ร่างทรง : ภาพสะท้อนนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

จากความสำเร็จของ ร่างทรง ในการขายเรื่องราวและวัฒนธรรมของไทยไปสู่สังคมโลก นับเป็นอีกหนึ่งก้าวของการนำเรื่องราวและวัฒนธรรมไทยสู่ประชาคมโลก 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ ประเทศไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ อุตสาหกรรม Soft Power (อำนาจอย่างอ่อน; อำนาจที่เกิดจากการสร้างเสน่ห์หรือการโน้มน้าว (co-optive power) กิตติ ประเสริฐสุข, 2560) เพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซบเซาลง เนื่องจากข้อจำกัดในการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ 

อุตสาหกรรม Soft Power จึงอาจเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศและเป็นตัวช่วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงฟื้นฟู ซึ่งในบทความนี้จะเน้นความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์

“ร่างทรง” กับพื้นที่ของการสร้างเรื่องราว

หลายๆ คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องร่างทรงแล้ว อาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะรู้สึกชอบในรูปแบบของการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ฉาก ความเป็นไปของบทหนัง หรือ บางคนอาจจะให้ความเห็นว่า การดำเนินเรื่องนั้นยังดำเนินไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร ซึ่งส่วนนั้นอาจจะเป็นมุมมองของผู้ชมที่มีต่อภาพยนตร์ที่แตกต่างกันออกไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ร่างทรง ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ วิญญาณ และเรื่องราวความลี้ลับของประเทศไทยออกไปสู่สังคมโลก ซึ่งก็เป็นการเปิดศักราชของหนังผีไทย เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความเป็นหนังผีไทยในวงการภาพยนตร์สากลยังถือว่ามีพื้นที่ที่ค่อนข้างน้อย

ด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะความแตกต่างทางพื้นฐานความเชื่อ และวัฒนธรรมที่อาจทำความเข้าใจได้ยาก เรื่องร่างทรงจึงได้มีการปรับแต่งเรื่องผี และความเชื่อของท้องถิ่นให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้ทำความเข้าใจกันได้มากขึ้น แม้อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมคนไทยบางส่วนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์แล้วก็คือ ตำนาน ความเชื่อ และเรื่องลี้ลับของประเทศไทย ยังคงสามารถนำมาขายได้ในวงการภาพยนตร์ และวงการละครต่างประเทศ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า “ร่างทรง” มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ คำตอบก็คือ ประเทศไทยยังมีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ให้เกิดภาพยนตร์ที่สามารถสร้างจุดขายได้ ในเรื่องของบท และโลเคชั่นซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ 

เฉพาะในแง่ของประเทศไทยมีเรื่องราวจำนวนที่สามารถนำมาสร้างเป็นสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ หรือละคร ทั้งเรื่องผี ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องการเมืองการปกครองของประเทศ 

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบในเรื่องโลเคชั่น เนื่องจากการมีพื้นที่หลากหลายทั้งเชิงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม คำถามสำคัญก็คือ รัฐบาลได้ตระหนักถึงข้อดีและจุดเด่นของประเทศไทยตรงนี้แล้วหรือไม่ ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้อาจจะเป็น “ไม่” 

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ การที่ “ร่างทรง” ต้องอาศัยความร่วมมือกับบริษัทในประเทศเกาหลีเพื่อประโยชน์ในการขยายฐานผู้ชม และนำภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับโลก (ปัจจัยนี้เองผู้เขียนคิดว่าทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนภาพยนตร์ให้คนทั่วโลกสามารถเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนไทย)

การเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

หากพิจารณาการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย (ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ อีก 15 อุตสาหกรรมนั้น มีการเติบโตค่อนข้างน้อย พอๆ กันกับอุตสาหกรรมดนตรีที่มีมูลค่าต่ำและมีการเติบโตต่ำ

แผนภาพเปรียบเทียบการเติบโตและขนาดของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำนวน 15 อุตสาหกรรม
(ข้อมูลค่าอุตสาหกรรม TSIC 4 หลัก ช่วงปี พ.ศ. 2553 – 2560)

หมายเหตุ : ข้อมูลจากรายงานประมวลผลมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำแนกตามสาขาการผลิต และข้อมูลจำนวนแรงงานที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปรับปรุงจาก : สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2564).

นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศแล้ว นับตั้งแต่ช่วงหลังทศวรรษ 2550 ภาพยนตร์ไทยได้ลดความนิยมลดลง ในขณะที่สัดส่วนของงานภาพยนตร์ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยภาพยนตร์ไทยโดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุน จนไม่สามารถที่จะฉายได้นาน และถูกถอดออกจากโปรแกรมการฉาย 

เมื่อพิจารณาในเชิงจำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พบว่า ตลอดทั้งปีมีการผลิตภาพยนตร์ออกฉายเฉลี่ยเพียงปีละ 50 – 59 เรื่องเท่านั้น คิดเฉลี่ยเป็นสัปดาห์ได้สัปดาห์ละ 1 เรื่อง ในขณะที่ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าฉายสัปดาห์ละ 2 – 5 เรื่อง และกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้นโดนจำกัดจากหลายๆ ปัจจัยทำให้ผู้บริโภคอาจให้ความสนใจกับภาพยนตร์ต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของตลาดต่างประเทศ ภาพยนตร์ไทยยังคงได้รับความสนใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ภาพยนตร์กลุ่มที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ ภาพยนตร์ตลก สยองขวัญ วัยรุ่น และการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสื่อสารเอกลักษณ์ไทยเข้าไปในเรื่อง หรือใช้นักแสดงชาวไทยซึ่งมีความนิยมมากในประเทศจีน

นอกเหนือจากในแง่ของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีนแล้ว ภาพยนตร์และผู้กำกับของประเทศไทยก้ยังได้รับรางวัลจากการประกวดภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง มะลิลา กำกับโดย อนุชา บุญยวรรธนะ ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คิม จิซก อวอร์ด จากเทศกาลหนัง Busan International Film Festival 2017 และได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนัง Singapore International Film Festival 

ภาพยนตร์เรื่อง Memoria ของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นำแสดงโดย ทิลดา สวินตัน ที่ได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2021 (ครั้งที่ 74) ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และได้รับรางวัล The Jury Prize

หากพิจารณาในแง่คุณภาพของภาพยนตร์ และความสามารถของผู้กำกับไทย ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ภาพยนตร์ไทยจำนวนหนึ่งเป็นงานที่มีคุณภาพ และผู้กำกับเป็นผู้ที่มีความสามารถ หากแต่ในความเป็นจริงวงการผลิตภาพยนตร์ไทยนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัด และลักษณะของงานภาพยนตร์ไทยไม่ค่อยหลากหลาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้นมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก อุปสรรคภาคการลงทุน ผู้สนใจลงทุนผลิตภายในประเทศมีจำนวนน้อย ดังนั้น เมื่ออำนาจการลงทุนน้อย การตัดสินใจอนุมัติทุนทำภาพยนตร์จึงค่อนข้างจำกัด คนสร้างภาพยนตร์จึงต้องตกอยู่ภายใต้กรอบความคิดของนายทุนผู้อนุมัติทุน สิ่งนี้กลายเป็นข้อจำกัดในการนำเสนองานภาพยนตร์แนวใหม่ๆ

ประการที่สอง อุปสรรคภาคการบริโภค ผู้ชมภาพยนตร์บางส่วนยังคงมองว่างานภาพยนตร์ของไทยขาดความสร้างสรรค์ ภาพยนตร์หลายเรื่องมีความเป็นงานเพื่อการค้ามากกว่างานศิลปะเพื่อการบริโภค และขาดลูกเล่นในการสื่อสารกับผู้ชม โดยเฉพาะกรณีของภาพยนตร์อิสระที่เนื้อหาสาระยากเกินกว่าการจะเข้าถึง  นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังขาดความเป็นสากล ทำให้คนทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงได้

ประการที่สาม อุปสรรคภาคการฉาย เนื่องจากผู้ฉายมีสิทธิถอดภาพยนตร์ หรือ ลดรอบฉายเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับงานนำเข้าที่ดูมีความนิยมสูงกว่า โดยดูเพียงทิศทางรายได้มากกว่าจะให้โอกาสในการฉายภาพยนตร์

ประการที่สี่ อุปสรรคด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังคงไม่กระจายไปยังคนทำภาพยนตร์ในวงการ ซึ่งทำให้ในการผลิตภาพยนตร์เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศสิ้นสุดเพียงแค่การนำเสนอชิ้นงานแก่ผู้ซื้อ แต่ไม่มีกระบวนการตามความคืบหน้า  นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐยังกลายเป็นอุปสรรคผ่านกระบวนการขออนุญาตทางกฎหมายที่เกิดจากความพยายามทำหน้าที่ตามกฎหมาย (law job) ในการตรวจสอบศีลธรรมของประชาชนหรือความเหมาะสมของภาพยนตร์ว่าจะต้องสร้างสรรค์วัฒนธรรม หน่วยงานของรัฐจึงเลือกที่จะเข้ามาคัดกรอง (เซนเซอร์) เนื้อหาและประเภทภาพยนตร์

อุปสรรคทั้ง 4 ประการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยมีผลงานการผลิตน้อยและขาดความหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตต่ำและสร้างรายได้น้อยเมื่อเทียบกับสินค้าในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น

เปรียบเทียบนโยบายอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับเกาหลี

เกาหลีใต้ภายหลังสงครามเย็นได้เพิ่มความร่วมมือด้านต่างๆ กับประเทศอื่น ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และได้หันมาให้ความสำคัญกับ Soft Power โดยในช่วงปี ค.ศ. 1993 ภาพยนตร์เกาหลีมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงร้อยละ 15 ในขณะที่อีกร้อยละ 85 เป็นภาพยนตร์นำเข้าจากประเทศอเมริกา ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นเกาหลีมีระบบสกรีนโควต้า (Screen Quota) โดยบังคับให้ต้องฉายภาพยนตร์เกาหลีเป็นจำนวนตามที่ระบุไว้เพื่อป้องกันการตีตลาดจากภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก

ในปี ค.ศ. 1993 สถานการณ์ของประเทศเกาหลีเปลี่ยนแปลงไป เมื่อประธานาธิบดีคิม ยองซัม (Kim Young-sam) ซึ่งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Cultural Industry) โดยเขามีวิสัยทัศน์ว่า “ในศตวรรษที่ 21 ศิลปะและวัฒนธรรมจะเป็นอุตสาหกรรมที่ทรงอำนาจผ่านการพัฒนาสื่อทัศน์ที่ทันสมัย การแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจต่างๆ จะเข้มข้นด้วย ‘สงครามวัฒนธรรม’  ดังนั้น เกาหลีต้องพัฒนาสินค้าทางวัฒนธรรมที่ตอบสนองวิสัยทัศน์ไปสู่ระดับนานาชาติ และเพิ่มมูลค่าของสินค้า” ผลของวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้เกิดการสนับสนุนวงการภาพยนตร์ทั้งในฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ และคนสร้างภาพยนตร์ ซึ่งไม่ยึดติดกับขนบการทำภาพยนตร์แบบเดิมๆ 

ผลของนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1998 – 2008 ส่วนแบ่งทางการตลาดของภาพยนตร์ภายในประเทศ ภาพยนตร์เกาหลีมีสัดส่วนร้อยละ 50 ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 มีส่วนแบ่งร้อยละ 59 และเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เป็นร้อยละ 63 และนับจากปี ค.ศ. 1996 ภาพยนตร์เกาหลีได้มีการพัฒนาคุณภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำอันดับหนังทำเงินแข่งกับภาพยนตร์จากต่างประเทศ เช่น เรื่อง The Ginkgo Bed (1996) ชิริเด็ดหัวใจยอดจารชน (Shiri, 1999) สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน (JSA, 2000) และ ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม (My Sassy Girl, 2001) เป็นต้น 

จนมาถึงปัจจุบันประเทศเกาหลีประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ความหลากหลายของภาพยนตร์เกาหลีในเวลานั้นมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งแนวโรแมนติก สืบสวนสอบสวน แนววิทยาศาสตร์ และหนังสงครามที่มีเทคนิคระดับสูงเทียบเท่ากับฮอลลีวูด ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาพยนตร์เกาหลีได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

สภาพของประเทศเกาหลีในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1993 ก็คล้ายคลึงกันกับประเทศไทย และแม้จะมีกฎหมายบังคับและกฎหมายกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์แล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อิทธิพลของภาพยนตร์ตะวันตกจากฮอลลีวูดยังได้รับความนิยมมากกว่า แต่พอถึงปี ค.ศ. 1993 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีประสบความสำเร็จในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีก็คือ การส่งเสริมการบริโภคภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี โดยการสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ภายในประเทศเกาหลี ซึ่งการแก้ไขปัญหาของประเทศเกาหลีนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยเป็นการแก้ไขทั้งในเชิงนโยบายและในเชิงกฎหมาย

ในแง่ของกฎหมายรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1970 นั้นภาพยนตร์เกาหลีใต้ถูกคุมเข้มโดยจะต้องขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์และถูกควบคุมเนื้อหา (รัฐบาลจะตรวจสอบบท) และการเผยแพร่ภาพยนตร์ ซึ่งรวมไปถึงการนำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายภายในประเทศจะต้องทำโดยบริษัทของประเทศเกาหลีใต้และมีเงื่อนไขจำกัดการฉายภาพยนตร์ตามโควต้า

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ค้นพบว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ และแม้จะมีการกำหนดโควตาการฉายภาพยนตร์ก็ตาม ภาพยนตร์จากต่างประเทศก็ประสบความสำเร็จมากกว่าและรายได้จากบริษัทที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการนำเข้าภาพยนตร์ก็สร้างรายได้มหาศาลซึ่งจะกลายเป็นฐานในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศต่อไป  ดังนั้น เมื่อกฎหมายกลายมาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1984 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยกเลิกกฎหมายเหล่านั้น และเริ่มนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยนำเงินที่ได้จากการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศมาก่อตั้ง วิทยาลัยศิลปะภาพยนตร์แห่งเกาหลี (Korea Academy of Film Arts; KAFA) รัฐบาลเริ่มปรับบทบาทต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหม่โดยเริ่มสร้างชุดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการถ่ายทำภาพยนตร์

ตารางแสดงนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ตามช่วงเวลา

ปี (ค.ศ.)ประเภทรายละเอียดของนโยบาย
 1979 – 
1989
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอ ห้องบันทึกเสียง อุปกรณ์ตัดต่อ และโรงถ่ายตัวอย่าง
– การให้ทุนสนับสนุนการดูงานต่างประเทศสำหรับผู้ชนะเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ
– การนำผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาในประเทศ 
– การฝึกอบรมด้านเทคนิค 
– การคัดสรรภาพยนตร์ที่ดีๆ และการสนับสนุนทางการเงิน
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – จัดเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ 
– โครงการสนับสนุนการส่งออกภาพยนตร์ 
– นำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ 
– สนับสนุนการจัดนิทรรศการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 1990

1999
การถ่ายทำ – การเปิดรับบทและผู้สนใจจะทำภาพยนตร์
– การคัดเลือกภาพยนตร์ที่ดีและสนับสนุนทางการเงิน
– การศึกษาวัฒนธรรมที่สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำภาพยนตร์
– การเปิดกว้างด้านความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับบทแนวใหม่
โครงสร้างพื้นฐาน – การก่อสร้างสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ และแนะนำอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำ
– การฝึกอบรมด้านเทคนิคในต่างประเทศ 
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนและสินเชื่อเพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในงานเทศกาลภาพยนตร์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
 2000-
2010
การถ่ายทำ – โครงการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ศิลปะ
– การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ระดับ HD
– การสนับสนุนภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนภาพยนตร์ในโครงการร่วมสร้างภาพยนตร์นานาชาติ
– การผลิตภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ
– การจัดหาเงินทุนจากกองทุนและสินเชื่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์
โครงสร้างพื้นฐาน – การสนับสนุนหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ของคนทำภาพยนตร์อิสระและนักศึกษา
– การสนับสนุนสำหรับตลาดบทภาพยนตร์
– การสนับสนุนองค์กรภาพยนตร์
– การสนับสนุนศูนย์สื่อระดับภูมิภาค
– การสนับสนุนทุนพัฒนาก่อนการผลิตและการแลกเปลี่ยนภาพยนตร์เกาหลีเหนือ-ใต้
 การเผยแพร่ภาพยนตร์ – การผลิตและจัดจำหน่ายดีวีดีสำหรับภาพยนตร์อิสระ
– การสนับสนุนทางการตลาด
– การสนับสนุนการแปลคำบรรยายและการผลิตสิ่งพิมพ์ (เช่น โปสเตอร์ เป็นต้น)
– การสนับสนุนเครือข่ายอุตสาหกรรมภาพยนตร์เอเชีย
– การสนับสนุนการฝึกอบรมวิชาชีพภาพยนตร์เอเชีย
– การสร้างเครือขข่ายต่างประเทศ
– การสนับสนุนการทำ R&D ธุรกิจ
– การตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์เกาหลี
– การช่วยเหลือการสนับสนุนมาตรฐานชื่อเรื่องและการสะกดคำ
– การสนับสนุนจำหน่ายภาพยนตร์เกาหลีเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
– การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สร้างภาพยนตร์เกาหลีที่ห้องปฏิบัติการผลิตต่างประเทศ

ที่มา: แปลและดัดแปลงจาก Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163, 173.

ดังจะเห็นได้ว่า กระบวนการและนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศเกาหลีนั้นแก้ไขปัญหาจาก 2 ประการ คือ ประการแรก ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และประการที่สอง  สร้างชุดนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านเงินทุนที่ช่วยให้สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้

เมื่อพิจารณาบทเรียนจากประเทศเกาหลีใต้แล้ว ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้นประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาลอาจจะต้องปรับบทบาทของตนเองใหม่ โดยอาจจะยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเนื้อหาของภาพยนตร์ และเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยการสนับสนุนคนทำภาพยนตร์ทั้งในแง่ของการสนับสนุนแก่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

แต่อาจจะไม่มีเงินสนับสนุน รวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการแก่งานภาพยนตร์ต้นทุนต่ำ เพื่อขยายโอกาสในการเกิดภาพยนตร์แนวใหม่ๆ และจัดให้มีพื้นที่สำหรับการเผยแพร่ภาพยนตร์แนวต้นทุนต่ำด้วย ซึ่งอาจจะกลายเป็นก้าวเล็กๆ ในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในวัฏจักรปัจจุบัน ที่ผู้ให้ทุนไม่สนับสนุนงานที่อาจจะไม่เกิดการสร้างรายได้ตอบแทนที่เพียงพอ ทำให้ไม่เกิดงานภาพยนตร์ที่หลากหลายในตลาดไทย


อ้างอิงจาก

  • Milim KIM, ‘The Role of Government in Culture Industry: Some Observations From Korea’s Experience’ (2011) 33 Keio Communication Review 163.
  • ฐณยศ โล่พัฒนานนท์ และคณะ, ‘บทวิเคราะห์ภาพยนตร์ไทยปี พ.ศ. 2652’ (2563) 2 วารสารเกษมบัณฑิต 100.
  • กิตติ ประเสริฐสุข, ‘Soft Power ของเกาหลีใต้: จุดแข็งและข้อจำกัด’ (2561) 1 International Journal of East Asia Studies 122.
  • ศิริอร หริ่มปราณ และคณะ, ‘รายงานจับกระแสอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฉบับที่ 5 (มกราคม – มิถุนายน 2564)’ (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)) <https://www.cea.or.th/th/single-research/cea-outlook-05-THAILAND-VISUAL-ARTS-INDUSTRY> สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564.
  • ก้อง ฤทธิ์ดี, ‘นโยบายภาพยนตร์เกาหลี: 30 ปี แห่งอุดมการณ์วัฒนธรรม’ (หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 8 มิถุนายน 2564) <https://www.fapot.or.th/main/news/769> สืบค้นเมือ 25 พฤศจิกายน 2564.

ขึ้นทะเบียน สนง.สอบบัญชี เพิ่มคุณภาพระบบควบคุม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

บทความวาระทีดีอาร์ไอ นำเสนอประเด็นการป้องกันข้อบกพร่องจากการสอบบัญชีในตลาดทุน ด้วยการขึ้นทะเบียน สนง.สอบบัญชี เพิ่มคุณภาพระบบควบคุม

บทบาทของการสอบบัญชีในตลาดทุนมีความสำคัญในฐานะผู้จัดทำรายงานทางการเงินที่บ่งบอกสุขภาพของกิจการว่ามีสุขภาพเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนในการเลือกลงทุนในกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้สอบบัญชีไม่ได้แสดงความเห็นต่อรายงานทางการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือจริยธรรมการสอบบัญชีแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ รายงานทางการเงินอาจจะไม่สะท้อนสภาพที่แท้จริงของกิจการและส่งผลกระทบให้นักลงทุนได้รับความเสียหายจากการลงทุนในกิจการที่มีปัญหา

ด้วยเหตุดังกล่าวสำนักงาน ก.ล.ต. จึงกำหนดให้ผู้สอบบัญชีของกิจการในตลาดทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยกำหนดคุณสมบัติในแง่ของประสบการณ์ทำงานไว้ในระดับสูง โดยจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีระดับหัวหน้าสำนักงานหรือผู้สอบบัญชีระดับหุ้นส่วน ซึ่งเป็นระบบการกำกับดูแลในงานสอบบัญชีในตลาดทุนในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การมุ่งกำกับดูแลผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคล มีข้อเสียคือ เมื่อเกิดความบกพร่องในงานสอบบัญชีจากการไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือจริยธรรมการสอบบัญชี ความบกพร่องในลักษณะดังกล่าวจะกลายเป็นความบกพร่องเฉพาะส่วนตัวของผู้สอบบัญชีเพียงคนเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วข้อบกพร่องนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชี 

ตัวอย่างเช่น ในกรณีผู้สอบบัญชีคนหนึ่งของสำนักงานสอบบัญชีไม่ได้ตรวจสอบให้ได้เอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้อย่างเพียงพอ ทำให้แสดงความเห็นต่อรายงานทางการเงินผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่ผู้สอบบัญชีจะต้องแสดงความเห็นแบบมีเงื่อนไขหรือมีข้อสังเกตตามมาตรฐานการสอบบัญชี ซึ่งถ้าสำนักงานสอบบัญชีได้จัดให้มีระบบการควบคุมคุณภาพที่เพียงพอ โดยมีผู้สอบบัญชีอีกคนหนึ่งมาตรวจสอบคุณภาพของงานสอบบัญชีก็จะช่วยป้องกันความผิดพลาดของงานสอบบัญชีได้  อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่กำกับดูแลในปัจจุบัน มุ่งไปที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคล ทำให้สำนักงานสอบบัญชีอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบควบคุมคุณภาพเพียงพอ เนื่องจากสำนักงานสอบบัญชีไม่ได้ถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดในข้อบกพร่องของงานสอบบัญชี

นอกจากนี้ ลักษณะการทำงานสอบบัญชีไม่ใช่งานที่จะทำโดยลำพังได้ บทบาทของสำนักงานจึงมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่เข้ามาตรวจสอบการทำงานของผู้สอบบัญชี สำนักงานยังต้องเข้ามามีบทบาทในการฝึกอบรมและตรวจสอบคุณภาพการทำงานของบรรดาผู้ช่วยผู้สอบบัญชี ซึ่งสนับสนุนการทำงานของผู้สอบบัญชี  ฉะนั้น การที่กฎหมายให้น้ำหนักไปที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลเพียงอย่างเดียวภาระในการกำกับดูแลไปตกที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลแทน
 

ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลการสอบบัญชีของกิจการในตลาดทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรกำกับดูแลควบคู่กันไประหว่างผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี เมื่อพิจารณาจากแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ได้ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนโดยกำหนดให้สำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบ/ขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบมาตรฐานการควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชี การกำหนดลักษณะกิจการต้องห้ามมิให้สำนักงานสอบบัญชีให้บริการ และการกำหนดเงื่อนไขเพื่อป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ 

ด้วยเหตุดังกล่าวการกำหนดให้สำนักงานสอบบัญชีต้องถูกกำกับดูแลโดยสำนักงาน ก.ล.ต. นั้นก็เพื่อให้สำนักงานสอบบัญชีเข้ามาร่วมรับผิดชอบในความบกพร่องในการสอบบัญชีในตลาดทุนร่วมกับผู้สอบบัญชี เว้นแต่สำนักงานสอบบัญชีจะพิสูจน์ได้ว่าความบกพร่องนั้นเกิดขึ้นจากตัวผู้สอบบัญชีเองโดยสำนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการที่จะกำกับดูแลเช่นนั้นได้ก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันเพื่อรับรองการให้ความเห็นชอบ/ขึ้นทะเบียนสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุน

กล่าวโดยสรุป การสอบบัญชีไม่สามารถทำได้โดยผู้สอบบัญชีเพียงคนเดียว บทบาทของสำนักงานสอบบัญชีก็มีความสำคัญต่อการสอบบัญชีเป็นอย่างมาก แต่ช่องว่างของกฎหมายในปัจจุบันทำให้สำนักงาน ก.ล.ต. ไม่สามารถเข้าไปควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชีได้ การแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้สำนักงานสอบบัญชีมีส่วนรับผิดชอบ แทนที่จะตกอยู่กับผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลเพียงอย่างเดียว จึงมีความจำเป็น เพื่อส่งเสริมให้ระบบควบคุมมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ดาวน์โหลด [pdf]

กฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัล: ข้อเสนอทางกฎหมายในการพัฒนา

บทความนี้ผู้เขียนดัดแปลงมาจากบทความซึ่งเคยที่ส่งประกวดลงตีพิมพ์ในหนังสือรพีประจำปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนเกี่ยวกับข้อเสนอในการพัฒนากฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัล

บทนำ

นับตั้งแต่การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของกูเทนแบร์ก (Johannes Gutenberg) มาจนถึงการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ (James Watt) มาจนถึงการค้นพบอินเทอร์เน็ต ตลอดหน้าประวัติศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีส่งผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์มาโดยตลอด ในเรื่องของเงินตราก็มีพัฒนาจากการใช้เหรียญกษาปณ์กับธนบัตรก็มาสู่การชำระเงินผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ แม้ในปัจจุบันเหรียญกษาปณ์และธนบัตรยังคงเป็นวิธีการชำระเงินหลักๆ ที่สังคมมนุษย์ใช้อยู่ แต่บทบาทของการชำระเงินผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ในหลายประเทศเริ่มเข้าสู่การเป็นสังคมปลอดเงินสด (Cashless society) บทบาทของระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างในประเทศไทยก็มีการพัฒนาระบบพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน รวมไปถึงแนวคิดเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ทั้งในแวดวงของกฎหมาย และการพัฒนากฎหมายในยุคของโลกไร้พรมแดนก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและน่าสนใจนักกฎหมายจึงสมควรให้ความสำคัญโดยตระหนักถึงผลกระทบอย่างรอบด้านถึงความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายและศาสตร์ต่าง ๆ สำหรับบทความฉบับนี้ผู้เขียนได้นำเสนอข้อเสนอทางกฎหมายประกอบกับนโยบายในการพัฒนากฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัลนั้นควรจะคำนึงถึงในเรื่องใดบ้าง

ความเบื้องต้นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล

ในเบื้องต้นก่อนที่จะไปกล่าวถึงข้อเสนอทางกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลเสียก่อน สกุลเงินดิจิทัลตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Cryptocurrency ซึ่งเป็นคำที่เกิดจาก คำว่า “Cryptographic” ที่แปลว่า “การเข้ารหัสลับ” กับคำว่า “Currency” ที่แปลว่า “สกุลเงิน” โดยนัยนี้คำว่า Cryptocurrency จึงหมายถึงสกุลเงินที่มีการเข้ารหัส ซึ่งตามพจนานุกรมภาษาอังกฤษออนไลน์ของอ็อกฟอร์ด ให้ความหมายของคำว่า “Cryptocurrency” ว่า เป็นสกุลเงินดิจิตอล (Digital money) ซึ่งใช้เทคนิคการเข้ารหัสในการควบคุมการสร้างหน่วยของสกุลเงินและยืนยันการโอนเงิน โดยทำงานเป็นอิสระจากการกำกับดูแลจากธนาคารกลาง[1] ลักษณะสำคัญของสกุลเงินดิจิตอลคือการกำหนดหน่วยบัญชีของเงิน หรือสกุลเงิน (Monetary unit of account) ขึ้นเอง ในลักษณะเดียวกันกับเงินตราที่ออกใช้โดยรัฐ เช่น ประเทศไทยออกใช้เงินตราซึ่งกำหนดหน่วยของเงินไว้เป็นบาท[2] ซึ่งสกุลเงินดิจิตอลสกุลแรกที่เกิดขึ้นบนโลก คือ บิทคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งกำหนดหน่วยของเงินไว้เป็นบิทคอยน์ (BTC)

ก่อนหน้าปี ค.ศ. 2008 แนวคิดเกี่ยวกับส่งมูลค่าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยปราศจาก บุคคลที่สามอย่างสถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการชำระเงินผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเกี่ยวข้อง ยังเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เนื่องมาจากปัญหาเรื่องความไว้วางใจ (Trust) เพราะหากปราศจากบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเงินนั้นได้ถูกโอนมาจริง ในจำนวนที่ถูกต้อง เงินในบัญชีของผู้โอนลดลงจริงซึ่งเจ้าของบัญชีจะเอาไปโอนซ้ำไม่ได้ (Double spending) และจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีบุคคลใดมาเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางการเงินได้ การมีบุคคลที่สามทำให้แน่ใจได้ว่า เงินถูกโอนมาแล้ว ยอดเงินมีการเปลี่ยนแปลง เพราะบุคคลที่สามต้องทำการปรับเปลี่ยนยอดเงินในบัญชี และในขณะเดียวกันบุคคลที่สามก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการรักษาเงินซึ่งอยู่ในครอบครองของตน เพื่อไม่ให้ตนต้องมีความรับผิด

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2008 ได้มีบทความฉบับหนึ่งชื่อว่า Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System ของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ซึ่งนำมาสู่การเกิดขึ้นบิทคอยน์ (Bitcoin) สกุลเงินดิจิทัลสกุลเงินแรกในปีถัดมา ในบทความฉบับนี้ได้กล่าวถึง กับเทคโนโลยีที่เรียกว่า บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาแก้ไขปัญหาความไว้วางใจ โดยคำว่าบล็อกเชนนั้นก็มาจากลักษณะของการเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมซึ่งจะถูกเข้ารหัสและเก็บไว้เป็นบล็อก ๆ และนำบล็อกล่าสุดที่เกิดขึ้นมาเข้ารหัสกับบล็อกก่อนหน้า อันเป็นผลให้บล็อกแต่ละบล็อกเชื่อมโยงกันเสมือนมีสายโซ่เชื่อมกันไว้ การเก็บข้อมูลธุรกรรมในแต่ละบล็อกเชื่อมโยงกันโดยอาศัยการเข้ารหัสนี้เองทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ หากบุคคลใดเจาะระบบเข้ามาเพื่อแก้ไขข้อมูลธุรกรรม บุคคลนั้นจะต้องทำการแก้ไขข้อมูลธุรกรรมในทุกบล็อกก่อนหน้านี้ด้วย มิฉะนั้นผลรวมที่แสดงในบล็อกล่าสุดก็ไม่ถูกต้อง[3]

สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล

สกุลเงินดิจิทัลยังเป็นเรื่องใหม่ทั้งสำหรับประเทศไทยและต่างประเทศ ในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมาข้อถกเถียงเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลในหลายประเทศนั้นเป็นเรื่องของสถานะของสกุลเงินดิจิทัลว่ามีสถานะเป็นเงินตราหรือไม่ และรัฐจะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสกุลงเงินดิจิทัลไว้อย่างไร ปัจจุบันในหลายประเทศเริ่มยอมรับและให้สถานะกับสกุลเงินดิจิทัล และมีการออกกฎหมายมากำกับกิจการ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา มลรัฐนิวยอร์กได้มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล[4] เป็นต้น ในบางประเทศมีการรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลว่า เป็นสิ่งที่สามารถชำระเงินได้ตามกฎหมาย (Legal Tender)[5] นอกเหนือไปจากเงินตราของรัฐ (National currency or Legal currency) ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งชาติ หรือโรงกษาปณ์ อย่างไรก็ตามการรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายนั้นเป็นคนละเรื่องกับการที่สกุลเงินดิจิทัลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งยังมีผู้เข้าผิดอยู่เป็นจำนวนมาก การที่สกุลเงินดิจิทัลนั้นไม่ใช่เงินตราที่กฎหมายรับรองให้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายนั้นเจ้าหนี้ก็มีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ เพราะเป็นการชำระหนี้เป็นอย่างอื่น แต่หากเจ้าหนี้รับการชำระหนี้ด้วยสกุลเงินดิจิทัลหนี้ก็ระงับไป อย่างไรก็ตามสถานะของสกุลเงินดิจิทัลยังไม่ถือเป็นเงินตราในประเทศไทย[6] แต่มีสถานะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

ทิศทางการพัฒนากฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัล

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันสถานะของเงินดิจิทัลมีความชัดเจนมากขึ้นภายหลังจากการประกาศใช้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เข้ามารองรับสถานะของสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตามในเรื่องเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลยังเป็นเรื่องใหม่ในทางกฎหมาย ทั้งในแง่ของการใช้บังคับและการพัฒนากฎหมาย หัวใจสำคัญของการพัฒนากฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัลคือ การรักษาประโยชน์ระหว่างการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและการแข่งขัน กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ในลักษณะนี้กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นการทั่วไป โดยเป็นเครื่องกำหนดแบบแผนความประพฤติของคนในสังคมและมีกระบวนการบังคับที่เป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งในการออกฎหมายนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเอกชน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการปกครอง ในการออกกฎหมายรัฐจึงควรตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการตรากฎหมาย ผู้เขียนจึงขอนำเสนอข้อเสนอแนะและความเป็นห่วงในการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ดังต่อไปนี้

1. การกำกับกิจการ[7]

ในปัจจุบันในประเทศไทยได้มีพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกฎหมายที่รับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง และกำหนดให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับกิจการ ในการประกอบกิจการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ประกอบกิจการจะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน[8] การขออนุญาตนั้นเป็นมาตรการ ในการกำกับกิจการอย่างหนึ่งโดยเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่สังคมไม่ต้องการ และเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่อให้การประกอบกิจการมีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางอย่างเดียวกัน[9] ดังนั้น การขออนุญาต จึงเป็นการคัดกรองผู้ประกอบกิจการที่จะเข้ามาประกอบกิจการจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหากไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการกำกับกิจการจะมีประโยชน์ทั้งในแง่เป็นการป้องกันสิ่งที่สังคม ไม่ต้องการ แต่การกำกับกิจการที่เข้มงวดจนเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในหลายเรื่อง ดังนี้

1.1 การแข่งขัน

เมื่อพิจารณาในเรื่องของการแข่งขันแล้ว การออกกฎหมายฉบับหนึ่ง เป็นการสร้างภาระ และต้นทุนให้กับเอกชนที่อยู่ใต้บังคับของกฎหมายฉบับนั้น ซึ่งต้นทุนนี้เป็นภาระกับเอกชน ผู้ประกอบกิจการหากพิจารณาในมิติของเศรษฐศาสตร์แล้ว ต้นทุนเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจประกอบกิจการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งหากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นสูงเกินกว่าผลประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับ มีแนวโน้มว่า เอกชนอาจตัดสินใจไม่ประกอบกิจการในด้านนั้นไปเลย หรือถ้าเอกชนจะยังตัดสินใจ ประกอบกิจการด้านนั้นอยู่ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเอกชนรายใหญ่ที่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบต่อการตัดสินใจดำเนินธุรกิจของเอกชนรายนั้น ในลักษณะนี้การแข่งขันจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะเอกชนรายใหญ่เท่านั้น เนื่องจากต้นทุนในการเข้าสู่การประกอบกิจการนั้นสูง กลายเป็นรัฐเป็นผู้กีดกันการแข่งขันไป ซึ่งในทางกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจนั้น บทบาทของรัฐไม่ควรดำรงตนเป็นคนที่กีดกันเอกชนในการประกอบกิจการ ในทางตรงข้ามรัฐต้องขจัดการกีดกันในการแข่งขันเสียด้วยซ้ำ โดยจะต้องไม่วางกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน[10]

1.2 การบังคับใช้กฎหมาย

ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจของเอกชน เอกชนที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่องค์กรกำกับกิจการกำหนดขึ้น อาจเลือกที่จะประกอบกิจการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือกฎเกณฑ์นั้น และกลายเป็นธุรกิจใต้ดิน (Shadow business) แทน ซึ่งบทบาทของรัฐที่จะบังคับใช้กฎหมายจะยิ่งทำได้โดยยาก เพราะในยุคโลกาภิวัตน์ที่การติดต่อสื่อสารทำได้สะดวกรวดเร็วและยากที่จะตามร่องรอยได้ในโลกของอินเทอร์เน็ต การบังคับใช้กฎหมายจึงทำได้ยากขึ้น เพราะเอกชนที่ประกอบธุรกิจใต้ดินนั้นอาจะไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ไม่อยู่ภายใต้การใช้บังคับกฎหมายของรัฐไทย และในท้ายที่สุดกฎหมายก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับในเรื่องการกำกับกิจการนั้นผู้เขียนมีข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล อยู่ด้วยกัน 3 ประการ ดังนี้

(1) การกระจายข้อมูลข่าวสาร บนสมมติฐานของเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์เศรษฐกิจการตัดสินใจของมนุษย์ จึงเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล อย่างไรก็ตามในบางกรณีการตัดสินใจของมนุษย์อาจมีข้อบกพร่อง ซึ่งปัจจัยหนึ่ง ก็มาจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ครบถ้วน ในด้านนี้ผู้เขียนจึงเสนอบทบาทขององค์กรกำกับกิจการ ทำหน้าที่เป็นผู้กระจายข้อมูลข่าวสารไปสู่ความรับรู้ของประชาชาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ กับเอกชน แทนที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ที่มีความเข้มงวดจนเกินไป รัฐควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง แทนที่รัฐจะเข้าตัดสินใจแทนเอกชน เพราะถ้าหากเอกชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนการตัดสินใจของเอกชนจะมีความผิดพลาดน้อยลงและมีความเสียหายน้อยลง รัฐในฐานะของสิ่งที่มีขึ้นเพื่อลดต้นทุนของประชาชนก็ควรจะทำหน้าที่นี้ โดยกระจายข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ให้มากที่สุด เช่น ในกรณีที่มีบุคคลจะออกเหรียญดิจิทัลหรือทำการเสนอขายดิจิทัลโทเคน รัฐก็ควรตรวจสอบแผนการและวิธีการของเขาและนำเสนอข่าวสารนี้สู่ประชาชน

(2) การร่วมมือกันระหว่างองค์กรกำกับกิจการกับผู้ประกอบการในเรื่องการดำเนินกิจการนั้นย่อมไม่มีใครมีความรู้ความเข้าใจดีเท่ากับผู้ประกอบกิจการ แทนที่องค์กรกำกับกิจการจะทำแต่หน้าที่ควบคุมและออกกฎเกณฑ์แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เข้าใจหรือคำนึงถึงสภาพของผู้ประกอบการ องค์กรกำกับกิจการควรเปิดช่องให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมทั้งในแง่ของ การรับฟังความคิดไปจนถึงให้ผู้ประกอบกิจการร่วมกันออกกติกาควบคุมความประพฤติของสมาชิกด้วยกันเอง[11] เพราะไม่มีใครจะเข้าใจเรื่องในทางธุรกิจได้ดีเท่ากับผู้ประกอบกิจการด้วยกันเอง โดยผู้ประกอบกิจการนั้นอาจจัดทำมาตรฐานกลาง (Code of practice) ขึ้นมา โดยการมอบหมายของรัฐและภายใต้ความเห็นชอบของรัฐ ซึ่งหากมีเอกชนคนใดฝ่าฝืน รัฐก็จะลงโทษให้ ดังนั้น ทั้งการรับฟังความคิดเห็นและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบกิจการกำกับตัวเองนั้น อาจช่วยลดต้นทุนของเอกชนลงและมีความคล่องตัวในทางธุรกิจมากกว่าการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของรัฐและองค์กรกำกับกิจการ และจูงใจให้เอกชนอยากมีส่วนร่วมกับรัฐในการกำกับกิจการ

(3) การใช้กฎหมายซึ่งมีอยู่เดิมในหลายเรื่องผู้เขียนเห็นว่ากฎหมายที่มีอยู่เดิมนั้นก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่หน่วยงานของรัฐยังขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เดิม เช่น การจัดการกับธุรกิจที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับ สกุลเงินดิจิทัลหรือการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลในลักษณะที่เป็นการเชิญชวนให้มาระดมทุน แต่แท้จริงแล้วไม่มีการประกอบกิจการเช่นว่า เพียงแต่ต้องการชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาลงทุนและนำเงินนั้นมาหมุนเวียนจ่ายเป็นผลตอบแทนในลักษณะที่เป็นแชร์ลูกโซ่อันจะเป็นความผิดฐานการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

2. การจัดเก็บภาษี

นอกจากพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 แล้ว กฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลซึ่งออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันก็คือ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกาศใช้เพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้จากการถือหรือครอบครองสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะเก็บจากกำไรที่ได้จากการถือหรือครอบครองสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเก็บเป็นเงินได้พึงประเมินร้อยละ 15 ของเงินได้ และหากมีกำไรหรือผลประโยชน์เกินกว่านั้นก็เก็บเกินกว่าร้อยละ 15 ได้ ซึ่งค่อนข้างเป็นการกำหนดกฎหมายที่มีความลักลั่น เพราะในขณะเดียวกันกฎหมายยกเว้นภาษีให้กับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับมาเก็บภาษีจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลการที่กฎหมายไทยรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลและดิจิทัลโทเคน (Digital token) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset) ก็เพราะต้องการให้ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเดิมต้องถือว่า เป็นกิจการใต้ดินขึ้นมาเป็นตลาดที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ อย่างไรก็ตามแม้ผู้ประกอบกิจการตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลจะยอมตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของรัฐก็ตาม แต่เอกชนผู้ครอบครองสกุลเงินดิจิทัลหรือดิจิทัลโทเคนอาจไม่อยากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของรัฐ ซึ่งก็สามารถทำได้โดยเลี่ยงไปใช้บริการตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในต่างประเทศแทน หรือเลี่ยงไปใช้ช่องทางอื่น เช่น การแลกเปลี่ยนกันเป็นการส่วนตัวผ่านแชทบ็อก (Chat box) ซึ่งท้ายที่สุดมาตรการที่ออกมาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ

การรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัล

โดยทั่วไปแล้วรัฐจะถือเอกสิทธิ์ในการออกใช้เงินตรา (Privilege right to coin money) แต่เพียงผู้เดียว โดยถือว่าเป็นอำนาจอธิปไตยของรัฐในการออกเงินอย่างอิสระตามเจตนารมณ์ของตน ซึ่งทำให้รัฐทุกรัฐสามารถทำเงินขึ้นใช้ กำหนดมูลค่าของสกุลเงิน และออกกฎหมายควบคุมการหมุนเวียนของเงินในระบบได้[12] การที่รัฐมีอำนาจในการออกใช้เงินตรา กำหนดมูลค่าของสกุลเงิน และออกกฎหมายควบคุมการหมุนเวียนของเงินในระบบได้นี้ สร้างความเชื่อมั่นและยอมรับมูลค่าของเงินในการชำระหนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ในหมู่ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ เงินตรามีลักษณะพิเศษ เพราะไม่มีชนิดดีชนิดเลวหรือชนิดปานกลางอย่างทรัพย์อื่น ๆ[13] ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของเงินตรา อย่างไรก็ตามประเทศไทยบังคับใช้หลักเอกสิทธิ์ในการออกเงินตราของรัฐอย่างเคร่งครัดและปฏิเสธการนำระบบเงินตราอื่นมาใช้แทนเงินตราของรัฐ โดยการนำระบบเงินตราอื่นมาใช้จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501[14] การที่รัฐไทยปฏิเสธการนำระบบเงินตราอื่นมาใช้ควบคู่กับเงินตราของรัฐนั้นก็เป็นการละเลยประโยชน์ที่รัฐจะได้รับจากการยอมรับสถานะของเงินดิจิทัล ในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจและการลดความเหลื่อมล้ำได้ นักเศรษฐศาสตร์ชาวเปรูชื่อ เฮอร์นานโด เดอ โซโต (Hernando De Soto) ได้กล่าวไว้ว่า “คนจนไม่ได้จนเพราะว่าเขาขาดทรัพย์สินหรือทรัพยากร แต่จนเพราะว่าเขาขาดเงินทุน” การที่รัฐรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลบางสกุลให้มีสถานะที่เป็นเงินตราซึ่งชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแล้วเจ้าหนี้จะต้องรับนั้น ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการช่วยเหลือให้คนจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสามารถนำเงินทุนนั้น ไปต่อยอดได้ เช่น การนำสกุลเงินดิจิทัลไปใช้เพื่อปล่อยเป็นสินเชื่อเพื่อการเกษตรหรือเพื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปัญหาอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำนั้นมาจากความไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนา การรับรองสถานะของสกุลเงินดิจิทัลอาจเข้ามามีบทบาทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้

บทสรุป

ความเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นจากสกุลเงินดิจิทัลยังคงเป็นเรื่องใหม่ และแม้แต่กฎหมายซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เกิดขึ้นในต่างประเทศสักเท่าไร การพัฒนากฎหมายกับสกุลเงินดิจิทัลจึงยังเป็นภารกิจที่พึ่งเริ่มต้นขึ้น ซึ่งการพัฒนาในเรื่องนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ขอบเขตของกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ออกมาใช้บังคับควรมีลักษณะเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนและการพัฒนาเทคโนโลยีและการแข่งขัน รัฐไม่ควรปิดประตูและปฏิเสธการพัฒนา เพราะในโลกอันไร้พรมแดนอย่างอินเทอร์เน็ตนั้นบทบาทของรัฐลดน้อยถอยลงไปมาก แต่รัฐก็ยังมีความจำเป็นอยู่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมให้ดำเนินไปโดยสงบสุข รัฐต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองและเรียนรู้เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนของการพัฒนากฎหมายในอนาคต


อ้างอิงจาก

[1] “Cryptocurrency a digital currency in which encryption techniques are used to regulate the generation of units of currency and verify the transfer of funds, operating independently of a central bank.”, English Oxford Living Dictionaries, “Cryptocurrency,” Accessed February 20, 2018, https://en.oxford dictionaries.com/definition/cryptocurrency.

[2] พงศ์บวร ควะชาติ, “สกุลเงินเสมือนจริงปลอดการควบคุมบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต”, (วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2557), น. 48.

[3] พินัย ณ นคร, กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคดิจิทัล, (กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2561), น. 44.

[4] New York codes, Rules and Regulations Title 23.

[5] “Legal tender is a medium of payment recognized by a legal system to be valid for meeting a financial obligation.”, British royal mint, “Legal tender guidelines ,” Accessed February 20, 2018, https://www.royalmint.com/help/trm-faqs/legal-tender-amounts/.

[6] ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 8/2557 เรื่อง ข้อมูลเกี่ยวกับบิทคอยน์และหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ลักษณะใกล้เคียง

[7] ผู้เขียนเลือกใช้คำว่า “กำกับกิจการ” (Regulation) แทนคำว่า “กำกับดูแล” (Tutelle) เนื่องจากคำว่ากำกับดูแลนั้นในทางกฎหมายมหาชนจะใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างนิติบุคคลสองนิติบุคคล เช่น ระหว่างรัฐส่วนกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โปรดดูเพิ่มเติมใน สมคิด เลิศไพฑูรย์, กฎหมายปกครองท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : เอ็กซเปอร์เน็ท, 2550), น. 390.

[8] มาตรา 26 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561.

[9] ธรรมนิตย์ สุมันตกุล, กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ : ทฤษฎี “กฎ” ในทางเศรษฐศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2560), น. 135.

[10] สุรพล นิติไกรพจน์, “หลักการพื้นฐานของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจของฝรั่งเศส ส่วนที่หนึ่ง หลักเสรีนิยม,” วารสารนิติศาสตร์, เล่มที่ 24, ปีที่ 3, น. 608.

[11] ธรรมนิตย์ สุมันตกุล, “เครื่องมือบังคับการในกฎหมายสิ่งแวดล้อม,” สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560, http://web.krisdika.go.th/pdfPage.jsp?type=act&actCode=189.

[12] พงศ์บวร ควะชาติ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ , น. 55.

[13] จี๊ด เศรษฐบุตร, หลักกฎหมายแพ่งลักษณะหนี้, แก้ไขเพิ่มเติมโดย ดาราพร ถิระวัฒน์, พิมพ์ครั้งที่ 15, (กรุงเทพมหานคร : โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), น. 39.

[14] บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การใช้เบี้ยกุดชุมแทนเงินตรา เรื่องเสร็จที่ 63/2560.

เมื่อบริษัทจำกัดอยากออกหุ้นกู้

ภาพประกอบบทความ จาก elegantthemes.com


Highlights:

  • ลักษณะการประกอบกิจการที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงทำให้เอกชนไม่สามารถขอกู้ยืมเงินจากธนาคารได้เพียงพอ
  • หุ้นกู้จึงเป็นวิถีทางหนึ่งในการระดมทุนเพื่อใช้ในการพัฒนานวัตกรรม
  • ในปัจจุบันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นห้ามมิให้บริษัทจำกัดออกหุ้นกู้
  • ปัจจุบันมีความพยายามแก้ไขกฎหมายอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในปัจจุบัน

เมื่อข้อเท็จจริงในการตรากฎหมายเปลี่ยนไป กฎหมายกฎหมายก็ควรจะต้องมีการแก้ไข สภาพดังกล่าวคือความเป็นจริงที่นักกฎหมายทุกคนควรตระหนัก กฎหมายไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์และไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ในปัจจุบันการประกอบธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

การประกอบธุรกิจในปัจจุบันนั้นเน้นการพัฒนานวัตกรรมหรือที่เราเรียกว่า “กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น” (Startup) ซึ่งในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงที่นวัตกรรมนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ในการประกอบธุรกิจนั้นโดยลำพังไม่สามารถอาศัยเงินทุนจากธนาคารได้ เพราะธนาคารก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะปล่อยกู้ให้ได้ตามความต้องการหรือไม่ เนื่องจากธนาคารก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าการพัฒนานวัตกรรมจะสำเร็จหรือไม่ ดังนั้น อีกวิธีการหนึ่งที่เอกชนสามารถนำมาใช้เพื่อระดมเงินจึงต้องกระทำผ่านการเสนอขายหุ้นกู้ แต่อย่างไรก็ตามอุปสรรคสำคัญที่ทำให้บริษัทจำกัดไม่สามารถระดมทุนโดยอาศัยหุ้นกู้ได้นั้นก็คือ “กฎหมาย”

ความเป็นมาของการห้ามบริษัทจำกัดออกหุ้นกู้

ประมวลแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ผ่านการแก้ไขมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับหุ้นส่วนและบริษัทในบรรพ 3 ลักษณะ 22 ที่ได้มีการแก้ไขครั้งใหญ่เมื่อคราวที่พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2521 ประกาศใช้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หลายส่วนด้วยกัน อาทิ บทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นที่มีลักษณะเป็นการทั่วไปแก่ประชาชน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้คำว่า “ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้น”) และการเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งในการเสนอขายหุ้นนั้นมีลักษณะพิเศษกว่าการเสนอขายหุ้นทั่วไป เพราะมีกระบวนการเพื่อป้องกันมิให้ประชาชนถูกหลอกลวง ดังนั้น เมื่อ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2521 ประกาศใช้จึงมีการยกเลิกบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสนอขายหุ้นกู้

ผลของการห้ามมิให้ขายหุ้นกู้แก่ประชาชน

มาตรา 1229 บัญญัติว่า “บริษัทจะออกหุ้นกู้ไม่ได้”

บทบัญญัติดังกล่าวได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดยอาศัยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2521

ผลของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว ทำให้บริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายนี้ไม่สามารถเสนอขายหุ้นกู้แก่ประชาชนได้ ซึ่งทำให้บริษัทจำกัดไม่สามารถนำหุ้นกู้มาใช้เป็นเครื่องมือระดมทุนระยะยาวนอกเหนือจากการเสนอขายหุ้นสามัญ และการกู้ยืมเงินจากธนาคารได้ ซึ่งในกรณีกฎหมายกลายเป็นอุปสรรคในการยับยั้งการประกอบกิจการและการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่ใช่ว่ากฎหมายห้ามมิให้บริษัทจำกัดเสนอขายหุ้นกู้เสียทีเดียว โดยบริษัทจำกัดสามารถยื่นคำขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ออกหุ้นกู้ได้ตามบทบัญญัติในมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

แม้ว่าพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จะบัญญัติรับรองให้บริษัทจำกัดสามารถยื่นคำขออนุญาตให้ออกหุ้นกู้ได้ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติกระบวนการออกหุ้นกู้นั้นจะต้องจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นกู้ต่อประชาชนไปให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติห้ามมิให้บริษัทจำกัดขายหุ้นกู้แก่ประชาชน แม้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จะเปิดให้ยื่นคำขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ แต่เมื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไม่ได้มีการกำหนดแนวทางในการส่งเอกสารเอาไว้เช่นเดียวกันกับประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นหรือหุ้นกู้ต่อประชาชนของผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัดต่อนายทะเบียน ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2543) ทำให้ในทางปฏิบัติกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่รับนำส่งเอกสารดังกล่าว

นอกจากเหนือจากปัญหาการไม่มีแนวทางในการส่งเอกสารเอาไว้แล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก คือ กรณีที่หากบริษัทจำกัดต้องการให้หุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญเพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นกู้ได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่นวัตกรรมที่พัฒนานั้นประสบความสำเร็จ ปัญหานี้ก็ยังคงมีอยู่ เพราะในปัจจุบันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ห้ามมิให้บริษัทจำกัดออกหุ้นกู้เลย ผลที่ตามมาจึงเกิดปัญหาว่าถ้าแปลงสภาพหุ้นกู้ไปเป็นหุ้นสามัญแล้ว จะดำเนินการอย่างไรในเมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดไว้

ปัญหาของเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะมีข้อเรียกร้องจากทางภาคเอกชนอยู่ตลอดและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เองก็พยายามหาแนวทางการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่ความคืบหน้าในเรื่องนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือโอกาสของเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมที่ต้องเสียไปเพราะมีกฎหมายเป็นอุปสรรค

สกุลเงินดิจิทัลเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่

ภาพจำลองรูปแบบของเหรี่ยญสกุลเงินดิจิทัล จาก Financial Times


Highlights:

  • สกุลเงินดิจิทัลเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่ง เกิดขึ้นจากความพยายามปลดปล่อยการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จากบุคคลที่สามหรือสถาบันการเงิน
  • กลไกการทำงานสกุลเงินดิจิทัลดำเนินการภายใต้ชุดเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่เรียกว่า “บล็อกเชน” ซึ่งเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องความไว้วางใจ (Trust) ในการชำระเงินผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องการจ่ายเงินซ้ำ (Double-spending problem) และปัญหาเรื่องความปลอดภัยจากการถูกแทรกแซงกลไกทางบัญชี
  • สกุลเงินดิจิทัลโดยสภาพอาจไม่ใช่การก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นแชร์ลูกโซ่เสมอไปขึ้นกับอยู่กับกลไก และความมุ่งหมายของคนทำงานที่อยู่เบื้องหลัง
  • บทความนี้ผู้เขียนปรับปรุงมาจากบทความที่นำเสนอที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งเป็นที่ทำงานเก่าของผู้เขียน

จากสถานการณ์ความร้อนแรงของราคาซื้อ-ขายบิทคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งดึงดูดความสนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลจะไม่ใช่ของใหม่ในโลก แต่ก็ยังเป็นของใหม่ในประเทศไทย ทำให้เป็นการเปิดช่องให้มิจฉาชีพอาจอาศัยความไม่รู้ของประชาชนในการแสวงหาผลประโยชน์ โดยมีสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง บทความนี้จะนำเสนอรูปแบบของการการกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือแชร์ลูกโซ่

สกุลเงินดิจิทัลนั้นเป็นหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่ง การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลนั้นเกิดขึ้นเพื่อต้องการปลดปล่อยการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จากบุคคลที่สามอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ตามปกตินั้นในการทำธุรกรรมจำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอเพื่อทำให้ธุรกรรมนั้นเกิดขึ้น โดยบุคคลที่สามจะได้รับผลตอบแทนในการช่วยให้ธุรกรรมเกิดขึ้นเป็นค่าธรรมเนียม แนวคิดของสกุลเงินดิจิทัลจึงเกิดขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการจ่ายเงินซ้ำ (Double-spending Problem) ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถทำให้สามารถส่งผ่านมูลค่าโดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม

พฤติการณ์ที่จะเป็น “แชร์ลูกโซ่” หมายถึง ธุรกิจที่เชื้อเชิญให้คนเอาเงินมาลงทุน โดยอ้างว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนกลับไปในอัตราที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง แต่ตัวธุรกิจนั้นไม่มีการประกอบกิจการที่จะสร้างผลตอบแทนด้วยตัวของธุรกิจเอง ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นมาจากการชักชวนสมาชิกคนใหม่ให้เข้ามาลงทุน เพื่อนำเงินลงทุนจากสมาชิกรายใหม่มาหมุนเวียนจ่ายให้สมาชิกรายก่อน ๆ ดังนั้น หากเพียงแค่ทำการซื้อสกุลเงินดิจิทัลมาและขายไปนั้นยังไม่เป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด

จากการศึกษาลักษณะของสกุลเงินดิจิทัลที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่ได้ใน 3 ลักษณะ ดังนี้

1. อาศัยวิธีการเชิญชวนให้มาร่วมลงทุนโดยอ้างว่าจะนำเงินนั้นไปลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องการสกุลเงินดิจิทัล เช่น นาย ก. เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปนำเงินมาลงทุนคนละ 10,000 บาท โดยอ้างว่าจะเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ในกิจการเหมืองขุดเหรียญเงินดิจิทัล หรือนำมารวมเป็นกองกลางเพื่อเก็งกำไรในสกุลเงินดิจิทัล โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนกลับมาในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือนของเงินลงทุน เป็นต้น แท้จริงแล้วการประกอบกิจการดังกล่าวนั้นไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ เพราะกิจการดังกล่าวนั้นมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามากระทบ เช่น จำนวนของเงินดิจิทัลที่ได้จากการขุดเหรียญเงินดิจิทัล หรือปัจจัยที่มากระทบต่อราคาของเงินดิจิทัลที่มีความผันผวน

2. การลุงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่มีลักาณะคล้ายคลึงกับธุรกิจขายตรงที่แอบแฝงแชร์ลูกโซ่ กล่าวคือ มิจฉาชีพจะตั้งบริษัทขึ้นมา ทำการตลาดว่าบริษัทของตนสร้างสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาสกุลหนึ่ง และอ้างว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นโดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน (ในความเป็นจริงอาจใช้อย่างอื่น เช่น ภาษา SQL) หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะทำการเชิญชวนให้ประชาชนที่สนใจสมัครสมาชิกกับบริษัท ซึ่งเมื่อเป็นสมาชิกแล้วจะมีสิทธิแลกซื้อเหรียญดิจิทัลและมีสิทธิเพิ่มจำนวนเหรียญ อย่างไรก็ตามผลกำไรหรือผลตอบประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนนั้นไม่ได้เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนนั้นมาจากระบบการเชื้อเชิญคนให้เข้ามาเป็นสมาชิก บริษัทจะกำหนดผลตอบแทนในการชักชวนสมาชิกใหม่ให้เขามาลงทุนเอาไว้ เช่น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินจำนวนร้อยละ 20 จากค่าสมัครสมาชิก ยิ่งสามารถหาจำนวนสมาชิกเพิ่มได้มากเท่าไร และสร้างลำดับสมาชิกทั้งในแบบอัพไลน์ (Up-line) หรือดาวน์ไลน์ (Down-line) หากจำนวนสมาชิกมากเท่าไรก็ยิ่งได้ผลตอบประโยชน์ตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งบริษัทก็จะนำเงินค่าสมัครสมาชิกรายใหม่มาหมุนเวียนจ่ายให้กับสมาชิกรายก่อน ๆ ตัวอย่างของกรณีนี้ คือ Onecoin

3. มิจฉาชีพอาศัยกลไกตลาดเป็นเครื่องมือ กล่าวคือ บริษัทผู้ผลิตสกุลเงินดิจิทัลได้ทำการโฆษณาเชิญชวนให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนซื้อสกุลเงินดิจิทัลของบริษัทตน โดยอ้างว่าเป็นการระดมทุนเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มหรือนวัตกรรมบางอย่าง แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ผลิตสกุลเงินดิจิทัลไม่ได้มีเจตนาจะพัฒนาอะไรทั้งสิ้น หากแต่ต้องการใช้กลไกตลาดสร้างอุปสงค์เทียม (ฟองสบู่) จากการเก็งกำไรขึ้นมา ให้นักลงทุนทำการซื้อขายไปเรื่อย ๆ เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัล กำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนไม่ได้มาจากการประกอบกิจการใด ๆ หากแต่กำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนนั้นมาจากส่วนต่างที่เกิดจากราคาซื้อขายของสกุลเงินดิจิทัล ราคาของสกุลเงินดิจิทัลมีความเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์ในการถือครองเงินสกุลดิจิทัลสกุลในตลาด หากความต้องการเงินสกุลดิจิทัลในตลาดในขณะนั้นมีอยู่มากราคาของสกุลเงินดิจทัลจะสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินตราหลัก ในทางตรงข้ามกหากอุปสงค์ในการถือครองสกุลเงินดิจิทัลในตลาดนั้นลดลง ราคาของสกุลเงินดิจิทัลก็จะลดลงเช่นกัน ดังนั้น ราคาของสกุลเงินดิจิทัลจึงมีความผันผวนสูงแปรเปลี่ยนไปตามอุปสงค์ในตลาด แม้ว่าผู้ผลิตสกุลเงินดิจิทัลไม่ได้รับประกันใด ๆ ว่า เงินดิจิทัลที่ซื้อไปแล้วนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หากแต่ผู้ซื้อหรือนักลงทุนเองก็เชื่อว่ามูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งความเชื่อดังกล่าวเกิดจากการอาศัยกลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการชักจูงให้มาลงทุน ซึ่งผู้ผลิตเงินดิจิทัลย่อมทราบดีอยู่แก่ใจว่านักลงทุนที่ซื้อเงินดิจิทัลไปนั้น เพราะคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งความคาดหวังนี้เองทำให้เป็นการชักชวนนักลงทุนรายใหม่ ๆ เข้ามาซื้อสกุลเงินดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรไปเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงนี้กระแสของการเสนอขายเหรียญดิจิทัล (Initial Coin Offering, ICO) กำลังเป็นที่นิยมก็น่าตั้งข้อสังเกตว่าการทำ ICO นั้นเหมือนเหรียญสองด้าน ในด้านหนึ่งการระดมทุนโดยใช้วิธี ICO นั้นเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบ เช่น ในแง่ความสะดวกในการระดมทุนและไม่กระทบต่อโครงสร้างของบริษัท เป็นต้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ท้าทายบทบาทของรัฐในการเข้ามากำกับดูแลซึ่งภาครัฐควรมองปัญหาให้รอบด้านและทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว เพราะหากกฎหมายที่ออกมาเข้มงวดและเป็นอุปสรรคแก่การทำ ICO ก็จะกระทบต่อการพัฒนาในอุตสาหกรรมด้านนี้ ในขณะที่ถ้าภาครัฐหย่อนยานจนเกินไปก็อาจจะนำไปสู่ช่องทางของการก่ออาชญากรรมได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันหากมีการนำสกุลเงินดิจิทัล ไปใช้ในลักษณะเกี่ยวกับการระดมทุน อาจจะเข้าลักษณะของการเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ
พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาตในการประกอบกิจการทั้งหมด

กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันแม้ว่าการซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัลอาจจะไม่เข้าข่ายผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนภายใต้ข้อกฎหมายที่ระบุไว้ แต่ความเสี่ยงในการลงทุนนั้นสูงมาก ผู้ใดที่ต้องการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลรวมถึงกรณีของ ICO ที่บริษัทต่าง ๆ ออกมาประกาศขายในปัจจุบัน ต้องทำการศึกษาถึงตัวผลิตภัณฑ์ให้ถ่องแท้ และให้รู้ถึงกระบวนการของบริษัทว่าผลิตสกุลเงินดิจิทัล (Digital Token) และจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร แม้ว่ารัฐจะอยู่ในระหว่างการยกร่างกฎหมายควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนจะได้รับความคุ้มครองจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทุกกรณี

กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจคืออะไร


Highlights:

  • กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ คือ บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายมหาชนที่ว่าด้วยการเข้าไปแทรกแซงของรัฐในปริมณฑลทางเศรษฐกิจ
  • กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของสาขากฎหมายมหาชน
  • กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีลักษณะที่เป็นเฉพาะแตกต่างจากกฎหมายมหาชนสาขาอื่น คือ มีลักษณะเป็นพลวัตร และมีลักษณะผสมผสาน

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านบล็อกนี้ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักกับกฎหมายมหาชนมาบ้าง แต่ก็อาจจะสงสัยว่ากฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจคืออะไร ? กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชนหรือไม่ ? ซึ่งในบทความนี้จะได้นำเสนอความหมาย และความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายมหาชน

กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ (Public economic of law) เป็นสาขาหนึ่งของกฎหมายมหาชน โดยเป็นสาขาที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาไม่นาน (เมื่อเทียบกับกฎหมายมหาชนสาขาอื่นอย่างกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายปกครอง) และยังอยู่ช่วงพัฒนาหลักการต่างๆ อยู่

ความหมายของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ

กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีขอบเขตที่แคบกว่า “กฎหมายเศรษฐกิจ” ทำให้ในบางครั้งในการนิยามความหมายของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจอาจแฝงอยู่ในนิยามของกฎหมายเศรษฐกิจ

ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ นักกฎหมายคนสำคัญท่านหนึ่ง ได้ให้นิยามของกฎหมายเศรษฐกิจไว้ว่า

“กฎหมายเศรษฐกิจ” คือ บรรดาบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ หมายถึงบทบัญญัติที่บัญญัติถึงกิจกรรมหรือกิจการทางเศรษฐกิจ เพื่อที่จะควบคุมชี้แนวทาง ส่งเสริมหรือจำกัดการกระทำหรือกิจการทางเศรษฐกิจนั่นเอง

สมยศ เชื้อไทย, คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง: หลักทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 18, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2555), น. 119.

ซึ่งจากนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กฎหมายเศรษฐกิจมีความหมายกว้าง เพราะหากเนื้อหาของกฎหมายนั้นเกี่ยวกับกิจกรรมหรือกิจการในทางเศรษฐกิจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุม ชี้แนวทาง ส่งเสริม หรือจำกัดการกระทำหรือกิจการทางเศรษฐกิจล้วนเป็นกฎหมายเศรษฐกิจทั้งสิ้น โดยไม่สำคัญว่าเป็นกฎหมายเอกชนทางเศรษฐกิจหรือกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ

ฉะนั้น หากพิจารณาในลักษณะนี้ กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจจะมีฐานะเป็นกฎหมายเศรษฐกิจในความหมายอย่างแคบ โดยเน้นเฉพาะในกิจกรรมหรือกิจการทางเศรษฐกิจที่รัฐหรือนิติบุคคลมหาชนเป็นผู้กระทำ ดังนั้น เราจึงอาจนิยามได้ว่า

“กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ คือ กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมหาชนที่ว่าด้วยการเข้าไปแทรกแซงของรัฐหรือนิติบุคคลมหาชนในทางเศรษฐกิจ

ลักษณะของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ

จากนิยามของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจจเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนสาขานี้มีลักษณะเฉพาะตัวอยู่ 2 ประการ คือ 1. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นพลวัตร และ 2. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีลักษณะผสมผสาน

1. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นพลวัตร

ในแง่ลักษณะที่เป็นพลวัตร (Dynamic) ของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์ระหว่างวิวัฒนาการของรัฐ (Function of state) ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และสำนักคิดทางเศรษฐกิจ (School of economic thought) ที่มีบทบาทในขณะนั้น ด้วยลักษณะดังกล่าวกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจจึงมีลักษณะไม่เป็นกลาง

ลักษณะที่เป็นพลวัตรนี้ ทำให้ในการศึกษากฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจไม่สามารถตัดขาดจากความรู้ทางศาสตร์อื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเศรษฐศาสตร์

2. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีลักษณะผสมผสาน

ในแง่ลักษณะที่เป็นการผสมผสาน (Hybrid) ของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจนั้น ทำให้แตกต่างจากกฎหมายมหาชนสาขาอื่น เนื่องจากไม่ได้มีลักษณะเป็นกฎหมายมหาชนโดยแท้ แต่มีลักษณะเป็นการผสมผสานเนื้อหาระหว่างกฎหมายมหาชนโดยแท้กับกฎหมายสาขาอื่นๆ และกฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ

ดังนั้น ในการทำความเข้าใจกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจจึงไม่อาจศึกษาเฉพาะในส่วนที่เป็นกฎหมายแท้ๆ เพียงอย่างเดียวได้ และในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำความเข้าใจเฉพาะในส่วนที่เป็นหลักการทางกฎหมายมหาชนอย่างเดียวได้

ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายอื่น

1. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายมหาชนสาขาหนึ่งว่าด้วยตราสารแห่งรัฐ ซึ่งกำหนดรูปแบบของรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐด้วยกัน และความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้เข้ามาสัมพันธ์กับกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจใน 2 ลักษณะ คือ ในส่วนที่เกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ กับในส่วนกำหนดความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ระหว่างรัฐกับประชาชน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ

2. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายปกครอง

กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายปกครองมีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมีการหยิบยืมหลักกฎหมายหรือองค์ความรู้ในทางกฎหมายปกครองมาใช้มากพอสมควร ถึงขนาดในระบบกฎหมายบางประเทศไม่ได้มีการแยกกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจออกมาศึกษาเป็นการเฉพาะ โดยถือว่ากฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายปกครอง หรือที่เรียกว่า “กฎหมายปกครองทางเศรษฐกิจ”

3. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายการคลังสาธารณะ

ในทางกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจมองว่า กฎหมายการคลังสาธารณะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการแทรกแซงของรัฐในทางเศรษฐกิจ เช่น การอาศัยเครื่องมือทางการคลังที่เป็นภาษี เพื่อเข้าไปสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับเอกชน เป็นต้น

4. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายเอกชนทางเศรษฐกิจ

กฎหมายทั้งสองสาขาถือเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวัตถุในศึกษา และเป็นสิ่งที่จะถูกกฎหมายบังคับใช้ โดยกฎหมายเอกชนทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มุ่งหมายกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างเอกชนด้วยกันโดยเท่าเทียมกัน และรวมไปถึงเรื่องการจัดโครงสร้างขององค์กรธุรกิจของเอกชนต่างๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีรัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง ควบคุม และชี้นำแนวทางแก่เอกชนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเอกชนเอง ซึ่งเป็นบทบาทของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ

5. กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีลักษณะเป็นกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ว่า กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจเป็นกฎหมายว่าด้วยการแทรกแซงทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยรัฐกำหนดกฎเกณฑ์เหนือเอกชนโดยมีสถานภาพเหนือกว่า และมุ่งเพื่อรักษาประโยชน์มหาชนเป็นการภายใน ในขณะที่กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศไม่ได้กำหนดความสัมพันธ์เฉพาะระหว่างรัฐกับเอกชน แต่ในบางกรณียังกำหนดความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ระหว่างเอกชนด้วยกัน หรือระหว่างรัฐกับเอกชน (กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ) และระหว่างรัฐต่อรัฐด้วยกัน หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งบรรดากฎหมายเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ ในท้ายที่สุดกฎเกณฑ์ทางกฎหมายเหล่านี้จะเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ โดยรัฐอธิปไตยยอมรับเอากฎเกณฑ์ทางกฎหมายเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายภายประเทศ

กรณีต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายสาขาอื่นๆ และกฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้องกันในลักษณะใดบ้าง

จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้น น่าจะพอทำให้เข้าใจความหมาย และลักษณะคร่าวๆ ของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจกับกฎหมายสาขาอื่น และกฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ


อ้างอิง

สมยศ เชื้อไทย, คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง: หลักทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 18, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2555), น. 119. (กฎหมายเศรษฐกิจ)

บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ, กฎหมายปกครองเศรษฐกิจเยอรมัน, (กรุงเทพฯ: นิติธรรม, 2538), น. 49–55. (ความหมายของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ)

สุรพล นิติไกรพจน์, ข้อความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ, วารสารนิติศาสตร์, ปีที่ 21 ฉบับที่ 3, 2536, น. 373. (ความหมายของกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ)