งนี้กลายเป็นข้อจำกัดในการนำเสนองานภาพยนตร์แนวใหม่ๆ

ประการที่สอง อุปสรรคภาคการบริโภค ผู้ชมภาพยนตร์บางส่วนยังคงมองว่างานภาพยนตร์ของไทยขาดความสร้างสรรค์ ภาพยนตร์หลายเรื่องมีความเป็นงานเพื่อการค้ามากกว่างานศิลปะเพื่อการบริโภค และขาดลูกเล่นในการสื่อสารกับผู้ชม โดยเฉพาะกรณีของภาพยนตร์อิสระที่เนื้อหาสาระยากเกินกว่าการจะเข้าถึง  นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังขาดความเป็นสากล ทำให้คนทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงได้

ประการที่สาม อุปสรรคภาคการฉาย เนื่องจากผู้ฉายมีสิทธิถอดภาพยนตร์ หรือ ลดรอบฉายเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับงานนำเข้าที่ดูมีความนิยมสูงกว่า โดยดูเพียงทิศทางรายได้มากกว่าจะให้โอกาสในการฉายภาพยนตร์

ประการที่สี่ อุปสรรคด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังคงไม่กระจายไปยังคนทำภาพยนตร์ในวงการ ซึ่งทำให้ในการผลิตภาพยนตร์เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศสิ้นสุดเพียงแค่การนำเสนอชิ้นงานแก่ผู้ซื้อ แต่ไม่มีกระบวนการตามความคืบหน้า  นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐยังกลายเป็นอุปสรรคผ่านกระบวนการขออนุญาตทางกฎหมายที่เกิดจากความพยายามทำหน้าที่ตามกฎหมาย (law job) ในการตรวจสอบศีลธรรมของประชาชนหรือความเหมาะสมของภาพยนตร์ว่าจะต้องสร้างสรรค์วัฒนธรรม หน่วยงานของรัฐจึงเลือกที่จะเข้ามาคัดกรอง (เซนเซอร์) เนื้อหาและประเภทภาพยนตร์

อุปสรรคทั้ง 4 ประการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยมีผลงานการผลิตน้อยและขาดความหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตต่ำและสร้างรายได้น้อยเมื่อเทียบกับสินค้าในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น

เปรียบเทียบนโยบายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับเกาหลี

เกาหลีใต้ภายหลังสงครามเย็นได้เพิ่มความร่วมมือด้านต่างๆ กับประเทศอื่น ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และได้หันมาให้ความสำคัญกับ Soft Power โดยในช่วงปี ค.ศ. 1993 ภาพยนตร์เกาหลีมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงร้อยละ 15 ในขณะที่อีกร้อยละ 85 เป็นภาพยนตร์นำเข้าจากประเทศอเมริกา ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นเกาหลีมีระบบสกรีนโควต้า (Screen Quota) โดยบังคับให้ต้องฉายภาพยนตร์เกาหลีเป็นจำนวนตามที่ระบุไว้เพื่อป้องกันการตีตลาดจากภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก

ในปี ค.ศ. 1993 สถานการณ์ของประเทศเกาหลีเปลี่ยนแปลงไป เมื่อประธานาธิบดีคิม ยองซัม (Kim Young-sam) ซึ่งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Cultural Industry) โดยเขามีวิสัยทัศน์ว่า “ในศตวรรษที่ 21 ศิลปะและวัฒนธรรมจะเป็นอุตสาหกรรมที่ทรงอำนาจผ่านการพัฒนาสื่อทัศน์ที่ทันสมัย การแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจต่างๆ จะเข้มข้นด้วย ‘สงครามวัฒนธรรม’  ดังนั้น เกาหลีต้องพัฒนาสินค้าทางวัฒนธรรมที่ตอบสนองวิสัยทัศน์ไปสู่ระดับนานาชาติ และเพิ่มมูลค่าของสินค้า” ผลของวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้เกิดการสนับสนุนวงการภาพยนตร์ทั้งในฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ และคนสร้างภาพยนตร์ ซึ่งไม่ยึดติดกับขนบการทำภาพยนตร์แบบเดิมๆ 

ผลของนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1998 – 2008 ส่วนแบ่งทางการตลาดของภาพยนตร์ภายในประเทศ ภาพยนตร์เกาหลีมีสัดส่วนร้อยละ 50 ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 มีส่วนแบ่งร้อยละ 59 และเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เป็นร้อยละ 63 และนับจากปี ค.ศ. 1996 ภาพยนตร์เกาหลีได้มีการพัฒนาคุณภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำอันดับหนังทำเงินแข่งกับภาพยนตร์จากต่างประเทศ เช่น เรื่อง The Ginkgo Bed (1996) ชิริเด็ดหัวใจยอดจารชน (Shiri, 1999) สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน (JSA, 2000) และ ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม (My Sassy Girl, 2001) เป็นต้น 

จนมาถึงปัจจุบันประเทศเกาหลีประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ความหลากหลายของภาพยนตร์เกาหลีในเวลานั้นมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งแนวโรแมนติก สืบสวนสอบสวน แนววิทยาศาสตร์ และหนังสงครามที่มีเทคนิคระดับสูงเทียบเท่ากับฮอลลีวูด ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาพยนตร์เกาหลีได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

สภาพของประเทศเกาหลีในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1993 ก็คล้ายคลึงกันกับประเทศไทย และแม้จะมีกฎหมายบังคับและกฎหมายกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์แล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อิทธิพลของภาพยนตร์ตะวันตกจากฮอลลีวูดยังได้รับความนิยมมากกว่า แต่พอถึงปี ค.ศ. 1993 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีประสบความสำเร็จในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีก็คือ การส่งเสริมการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี โดยการสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี ซึ่งการแก้ไขปัญหาของประเทศเกาหลีนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยเป็นการแก้ไขทั้งในเชิงนโยบายและในเชิงกฎหมาย

ในแง่ของกฎหมายรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1970 นั้นภาพยนตร์เกาหลีใต้ถูกคุมเข้มโดยจะต้องขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์และถูกควบคุมเนื้อหา (รัฐบาลจะตรวจสอบบท) และการเผยแพร่ภาพยนตร์ ซึ่งรวมไปถึงการนำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายภายในประเทศจะต้องทำโดยบริษัทของประเทศเกาหลีใต้และมีเงื่อนไขจำกัดการฉายภาพยนตร์ตามโควต้า

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ค้นพบว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ และแม้จะมีการกำหนดโควตาการฉายภาพยนตร์ก็ตาม ภาพยนตร์จากต่างประเทศก็ประสบความสำเร็จมากกว่าและรายได้จากบริษัทที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการนำเข้าภาพยนตร์ก็สร้างรายได้มหาศาลซึ่งจะกลายเป็นฐานในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศต่อไป  ดังนั้น เมื่อกฎหมายกลายมาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1984 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยกเลิกกฎหมายเหล่านั้น และเริ่มนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยนำเงินที่ได้จากการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศมาก่อตั้ง วิทยาลัยศิลปะภาพยนตร์แห่งเกาหลี (Korea Academy of Film Arts; KAFA) รัฐบาลเริ่มปรับบทบาทต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหม่โดยเริ่มสร้างชุดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการถ่ายทำภาพยนตร์

ตารางแสดงนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ตามช่วงเวลา

ปี (ค.ศ.)ประเภทรายละเอียดของนโยบาย
 1979 – 
1989
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอ ห้องบันทึกเสียง อุปกรณ์ตัดต่อ และโรงถ่ายตัวอย่าง
– การให้ทุนสนับสนุนการดูงานต่างประเทศสำหรับผู้ชนะเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ
– การนำผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาในประเทศ 
– การฝึกอบรมด้านเทคนิค 
– การคัดสรรภาพยนตร์ที่ดีๆ และการสนับสนุนทางการเงิน
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – จัดเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ 
– โครงการสนับสนุนการส่งออกภาพยนตร์ 
– นำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ 
– สนับสนุนการจัดนิทรรศการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 1990

1999
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
– การคัดเลือกภาพยนตร์ที่ดีและสนับสนุนทางการเงิน
– การศึกษาวัฒนธรรมที่สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำภาพยนตร์
– การเปิดกว้างด้านความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับบทแนวใหม่
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ และแนะนำอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำ
– การฝึกอบรมด้านเทคนิคในต่างประเทศ 
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนและสินเชื่อเพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในงานเทศกาลภาพยนตร์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 2000-
2010
การถ่ายทำ – โครงการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ศิลปะ
– การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ระดับ HD
– การสนับสนุนภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนภาพยนตร์ในโครงการร่วมสร้างภาพยนตร์นานาชาติ
– การผลิตภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนและสินเชื่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การสนับสนุนหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ของคนทำภาพยนตร์อิสระและนักศึกษา
– การสนับสนุนสำหรับตลาดบทภาพยนตร์
– การสนับสนุนองค์กรภาพยนตร์
– การสนับสนุนศูนย์สื่อระดับภูมิภาค
– การสนับสนุนทุนพัฒนาก่อนการผลิตและการแลกเปลี่ยนภาพยนตร์เกาหลีเหนือ-ใต้
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การผลิตและจัดจำหน่ายดีวีดีสำหรับภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนทางการตลาด
– การสนับสนุนการแปลคำบรรยายและการผลิตสิ่งพิมพ์ (เช่น โปสเตอร์ เป็นต้น)
– การสนับสนุนเครือข่ายอุตสาหกรรมภาพยนตร์เอเชีย
– การสนับสนุนการฝึกอบรมวิชาชีพภาพยนตร์เอเชีย
– การสร้างเครือขข่ายต่างประเทศ
– การสนับสนุนการทำ R&D ธุรกิจ
– การตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์เกาหลี
– การช่วยเหลือการสนับสนุนมาตรฐานชื่อเรื่องและการสะกดคำ
– การสนับสนุนจำหน่ายภาพยนตร์เกาหลีเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีที่ห้องปฏิบัติการผลิตต่างประเทศ

ที่มา: แปลและดัดแปลงจาก Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163, 173.

ดังจะเห็นได้ว่า กระบวนการและนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศเกาหลีนั้นแก้ไขปัญหาจาก 2 ประการ คือ ประการแรก ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และประการที่สอง  สร้างชุดนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านเงินทุนที่ช่วยให้สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้

เมื่อพิจารณาบทเรียนจากประเทศเกาหลีใต้แล้ว ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้นประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาลอาจจะต้องปรับบทบาทของตนเองใหม่ โดยอาจจะยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเนื้อหาของภาพยนตร์ และเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยการสนับสนุนคนทำภาพยนตร์ทั้งในแง่ของการสนับสนุนแก่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

แต่อาจจะไม่มีเงินสนับสนุน รวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการแก่งานภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ เพื่อขยายโอกาสในการเกิดภาพยนตร์แนวใหม่ๆ และจัดให้มีพื้นที่สำหรับการเผยแพร่ภาพยนตร์แนวต้นทุนต่ำด้วย ซึ่งอาจจะกลายเป็นก้าวเล็กๆ ในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในวัฏจักรปัจจุบัน ที่ผู้ให้ทุนไม่สนับสนุนงานที่อาจจะไม่เกิดการสร้างรายได้ตอบแทนที่เพียงพอ ทำให้ไม่เกิดงานภาพยนตร์ที่หลากหลายในตลาดไทย


อ้างอิงจาก

  • Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163.
  • ฐณยศ โล่พัฒนานนท์ และคณะ, ‘บทวิเคราะห์ภาพยนตร์ไทยปี พ.ศ. 2652’ (2563) 2 วารสารเกษมบัณฑิต 100.
  • กิตติ ประเสริฐสุข, ‘Soft Power ของเกาหลีใต้: จุดแข็งและข้อจำกัด’ (2561) 1 International Journal of East Asia Studies 122.
  • ศิริอร หริ่มปราณ และคณะ, ‘รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน 2564)’ (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)) <https://www.cea.or.th/th/single-research/cea-outlook-05-THAILAND-VISUAL-ARTS-INDUSTRY> สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564.
  • ก้อง ฤทธิ์ดี, ‘นโยบายภาพยนตร์เกาหลี: 30 ปี แห่งอุดมการณ์วัฒนธรรม’ (หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 8 มิถุนายน 2564) <https://www.fapot.or.th/main/news/769> สืบค้นเมือ 25 พฤศจิกายน 2564.

เมื่อสื่อวาย (Y) เติบโต ในขณะที่สิทธิความหลากหลายทางเพศถูกละเลย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในขณะสื่อวายกำลังเติบโตในสังคมไทย ทว่า สถานการณ์สิทธิความหลากหลายทางเพศกลับถูกละเลย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างการยอมรับพื้นที่ความหลากหลายทางเพศระหว่างในมิติของความบันเทิงกับในชีวิตจริง

สื่อ (แนว) วาย (Y) คืออะไร

(แนว) วาย (Y) เป็นคำย่อที่นำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกัน (homosexual) โดยพื้นฐานของคำว่า วาย (Y) มาจากคำในภาษาญี่ปุ่น 2 คำ คือคำว่า やおい” (Yaoi: ยาโออิ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน และ 百合” (Yuri: ยูริ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง  

แม้วายจะถูกนำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกันก็ตาม แต่เดิมความมุ่งหมายของสื่อแนววายไม่ใช่เรื่องของ เพศวิถี (sexuality) ของบุคคล หากแต่เป็นประเภทของเรื่องเล่า (narrative) ประเภทหนึ่งที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรักของคนที่มี เพศกำเนิดเดียวกัน (sex) มากกว่าจะพูดถึงเรื่องเพศวิถีของบุคคลโดยตรง  

ฉะนั้น แต่เดิมเมื่อพูดถึงสื่อแนววาย ตัวละครและความสัมพันธ์อาจจะไม่ใช่คู่รักเกย์เสมอไป (สิ่งนี้ทำให้บางอย่างที่ดูคล้ายจะเป็นสื่อวายก็อาจจะไม่ใช่) และสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ สื่อวายไม่ค่อยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

การเติบโตของอุตสาหกรรมวายมีความเป็นมาอย่างไรในประเทศไทย

ในประเทศไทยแต่เดิมนั้น สื่อแนววายนั้นเป็นพื้นที่เฉพาะกลุ่ม (niche market) ของคนที่เรียกว่า “สาววาย”ซึ่งการบริโภคสื่อวายแต่เดิมถูกจัดประเภทให้เป็นเช่นเดียวกันกับสื่อลามกอนาจาร ที่ผู้บริโภคจะต้องทำแบบลับๆ โดยไม่สามารถโชว์ หรือ นำเสนอสินค้าบนแผงหน้าร้านได้อย่างชัดเจน และเปิดเผยแบบในปัจจุบัน 

กระแสความนิยมและการยอมรับของสื่อค่อยๆ พัฒนาขึ้นในสังคมไทย ในช่วงประมาณปี 2557 เป็นต้นมา ปัจจุบันสื่อแนววายมักปรากฏตัวอยู่ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การ์ตูน นิยาย ภาพยนตร์ ซีรีส์ และละครโทรทัศน์ เป็นต้น 

สื่อวายได้การตอบรับอย่างดีมากจากสังคมวงกว้างในฐานะสื่อบันเทิงประเภทหนึ่งโดยไม่จำกัดเฉพาะสาววายอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อแนววายดัดแปลงจากนิยายมาสร้างเป็นซีรีส์ มักจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษจากฐานนักอ่านเดิมที่เข้ามาสนับสนุน และฐานแฟนคลับใหม่จากความนิยมในตัวนักแสดงคนนั้นๆ

ตัวอย่างของซีรีส์วายที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาจากการดัดแปลงมาจากนิยายวาย เช่น Love Sick the Series (รักวุ่น วัยรุ่นแสบ) เดือนเกี้ยวเดือน (2 Moons the series) Sotus the series (พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง) เกลียดนักมาเป็นที่รักกันซะดีๆ (Tharn Type) นิทานพันดาว และ เพราะเราคู่กัน (2gether the Series) เป็นต้น

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่เห็นชัดสุดของการเติบโตของสื่อประเภทวายในประเทศไทยก็คือ เมื่อเราเปิดเข้าไปในแอพพลิเคชันประเภทวีดีโอสตริมมิ่ง (Video Streaming) เช่น LINE TV WeTV และ Netflix เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการนำเสนอซีรีส์ หรือ ภาพยนตร์สั้นที่เป็นสื่อแนววายจำนวนมาก โดยในปีๆ หนึ่งมีการพยายามนำผลิต และเผยแพร่ซีรีส์วายมากกว่า 24 เรื่อง (เฉลี่ยเดือนละ 2 เรื่องโดยประมาณ) (สำหรับซีรีส์ตอนยาวโดยไม่รวมมินิซีรีส์) จากค่ายสื่อขนาดใหญ่ที่พร้อมกันกระโจนเข้าสู่ตลาดซีรีส์วาย และแม้แต่กระทั่งช่องโทรทัศน์ในอุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมก็เริ่มพยายามลงเนื้อหา (Content) ในผังรายการโทรทัศน์ของตัวเองด้วยละครโทรทัศน์แนววาย (แม้จะเอาไปลงช่วงดึกมากๆ ก็ตาม) 

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนปัจจัยการส่งเสริมมาจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสื่อประเภทนี้ ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศ แต่สื่อวายไทยนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก และถูกส่งออกไปต่างประเทศในฐานะสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศจีน พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งจากการประเมินของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่า มูลค่ารวมเฉพาะของประเทศไทยรวมกันอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท

ไม่ใช่เพียงแค่สื่อบันเทิงประเภทซีรีส์เท่านั้นที่สร้างรายได้ และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ อุตสาหกรรมสื่อวายได้ขยายวงออกไปสู่การผลิตสินค้าสำหรับแฟนคลับ (loyalty) เช่น ตุ๊กตา นิยาย โฟโต้บุ๊ค โปสการ์ด และสติกเกอร์ไลน์ เป็นต้น โดยของที่ระลึกทั้งหมดดังที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการชื่นชมนักแสดงที่ตนชื่นชอบ บริษัทสื่อรายใหญ่จำนวนมากในประเทศสามารถต่อยอดธุรกิจบันเทิงของตนจากนักแสดงในซีรีส์แนววายโดยการขายประสบการณ์ให้กับแฟนคลับทั่วโลกผ่าน visual fan meeting เช่น กรณีของ Global Live Fan Meeting ของคู่นักแสดงไบร์ท-วิน จากซีรีส์คู่กันที่สามารถดึงดูแฟนคลับได้ถึง 93 ประเทศ มียอดการกดหัวใจมากถึงพันล้านดวง และมียอดรีทวีตถึง 2 ล้านกว่าทวีตจากแฟนคลับทั่วโลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อแนววายนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมาก และแม้แต่กระทั่งรัฐบาลเองก็มีท่าทีที่สนใจเป็นอย่างมาก และอยากกระโดดเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ โดยพยายามออกนโยบายสนับสนุนให้มีการผลิตเนื้อหาแนววายมากขึ้นเพื่อส่งออก

คำถามสำคัญ คือ เมื่อสื่อแนววายในประเทศ ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคเอง หรือ ในฝั่งของธุรกิจเอง ได้รับการตอบรับและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ทำไมอุตสาหกรรมวายดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเลย

สาเหตุสำคัญที่อุตสาหกรรมวายดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยเลย สิ่งนี้ทำให้กลับไปหาพื้นฐานที่ว่า แนววายเป็นประเภทเรื่องเล่าเท่านั้นไม่ใช่เพศวิถีของบุคคล แนววายจึงเป็นเพียงแค่เรื่องแต่ง (fiction) ซึ่งอาจจะไม่ต้องสะท้อนนัยของการเคลื่อนไหว การต่อสู้ และการยอมรับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ 

ในทางตรงกันข้าม แนววายในประเทศนั้น ได้รับอิทธิพลจากแนววายดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นเหมือนเรื่อง แฟนตาซี (หมายถึงการไม่ยึดโยงกับความเป็นจริง) โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง คือ ความรักเป็นนิรันดร์แบบอุดมคติ และความรักจะทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคใดๆ ไปก็ได้ โดยไม่สนใจว่าสภาพความเป็นจริงทางสังคม (social reality) ว่าสังคมมีการยอมรับหรือสถานการณ์สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอย่างไร

วิถีชีวิตของคน LGBTQs (สิ่งนี้ยังรวมถึงความงามในอุดมคติที่อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และสร้างภาพหลอกว่าคนเป็น LGBTQs ต้องมีภาพแทนในลักษณะดังกล่าวเท่านั้น) เป็นเช่นไร สื่อวายในยุคแรกๆ ของประเทศไทย จึงมีลักษณะไม่ต่างกับนิยายรักโรแมนติกที่เอาตัวละครเอกผู้หญิงมาแต่งตัวเป็นผู้ชายหรือเอาตัวละครเอกผู้ชายมาแต่งเป็นผู้หญิงเท่านั้น  ทั้งๆ ที่ประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นไปไกลเกินกว่าจะมาจำกัดด้วยเพียงแค่บทบาททางเพศที่นำเสนอ

นอกเหนือจากเรื่องความแฟนตาซีของนิยาย และสื่อวายแบบดั้งเดิมแล้ว จะเห็นได้ว่าสื่อวายแบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เพราะด้วยแก่นกลางของเรื่องที่ความรักสามารถชนะทุกอย่างนั้นเป็นการเก็บงำและซ่อนวาระของสังคมที่ว่าในความเป็นจริงเพียงแค่ความรักไม่เพียงพอ หากแต่สถานะ ความสัมพันธ์ และเจตจำนงในการก่อตั้งครอบครัวนั้นยังจำเป็นต้องได้รับการรับรองจากกฎหมาย และการรับรองทางสังคมจากสังคม

อย่างไรก็ตาม สื่อแนววายสมัยใหม่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เริ่มมีแนวโน้มและใส่ไอเดียเกี่ยวกับการต่อสู้ทางสังคม และขบวนการของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งบางเรื่องถึงขนาดใส่ประเด็นเรื่องการสมรสเท่าเทียมเข้าไปในเรื่อง หรือ พยายามสร้างภาพที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นผ่านทางสื่อ เช่น ในเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ ผู้เขียนบทมีการสร้างฉากของการค้นพบความต้องการของตนว่ามีเพศวิถีแบบใด และค่อยเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง หรือการแสดงความเข้าใจของครอบครัวต่อเพศวิถีของตัวะละคร และพร้อมที่จะต่อสู้กับตัวละคร เป็นต้น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีของสื่อวายที่เข้ามาสนับสนุนขบวนการเรียกร้องสิทธิของความหลากหลายทางเพศ เพียงแต่สิ่งนี้ยังเป็นส่วนน้อยในสังคมไทย เพราะสื่อวายในยุคแรกยังคงมีอิทธิพลอยู่และยังคงเรืองอำนาจในการผลิตซ้ำมุมมองต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไม่เข้าใจ

สำรวจสถานการณ์สิทธิของคนหลากหลายทางเพศในประเทศไทย

แม้รัฐบาลจะสนับสนุนสื่อแนววายในฐานะสินค้าในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่เมื่อย้อนกลับเข้าไปสำรวจสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน ยังคงมีปัญหาอยู่อีกมากที่จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไข เริ่มตั้งแต่สิทธิใน การสมรสอย่างเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิสวัสดิการต่างๆ (สิทธิในการลาไปผ่าตัดแปลงเพศ หรือ สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือในการผ่าตัดแปลงเพศ) การได้รับการยอมรับกันโดยเท่าเทียมทางสังคม และบรรดาสิทธิอื่นๆ เท่าที่จะมีได้เพื่อส่งเสริมการดำรงชีวิตของบุคคลและตอบสนองความต้องการในการที่มีตัวตนของเขา (ซึ่งบรรดาสิทธิทั้งหลายเหล่านี้รัฐบาลควรสนับสนุนให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศแท้ๆ)

สิ่งนี้ทำให้สถานการณ์ของ LGBTQs ในประเทศไทยยังคงมีสถานะที่แตกต่างและอาจถูกเลือกปฏิบัติได้จากบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การให้สวัสดิการกับคู่สมรส ซึ่งหากเป็นคู่รัก LGBTQs ก็อาจจะไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว หรือการให้ความยินยอมในการให้รับการรักษาแก่คู่รักกรณีของคนที่เป็น LGBTQs เป็นต้น

แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีกฎหมายรับรองความเสมอภาคทางเพศไว้แล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกฎหมายฉบับดังกล่าวแทบจะเป็นเสือกระดาษที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง และในทางตรงกันข้ามกฎหมายดังกล่าวยังกลายเป็นภาระและสร้างผลประหลาดที่เป็นโทษแก่ผู้อาศัยกฎหมายดักกล่าวเพื่อเข้าถึงสิทธิความเสมอภาคทางเพศ

ในแง่ของการเรียกร้อง จุดหนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศพยายามมาโดยตลอด คือ การให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ การมีกฎหมายคู่ชีวิตที่ใช้กับคนทุกคน (ไม่ใช่แค่คนรักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่เกิดมาและมีสถานะเป็นบุคคลโดยไม่แบ่งแยกเพศ) ซึ่งความพยายามของขบวนการดังกล่าวนั้น มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอดทั้งการเสนอร่างกฎหมาย และการยื่นตีให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่รับรองการสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้น ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

ในประเด็นนี้เอง หากศาลจะได้ตระหนักถึงบทบัญญัติในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง”  ฉะนั้น บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่กำหนดให้เฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะสมรสได้ ย่อมจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (แต่ศาลไม่ได้ตระหนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม)

การตีตกประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียมของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการผลักให้เรื่องการสมรสเท่าเทียมต้องกลับไปสู่ขบวนการทางการเมือง ผ่านการรณรงค์ และเสนอร่างกฎหมายหรือการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ ในสังคมประชาธิปไตยการยอมรับความหลากหลาย และการส่งเสริมเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมควรตระหนักและเปิดพื้นที่เพื่อให้สิทธิของ LGBTQs ได้รับการรับรองอย่างเต็มที่

จากสภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันแม้สื่อวายจะกำลังเติบโต แต่ด้วยบริบทดังที่กล่าวข้างต้นว่า เนื้อหาของสื่อในปัจจุบันยังไม่ใช่พื้นที่ของการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ LGBTQs หากแต่ยังเป็นเพียงแต่พื้นที่ของความบันเทิงเท่านั้น แม้จะมีความพยายามใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของ LGBTQs มากขึ้นบ้างก็ตาม 

ในขณะเดียวกัน สิทธิของ LGBTQs ในปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนในหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมยังไม่เข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับ LGBTQs อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในด้านของรัฐบาลที่เห็นว่าเรื่องราวแนววายนั้นสามารถเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ แต่กลับไปไม่ตระหนักว่าสิทธิของคนหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุน


อ้างอิงจาก

  • ภูวิน บุณยะเวชชีวิน และณัฐนนท์ ศุขถุงทอง, โลกของวาย: ซีรีส์วาย ปรากฏการณ์วาย หัวนมวัยรุ่นชาย และวายาภิวัฒน์ (สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2564).
  • สำนักข่าวออนไลน์ ThaiPublica ‘เมื่อรัฐบาลนี้หนุนซีรีส์วายสู่ตลาดโลก’ (Thaipublica, 18 กรกฎาคม 2021) <https://thaipublica.org/2021/07/series-society15/&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.
  • Narisara Suepaisal, ‘Y-Economy : เมื่ออุตสาหกรรมซีรีส์วายกลายเป็นจักรวาลยิ่งใหญ่ในสื่อบันเทิง’ (the matter, 12 ตุลาคม 2560)
  • อรสุธี ชัยทองศรี, ‘Boys Love Manga and Beyond: History, Culture, and Community in Japan’ (2560) 2 วารสารมนุษยศาสตร์ 344.
  • ไทยรัฐ, ‘ยืนหนึ่งระดับโลก “ไบร์ท-วิน” คู่จิ้นปัง ฟินถล่มทลายปิดท้าย Global Live Fan Meeting’ (ไทยรัฐออนไลน์, 20 มิถุนายน 2563) <https://www.thairath.co.th/entertain/news/1876581&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.

กาลครั้งหนึ่งเมื่อประเทศไทยริเริ่มมีองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การวางแผนเศรษฐกิจเป็นภารกิจอย่างหนึ่งของรัฐที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจในฐานะองค์กรผู้ชำนาญการขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับในประเทศไทยนั้นการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากความต้องการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศเพียงอย่างเดียวหากเกิดจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศไทยเป็นตัวผลักดันให้เกิดการจัดตั้งองค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจขึ้น ในบทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจความเป็นมาขององค์กรวางนโยบายเศรษฐกิจ

เมื่อครั้งแรกที่มีการริเริ่มวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

การริเริ่มวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. 2475 โดยภายหลังจากคณะราษฎรได้ทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม คณะราษฎรประสงค์ที่จะบำรุงสุขของราษฎรตามความประสงค์ที่ได้ประกาศไว้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ซึ่งในการดำเนินการตามความประสงค์ดังกล่าว คณะราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ที่นายปรีดีได้จัดทำขึ้นนั้นได้บรรจุความหวังของนายปรีดีที่ต้องการบำรุงสุขสมบูรณ์ของราษฎร อันเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเอาไว้[1] 

แม้ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้งานเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับขั้วอำนาจการเมืองเก่า และการกล่าวหาว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจจะนำไปสู่การเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์  

อย่างไรก็ตาม หลักการบางประการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นได้กลายมาเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบันประการหนึ่งก็คือ การจัดตั้งสภาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเกี่ยวกับการกสิกรรม อุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจนี้จะมีการวางแผนใหม่ทุกๆ 1 ปี[2]

การกำเนิดสภาการเศรษฐกิจแห่งชาติในฐานะองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ

การกำเนิดสภาการเศรษฐกิจแห่งชาตินั้นเกิดขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งผลต่อเนื่องดังกล่าวนั้นทำให้เกิดประเทศใหม่ที่ได้รับเอกราช ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเพื่อแก้ไขผลกระทบของประเทศทั้งในเรื่องความยากจน และปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงเริ่มมีการวางแผนเศรษฐกิจจริงจัง โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติและธนาคารโลก เช่น อินเดีย (พ.ศ. 2493) ฟิลิปปินส์ (พ.ศ. 2494) และอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2498) เป็นต้น[3]

สำหรับประเทศไทยนั้น การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2493 ในรัฐบาลของจอมพล ป. เพื่อทำหน้าที่ให้ความคิดเห็นในเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจแก่คณะรัฐมนตรี รวบรวมสถิติของชาติ และให้ความร่วมมือกับต่างประเทศในโครงการความช่วยเหลือต่างๆ[4] โดยในการวางแผนและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นกระทำโดยคณะกรรมการจำนวน 20 คน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน[5] โดยมีคณะกรรมการคนอื่นๆ ประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับกระทรวงทางเศรษฐกิจ และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ เช่น หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์, หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร, หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ, หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ และ นายเล้ง ศรีสมวงศ์ เป็นต้น[6]

นอกเหนือจาก คณะกรรมการสภาทั้ง 20 คนแล้ว ภายในหน่วยงานของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติยังได้แบ่งออกเป็น 5 สาขา ได้แก่ เศรษฐกิจการเกษตร เศรษฐกิจการคลัง เศรษฐกิจการพาณิชย์ เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจการคมนาคม[7] โดยในทุกสาขานั้นให้มีกรรมการประจำสาขาเพื่อใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางในการให้คำปรึกษาแก่กรรมการสภาการเศรษฐกิจ และมีเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติทำหน้าที่ควบคุมงานธุระการของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติรับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานสภาเศรษฐกิจ (นายกรัฐมนตรี)[8] โดยมีนายสุนทร พงส์ลดารมภ์ เป็นเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติเป็นคนแรก[9]

การจัดทำแผนการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2494 โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ (ก.ศ.ว.) โดยมีหน้าที่ในการจัดทำ “ผังเศรษฐกิจ” ช่วง พ.ศ. 2496 – 2499 ในส่วนของผังเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นการจัดลำดับความสำคัญของงาน และการทำแผนแม่บท เพื่อไปจัดทำงบลงทุนของรัฐบาล ซึ่งงบลงทุนจะเป็นส่วนหนึ่งของการขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและวิชาการจากต่างประเทศ[10] และในปี พ.ศ. 2498 ประเทศไทยได้ขอความช่วยเหลือไปยังธนาคารโลก ให้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาสำรวจเศรษฐกิจของประเทศไทยและทำรายงานเสนอรัฐบาล ซึ่งธนาคารโลกได้ตอบรับและส่งคณะสำรวจเศรษฐกิจประเทศไทยมาดำเนินการศึกษาในปี พ.ศ. 2500 ครอบคลุมด้านสาธารณูปโภค การศึกษา และสังคม ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลาต่อมา[11]

การประสานความช่วยเหลือจากธนาคารโลกในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างความสามารถทั้งด้านเทคนิคและทางสถาบันของรัฐ ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นคุณูปการของจอมพล ป. ซึ่งเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการรัฐประหารและได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ได้อาศัยการต่อยอดพื้นฐานทางสถาบันที่ถูกวางไว้ในยุคจอมพล ป.[12]  อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มูลเหตุที่นำไปสู่การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใด

การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจในฐานะเครื่องมือเพื่อสร้างพื้นที่อำนาจทางการเมือง

การรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของ ‘จอมพลผิณ ชุณหะวัณ’ ได้ทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลภายใต้การบริหารประเทศของ ‘พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์’ และได้ตั้ง ‘นายควง อภัยวงศ์’ให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีก่อนจะให้จอมพล ป. เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง

การเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองของจอมพล ป. ในเวลานั้นเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากพอสมควร เนื่องจากการเข้ามาดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ จอมพล ป. ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งมีอำนาจสูงสุดในกองทัพหรือมีอำนาจเหนือกลุ่มคณะรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 สภาพไร้อำนาจบังคับบัญชากองทัพโดยตรงและต้องอยู่ภายใต้การสนับสนุนของนายทหารประจำการในคณะรัฐประหาร[13]

ซ้ำสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีการแข่งขันกันแสวงหาอำนาจภายใต้รัฐบาลของจอมพล ป. ระหว่างจอมพลสฤษดิ์ (กลุ่มสี่เสาเทเวศร์) กับ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจและผู้สืบทอดกลุ่มราชครูของพลโทผิน 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดสภาพการเมืองสามเส้า ในสภาพที่กลุ่มทั้งสองยังไม่พร้อมจะแตกหักกันในเวลานั้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้จอมพล ป. สามารถที่จะสร้างฐานอำนาจของตนเองต่อไปได้โดยอาศัยบารมีที่เหลืออยู่ ซึ่งความพยายามรักษาอำนาจนี้ได้ดำเนินการไปโดยอาศัยการปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศของประเทศไทยจากแนวสัมฤทธิ์ผลโดยลู่ตามลมมาเป็นการเลือกเข้าข้างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับในเวลานั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อปิดล้อมประเทศโลกคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียโดยไม่สนใจอีกต่อไปว่า ระบอบการปกครองของไทยในเวลานั้นจะมีลักษณะเป็นอำนาจนิยมหรือไม่[14]

ดังนั้น ในแง่หนึ่งการที่จอมพล ป. เป็นผู้ริเริ่มร้องขอความช่วยเหลือทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ทรัพยากรทางอำนาจในการหนุนเสริมความอยู่รอดทางการเมืองของตน[15] เช่นเดียวกันกับนโยบายทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลจอมพล ป. ที่พยายามอาศัยกลไกของปรับตัวเข้าระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นโดยบรรดาองค์กรโลกบาลใหม่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น เรื่องการปฏิรูปที่ดินและการแก้ไขกฎหมายแรงงาน เป็นต้น[16] ซึ่งทำให้เกิดความนิยมในประชาชนซึ่งก็เป็นอีกฐานอำนาจของจอมพล ป.  อย่างไรก็ตาม เมื่อจอมพล ป. พ้นจากอำนาจไป ความช่วยเหลือโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจนี้กลายเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่จอมพลสฤษดิ์เข้ามาสานต่ออย่างแข็งขันหลังจากปี พ.ศ. 2501[17] และนำไปสู่การปรับปรุงสถาบันของรัฐที่สำคัญคือ สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของจอมพล ป. ใหม่ โดยการตราพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2502 เพื่อเป็นองค์กรวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับประเทศ พิจารณาโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคมของหน่วยงานของรัฐรวมทั้งงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และประสานงานเพื่อดึงดูดความร่วมมือจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทย[18]

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในช่วงยุคสงครามเย็น ในขณะที่การเมืองของประเทศไทยนั้นมีลักษณะเป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยมีการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนสำคัญ การกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงถูกผูกโยงกับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีโดยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ซึ่งเน้นการเร่งรัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และดึงดูดการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทย[19]

กล่าวโดยสรุป การจัดตั้งองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจครั้งแรกเกิดขึ้นในสมัยของจอมพล ป. โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับจอมพล ป. ในสภาวะการเมืองสามเส้า โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและความนิยมของประชาชนจากนโยบายทางเศรษฐกิจนี้จึงทำให้จอมพล ป. ประคับประคองการบริหารประเทศผ่านมาได้เป็นระยะเวลากว่า 9 ปี (พ.ศ. 2491 – 2500)  

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดการบริหารประเทศโดยจอมพล ป. แล้ว โครงสร้างและสถาบันของรัฐทางเศรษฐกิจที่จอมพล ป. ริเริ่มไว้ก็กลายมาเป็นฐานสำหรับให้จอมพลสฤษดิ์ใช้ต่อยอดเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเองต่อไป


เชิงอรรถ

[1] สุลักษณ์ ศิวรักษ์, เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์ (พิมพ์ครั้งที่ 7, สืบสาส์น 2564) 176.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘คำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)’ ใน ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ 2564 รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร, (มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2564) 155 – 156. 

[3] รุจน์ รฐนนท์, ‘ย้อนรอยอดีตเมื่อไทยเริ่มวางแผน “พัฒนาเศรษฐกิจ” (ตอนที่ 1)’ (The Paper Thailand, 13 พฤษภาคม 2563) https://thepaperthailand.com/2020/05/13/economichistory1/ สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2564.

[4] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม, การวางแผนพัฒนาประเทศ (ศูนย์การพิมพ์เพชรรุ่ง 2554) 7.

[5] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 7.

[6] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องตั้งกรรมการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ.

[7] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 10.

[8] พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2493 มาตรา 8.

[9] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งเลขาธิการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ.

[10] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม (เชิงอรรถที่ 4) 8; บุคคลสำคัญในการวางผังเศรษฐกิจ ได้แก่ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ คุณสุนทร พงส์ลดารมภ์ คุณุญชนะ อัตถากร และ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์.

[11] เพิ่งอ้าง 8.

[12] อภิชาต สถิตนิรามัย, รัฐไทยกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ: จากจุดกำเนิดทุนนิยมนายธนาคารถึงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 (สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน 2556) 12.

[13] เพิ่งอ้าง 13.

[14] เพิ่งอ้าง 13.

[15] เพิ่งอ้าง 13.

[16] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานบนไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2 ธันวาคม 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/12/915 สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564; ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2491 – 2500)’ (2553) 2 วารสารสถาบันพระปกเกล้า 2-5 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/view/244554 สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2564.

[17] อภิชาต สถิตนิรามัย, (เชิงอรรถที่ 12) 13.

[18] สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม (เชิงอรรถที่ 4) 8 – 9.

[19] เพิ่งอ้าง 13 – 14.

ถอดบทเรียน: Russell Crowe กับ อุตสาหกรรม Soft Power และพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมาหนึ่งในเรื่องที่เป็นกระแสมากเท่ากับการที่นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง รัสเซล โครว์ เดินทางไปทั่วกรุงเทพฯ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่อง “The Greatest Beer Run Ever” (หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงที่น่าสนใจ) และได้มีโอกาสถ่ายภาพบรรยากาศและการใช้ชีวิตของผู้คนในประเทศไทยผสมกันไประหว่างย่านการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ร้านอาหาร และภาพสะท้อนของเมืองที่กำลังพัฒนา

ในมุมมองหนึ่งอาจจะดูภาพที่ชวนให้ตื่นเต้นว่าวันนี้จะมีรูปมุมไหนของกรุงเทพฯ ไปปรากฏบนทวิตเตอร์ของนักแสดงคนดังบ้าง แต่ในอีกมุมมองหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นมุมมองของชาวต่างชาติที่มีต่อกรุงเทพฯ และอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “ผลกระทบ” หรือ “กระแสตอบรับ” ที่เกิดขึ้นมาจากการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ของนักแสดงดังก็คือ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศ (ถึงขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องไปพบเจอนักแสดงดัง) สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ประเทศไทยสามารถจะหารายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของรายได้หลักของ

ประเทศไทยกับพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ไทยประเทศได้หรือไม่

ในสถานการณ์ปกติประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักท่องเที่ยวหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวมาสู่ประเทศไทยนั้นก็เป็นผลมาจากการแนะนำในโดย Youtuber หลายคนที่ทำรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศไทย หรือ หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามีผลต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นเป็นอิทธิพลมาจากอุตสาหกรรม Soft Power อย่างเช่น ภาพยนตร์แบบ Lost in Thailand หรือ The Hangover 2 หรือบรรดาซีรีส์หรือละครต่างๆ ที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน (ก่อนหน้านี้มีดาราฮอลีวูดและนักร้องจำนวนมากที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อใช้โลเคชันในการถ่ายทำผลงาน)

อุตสาหกรรม Soft Power เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยที่ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องลงทุนไปกับการออกบูทประชาสัมพันธ์ตามงานท่องเที่ยวต่างๆ แบบแต่ก่อน อีกทั้งการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยยังสร้างรายได้ให้กับประเทศอีกด้วยทั้งจากการเข้ามาใช้จ่ายของกองถ่ายทำภาพยนตร์ การจ้างแรงงานเพื่อประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มาจากการเดินทางเข้ามาพักในประเทศไทย เช่น ค่าโรงแรม ร้านอาหาร และท่องเที่ยว เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากสถิติของ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

รายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย จำแนกตามประเทศผู้ผลิตภาพยนตร์
(หน่วยนับ : ล้านบาท)

ประเทศ2548254925502551255225532554255525562557
 ญี่ปุ่น  16514215413410812311314914057
 อินเดีย  44729212310812810712515054
 เกาหลี  26423926274147332915
 จีน  52188162233242923
 อเมริกา  22212225252235273416
 ฮ่องกง  24212523202424373814
 ออสเตรเลีย  2027181088156228
 ไต้หวัน  616310169171
 ยุโรป  10577102106969111910511269
 อื่นๆ  756757687810310412915687
รวม/เรื่อง492491523526496578606636717344
รายได้/ล้านบาท1,138.361,926.831,072.622,023.24897.831,869.151,226.451,781.932,173.35942.2

ที่มา: กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา.

กล่าวเฉพาะในช่วงของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อีกครั้งหนึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวได้เปิดเผยรายงานของกองกิจการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ เกี่ยวกับสถิติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน นั้น มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า 31 เรื่อง สร้างรายได้รวม 1,212.28 ล้านบาท และเฉพาะการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Beer Run”และ “Beer Run 2” ของรัสเซล โครว์ และกองถ่ายทำในช่วงเดือน กันยายน – ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ราชบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี และประจวบคีรีขันธ์นั้นจะสร้างรายได้จากการประมาณค่าใช้จ่ายได้ราวๆ 373 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาลงไปในประเภทของภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยนั้น 3 อันดับแรกของภาพยนตร์ (ในช่วงปี 2548 – 2558) ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศนั้น จากการเก็บข้อมูลของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าอันดับหนึ่งจะเป็นภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวน 2,738 เรื่อง ภาพยนตร์สารคดี 1,989 เรื่อง และมิวสิควีดีโอ 507 เรื่อง สำหรับภาพยนตร์เรื่องยาวจำนวน 429 เรื่อง

ปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยได้เปรียบ คือ การมีโลเคชันหลากหลายทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ ประเพณี และการพัฒนาเมือง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพแล้วสิ่งนี้กลายมาเป็นจุดเด่นของประเทศไทย และยังไม่รวมถึงธุรกิจภาคบริการที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ  

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีจะได้ประโยชน์อย่างมากหากมีการเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยทั้งในแง่ของการเข้ามาใช่จ่ายของกองถ่าย ซึ่งประโยชน์จะไปถึงประชาชนโดยตรงจากการซื้อสินค้าและบริการ การจ้างงานในประเทศ การใช้จ่ายบริการสนับสนุนการถ่ายทำ และการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ต่างๆ ที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้วภาพยนตร์ยังมีส่วนในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ และเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

อย่างไรก็ตาม สิ่งต้องกลับมาทบทวนก็คือ นโยบายของรัฐบาลนั้นสนับสนุนให้เกิดการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเพียงพอแล้วหรือไม่

นโยบายของรัฐบาลกับการถ่ายทำภาพยนตร์

หากรัฐบาลพิจารณาแล้วว่า อุตสาหกรรม Soft Power จะกลายมาเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ช่วยเสริมแรงการท่องเที่ยวที่น่าจะยังไม่ฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรัฐบาลได้ตั้งปณิธานว่าจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจตามนโยบายที่นายกรัฐบาล อุปสรรคอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ นโยบายของรัฐบาลอาจจะยังไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยขนาดนั้น โดยเฉพาะอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากใบอนุญาต

ในปัจจุบันการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศภายในประเทศไทยนั้นกองถ่ายภาพยนตร์จะต้องขอใบอนุญาตหลายใบถึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ภายในประเทศได้ ซึ่งบรรดาใบอนุญาตทั้งหลายนี้ก็ไม่ได้รวมกันอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียวกัน ซึ่งก็เป็นปัญหาในกรณีที่จะต้องมีการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศที่จะต้องมีการติดต่อเพื่อขอใบอนุญาตหลายจุด การมีจำนวนใบอนุญาตเป็นจำนวนมากนี้ไม่ได้มีผลเพียงแค่ต้องติดต่อหลายหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว บรรดาใบอนุญาตดังกล่าวยังกลายเป็นต้นทุนและเป็นเงื่อนไขที่ต้องรอก่อนจึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าวได้

ใบอนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย*

ใบอนุญาตหน่วยงานต้นทุน
ใบอนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร**กรมการท่องเที่ยวค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 168,364 บาทค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 9,767,307 บาท
การขออนุญาตเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ในอุทยานแห่งชาติกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 11,519 บาทค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 5,195,160 บาท
การขออนุญาตให้เข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตโบราณสถานกรมศิลปากรค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 28,548 บาทต่อปี 540,978 บาท
การขออนุญาตเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตวัดและศาสนสถานสำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 6,291 บาทต่อปี 155,062 บาท

หมายเหตุ *การขอใบอนุญาตดังกล่าวไม่นับรวมการขออนุญาตในพื้นที่ เช่น บนท้องถนนที่ต้องขออนุญาตต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
** กรณีนี้เฉพาะการขอใบอนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ประเภทภาพยนตร์ยาว ซึ่งค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันตามประเภทของภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำ

ที่มา: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรืออุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่ม 1’ (เสนต่อสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง) 333 – 370 และ 385 – 400.

ผลของการมีใบอนุญาตหลายใบนั้นกลายมาเป็นอุปสรรคที่ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยนั้นเกิดความไม่สะดวกทั้งในแง่ของการติดต่อ การประสานงาน และการดำเนินการ ซึ่งหากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกนั้นควรที่จะทำให้ใบอนุญาตนั้นควรจะมีเพียงแค่ใบเดียว หรือถ้าในระยะเบื้องต้นไม่สามารถรวมใบอนุญาตไว้เพียงแค่ใบเดียวได้นั้นก็ควรที่จะลดการติดต่อของต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอใบอนุญาตโดยอาจจะทำเป็น One Stop Service ที่สามารถขอใบอนุญาตในที่เดียวจบ

นอกจากความวุ่นวายในการขอใบอนุญาตแล้ว สิ่งที่พ่วงมากับการขอใบอนุญาตก็คือ กระบวนการหลายกรณีนั้น การขอใบอนุญาตเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเกิดขึ้นมาจากนโยบายการเซนเซอร์ของรัฐบาลในการตรวจสอบบทภาพยนตร์ ทำให้เกิดปัญหาว่าในหลายๆ กรณีกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกที่จะเปลี่ยนประเทศเพื่อไปถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศอื่นที่มีบรรยากาศและโลเคชันใกล้เคียงกับประเทศไทยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกปรับเปลี่ยนบทภาพยนตร์

ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนกันเสียใหม่ เพราะควรมองให้เห็นประโยชน์ของการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์มากกว่าจะให้ความสำคัญกับการถ่ายทำซึ่งไม่อาจแน่ใจได้ด้วยซ้ำว่าเนื้อหาที่นำเสนอนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะสิ่งที่มาถ่ายทำก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งฟุตเทจ

ปัญหาอีกประการที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยนั้นยังมีปัญหาเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย (ดารา นักแสดง และสมาชิกกองถ่ายที่เป็นคนต่างด้าวทั้งหมดต้องขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย) ซึ่งกองถ่ายต่างประเทศจำเป็นต้องขอใบอนุญาต

ในประเด็นนี้หากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกจริงๆ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนอาจจะจำเป็นต้องคิดนอกกรอบโดยการออกประเภทวีซ่าใหม่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และยกเว้นใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวเนื่องจากใบอนุญาตดังกล่าวอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับการทำงานของกองถ่ายภาพยนตร์

กล่าวโดยสรุปเมื่อประเทศไทยอยากคว้าโอกาสจากอุตสาหกรรม Soft Power โดยเฉพาะการเชื้อเชิญต่างประเทศเพื่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยลำพังเพียงแต่การออกนโยบายมาโดยไม่มีการทำอะไรเป็นแผนนิ่งๆ นั้นอาจจะไม่มีประโยชน์ วิธีการสนับสนุนที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การแก้ไขกฎระเบียบที่จะกลายเป็นอุปสรรคของเขาในการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยก็สามารถช่วยเหลือกองถ่ายภาพยนตร์และดึงดูกการเข้ามาถ่ายทำได้แล้ว


อ้างอิงจาก

  • กรุงเทพธุรกิจ, ‘กองถ่ายหนังต่างประเทศไม่หวั่นโควิด! เปิดสถิติ 4 เดือนแรกไทยกวาดรายได้ 1.2 พันล้าน’ (กรุงเทพธุรกิจ, 31 พฤษภาคม 2564) <https://www.bangkokbiznews.com/news/940807&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • เนชั่น, ‘รัสเซล โครว์-กองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ Beer Run คาดนำรายได้เข้าไทย 373 ล้านบาท’ (Nation Online, 21 ตุลาคม 2564) <https://www.nationtv.tv/news/378847745&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • สถิติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และสถิติรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เข้าถึงได้จาก สำนักสถิติแห่งชาติ, ‘การเผยแพร่ข้อมูลสถิติทางการ (รายสาขา)’ (สำนังานสถิติแห่งชาติ) <https://osstat.nso.go.th/statv5/list.php?id_branch=17&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564.
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ‘รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรืออุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่ม 1’ (เสนอต่อสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง)

Hometown Cha-Cha-Cha: ค่าจ้างขั้นต่ำกับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภาพ: โปสเตอร์ซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha

หลังจาก Squid Game ลาจอไปได้ไม่นาน ประเทศเกาหลีก็ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสการพูดถึงซีรีส์ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วยเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha นอกจากเนื้อเรื่องที่มีการพูดถึงความรัก บรรยากาศอบอุ่นใจของความสัมพันธ์ต่างๆ ของตัวละครในเรื่อง และปมปัญหาชีวิตที่หลากหลายของตัวละครแต่ละตัวแล้ว โดยเรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นที่ชุมชนชาวประมงเล็กๆ ชื่อว่า “กงจิน” 

สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในเรื่องและคิดว่าเป็นสิ่งที่เนื้อเรื่องพยายามจะสื่อสารกับคนดูทุกคนก็คือ “เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอยู่ในท้องถิ่นได้” ผ่านบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีค่าจ้างขั้นต่ำที่มีคุณภาพเพียงพอกับการครองชีพ

หัวหน้าฮงและชาวบ้านกงจินดำรงชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำได้อย่างไร

อาจจะไม่การสปอยเนื้อเรื่องจนเกินไป เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ซีรีส์พยายามถ่ายทอดให้กับคนดูทุกคนรู้ตั้งแต่ Ep แรกๆ ของแล้วว่า ตัวละครหลายตัวในเรื่องนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง เช่น ตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่องอย่างหัวหน้าฮง ซึ่งจะทำงานจิปาถะต่างๆ (หัวหน้าฮงทำได้ทุกอย่างจริงๆ มีใบอนุญาตทำงานทุกๆ อย่างเท่าที่จะมีได้ และมีทักษะหลากหลายตั้งแต่พูดภาษารัสเซียและใช้ภาษามือ ไปจนถึงการเป็นบาริสต้า ช่างทาสี ช่างไฟฟ้า และช่างซ่อมเรือ)

ในชุมชนหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้โดยคิดค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน ต่อชั่วโมงคูณด้วยชั่วโมงการทำงานในแต่ละงาน เช่น ตอนที่ตัวเอกหญิงของเรื่องได้ให้หัวหน้าฮงดำเนินการจัดทำเรื่องสัญญาเกี่ยวกับการเช่าบ้าน และสถานที่สำหรับทำร้านหมอฟัน เป็นต้น และ โดยการทำงานของหัวหน้าฮงจะเป็นรูปแบบของฟรีแลนซ์ มีเวลาทำงานโดยเป็นคนกำหนดเอง และจะไม่ทำงานในวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์

ประเด็นสำคัญคือ ค่าจ้างขั้นต่ำที่หัวหน้าฮงเรียกเป็นค่าบริการนี้เป็นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2021 ซึ่งรัฐบาลเกาหลีกำหนดให้คนเกาหลีที่ทำงานรับจ้างได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน หรือ 240 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของประเทศไทย และมากกว่าอาชีพพนักงานร้านสะดวกซื้อบางยี่ห้อที่ให้ค่าตอบแทนพนักงานประมาณชั่วโมงละ 40 บาท (โดยมีขอบเขตการทำงานกว้างขวางเหมือนมหาสมุทร) นอกจากค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงแล้วรัฐบาลเกาหลียังได้มีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนด้วย (เงินเดือนรวมๆ) จะต้องอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,822,480 วอน หรือประมาณ 51,000 บาท (มากกว่าค่าตอบแทนปริญญาตรีของไทย)

ไม่ใช่แค่ตัวละครเอกฝ่ายชายเท่านั้นที่ทำงานเรียกรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้ จะเห็นได้ว่าตัวละครหลายตัวในเรื่องดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ เช่น คุณยายกัมรี หัวหน้าแก๊งสามยาย ที่มีอาชีพควักเครื่องในหมึกก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในการดำรงชีวิต ซึ่งถ้าเทียบกับค่าครองชีพแล้วจะเห็นฉากหนึ่งที่แก๊งสามยายไปซื้อสบู่ที่บ้านของหัวหน้าฮง ซึ่งจะมีการพูดถึงราคาสบู่ก้อนละ 500 วอน ซึ่งคุณยายทั้งสามจะบอกว่ามันถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพ สิ่งนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงความสมเหตุสมผลของค่าจ้างและค่าครองชีพในชุมชน

ดังจะเห็นได้ว่าค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศเกาหลีนั้น เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง และแม้จะอยู่ในท้องถิ่นชนบทค่าจ้างขั้นต่ำในจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินที่มากจนนายจ้างไม่สามารถจ่ายได้และไม่ได้น้อยไปจนไม่สามารถใช้ในการครองชีพได้เลย เพราะจะเห็นได้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการจ้างงานจิปาถะกับหัวหน้าฮงแทบจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะจ่ายค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าวเลย

นอกจากนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำของเกาหลียังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ มีการทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสม่ำเสมอ แม้ว่าซีรีส์จะพึ่งจบไปไม่นาน แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนไปแล้ว โดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (The Minimum Wage Commission) ของประเทศเกาหลี ได้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาและได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2022 เป็น 9,160 วอน หรือประมาณ 256 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 5.1 ของค่าจ้างขั้นต่ำในปีก่อน และกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนไว้ที่ 1,914,440 วอน หรือประมาณ 53,700 บาท ต่อเดือน ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ดำเนินการมาต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 24 ปี ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา และการประกันค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนเริ่มต้นมีในปี 2016

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับเปลี่ยนโดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

YearHouly Minimum
wage rate
Dai ly minimum wage rate
(based on 8 hours)
Monthly minimum wage rate
(based on 209 hours, based on Public notice)
Increase
(an increase in the amount)
‘22.1.1 ~’22.12.319,16073,2801,914,4405.05(440)
‘21.1.1 ~’21.12.318,72069,7601,822,4801.5(130)
‘20.1.1 ~’20.12.318,59068,7201,795,3102.87(240)
‘19.1.1 ~’19.12.318,35066,8001,745,15010.9(820)
‘18.1.1 ~’18.12.317,53060,2401,573,77016.4(1,060)
‘17.1.1 ~’17.12.316,47051,7601,352,2307.3(440)
‘16.1.1 ~’16.12.316,03048,2401,260,2708.1(450)
‘15.1.1 ~’15.12.315,58044,640 7.1(370)
14.1.1~’14.12.315,21041,680 7.2(350)
‘13.1.1 ~’13.12.314,86038,880 6.1(280)
‘12.1.1 ~’12.12.314,58036,640 6.0(260)
‘11.1.1~’11.12.314,32034,560 5.1(210)
‘10.1.1~’10.12.314,11032,880 2.75(110)
‘09.1.1~’09.12.314,00032,000 6.1(230)
‘08.1.1~’08.12.313,77030,160 8.3(290)
‘07.1.1~’07.12.313,48027,840 12.3(380)
‘05.9~’06.123,10024,800 9.2(260)
‘04.9~’05.82,84022,720 13.1(330)
‘03.9~’04.82,51020,080 10.3(235)
‘02.9~’03.82,27518,200 8.3(175)
‘01.9~’02.82,10016,800 12.6(235)
‘00.9~’01.81,86514,920 16.6(265)
‘99.9~’00.81,60012,800 4.9(75)
‘98.9~’99.81,52512,200 2.7(40)
‘97.9~’98.81,48511,880 6.1(85)
‘96.9~’97.81,40011,200 9.8(125)
‘95.9~’96.81,27510,200 8.97(105)
‘94.9~’95.81,1709,360 7.8(85)
’94.(1~8)1,0858,680 7.96(80)
’931,0058,040 8.6(80)
’929257,400 12.8(105)
’918206,560 18.8(130)
’906905,520 15.0(90)
’896004,800 1Group29.7(137.5)
2Group23.7(112.5) 
’881Group 462.50
2Group 487.50 
3,700
3,900 
 
ที่มา: Minimum Wage Commission, Republic of Korea

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกาหลีก็มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นมาจากการผูกขาดของการพัฒนา และจะมีด้านมืดของสังคมที่มีการกดดันต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเรียกสังคมเกาหลีว่า “นรกโชซอน” (Hell Joseon) และอัตราค่าครองชีพอาจจะสูงมากเมื่ออยู่ในเมืองทำให้คุณภาพชีวิตอาจจะลดลงบ้าง แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวก็เพียงพอในการดำรงชีวิตได้

ถ้าหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทยจะมีค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

เมื่อพิจารณาบริบทของประเทศเกาหลีในซีรีส์แล้ว ลองย้อนกลับมาดูประเทศไทย สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ ค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง และเหมาะสมกับค่าครองชีพจริงๆ หรือไม่ โดยมาลองสมมติกันว่า ถ้าหากหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทย หรือถ้าน้ำเน่า (หน่อยๆ) แบบเรือแตกความจำเสื่อมแล้วมารู้สึกตัวอยู่เมืองไทยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่มีความสามารถมากมายหลายอย่างเขาจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไรในประเทศไทย

คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าหัวหน้าฮงทำงานที่ไหน หรือ เรือไปแตกแล้วตื่นขึ้นมาที่จังหวัดไหนของประเทศไทย เพราะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยมีความแตกต่างกัน (สัมพัทธ์) ตามพื้นที่การแบ่งเขตค่าจ้างขั้นต่ำ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมาคณะกรรมการค่าจ้างได้มีประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) ซึ่งได้ประกาศให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยแบ่งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แตกต่างกันตามเขตพื้นที่ (ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่อย่างใด) ดังนี้

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในแต่ละพื้นที่

  พื้นที่  ค่าจ้างขั้นต่ำ  จำนวนจังหวัด
จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต3362
จังหวัดระยอง3351
กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ3316
จังหวัดฉะเชิงเทรา3301
จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย อุบลราชธานี32514
จังหวัดปราจีนบุรี3241
จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม3236
จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์32021
จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระยอง ราชบุรี ลำปาง ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อุทัยธานี และอำนาจเจริญ31522
จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี3133
ที่มา: ปรับปรุงจากประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ดังนั้น ถ้าหัวหน้าฮงทำงานในกรุงเทพมหานครก็จะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำรายวันๆ ละ 331 บาท หรือคิดเป็นรายชั่วโมงตกชั่วโมงละ 41 บาท (จำนวนนี้คิดจากการหาร 8 ชั่วโมงตามเวลาทำงานปกติสูงสุดตามกฎหมายแรงงานกำหนดไว้) และเมื่อคิดเป็นค่าจ้างต่อเดือนจะเป็นเงินจำนวน 9,930 บาท (คิดจากการคูณ 30 วัน ซึ่งอาจรวมเสาร์และอาทิตย์ซึ่งอาจเป็นวันหยุดงานในบางอาชีพและสถานประกอบการ)

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าครองชีพแล้วถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่หัวหน้าฮงจะต้องจ่าย เช่น ค่าเดินทาง และค่าเช่าที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมๆ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการมีเงินเก็บแม้แต่น้อย (แม้ว่าอาจจะมีพูดให้ความเห็นว่า ถ้ารู้จักใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอเพียง และรู้จักใช้ก็อยู่ได้ก็อยากให้คนพูดย้อนกลับไปคิดเองว่ามันเพียงพอจริงๆ เหรอ และจะเลือกรับเงินจำนวนดังกล่าวจริงๆ หรือไม่ ถ้าหากสามารถเลือกได้)

สำหรับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยนั้นตามพื้นที่นั้นเกิดจากการกำหนดของคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่าๆ กัน โดยศึกษาและพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้แก่ อัตราค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเทียบเคียงและอาศัยสูตรคำนวณตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ซึ่งเกณฑ์นี้ใช้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้นๆ โดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเอาไว้ให้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ลูกจ้างทุกคนจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำจริงๆ เช่น ในปี 2558 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำการสำรวจการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำแรงงานทั่วประเทศ พบว่ายังมีแรงงานทั่วประเทศไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 2.11 ล้านคน หรือร้อยละ 14.8 โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานในสถานประกอบการที่มีคนทำงานไม่เกิน 50 คน ((1-9 คน ร้อยละ 33.6) 10-49 คน (ร้อยละ 12)) เป็นต้น

ร้อยละของแรงงานไม่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำ

ขนาดสถานประกอบการ (คน)% แรงงานไม่ได้รับต่ำกว่า 300 บาท (ล้านราย)
1-933.6           (1.55)
10-4912.0           (0.38)
50-1993.7          (0.08)
200+ขึ้นไป1.9          (0.07)
อื่นๆ11.7          (0.01)
รวมเฉลี่ย14.8          (2.11)
หมายเหตุ: คำนวณจากการสำรวจการมีงานทำไตรมาส 3, 2558
ที่มา: ยงยุทธ  แฉล้มวงษ์, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.

นอกจากนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเกิดความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในพื้นที่ที่มีความเจริญอยู่แล้วหรือมีเป็นเมืองเศรษฐกิจ (การท่องเที่ยว และโรงงานอุตสาหกรรม) กลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูง ในขณะที่เมืองที่ยังไม่ได้รับการพัฒนากลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำ

เมื่อคิดถึงสภาพการลงทุนแล้วเอกชนอาจจะอยากลงทุนในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำเพิ่มขึ้น แต่แรงงานก็ไม่อยากทำงานในพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับพยายามโยกย้ายเข้าไปหางานทำในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงสภาพการพัฒนายิ่งไม่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ เพราะแม้มีการลงทุนแต่อาจก็ไม่มีแรงงาน

ปัญหาเรื่องอัตราค่าครองชีพในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากโดยเฉพาะในช่วงหาเสียงที่รัฐบาลหลายพรรคการเมืองมักจะชูนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่นเดียวกันกับรัฐบาลนี้ที่เคยหาเสียงด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ไม่ได้ทำตามสัญญาหลังจากขอเวลามานาน) ประเด็นใจความสำคัญของการถกเถียงมักจะอยู่ที่ว่าการแทรกแซงราคาค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้เกิดอัตราการว่างงานเนื่องจากมีการปลดคนงานออก 

อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องเมื่อรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ล่าสุดนั้นได้สรุปผลการวิจัยว่า จาก “การทดลองตามธรรมชาติ” (Natural Experiments) โดยการศึกษาสถานการณ์ตามความเป็นจริงเพื่อตอบคำถามทางสังคมในเรื่องที่ว่าค่าแรงขั้นต่ำกับการอพยพส่งผลต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้าง ซึ่งผลสรุปนั้นพบว่า การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลต่อการจ้างงานลดลง และผู้อพยพก็ไม่ได้ทำให้พวกคนงานซึ่งเกิดในพื้นถิ่นได้รับค่าจ้างต่ำลง ผลการทดลองในครั้งนี้เป็นการพลิกแนวความคิดเดิมที่เคยยึดถือจากการทดลองโดยใช้แบบจำลองมาคิด

เมื่อกลับมาที่หัวหน้าฮง สถานการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนหากหัวหน้าฮงย้ายจากประเทศเกาหลีมาทำงานที่ประเทศ ไม่ว่าเขาจะทำงานในกรุงเทพฯ หรือ ในต่างจังหวัด อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวก และเลือกทำงานในวันที่อยากทำเหมือนในเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha แต่ทางเลือกของหัวหน้าฮงอาจจะลดลงและทำงานอย่างยากลำบากในทุกๆ วันเพื่อจะมีชีวิตรอดไปวันจนไม่สามารถใส่ใจคนในชุมชนรอบตัวเขาได้อย่างเต็มที่แบบที่เป็นในซีรีส์ และคงไม่เกิดเรื่องราวอบอุ่นหัวใจเป็นที่แน่นอน

Hometown Cha-Cha-Cha (2021)

ประเภทซีรีส์: โรแมนติก, คอมเมดี้

ผู้กำกับ: ยูเจวอน

นักแสดงนำ: ชินมินอา, คิมซอนโฮ, อีซังอี

จำนวนตอน: 16 ตอน

ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง tvN วันที่ 28 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น. (เกาหลี)

ประเทศไทยสามารถรับชมได้ที่ NETFLIX


อ้างอิงจาก

  • กองบรรณาธิการ TCIJ, ‘จับตา: สรุปรางวัลโนเบลทุกสาขาประจำปี 2021’ (TCIJ, 14 ตุลาคม 2564) <https://www.tcijthai.com/news/2021/10/watch/11993&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ยงยุทธ แฉล้มวงษ์, ‘ถึงเวลาปรับค่าจ้างขั้นต่ำได้หรือยัง’ (TDRI, 7 กันยายน 2558) <https://tdri.or.th/2016/09/minimum-wages/&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
  • Minimum Wage Commission, ‘Minimum Wage System’ (Minimum Wage Commission Republic of Korea) <http://minimumwage.go.kr/eng/sub04.html&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • กรกิจ ดิษฐาน, ‘Hell Joseon เมื่อคนหนุ่มสาวเกาหลีไม่อยากอยู่ประเทศตัวเอง’ (Post Today, 4 พฤษภาคม 2564) <https://www.posttoday.com/world/652005&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.

สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

สันติประชาธรรมเป็นมรรควิธีสำคัญของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ท่านได้แสดงไว้ ซึ่งสันติประชาธรรมนั้นเป็นวิธีการและหนทางสำคัญในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

สันติประชาธรรมคืออะไร

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

สันติประชาธรรมคือ หลักการที่อาจารย์ป๋วยหรือ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนอเป็นหลักคิดสำหรับการเกิดสันติและความเป็นธรรมในสังคม โดยอาจารย์ป๋วยเชื่อว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนทางการเมือง ซึ่งอาจารย์ป๋วยเรียกว่า “ประชาธรรม” นั้นจะได้มาก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น  ฉะนั้น ในมุมมองของอาจารย์ธรรมเป็นอำนาจ (ธรรมเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ) ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม (อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม) ดังนั้นแล้วจึงถ้ายึดหลักประชาธรรม (สิทธิและเสรีภาพของประชาชน) แล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี

คุณค่าของสิทธิและเสรีภาพในมุมมองของอาจารย์ป๋วยจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดประการหนึ่งในการดำรงอยู่ของสังคม และการใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้นแม้จะสำเร็จอาจจะได้ผลก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น  ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือควบคุมฝูงชนจึงอาจจะไม่ใช่หนทางไปสู่การเกิดประชาธรรมแล้ว ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดความเกลียดชังในสังคมอีกด้วยซ้ำ

“สมมติว่าเราปักใจท้อเสียก่อนว่าสันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยประชาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น และแม้จะเกิดขึ้นได้ยากและอาจทำให้ผู้คนหมดหวังไปเสียก่อน ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยการปักใจเชื่อว่า “สันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ” ก็ควรแสดงออกทางการเมืองโดยสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการเรียกร้องหรือการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงประชาธรรม วิธีการดังกล่าวนั้นเช่นเดียวกับที่อาจารย์ป๋วยพยายามทำเสมอมาผ่านตัวตนที่แสดงออกจากงานเขียน “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” “สันติประชาธรรม” และ “จดหมายนายเข้ม เย็นยิ่ง”

หนทางของอาจารย์ป๋วยในการได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นมีสันติวิธีเพียงอย่างเดียวถึงจะได้ประชาธรรมถาวรมั่นคง และต้องใช้เวลานาน ต้องเสียสละ ต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษ และอาจจะถูกเย้ยหยันโดยผู้อื่น แต่ถ้ามุ่งมั่นในหลักการจริงความมานะอดทนย่อมตามมาเอง บุคคลที่บัดนี้ได้ถูกรัฐบาลควบคุมตัวไว้เพราะกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักในประชาธรรมนั้นจึงเป็นผู้มีเกียรติ ควรได้มาซึ่งความเคารพ และไม่ควรถูกทอดทิ้งไว้ในยามยากลำบาก เพราะอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

ในการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ)

ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็ควรจะพิจารณาวิถีทางแห่งสันติประชาธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลที่ได้เข้ามาบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 7 ปีนั้นได้เพียงแต่นำเสนอการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ใส่ใจในเชิงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งภาพดังกล่าวยิ่งชัดเจนในช่วงเวลาของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่มีหลักประกันในคุณภาพชีวิต เมื่อเผชิญกับโรคระบาดและภาวะการตกงาน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้ไปตกแก่ภาระของปัจเจกบุคคล แทนที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นความบกพร่องของการทำงานและระบบของรัฐบาล ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ยอมรับว่าความผิดเป็นผลมาจากการบริหารงานที่ไม่มีความสามารถของตนเองการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

สังคมเศรษฐกิจไทยจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสันติประชาธรรมได้นั้น จำเป็นต้องยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเสียก่อน ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นตรงกันข้ามกับสังคมไทยที่เน้นการเติบโตเชิงตัวเลขเท่านั้นมากกว่าการจะเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน  นอกจากนี้ การพัฒนาในปัจจุบันก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองหลวงและเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมือง ภาพที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นการเอาทรัพยากรของคนทั้งประเทศไปทุ่มไว้ให้คนบางกลุ่มเท่านั้น

ในขณะที่ประชาชนนอกกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับปัญหาความยากลำบากทั้งการเข้าไม่ถึงสวัสดิการ การรักษาพยาบาล และกลายเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้การพัฒนาในรูปแบบดังกล่าวเป็นการพัฒนาบนรากฐานของความรุนแรงและการบังคับเสียสละ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพซ้ำเติมของความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น (ภาพเหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะนอกกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ในเขตกรุงเทพมหานครก็กลายเป็นพื้นที่แสดงภาพดังกล่าวซ้อนทับเข้าไปอีก เมื่อโครงสร้างของการพัฒนาไม่สมดุล)

การจะหลุดพ้นจากการพัฒนาแบบไม่สมดุลได้นั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเป็นสังคมสันติประชาธรรม ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้การกำหนดนโยบายการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ) ก็ควรจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

“ผมจำเป็นต้องมีโอกาสได้ร่วมงานของชุมชนที่ผมอาศัยอยู่ และสามารถมีปากเสียงในการกำหนดชะตาของบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศของผม”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน.

อาจารย์ป๋วยได้เคยเขียนถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนนี้ไว้ในเอกสารเรื่อง “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” แสดงให้เห็นว่าบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการมีประชาธรรม และจะมีเฉพาะการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในระดับรากฐานของชุมชนการเมือง ฉะนั้น การกระจายอำนาจทางปกครองจึงมีความสำคัญ

“ในการพัฒนาประชาชาติ ข้อที่ควรคำนึงถึงก็คือ ประชาชาติประกอบด้วยประชาชนที่เป็นมนุษย์ และมนุษย์แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉานหรือตุ๊กตาของเล่นอยู่ที่มนุษย์สามารถใช้สมองใช้ความคิด สามารถช่วยตัวเองได้  ฉะนั้น วิธีการพัฒนาหมู่ชนด้วยการลงทุนน้อยและได้ผลมากก็คือ วิธีการช่วยให้มนุษย์และประชาชนนั้นสามารถช่วยตัวเองได้อย่างดี กล่าวคือ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในส่วนกลาง คือ รัฐบาล จำเป็นต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของเอกชน เคารพในศักดิ์และสิทธิแห่งเอกชน ที่จะริเริ่มดำเนินการได้ด้วยตนเอง ที่จะดำเนินกิจการของเขาไปได้โดยปราศจากข้อกีดขวางในทำนองถูกเบียดเบียนแย่งชิงหรือห้ามปรามด้วยเอกสิทธิ์อันไม่ชอบธรรม”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

แนวทางการพัฒนาตามสันติประชาธรรมนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การไม่ปฏิเสธคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐไม่ควรดำเนินนโยบายหรือวางท่าทีการบริหารประเทศเสมือนเป็นการทำมหากุศลหรือการบริจาคทาน และมองประชาชนเป็นเสมือนภาระหรือผู้ขอรับความช่วยเหลือ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่จะให้การสนับสนุนประชาชนในการจะดำเนินการเพื่อก่อร่างสร้างตำแหน่งแห่งที่ของตน ดังนั้น ทัศนคติของรัฐบาลโดยคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พยายามกระทำกับประชาชนเหมือนเป็นการบริจาคโดยใช้เงินภาษีของประชาชนนั้นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องต่อการสร้างสังคมที่มีประชาธรรม ในทางตรงกันข้ามทัศนคติแบบนี้เป็นวิถีทางของเผด็จการและเศษซากศักดินาที่มองประชาชนเป็นเบี้ยล่าง และวางตนเป็นผู้มีบุญอยู่เหนือความทุกข์ยากของประชาชน

“ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

สังคมที่เป็นสันติประชาธรรมนั้นนอกจากการตระหนักในคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้วนั้น สังคมควรสร้างความเป็นภราดรภาพระหว่างคนในสังคมจะต้องผนวกความเอื้ออาทรต่อกลุ่มชนผู้เสียเปรียบในสังคมและมองว่าเป็นหนี้ร่วมกันของคนในสังคมที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก…สุภาษิตของแมกไซไซที่ว่า ถ้าใครเกิดมามีน้อยบ้านเมืองพึงให้มากๆ เป็นสุภาษิตซึ่งควรจะมีประจำใจไว้” และหัวใจสำคัญคือการจะต้องเกื้อกูลกันด้วยความเป็นภราดรภาพ ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยแสดงปาฐกถาเรื่อง “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาชาติ” ว่า “ผู้อ่อนแอกว่าย่อมพึงมีสิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่คอยรับทานจากผู้ที่แข็งแรงกว่า และผู้ที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า จะต้องรู้จักยับยั้งไม่กอบโกยด้วยความโลภ เปิดโอกาสให้มีความยุติธรรมทางสังคม”

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาสังคมสู่สันติประชาธรรมนั้นก็คือ ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ระบอบการเมืองการปกครองของไทยเป็นระบอบเผด็จการเสียส่วนใหญ่ ทหารและนักการเมืองรับใช้ทหารคอยปกครองประเทศและเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศให้มีอัปลักษณะบางประการทางสังคม ได้แก่ ขนาดของการเปิดประเทศที่มีมากเกินไป การพึ่งพาการนำเข้าและการพึ่งพิงเงินออกจากต่างประเทศมากเกินไป การผูกขาดและการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดมาจากนโยบายของรัฐบาล (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, 2531) ที่คอยสนับสนุนอุ้มชูกลุ่มทุนจากต่างประเทศโดยกดขี่แรงงานไทย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564) หรือการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่สนับสนุนตนเองหรือตนเองเข้าไปมีส่วนเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการรวมอยู่ด้วย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564 และผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, 2546) อัปลักษณะเหล่านี้เองก็มีส่วนซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางสังคมและขัดขวางการพัฒนา

ปัจจุบันนี้ สังคมกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านมนตราของระบอบเผด็จการได้เริ่มเสื่อมลงแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีทัศนะที่ถูกต้องแล้วว่าการพัฒนาแบบไม่สมดุลนั้นไม่ใช่ความยั่งยืน การจะทำให้สังคมไปสู่สังคมสันติประชาธรรมนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลา แต่ไม่มีอะไรที่จะสายเกินกว่าจะเริ่มต้นทำในวันนี้ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาโดยยึดถือสันติประชาธรรมนั้นจะช่วยให้สังคมไทยดีขึ้น พร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น แม้ในเวลาที่ยากลำบากก็ขอให้อย่าหมดหวังในสังคมที่เป็นประชาธรรมโดยสันติ และขอให้อย่าหมดหวังในขบวนการประชาธิปไตย


อ้างอิงจาก

  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางเศรษฐกิจ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, ‘เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม ?’ ใน รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์พัวพงศกร (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2531) 1027 – 1051.
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 กุมภาพันธ์ 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/02/599 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 3, สำนักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2546).
  • ธารทอง ทองสวัสดิ์, ‘เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504’ ใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2533).

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลาเริ่มต้นจากการเคลื่อนเข้าสู่การเกิดขึ้นของแรงงานในช่วงก่อนพุทธศักราช 2475 สภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของแผ่นดินสยามจะเกี่ยวข้องกับการเกษตรมากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

จนเมื่อ “คณะราษฎร” เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ขึ้นและนำเสนอโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและปรับปรุงผลผลิตและทรัพยากรในสังคม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมเข้าสู่สังคมแรงงานมากขึ้นสิทธิของผู้ใช้แรงงานก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ในบทความนี้จะได้พูดถึงการเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในช่วงเหตุการณ์สำคัญในเดือนตุลาคม 2 เหตุการณ์ คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

การเคลื่อนเข้าไปสู่การเกิดขึ้นของแรงงาน

ในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 นั้นสภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้จากอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นข้าราชการกับเกษตรกรมากกว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำร่างนโยบายเศรษฐกิจของคณะราษฎร หรือที่เรียกว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับปรุงการปันผลผลิตในสังคม โดยมุ่งใช้ทรัพยากรการผลิตให้เต็มที่ด้วยการแปลงกระบวนการผลิตของไทย โดยอาศัยรัฐวิสาหกิจเข้ามาดำเนินการผลิตในอุตสาหกรรม[1] 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเนื้อหาในเค้าโครงการเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและพัฒนาพื้นที่ชนบท และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในเวลานั้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจในเมืองเป็นประเด็นรอง[2] 

ทว่า ในท้ายที่สุดข้อเสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติเนื่องจากมีกระแสคัดค้านทางการเมืองจากชนชั้นสูงและกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบเก่าโดยอ้างพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงการเศณษบกิจ[3]  นอกจากนี้ การช่วยเหลือชาวนายังหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มนายทุนในเมือง เพราะพวกนี้เป็นพวกขูดรีดส่วนเกินมาจากชาวนาทั้งในรูปแบบของหนี้สินและการเอารัดเอาเปรียบต่างๆ[4]

ในท้ายที่สุดรัฐบาลคณะราษฎรก็ไม่ได้นำเค้าโครงการเศรษฐกิจมาใช้และต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินการทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมโดยมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศณษฐกิจดังกล่าว โดยข้อเสนอหลายประการของหลวงวิจิตรวาทการนั้นยังคงต่อต้านระบบศักดินาเดิม เพียงแต่เบากว่าที่ปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ เช่น การซื้อที่ดินของรัฐทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอของหลวงวิจิตรวาทการนั้นไม่ได้ขัดขวางการเติบโตและขยายตัวของทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพียงแต่อุตสาหกรรมเหล่านั้นถูกควบคุมโดยชาติผ่านระบบราชการของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม[5]

การเกิดขึ้นของชนชั้นแรงงานไทยเกิดขึ้นจริงๆ อย่างเป็นกิจลักษณะภายหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบริษัทห้างร้านโดยส่วนใหญ่ที่เป็นของชาติตะวันตกที่เป็นคู่สงครามมีบทบาทลดลง ทำให้เกิดการเปิดกิจการต่างๆ ของคนไทยโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามาทดแทนกิจการเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดชนชั้นแรงงานเพิ่มมากขึ้น

การรับรองสิทธิของแรงงานในกฎหมาย

การรับรองสิทธิแรงงานั้นในทางกฎหมายนั้นทั้งประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในโลกโดยส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นมาจากความตกลงกันบนพื้นฐานของกฎหมายสัญญาบนความตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในบริบทของประเทศไทยกฎหมายที่เข้ามารับรองเรื่องสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนั้นเป็นไปตามบรรพ 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ซึ่งได้ประกาศใช้ในปี 2471[6] 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่ไม่เท่ากันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้รัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงโดยออกกฎหมายเฉพาะเข้ามาดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งในประเทศไทยในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อประสานงานตลอดจนความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง[7] ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศตั้งแต่ต้น โดยภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการรับรองสิทธิแรงงานในหลายลักษณะตามมาตรฐานสากล เช่น การรับรองสหภาพแรงงานในฐานะองค์การของลูกจ้างที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผลประโยชน์ในการทำงานและเพื่อสวัสดิการของลูกจ้างหรือการคุ้มครองแรรงานในเรื่องเวลาการทำงาน วันหยุดงาน การใช้แรงงานหญิงหรือแรงงานเด็ก การกำหนดค่าจ้าง และการกำหนดสภาพการจ้างแรงงานอื่นๆ เป็นต้น

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กับการเคลื่อนไหวของแรงงาน

แม้ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดชนชั้นแรงงานไทยขึ้นมาจะมาพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของกฎหมายแรงงาน แต่พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมากเพียงแค่ 3 ปี ก็ถูกคณะรัฐประหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีประกาศของคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501 โดยกล่าวหาว่าเป็นการเปิดช่องให้เป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นโอกาสให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์อาศัยใช้ลูกจ้างเป็นเครื่องมือยุยงในทางมิชอบ ทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในการประกอบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็นภัยร้ายแรงแก่การดำเนินการเศรษฐกิจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[8] เนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้นต้องการสร้างบรรยากาศลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำ[9]

ผลของประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้มีผลทำให้บรรดาสิทธิแรงงานที่เคยได้รับตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 และแทนที่ด้วยสิทธิแรงงานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้แทน ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 เพื่อใช้แทนกฎหมายแรงงานที่ได้ถูกยกเลิกไป ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ยังพอมีข้อดีอยู่บ้างเนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ได้รับรองสิทธิของลูกจ้างในการตั้งสมาคมลูกจ้างได้ แต่ไม่ให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของลูกจ้างในการตั้งข้อเรียกร้องเพื่อต่อรองและเจรจากับนายจ้าง[10] ผลของการยอมจัดตั้งสมาคมลูกจ้างได้นั้นประกอบกับการมีนิสิตนักศึกษาเข้าไปช่วยจัดตั้งทำให้เกิดสมาคมลูกจ้างพระประแดงขึ้นมา ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงาน โดยในช่วงปี 2515 – 2516 นั้นมีการนัดหยุดงานมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งการรวมกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงานกับนักศึกษานั้นเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถอนม กิตติขจร

ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น สังคมไทยเกิดความตื่นตัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระแสการใช้สิทธิและเสรีภาพทั้งในทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นประกอบกับแนวร่วมสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรนั้นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมเพื่อให้เกิดสังคมที่เป็นธรรมในขอบเขตทั่วประเทศ

ในด้านสิทธิแรงงานนั้นกระแสความเคลื่อนไหวของแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งให้สิทธิคนงานในการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นความเข้มแข็งของผู้ใช้แรงงาน และแรงสนับสนุนจากแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการจัดตั้งสภาแรงงานแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2519 โดยมีนายไพศาล ธวัชชัยนันท์เป็นประธานสภาผู้ใช้แรงงานแห่งประเทศไทย[11] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานของผู้ใช้แรงงาน โดยอาศัยการรวมตัวเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับรัฐบาล

การรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนนี้ ประกอบกับการมีอยู่ของแนวร่วมสามประสานนี้เองทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวการเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นสามารถทำได้สำเร็จโดยมีการปรับเปลี่ยนค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตอบสนองความต้องการนี้ของประชาชนเป็นอย่างดี[12]

ตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พ.ศ. 2516 – 2520)

ฉบับที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันที่ประกาศใช้
112 บาท4 กุมภาพันธ์ 2516
216 บาท30 พฤศจิกายน 2516
320 บาท13 มิถุนายน 2517
418 บาท1 สิงหาคม 2517
525 บาท1 ตุลาคม 2517
628 บาท23 สิงหาคม 2520
835 บาท30 สิงหาคม 2521
ที่มา: กระทรวงแรงงาน

6 ตุลาคม 2519 กับจุดผลิกผันของขบวนการแรงงาน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการสังหารหมู่กลางกรุงเทพในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นส่งผลให้กลุ่มสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรถูกทำลายลง คณะรัฐประหารได้สร้างกระบวนการ (อ) ยุติธรรมของตนเองขึ้นมาโดยการเพิ่มอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ซึ่งการบีบบังคับดังกล่าวนั้นทำให้ผู้ต้องหาบางส่วนหนีเข้าป่าแล้วไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในขณะเดียวกันขบวนการแรงงานก็ถูกฝ่ายขวากล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และก็ถูกทยอยจับกุมเข้าเรือนจำ[13]

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ได้นำการรัฐประหารมาสู่ประเทศไทยในเวลานั้น ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 22 ได้กำหนดข้อหา “ภัยสังคม” ขึ้นมา โดยรวมกำหนดให้การ “ร่วมหยุดงาน หรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เป็นภัยสังคมในลักษณะหนึ่ง บรรยากาศของการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานค่อยๆ ลดลงไป

ระบอบรัฐประหารนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำลายระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่กลายเป็นระบอบรัฐประหารนั้นได้ทำลายการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานลง คณะรัฐประหารนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของผู้ใช้แรงงาน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนและต้องการเสริมสร้างการลงทุนเพื่อแสวงหาประโยชน์จึงพยายามกดผู้ใช้แรงงานเอาไว้ ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2564 นั้นกลายเป็นชวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงานอย่างไม่หวนกลับมา

ในปัจจุบันสิทธิของผู้ใช้แรงงานยังคงมีปัญหาอยู่ แม้ว่ารูปแบบการดำเนินกิจการจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ปัญหาของกลุ่มผู้ใช้แรงงานก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม กลุ่มผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การใช้แรงกายเท่านั้น แต่ยังมีแรงงานในลักษณะอื่น เช่น การไม่มีสถานะเป็นผู้ใช้แรงงานของฟู๊ดไรเดอร์ (Food Rider) และคนขับรถที่ให้บริการผ่านแอพลิเคชั่น หรือผู้ให้บริการอิสระ (Freelance) ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากความตกลงที่อาจจะไม่เป็นธรรม และแม้แต่ “Sex Worker” ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการรับรองตามกฎหมาย เป็นต้น ปัญหาของผู้ใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสัญญาหรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสภาพการจ้าง สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกเพิกเฉยละเลยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 106

[2] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 6, ซิลค์เวอร์ม 2566) 146

[3] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 107

[4] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์ (เชิงอรรถ 2) 146.

[5] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 108

[6] พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่

[7] หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499

[8] ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501

[9] บันทึก 6 ตุลา, ‘การต่อสู้ของกรรมกร’ (บันทึก 6 ตุลา) <https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-2/2-2-1> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[10] Voice Labour, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงาน เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์’ (Voice Labour, 28 สิงหาคม 2556) <https://voicelabour.org/14-ตุลากับขบวนการแรงงาน-เ/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[11] นภาพร อติวานิชยพงศ์, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงานไทย’ (ประชาไท, 12 ตุลาคม 2557) <https://prachatai.com/journal/2014/10/55959> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564

[13] สุภชาติ เล็บนาค, ‘จากคุกถึงคุก: กระบวนการ(อ)ยุติธรรรม สามารถทำร้ายคนหนึ่งคนได้มากแค่ไหน’ (The Momentum, 17 เมษายน 2564) <https://themomentum.co/lostinthought-fromjailtojail/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

เผด็จการที่หยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ขบวนการสิทธิแรงงานที่หยุดการเติบโตโดยอำนาจเผด็จการ โดยเล่าย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 ได้เกิดปัญหาการนัดหยุดงานของกรรมกร และชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง โดยผู้ใช้แรงงานต่างเรียกร้องขอเพิ่มสวัสดิการต่างๆ หลักประกันการทำงาน และอัตราค่าจ้างงานขั้นต่ำรายวัน การเรียกร้องครั้งนั้นเป็นผลสำเร็จ เกิดการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ผลักดันให้มีการจัดตั้งองค์กรสหภาพแรงงานขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ฝ่ายที่สูญเสียประโยชน์ได้มีการโต้กลับ ที่เรียกปรากฏการณ์นั้นว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ภายในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้นำกรรมกรและชาวนาถูกลอบสังหารเป็นจำนวนมาก เกิดการปะทะจนทำให้กรรมกรหญิงอายุเพียง 15 ปีเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดการหยุดยั้ง และเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสิทธิแรงงานที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในบทความนี้จะย้อนไปดูเหตุการณ์ที่เป็นชนวนสำคัญและลักษณะของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ย้อนกลับไปช่วงสถานการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 นอกเหนือไปจากขบวนการนิสิต-นักศึกษาแล้ว กลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือ “กลุ่มผู้ใช้แรงงาน” ในนามของ สภาแรงงานแห่งประเทศไทย โดยได้ร่วมกับ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ที่คัดค้านสถานะภิกษุของ ‘จอมพลถนอม กิตติขจร’ และได้ขอให้รัฐบาลเนรเทศภิกษุถนอม กิตติขจรออกจากประเทศไทย[1] เมื่อในเวลาต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การสังหารหมู่กลางกรุงเทพฯ

ความขัดแย้งทางการเมืองนั้น นำมาสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้นำไปสู่การฟื้นชีพใหม่ของกลุ่มเผด็จการขวาจัด โดยมี ‘นายธานินทร์ กรัยวิเชียร’ (องคมนตรี) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การโอบอุ้มของคณะทหารในนามคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน[2] โดยภายหลังประชาชนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำกรรมกรต่างถูกกวาดล้าง ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้จำเป็นต้องหนีเข้าป่าเพื่อหลบซ่อนและเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

นับตั้งแต่เหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานนั้นมีความสำคัญและมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรวมกลุ่ม 3 ประสาน ระหว่างนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกร และขบวนการชาวนา 

ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2515 – 2517 นั้น ได้มีการนัดหยุดงานหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างและปรับปรุงสภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในช่วงกลางปี 2517 เมื่อคนงานกว่า 6 พันคนของโรงงานทอผ้าที่กรุงเทพฯ นัดหยุดงานประท้วงที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานเพราะขายของไม่ได้ ซึ่งนักศึกษาได้เข้าช่วยกลุ่มผู้ใช้แรงงานเหล่านี้โดยการตั้งองค์กรประสานขบวนการแรงงาน และผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งรัฐบาลในเวลานั้นได้ตอบสนองโดยการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ และเข้ามาไกล่เกลี่ยการนัดหยุดงาน และออกกฎหมายแรงงานใหม่ที่ยอมให้จัดตั้งสหภาพแรงงาน ให้มีกลไกเพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท[3] การร่วมมือกันของขบวนการ 3 ประสานนี้เอง ทำให้รัฐบาลเผด็จการฝ่ายขวาเองตระหนักถึงความแข็งเกร่งของกลุ่มทางสังคมเหล่านี้ ซึ่งทำให้ในเวลาต่อมารัฐบาลพยายามลดทอนอำนาจของกลุ่มทางสังคมต่างๆ

กระบวนการของเผด็จการในหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ภายหลังจากการรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น กลุ่มเผด็จการขวาจัดและคณะทหารได้ร่วมมือกันสกัดกั้นบทบาททางการเมืองของขบวนการแรงงาน โดยการลดทอนความแข็งแกร่งและทำลายคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ใช้แรงงานเพื่อไม่ให้สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ ดังนี้

ประการแรก:การรัฐประหารได้ทำลายขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสาน โดยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้นเพื่อต่อต้านการบริหารประเทศโดยรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวร่วมกัน 3 ฝ่าย โดยเป็นความสัมพันธ์ของ ขบวนการนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกรและขบวนการชาวนา ซึ่งร่วมกันต่อสู้และขับเคลื่อนการใช้สิทธิเรียกร้องต่างๆ ร่วมกัน[4] อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสานนั้นได้เสื่อมลงจากความพยายามใช้อำนาจทางการเมืองบีบบังคับให้ขบวนการดังกล่าวเสื่อมลง ทำให้ขบวนการแรงงานนั้นต้องพึ่งพาตนเองอย่างโดดเดี่ยวทางสังคมในระดับสูง

ประการที่สอง ค่าจ้างขั้นต่ำต้องถูกแช่แข็งนานมาก โดยค่าจ้างขั้นต่ำอัตราแรกนั้นจำนวน 12 บาทต่อวัน ที่บังคับใช้กับลูกจ้างกรรมกรตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2516 แต่ภายหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กระแสการเคลื่อนไหวของขบวนการ 3 ประสานนั้นได้ส่งผลต่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นสูงมากโดยปรับจาก 12 บาท มาเป็น 16 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2517 และในวันที่ 14 มิถุนายน 2517 ก็ปรับเป็น 25 บาท[5] ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วมาก  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการขวาจัดที่มีทหารหนุนหลังได้คุกคามและทำลายอำนาจต่อรองของขบวนการแรงงานในการเรียกร้องให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และแม้ในภายหลังจะสามารถเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้ในเวลา 2 ปีต่อมา แต่ก็เพิ่มด้วยอัตราที่ต่ำมาก โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2520 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 28 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท[6] จากในปี 2517

ประการที่สาม การยกเลิกองค์กรจัดตั้งและสหภาพแรงงาน ภายหลังจากการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 รัฐบาลเผด็จการได้ออกคำสั่งปฏิวัติยกเลิกกฎหมายแรงงานและสหภาพแรงงานเหมือนกับการรัฐประหารยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2501[7] โดยสหภาพแรงงานจึงมีสถานะกลายเป็นองค์กรเถื่อนที่ไม่มีกฎหมายรับรอง ทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะรัฐบาลใช้อำนาจรัฐเข้ามาควบคุม เช่น เมื่อมีการจัดประชุมจะต้องมีการขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ รวมถึงรัฐบาลได้ยกเลิกศูนย์ประสานงานกรรมกรแห่งชาติ และสภาแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้สหภาพแรงงานไทยอ่อนแอลง  

นอกจากนี้ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2519 คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ห้ามมิให้ร่วมกันหยุดงานหรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีสถานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและจะถูกควบคุมตัว[8]

ประการที่สี่ ออกกฎกระทรวงจำกัดสิทธินัดหยุดงานของลูกจ้างในกิจการบางประเภท[9] โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 23 ได้กำหนดห้ามกิจการ คือ การรถไฟ การท่าเรือ การโทรศัพท์ หรือ การโทรคมนาคม การผลิตหรือจำหน่ายพลังงาน หรือ กระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน การประปา การผลิต หรือการกลั่นน้ำมันเชื้องเพลิง กิจการโรงพยาบาล หรือ สถานพยาบาล และกิจกรรมอื่นที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นกฎกระทรวง ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้อาศัยอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดให้ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ในบางกิจการไม่มีสิทธินัดหยุดงาน ได้แก่ กิจการทุกประเภทของรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กิจการของวิทยาลัยเอกชนและของโรงเรียนราษฎร์ กิจการสหกรณ์ กิจการขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง

ประการที่ห้า การควบคุมการจัดตั้งสภาแรงงาน โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดให้การจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างต้องมีสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 15 แห่ง และต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งทำให้เกิดความยากในการจัดตั้งสภาแรงงาน[10]

ประการที่หก แยกรัฐวิสาหกิจออกจากแรงงานทั่วไป โดยการตรากฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่เฉพาะสำหรับรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[11]

สภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยยับยั้งการเติบโตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิแรงงานที่ถูกกระทบอย่างชัดเจนจากการขยายอำนาจทางการเมืองของระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผลกระทบต่อขบวนการแรงงานไทยภายหลังจากการรัฐประหารและความรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519


[1] สมยศ เชื้อไทย, คดีประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 : ใครคือฆาตกร (พี. เค. พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2531) น. 14-15.

[2] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, ‘อาชญากรรมคดี 6 ตุลา กับผลกระทบต่อขบวนการแรงงาน’ (2545) 33 วารสารสังคมศาสตร์, 81.

[3] คริส เบเคอร์และผาสุก พงษ์ไพจิตร, ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย (สำนักพิมพ์มติชน 2557) น. 284

[4] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 82

[5] เพิ่งอ้าง, 82

[6] เพิ่งอ้าง, 83

[7] เพิ่งอ้าง, 84

[8] คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ข้อ 1 และข้อ 2

[9] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 87

[10] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 88 – 89

[11] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 89