แด่อาจารย์อนันต์ จันทรโอภากร

ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยมีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์อนันต์ จันทรโอภากร เนื่องจากพื้นฐานความสนใจในการเรียนที่ไม่ได้มีความสนใจทางด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายธุรกิจมากเท่าใดนัก การได้รู้จักกับอาจารย์จึงมาจากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากถึงความเข้มงวดของอาจารย์มากกว่า ผมกับอาจารย์จริงๆ แล้วจึงอาจจะเรียกว่าเป็นคนที่รู้จักกันแบบผิวเผินมากกว่าแล้วไม่น่าจะเรียกว่าเป็นศิษย์อาจารย์สายตรง แต่อาจจะเป็นเพียงศิษย์ร่วมสำนักเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้ผมรู้จักอาจารย์มากขึ้นอาจจะเป็นเพราะ Facebook ที่ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ผมอาจจะคล้ายๆ กับนักศึกษานิติศาสตร์หลายคนที่ในช่วงแรกที่มีความเห่อเหิมในครูบาอาจารย์ของตัวเอง ชนิดที่ยกให้ครูบาอาจารย์ตัวเองเป็นที่สุด (ซึ่งอาจจะไม่ผิดนักเพราะอาจารย์หลายคนก็เป็นที่สุดจริงๆ ในทางวิชาการในสาขาและแนวทางของท่าน) ผมจึงได้เริ่มรู้จักอาจารย์อนันต์ในอีกด้านหนึ่ง

สิ่งที่พบคือ อาจารย์อนันต์เป็นคนหนึ่งที่ปรารถนาดีกับลูกศิษย์มากๆ คนหนึ่งตามประสาครูบาอาจารย์ที่มีความเข้มงวด สมัยก่อนที่ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสทำแฟนเพจที่ชื่อว่า “วิวาทะอาจารย์นิติ” ที่แม้ในตอนแรกเราตั้งใจเรียนแบบเพจวิวาทะสมัยก่อน เพื่อหยิบเอาประเด็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมในห้องเรียนของอาจารย์มานำเสนอ แต่สุดท้ายก็ได้แค่เพจรวมคำคมเสี่ยวๆ กับคำสอนการใช้ชีวิตเท่านั้น

บน Facebook อาจารย์อนันต์มักจะมีคำพูดหรือแง่มุมที่สะท้อนความเข้มงวดที่แฝงไปด้วยความหวังดีของอาจารย์ในฐานะครูบาอาจารย์ เรามักจะหยิบเอาข้อความในหน้า Facebook ของอาจารย์มาโพสต์เป็นเนื้อหาในเพจเสมอๆ

แต่สิ่งที่ผมได้ประจักษ์กับความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมลูกศิษย์ของอาจารย์คือ เมื่อช่วงหลายๆ ปีก่อน อาจารย์ได้ไปคุยกับเพื่อนสนิทของอาจารย์ว่า นักศึกษาหลายคนไม่มีโอกาสได้เรียนติวการสอบเนติบัณฑิต เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง รวมถึงบางครั้งคนที่สอนก็อาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญจริงๆ อาจารย์จึงขอทุนสนับสนุนจากเพื่อนที่เป็นนายกสมาคมนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ (และประธานของบริษัทไซโจเดนกิ) แล้วหาลูกศิษย์ที่พอไว้ใจได้กลุ่มหนึ่งมาช่วยกันจัดสอนและบรรยายที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ความมุ่งมั่นของอาจารย์ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมชื่นชมมากๆ ผมไม่แน่ใจหรอกว่าอาจารย์ทำไปแล้วจะมีผลออกมามากน้อยแค่ไหน แต่ผมชื่นชมที่จำนวนคนที่เห็นประโยชน์ของสิ่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีนักศึกษารุ่นใหม่ๆ ผลัดมาทำหน้าที่ติวเตอร์ และจำนวนคนเข้าติวในช่วงหลังก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่อาจารย์ได้ทำไว้ให้กับคนหลายๆ คน

ผมมักจะชอบติดตามอ่านเรื่องราวบน Facebook ของอาจารย์ ทั้งความเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัดในหลักธรรม และเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอาจารย์เช่นเดียวกันกับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือหลายๆ คน ในนิสัยใจคอส่วนบุคคล

จนกระทั่งช่วงหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็น Facebook ของอาจารย์อัพเดทอะไรเท่าไร ก็ได้แต่สันนิษฐานว่าอาจารย์ยังสบายดี แล้วใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขที่ใดสักแห่ง แต่ท้ายที่สุดผมถึงได้ทราบว่าอาจารย์ไม่สบายมาสักพักแล้ว และได้มาจากไปในท้ายที่สุด

แม้ผมจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์โดยตรง แต่ผมก็เคารพในปณิธานเล็กๆ ที่อาจารย์มี แล้วในฐานะของคนที่มุ่งมั่นเป็นครูบาอาจารย์ ผมก็หวังแค่ว่าตัวผมจะมีความมุ่งมั่นในการขัดเกลาศิษย์ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของอาจารย์ และมีเมตตาให้ได้เช่นอาจารย์มีกับศิษย์

ผมขอให้การเดินทางครั้งนี้ของอาจารย์เป็นไปโดยสงบสุขและสันติ ขอแสดงความนับถือและเสียใจแก่ครอบครัวจันทรโอภากรไว้ ณ ที่นี้

มารณานุสติ บทเรียนสุดท้ายจาก อ.ตุล

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อ.ตุล หรือเชฟหมี เป็นตัวตนของคนๆ หนึ่งที่ผมอยากจะเขียนถึงมากที่สุด และไม่คิดว่ามรณกรรมของ อ.ตุล จะมาถึงเร็วขนาดนี้

ผมไม่ได้รู้จัก อ.ตุล เป็นการส่วนตัว แต่ชอบงานของ อ.ตุล มากๆ (รวมทั้งเชฟหมีครัวกากๆ) โดยติดตามและเรียนรู้จากพวกวิดีโอ บทความสั้นๆ ในมติชนสุดสัปดาห์ และหนังสือต่างๆ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า อ.ตุล เป็นครูที่ดีและบ่อยครั้งก็มีการสอนและอธิบายเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา อ.ตุล ทำให้เราเห็นมุมมองของปรัชญาและศาสนาที่แตกต่าง เปิดกว้าง และโอบอ้อมอารี ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้เยอะมาก

ผมยังจำได้ดีว่ามีปีหนึ่งในชีวิตของผมที่ต้องเปิดฟังคลิปวิดีโอรายการที่ อ.ตุล ร่วมจัดกับคนอื่นๆ อาทิ คุณนิ้วกลม ในรายการนิ้วกลมดมโรตี หรือคุณจอมขวัญ และ อ.ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ในรายการตั้งวงเหล้า บางคลิปผมเปิดวนซ้ำๆ จนจำเนื้อหาหรือจังหวะการเล่นมุกตลกของ อ.ตุล ได้เป็นอย่างดี แต่ทุกครั้งที่ได้เปิดคลิปเหล่านั้นฟัง ผมไม่ได้แค่ความสนุกหรือความบันเทิงจากการเล่นคอสเพลย์หรือมุกห้าบาทสิบบาทเท่านั้น ผมได้ค้นพบมุมมองของการศึกษาแบบสังคมศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์แบบที่โอบอ้อมอารีมากๆ

อ.ตุล มักจะเน้นย้ำเสมอที่จะไม่ให้เราตัดสินใครในเรื่องความเชื่อ ซึ่งถ้าหากย้อนกลับไปที่ตัวผมเมื่อหลายๆ ปีก่อน ที่ความเชื่อถูกสั่นสะเทือนจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ผมอาจจะเป็นเที่ยวตัดสินความเชื่อของคนเหล่านั้น แล้วมองความเชื่อต่างๆ ด้วยสายตาที่ดูถูกด้วยซ้ำ แต่การได้มาเรียนเรื่องปรัชญา ศาสนา และความเชื่อต่างๆ กับ อ.ตุล ไปพร้อมๆ กับมุกแบบห้าบาทสิบบาทนี้กลับทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาในเรื่องเหล่านี้มากๆ ผมยังนั่งจดเนื้อหาการพูดคุยตามคลิปต่างๆ ของ อ.ตุล เก็บไว้ แล้วหวังว่าถ้ามีโอกาสคงจะได้หยิบมาเรียบเรียงเป็นกิจลักษณะ

ผมไม่ใช่ลูกศิษย์โดยตรงของ อ.ตุล แต่ผมกล้าที่จะบอกว่า อ.ตุล เป็นครูของผมที่ผมเคารพมากๆ พอๆ กับบรรดาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ท้ายที่สุดบทเรียนสุดท้ายที่ อ.ตุล ได้สอนกับผมคือ มรณานุสติ ผมยังจำได้เมื่อช่วงกลางหรือปลายปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสดูคลิปวิดีโอที่ อ.ตุล พูดในคลิปที่ชื่อว่า ทัศนะความตาย ในงานซ้อมตายของนิ้วกลม อ.ตุล ได้พูดถึงประเด็นสำคัญว่า “เราจะรู้ซึ้งถึงความตาย เมื่อเห็นคนที่เรารักตาย”

ใจความสำคัญของคลิปและการสนทนานั้นของ อ.ตุล คือ การแสดงให้เราๆ ทุกคนเห็นว่าความตายนั้นไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราได้ทุกๆ เมื่อ ทั้งในฐานะคนที่จะออกเดินทางครั้งสุดท้ายหรือทั้งในฐานะคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป มรณกรรมของคนที่เรารักจึงมีความสำคัญในฐานะบทเรียนที่สอนเราในการรับมือกับความตายได้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะจินตนาการเกี่ยวกับความตายของเรามากเพียงใด มันก็เป็นเพียงจินตนาการ ที่เราไม่สามารถตระหนักถึงความตายได้จริงๆ จนกว่าเราจะได้เจอกับการตายของคนที่เรารัก

ณ ขณะที่ผมรับรู้ถึงการจากไปของ อ.ตุล อย่างที่ไม่หวนกลับมานั้น ผมได้กลับมาทบทวนเกี่ยวกับชีวิตต่างๆ มากมาย ผมได้ระลึกถึงชีวิตของตัวเองมากขึ้น ความตายของ อ.ตุล จึงทำให้ผมกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง แล้วใช้ชีวิตให้เป็นไปอย่างเต็มที่ตามใจปรารถนามากขึ้น ซึ่งเป็นความกรุณาที่เราจะมีกับตัวเอง

แม้ในด้านหนึ่ง อ.ตุล จึงเป็นครูที่ผมไม่เคยได้รู้จัก ความน่าเสียดายคือ จะไม่มีโอกาสได้ติดตามเนื้อหาที่น่าสนใจจาก อ.ตุล อีกแล้ว แต่ในด้านหนึ่ง อ.ตุล ได้แสดงให้เห็นว่าเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งจะบรรลุความเป็นที่รักกับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายได้อย่างไร

ผมขอให้การเดินทางของ อ.ตุล ครั้งนี้เป็นไปโดยสงบและสันติ ผมเชื่อว่า อ.ตุล ได้จากไปจากโลกนี้แล้วไปอยู่ในความรักในจิตใจของเราทุกคน

เจ้าดวงเดือน (The Lost Princess)

เจ้าดวงเดือน (The Lost Princess) [2025] | ภาพยนตร์กำกับโดย กรภัทร ภวัครานนท์

ในแง่ความรู้สึกส่วนตัวค่อนข้างจะชอบตัวหนังเรื่องนี้ ดูผิวเผินตัวหนังในทีแรกอาจทำให้คนเข้าใจว่าพอเป็นหนังสารคดี และเป็นสารคดีที่ทำโดยหลานสาวของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่แล้ว คิดว่าในทีแรกหลายคนน่าจะคิดว่าคงเป็นสารคดีในเชิงอนุสรณ์หรือการกล่าวถึงเกียรติประวัติของเจ้าดวงเดือนผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งลักษณะของสารคดีที่ระลึกถึงผู้วายชนม์ในประเทศนี้โดยส่วนใหญ่ไม่ได้นำเสนอผู้วายชนม์ในฐานะมนุษย์สักเท่าไร ภาพของการจดจำในฐานะสิ่งที่เป็นอนุสรณ์จึงไม่ใช่ตัวตนของผู้วายชนม์

แต่สิ่งที่หนังสือเลือกที่จะนำเสนอคือ ตัวตนของเจ้าดวงเดือนบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ถึงที่สุดแล้วหนังได้ทำให้เราได้รู้จักกับหญิงชราในวัยกว่า 80 ปี (ตามท้องเรื่อง) ที่ผ่านโลกและผ่านความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ลักษณะ ทั้งสถานะทางสังคมของความเป็นเจ้า เกียรติยศศักดิ์ศรี ชีวิตครอบครัว ความเป็นผู้หญิง และความเป็นแม่

ส่วนตัวหนังชวนให้เราคิดและมองตัวตนของเจ้าดวงเดือนบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์มากที่สุด ส่วนตัวก่อนมาดูหนังก็รู้จักหรือรับรู้เรื่องเจ้าดวงเดือนน้อยมาก แน่นอนว่าผู้หญิงล้านนาเชียงใหม่ที่คนทั่วๆ ไป นอกวงสังคมและวัฒนธรรมจะรู้จักคงมีอยู่ 2 คนคือ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เมียโปลิซีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมะเมียะ จากเพลงของสุนทรี เวชานนท์ ที่ทำให้เรื่องซุบซิบในหนังสือเพชรล้านนาดูมีตัวตน

ส่วนตัวรับรู้เรื่องเจ้าดวงเดือนก็คือตอนที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว แล้วก็เพิ่งรู้เพิ่มเติมตอนดูหนังวันนี้ว่า เจ้าดวงเดือนไม่ได้เป็นสายเจ้าหลวงเชียงใหม่โดยตรงแต่เป็นบุตรของเจ้าราชภาคินัย

พ้อยท์สำคัญที่นี่คิดว่าหนังนำเสนอแล้วน่าสนใจก็คือ ใครๆ ดูก็อยากจะเป็นเจ้า ความเปลี่ยนแปลงระหว่างยุคสมัย และการเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัว

เรื่องใครๆ ดูก็อยากเป็นเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ดูแล้วคิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าด้วยเพราะว่า ชาติกำเนิดเกิดมาเป็นเจ้า หรือการอยากอุปโลกน์ ยกตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้า สิ่งนี้ดูแทบจะเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย

ในเชิงวัฒนธรรมตัวของเจ้าดวงเดือน อาจจะถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของการรักษาวัฒนธรรมแบบ “ล้านนา” ซึ่งวัฒนธรรมอาจเป็นเครื่องมือที่หนังพยายามบอกกับคนดูว่า สิ่งนี้คือเครื่องมือสำคัญของการต่อสู้ และใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาตัวพื้นที่ของล้านนาไว้

แต่ตลอดทั้งเรื่องหนังเรื่องนี้สะท้อนว่า เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เจ้าดวงเดือนกลายเป็นและถูกทำให้เป็นคือ สัญลักษณ์แทนใจของคนอยากเป็นเจ้าหลายคน บรรดาบุคคลที่ห้อมล้อมไม่ว่าจะด้วยความรักหรือไม่ก็ตาม การยกย่องเจ้าดวงเดือนในท้ายที่สุดของคนเหล่านั้น อาจจะไม่ใช่เพราะคุณค่าในฐานะผู้รักษาวัฒนธรรม แต่กลายเป็นภาพของผู้อยู่เหนือในชนชั้นทางสังคม และตัวแทนของความรุ่มรวยในอดีต

คำว่า “เจ้า” ที่นำหน้าชื่อ ในที่นี้จึงบ่งบอกนัยหลายๆ อย่างในหนังไปพร้อมๆ กัน ในนัยแรก “เจ้า” (น.) ตามนัยของพจนานุกรม คือคำนำหน้าชื่อเพื่อแสดงว่าเป็นเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ เช่น เจ้าดวงเดือน แบบที่หนังนำเสนอ และอีกนัยโดยอ้อมคือ “เจ้า” ในฐานะของสถานะทางสังคม แล้วเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาจะได้เป็นเช่นนั้น

หลายฉากในหนังสะท้อนนัยอย่างหลังออกมา ผ่านกิจกรรมต่างๆ ผ่านคำพูดของผู้คนในสารคดี และผ่านการแสดงออกหรือสายตาของแต่ละคน

สถานะของเจ้าดวงเดือน ที่ไม่ได้สืบเชื้อสายโดยตรงจากสายเจ้าหลวง (เจ้าแก้วนวรัฐ) การเรียกเจ้าดวงเดือนในภาษาอังกฤษ จึงเป็นสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นว่ามันมีการถกเถียงมากๆ ว่าจะแปลคำว่า “เจ้า” ในที่นี้เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร ตัวเจ้าดวงเดือนเห็นควรว่าจะแปลว่า “princess” หรือ “northern Thai princess” (สำหรับเจ้าผู้หญิง) แต่หลายๆ คนในมูลนิธิที่ทำงานสนับสนุนกิจกรรมของเจ้าดวงเดือนไม่ได้เห็นด้วยที่จะใช้คำนั้น เพราะมองว่า ถ้าแปลว่า princess ควรเป็นลูกหรือสายของเจ้าหลวง แต่เจ้าดวงเดือนเป็นเพียงลูกของเจ้าราชภาคินัย แม้จะมีสถานะตามฐานันดรศักดิ์เจ้านายฝ่ายเหนือก็ตาม

ความเปลี่ยนแปลงระหว่างยุคสมัย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หนังพยายามนำเสนอ จากบทสนทนา จากการพูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆ ของเจ้าดวงเดือน

ความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามามีอยู่ทั้งสองระดับ คือ ในระดับบ้านเมือง และในระดับชีวิตประจำวัน

ในด้านบ้านเมือง บทสนทนาของผู้กำกับ เจ้าดวงเดือน และลูกชาย (ในเรื่องเรียกว่าลุงผึ้ง หรือที่ใช้ในสื่อปัจจุบันคือ เจ้าภาคินัย) ช่วยให้เราย้อนกลับไปพิจารณาบทบาทของเชียงใหม่ในฐานะเมืองที่เคยเป็นอิสระจากสยามก่อนที่จะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่ง (พื้นที่ของความทรงจำนี้ระหว่างเจ้าดวงเดือนกับลูกชายยังมองสถานการณ์นี้แตกต่างกัน) สถานะของเจ้าหลวงเชียงใหม่ที่มีอำนาจ และควบคุมทรัพยากรในเขตเชียงใหม่ในอดีต การลดบทบาทลงของเจ้านายฝ่ายเหนือ และความทรงจำที่ไม่ต้องตรงกันระหว่างเจ้าดวงเดือนและลุงผึ้งเกี่ยวกับสถานะของเชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ หรือล้านนาเป็นเพียงแค่องค์ประกอบย่อยๆ ของประวัติศาสตร์ไทย จะเรียกเป็นเชิงอรรถก็อาจจะมีพื้นที่มากเกินไป

บทบาทของเจ้านายฝ่ายเหนือที่ลดลงสะท้อนผ่าน การล่มสลายของอำนาจทางเศรษฐกิจ ความยากจน การลดตัวมาอยู่ในสถานะของสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของความเป็นมาอันดีงามของเมืองเชียงใหม่ และการถูกแทนที่ด้วยสถาบันของเจ้าอาณานิคม สิ่งเหล่านี้สะท้อนและปรากฏอยู่ตลอดเรื่อง

การนำเสนอเนื้อหาส่วนนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับหนังสารคดีเรื่องนี้ เราจะเห็นหลายฉากที่เจ้าดวงเดือนกำลังดูละครย้อนยุค แต่ละครพูดถึงเมืองสมมติในล้านนา แต่สิ่งที่ตัวละครกำลังพูดคือ การสู้เพื่อรักษาเอกราชของตัวเองไว้ ภาพที่มันสะท้อนให้เห็นคือ เรื่องราวของล้านนากลายเป็นวัตถุดิบอันโรแมนติกในยุคต่อมา ผู้คนหลงลืมไปแล้วว่าการผนวกล้านนาเกิดขึ้นอย่างไร และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ คนแบบเจ้าดวงเดือน

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่คิดว่าน่าสนใจคือ มุมมองของเจ้าดวงเดือนต่อสถานการณ์ต่างๆ ในระดับชีวิตประจำวัน

มนุษย์คนหนึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่คนที่มีชีวิต แต่ยังเป็นภาชนะรองรับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบทสนทนาของเจ้าดวงเดือนกับคนอื่นๆ นั้นสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นผลมาจากภาพใหญ่ อาทิ การเสด็จประพาสเชียงใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่บรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือออกมาฟ้อนต้อนรับ การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่จากคุ้มหลวงเดิมมาเป็นกาดหลวง (ตลาดวโรรส) ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตของคนที่เคยมีสถานะทางสังคมในระดับสูงมาสู่ชีวิตที่สามัญ หรือความเปลี่ยนแปลงในเชิงเทคโนโลยี

การปะทะกันของโลกเก่าและโลกใหม่นี้สะท้อนอยู่ในทุกๆ ฉากตอนของหนัง การพูดถึงสถานะของเจ้าดวงเดือนในฐานะชนชั้นนำของเชียงใหม่เดิม แม้จะถูกเรียกขานว่าเป็นเจ้า แต่ในโลกใหม่ไม่เป็นเช่นนั้น การเน้นย้ำสัญญะบางอย่างที่บอกว่า ความเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือได้หมดสิ้นลงไปแล้ว การเรียกเป็นเจ้าจึงเป็นเพียงแบบแผนวัฒนธรรมและการให้เกียรติในสังคมเฉพาะกลุ่ม

เรื่องสุดท้ายที่นี่คิดว่าน่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ การเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัว

ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะใกล้ชิดแต่ห่างเหินคือ สิ่งที่หนังกำลังบอกกับเราอยู่ตลอด หลายฉากหลายตอนที่เหมือนจะเป็นคนในครอบครัว แต่ก็เหมือนเป็นคนนอกครอบครัวกัน ตัวอย่างเช่น ในฉากที่ผู้กำกับขอให้เจ้าดวงเดือนและลุงผึ้งลูกชาย บอกรักกันแบบแม่ลูก เจ้าดวงเดือนปฏิเสธที่จะพูด และอธิบายว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่วัฒนธรรมที่ปลูกผังมาเขาทำกัน

ในบางฉากที่เจ้าดวงเดือนพูดคุยเรื่องครอบครัวกับหลานสาว (ผู้กำกับ) เหมือนครอบครัวที่ขาดจุดเชื่อมต่อบางอย่างไป และทำให้ครอบครัวนี้เหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ความสนุกส่วนหนึ่งมาจากบุคลิกลักษณะของเจ้าดวงเดือนเองที่ทำให้เราในฐานะคนดูสนใจและติดอยู่กับตัวหนังได้ตลอด แล้วไม่ได้รู้สึกถึงความน่าเบื่อ

แม้ว่าหนังจะไม่ได้ทำให้เป็นอนุสรณ์ที่จะนำไปเปิดฉายในงานรวมญาติแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์บ้านแตก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนของเจ้าดวงเดือนดูด้อยเลยแม้แต่น้อย ความเคารพที่ผู้กำกับมีต่อเจ้าดวงเดือนในฐานะคุณยาย และในฐานะความเป็นมนุษย์สะท้อนออกมาอยู่ตลอด ผ่านบทสัมภาษณ์และการสนทนากัน

บุคลิกลักษณะของหญิงวัยกว่า 80 ปี ตามท้องเรื่อง แต่กระฉับกระเฉงและยังคงเค้าความสวยงามเหมือนครั้งอดีต รวมถึงความยึดถือและยึดมั่นในชาติกำเนิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ของตัวเอง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าดวงเดือนในฐานะเชื้อสายเจ้านายเชียงใหม่ ยังถูกนำเสนอผ่านหนังตลอดช่วงระยะเวลา 90 นาที ได้อย่างไม่น่ากระอักกระอ่วนใจ แต่สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นของตัวเจ้าดวงเดือนเอง แล้วสิ่งที่เจ้าดวงเดือนทำคือสิ่งที่เธอเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าทำถูกต้องแล้ว

ท้ายที่สุด กลับมาที่คำว่า “เจ้า” ตามนิยามของเจ้าดวงเดือนก็คือ สิ่งที่เจ้าดวงเดือนเป็น และสิ่งที่เธอพูดไว้ปิดท้ายก่อนจะจบเรื่อง คนเป็นเจ้าที่คนนับถือในมุมของเธอคือ คนที่ทำสิ่งที่ดี เพราะหากมีแต่สายเลือด แต่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีก็เป็นเพียงแค่คนมีสายเลือดเท่านั้น

ส่วนตัวแล้วโดยรวมชอบการเล่าเรื่องและบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวของหนังอยู่ตลอด มันให้ความรู้สึกที่ดีในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาก็เป็นคือ การมีรัก โลภ โกรธ และหลง ไม่ว่าตัวเจ้าดวงเดือนเองจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ตัวหนังสารคดีเรื่องนี้ก็ได้ทำให้เห็นคุณค่าของเจ้าดวงเดือนในฐานะของมนุษย์อย่างเต็มที่แล้ว

สำหรับคนที่สนใจอ่านเพิ่มเกี่ยวกับเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน หนังสือเดือนส่องหล้า สืบสานล้านนา: ในโอกาสครบรอบ 80 วัสสา เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่

ละครเวที Before 2475 กับการเกิดใหม่ของคณะราษฎร

ความฝันของคนหนุ่มสาวเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์และมีความน่าสนใจเสมอ เพราะช่วงหนุ่มสาวคือเวลาที่ความฝันนั้นกำลังถูกฟูมฟักขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง ผ่านประสบการณ์ ความคิด และอุดมการณ์ ช่วงของการก่อร่างสร้างความฝันจึงเป็นช่วงสำคัญที่สุดช่วงหนึ่ง นั่นคือข้อความหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาจากได้ดูละครเรื่อง Before 2475 ที่เขียนบทและกำกับโดยคุณเอมอัยย์ พลพิทักษ์

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเพราะสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่บีบคั้นให้เกิดขั้นตรงข้าม หรือผลของการย้อนกลับมาศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้ง เหตุการณ์การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามก็ได้ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง ในลักษณะของการผลิตซ้ำผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย อาทิ Graphic Novel 2475 นักเขียนผีแห่งสยาม ที่สร้างตัวละครสมมติขึ้นมาโดยเข้าไปอยู่ในบริบททางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการอภิวัฒน์สยามเกิดขึ้น หรือแอนิเมชันเรื่อง 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ (2475 Dawn of Revolution) ที่เล่าเรื่องราวบนพื้นฐานของตัวเอกและตัวร้ายอย่างเป็นขาวเป็นดำ หรืออาจย้อนไปจนถึงการสร้างละครเวทีย้อนยุคจากบทประพันธ์อมตะของ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช แบบสี่แผ่นดิน

เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังคงน่าสนใจเสมอ ไม่เพียงเฉพาะแต่ในสังคมไทยเท่านั้น แต่เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ยังคงมีเสน่ห์ในการนำมาเล่าใหม่ผ่านสื่อต่าง ๆ เสมอ ดังเช่นในช่วงเดือนก่อนที่มีข่าวพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ภาพของผีพระนางมารีอังตัวแนตถือหัวร้องเพลง Ah! Ça Ira ในเวอร์ชันร็อกโดยวง Gojira เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้านหนึ่งการอภิวัฒน์สยามในปี 2475 เป็นเหตุการณ์แห่งแรงบันดาลใจทางการเมืองให้กับคนในแต่ละรุ่น นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นมา ในขณะเดียวกันเสน่ห์ของเหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม 2475 ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถมองได้หลายมุม (แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งสำคัญคือ การอภิวัฒน์สยามได้เกิดขึ้นมาแล้ว)

เช่นเดียวกันกับการปรากฏตัวของสื่อต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาโดยใช้เหตุการณ์ในปี 2475 หรือที่เกี่ยวข้องเป็นฉากหลัง (setting) Before 2475 ก็เป็นหนึ่งในการผลิตซ้ำที่น่าสนใจ เพราะแทนที่จะเลือกอธิบายปรากฏการณ์เหมือนเช่นงานอื่น ๆ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ละครเวทีเรื่องนี้เลือกที่จะเข้าไปทำความเข้าใจความรู้สึก ความคิด และความฝันของนักเรียนสยาม 7 คนที่เฝ้าฝันถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนประเทศของพวกเขาไปตลอดกาล (สิ่งนี้คือข้อความที่ปรากฏเป็นคำโปรยบนโปสเตอร์ละครเวทีเรื่องนี้)

ก่อน 2475 จะมาถึง

เรื่องราวของ Before 2475 จะเล่าผ่านตัวละครนักเรียนสยาม 7 คนที่ถูกส่งไปเรียนต่อในทวีปยุโรป โดยอ้างอิงจากตัวผู้ริเริ่มก่อการของคณะราษฎร ได้แก่ ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย ประยูร ภมรมนตรี นักเรียนวิชารัฐศาสตร์ แปลก ขีตตะสังคะ (แปลก พิบูลสงคราม) นักเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ ทัศนัย มิตรภักดี นักเรียนวิชาทหารม้า ตั้ว ลพานุกรม นักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยราชการสถานทูตสยามในประเทศฝรั่งเศส และแนบ พหลโยธิน นักเรียนวิชากฎหมาย ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี

นักแสดง

  • เคนจิ, วศิน ภาณุมาภรณ์ รับบทเป็น ปรีดี พนมยงค์
  • จีน, ธีมา ธาดาประทีป รับบทเป็น แปลก ขีตตะสังคะ
  • ตังโก้, ฐิตินันต์ รัตนฐิตินันต์ รับบทเป็น ประยูร ภมรมนตรี
  • ต้น, ภูธิป สุกกรี รับบทเป็น ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี
  • เตอร์, นวิน พรกุลวัฒน์ รับบทเป็น ตั้ว ลพานุกรม
  • ทู, ธนวิชญ์ วนาสุขพันธ์ รับบทเป็น จรูญ สิงหเสนี
  • จีโน่, แทนปิติ สุภัทรวณิชย์ รับบทเป็น แนบ พหลโยธิน

ผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ก็เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย ในขณะเดียวกันหนุ่มสาวทุกคนก็มีความฝันใหญ่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ละครเวทีเรื่องนี้เลือกนำมาใช้ในการสร้างเรื่องราวและสื่อสารกับผู้ชม

ในละครเรื่องนี้จะเปิดบทสนทนาด้วยตัวละครสำคัญสองตัวคือ ปรีดี และประยูร ในฐานะผู้ริเริ่มก่อการหลักที่เริ่มคุยกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนประเทศ การหาสมาชิกของกลุ่ม ไปจนถึงวันที่กลุ่มผู้ริเริ่มก่อการได้ไปร่วมประชุมกันที่บ้านพักเลขที่ 9 ถนนซอเมอราร์ (Rue du Sommerard) เพื่อวางแผนการทั้งหมด ทั้งในแง่จุดแข็งและจุดอ่อนของแผนการและสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงหลักการของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่จะกลายมาเป็นหลัก 6 ประการของคณะราษฎรในเวลาต่อมา โดยระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีการหย่อนมุกตลก รวมถึงเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร

(ดูเรื่องราวเพิ่มเติมของผู้ริเริ่มก่อการได้ที่ ความเป็นมาเกี่ยวกับคณะราษฎรในการอภิวัฒน์ 2475 และฐานความคิดของการเปลี่ยนแปลงสังคม)

นอกจากนี้ ตลอดทั้งเรื่องผู้เขียนบทได้พยายามแทรกเกร็ดทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์จริง รวมถึงการตีความเหตุการณ์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพื่อเสริมสร้างมุมมองทางประวัติศาสตร์ให้กับบทละคร ตัวอย่างเช่น ในฉากที่ปรีดีและแปลกได้แบ่งปันความฝันในอนาคตของตัวเอง ปรีดีได้เล่าให้แปลกฟังว่าตัวเองจะต้องกลับไปรับราชการที่กระทรวงยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกันตัวเองก็ชอบการสอนหนังสือและอยากจะเป็นอาจารย์ ซึ่งเมื่อกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส ปรีดีก็มีโอกาสได้เป็นอาจารย์ผู้บรรยายที่เนติบัณฑิตยสภาด้วย หรือในฉากที่มีการกล่าวถึง ควง อภัยวงศ์ ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศสด้วยเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ได้รับการชวนให้เข้าเป็นสมาชิกคณะราษฎร จนกระทั่งก่อนวันที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ววันที่ 24 มิถุนายน ควงได้รับบทบาทสำคัญให้ไปตัดสายโทรเลข

การสอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์ไปพร้อม ๆ กับการดำเนินเรื่องที่กระชับไม่ยืดเยื้อจนเกินไป ประกอบกับการแสดงที่ดี ทำให้ Before 2475 เป็นผลงานชั้นเยี่ยมร่วมกันของผู้กำกับ นักแสดง และสมาชิกกลุ่มละครนี้ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวโดยตลอด และทำให้ผู้ชมเชื่อในการแสดงของนักแสดง

วัยเยาว์ของคนหนุ่มสาวกับความฝันใหญ่

เสน่ห์อย่างหนึ่งของละครเรื่องนี้คือ เรื่องราวทั้งหมดที่เล่าไว้มีพื้นหลังอยู่ในช่วงที่กลุ่มผู้ริเริ่มก่อการยังคงเรียนอยู่ในต่างประเทศ สิ่งนี้จึงแตกต่างจากการเล่าเรื่องอื่น ๆ ที่มักจะเล่าเรื่องราวโดยให้น้ำหนักกับคณะราษฎรในช่วงที่มีการอภิวัฒน์ไปแล้ว หรือการพูดถึงบริบทในสายตาของคนไทยในประเทศ แต่สายตาของตัวละครในเรื่องนี้มีมุมมองที่ผสมผสานกันด้วยสถานะของการเป็นคนในและคนนอกสังคมไทยในขณะเดียวกัน

ในแง่หนึ่งนักเรียนเหล่านี้เป็นคนไทยที่ผ่านประสบการณ์และเห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนไทย ในขณะเดียวกันนักเรียนเหล่านี้ก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ ได้สัมผัสความเป็นอยู่และได้เรียนรู้แนวคิดมาจากต่างประเทศ

สิ่งนี้สะท้อนผ่านบทสนทนาของตัวละคร เมื่อกล่าวถึงความเป็นมาของตัวละคร ตัวอย่างเช่น แนบ ประยูร และทัศนัย ที่มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวขุนนาง ส่วนปรีดี และแปลก ที่มีชาติกำเนิดมาจากลูกชาวนาและชาวสวน แต่เมื่อทุกคนได้มองประเทศไทยในเวลานั้นจากจุดยืนที่มีส่วนหนึ่งเป็นคนนอกสังคม ภายใต้กรอบความคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง

สิ่งตัวละครทุกตัวเห็นร่วมกันคือ โอกาสที่จะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงได้ อาทิ ปรีดี เห็นโอกาสที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ขึ้นมาจากการสร้างรัฐวิสาหกิจขึ้นมาผลิตบุหรี่แบบต่างประเทศ ซึ่งทำให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรมากกว่าการผลิตสินค้าชั้นต้นแบบข้าว หรือ หรือตั้ว เห็นว่าประชาชนชาวไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาเพิ่มได้มากขึ้น หากรัฐบาลเข้ามาดำเนินการจัดการศึกษา เด็กๆ จะได้รับการศึกษาวิทยาศาสตร์ หรือแปลก มองว่าสังคมสามารถเปลี่ยนไปสู่ความเท่าเทียมกันด้วยการยกเลิกบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ และเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญที่ชาติวุฒิมาสู่คุณวุฒิ

แท้จริงแล้วความฝันดังกล่าวข้างต้นนั้นแทบไม่ได้แตกต่างจากคนรุ่นหนุ่มสาวทั่ว ๆ ไปที่ต้องการมีชีวิตที่ดี รวมไปถึงการอยู่ในสังคมที่ดีขึ้นและมีโอกาสที่เสมอกัน แน่นอนว่าในเชิงเนื้อหาแต่ละคนอาจจะภาพของชีวิตที่ดีแตกต่างกันไปบ้าง

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผู้เขียนสัมผัสได้ว่าข้อความที่ผู้กำกับและนักแสดงกำลังสื่อสารถึงคนดูละครทุก ๆ คนคือ การให้ความสำคัญกับความฝัน

ความฝันเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ละครเรื่องนี้ค่อนข้างจะเน้น เพราะในเวลานั้นคณะผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ก็ยังไม่มั่นใจว่า แผนการของตัวเองจะประสบความสำเร็จ ในละครจะมีอยู่หลายฉากที่เราจะเห็นได้ว่า สมาชิกผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ก็ได้แสดงถึงความกังวลของสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ ความกังวลนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนหนุ่มสาวทุกคน ที่คิดจะริเริ่มหรือทำอะไรในสิ่งที่เชื่อมั่นตามความฝันก็มีความกังวลไปกับสิ่งที่จะทำ ทั้งในแง่ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ หรือจะทำได้ดีหรือไม่

ในความเยาว์มีความกลัว ในความเยาว์ก็มีความกล้า

ไม่เพียงแต่ภาพความฝันที่บทละครเรื่องนี้พยายามนำเสนอ แต่ในขณะเดียวกันละครเรื่องนี้ก็ได้นำเสนอความกลัวของตัวละครที่เกิดขึ้นในเรื่อง ตัวอย่างเช่น ในละครจะมีฉากที่ปรีดีได้พูดคุยกับแปลก เกี่ยวกับชีวิตของเขา การคิดถึงบ้าน ความกังวลถึงสิ่งที่กำลังทำจะกระทบต่อครอบครัวที่บ้าน หรือในฉากที่กลุ่มผู้ริเริ่มก่อการได้จัดประชุมสมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศส โดยมีเป้าหมายเพื่อหาสมาชิกของกลุ่ม ตัวละครกลุ่มผู้ริเริ่มก่อการก็ได้แสดงออกถึงความกังวล รวมถึงหลายฉากที่มีการพูดถึง การถอนตัวของสมาชิกกลุ่ม

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งความกลัวนี้เกิดจากสิ่งที่ตัวละครทั้งเจ็ดคนกำลังวางแผนจะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายแรงชนิดที่เรียกว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่ในอีกแง่หนึ่งละครเรื่องนี้กำลังฉายภาพของสมาชิกกลุ่มผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความกลัวทั้งในแง่ของความกลัวต่ออำนาจ ความกลัวต่อความล้มเหลว และความกลัวต่อการสูญเสีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนหนุ่มสาวทุก ๆ คนเมื่อเริ่มคิดถึงความฝันใหญ่ของพวกเขา

แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีความกลัว แต่กลุ่มผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ทั้งเจ็ดคนก็มีความกล้าไปในขณะเดียวกันที่จะพยายามดำเนินการต่อไปตามแผนการของพวกเขา แม้ว่าในส่วนนี้ของบทละครอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนกับการ์ตูนอนิเมะญี่ปุ่นแบบโชเน็ง (การ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเด็กวัยรุ่นชายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยมีจุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่มิตรภาพของตัวละครชาย) ที่สมาชิกกลุ่มผู้ริเริ่มก่อการเชื่อมั่นในกันและกันว่าด้วยกำลังของพวกเขาจะทำให้เกิดการอภิวัฒน์สยามได้สำเร็จ ซึ่งทำให้สามารถก้าวข้ามความกลัวดังกล่าวได้ จนมาถึงจุดที่วางแผนการอภิวัฒน์อย่างรอบคอบ โดยพยายามปิดและอุดช่องโหว่ที่จะเกิดขึ้นต่าง ๆ ทำให้แผนการของคนหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ปีนี้ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา

การเกิดใหม่ของคณะราษฎร ในฐานะภาพแทนของอุดมการณ์และความฝัน

ดังกล่าวมาแล้วว่าช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และยังคงเป็นเรื่องที่อาจหยิบยกมาพูดหรือเล่าถึงอย่างไม่ขาด กลายเป็นว่าคณะราษฎรไม่ได้สิ้นสุดลงไปหลังจากเหตุการณ์ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492 หรือหลังจากการรัฐประหารของพลโทผิน ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ซึ่งเป็นการหมดอำนาจทางการเมืองของกลุ่มการเมืองคณะราษฎร

การเมืองในปัจจุบันคณะราษฎรได้เกิดใหม่ในฐานะสัญลักษณ์ทางอุดมการณ์ และตัวแทนของความฝัน ดังเช่นในปี 2563 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลคณะรัฐประหารใช้ชื่อกลุ่มว่า คณะราษฎร 2563 หรือแม้แต่ล่าสุด พรรคการเมืองหนึ่งก็ได้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษของตัวเองว่า People’s party ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของคณะราษฎร ซึ่งไม่ว่าจะคณะราษฎร 2563 หรือพรรคประชาชนก็ล้วนแต่สมาทานแนวคิดที่คณะราษฎรได้วางไว้คือ การทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย

เช่นเดียวกันกับในละคร Before 2475 คณะราษฎรถูกนำมาเล่าถึงในฐานะสัญลักษณ์ทางการเมือง ในฐานะตัวแทนของคนหนุ่มสาวที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ถึงความเปลี่ยนแปลง และการมีสังคมที่ดีขึ้น คณะราษฎรจึงไม่ได้อยู่ในฐานะภาพแทนของอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันคณะราษฎรเป็นตัวแทนของคนที่มีความฝันอยากเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกันกับคนหนุ่มสาวทั่ว ๆ ไป

ในขณะเดียวกันละครได้พยายามสร้างภาพของผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์ว่า พวกเขาไม่ได้เกิดมานักปฏิวัติอย่างที่เรารับรู้ แต่พวกเขาค่อย ๆ กลายเป็นนักปฏิวัติผ่านประสบการณ์ การบ่มเพาะความคิด และอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่สะสมจนกลายมาเป็นพวกเขาในวันที่ทำการอภิวัฒน์ รวมถึงต้องผ่านสถานการณ์ที่บีบคั้นต่าง ๆ ทำให้ภาพคณะราษฎรกลายเป็นคนที่มีมิติแตกต่างจากงานที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ภาพของคณะราษฎรไม่เป็นพระเอกก็เป็นผู้ร้ายแบบขาวและดำ

ไม่เพียงเท่านั้น หากผู้อ่านทุกคนในที่นี้ลองมองย้อนกลับไปในสังคมทุกวันนี้ หรือมองย้อนกลับไปในตัวเอง เราจะพบว่าทุกคนก็ล้วนแต่มีตัวตนของคณะผู้ริเริ่มก่อการอภิวัฒน์อยู่ เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความฝัน มีความหวังที่จะมีชีวิตที่ดี หรือมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม ทุกวันนี้มีคนที่เหมือนปรีดี แปลก และประยูร เกิดขึ้นทุกวัน

เราทุกคนล้วนเป็นและเคยเป็นคนที่มีความฝันใหญ่

Field Trip with อ.แล

วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินลงพื้นที่กับศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ในย่านเยาวราช-สำเพ็ง-ราชวงศ์ การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุดเริ่มต้นในการเดินครั้งนี้ อ.แล มีความตั้งใจที่อยากจะให้เห็นพื้นที่พร้อมๆ กับย้อนทำความเข้าใจการก่อตัวของพื้นที่สำคัญของการก่อตัวทุนนิยมกรุงเทพ ซึ่งพื้นที่นี้ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อมาในอีกหลายๆ ปีในฐานะย่านการค้าสำคัญ รวมถึงยังเป็นพื้นที่สำคัญในทางการเมืองหลายๆ เรื่อง

จุดเริ่มต้นของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้เริ่มจากซอยแปลงนามที่เชื่อมระหว่างถนน (ตรอกป่าช้าหมาเน่า) ที่เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนเยาวราช ก่อนจะเดินออกจากซอยแปลงนามเลาะไปตามถนนเจริญกรุงจนมาถึงแยกเสือป่าตามเส้นทางนี้จะเห็นสถานที่สำคัญคือ วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกรกมลาวาสแล้วจึงข้ามถนนกลับมาเพื่อเดินเลาะไปตามถนนราชวงศ์แล้วจึงมาหยุดที่หมายแรกของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้คือ วัดโผ เพื๊อก (จั่วโผเพื๊อก) หรือพระราชทานนาม วัดกุศลสมาคร

วัดกุศลสมาครเป็นวัดพุทธมหายานฝ่ายอันนัมนิกายหรือญวนนิกาย ในส่วนนี้ อ.แล ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจว่าเยาวราชเป็นชุมชนคนจีน แต่หากพิจารณาแล้วในพื้นที่เรียกว่า เยาวราชมีวัดจีนใหญ่เพียงแค่ 1 แห่งเท่านั้นคือ วัดเล่งเน่ยยี่เท่านั้น (จริงๆ มีวัดจีนขนาดเล็กอีกวัดคือ วัดย่งฮกยี่) แต่กลับมีวัดญวนถึง 3 แห่ง คือ วัดโผ เพื๊อก วัดตื้อเต๊ (จั่วตื้อเต๊) และวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เยาวราชเดิมไม่ใช่แค่ย่านที่คนจีนอยู่ แต่เป็นย่านที่มีทั้งคนญวณและคนจีนอยู่ด้วยกัน

การเข้ามาอยู่ของคนญวณและคนจีนในพื้นที่เริ่มต้นมาจากการสร้างพระบรมมหาราชวัง ซึ่งฝั่งขวาของพระราชวังเดิมฝั่งธนบุรีเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนคนจีนและญวณ โดยคนญวณอาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า ท่าเตียน ซึ่งก็เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งว่ามาจากชื่อเมืองห่าเตียน (พุทไทมาศ) ซึ่งคนญวณได้อพยพมาอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่พักของพระยาราชาเศรษฐี ญวน (ม่อซื่อหลิน) หรือหมักเทียนตื๊อ ก่อนที่ต่อมาจะมีการโยกย้านคนจีนและคนญวนมาอยู่ในพื้นที่เยาวราช-สำเพ็ง

วัดโผเพื๊อกเป็นหนึ่งในวัดเก่าและเป็นวัดเริ่มต้นของคณะสงฆ์อันนัมนิกายในประเทศไทย โดยวัดอันนัมนิกายแห่งแรงในประเทศไทยตั้งอยู่ตรงพื้นที่ตลาดน้อยมีชื่อว่า วัดคั้นเยิง (จั่วคั้นเยิง) หรือพระราชทานนาม วัดอุภัยราชบำรุง หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อวัดญวนตลาดน้อย

อ.แล ได้เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดอันนัมนิกาย แต่คนที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเป็นวัดพุทธมหายานเหมือนกัน และอีกส่วนหนึ่งก็คือ เจ้าคณะอันนัมนิกายในยุคหลังๆ ไม่ใช่คนญวนที่เดินทางมาจากเวียดนามอีกแล้วแต่เป็นลูกหลานคนญวนหรือคนจีนที่บวชเรียนในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เพราะภายหลังจากสงครามอันนามสยามยุทธในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 ทำให้คนญวนเข้ามาในน้อยลง

แม้ว่าจะเป็นวัดของอันนัมนิกาย แต่ก็เป็นวัดพุทธมหายานลักษณะพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ภายในวัดก็ไม่ได้แตกต่างจากวัดพุทธมหายานอื่นมากเท่าใด จุดที่อาจจะแตกต่างกันบ้างคือ วัดการวางพระพุทธรูปแบบวัดพุทธมหายานส่วนใหญ่ เช่น วัดเล่งเน่ยยี่ที่มีพระพุทธรูปสามองค์เรียงกันคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีพุทธะ และพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แต่วัดโผเฟื๊อกมีพระพุทธรูปประธานเพียงแค่องค์เดียว

ความน่าสนใจของวัดอันนัมนิกายก็คือ วัดมักจะมีชื่อเขียนด้วย 3 ภาษาคือ ภาษาจีนโดยใช้ตัวอักษรจีนฮั่น ภาษาเวียนดนาม (จื๋อโกว๊กหงือ) และภาษาไทย ซึ่งเป็นนามพระราชทานที่แปลมาจากภาษาจีนและภาษาเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากมีการตั้งสมณศักดิ์ให้กับพระจีนนิกายและอันนัมนิกายในสมัยรัชกาลที่ 5 (โดยก่อนหน้านี้ การดูแลพระสงฆ์ทั้งสองนิกายอยู่ภายใต้กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา) แม้ในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีการให้พระทั้งสองนิกายเข้าร่วมพิธีสงฆ์ในราชสำนัก

หลังจากเดินออกจากวัดโผเฟื๊อกแล้วคณะของเราได้เดินต่อไปตามถนนราชวงศ์ โดยสองข้างทางนี้ถูกเรียกว่าเป็นย่านย่อยว่า สำเพ็ง ก่อนเลี้ยวเข้าซอยผลิตผลหรือซอยซุนยัดเซ็น ความสำคัญของซอยนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย 2 เรื่องคือ เรื่องแรกคือ ซอยนี้ถูกจดจำในฐานะเป็นที่ๆ ซุนยัดเซ็นมาระดมทุนตอนมาประเทศไทยเพื่อไปนำไปใช้ในการปฏิวัติซินไฮ่ (แม้ว่า อ.แล จะบอกว่า ภาพตอนซุนยัดเซ็นมาระดมทุนจะเป็นภาพตอนอยู่ริมถนนเยาวราชก็ตาม) และเรื่องที่สองคือ ซอยนี้เป็นที่ตั้งของวัดตื้อเต๊ หรือพระราชทานนาม วัดโลกานุเคราะห์

วัดตื้อเต๊ มีความสำคัญต่อการเมืองไทยพอๆ กับเรื่องเล่าที่ว่า ซุนยัดเซ็นเคยมาระดมทุนที่เยาวราช เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดที่เมื่อโฮจิมินห์เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาก่อตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ และได้มาเจอเจ้าอาวาสวัดตื้อเต๊ก่อนจะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มจัดตั้งที่จังหวัดพิจิตร การเดินทางมาที่วัดนี้ของโฮจิมินห์ป็นการมาพบปะกับสหายผู้รักชาติ และเป็นแกนนำที่ติดต่อสื่อสารกับคนเวียดนามในประเทศไทย

วัดตื้อเต๊ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนถูกนไปใช้เป็นพื้นที่เก็บของร้านค้าด้วย ตอนเดินดูในวัดจึงมีทั้งหลวงจีนและผู้ค้าต่างๆ เดินสวนกันไปมา

หลังจากเดินออกจากวัดตื้อเต๊แล้ว อ.แล ได้นำพวกเราเดินไปตามถนนราชวงศ์ต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำราชวงศ์ ตลอดสองข้างทางถนนราชวงศ์คือ ย่านสำเพ็ง ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านขายสินค้าปลีก-ส่ง แต่ก็ยังคงมีธุรกิจสำคัญๆ ที่เติบโตมาจากย่านนี้ เช่น บริษัท ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ UFM และบริษัท ศรีกรุงวัฒนา จำกัด ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าเหล็ก เป็นต้น

ก่อนจะเกินต่อไปจนถึงท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนคณะเรานั่งพักดื่มชากาแฟแถวนั้น พลางอธิบายเกี่ยวกับความแตกระหว่างคนจีนกับญวนในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่แตกต่างระหว่างคนจีนกับญวนก็คือ วัฒนธรรม คนจีนยังคงรักษาแบบแผนของวัฒนธรรมไว้ ตรงกันข้ามกับคนญวน ซึ่งถูกกลืนและปรับเปลี่ยนไปกับคนไทยทั่วๆ ไป เช่นเดียวกันกับเชื้อชาติอื่นๆ ส่วนคนจีนยังคงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ แต่เป็นการรักษาไว้ในเชิงรูปแบบ แม้ว่าจะใช้ภาษาและคำเรียกในลักษณะเดิม แต่ความคิดและความรู้สึกนั้นแตกต่างออกไปแล้ว

ที่ท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนให้เราจินตนาการนึกภาพอดีตของแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะเป็นท่าเรือการค้า การทำการค้าทางไกลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนตั้งกรุงเทพ แต่ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การนำเข้าแรงงานคนจีนเพื่อมาทำงานเป็นกุลี-จับกังในการแบกหามสินค้าหรือเข็นสินค้าไปตามห้างร้านต่างๆ หรือที่ในบริเวณนั้นเรียกว่า กงซีล่ง (โกดังเก็บสินค้าของบริษัท, ห้าง, ร้าน) ตรงถนนทรงวาด

อ.แล ได้อธิบายลักษณะสำคัญของทุนนิยมคือ การขูดรีดแรงงาน เพื่อเอาส่วนเกินมาสร้างเป็นผลกำไร สิ่งนี้จึงทำให้แรงงานต้องทำงานและพักพิงอยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง แต่สภาพความเป็นอยู่ของแรงงานแถวนั้นไม่ค่อยมีคุณภาพ รวมถึงพื้นที่มีความหนาแน่น ทำให้แรงงานจีนมักจะเสียชีวิตจากโรคติดต่อ แบบวัณโรค

การค้าทางไกลของไทยในอดีตอยู่ภายใต้กรมพระคลัง โดยแบ่งออกเป็นกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา (หันหน้าออกสู่ปากน้ำ) กรมท่าซ้ายจะทำการค้ากับประเทศจีน เวียดนาม และโอกินาวา (ริวกิว) โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ส่วนกรมท่าขวาจะทำการค้ากับหัวเมืองมลายู อินเดีย อิหร่าน และยุโรป อยู่ภายใต้การดูแลของพระจุฬาราชมนตรี ซึ่งเกี่ยวพันกับตระกูลบุนนาค

ตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐีนี้ โดยส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งจะเป็นคนจีน ทำให้ในเวลาต่อมาเมื่อคนจีนเหล่านี้เข้ามารับราชการและได้รับพระราชทานนามสกุลจึงพยายามนำชื่อตำแหน่งไปใช้ในนามสกุล อาทิ โชติกเสถียร โชติกสถิตย์ โชติกวาณิชย์

ตรงข้ามกับท่าน้ำราชวงศ์เยื้องๆ กันจะเห็นล้ง 1919 ซึ่งอยู่ข้างๆ กับบ้านตระกูลหวั่งหลี ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทยในช่วงหนึ่ง ตัวอาคารล้ง 1919 เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่า ฮวย จุ่ง ล้ง ซึ่งเป็นตึกแถวที่ทำขึ้นมาในผังรูปตัว U เพื่อใช้เป็นที่พักของคนงาน

เยื้องๆ ไปทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางสะพานพุทธ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นย่าน (กุฎีจีน) ของชุมชนคนโปรตุเกส โดยมีโบสถ์ซางตาครู้สเป็นศูนย์กลาง แม้ว่าต่อมาคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะกลายเป็นคนจีนส่วนใหญ่ก็ตาม (ส่วนตรงข้ามของโบสถ์ซางตาครู้สก็คือ โบสถ์กาลหว่าร์หรือโบสถ์แม่พระลูกประคำ ซึ่งเป็นพวกโปรตุเกสและญวนอพยพจากอยุธยาที่นับถือคริสตศาสนา และไม่ยอมรับอำนาจมิสซังโปรตุเกสที่มาภายหลัง) นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เล่าเกร็ดการมูเตลูเกี่ยวกับสะพานพุทธกับดวงเมืองให้ฟัง

เมื่อเดินย้อนกลับจากท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปทางถนนทรงวาด ซึ่งมีที่มาจากการที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขีดเส้นวาดถนนลงบนแผนที่เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

ที่หัวมุมของถนนทรงวาดมีตึกเก่าที่เรียกว่า ตึกแขก ซึ่งอาคารเป็นศิลปะแบบชิโนโปรตุกีสหรือสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นลักษณะอาคารที่มีความนิยมทำในช่วงรัชกาลที่ 5 ต่อจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่ 6 โดยอาศัยลักษณะนี้มักจะเป็นงานก่อสร้างของคหบดีที่มั่งคั่งในยุคนั้น

ถนนทรงวาดมีความสำคัญในฐานะพื้นที่ตั้งของกงซีล่ง ซึ่งเป็นลักษณะของโกดังร้านค้าต่างๆ ที่เมื่อมีการนำสินค้าขึ้นมาจากเรือแล้วจะมีการนำมาส่งตามร้านต่างๆ เพื่อขาย ปัจจุบันร้านค้าในลักษณะนี้ยังมีอยู่ แต่สินค้าที่ขายโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าเกษตรกรรม แม้ว่าย่านนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยเป็นย่านท่องเที่ยวที่เริ่มพัฒนาใหม่

นอกจากห้างร้านแล้ว ถนนทรงวาดยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนเผ่ยอิง ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2459 โดยพ่อค้าชาวจีนคนสำคัญ 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ พระอนุวัติราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง (แต้หงี่ฮง) ซึ่งเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งจากกิจการโรงบ่อน (ต่อมายี่กอฮงยังได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการพนันและโชคลาภ โดยมีศาลเจ้าอยู่บนสถานีตำรวจพลับพลาชัย)

โรงเรียนเผยอิงนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า โรงเรียนผลิตเจ้าสัว เนื่องจากศิษย์เก่าหลายคนที่จบจากโรงเรียนนี้เป็นเจ้าสัวคนสำคัญ อาทิ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งธนาคารศรีนคร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ คุณเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และคุณธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น

ในพื้นที่เดียวกันกับโรงเรียนเผยอิงยังมีศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงอีกด้วย อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่เยาวราชนี้มีวัดจีนไม่กี่แห่ง แต่มีศาลเจ้าค่อนข้างเยอะ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนจีนส่วนใหญ่นับถือขงจื๊อมากกว่า นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เสริมว่า คนจีนนั้นนับถือปูนเถ้ากงมากก็จริง แต่ยังน้อยกว่าซำปอกงหรือเจิ้งเหอ เพราะในแง่หนึ่งคนจีนโพ้นทะเลมองว่าเจิ้งเหอมีความเก่งกาดสามารถนำขบวนยุทธนาวีขนาดใหญ่เดินทางข้ามผ่านหลายทวีปได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีศาลเจ้าบูชาซำปอกองหลายที่ แต่ที่สำคัญก็คือที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยมีการเข้ามาประเมินและให้มาตรฐานกับศาลเจ้าว่าเป็นศาลเจ้ามาตรฐาน หน้าที่นี้เป็นไปตามกฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานศาลเจ้า ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยดูแล

ข้างๆ โรงเรียนเผยอิงเป็นที่ตั้งของตรอกโรงโคม ซึ่งคำว่า โรงโคมนี้มีที่มาจากโคมเขียวหรือก็คือซ่องโสเภณี สิ่งนี้สะท้อนว่าย่านเยาวราช-สำเพ็งเป็นย่านกิจกรรมด้านความบันเทิง เพราะเป็นแหล่งรวมทั้งบ่อนการพนันและที่ค้าประเวณี

ถัดจากโรงเรียนเผยอิงมาจะพบกับมัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ขุนนางมุสลิมเชื้อสายมลายู ความน่าสนใจของมัสยิดดังกล่าวคือ เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่กลางชุมชนคนจีนและญวน อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า หลวงโกชาอิศหากนี้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาในกรมท่าขวา โดยทำหน้าที่แปลภาษาโปรตุเกสเป็นภาษามลายูแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งสะท้อนภาพของภาษาต่างประเทศที่ใช้ทำการค้ากับตะวันตกก่อนการเข้ามามีบทบาทของภาษาอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

ด้านหน้าของมัสยิดฝั่งที่ติดกับถนนทรงวาดนั้นเป็นตึกแถวเรียงติดกัน อ.แล เล่าให้ฟังว่าเดิมทางเข้านั้นเข้าจากอีกฝั่งหนึ่ง จนต่อมามีการตัดถนนทรงวาดจึงมีการทะลุตึกแถวเดิมออกหนึ่งห้องเพื่อทำทางเข้ามัสยิด ส่วนทางเข้าเดิมในปัจจุบันเป็นกุโบร์หรือสุสาน

เดินต่อเนื่องมาตามถนนทรงวาดเรื่อยๆ จะเจอกับตรอกสะพานญวน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ในย่านนี้เป็นย่านที่เคยมีคนญวนอาศัยอยู่เยอะเช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันเมื่อมองไปแล้วจะไม่เห็นสะพานแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งจุดสำคัญของถนนทรงวาดคือ ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของบริษัท เจียไต๋ จํากัด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเวลาต่อมา เดิมกิจกรรมของบริษัท เจียไต๋ จำกัด ก็เหมือนกับกงซีล่งอื่นๆ แถวนี้คือ เป็นร้านค้าขายสินค้าการเกษตรก่อนจะขยายตัวออกไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและการเกษตรอื่นๆ ในเวลาต่อมา

นอกจากบริษัท เจียไต๋ จำกัดแล้วแถวนั้นยังเป็นที่ตั้งของวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าสำคัญในย่านนี้ และแถวๆ นี้ยังมีที่ตั้งของโรงพิมพ์วัดเกาะ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ราษฎรแรกๆ ที่ผลิตหนังสือวรรณกรรมภาษาไทยฉบับราษฎร

เมื่อเดินออกมาจากถนนทรงวาดก็จะย้อนกลับมาจนถึงถนนเยาวราช ซึ่งหัวมุมของถนนจะเห็นสถานที่เคยเป็นโรงหนังเฉลิมบุรี ซึ่งเคยเป็นโรงหนังที่สร้างขึ้นไล่เลี่ยกับโรงหนังเฉลิมกรุง (ปัจจุบันโรงหนังเฉลิมกรุงยังอยู่) เยาวราชเริ่มเป็นย่านที่มีร้านอาหารแบบที่พอจะเห็นเค้าในปัจจุบันก็เมื่อกรุงเทพมีชีวิตกลางคืนเกิดขึ้น

การมาถึงของไฟฟ้าและความบันเทิงยามกลางคืนได้ทำให้เยาวราชกลายเป็นย่านสำคัญของชีวิตกลางคืน ร้านอาหารต่างๆ อาทิ สีฟ้าภัตราคาร และหยาดฟ้าภัตราคาร (ห้อยเทียนเหลา) ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ อ.แล เล่าว่ายังเด็กร้านอาหารพวกนี้เริ่มมีมากขึ้นและส่วนใหญ่คนที่มาทานอาหารจะเป็นพวกผู้ดี ข้าราชการ และนายทหารและตำรวจ ที่มากินกัน และส่วนใหญ่อาหารที่เสิร์ฟก็จะเป็นจานเล็กๆ เพราะเขาอยากให้กินหลากหลาย

การเดินลงพื้นที่ของเรามาจบลงที่ถนนแปลงนาม ตรงวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) หรือพระราชทานนาม วัดมงคลสมาคม หรือเรียกกันว่า วัดญวนซอยแปลงนาม ซึ่งเป็นวัดญวนเก่าแก่ และอาจจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะเดิมวัดนี้เคยตั้งอยู่ตรงถนนพาหุรัด ซึ่งเมื่อมีพระประสงค์จะสร้างถนนเป็นเส้นทางคมนาคมสมัยใหม่จึงทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดขึ้นใหม่ วัดโห่ยคั้นเป็นวัดขนาดเล็กค่อนข้างเงียบๆ ปัจจุบันวัดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่จอดรถและที่ขายขนมจีบลูกละบาทของแป๊ะเซี๊ยะ

กฎหมายและความงาม

วันนี้คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดบรรยายในหัวข้อ L’esthétique et le droit de l’urbanisme / ความงามและกฎหมายผังเมือง โดยเชิญ Prof. Jacqueline Morand-Deviller ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชนจากประเทศฝรั่งเศสมาบรรยาย ซึ่งมีหลายประเด็นที่มีความน่าสนใจในเชิงกฎหมาย

ประเด็นที่คิดว่ามีความน่าสนใจหลังจากได้ฟังการบรรยายของ Prof. Jacqueline ก็คือ โดยทั่วไปแล้วกฎหมายมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังคมในมิติต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เมื่อพูดถึงความงามแล้วยังเป็นหัวข้อที่กฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้องน้อยมากโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในเชิงปรัชญา เพราะเมื่อพูดถึงปรัชญากับกฎหมายแล้วสาขาสำคัญของปรัชญาที่มักจะถูกพูดถึงก็คือ จริยศาสาตร์ (Ethics) ซึ่งมักตั้งคำถามเกี่ยวกับความดี และอะไรคือความดี โดยบ่อยครั้งเรื่องในทางจริยศาสตร์นั้นมักจะถูกเชื่อมโยงกับกฎหมายในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม (norm) อย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมานั้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความงามนั้นยังคงถูกพูดถึงน้อยมาก ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสถามผู้บรรยายวิชานิติปรัชญา ในชั้นเรียนสมัยปริญญาตรีปีที่ 4 ว่า กฎหมายเข้าไปสัมพันธ์กับสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) อย่างไร ซึ่งผู้บรรยายในวิชานั้นได้ให้คำตอบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและความงามนั้นไม่ได้เกี่ยวพันกันมาก โดยหากจะพูดถึงกฎหมายกับความงามนั้นอาจจะเป็นเรื่องการบัญญัติกฎหมายอย่างไรให้สวยงามมากกว่า ซึ่งในความเห็นส่วนตัวนั้นการอธิบายในลักษณะดังกล่าวก็เป็นการละเลยกฎหมายกับความงามในบริบทอื่นๆ เช่น กฎหมายกับการประเมินค่าของความงาม เป็นต้น ซึ่งประเด็นนี้ก็มาปรากฏในการบรรยายวันนี้

กฎหมายกับความงามในกรณีนี้ผู้บรรยายยกตัวอย่างกรณีของกฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร และกฎหมายสิ่งแวดล้อม ประเด็นสำคัญของเรื่องก็คือ เมื่อกฎหมายมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องภาววิสัย แต่ความงามนั้นเป็นได้ทั้งเรื่องภาววิสัย ซึ่งทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความงามเป็นการทั่วไป และอัตวิสัย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความงามนั้น

การที่ความงามนั้นไม่มีความแน่นอนแบบนี้ในทางกฎหมาย จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาได้ว่า เมื่อต้องให้ลักษณะกฎหมายกับข้อเท็จจริง (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ปรับบท”) นั้นจะทำอย่างไร ในทางปฏิบัติแล้วหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่วินิจฉัยตีความกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีของสภาแห่งรัฐ (Conseil d’Etat) หรือศาลปกครองของสาธารณรัฐฝรั่งเศส จะไม่นำประเด็นเรื่องความงามมาประกอบการพิจารณาเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย (public order) ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องประเมินค่าความงาม โดยศาลจะปล่อยให้เป็นการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักกฎหมายจะไม่ชอบประเด็นเรื่อง “ความงาม” เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการประเมินค่า แต่ในปัจจุบันก็ได้มีความพยายามศึกษาเรื่องกฎหมายและความงามมากขึ้น โดยเฉพาะโครงสร้างของบทบัญญัติเกี่ยวกับความงามในแง่มุมต่างๆ ผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายผังเมือง กฎหมายควบคุมอาคาร และกฎหมายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

การปรากฏตัวของบทบัญญัติเกี่ยวกับความงามนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับกรณีของสถานที่ เช่น การคุ้มครองพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งรวมไปถึงการวางระบบของกฎหมายที่เก่ียวข้องกับวิธีการในการรักษาความงามของสถานที่ อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดเมื่อเป็นเรื่องกฎหมายแล้วก็ต้องมีการปรับบท ซึ่งทำให้ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงเรื่องการประเมินค่าความงามตามกฎหมายไปได้อยู่ดี

สรุปการบรรยาย L’esthetique et le droit de l’urbanisme / ความงามและกฎหมายผังเมือง

บล็อกนี้เขียนขึ้น โดยสรุปจากงานบรรยายในหัวข้อ L’esthetique et le droit de l’urbanisme / ความงามและกฎหมายผังเมือง โดย Prof. Jacqueline Morand-Deviller ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Prof. Jacqueline Morand-Deviller

ในเบื้องต้น Prof. Jacqueline ได้อธิบายว่า กฎหมายฝรั่งเศสกับกฎหมายไทยนั้นมีความใกล้เคียงกันในหลายส่วน ทั้งในแง่ของกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา และกฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนามาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งในวันนี้จะมาพิจารณาในมุมมองของกฎหมายผังเมือง ซี่งเป็นสาขาหนึ่งของกฎหมายปกครอง

เมื่อได้ยินชื่อหัวข้อการบรรยายในวันนี้แล้วอาจจะเกิดคำถามว่า “ความงาม” เข้ามาเกี่ยวข้องกับกฎหมายผังเมือง รวมไปถึงกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ซึ่งเมื่อทำความเข้าใจกฎหมายแล้วจะเห็นได้ถึงความพยายามของผู้ร่างในการนำแนวคิดเกี่ยวกับความงามสอดแทรกเข้าไปในกฎหมาย รวมถึงการจัดทำผังเมืองของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมักจะคำนึงว่า การวางผังเมืองควรนึกถึงการผักผ่อนหยอนใจ การทำงาน และการใช้ประโยชน์ แต่เมื่อเป็นการบรรยายทางนิติศาสตร์อาจจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องทางสถาปัตยกรรม แต่อาจจะให้ความสำคัญกับมุมมองในทางกฎหมาย

Prof. Jacqueline อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ความงาม” ซึ่งอาจจะมีการนิยามได้ในหลายลักษณะ สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความงามเป็นเรื่องของการผสานและกลมกลืนกัน แต่ก็อาจจะนิยามได้หลายวิธีการโดยใช้วิธีการแบบพรรณา แต่สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นการอธิบายความงามในลักษณะของความกลมกลืน ปัญหาของการอธิบายเรื่องความงามคือ การอธิบายความงามนั้นมีความยากในการอธิบาย เพราะความงามเป็นเรื่องในเชิงอัตวิสัยและภาววิสัย แต่ค้านท์ได้ให้ไอเดียเกี่ยวกับความงามว่า หมายถึง อะไรก็ตามที่สามารถรับรู้ได้โดยภาววิสัยว่าเป็นสิ่งที่งาม โดยไม่ต้องนิยามถึงความงามของสิ่งนั้น

ด้วยเหตุที่ความงามไม่มีความหมายแน่นอนว่า สิ่งใดเป็นความงามหรือไม่สวยงาม ก็เนื่องจากการให้เหตุผลในทางอัตวิสัยและภาววิสัย ทำให้เป็นอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งในประเด็นนี้ Conseil d’Etat ไม่นำความงามมาเป็นเหตุในการพิจารณาเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

แม้นักกฎหมายจะไม่ชอบประเด็นเรื่อง “ความงาม” แต่ในทางปฏิบัตินักกฎหมายบางคน ก็พยายามจะอธิบายเรื่องความงามในเชิงกฎหมายมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Prof. Jacqueline ในการศึกษาเรื่องความงาม โดยมาพิจารณาในแง่ของการปรากฏตัวในบทบัญญัติของกฎหมายว่าความงามปรากฏตัวอย่างไร

หนึ่งในตัวอย่างที่ Prof. Jacqueline ยกขึ้นอธิบายก็คือ กฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งกฎหมายจะเข้ามาคุ้มครองและวางกรอบเพื่อรักษาความงามของมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ นอกจากนี้ กฎหมายสิ่งแวดล้อมก็เป็นกฎหมายอีกสาขาหนึ่งที่เรื่องความงามจะไปปรากฏอยู่ โดยเมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมควรจะต้องอยู่อย่างกลมกลืน ฉะนั้น กฎหมายจึงเข้าไปวางกรอบของการรักษาความงามในสภาพแวดล้อมที่สิ่งแวดล้อมนั้นดำรงอยู่

Prof. Jacqueline ได้ตั้งข้องสังเกตว่า ในประเทศฝรั่งเศส เมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งของปารีสเมืองหลวงของประเทศก็มีผู้อยู่อาศัยกว่า 2 ล้านคน ซึ่งอาจจะมีการจัดการที่แตกต่างกันได้ระหว่างเมืองที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ก็มีการใช้กฎหมายผังเมืองอย่างถ้วนทั่วกันหมด (น่าจะหมายถึงการใช้กฎหมายผังเมืองเป็นกรอบในการจัดการวางผังเมือง)

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างกฎหมายผังเมืองกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม อาจจะกล่าวได้ว่า กฎหมายผังเมืองมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานกว่า โดยพัฒนามาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 14-15 โดยเริ่มมาจากการวางผังเมืองในเรื่องถนน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ก่อนจะทวีความสำคัญมากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI) ส่วนกฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาในช่วง ศตวรรษที่ 19

ในเรื่องความงามกับมรดกทางวัฒนธรรมนั้นเริ่มต้นปรากฏมาตั้งแต่ปี 1887 และแก้ไขเพิ่มเติมหลัง WWI แล้วต่อมาได้ถูกพัฒนามาเป็นหลักกฎหมายปกครองในส่วนที่เกี่ยวกับผังเมือง โดย Conseil d’Etat ได้วางหลักเกี่ยวกับมุมมองเกี่ยวเนื่องกับสถาปัตยกรรม โดยฝ่ายปกครองมีอำนาจในการให้ลักษณะทางกฎหมายกับข้อเท็จจริง เพื่อปฏิเสธสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยเจ้าของที่ดินที่มาขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารได้ หากโครงสร้างอาคารขัดกับภูมิทัศน์โดยรอบ

ในเวลาต่อมา เมื่อประเทศฝรั่งเศสมีกฎหมายผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังส่งครามโลกครั้งที่ 2 (WWII) กฎหมายให้บทบาทรัฐมนตรีกิจการผังเมืองรับผิดชอบโดยตรง โดยหลักกฎหมายผังเมืองเริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง WWII

นอกจากนี้ ในช่วงปี 1983 ได้เกิดข้อความคิดด้านการกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งข้อความคิดดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเดิมการอนุญาตเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารทั้งหมดอยู่กับส่วนกลาง แต่เมื่ออำนาจทั้งหมดถูกกระจายไปยังเทศบาลก็ทำให้การตัดสินกระจายไปยังเทศบาลต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายผังเมืองก็ถูกนำไปปรับใช้กับทุกเทศบาลอย่างเสมอกัน

ในปัจจุบันกฎเกณฑ์เกี่ยวกับผังเมืองและควบคุมอาคารได้ถูกรวบรวมเอาไว้ในรูปแบบของประมวล และได้มีการแก้ไขอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎหมายมีการแก้ไขโดยตลอดและมีการเพิ่มรายละเอียดในเชิงเทคนิคมากขึ้น ทำให้ยากแก่การทำความเข้าใจด้วยเช่นกัน

ถ้าเทียบกันระหว่างประมวลกฎหมายผังเมืองกับประมวลกฎหมายสิ่งแวดล้อมก็คือ กฎหมายผังเมืองนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายภายในที่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้กำหนดหลักการ แต่กฎหมายสิ่งแวดล้อมนั้นถูกปรับเปลี่ยนไปตามบทบัญญัติของกฎหมายสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ทำให้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ บทบัญญัติของกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (กฎบัตรสิ่งแวดล้อมปี 2004) ซึ่งเมื่อเทียบกับกฎหมายผังเมือง Conseil Constituionale ไม่ได้รองรับว่า เรื่องผังเมืองมีหลักการในระดับรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไปดูในกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศอื่น อาทิ ประเทศอิตาลี ได้มีการรองรับให้มีคุณค่าในระดับรัฐธรรมนูญ

ผลของการที่กฎบัตรสิ่งแวดล้อมมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นได้วางหลักการต่างๆ สำคัญเอาไว้ เช่น precautionary, polluter pay หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เนื้อหาของสิ่งเหล่านี้เองก็เชื่อมโยงกับมายังกฎหมายผังเมืองด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า หลักการเหล่านี้ยกระดับกฎหมายผังเมืองให้เข้ามาอยู่ในมิติรัฐธรรมนูญในทางอ้อม

ความงามกับมรดกทางวัฒนธรรม

ความงามกับมรดกทางวัฒนธรรมนั้นเกี่ยวข้องกับตัวอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสื่อมทรามลงไป แต่ความงามของอาคารเหล่านี้มีคุณค่า ซึ่งนำมาสู่ความจำเป็นในการบูรณะและรักษาเอาไว้ (เช่น วิคเตอร์ ฮูโก สนับสนุนให้มีการรักษาและบูรณอาคารที่มีความสวยงาม เป็นต้น)

สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาว่า อาคารในลักษณะใดที่ควรได้รับการอนุรักษ์หรือรักษาเอาไว้ เพราะเป็นอาคารที่มีคุณค่า ซึ่งทำให้ในทางปฏิบัติมีการดำเนินการขึ้นทะเบียนอาคารที่มีคุณค่าเหล่านี้เอาไว้ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญมาประเมินคุณค่าของอาคารเหล่านั้น

ปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคารในปัจจุบันก็คือ กรณีตัวอย่างเช่น ในกรุงเทพมหานครพื้นที่ว่างมีจำนวนน้อยลง ทำให้ต้องมีการทุบทำลายอาคารเก่า ปัญหาก็คือ ตัวอาคารบางแห่งนั้นมีคุณค่าในทางศิลปวัฒนธรรม ทำให้เกิดคำถามว่า ควรจะยอมรับให้ทุบทำลายอาคารดังกล่าวหรือไม่ และควรจะอนุรักษ์อาคารอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ได้รับการยอมรับให้อนุรักษ์แน่นอนคือ อาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ดี การคุ้มครองได้มีการขยายออกไปทั้งจากโบราณสถานเป็นพื้นที่โดยรอบ และรวมไปถึงชุมชนที่มีความพิเศษ

เครื่องมือทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจากกฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคารก็คือ การสร้างเครื่องมือเพื่อจัดอันดับ (ranking) ของอาคาร และการสร้างเครื่องมือเพื่อขึ้นทะเบียนอาคาร โดยเครื่องมือเพื่อจัดอันดับ (ranking) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าของอาคารที่มีวัตถุประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพอาคารไม่สามารถทำได้โดยอำเภอใจ ต้องมาขออนุญาตต่อหน่วยงานทางปกครองเสียก่อน ส่วนเครื่องมือที่ขึ้นทะเบียนแล้วในการเปลี่ยนแปลงสภาพอาคารเจ้าของอาคารเพียงแค่ แจ้งให้หน่วยงานทางปกครองทราบ และขอความช่วยเหลือให้เขาเข้ามาช่วยดูแลและพิจารณาว่าการปรับปรุงดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่

นอกจากเครื่องมือทั้งสองแล้ว ยังมีเครื่องมือที่มีระดับความเข้มข้นอยู่ตรงกลางระหว่างเครื่องมือทั้งสอง ซึ่งใช้ในกรณีที่มีความฉุกเฉินเร่งด่วนในกรณีที่เจ้าของอาคารกำลังดำเนินการตามกฎหมายสำหรับเครื่องมือทั้งสอง แต่สามารถดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพอาคาร โดยยังคุ้มครองคุณค่าของอาคารดังกล่าวได้

การขึ้นทะเบียนนั้นจะกระทำโดยฝ่ายวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายปกครอง (ในท้องถิ่น) ซึ่งปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การนำอาคารไปขึ้นทะเบียนจะเป็นการลดมูลค่าทางเศรษฐกิจของอาคารหรือไม่ ในความเห็นของผู้บรรยายมองว่า ไม่ใช่เช่นนั้น การขึ้นทะเบียนเป็นการเพิ่มมูลค่าในทางวัฒนธรรมให้กับอาคาร และนำมาสู่การเพิ่มมูลค่าในทางศรษฐกิจด้วย โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่น ชาโต ปราสาท หรือโบสถ์ เป็นต้น

แนวคิดเกี่ยวกับการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมนั้นอาจจะรวมไปถึงอาคารที่มีลักษณะรวมสมัย บ้านขนาดเล็ก อพาร์เมนท์ หรือกลุ่มพวกเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีอาคารที่ขึ้นทะเบียน 4 หมื่นกว่าแห่ง (รวมทั้งสองระบบ) ซึ่ง Prof. Jacqueline ผู้บรรยายมองว่ายังน้อยกว่าในประเทศเยอรมนี

การขึ้นทะเบียนนั้นโดยส่วนใหญ่คนมักจะนึกถึงการขึ้นทะเบียนแบบมรดกโลกของ UNESCO แต่การขึ้นทะเบียนในลักษณะดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นรูปแบบของการขึ้นทะเบียนที่สำคัญ การขึ้นทะเบียนอาคารอนุรักษ์ในกฎหมายระดับชาติก็เป็นสิ่งที่สำคัญและเพียงพอที่จะให้สถานะคุ้มครองกับอาคารและสถานที่

ผลของการขึ้นทะเบียนนี้จะต้องมีการประสานความร่วมมือกันระหว่างเอกชนที่เป็นเจ้าของอาคารกับหน่วยงานทางปกครอง โดยหน่วยงานทางปกครองจะเข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบและดูแลการใช้ประโยชน์อาคารที่ผู้เป็นเจ้าของอาคารต้องการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ ซึ่งการนำเรื่องไปให้สถาปนิกของรัฐเป็นผู้พิจารณานั้น (ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ โดยทั้งสองประเภทมีอำนาจไม่เท่ากัน)

นอกเหนือจากการคุ้มครองอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในทางวัฒนธรรมแล้ว กฎหมายได้ขยายเข้าไปคุ้มครองพื้นที่โดยรอบของอาคารดังกล่าวด้วย เปรียบเสมือแต่การมีเพชรแล้วปราศจากตัวเรือนที่สวยงาม เพชรก็จะดูมีคุณค่าลดลง การดูแลอาคารให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อกฎหมายขยายเข้าไปคุ้มครองแล้วจะมีขอบเขตแค่ไหน ซึ่งได้มีความพยายามกำหนดขอบเขต เช่น ลากเส้นเป็นวงกลม 500 เมตร รอบอาคาร ก็จะมีปัญหาว่า ในเมืองสำคัญๆ นั้นมีอาคารที่มีคุณค่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการขออนุญาต ซึ่งทำให้ต้องปรับปรุงข้อกำหนดดังกล่าว การบังคับใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อคุ้มครองอาคารนั้นอาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจนเกินสมควร เช่น อาคารที่อยู่อาศัยตกอยู่ในเส้นรัศมี 500 เมตร ทำให้ประชาชนมีภาระในการขออนุญาต เป็นต้น (ยังไม่รวมปัญหาที่จำนวนสถาปนิกที่มีอำนาจมีจำนวนน้อย) ประกอบกับการพิจารณาเรื่องกระจายอำนาจ การต้องขออนุญาตจากสถาปนิกของรัฐ ทำให้อำนาจถูกดึงเข้ามาหาส่วนกลาง ทำให้มีการแก้ไขโดยการให้ท้องถิ่นกำหนดเขตพื้นที่ตามความเหมาะสม (ไม่ลงรายละเอียด)

เครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 1962 ก็คือ การฟื้นฟูพื้นที่มีคุณค่าอันควรแก่การอนุรักษ์ ซึ่งในประเทศยุโรปมีการกำหนดเขตพื้นที่เขตเมืองเก่า ซึ่งบางครั้งอาคารมีสภาพทรุดโทรมแล้ว จึงมีการทุบสร้างอาคารใหม่แทนที่จะอนุรักษ์อาคารเก่า (renovate) แต่การทำในลักษณะดังกล่าวทำให้อาคารเหล่านี้ที่มีคุณค่าเสียหายไป จึงเกิดแนวคิดในการ reserve อาคารเก่าโดยการกำหนดพื้นที่เป็นเขตอนุรักษ์และกำหนดว่าในการซ่อมแซมก่อสร้างต้องใช้วัสดุแบบใดในการก่อสร้างและอนุรักษ์

แนวคิดในลักษณะดังกล่าวก็ได้รับการต่อต้านจากผู้ประกอบกิจการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการกำหนดเขต เพราะกลัวว่าจะทำให้ขาดรายได้จากการค้า แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อกฎหมายกำหนดเขตทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สำหรับข้อเสียของหลักการดังกล่าวก็คือ การทำให้ไม่เกิดการผสมผสานทางสังคมระหว่างคนที่อยู่เก่าในพื้นที่กับคนใหม่ที่เข้ามา

ความงามกับการพัฒนาเมือง

การทำผังเมืองในประเทศฝรั่งเศสเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1919 โดยตัวบทบัญญัติที่ปรากฏในกฎหมายผังเมืองนั้นปรากฏอยู่ในมาตรา L101-1 ซึ่งคำสำคัญก็คือ “ภูมิประเทศเขตเมืองภายในประเทศฝรั่งเศสถือเป็นสมบัติของชาติ” ซึ่งคำว่า “ชาติ” นี้ผู้บรรยายมองว่ามีความหมายไม่สะท้อนในแง่ของสภาพบุคคล (จริงๆ ควรจะเป็นรัฐ) ซึ่งทำให้มีปัญหาว่าจะเรียกร้องกันได้แค่ไหน

ในบทบัญญัติถัดมาของประมวลกฎหมายผังเมืองบัญญัติว่า “แม้ว่าหน่วยงานของรัฐจะมีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการใดๆ ก็ตาม ต้องคำนึงการคุ้มครองสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ และการตัดสินใจเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะต้องมีหลักประกันในการจัดสรรพื้นที่ธรรมชาติในภูมิประเทศด้วย”

อำนาจในการจัดทำผังเมืองมีการกระจายไปให้ อปท. ตั้งแต่ปี 1983 โดยเทศบาลเป็นผู้มีบทบาทหลักในการจัดทำผังเมือง ซึ่งกฎหมายผังเมืองนั้นให้อำนาจผู้อยู่อาศัยเข้ามามีส่วนรวมในการจัดทำผังผ่านการทำประชาพิจารณ์และความเห็นผ่านชุมชน

เครื่องมือในการจัดทำผังจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ แผนความสอดคล้องในพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะเป็นแผนกว้างๆ กับผังเมืองขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะมีสถานะเป็นกฎหมายลำดับรอง

แผนความสอดคล้องในพื้นที่ ใช้ในกรณีที่เวลาการทำผังใดผังหนึ่งแล้วมีวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละผัง แผนความสอดคล้องในพื้นที่จะใช้เพื่อดูความสอดคล้องร่วมกันของแผนเพื่อให้เวลาพิจารณาสามารถทำได้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เวลากำหนดนโยบายหรือการใช้ประโยชน์ผังเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (คล้ายๆ กับขั้นตอนการทำผังรวมของผังเมืองรวม) รายละเอียดของแผนจะดู ผังเมือง ผังที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ วัฒนธรรม พื้นที่สาธารณะต่างๆ การคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ และการขยายตัวของเขตเมืองไปกระทบทรัพยากรธรรมชาต การจัดทำแผนความสอดคล้องในพื้นที่จะประกอบไปด้วยเอกสารต่างๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดหลายๆ เรื่อง โดยอาจจะนำเอกสารต่างๆ มาจัดกลุ่มตามความสนใจได้

ตัวแผนความสอดคล้องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Soft Law คือ ไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมายใดๆ แต่ในทางปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายจะคำนึงตัวแผนความสอดคล้องนี้เป็นสำคัญ ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับแผนความสอดคล้องนี้ก็คือ การพยายามป้องกันมิให้มีการขยายเมืองมากจนเกินไป ซึ่งแผนนี้มีความสำคัญในแง่ของการปรับเปลี่ยนนโยบายในด้านความสูงของอาคาร แต่เดิมไม่สนับสนุนให้สร้างอาคารสูงทำให้เมืองขยายตัวออกด้านขวางแทน ทำให้ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนนโยบายโดยสนับสนุนให้เมืองขยายตัวด้านแนวดิ่งเพิ่มขึ้น เพื่อให้ไม่รบกวนพื้นที่ธรรมชาติ

ลักษณะพิเศษของกฎหมายผังเมืองก็คือ กฎหมายสามารถออกได้ในหลายระดับ ทำให้เกิดบรรทัดฐานของกฎเกณฑ์ของกฎหมายผังเมืองที่สูงต่ำไล่เรี่ยกัน โดยกฎเกณฑ์ของกฎหมายผังเมืองที่อยู่ต่ำจะละเมิดต่อกฎเกณฑ์ของกฎหมายผังเมืองที่สูงกว่าไม่ได้

เมื่อการทำผังเมืองเป็นอำนาจของเทศบาลท้องถิ่น ทำให้แต่ละเทศบาลมีอำนาจในการจัดทำผังเมืองร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติการทำผังเมืองโดยเทศบาลนั้นอาจจะร่วมกันทำผังเมืองในระดับที่ใหญ่กว่าเทศบาลของตนเองก็ได้ ในขณะที่เทศบาลไหนมีพลเมืองอาศัยอยู่น้อย กฎหมายก็กำหนดยกเว้นให้ไม่ต้องทำผังเมืองก็ได้ โดยอาจจะทำเป็นเพียงแผนที่การใช้ประโยชน์ก็เพียงพอ

ผังเมืองท้องถิ่นประกอบไปด้วยรายงาน เอกสารนำเสนอต่างๆ กฎ และแผนที่ ซึ่งเป็นสารทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นกฎหมายลำดับรองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัตถุประสงค์ของการจัดทำผังท้องถิ่นนั้นเป็นเรื่องของการวางแผนระยะกลาง ไม่ใช่การทำแผนแบบวันต่อวันหรือทำเมื่อขั้วการเมืองท้องถิ่นเปลี่ยน แต่เพื่อให้มีทิศทางที่ชัดเจนในการบริหารการใช้ประโยชน์พื้นที่ภายใต้เขตผังเมือง

ในผังเมืองท้องถิ่นในปัจจุบันก่อนการจะใช้บังคับต้องมีการจัดทำรายงาน EIA เสียก่อน โดยการจัดทำรายงาน EIA นั้นเริ่มต้นในปี 1975 แต่เวลานั้นยังไม่ได้เอามาใช้ในการจัดทำผังเมืองท้องถิ่น แต่ในปัจจุบันก็ถูกรวมมาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำผังเมือง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไอเดียดังกล่าวเป็นไอเดียหนึ่งของการให้ความสำคัญเรื่องความงาม

ตัวกฎที่ปรากฏอยู่ในผังเมืองท้องถิ่นนั้นจะมีลักษณะเป็นทางเลือกและข้อบังคับที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดก็คือ การแบ่งโซน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งการใช้งานที่ดินตลอดพื้นที่ต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในสภาพเวลาปัจจุบัน ผลของการแบ่งโซนนี้นำมาสู่การวางข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามความเหมาะสมในแต่ละโซน

นอกจากข้อบังคับแล้ว ในกฎของผังเมืองยังมีกฎในลักษณะเป็นทางเลือก เช่น การกำหนดสีและวัสดุอาคารที่นำมาใช้ เป็นต้น โดยกรณีของกฎลักษณะนี้ไม่ได้มีผลบังคับ

ในส่วนของข้อกำหนดในลักษณะนี้เกิดขึ้นจากการกระจายอำนาจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างท้องถิ่นต่างๆ ที่ต้องการให้ท้องถิ่นของตนเองมีความสวยงามและดึงดูดการท่องเที่ยว

ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตปารีสมีคดีเกิดขึ้นว่า สภาพอาคารที่เปลี่ยนแปลงไปของห้างสรรพสินค้านั้นไม่ได้มีลักษณะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งศาลปกครองชั้นอุทธรณ์สั่งให้ผิดและเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร แต่ในศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าสอดคล้องแล้วกับกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายผังเมือง (คำวินิจฉัยนี้ศาลน่าจะต้องการสื่อว่าในส่วนที่เป็นกฎในลักษณะข้อบังคับที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดนั้นถูกต้องแล้ว)

กฎเกณฑ์ทางผังเมืองมีลำดับศักดิ์และลำดับชั้นที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับลำดับชั้นของกฎหมายทั่วไป ซึ่งกฎเกณฑ์ระดับล่างต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ระดับบน (conformité) แต่หลักการดังกล่าวนั้นมีข้อยกเว้น ตามหลักความสอดคล้อง (comptabilité) ซึ่งหากกฎเกณฑ์ดังกล่าวหากไม่ได้ขัดกันอย่างมีนัยสำคัญก็สามารถทำได้ ซึ่งแสดงให้เห็นบทบาทของ soft law ในระบบกฎหมายฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมีแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองที่พิจารณาในแง่ของความร้ายแรงเป็นเหตุสำคัญในการเพิกถอนใบอนุญาต กล่าวคือ หากการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยก็จะไม่เพิกถอนใบอนุญาต

แม้ soft law จะไม่ได้มีสถานะทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องยอมรับและนำมาปรับใช้ในระดับหนึ่ง โดยอาจเทียบได้กับไอเดียของ กฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรปที่แบ่งเป็น “regulation” กับ “directive” ที่เปิดช่องให้รัฐสมาชิกนำไปปรับตามความเหมาะสมในบริบทของตนเอง[1]

นอกเหนือจากการจัดทำผังเมืองแล้ว เรื่องสำคัญอีกอย่างที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองก็คือ การขอใบอนุญาตก่อสร้าง ทำลาย และปรับปรุงอาคาร ซึ่งเป็นมิติของคำสั่งทางปกครอง (แตกต่างกับผังเมืองที่เป็นเรื่องของกฎ)

การขออนุญาตก่อสร้างอาคารไม่ได้นำมาใช้กับทุกกรณี โดยกฎหมายกำหนดว่าถ้าเป็นที่ดินที่ไม่เกิน 20 ตารางเมตร ให้ใช้วิธีการแจ้งให้ทราบว่าจะดำเนินการทำอะไร แต่ถ้าน้อยกว่า 5 ตารางเมตรก็ไม่ต้องดำเนินการใดๆ เลย เจ้าของที่ดินสามารถดำเนินการได้เลย เช่นเดียวกันการทุบอาคารก็จำเป็นต้องขออนุญาต โดยเฉพาะอาคารที่อยู่ใกล้กับพื้นที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ฝ่ายปกครองพิจารณาว่าสามารถทำได้หรือไม่

บรรดาใบอนุญาตนี้อยู่ภายใต้กรอบกฎเกณฑ์กฎหมายผังเมืองที่ต่ำที่สุดแล้ว ฉะนั้น ในทางปฏิบัติการพิจารณาอนุญาตจึงต้องพิจารณากฎเกณฑ์แห่งกฎหมายผังเมืองในทุกระดับประกอบ

ตัวบทมาตราหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ R111-21 ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายผังเมืองในปี 1950 – 1960 เกี่ยวกับความงามโดยตรง “การออกใบอนุญาตต่างๆ จะต้องคำนึงถึงเงื่อนไขการก่อสร้างของพื้นที่ๆ อยู่ใกล้เคียงจะถูกลดคุณค่าลง หน่วยงานฝ่ายปกครองจะไม่อนุญาตก็ได้” แม้ในทางปฏิบัติศาลปกครองจะใช้มาตรานี้เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตไม่บ่อยก็ตาม แต่ก็มีอยู่บ้างที่ศาลปกครองนำมาใช้

นอกจากเรื่องผังเมืองและใบอนุญาตแล้ว การพัฒนาเมืองมีอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ เรื่องของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ในประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก็มีกฎหมายที่กำหนดเขตพื้นที่สีเขียวเช่นเดียวกัน ซึ่งจะอยู่ในกรณีของกฎหมายอุทยานแห่งชาติ แต่ในเขตเมืองก็มีการพยายามนำแนวคิดของพื้นที่สีเขียวมาใช้ผังเมืองเช่นเดียวกัน โดยในปี 2021 กฎหมายเกี่ยวกับการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของฝรั่งเศสกำหนดให้ต้องจัดทำพื้นที่สีเขียวของอาคารดาดฟ้าหรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง[2]

ความงามกับภูมิประเทศ

Prof. Jacqueline ผู้บรรยายมองเรื่องนี้ว่ามีความสลับซับซ้อนและเป็นอัตวิสัยพอสมควร รวมถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเลขาคณิต แต่หากพิจารณาไอเดียหลักของเรื่องนี้แล้วก็คือ มันเป็นเรื่องของความสอดคล้องกลมกลืน ซึ่งได้ยืนยันหลักการความงามนี้มาตลอด ตัวอย่างของกฎหมายในลักษณะนี้ เช่น อนุสัญญาด้านภูมิประเทศของสหภาพยุโรป ซึ่งรับรองว่าบุคคลมีสิทธิจะอยู่ในภูมิประเทศที่ดี เป็นต้น

ถ้อยคำว่า ภูมิประเทศนั้นไม่ใช่ข้อความคิดในทางกฎหมายเสียทีเดียว แต่ก็อาจจะนำมาใช้ในประเด็นทางกฎหมายได้ โดยภูมิประเทศนั้นให้ความสำคัญกับภูเขากับแหล่งน้ำ (ทะเล) ซึ่งเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเหมือนกันจากการพัฒนาพื้นที่เข้าไปใช้ประโยชน์ของมนุษย์ในการใช้ประโยชน์ภูเขาและทะเลเพื่อพักผ่อน ทำให้เกิดผลกระทบด้านความงามกับพื้นที่ทั้งสอง

เมื่อพื้นที่ทั้งสองถูกกระทบมากๆ ทำให้จำเป็นต้องมีการสร้างเครื่องมือทางกฎหมายขึ้นมาเพื่อดูแล โดยประเทศฝรั่งเศสได้มีการออกรัฐบัญญัติขึ้นมา 2 ฉบับ โดยเป็นรัฐบัญญัติเกี่ยวกับภูเขา และรัฐบัญญัติเกี่ยวกับพื้นที่ทะเล

กฎหมายว่าด้วยภูเขานั้นรวมถึงการจัดการบนที่ราบสูง โดยคณะกรรมการที่มาจากคนในท้องถิ่น โดยกฎหมายพัฒนาหลักการว่า “การพัฒนาพื้นที่ควรจะพิจารณาโดยคนในชุมชน และขยายการพัฒนาจากพื้นที่ชายขอบของชุมชน” เพื่อไม่ให้การพัฒนากระจายเป็นหย่อมๆ และเป็นการรบกวนระบบนิเวศน์บนภูเขา

อย่างไรก็ดี หลักการดังกล่าวนั้นทำให้เกิดปัญหาในกฎหมายสิ่งแวดล้อม ในเรื่องการหาพลังงานทดแทน โดยเฉพาะจากกังหันลม ซึ่งโดยทั่วไปนั้นสร้างมลพิษทางเสียงให้กับชุมชน ทำให้ในการสร้างพื้นที่กังหันลมผลิตไฟฟ้าต้องย้ายออกไปสร้างในพื้นที่ห่างไกล ฉะนั้น การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอาจจะไม่เคร่งครัด

นอกจากหลักการดังกล่าวแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังได้สร่างหลักการว่า กรณีของทะเลสาบนั้นห้ามสร้างสิ่งก่อสร้างบนทะเลสาบต่อจากพื้นที่ดินทะเลสาบ 100 เมตร เพื่อลดความกระด้างของกฎหมายฉบับนี้ฝรั่งเศสได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาชื่อว่า UNT เพื่อเข้ามาช่วยดูแลจัดการที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในส่วนของกฎหมายทะเลนั้นมุ่งไปที่การคุ้มครองและรักษาภูมิประเทศมากกว่า โดยเข้ามากำหนดเงื่อนไขการก่อสร้างในพื้นที่ทะเลบนเงื่อนไขของการรักษาภูมิประเทศ ทำให้อาจก่อสร้างได้เล็กน้อย ส่วนในพื้นที่ชายฝั่งนั้นอาจจะก่อสร้างโดยขยายเขตเมืองได้เพียงเล็กน้อยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายผังเมืองอนุญาตให้ทำ

นอกจากกรณีทั้งสองข้างต้นแล้ว อาจจะมีกรณีของพื้นที่ๆ มีลักษณะโดดเด่น ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ก่อสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่ฝรั่งเศสนำมาใช้ก็คือ องค์การมหาชนที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลโดยการซื้อที่ดินจากเอกชนมาเพื่อนำที่ดินมาดูแล และหากไม่สามารถซื้อได้อาจจะเวนคืนและจ่ายค่าชดเชย (เพื่อประโยชน์สาธารณะ) ซึ่งเป็นแนวคิดอย่างหนึ่งในการอนุรักษ์ และทำให้สาธารณชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์

อื่นๆ

นอกเหนือจากประเด็นทั้งสามข้างต้นแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับเรื่องความงามอื่นๆ เช่น กฎหมายให้ต้องเอาสายไฟฟ้าแรงสูงลงใต้ดิน หรือกฎหมายที่กำหนดให้เจ้าของอาคารจะต้องทำความสะอาดหน้าอาคารของตนทุกๆ 10 ปี เป็นต้น

ประการสุดท้ายเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดแล้วเห็นว่ามันมีความไม่สวยงาม กฎหมายของประเทศฝรั่งเศสก็มีการกำหนดกรอบของการจัดทำป้ายในลักษณะดังกล่าวด้วย

บทสรุปของเรื่องในวันนี้ ความภายในเขตเมืองมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ ซึ่งหากสามารถควบคุมให้เมืองมีความสวยงามก็จะทำให้ประชาชนมีความสุขได้ อย่างไรก็ดี การควบคุมผังเมือง อาคาร และสิ่งแวดล้อมก็ควรให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่และบรรดา NGOs ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพื้นที่

ในทางกฎหมายสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ไอเดียเรื่องสิ่งแวดล้อมยอมรับกันว่า ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมกลายมาเป็นผู้ทรงสิทธิในทางกฎหมาย ซึ่งก็น่าสนใจว่าวันหนึ่งจะเอาความงามมาเป็นผู้ทรงสิทธิในเรื่องสิ่งแวดล้อม


Note

[1] อ.พิรุณา อธิบายว่า ในประเด็นนี้ผู้บรรยายอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะการเปรียบเทียบ Directive ของสหภาพยุโรปกับ “Soft Law” นั้นอาจจะไม่ถูกต้อง เนื่องจาก Directive นั้นมีสถานะเป็นกฎหมายลำดับรองรูปแบบหนึ่งของสหภาพยุโรป โดยกำหนดให้รัฐสมาชิกมีหน้าที่ผูกพันต้องปฏิบัติตาม Directive กำหนดไว้ เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ใน Directive เพียงแต่ในกรณีของ Directive นั้นให้อำนาจแก่รัฐสมาชิกไปเลือกรูปแบบและวิธีการในระบบกฎหมายของตนในการ “transpose” ภายใต้ Directive ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และหากรัฐไม่ดำเนินการ “transpose” รัฐอาจถูก EU Comission ดำเนินการฟ้องต่อศาล CJEU ด้วยเหตุบกพร่องในการปฏิบัติตามพันธกรณี (failure to fill obligations) ได้ และหากศาลวินิจฉัยว่าบกพร่องจริง รัฐต้องไปแก้ไขให้ถูกต้อง และคำพิพากษาของศาล CJEU ผูกพันรัฐ ซึ่งหากรัฐไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล CJEU ก็จะถือเป็นอีกเหตุบกพร่องในการปฏิบัติตามพันธกรณี และอาจถูก EU Comission ฟ้องด้วยเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล CJEU ซึ่ง EU Comission สามารถขอให้ศาลสั่งปรับรัฐได้ด้วย ในลักษณะเดียวกันกับโทษปรับทางปกครอง.

[2] ประเทศฝรั่งเศสก็มีผังเมืองเฉพาะ ในด้านเฉพาะๆ (ตรงนี้อาจจะแตกต่างจากประเทศไทย).

แด่การจากไปของ ดร.มารวย

ผมไม่ได้เคยมีโอกาสรู้จักกับ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ โดยตรง แล้วในช่วงที่ผู้เขียนเติบโตขึ้นมาก็ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ ดร.มารวย เป็นการส่วนตัว แต่จากที่ได้ลองไปค้นคว้าประวัติของท่าน เพื่อใช้เขียนเป็นชีวประวัติขนาดสั้นของท่าน เพื่อที่จะนำเสนอในเว็บไซต์ของสถาบันปรีดี ทำให้ได้รู้จัก ดร.มารวย ในฐานะบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญกับวงการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2535 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาวงการตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ข้อเขียนขนาดสั้นนี้จึงเป็นการเขียนขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลชีวประวัติของท่าน เพื่อระลึกถึงในโอกาสการจากไปของ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์

ชีวิตวัยเด็กกับการโยกย้ายไปมา

ดร.มารวย เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2472 (ช่วงเวลา 3 ปี ก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง) ที่ตำบลห้วยสัก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเป็นบุตรของนายมา และนางถนอม ผดุงสิทธิ์ ในช่วงวัยเด็กของ ดร.มารวย นั้นมีการโยกย้ายที่อยู่หลายครั้งตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการอยู่ในกรมรถไฟ (การรถไฟแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น) โดยเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และได้มีการย้ายโรงเรียนตามบิดาอีกหลายครั้งจนกระทั่งได้เข้ามาศึกษาที่กรุงเทพมหานครภายหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ณ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ

ในขณะกำลังเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ได้หยุดเรียน และเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ซึ่ง ดร.มารวย ได้เคยมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวในช่วงหลังสงครามจบลงนั้น ‘คุณดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล’ ถึงช่วงเวลาในวัยเด็กและความดีใจของคนไทยในเวลานั้นเรื่องสงครามสิ้นสุดลงและคุณูปการของเสรีไทยและ ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ที่ขับเคลื่อนและดำเนินขบวนการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ท่านมีความสนใจเรื่องราวของนายปรีดี พนมยงค์ นับตั้งแต่นั้น

เมื่อสงครามจบลง ดร.มารวย จึงได้เดินทางกลับมาศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาต่อโดยได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ในรุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย แต่เมื่อบิดาล้มป่วยและออกจาราชการก็ทำให้ครอบครัวยากลำบาก ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้ลาออกจากการเรียนต่อและหาเริ่มต้นประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว

การเริ่มต้นทำงานในรับราชการและนิสัยการเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

ในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน ดร.มารวย เริ่มต้นทำงานในกรมรถไฟ ในเวลาต่อมาจึงได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่กรมชลประทาน และกรมบัญชีกลางตามลำดับ ซึ่งในขณะนั้นก็ได้สอบมีโอกาสสอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และสมัครเข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี 2504 และได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักบัญชี สังกัดกองระบบบัญชี กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งในเวลานั้นได้กระทรวงการคัลงได้มีทุนการศึกษาให้ข้าราชการไทยไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้สมัครสอบชิงทุนของกระทรวง และได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยซีราคิว (Syracuse University) มลรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาก็ได้กลับมาปฏิบัติงานต่อ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนและรักในการศึกษา เมื่อปฏิบัติงานอยู่ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อมีโอกาสก็จะเขียนบทความด้านวิชาการต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความคิดเป็นประโยชน์ลงในวารสารวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก เวลาที่ ดร.มารวย ต้องการหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการค้นคว้าก็จะได้เดินทางไปค้นคว้าข้อมูลประกอบที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่เสมอ

การไปค้นข้อมูลเพื่อนำมาเขียนบทความด้านวิชาการนั้นทำให้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ทราบว่าจะมีโครงการเตรียมจัดตั้งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เพื่อเปิดสอนด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโท ซึ่ง ดร.มารวย ได้ให้ความสนใจ และได้สอบชิงทุนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านการบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2515 และกลับมาเป็นอาจารย์ประจำที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงที่เรียกว่าเป็น “ยุคเริ่มวางรากฐานและพัฒนา” โดยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 5 (2528 – 2535) เวลานั้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังตั้งอยู่ ณ อาคารสินธร ถนนวิทยุ

เมื่อเริ่มรับตำแหน่งในปี 2558 ดร.มารวย ได้อธิบายสถานการณ์ในเวลานั้นว่าเป็นช่วงที่ฐานะการเงินของประเทศกำลังประสบปัญหา ซึ่งในเวลานั้นสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้จัดสัมมนาเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทย การสัมมนาในครั้งนั้นทุกคนค่อนข้างมองอนาคตของประเทศไทยไปในทิศทางที่ถดถอยหรือเศร้าหมอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการบริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในช่วงปี 2529 ประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 5 ครั้ง และรัฐบาลให้ความสนใจที่จะพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง ซึ่งนำมาสู่การปรับลดอัตราภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง และแก้ไขระเบียบการปริวรรตเงินตราเพื่อส่งเสริมผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเป็นลำดับทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2529 เพิ่มขึ้นเป็น 29,848.22 ล้านบาท และดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิด ณ สิ้นปีระดับ 207.20

ในแง่บรรยากาศการทำงานในช่วงเวลาที่ ดร.มารวย ทำงานเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นได้พยายามสร้างบรรยากาศการทำงานที่ให้โอกาสทุกคนได้แสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมกับการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตน

“ปรัชญาการทำงานของผมกับพนักงานก็คือ เราจะทำงานกันเป็นทีม การตัดสินใจนั้นทุกคนมีส่วนร่วม โดยผมจะเป็นผู้รับผิดชอบตามหน้าที่ และให้มีการกระจายความรับผิดชอบให้มากที่สุด”

นอกจากการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย มีบทบาทสำคัญในงานพัฒนาเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งการซื้อขายที่ยุติธรรม โดยการพัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์ให้ระบบมีความยุติธรรม และมีประสิทธิภาพโดยนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2534 และเริ่มพัฒนาระบบการให้บริการหลังการซื้อขายให้มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มเปิดรับฝากหุ้นจากบริษัทสมาชิกเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2531

ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ ดร.มารวย ในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์คือ การเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์และพัฒนาตราสารใหม่ๆ เช่น รณรงค์ให้กิจการต่างๆ เข้าใจและสนใจที่จะจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับหอการค้าจังหวัดและสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ให้รับหุ้นกู้แปลสภาพและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrants) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางธุรกิจ

นอกจากงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรงแล้ว ดร.มารวย ยังมีส่วนเข้าไปช่วยเหลือการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ในมุมอื่น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนระยะยาว เช่น การสนับสนุนให้จัดตั้งสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในปี 2533 และสนับสนุนสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อจัดตั้งสถาบันจัดอันดับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ในเวลาต่อมา

แม้การขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานั้นหลายอย่างเมื่อมองย้อนไปจากเวลาในปัจจุบันนั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในเวลานั้นต้องถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2517 ให้มีความมั่นคงและเป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนในระยะยาวของประเทศอย่างมีคุณภาพ การบริหารตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นยังเป็นความท้าทายค่อนข้างมาก และในเวลานั้นยังไม่มีองค์กรกำกับกิจการหลักทรัพย์แบบสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ ดร.มารวย ดำรงตำแหน่งอยู่นั้นมีความคึกคักมากโดยเฉพาะในช่วงปี 2530 มีการเข้ามาเก็งกำไรมาก ทำให้เกิดการซื้อขายในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม และยังขาดมาตรการที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการบริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลอดช่วงเวลาที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นั้น ดร.มารวย ได้ผ่านสถานการณ์สำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนของประเทศ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2528 เหตุการณ์  “Black Monday” ที่ราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดต่างประเทศยาวนานกว่า 2 เดือนโดยเริ่มต้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2530 เหตุการณ์ “Mini Black Monday” ที่เกิดจากตลาดต่างประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม 2532 และส่งผลต่อราคาหุ้นไทยวันทำการวันแรก (วันจันทร์) หลังจากวิกฤตการณ์คือ 16 ตุลาคม 2532 เหตุการณ์วิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย ในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน ตลาดเงิน และตลาดหุ้นทั่วโลก บทบาทของ ดร.มารวย ในฐานะของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นมีความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการท่ามกลางวิกฤตการณ์  อย่างไรก็ตาม ข้อคิดสำคัญที่ ดร.มารวย ให้ไว้ในการบริหารตลาดหลักทรัพย์ในช่วงวิกฤตก็คือ การประสบความสำเร็จของตลาดหลักทรัพย์เป็นผลงานจากการทำงานของคนทุกฝ่ายและการทำงานร่วมกันเป็นทีม มิใช่ผลงานของบุคคลหนึ่งบุคคลใด

“ตลาดหลักทรัพย์ของเราประสบความสำเร็จได้มาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายและการทำงานเป็นทีม มิใช่ทำงานด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผู้จัดการคนใหม่ก็จะทำงานในระบบตามแนวที่วางไว้ ผู้จัดการมาแล้วก็ไป แต่พนักงานประจำนั้นต้องอยู่ตลอดไป ขอให้ทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่า ตราบใดที่มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน อุทิศกำลังกายกำลังใจในการทำงาน มองไกลไปข้างหน้าตลาดหลักทรัพย์ของเราก็พัฒนาตลอดไป”

บทบาทความสำคัญของ ดร.มารวย ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นมีความสำคัญอย่างมาก และเพื่อเป็นเกียรติให้กับ ดร.มารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น “ห้องสมุดมารวย” เพื่อเป็นเกียรติแด่ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย กับ ดร.ปรีดี

นอกจากงานด้านวิชาการและงานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย ก็ให้ความสำคัญกับงานทางสังคมต่างๆ และงานด้านหนึ่งที่ท่านให้ความสำคัญก็คือ การเชิดชูเกียรติของ ‘ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์’ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทย โดยการรับอาสาเป็นประธานมูลนิธิในช่วงปี 2554 – 2557 โดยท่านมีผลงานสำคัญในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานครบรอบชาตกาล 110 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ อีกทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้งวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ ดร.มารวย ได้ให้ความเคารพและได้รู้จักในวัยเด็ก ความกรุณาของ ดร.มารวย ต่อมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ มีอยู่อย่างมาก แม้จะล่วงเลยในวัยชรา 90 ปีแล้ว แต่การได้สนับสนุนเรื่องราวของ ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นั้นเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญมาก

บทบาทของ ดร.มารวย ในสังคมไทยนั้นยังมีอยู่อีกมากมายหลายด้าน และเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาสามัญคนอื่นๆ นั้นเมื่อจากโลกนี้ไปก็มีเพียงแต่คุณงามความดีเท่านั้นที่จะให้คนรุ่นถัดไปได้ระลึกถึง ซึ่ง ดร.มารวย นั้นก็เป็นต้นแบบหนึ่งของบุคคลที่มีคุณงามความดีให้บุคคลได้ระลึกถึง ทั้งในความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน และความพยายามในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


อ้างอิงจาก

  • ตรี ภวภูตานนท์ “นักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ 8 หรือ 500” ใน สุโข สุวรรณศิริ และสมาน ศักดิ์สงวน  (บรรณาธิการ) ปรีดีสารฉบับพิเศษ งานรำลึก ปรีดี พนมยงค์ 66 ปี ต.ม.ธ.ก. ในโอกาส ม.ธ.ก. 70 ปี (ชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์ 2543).
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 6 ปี ของ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กับงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์(ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2535).
  • บุญลาภ ภูสุวรรณ, “การเดินทางแห่งชีวิต” ร้อยเรียงเรื่องเล่า 30 ปี (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) (บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) 2548).
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ‘รู้จัก ก.ล.ต.’ (ก.ล.ต.) https://www.sec.or.th/TH/Pages/AboutUs/TheFoundationoftheSEC.aspx สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ‘บุคคลสำคัญของท้องถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์’ http://webhost.m-culture.go.th/province/prachuapkhirikhan/PDF/770600.pdf สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ‘เกี่ยวกับห้องสมุดมารวย’ (ห้องสมุดมารวย) https://www.maruey.com/about สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.

อ่านความคิด ‘ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี’ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านความมั่นคงของมนุษย์สู่การสร้างรัฐสวัสดิการในประเทศไทย

บทความฉบับนี้เขียนขึ้น โดยมีเนื้อหาจากงานวิจัยที่ชื่อว่าความหมายที่ปลายรุ้งกระบวนการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศรัฐสวัสดิการภายใต้วิกฤตเสรีนิยมใหม่ของษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ความมุ่งหมายจะสรุป ถึงประเด็นสำคัญก็คือความมั่นคงของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับคุณค่าและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของรัฐ อาจมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้นั้นไม่อาจละเลยความมั่นคงของมนุษย์ได้ และหนทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงนั้นก็คือรัฐสวัสดิการ

ความมั่นคงของมนุษย์ที่ไม่มั่นคง

ในงานวิจัยฉบับนี้ ‘ษัษฐรัมย์’ ได้ชี้ให้เห็นข้อวิจารณ์สำคัญของรัฐสวัสดิการประการหนึ่งคือ เรื่องต้นทุนของการดำเนินการเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการไว้ว่า “รัฐสวัสดิการ” มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นทางเลือกของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สามารถคงอยู่ได้จากหลายเงื่อนไขเฉพาะ เช่น ประเภทของเศรษฐกิจ ลักษณะประชากร และวัฒนธรรม เป็นต้น

ในขณะที่แนวทางการพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่เป็นแนวทางที่สากลกว่าและสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสภาพเศรษฐกิจ ลักษณะนโยบายแบบรัฐสวัสดิการจึงเป็นนโยบายที่แพงและเกิดขึ้นได้ในบางประเทศเท่านั้น ขณะที่พื้นที่อื่นๆ สามารถพัฒนาด้วยรูปแบบอื่นที่ถูกกว่าและได้ผลไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่ที่จำกัดบทบาทของรัฐให้เป็นผู้รับผิดชอบน้อยที่สุด และเก็บภาษีน้อยที่สุดเพื่อเพิ่มแรงจูงใจการสะสมทุนของกลุ่มทุนต่างๆ โดยพยายามให้สวัสดิการเป็นสิ่งที่รับผิดชอบโดยปัจเจกบุคคลให้มากที่สุด ผ่านการบริหารจัดการของตนเองผ่านค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการออมเงินในกองทุนต่างๆ เพื่อใช้ในการเกษียณอายุ การซื้อประกันสุขภาพ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าในที่อยู่อาศัยของปัจเจกชนเอง 

ดังนั้น รัฐจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนในความมั่นคงของมนุษย์เพียงแค่เปิดตลาดเสรี เกิดการแข่งขัน จ้างงาน และปัจเจกชนมีรายได้ก็สามารถรับผิดชอบตนเองได้นั้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศเศรษฐกิจใหม่นั้นทำให้เกิด “กลุ่มแรงงานเสี่ยง” ที่ไร้อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและการเมือง ไร้หลักประกันทางสังคม โดยที่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจถูกผูกขาดไว้โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่

ประเทศการเติบโตทางเศรษฐกิจความสามารถในการบริโภค (อันดับ)ดัชนีการพัฒนามนุษย์(อันดับ)
จีน6.5884.2290
อินเดีย7.6703.51131
บราซิล– 3.2704.8479
รัสเซีย– 0.7604.1649

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรากฏในประเทศเศรษฐกิจใหม่แม้จะมีสัดส่วนที่สูง แต่เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ แล้วกลับไม่ได้พัฒนาขึ้นแต่อย่างใด ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น แม้จะมีรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มมากขึ้น

บริบทของสังคมไทยปัจจุบันนั้น มีลักษณะคล้ายกับความมั่นคงของมนุษย์ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องความรับผิดชอบของปัจเจกชนเองมากกว่าการดูแลแบบรวมหมู่โดยรัฐ ซึ่งทำให้บทบาทของรัฐน้อยลง โดยผลักให้เป็นเรื่องของกลไกตลาดเข้ามาจัดการ ผลจากการที่ภาครัฐปล่อยให้การจัดสรรเป็นไปตามกลไกตลาด ความไม่มั่นคงทั้งหมดจึงตกอยู่กับปัจเจกบุคคลที่จะต้องจัดสรรรายได้จากการจ้างมาใช้เพื่อสะสมทุน และสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต และเมื่อความผันผวนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นปัจเจกบุคคลก็ต้องรับความเสี่ยงไปด้วยตนเองเช่นกัน สภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านการเกิดขึ้นของวิกฤตการณ์ที่ค่าเงินเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะเงินเฟ้อ

รัฐสวัสดิการคือหนทางของความมั่นคงของมนุษย์

ในงานวิจัยฉบับนี้ ‘ษัษฐรัมย์’ ได้ชี้ให้เห็นว่า หนทางของการสร้างความมั่นคงของมนุษย์ ก็คือการพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการขึ้นมา ดังจะเห็นได้จากประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงของรัฐ และความมั่นคงของมนุษย์สามารถเติบโตไปด้วยในทิศทางเดียวกัน

ประเทศการเติบโตทางเศรษฐกิจดัชนี GINIความสามารถในการบริโภคดัชนีการพัฒนามนุษย์ (อันดับ)
สวีเดน3.5502.73914
นอร์เวย์0.8572.59241
ฟินแลนด์0.9032.711623
เดนมาร์ก1.0132.91195

การเติบโตทางเศรษฐกิจกับแนวทางรัฐสวัสดิการสามารถไปด้วยกันได้ และแนวทางรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการวางเงื่อนไขความมั่นคงของมนุษย์ไปพร้อมกันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่แนวทางตลาดเสรีนิยมใหม่ มักวางเงื่อนไขให้ปัจเจกชนและความมั่นคงของมนุษย์และการเติบโต โอกาสทางเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งตามจริงแล้วหากใช้แนวทางแบบรัฐสวัสดิการสามารถผลักดันให้เงื่อนไขหลายอย่างเกิดขึ้นได้พร้อมกัน โดยมีรัฐเข้ามาช่วยในการสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงของมนุษย์

อุปสรรคของการไม่เกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการไทย

การเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรนั้น ช่วยสร้างความมั่นคงของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้  ทว่า ภายใต้บริบทของสังคมไทยนั้นอุปสรรคสำคัญของการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรมีปัจจัย 3 ประการด้วยกันดังนี้

ประการแรก กระบวนการทำให้ยอมจำนนในวัฒนธรรมทางการเมืองและการไร้อำนาจต่อรอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความตระหนักถึงสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ที่เสมอกันในสังคมอันเป็นคุณค่าพื้นฐานของการเกิดรัฐสวัสดิการ การตระหนักถึงสิทธิแห่งความเสมอภาคนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 

ทว่า ในบริบทของสังคมไทยนั้นกระบวนการดังกล่าวถูกทำลายโดยชนชั้นนำของไทยในเวลาต่อมา แม้ว่าระบอบการปกครองจะมีลักษณะเสมือนประชาธิปไตย กล่าวคือ มีการเลือกตั้งและมีตัวแทน แต่ประชาชนถูกทำให้ไม่ตระหนักถึงอำนาจของตนหรือสิทธิในการต่อรอง ซึ่งถูกปลูกฝังผ่านข้าราชการในระดับท้องถิ่น ระบบการศึกษา และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบรวมศูนย์ สถานะของประชาชนจึงเป็นเพียงแต่ “วัตถุ” ที่ถูกควบคุมภายใต้ผู้มีอำนาจ การสร้างรัฐสวัสดิการจึงมีลักษณะแบบบนลงล่างขึ้นกับผู้มีอำนาจจะดำเนินการให้ จึงเกิดระบบสวัสดิการแบบสังคมสงเคราะห์ การพิสูจน์ความจน หรือสวัสดิการแก่กลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าราชการ เป็นต้น

ประการที่สอง การไม่ตระหนักถึงราคาของความไม่เท่าเทียม อันเป็นผลมาจากการครอบงำโดยชนชั้นนำที่นิยมกลไกตลาดแบบสุดโต่ง เพื่อประโยชน์ในการผูกขาดทรัพยากรแล้ว การไม่ตระหนักถึงราคาของความไม่เท่าเทียมยังปรากฏในรูปแบบของการไม่เติบโตทางเศรษฐกิจ

เนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าราคาของการจัดการความไม่เท่าเทียมมีราคาที่สูง เช่น การปราบปรามความขัดแย้งจากความเหลื่อมล้ำ การสูญเสียทรัพยากรมนุษย์จากการถูกวางเงื่อนไขให้ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ชนชั้นนำตระหนักว่าการผูกขาดการใช้อำนาจสร้างความเหลื่อมล้ำเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการรักษาสถานะ การที่ชนชั้นนำไทยไม่ตระหนักถึงราคาของความเหลื่อมล้ำทำให้หนทางในการรักษาสถานะของพวกเขาวนเวียนอยู่กับวิธีการแบบเดิม คือ การผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ

ประการที่สาม การขาดจิตสำนึกรวมหมู่ในชีวิตประจำวัน เนื่องมาจากเงื่อนไขข้างต้นทั้งสองประการ ทำให้สภาพการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยโดยทั่วไป คือ การพยายามเอาตัวรอดจากความเปราะบาง การพยายามก่อกำแพงให้ตนเองปลอดภัย ทั้งในระดับประชาชนทั่วไปและชนชั้นนำ ต้นทุนในการต่อสู้เรียกร้องมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากการถูกปราบปรามโดยอำนาจรัฐที่ผูกขาดโดยชนชั้นนำ และต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของอำนาจรัฐและทุน

กระแสเสรีนิยมใหม่ทำให้ต้นทุนในการใช้ชีวิตสูงขึ้น การแสวงหากำไรในธุรกิจที่ไม่เคยเป็นสินค้าอย่างเข้มข้น เช่น การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการพักผ่อน เป็นต้น ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นสินค้าที่มีราคา เงื่อนไขข้างต้นนี้ทำให้ปัจเจกบุคคลอยู่ในสภาพปลอดการเมืองโดยปริยาย การรวมกลุ่มในลักษณะต่างๆ จึงมีต้นทุนที่สูงทำได้ยาก ทางออกคือการต่อสู้ในลักษณะของปัจเจกบุคคล ซึ่งโดยรวมขาดพลังและไม่ก่อให้เกิดนโยบายการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง

ข้อเสนอแนะต่อรัฐไทยในการสร้างความมั่นคงของมนุษย์

นโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร ไม่ใช่นโยบายทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง หากวางอยู่บนความเป็นประชาธิปไตยทางการเมืองและปรัชญามนุษย์นิยม การพัฒนานโยบายนี้ในประเทศไทยจึงไม่ใช่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยเครื่องมือเท่านั้น เงื่อนไขสำคัญโดยสรุปในการวางรากฐานให้เกิดนโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรประกอบไปด้วยเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ประการแรก ปรัชญามนุษย์นิยม ซึ่งเกิดจากความยอมรับร่วมกันในสังคมว่า ความวัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากมีการละทิ้งความมั่นคงของมนุษย์ สวัสดิภาพ สวัสดิการของมนุษย์ในสังคมเศรษฐกิจของประเทศย่อมไม่สามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้ หากประชากรส่วนใหญ่ถูกกองไว้กับความยากจน หนี้สิน และ ความสิ้นหวัง

ความมั่นคงทางการเมืองย่อมไม่เกิดขึ้น หากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอย่างไร รวมถึงไม่สามารถเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยข้อจำกัดทางชาติกำเนิดและฐานะทางเศรษฐกิจ และ ที่สำคัญมนุษย์สามารถเอาชนะข้อจำกัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้ด้วยการก้าวสู่สังคมที่โอบอุ้มมนุษย์ร่วมกันโดยไม่จำต้องปล่อยคนทิ้งไว้เบื้องล่าง กลไกตลาดและระบบเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์แก่ทุนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเท่านั้นที่หาใช่สัจจะนิรันดร์ที่มนุษย์ต้องยึดถือเพียงตัวเลือกเดียว

ประการที่สอง การกระจายอำนาจ ความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการกระจายการตัดสินใจเชิงนโยบายสู่ประชาชน หัวใจสำคัญคือการเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นการเพิ่มระดับพรรคการเมืองที่ผูกติดกับการตัดสินใจในระดับมวลชนมากกว่าพรรคการเมืองของชนชั้นนำ

ประการที่สาม การปฏิรูปเงื่อนไขเบื้องต้นทางเศรษฐกิจ แม้ว่ารัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานปรัชญามนุษย์นิยม และการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยในทุกระดับ แต่การจัดลำดับนโยบายทางเศรษฐกิจก็มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอันดับแรก การจะไปให้ถึงรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร จำเป็นจะต้องมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ การปฏิรูปกฎหมายแรงงาน และการเกิดพรรคแรงงานที่เชื่อมรอยต่อการต่อสู้แต่ละสถานประกอบการเข้าหากันและกัน และผลักดันนโยบายสู่วาระสาธารณะ

สรุปจาก “ความหมายที่ปลายรุ้ง: กระบวนการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศรัฐสวสัดิการใต้วิกฤตเสรีนิยมใหม่ Where is the rainbow ends” โดย ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุตรดี

ถอดบทเรียนรัฐสภาผ่านงาน PRIDI x CONLAB

รัฐสภา เป็นองค์กรสำคัญในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นองค์กรที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบนี้นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 ประเทศไทยจะให้มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของรัฐสภาเปลี่ยนแปลงไปนานอีกหลากหลายรูปแบบในบทความนี้เราจะมาถอดบทเรียนจากงานเวิร์กชอป และย้อนดูพัฒนาการของระบบรัฐสภาในประเทศไทย

รัฐสภาและประเภทของรัฐสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภาโดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างก็ในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 จึงกำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[2] หากเปรียบเทียบกับระบบการปกครองที่มีรัฐสภาแบบต่างประเทศนั้น อาจจะจำแนกประเทศเหล่านี้ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเทศที่มีสภาเดี่ยว และ ประเทศที่มีสภาคู่

 สภาเดี่ยว หมายถึง ประเทศที่มีสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาเพียงสภาเดียว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรมักจะมาจากการเลือกตั้ง แนวทางนี้ในปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมจากประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก

สภาคู่ หมายถึง ประเทศที่รัฐสภาประกอบด้วยสภามากกว่าหนึ่งสภา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมันจะแบบความสัมพันธ์ของสภาทั้งสองออกไปในลักษณะที่เป็นสภาสูงกับสภาล่าง ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา หรือกรณีของประเทศสหราชอาณาจักรที่แบ่งสภาออกเป็น 2 สภา คือ สภาสามัญชน (House of Common) กับสภาขุนนาง (House of Lord)

ความสำคัญของการมีสองสภา

บทบาทหน้าที่ของสภาล่าง หรือ สภาผู้แทนราษฎรนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทุกประเทศนั้นย่อมมีสภาผู้แทนรราษฎรด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนสภาสูง หรือ วุฒิสภานั้น ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง  ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภา มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[3] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่นนายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”

ความสำคัญของการแบ่งออกเป็นสองสภานั้น มีประเด็นในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของสภาทั้งสองที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยมักจะให้อำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่างมีอำนาจมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมักจะมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่าง

ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่มักจะจำกัดอำนาจของวุฒิสภาหรือสภาสูง เนื่องจากสมาชิกโดยส่วนใหญ่ของวุฒิสภาหรือสภาสูงนั้น ในบางกรณีอาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้ง เช่น กรณีของประเทศสหราชอาณาจักรสมาชิกสภาสูง หรือ สภาขุนนางนั้นมาจากการแต่งตั้งจากขุนนาง 2 ประเภท ได้แก่ ขุนนางสืบตระกูล และ ขุนนางแต่งตั้ง เป็นต้น

การลดทอนอำนาจของสภาขุนนางในประเทศสหราชอาณาจักรนั้น เป็นไปอย่างมีขั้นตอน โดยเริ่มต้นจากในปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) ได้มีการแก้ไขไม่ให้สภาขุนนางแก้ไขร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน แต่มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบยืนตามสภาสามัญเท่านั้น และต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) กำหนดให้สมาชิกสภาขุนนางสืบตระกูลไม่อาจสืบทอดสมาชิกภาพให้แก่ทายาทได้อีกต่อไป และในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ได้มีการตรา Constitutional Reform Act แก้ไขอำนาจหน้าที่ที่แต่เดิมเป็นของสภาขุนนางทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศ (Final Court of Appeal) เปลี่ยนไปเป็นอำนาจของศาลสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักร (Supreme Court of United Kingdom) ซึ่งเปิดทำการครั้งแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) จึงเป็นการแยกอำนาจตุลาการออกมาอย่างเด็ดขาดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[4] ทำให้บทบาทหน้าที่ของสภาขุนนางในปัจจุบันมีอยู่อย่างจำกัดเพียงแค่กลั่นกรอง และสามารถชะลอการออกกฎหมายได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งโดยธรรมเนียมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศสหราชอาณาจักรนั้น สภาขุนนางไม่เคยใช้อำนาจดังกล่าวเลย และถึงแม้จะใช้อำนาจดังกล่าวหากสภาสามัญชนลงมติยืนยันผ่านกฎหมาย สภาขุนนางก็ไม่มีอำนาจขัดขวาง

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีวุฒิสภาคือสภาสูงอาจมีอำนาจ และบทบาทไม่ได้น้อยไปกว่าสภาผู้แทนราษฎร เช่น ในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภาของประเทศสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งและมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองเช่นเดียวกันกับสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเนื่องมาจาก วุฒิสภาของประเทศสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้ง และมีบทบาทเป็นตัวแทนของมลรัฐ

ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยจะมีอำนาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้นมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากหรือน้อย ความชอบธรรมทางประชาธิปไตยจึงเป็นตัวกำหนดอำนาจของตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าความชอบธรรมทางประชาธิปไตยนั้นเชื่อมโยงอยู่กับความเกี่ยวข้องกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง

เมื่อเปรียบเทียบกับบทบาทของรัฐสภาไทยแล้ว สภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยนั้นมาจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎรของต่างประเทศ สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันมากที่สุดก็คือ วุฒิสภาของประเทศไทยตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน[5] กำหนดให้วุฒิสภาของประเทศไทย มาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้นโดยสมาชิกของ คสช. ซึ่งเป็นผู้นำรัฐประหารในคราวที่ผ่านมา 

ไม่เพียงแต่การปราศจากความชอบธรรมทางประชาธิปไตยแล้วสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้กลับมีอำนาจมากกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ให้กับวุฒิสภา ทั้งอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี อำนาจในการติดตามการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้นจะสร้างสภาวะตลาดที่ทำให้อำนาจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนนั้น มีลักษณะที่อ่อนแอลง 

ในขณะเดียวกันการมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. นั้น ช่วยส่งเสริมการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นได้จากการที่สมาชิกวุฒิสภาให้การสนับสนุนเลือกให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เป็นนายกรัฐมนตรี และในหลายๆ อีกกรณีที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาเสมือนหนึ่งเป็นพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

ถอดบทเรียนเรื่องรัฐสภาไทย

เมื่อมองย้อนกลับไปดูบทเรียนจากงาน PRIDI x CONLAB กิจกรรมในงานดังกล่าวได้วางออกเป็นฐานต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยในหัวข้อต่างๆ เช่น หมวดรัฐสภา  หมวดสิทธิเสรีภาพ หมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ และหมวดการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะ “หมวดรัฐสภา” ซึ่งเป็นหมวดที่มีความสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งในกิจกรรมฐานดังกล่าว ผู้เข้าร่วมจะได้ทำการรับฟังคำแนะนำจากผู้ดำเนินกิจกรรม ซึ่งจะบอกเล่าและนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบของรัฐสภาในแต่ละประเทศความจำเป็นและเหตุผลที่จะรักประเทศนั้นออกแบบรัฐสภาของตัวเอง ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมตามบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งในกลุ่มของประเทศที่ใช้ระบบแบบสภาคู่และประเทศที่ใช้ระบบแบบสภาเดี่ยวว่ามีเหตุและปัจจัยมาจากเหตุผลใด รวมทั้งรูปแบบสภาคู่และสภาเดี่ยวนั้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร

จุดสำคัญที่สุดที่กิจกรรมในสถานีได้แสดงให้เราเห็นก็คือความตระหนักต่ออำนาจของวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาที่สองหรือในหลายกรณีเราเรียกว่าเป็นสภาสูง ซึ่งตรงข้ามกันกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ในกิจกรรมจะแทนที่อำนาจของวุฒิสภาด้วยน้ำแดง โดยเติมน้ำแดงลงไปในแต่ละแก้วให้มีสัดส่วนที่แตกต่างกัน เริ่มต้นจากอำนาจซึ่งเป็นอำนาจทั่วไปยังอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมายและค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละลำดับตามความเข้มแข็งของอำนาจที่ได้รับมา ซึ่งยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่น้ำในแก้วก็จะยิ่งกลิ่นปากแก้วมากเท่านั้น แสดงให้เห็นรูปธรรมของอำนาจของวุฒิสภาที่มีอยู่

ข้อที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับอำนาจของวุฒิสภาก็คือ ในหลายกรณีผู้ที่ร่วมเวิร์กชอปในครั้งนี้ ตัดสินใจที่จะมอบอำนาจให้แก่วุฒิสภาโดยไม่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาและความชอบธรรมของวุฒิสภาในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตรงกันข้ามหลายคนกลับมองว่ายิ่งวุฒิสภามีอำนาจมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับประชาชนมากเท่านั้น

เพราะวุฒิสภาจะได้ทำหน้าที่ดุลและคานอำนาจกันกับสภาผู้แทนราษฎร ความคิดเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นมาตลอดเวลาในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งมองว่าสภาผู้แทนราษฎรนั้นประกอบไปด้วยแต่นักการเมืองที่หิวและกระหายในอำนาจ จะทำการสิ่งใดโดยไม่สนใจความต้องการของประชาชน ฉะนั้นแล้วการที่มีวุฒิสภาที่มีอำนาจเข้มแข็งจะช่วยกันคานอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรได้และรักษาซึ่งผลประโยชน์ของประชาชน

สิ่งสำคัญที่สุดของบททดสอบนี้ก็คือ การตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างที่มาและอำนาจของวุฒิสภาว่าควรจะมีเช่นไร ซึ่งในเรื่องนี้หากย้อนกลับไปพิจารณาความคิดของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทยซึ่งได้เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความมีอยู่ของวุฒิสภาเอาไว้ว่า “เหตุผลของการมีสภาสูงนั้นก็เพื่อทำหน้าที่เพียง ‘ยับยั้ง’ ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยถือว่า สมาชิกสภาสูงเป็นผู้มีอายุมากกว่าสมาชิกสภาล่าง จึงไตร่ตรองรอบคอบไม่หุนหันพลันแล่น เพื่อให้สภาสูงช่วยกลั่นกรองร่างกฎหมายอันเป็นการยับยั้งประดุจ ‘ห้ามล้อ’ ไม่ใช่เป็นการ ‘ถ่วง’” [6]

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ดังเช่นประเทศไทยก่อนหน้านี้นั้น นายปรีดี ได้เคยอธิบายว่า 

“… สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่าง กับ สภาบนอีกสภาหนึ่ง หรือจะควรมีสภาเดียว  เมื่อได้ตรึกตรองโดยรอบคอบแล้วเห็นว่า เราจะตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ไม่มีประเพณีที่จะบังคับเรา การมีสภาเดียวนั้นกิจการดำเนินได้รวดเร็ว การมี 2 สภานั้นอาจถ่วงกันชักช้าโตงเตง … ที่ข้าพเจ้าได้สังเกตและได้พบได้ยินมาบางประเทศที่มี 2 สภานั้น กิจการเดินช้านัก แต่ว่ามีบางประเทศที่ต้องมี 2 สภา เพราะเป็นประเพณีบังคับ แต่ในรัฐธรรมนูญใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นสมัยเร็วๆ นี้ ก็มักจะมีแต่สภาเดียว เมื่อตกลงใจดั่งนี้ จึงได้ดำเนินการในทางให้มีสภาเดียวอันเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญชั่วคราว…”[7] ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ในแต่ละประเทศเลือกที่จะไม่ได้ใช้ระบบสภาคู่

กิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้ถึงวิธีการคิดและหลักการเบื้องหลังที่เกี่ยวกับการมีอยู่ของรัฐสภาและกลไกของรัฐสภาตลอดจนรวมไปถึงการออกแบบระบบของรัฐสภา เสมือนหนึ่งว่าได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง อันเป็นการซักซ้อมในวันที่เราจะมีรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง, เล่ม 2, (กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕, มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[3] หยุด แสงอุทัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 250.

[4] ชำนาญ จันทร์เรือง, “เข้าใจรัฐสภาสหราชอาณาจักร อย่างง่ายๆ,” สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/634482.

[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560, มาตรา 269.

[6] วิเชียร เพ็งพิศ, “ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง,” เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564, จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/10/437.

[7] เพิ่งอ้าง.