การจัดทำงบประมาณครั้งแรกภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

งบประมาณเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของรัฐสมัยใหม่ เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ฉะนั้น บรรดารัฐสมัยใหม่ ไม่ว่าจะปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบประชาธิปไตย หรือ ระบอบเผด็จการ มักจะให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นสำคัญ เพื่อให้ทราบรายได้และรายจ่ายของรัฐว่าถูกใช้จ่ายไปเพื่อกิจการใด หรือ วัตถุประสงค์ใด

การจัดทำงบประมาณไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการอภิวัฒน์สยาม

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังจากทรงปฏิรูปประเทศและพยายามดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางการปกครองหรือ “องค์พระมหากษัตริย์” หนึ่งในการปฏิรูปสำคัญคือ การปฏิรูปการคลังแผ่นดิน

ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นในพระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลาง และทรงมีพระบรมราชโองการให้ใช้พระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์จุลศักราช 1235 (พ.ศ. 2416) โดยให้พนักงานบัญชีกลางรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษีอากร ซึ่งกระทรวงต่างๆ ได้จัดเก็บและนำส่งให้พระคลังมหาสมบัติ[1] ซึ่งเป็นการควบคุมเงินแผ่นดินในส่วนของรายได้ และในส่วนของรายจ่าย

เมื่อทรงตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้นในปี พ.ศ. 2418 โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2418) ให้มีหน้าที่สำหรับจ่าย รักษาเงินแผ่นดินและสมบัติของแผ่นดิน รักษาบัญชีพระราชทรัพย์ และเก็บภาษีอากร[2] และในปีเดียวกันนั้นได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติแลว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงิน ส่งเงิน จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2418) ซึ่งกำหนดให้การเบิกจ่ายเงินจะต้องกระทำได้เมื่อเจ้าพนักงานกรมต่างๆ ได้ทำหนังสือขออนุญาตไว้แต่ปลายปี เว้นเสียแต่เป็นเงินฎีกาจร ซึ่งไม่ได้ขออนุญาตไว้ตั้งแต่ปลายปี[3] โดยเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหลายที่ขออนุญาตเบิกจ่ายนั้นจะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตเสียก่อน[4] ซึ่งนับเป็นการก่อรูปของการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456 ขึ้นมา โดยกำหนดให้เจ้ากระทรวง ทบวงการทั้งปวงทำงบประมาณรายได้และรายจ่ายเงินแผ่นดินตามลักษณะและแบบซึ่งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติกำหนดไว้ และให้ยื่นงบประมาณไปให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติตรวจสอบภายในวันซึ่งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติกำหนด[5]

โดยกระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดินนั้นจะเริ่มต้นจากการทำงบประมาณของหน่วยงานมายังกระทรวงพระคลังมหาสมบัติภายในเดือนพฤศจิกายน[6] และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจะดำเนินการจัดทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี[7] และทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว[8] จึงอาจกล่าวได้ว่างบประมาณประจำปีของประเทศไทยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนไปตลอดจนถึงวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี 

การจัดทำงบประมาณไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการอภิวัฒน์สยาม

เมื่อได้มีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วนั้น แต่เรื่องการจัดทำงบประมาณในเวลานั้น ยังคงใช้วิธีการดังเช่นที่ผ่านมาตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456  แต่สิ่งสำคัญที่มีการเปลี่ยนไปจากเดิม คือ ผู้มีอำนาจอนุญาตงบประมาณแผ่นดินนั้นเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมถึงต้องจำกัดอำนาจและบทบาทของพระองค์ในฐานะประมุขของรัฐลงเท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้  ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 กำหนดเอาไว้ในมาตรา 37 ว่า “งบประมาณประจำปี ท่านว่าจะต้องตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติ…” และในมาตรา 36 กำหนดว่า “พระราชบัญญัติทั้งหลาย จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร” นัยของบทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้สะท้อนความสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าเป็นการเปลี่ยนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในทางงบประมาณจากพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐมาเป็นสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของราษฎรทั้งประเทศ  ฉะนั้น งบประมาณแผ่นดินจึขงจำเป็นต้องใช้เพื่อประชาชน

ผลของการเปลี่ยนแปลงผู้ทรงอำนาจสูงสุดในทางงบประมาณจากพระมหากษัตริย์มาเป็นสภาผู้แทนราษฎรนั้น ทำให้จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายวิธีการงบประมาณให้เหมาะสมกับบริบทหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476 ขึ้นมาและมีผลเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456 และบรรดากฎและข้อบังคับใดๆ ซึ่งขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ [9]

ผลของกฎหมายวิธีการงบประมาณฉบับใหม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญกับการจัดทำงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทย กล่าวคือ ภายใต้กฎหมายวิธีการงบประมาณฉบับนี้งบประมาณประจำปีจะต้องแสดงยอดเงินรายรับรายจ่ายเป็นหมวดหมู่ และบัญชีรายละเอียดประกอบ ซึ่งแตกต่างจากงบประมาณแผ่นดินก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 ที่จะจัดทำเป็นการสรุปรายรับและรายจ่ายรวมมากกว่ารายละเอียดดังแสดงตามภาพรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พุทธศักราช 2477

ภาพรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พุทธศักราช 2477

ที่มา: พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พุทธศักราช 2477

ความสำคัญของการจัดทำงบประมาณรายรับรายจ่ายเป็นหมวดหมู่จะช่วยให้สภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้แทนของประชาชนสามารถรู้ได้ว่ารัฐได้ใช้จ่ายเงินไปในกิจการใดและมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถกลั่นกรองและพิจารณางบประมาณได้ตามความเหมาะสมผ่านการพิจารณา 3 วาระ

ความเปลี่ยนแปลงเรื่องการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาปรากฏอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการเสนอให้เปลี่ยนแปลงปีงบประมาณ ซึ่งจากเดิมกฎหมายกำหนดปีงบประมาณเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1 เมษายนจนถึง 31 มีนาคมของทุกปี ทว่า ในปี พ.ศ. 2481 รัฐบาลบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายวิธีการงบประมาณโดยเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณมาเป็นวันที่ 1 ตุลาคมจนถึง 31 กันยายนของทุกปี เนื่องจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า จะกำหนดปีงบประมาณให้เหมาะสมแก่ฤดูกาลนั้น 

ครั้นในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2481 หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แถลงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า[10]

“ในการที่รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้พิจารณาโดยส่วนนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยเสียก่อนว่า ในการที่ให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้พิจารณาโดยด่วน ก็เพราะเหตุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ กล่าวคือว่า รัฐบาลได้แถลงไว้ว่า รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล และจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะขอให้สภาฯ วินิจฉัยแต่เพียงในวาระที่ 1 คือว่า จะควรรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น 

ส่วนรายการละเอียดนั้น ถ้าหากว่าสภาฯ ได้รับหลักการแล้ว ก็จะได้ขอให้ตั้งกรรมาธิการไปพิจารณา…หลักการแห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณนั้น ก็มีอยู่ว่าเพื่อเปลี่ยนปีงบประมาณ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ โดยจะได้เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง และไปหมดในวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่งนั้น ทั้งนี้ก็โดยคำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม”

ในส่วนของเหตุผลที่สนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงมาใช้ระยะเวลาปีงบประมาณระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึงวันที่ 30 กันยายนของทุกปีนั้นมีเหตุผลสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ (1) งานก่อสร้างและงานโยธาทั้งหลายจะทำในช่วงฤดูแล้ง คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ถ้าปีงบประมาณเริ่มต้นในเดือนเมษายนเจ้าหน้าที่จะต้องคอยห่วงเรื่องงบประมาณตลอดช่วงเดือนมกราคมจนถึงมีนาคม เพื่อจัดเตรียมทำงบประมาณแผ่นดินเพื่อเสนอให้ทันเดือนมีนาคม (2) เดือนเมษายนนั้นเป็นเดือนที่มีวันหยุดราชการหลายวัน กว่างบประมาณจะได้รับไปถึงจังหวัดต่างๆ ก็ล่วงไปจนถึงมิถุนายนหรือพฤษภาคมซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูฝนก็ไม่สามารถดำเนินงานใดๆ ได้ และ (3) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา การจัดเก็บภาษีจึงควรรอให้เสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวเสียก่อน จึงจะคำนวณรายได้จากการจัดเก็บภาษีได้ดีขึ้น[11]

เมื่อพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาและประกาศใช้เป็นกฎหมาย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาระยะเวลาปีงบประมาณของประเทศไทยจึงเปลี่ยนจาก 1 เมษายนถึง 31 มีนาคม มาเป็น 1 ตุลาคมถึง 30 กันยายนแทน โดยปีงบประมาณนี้ถูกนำมาใช้โดยตลอดแม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2476 จะถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ซึ่งในเวลาต่อมาก็ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ปีงบประมาณของประเทศไทยก็ยังคงเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคมถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไปกล่าวโดยสรุปความสำคัญการจัดทำงบประมาณครั้งแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือ การเปลี่ยนแปลงในเชิงหลักการของผู้ทรงอำนาจสูงสุดในทางงบประมาณจากพระมหากษัตริย์มาเป็นสภาผู้แทนราษฎรในฐานะของผู้แทนของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ ในเกร็ดความรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณของประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคม


เชิงอรรถ

[1] พระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235, ข้อ 1.

[2] พระราชบัญญัติพระธรรมนูญน่าที่ราชการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237, มาตรา 1.

[3] พระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติแลว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงิน จุลศักราช 1237, คำอธิบายในหมวดมาตราที่ 5.

[4] พระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติแลว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงิน จุลศักราช 1237, หมวดมาตราที่ 5 ข้อ 2.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456, มาตรา 2.

[6] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456, มาตรา 2.

[7] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456, มาตรา 9.

[8] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456, มาตรา 6.

[9] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476, มาตรา 2.

[10] สภาผู้แทนราษฎร, บันทึกการประชุม ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญ) (12 มกราคม 2481) 146.

[11] สภาผู้แทนราษฎร, บันทึกการประชุม ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญ) (12 มกราคม 2481) 146.

การใช้ภาษีเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รายได้กว่าร้อยละ 80 ของรายได้ที่รัฐบาลรัฐบาลจัดเก็บได้ มาจากรายได้ที่เป็นภาษี   อย่างไรก็ตาม นอกจากภาษีเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐแล้ว ภาษียังทำหน้าที่อย่างอื่นตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ซึ่งหน้าที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนภายในรัฐให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐเก็บจากสินค้าหรือบริการบางประเภทเป็นการเฉพาะ

ภาษีสรรพสามิตในฐานะแหล่งรายได้ของรัฐ

โดยทั่วไปแล้ว รายได้ของรัฐประกอบไปด้วยรายได้ของรัฐที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี  ในส่วนของรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีนั้น ได้แก่ รายได้ที่รัฐวิสาหกิจนำส่งคลัง รายได้ค่าเช่าจากทรัพย์สินของกรมธนารักษ์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่รัฐเก็บจากบริการต่างๆ เป็นต้น  สำหรับรายได้ของรัฐที่เป็นภาษีนั้นมาจากภาษีสำคัญ 3 อย่าง คือ ภาษีสรรพากร ซึ่งเก็บจากฐานเงินได้และฐานความมั่งคั่ง  ภาษีศุลกากร ที่เก็บจากฐานการนำเข้าและส่งออก และภาษีสรรพสามิต อันเก็บจากฐานการบริโภคสินค้าหรือบริการ

ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีทางอ้อมที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคจากสินค้าและบริการบางประเภท โดยจัดเก็บเพียงครั้งเดียว (Single Stage) จากผู้ประกอบการ ซึ่งได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าหรือบริการ และผู้นำเข้า[1] ซึ่งในความเป็นจริงผู้ประกอบการจะปัดภาระภาษีมาสู่ผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในราคาสินค้าและบริการนั้น ๆ ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) พบว่า ใน พ.ศ. 2564 กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้มากเป็นอันดับสองลองจากภาษีสรรพากร โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 23.81 คิดเป็นเงิน 46,429 ล้านบาท

ภาพผลรวมรายได้จัดเก็บของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2564

ที่มา: สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน), ผลรวมรายได้จัดเก็บของรัฐบาล (Gross) ในปี 2564.

ภาพรวมผลการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต ในปี พ.ศ. 2564 เทียบปี พ.ศ. 2563

ที่มา: สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน), ผลรวมรายได้จัดเก็บของรัฐบาล (Gross) ในปี 2564.

วัตถุประสงค์ในการจัดก็บภาษีสรรพสามิต

การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตไม่ได้เป็นไปเพื่อหารายได้ให้กับรัฐเพียงอย่างเดียว แต่ภาษีสรรพสามิตยังตอบสนองต่อวัตถุรประสงค์ในการใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค (ประชาชน) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลโดยที่ไม่เป็นการบังคับประชาชนในลักษณะเป็นการห้ามด้วยอำนาจของกฎหมาย

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยใช้กลไกทางภาษีนั้นกระทำโดยการที่ภาษีเข้าไปแทรกแซงกลไกราคาสินค้าหรือบริการ ทำให้ราคาสินค้าและบริการผิดแปลกไปจากราคาตลาด เช่น สมมติราคาเบียร์หนึ่งกระป๋องราคาทั่วไปราคา 20 บาท แต่เมื่อกำหนดให้เบียร์เป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ราคาของเบียร์ย่อมเพิ่มขึ้นไปจากเดิม เป็นต้น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแต่เดิมนั้นมีแนวคิดในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตมีอยู่ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือย (The Luxury Excise) การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าฟุ่มเฟือยมีสาเหตุมาจากรัฐพิจารณาแล้วเห็นว่า  สินค้าหรือบริการซึ่งประชาชนบริโภคนั้น สินค้าบางอย่างไม่จำเป็นต่อมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างสมเหตุสมผล รัฐจึงอาศัยฐานนี้เพื่อจัดเก็บภาษี[2] กรณีของสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ น้ำหอม และไวน์ เป็นต้น

ประการที่สอง ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (The Sumptuary Excise) หรือกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าประเภทนี้เนื่องมาจากรัฐพิจารณาแล้วว่า สินค้าบางอย่างมีลักษณะไม่เหมาะสมแก่การบริโภค เช่น สุรา ยาสูบ และสินค้ามีน้ำตาล เป็นต้น หรือสินค้าบางอย่างหากบริโภคมากจะกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น สุรา เป็นต้น[3]

ประการที่สาม ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าหรือบริการบางอย่างซึ่งได้รับประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐบาล (Benefit Based Excise) ซึ่งโดยหลักของการจัดเก็บภาษีถือว่า สินค้าใดได้รับประโยชน์จากกิจการใดซึ่งรัฐเป็นผู้ให้บริการ ผู้ผลิตก็ควรเสียค่าบริการเป็นการชดเชยให้แก่รัฐ เพราะถ้าปราศจากบริการเหล่านี้แล้วธุรกิจอาจจะดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะสินค้าอาจจะไม่มีประโยชน์แก่การบริโภค ฉะนั้นรัฐควรจะได้รับส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ที่ผู้ผลิตได้รับบ้างเพื่อนำมาซ่อมแซมหรือปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น กรณีตัวอย่าง เช่น น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น[4]

ประการที่สี่ ภาษีสรรพสามิตเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Excises) ซึ่งโดยหลักการแล้วรัฐจะใช้เป็นเครื่องมือของรัฐในทางเศรษฐกิจเพื่อแทรกแซงในทางเศรษฐกิจ เช่น ในช่วงสงครามรัฐอาจเก็บภาษีจากสินค้าบางอย่างเพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคลง เป็นต้น[5]

แนวคิดข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐมีหลักคิดในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน เช่น กรณีของสินค้าฟุ่มเฟือย รัฐมีนโยบายจะให้ประชาชนใช้จ่ายเงินเท่าที่จำเป็น ฉะนั้น หากสินค้าใดเกินความจำเป็นในการบริโภค เพื่อมิให้ประชาชนบริโภคมากจนเกินไปรัฐจึงจัดเก็บภาษีเพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคลงมา หรือกรณีของสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างสุรา หากประชาชนบริโภคมากย่อมไม่ดีต่อสุขภาพของประชาชน รัฐจึงมีนโยบายจัดเก็บภาษีสุราทำให้ราคาสุราเพิ่มขึ้นกระทบต่อความสามารถในการซื้อสุราบริโภคของประชาชน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หลักการข้างต้นนั้นในปัจจุบันบางหลักการได้มีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน เช่น กรณีของภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าหรือบริการบางอย่างซึ่งได้รับประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจัดเก็บจากน้ำมันนั้น ในปัจจุบันแนวคิดเบื้องหลังได้มีความพยายามเปลี่ยนไปพิจารณาในแง่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแทน ซึ่งหากน้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมันที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมก็จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ถูกกว่า เป็นต้น

ทว่า รัฐบาลจะตัดสินใจว่าจะใช้หลักใดในการคิดอัตราภาษีนั้น จะเห็นได้ว่า หลักนั้นก็ยึดโยงอยู่กับนโยบายของรัฐบาลนั้น ๆ โดยพิจารณาว่าสินค้าหรือบริการที่จัดเก็บภาษีนั้นมีลักษณะอย่างไร จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือไม่ หรือจะเป็นสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ การพิจารณาว่า สินค้าควรเป็นแบบใดขึ้นกับว่า รัฐนั้นมีแนวคิดเป็นคุณพ่อรู้ดีมากน้อยเพียงใด

รัฐแบบคุณพ่อรู้ดีคืออะไร

รัฐแบบคุณพ่อรู้ดี (Father Knows Best State) หรือรัฐพี่เลี้ยง (Nanny State) เป็นคำที่ใช้เรียกรัฐหรือรัฐบาลที่มีนโยบายแบบปิตาธิปไตย (Paternalism; ซึ่งเป็นคนละความหมายกับชายเป็นใหญ่ (Patriarchy)) ซึ่งรัฐเข้ามาจัดการกับความต้องการของประชาชนหรือเข้ามาตัดสินใจแทนประชาชนในบางเรื่อง โดยเชื่อว่า รัฐมีความเข้าใจต่อความต้องการมากกว่าตัวประชาชนเอง โดยรัฐพิจารณาแล้วว่า สิ่งใดหรือเรื่องใดดีและเหมาะสมกับประชาชน เรื่องใดไม่เหมาะสมกับประชาชน และเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนาที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเองนั้น

การเข้าแทรกแซงความต้องการของประชาชนหรือเข้ามาตัดสินใจแทนประชาชนนั้นรัฐสามารถทำได้ในหลายลักษณะโดยไล่ระดับตั้งแต่ความเข้มงวดมากไปจนถึงความเข้มงวดน้อย เช่น รัฐมีนโยบายไม่สนับสนุนให้ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อรักษาสุขภาพของประชาชน กรณีที่มีความเข้มงวดมากนั้นรัฐอาจห้ามมิให้มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดพื้นที่ของรัฐนั้นเลยก็ได้ หรือหากรัฐมีความเข้มงวดน้อยอาจจะใช้วิธีคิดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอัตราที่สูงเพื่อรักษาสุขภาพของประชาชนให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮลอ์ให้น้อยลง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของรัฐแบบคุณพ่อรู้ดีก็คือ ในบางกรณีรัฐอาจจะล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่การตัดสินใจส่วนบุคคลของประชาชนมากเกินไป เช่น ในกรณีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทย นอกจากจะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว รัฐบาลไทยภายใต้คณะรัฐประหารได้ตราพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อแทรกแซงการตัดสินใจบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชน เช่น ในการรับโฆษณา และการเลือกซื้อตามวันเวลาที่ต้องการ เป็นต้น ปัญหาของรัฐแบบคุณพ่อรู้ดีคือ รัฐมีความสามารถและมีศีลธรรมมากกว่าพอที่จะเข้าใจประชาชนทุกคนและตอบสนองความต้องการของประชาชนทุกคนได้มากเพียงใด

กล่าวโดยสรุป ภาษีสรรพสามิตมิได้ทำหน้าที่แต่เพียงการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเท่านั้น แต่ภาษีสรรพสามิตยังทำหน้าที่อื่น ๆ ของรัฐในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจหรือในทางสังคม ผ่านกลไกของภาษีเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน


เชิงอรรถ

[1] พรปวีณ์ ใจกันทา,  “มีอะไรเปลี่ยนแปลงในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560” สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563, จาก http://www.fpo.go.th/main/getattachment/General-information-public-service/Tax-Policy-Journal/9631/Tax-Journal-Edition-2-Vol-6-Sep-2018.pdf.aspx.

[2] วีรวรรณ พูลพิพัฒน์, “ปัญหาในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของประเทศไทย,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาบัญชีมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), น. 3.

[3] เพิ่งอ้าง, น. 4.

[4] เพิ่งอ้าง, น. 5.

[5] เพิ่งอ้าง, น. 6.