กฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ผลผลิตของมรดกหลังยุคสงครามเย็น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วง พ.ศ. 2540 ประเทศไทยค่อนข้างที่จะมีความหวังกับการสร้างการเมืองใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม การขจัดอิทธิพลของกองทัพ การสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ การสร้างการเมืองที่มีเสถียรภาพ และการขจัดแทรกแซงของกลุ่มทุนผูกขาด

พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ก็เป็นหนึ่งในผลผลิตของการตื่นตัวทางการเมืองของสังคมไทยในช่วงเวลานั้น กฎหมายฉบับนี้ตราขึ้นมาท่ามกลางความหวังของสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยต้องการส่งเสริมให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในความครอบครองและควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้การครอบครองและควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ

อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญของพระราชบัญญัตินี้ก็คือ แม้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายจะดีและมุ่งหวังให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส ทว่า ในทางปฏิบัติกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ได้ช่วยผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานในภาครัฐมากพอที่จะทำให้เกิดความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สิ่งนี้จึงเป็นปัญหาสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการไทย

เจตนารมณ์ที่ดี

ดังกล่าวมาแล้วในข้างต้นว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ที่ต้องการสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการบริหารประเทศผ่านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในความครอบครองและควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งถือว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้มีความก้าวหน้าและทันสมัยมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น

อนึ่ง หลักการหลาย ๆ ประการของกฎหมายฉบับนี้อ้างอิงแนวทางมาจาก Freedom of Information Act ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในข้อมูลข่าวสาร (ชื่อภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศมักใช้นั้นได้สะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสารควรเข้าถึงได้อย่างเสรี) ที่มีอิทธิพลต่อแนวทางของกฎหมายในลักษณะเดียวกันทั่วโลก

บทบัญญัติของพระราชบัญญัติฉบับนี้พูดถึงใน 2-3 เรื่อง แต่ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านจดหมายเหตุ

กล่าวเฉพาะในหัวข้อเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารคือ ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในการครอบครองและควบคุมดูแลโดยหน่วยงานของรัฐ ที่ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ภายใต้องค์กรฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยหน่วยงานของรัฐเหล่านี้ มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใน 3 ลักษณะ คือ การประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา สำหรับข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญและส่งผลต่อกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจสอบ ณ ที่ทำการ (และส่วนน้อยในทางเว็บไซต์) และการเปิดให้ประชาชนเข้าตรวจดูข้อมูลข่าวสารได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล โดยกฎหมายเน้นว่ารัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนจะต้องได้รับการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเหล่านี้

ลักษณะของบทบัญญัติข้างต้น ดูเหมือนว่าจะทำให้หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ภายใต้ความครอบครองของหน่วยงานของรัฐเหล่านี้อย่างแน่นอน

ในทางปฏิบัติที่มีปัญหา

เจตนารมณ์ดังกล่าวเปรียบเสมือนความฝันอันเหลือเชื่อที่สังคมอยากจะให้เกิดขึ้น แต่ในทางปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ราบรื่นโดยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายและสะดวกสบายตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ที่ผ่านมาพบว่า สถิติการยื่นอุทธรณ์ขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร พบว่าสถิติการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการไทยมีปัญหา

ภาพแสดงสถิติการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในช่วงปี 2558-2565

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ, รายงานประจำปีสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ (2558-2566)

อีกประการหนึ่งที่อาจจะชวนให้เราทุกคนคิดต่อคือ สถิติข้างต้นนี้ นอกจากการสะท้อนว่าจำนวนการอุทธรณ์คำสั่งปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้ว สถิตินี้สะท้อนอะไรให้เรารู้อีกบ้าง ในมุมของผู้เขียนสถิตินี้กำลังบอกเราอ้อม ๆ ว่า ช่องทางการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ การประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และการจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจสอบ ณ ที่ทำการ อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งในปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอัตโนมัติ 2 ช่องทางนี้ เพียงแค่ 18 เรื่อง เท่านั้น ซึ่งเป็นประเภทของข้อมูลส่วนน้อยที่อยู่ภายใต้ความครอบครองและควบคุมดูแลของรัฐ

การเปิดเผยข้อมูลอัตโนมัติเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นนี้ กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน ในเรื่อง รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยท่านหนึ่ง ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มีลักษณะเป็นกฎหมายในยุคสงครามเย็นที่ไม่ได้มองประชาชนในฐานะเจ้าของและคนที่มีสิทธิในข้อมูลสาธารณะดังกล่าว แต่มองว่าประชาชนเป็นเพียงผู้ขอรับข้อมูลเท่านั้น[1] ทำให้ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการเปิดเผยข้อมูล

วัฒนธรรมการปกปิดข้อมูล

นอกจากแนวคิดในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้ว ด้วยวัฒนธรรมที่ผ่านมาของประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐไม่ได้มองประชาชนในฐานะเจ้าของข้อมูลและคนที่มีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ทำให้หน่วยงานของรัฐมักจะหยิบเอาข้อยกเว้นในการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารมาใช้ เพื่อไม่เปิดเผยข้อมูล ตัวอย่างเช่น ข้อยกเว้นด้านความมั่นคงของรัฐ หรือข้อยกเว้นในการทำให้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐมักจะอ้างข้อยกเว้นดังกล่าวมาใช้แบบตีขลุมเพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือการอ้างเหตุในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้เพื่อปฏิเสธการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

การหวงกันและการไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นปัญหาในเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมไทย และกลายเป็นกฎเหล็กที่หน่วยงานของรัฐระแวดระวังไม่กล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนรับรู้

การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกเหนือจากกฎหมายที่จะต้องแก้ไขเพื่อลดอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การทำให้ข้อยกเว้นมีความชัดเจนมากขึ้น หรือการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐควรปรับมาให้บริการออนไลน์ผ่านเว็บไซต์มากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน บนพื้นฐานของกฎหมาย

แต่อีกส่วนที่ต้องปรับเปลี่ยนมากขึ้นคือ การปรับค่านิยมในการไปให้บริการข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยต้องกำหนดให้ภาครัฐตระหนักและส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการกำหนดในเชิงตัวชี้วัด (KPI) แต่อีกส่วนหนึ่งคือ รัฐบาลต้องสลายความกลัวให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการเปิดเผยข้อมูล สร้างความตระหนักและให้ความคุ้มครองทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร รวมถึงตัวหน่วยงานของรัฐนั้นไม่ให้โดนลงโทษหรือโดนดำเนินคดี

หมายเหตุ: บทความนี้สรุปมาจาก เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “โครงการวิเคราะห์ร่างกฎหมายและวิจัยกฎหมายเพื่อพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติ เรื่อง บทบัญญัติทางกฎหมายเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ และประเด็นพิจารณาในร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ….” (ทุนวิจัยสนับสนุนโดยสถาบันพระปกเกล้า, 2567).


เชิงอรรถ

[1] กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล, “รังสรรค์ ชำแหละ พ.ร.บ.ข้อมูลฯ ผ่านกรอบเศรษฐศาสตร์การเมือง ชี้สร้างความชอบธรรมรัฐปิดข้อมูล” TCIJ, 1 พฤศจิกายน 2555 [Online], สืบค้นเมื่อ 17 ธันวาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.tcijthai.com/news/2012/11/scoop/1362.

คลายปมใบอนุญาต ปั๊มหัวใจโรงแรมเล็ก ดึงรายได้เข้าประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ธุรกิจโรงแรมและที่พักค้างคืนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยก่อนวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รายได้เหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงแรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงที่พักประเภทเกสต์เฮาส์ โฮสเทล และโฮมสเตย์ด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังวิกฤติดังกล่าว ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านท่องเที่ยวของไทยกลับตกจากอันดับที่ 41 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 จากการประเมินตามดัชนี TTDI โดย World Economic Forum ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดพื้นฐานด้านบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยวที่ดีพอ ทำให้ไทยได้คะแนนเพียง 2.18 จาก 7 คะแนน

เงื่อนไขสำคัญที่เป็นปัญหา คือ ที่พักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กและที่พักค้างคืนต่างทยอยปิดกิจการไป หลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรการ SHA ในช่วงโควิด-19ได้ เพราะไม่ใช่ที่พักที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย

ซ้ำร้ายเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ที่พักขนาดเล็กยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีใบอนุญาต ที่เป็นปัญหาซึ่งค้างคามานานอีกระลอกหนึ่ง แล้วอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ที่พักขนาดเล็กไม่สามารถขอใบอนุญาต?

คำตอบคือ ความรุงรังของกฎระเบียบทั้ง กฎหมายธุรกิจโรงแรม อาคาร และเขตพื้นที่ ที่ผูกรัดกันเป็นเงื่อนตายจนบีบที่พักขนาดเล็กเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มหายตายจากเพิ่มเติม

เงื่อนปมแรก กฎหมายธุรกิจโรงแรมมีความล้าสมัย และยังติดภาพกับโรงแรมขนาดใหญ่ที่กำหนดให้ที่พักค้างคืนอื่นๆ ต้องมีลักษณะเดียวกับโรงแรม เช่น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีผู้จัดการโรงแรม โทรศัพท์ภายในห้องพัก หรือต้องติดเลขห้อง ทั้งที่ลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ผู้พักโฮสเทลไม่ได้คาดหวังบริการแบบโรงแรม

ในขณะที่หลายประเทศต่างปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจที่พักขนาดเล็ก อาทิ เกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือแคปซูลโฮเทล รวมไปถึงการรองรับเอกชนที่นำบ้านหรือคอนโดมาให้บริการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทยไม่ได้เปิดช่องเท่าที่ควร

เงื่อนปมที่สอง กฎระเบียบด้านอาคาร แม้ว่าที่ผ่านมากรมโยธาฯ ได้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยออกกฎกระทรวงให้นำอาคารอื่น อาทิ บ้าน หรือตึกแถว มาทำโรงแรมได้ ซึ่งช่วยที่พักขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง แต่กฎกระทรวงนี้มีสถานะชั่วคราว และได้สิ้นอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปัญหาของที่พักยังแก้ไขไม่เรียบร้อย เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องเขตพื้นที่

และเงื่อนปมสุดท้าย เขตพื้นที่ เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทที่พักให้หลากหลาย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับกฎหมายอาคารแล้ว แต่ยังมีเขตผังเมืองกำหนดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเขตห้ามสร้างโรงแรม ก็จะไม่สามารถทำที่พักอื่นได้ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น คูเมืองเชียงใหม่ หรือถนนข้าวสาร ในทางกลับกันหากมีที่พักขนาดเล็กก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้แม้ภาครัฐตื่นตัวในการแก้ไข แต่อาจจะยังไม่ตรงจุดและไม่ครอบคลุม ทำให้เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอาคารแล้ว ก็ยังติดกับเงื่อนไขเขตพื้นที่ สุดท้ายก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้อยู่ดี

จากการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศอื่นที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวนั้น วิธีการหนึ่งคือ การแบ่งประเภทที่พักอย่างชัดเจน เช่น ในฝรั่งเศสกฎหมายแยกโรงแรม ที่พักกลางแจ้ง และโฮสเทลออกจากกัน แม้จะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน

หรือในประเทศญี่ปุ่น แยกการขอใบรับรองที่พักหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เรียวกัง หรือที่พักในลักษณะโฮสเทลที่มีการแชร์ห้องพักหรือที่พักอาศัยส่วนบุคคลที่เรียกว่า Minpaku

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ที่รับรองให้มีที่พักหลายประเภท รวมถึงที่พักรูปแบบใหม่ๆ เช่น อพาร์เทล (ห้องพักที่รวมอพาร์ตเมนต์และโรงแรม) และ Mabuhay (คล้ายโฮมสเตย์ของไทย) ซึ่งรวมคอนโดมิเนียมด้วย

หัวใจของนโยบายแยกประเภทที่พักอยู่ที่ การกำกับดูแลที่จะต้องเป็นไปตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แม้จะให้บริการที่พักคล้ายกันก็ตาม ซึ่งหลักการในลักษณะนี้ยังไม่ปรากฏในกฎหมายไทย

ดังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จึงเสนอให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดประเภทที่พัก 3 ระดับคือ โรงแรม, ที่พักค้างคืนอื่นๆ อาทิ โฮสเทล เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่พักกลางแจ้ง และโฮมสเตย์ โดยที่พักทั้ง 3 ประเภทนี้ มีหน้าที่และวิธีการกำกับที่แตกต่างกัน 

เช่น โรงแรมอาจจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น มีการกำหนดมาตรฐานบริการขั้นต่ำ สิ่งอำนวยความสะดวก การมีผู้จัดการโรงแรม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของอาคารสาธารณะ 

ส่วนที่พักค้างคืนลักษณะอื่นๆ ให้มีเงื่อนไขลดหลั่นกันลงมา อาจกำหนดด้านความสะอาด ความปลอดภัยและอัคคีภัย มีสิ่งอำนวยความเท่าที่จำเป็น รวมถึงต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาคารที่จะนำมาใช้รองรับผู้เข้าพัก ส่วนโฮมสเตย์ เน้นที่ความสะอาดถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการหารายได้เสริมและการส่งเสริมวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ท้องถิ่นควรทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโรงแรมและที่พักค้างคืน โดยมีบทบาทบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาคารและประเภทที่พักได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดและเข้าใจพื้นที่ดี แต่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีระบบลงทะเบียนกลางออนไลน์ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ที่ท้องถิ่นและส่วนกลางใช้ทำงานร่วมกันได้

การแก้ไขกฎระเบียบตามแนวทางข้างต้นนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาของไทยที่ยังการขาดข้อมูลจำนวนที่พักที่แท้จริงในประเทศ

โดยมีข้อมูลจากสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ระบุว่า ข้อมูลที่เก็บจากกรมการปกครองและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คลาดเคลื่อนกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และการวางนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ครอบคลุม

นอกจากข้อดีที่เกิดขึ้นกับภาครัฐแล้ว ขณะเดียวกันการปรับกฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวช่วยให้เอกชนทำธุรกิจได้ถูกกฎหมาย และอุดช่องการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนด้วย

ที่สำคัญยังส่งผลต่อเส้นทางไปสู่เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการทบทวนปัญหานี้ เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังมีปัญหา การดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

ผู้หญิงในความรุนแรงทางกฎหมาย: เมื่อกฎหมายเขียนและใช้โดยชาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย เป็นปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นประจำทุกปี ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์ด้านความรุนแรงทางเพศไม่ได้ลดลง และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลและเมื่อย้อนกลับไปดูภาพของความรุนแรงที่ผ่านมาในช่วงปี 2559-2566 พบว่าจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเกิดขึ้นเฉลี่ย 1,660 รายต่อปี[1] และในปี 2567 จากการเก็บข้อมูลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ในช่วง 6 เดือน (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) พบว่ามีจำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ 1,296 ราย โดยผู้ถูกกระทำความรุนแรงส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพศหญิง และเกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบครอบครัว จากคู่ชีวิต บุตร และบิดา[2]

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทยนั้นมีลักษณะที่มีความซับซ้อน กล่าวคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นประกอบไปด้วยความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาทิ การทำร้ายร่างกาย และการข่มขืนกระทำชำเรา และความรุนแรงเชิงโครงสร้างสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างสังคมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นจากโครงสร้างทางสังคมที่กดทับทางเพศ ซึ่งทำให้ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากความรุนแรงดังกล่าว ความรุนแรงนี้อาจเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หรือกฎหมาย

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในบรรดาความรุนแรงที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า ความรุนแรงในลักษณะนี้มีความสำคัญที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกฎหมายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในนามของรัฐ โดยอาศัยอำนาจของรัฐ ซึ่งหากปราศจากอำนาจของรัฐแล้วความรุนแรงในลักษณะนี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

นอกจากความรุนแรงนี้จะเกิดขึ้นในนามของรัฐแล้ว ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของความรุนแรงในลักษณะนี้คือ การลดทอนคุณค่าในความเสมอภาคทางเพศ และลดทอนศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของคนๆ หนึ่ง ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงในลักษณะนี้ ได้สร้างความเป็นอื่นให้เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ แม้ว่ามาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญจะรับรองความเสมอภาคของบุคคลทุกคนเอาไว้ และเน้นย้ำถึงความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงแต่ความเสมอภาคดังกล่าวกลายเป็นเพียงกระดาษ เพราะคนในวงการกฎหมายกลายเป็นผู้ทำลายความเสมอภาคดังกล่าวไปเสียเอง

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ แต่หากพยายามจัดกลุ่มลักษณะของความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมาย

ในกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะนี้มักแสดงออกมาผ่านบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งเขียนขึ้นโดยมีอคติทางเพศ (gender bias) หรือกฎหมายเขียนขึ้นโดยไม่มีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutral) และกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมายนี้เกิดขึ้นจากอคติทางเพศและมุมมองของความไม่เป็นกลางทางเพศที่เกิดขึ้นในความคิดของผู้ใช้และตีความกฎหมาย

กรณีศึกษาความรุนแรงในการข่มขืนแบบเลือกเพศ

ตัวอย่างหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายก็คือ การแก้ไขนิยามของคำว่า การกระทำชำเราในประมวลกฎหมายอาญาใหม่

ในอดีตก่อนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ครั้งที่ 27 ได้มีการกำหนดนิยามของการกระทำชำเราไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 19 โดยกฎหมายได้กำหนดนิยามของการกระทำชำเรา หมายถึง 

“การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น[3]

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขนิยามของการกระทำชำเราใหม่ โดยการกำหนดให้การกระทำชำเรา หมายถึง “การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น[4]

หากดูผิวเผิน การนิยามคำว่า กระทำชำเราในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะเห็นได้ว่านิยามของการกระทำชำเรานั้นมีความคล้ายจะเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมาก

เจตนารมณ์ของกฎหมายของการเพิ่มนิยามคำว่า กระทำชำเราในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาครั้งที่ 19 มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย โดยไม่ประสงค์ให้มีการเลือกปฏิบัติและได้รับการคุ้มครองจากถูกล่วงละเมิดทางเพศและกระทำชำเรา[5] ซึ่งเป็นปัญหามาในอดีต

จากแนวทางการใช้และการตีความกฎหมายของศาลที่ผ่านมา กำหนดให้การกระทำชำเราจะต้องอาการของการสอดใส่ (penetration) ซึ่งตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไทยถือว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราจะเป็นความผิดสำเร็จก็ต่อเมื่อของลับของชายล่วงล้ำเข้าไปในของลับของหญิง 1 องคุลี[6] (ประมาณครึ่งข้อแรกของนิ้วกลาง)

การตีความของศาลตามนัยดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาว่า หากเป็นกรณีที่ผู้หญิงถูกกระทำ โดยวัตถุอื่นโดยไม่ได้เป็นการใช้อวัยวะเพศชาย อาทิ การใช้อุปกรณ์ทางเพศ (sex toy) หรือสิ่งอื่นแทนอวัยวะเพศ จะถือว่าเป็นการกระทำชำเราหรือไม่ รวมถึงหากผู้หญิงถูกกระทำชำเราโดยผู้หญิง หรือผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิงแนวทางการตีความของกฎหมายอาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมและคุ้มครองสิทธิของประชาชน ทำให้เกิดการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติครั้งที่ 19 เพื่อให้ข่มขืนกระทำชำเราสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ และทำให้ความสำคัญของการข่มขืนกระทำชำเรากับมาอยู่ที่การละเมิดความยินยอม (consent) มากกว่าเป็นวิธีการกระทำชำเรา

แต่ภายหลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครั้งที่ 27 นิยามของการกระทำชำเราถูกทำให้แคบลง โดยได้มีการตัดนิยามของการใช้การใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น โดยไปแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นความผิดฐานอนาจารแทน[7] ส่งผลให้การใช้การตีความของศาลต้องกลับไปยึดถือหลักการเดิม คือ จะต้องแสดงให้เห็นอาการของการสอดใส่ ซึ่งในการพิสูจน์การกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจจะทำไม่ได้ในกรณีที่การข่มขืนเกิดขึ้นในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ผู้กระทำเป็นชาย สิ่งนี้กลายเป็นกฎหมายละเลยต่อความยินยอมของบุคคล และไปให้ความสำคัญกับวิธีการกระทำชำเรา

ตัวอย่างของการใช้กฎหมายในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5131/2562 ศาลอธิบายว่า การใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น ซึ่งตามคำพิพากษาดังกล่าวเท่ากับศาลไม่ได้สนใจต่อประเด็นการล่วงละเมิดความยินยอมแต่อย่างใด

ความรุนแรงเกิดขึ้นจากชายชราในฝ่ายนิติบัญญัติ

สาเหตุของความรุนแรงนี้เกิดจากอะไร คำตอบก็คือในหลาย ๆ ครั้ง ผู้เขียนกฎหมายอาจมีอคติทางเพศหรือมุมมองที่ขาดความเป็นกลางทางเพศในการตรากฎหมาย

สิ่งนี้ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาให้ในสังคมไทยเป็นอย่างมาก ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนคือ การออกกฎหมายในยุคของ คสช. โดยภายหลังจากการรัฐประหารในปี 2557 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรัฐสภาในสถานการณ์ปกติ

องค์ประกอบของ สนช. นี้ประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่คัดสรรมาจากอดีตข้าราชการ ทหาร และตำรวจ โดยจากเก็บข้อมูลของ iLaw ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 พบว่า สมาชิก สนช. มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 250 คน เป็นทหารทุกเหล่าทัพรวมกัน 145 คน (58%) ตำรวจ 12 คน (5%)  ข้าราชการ 66 คน (26%) ภาคธุรกิจ 19 คน (8%) และอื่น ๆ 8 คน (3%) หากรวมสมาชิกที่เคยเป็นข้าราชการ หรือทำงานในหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจทุกประเภทจะมีจำนวนถึง 223 คน (89%) ของสมาชิกทั้งหมด[8]

ในด้าน iLaw ระบุว่าอายุของสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 64 ปี ขณะที่คนวัยเกษียณ หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 185 คน หรือคิดเป็น 75% ของทั้งสภา โดยสมาชิกที่อายุมากที่สุด 92 ปี และน้อยที่สุด 51 ปี[9]  นอกจากนี้ จากจำนวนสมาชิก สนช. ที่เป็นทหารทั้งหมด 145 คน สามารถแบ่งเป็นทหารประจำการ 90 คน และทหารที่เกษียณอายุราชการแล้ว 55 คน[10] ส่วนในด้านเพศพบว่า เพศของสมาชิก สนช. 95% เป็นเพศชาย[11]

ดังนี้ เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังของสมาชิก สนช. ทั้งประวัติการทำงาน อายุ และเพศแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สนช. นั้นมีลักษณะเป็นสภาฯ ที่นำโดยผู้ชาย ข้าราชการสูงวัยและเกษียณอายุ ซึ่งอาจจะไม่ได้สะท้อนต่อมุมมองทางเพศที่หลากหลาย องค์กรประกอบของสมาชิก สนช. โดยส่วนใหญ่เติบโตมาในวัฒนธรรมที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเพศ และไม่ได้มองปัญหาเรื่องเพศอย่างเป็นสาระสำคัญ

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าการเพิ่มองค์ประกอบของผู้หญิงหรือเพศหลากหลายในสภาฯ แล้วจะทำให้เกิดมุมมองที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดในเรื่องค่านิยมทางเพศที่ดี ความเป็นกลาง หรือการตระหนักต่อสิทธิทางเพศ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำ (ความคิดที่มีพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ให้กับความเป็นชายตามแบบกระแสหลัก) ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในชั้นของการใช้การตีความกฎหมายได้เช่นกัน

กรณีศึกษาความรุนแรงที่เกิดจากมุมมองของชายเป็นใหญ่

ไม่เพียงแต่ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น แต่ความรุนแรงทางเพศอาจจะมาจากการใช้การตีความกฎหมายที่คับแคบและแฝงไปด้วยอคติทางเพศ ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการใช้กฎหมายที่มีต่อผู้หญิง และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ชายมากกว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คุณค่าของผู้หญิงที่กฎหมายรับรองไว้อาจไม่ได้รับการเคารพอย่างแท้จริง

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้ก็คือ การพิสูจน์พฤติการณ์ของการข่มขืนใจ (แสดงให้เห็นว่าโจทย์กับกับจำเลยได้มีความยินยอมที่จะร่วมเพศกันโดยสมัครใจ) ซึ่งจะนำไปสู่เงื่อนไขที่จะเป็นการข่มขืนกระทำชำเราตามกฎหมาย ปัญหาสำคัญในเรื่องนี้อยู่ที่ศาลให้น้ำหนักกับการข่มขืนใจอย่างไร

ในกรณีที่ผ่านมา หากจำเลยกระทำโดยใช้อาวุธเข้าร่วมกระทำความผิดหรือมีการใช้กำลังบังคับซึ่งดูผิวเผินในกรณีเช่นนี้ก็อาจจะดูเป็นการข่มขืนใจแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่เป็นเช่นนี้เสมอไป ในการใช้อัตวินิจฉัยของผู้พิพากษา พบว่าแนวคำพิพากษาของศาลให้ความสำคัญกับการแสดงอาการของการถูกข่มขืนใจ กล่าวคือ ผู้หญิงต้องแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ยินยอม และพึงพอใจกับการถูกข่มขืน รวมถึงต้องแสดงออกให้เห็นว่าตนไม่ยินยอมกับกิจกรรมทางเพศดังกล่าว

คำถามคือ ที่ผ่านมาศาลใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการนำมาวินิจฉัยว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ยินอยม

ในการวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ผ่านมา ศาลพิจารณาความไม่ยินยอม และพึงพอใจผ่านการแสดงออกโดยชัดแจ้งและเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2528 ความว่า

“…รูปคดีน่าเชื่อถือตามที่จำเลยว่าผู้เสียหายและจำเลยต่าง สมัครใจที่จะร่วมประเวณี หากผู้เสียหายถูกจำเลยให้ดื่มน้ำเป๊ปซี่มอมเมาผู้เสียหายจนหมดสติไม่รู้สึกตัว แต่เหตุใดเมื่อมารู้สึกตัวว่าจำเลยกระทำชำเรา ผู้เสียหายจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนงานที่นอนอยู่ใกล้ๆ มุ้งของจำเลย นอกจากนี้เมื่อผู้เสียหายมีกำลังลุกขึ้นได้แทนที่จะแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนงานคนใดคนหนึ่งที่นอนอยู่ในห้องจำเลยได้ทราบ ผู้เสียหายกลับเข้าห้องน้ำล้างหน้า ต่อมาก็กลับไปทำงานโดยไม่ได้เล่าให้ผู้ใดฟัง เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งมารดาผู้เสียหายมาถาม จึงบอกเรื่องไปนอนกับจำเลยในคืนเกิดเหตุให้ฟัง”

คำพิพากษานี้กำลังบอกอะไรกับพวกเราทุกคน สิ่งที่คำพิพากษานี้กำลังบอกกับเราคือ ความสมัครใจในสายตาของศาลคือ การที่ผู้เสียหายต้องแสดงอาการของการขัดขืน และต้องประกาศป่าวร้องว่าตนเองโดนข่มขืน หากเราทุกคนสวมบทบาทเป็นผู้พิพากษา เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าในความเป็นจริง จำเลยและผู้เสียหายยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กันจริงหรือไม่ เพราะพวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ในห้องร่วมกับจำเลยและผู้เสียหาย แต่หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาข้างต้น เราก็ไม่สามารถสรุปได้เช่นกันว่า จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจเข้าร่วมประเวณีกันจริงหรือไม่

การที่ศาลไปพิจารณาปัจจัยอื่น นอกเหนือจากความยินยอมของผู้เสียหายแล้ว อาทิ การขัดขืน หรือการป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ สะท้อนความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ของการข่มขืนและอคติทางเพศของผู้พิพากษา ในความเป็นจริงเมื่อเกิดการข่มขืน ผู้เสียหายมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดสถานการณ์แพนิก (panic attack) ที่เกิดจากการตกใจ ซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจจะไม่ได้แสดงอาการขัดขืน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้หญิงอาจจะถูกทำร้ายร่างกายได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการขัดขืน ซึ่งนำมาสู่อันตรายต่อชีวิตและร่างกายมากขึ้น

นอกจากที่ศาลให้น้ำหนักกับการขัดขืนกับผู้เสียหายแล้ว เท่ากับในสายตาของศาลก็มองว่า ผู้หญิงมีหน้าที่โดยปริยายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศกับตัวเอง ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่อันเคร่งครัด หากผู้เสียหายไม่ได้แสดงอาการต่อต้านในสายตาของศาลอาจจะไม่ถือว่าจำเลยถูกข่มขืนใจ

ไม่เพียงแต่ผู้เสียหายต้องแสดงการขัดขืนแล้ว อีกสิ่งที่ศาลนำมาใช้ในการแสดงออกก็คือ การป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ ในคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ศาลมองว่าการที่ผู้เสียหายไม่ได้ป่าวร้อง ทั้งในห้องที่เกิดเหตุหรือต่อมารดาของผู้เสียหายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความสมัครใจเข้าร่วมประเวณี โดยที่ผ่านมาแนวทางของศาลได้ให้น้ำหนักกับการแสดงใด ๆ ก็ตามที่สื่อออกไปในเชิงป่าวร้องกับคนอื่นเป็นน้ำหนักที่ศาลนำมาใช้เชื่อว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ เช่น ผู้เสียหายเป็นหญิงได้บอกสามีว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา[12] หรือทันทีที่พ้นจากการข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายเป็นหญิงได้ไปบอกกับคนอื่นๆ ว่าตนถูกข่มขืน[13] เป็นต้น

สภาพดังกล่าวกลายเป็นความรุนแรงกับผู้หญิง เพราะกลายเป็นสถานการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนถูกข่มขืน ซึ่งกลายมาเป็นสถานการณ์ของการข่มขืนซ้ำ ๆ ไม่ได้เพียงแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผู้เสียหายต้องบอกเล่าในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และศาล แต่กลับต้องแสดงให้สาธารณชนรับรู้ถึงการถูกข่มขืนกระทำชำเรา กลายเป็นผู้เสียหายไม่ได้ถูกข่มขืนเพียงครั้งเดียว ผู้เสียหายกลับถูกข่มขืนซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ต้องนึกถึงสถานการณ์ดังกล่าว และบอกเล่าสถานการณ์ดังกล่าวให้คนรับรู้

คำถามคือ ผู้พิพากษาจะรู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่ สิ่งนี้ผู้เขียนไม่มีคำตอบให้กับคำถามของตัวเองข้อนี้เหมือนกัน แล้วสังคมควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะหากพิจารณาแล้วจริง ๆ แล้ว ความรุนแรงที่สะท้อนผ่านผู้ใช้และตีความกฎหมายนี้ก็อาจจะไม่ต่างจากนักร่างกฎหมายที่ถูกครอบงำโดยความคิดแบบชายเป็นใหญ่

เราจะเปลี่ยนจากจุดนี้ได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงปัญหาความรุนแรงทางเพศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่วนหนึ่งความรุนแรงทางเพศสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ปัญหาความรุนแรงทางเพศที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ในกฎหมาย อาจจะเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับการลดความรุนแรงทางกายภาพ

ในกรณีของประเด็นที่ผู้เขียนยกขึ้นมานั้น ประเด็นแรกการแก้ไขอาจจะไม่ซับซ้อนมาก สิ่งที่ควรจะต้องทำคือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาให้กลับไปในลักษณะเดียวกันกับการแก้ไขครั้งที่ 19 ซึ่งเปิดกว้างในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายกับการข่มขืนกระทำชำเราได้ครอบคลุมกว่า ซึ่งจะช่วยส่งเสริมประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ส่วนกรณีของการใช้ดุลพินิจตีความของศาล ในมุมนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การพยายามฝึกอบรมและทำให้ผู้พิพากษาตระหนักต่ออคติทางเพศในเรื่องนี้ และสะสางแนวคิดที่ครอบงำวงการผู้พิพากษาในเรื่องนี้ แม้ว่าแก้ไขในเรื่องนี้จะไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก็ควรเร่งที่จะดำเนินการทำ

สำหรับปัญหาเรื่องความรุนแรงอื่น ๆ ในเชิงวัฒนธรรม ผู้เขียนคิดว่าสิ่งนี้เป็นการบ้านที่สังคมไทยต้องร่วมมือกันในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป


เชิงอรรถ

[1] สถิติจะเก็บค่อมปี เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลภายใต้ช่วงปีงบประมาณ (ต.ค. – ก.ย. ของอีกปีหนึ่ง); ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 25 พฤศจิกายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://pridi.or.th/th/content/2023/11/1771.

[2] กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, “รายงานการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 รอบ 6 เดือน,” สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 8 พฤษภาคม 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://opendata.nesdc.go.th/dataset/violence2567-6.

[3] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 มาตรา 3.

[4] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 3.

[5] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 หมายเหตุ; ท้ายพระราชบัญญัติ.

[6] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2509.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 8.

[8] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 1: “สภาทหาร-สภาผลประโยชน์” เมื่อคนใกล้ชิดผู้นำประเทศอยู่เต็มสนช.,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://ilaw.or.th/node/4407.

[9] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 2: ส่องสนช. ‘สภาอาวุโส’ วัยหลังเกษียณ 75% พบแก่สุด 92 ปี อ่อนสุด 51 ปี,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567, https://www.ilaw.or.th/articles/2263.

[10] iLaw, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 8.

[11] วศินี พบูประภาพ, “เปิดสถิติ ความหลากหลายทางเพศสภาไทย 2566,” Workpoint Today, 1 มิถุนายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://workpointtoday.com/parliament-230500/.

[12] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2542.

[13] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2513.

ปรับนิยาม “ควบรวมกิจการ” บมจ. ยังรอการเปลี่ยนแปลง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ชุติมา สุทธิประภา, สิรนันท์ เดชะคุปต์, และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

ห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ “ควบรวมกิจการ” ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับสังคมอยู่หลายครั้ง จนบางคนถึงกับเรียกว่าเป็น “ยุคสมัยแห่งการควบรวมกิจการ”

“การควบรวมกิจการ” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาดต่อไปได้ สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบที่บริษัทเข้ารวมกัน (merger) หรือการโอนกิจการโดยการซื้อขายกิจการซึ่งกันและกัน (acquisition)

เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้าถือครองทรัพย์สินจำพวกหุ้น หรือกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน โดยบริษัทมักจะทำการควบรวมกิจการเพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ อาทิ การขยายกิจการ ความอยู่รอดในการทำธุรกิจ การลดค่าใช้จ่าย

ก่อนปี 2565 ประเทศไทยมีกฎหมายสองฉบับที่บัญญัติหลักการทั่วไปในเรื่องควบรวมกิจการไว้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา1238 สำหรับการควบรวมของบริษัทจำกัด และ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด) มาตรา 146 ประกอบมาตรา 152 สำหรับการควบรวมบริษัทมหาชนจำกัด

ทั้งบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด สามารถควบรวมกันเพื่อให้เกิดเป็นบริษัทใหม่ได้ และทำให้บริษัทเดิมหมดสภาพนิติบุคคลไป (บริษัท A + บริษัท B = บริษัท C)

โดยส่วนใหญ่จะเป็นการควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดและฐานะทางการเงินใกล้เคียงกันมารวมกัน เช่น การควบรวมบริษัทระหว่าง GULF กับ INTUCH, บริษัท TRUE กับ DTAC รวมทั้งบริษัท CP  กับ Lotus’s

แต่ในปัจจุบันมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 มาตรา 1238 เพิ่มรูปแบบการควบรวมกิจการในลักษณะที่เป็นการโอนกิจการทั้งหมด

กล่าวคือภายหลังจากควบรวมแล้ว บริษัทหนึ่งบริษัทใดยังคงมีสภาพนิติบุคคล และบริษัทอื่นที่ควบรวมกันหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล (บริษัท A + บริษัท B = บริษัท A หรือ B) การเพิ่มเติมคำนิยามนี้ทำให้บริษัทจำกัดที่มีการควบรวมในลักษณะดังกล่าว ได้รับผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกันกับการควบรวมที่มีอยู่เดิม

อย่างไรก็ตาม คำนิยามการควบรวมกิจการของบริษัทมหาชนจำกัด ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ยังไม่ถูกแก้ไขให้มีความครอบคลุมถึงรูปแบบการโอนกิจการทั้งหมด เช่นเดียวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ทำให้บริษัทมหาชนจำกัดที่มีการควบรวมโดยโอนกิจการทั้งหมดไม่ได้รับผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ไม่ว่าจะเป็น สิทธิประโยชน์ทางภาษี สิทธิการรับโอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจในกรณีทั่วไป 

การควบรวมกิจการเป็นเรื่องกลยุทธ์ในการประกอบกิจการตามปกติ จึงไม่ควรมีความแตกต่างกันระหว่างบริษัทมหาชนจำกัดและบริษัทจำกัด 

กรณีของสหรัฐอเมริกา มีการกำหนดลักษณะการควบรวมกิจการไว้ในบททั่วไปว่าด้วยบริษัท (corporation) โดยไม่ได้แบ่งเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด

ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยบริษัท (Delaware’s General Corporation Law: DGCL) มาตรา 251 รวมถึงกฎหมายบริษัทจำกัด (The Uniform Limited Liability Company Act: ULLCA) ก็ไม่ได้กำหนดลักษณะการควบรวมกิจการที่แตกต่างจากบททั่วไป 

กล่าวคือ การควบรวมกิจการของทั้งบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัดในสหรัฐอเมริกามีลักษณะเดียวกัน นำไปสู่ผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์จากการควบรวมกิจการที่เหมือนกัน

จากสถิติของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) สรุปสถานการณ์การควบรวมธุรกิจในช่วงปี 2562-2566 รวมทั้งสิ้น 137 ราย เฉลี่ยปีละ 27 บริษัท ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ จากการควบรวมกิจการในยุคสมัยใหม่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้น การที่ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัดไม่ได้แก้ไขคำนิยามให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่งผลให้บริษัทมหาชนจำกัด ไม่ได้รับผลทางกฎหมายจากการควบรวมกิจการในรูปแบบเดียวกับบริษัทจำกัด และยังต้องดำเนินการควบรวมกิจการโดยใช้วิธีการที่มีต้นทุนในการดำเนินการมากกว่า

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาแก้ไขคำนิยามการควบรวมกิจการของบริษัท ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้ผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายจากการควบรวมบริษัทมหาชนจำกัดและบริษัทจำกัดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการควบรวมกิจการเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัท สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการประกอบกิจการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตน 

แต่ทว่าในภาพใหญ่ของการพัฒนาตลาดทุนไทยย่อมมีกฎหมายและปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาประกอบ เช่น การควบรวมกิจการของบริษัทใหญ่ต้องไม่ขัดกับกฎหมายแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมาสังคมให้ความกังวลว่าอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการผูกขาด และกระทบต่อประโยชน์ของผู้บริโภคในอนาคตได้

ประเด็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนและปรับปรุงกฎหมายควบรวมธุรกิจ ให้มีความครอบคลุมมากขึ้น 

เพื่อให้การควบรวมมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว เพิ่มความน่าดึงดูด รักษาการแข่งขันทางการค้า และส่งเสริมความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย โดยในบทความต่อไปคณะผู้วิจัยจะนำเสนอประเด็นการควบรวมกิจการในด้านอื่น ๆ อีก

ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

ชื่อบทความ: ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

เผยแพร่ใน: วารสารนิติพัฒน์ ปีที่ 13 เล่มที่ 1 (2567) มกราคม – มิถุนายน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร. วารสารนิติพัฒน์, 13(1). https://so04.tci-thaijo.org/index.php/nitipat/article/view/269947

บทคัดย่อ

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ทำให้เกิดรูปแบบการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ อาทิ การสั่งอาหาร ซึ่งช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ได้มาพร้อมกับประเด็นความท้าทายทางสังคม หนึ่งในความท้าทายที่มีความสำคัญที่จะถูกกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ การคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากรูปแบบการประกอบธุรกิจแบบใหม่ที่ไม่มีลักษณะเหมือนการทำงานในสถานประกอบการในอดีตทำให้สถานะของคนทำงานบนแพลตฟอร์มมีความพร่าเลือนระหว่างการเป็นแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงานหรือการเป็นแรงงานอิสระตามสัญญาจ้างทำของ สภาพการมีนิติสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้คนทำงานบนแพลตฟอร์มไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากข้อจำกัดของกฎหมายแรงงานในปัจจุบันที่ขาดความยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความท้าทายอีกประการหนึ่งก็คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มที่มีเหนือคนทำงานแพลตฟอร์มนั้นทำให้คนทำงานไม่มีทางเลือกที่เป็นอิสระในการทำงานอย่างแท้จริงและต้องผูกติดอยู่กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก

บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบต่อแรงงานที่เกิดจากปัจจัยทั้งสองประการคือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม และข้อจำกัดของกฎหมายแรงงาน เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทั้งสอง ประกอบกับการศึกษากรอบแนวทางการทำงานที่เป็นธรรมและแนวทางการคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์มของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเพื่อนำมาสู่การแสวงหาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม  ทั้งนี้ ในการศึกษาครั้งนี้เลือกศึกษาแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นกรณีศึกษา โดยพบว่าข้อนิติสัมพันธ์ที่แบ่งแยกภายใต้กฎหมายแรงงานและกฎหมายจ้างทำของไม่สามารถที่จะมาคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้ จึงเสนอแนะให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ

อีกครั้งกับงบฯ กลาง เมื่อประเทศไทยใช้งบกลางเป็นเสมือนสิ่งจำเป็น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ล่าช้ามาจากกรอบเวลาปกติค่อนข้างมากเนื่องจากช่วงของการเสนองบประมาณนั้นต่อเนื่องจากช่วงการเลือกตั้ง ทำให้ในท้ายที่สุด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 มาถูกเสนอในช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับงบประมาณในครั้งนี้ มีหลายเรื่อง อาทิ การตั้งรายการชดเชยเงินคงคลังไว้ในจำนวนที่ค่อนข้างสูง การตั้งงบประมาณของบางหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีรายละเอียด และที่มีการถกเถียงบ่อยครั้งคือ การตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากปีนี้รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้ 6.06 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดปัญหาว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลจึงเลือกตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้สูง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรายการใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว งบประมาณรายจ่ายงบกลางมากเป็นอันดับ 3 ดังปรากฏตามภาพ

งบประมาณรายจ่ายงบกลางคืออะไร

งบกลางหรืองบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลตั้งขึ้นสำหรับรายจ่ายที่ไม่ได้เป็นรายจ่ายเฉพาะของหน่วยรับงบประมาณ อาทิ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ, ค่าใช้จ่ายเพื่อชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน, ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ, เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ, และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง

นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายงบกลางอาจจะเป็นการตั้งรายการสำรองสำหรับการนำไปใช้จ่ายในฐานะเป็นเงินสำรองจ่ายของรัฐบาล อาทิ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ หรือเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

วัตถุประสงค์ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางจึงมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลในการใช้งบประมาณได้คล่องตัวในการดำเนินนโยบาย และสามารถจัดการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันต่อเหตุการณ์ หรือสาเหตุที่มาจากความไม่แน่นอนของรายจ่ายในอนาคต[1]

ทั้งนี้ในประเทศที่ปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย (รวมถึงไทย) จะมอบอำนาจสูงสุดทางการคลังให้เป็นการตัดสินใจของรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชนการกำหนดงบประมาณใดๆ จึงต้องสะท้อนต่อความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชน[2] ในทางหลักการจึงกำหนดสิ่งที่เรียกว่า “งบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง” กล่าวคือ การกำหนดให้งบประมาณต้องมีการระบุรายละเอียดของการใช้จ่ายให้ชัดเจนเพื่อควบคุมมิให้รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนในรูปของงบประมาณรายจ่ายไปใช้จ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควร[3] และระบุแน่นอนว่ารัฐบาลเอางบประมาณไปใช้เพื่อการใด โดยเสนอกรอบวงเงินงบประมาณและเรื่องที่จะนำงบประมาณนั้นไปใช้ต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมัติ

ดังนี้ การมีอยู่ของงบประมารายจ่ายงบกลางจึงเป็นข้อยกเว้นของหลักการงบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง โดยยินยอมรัฐบาลตั้งงบประมาณไว้เพื่อสถานการณ์เฉพาะเรื่องโดยไม่กำหนดเป้าหมายหรือวงเงินค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุอันไม่แน่นอน

เมื่องบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นข้อยกเว้นของการตั้งงบประมาณทั่วๆ ไปแล้ว รัฐบาลก็ควรจะต้องงบประมาณส่วนนี้เท่าที่จำเป็นเสมือนเงินติดกระเป๋าเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจำเป็น เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางไม่สามารถระบุรายละเอียดหรือแผนของการใช้จ่าย และหน่วยรับงบประมาณลงไปได้อย่างชัดเจนผิดกับงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ รัฐสภาทำได้แต่เพียงการอนุมัติกรอบวงเงินของการใช้จ่ายเท่านั้น แต่ไม่อาจทราบรายละเอียดของการใช้จ่ายได้เลยจนกว่าจะมีการใช้จ่ายจริงเกิดขึ้นว่า งบประมาณดังกล่าวได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยหน่วยงานใด การใช้จ่ายงบประมาณงบกลางจึงเป็นการปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวตามดุลยพินิจของตน ดังคำที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ตีเช็คเปล่า”[4] ในลักษณะนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะของงบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น (lesser evil)

ในทางปฏิบัติของงบประมาณไทย

งบประมาณรายจ่ายงบกลางของประเทศไทยนั้นสวนทางกับการเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น แต่เป็นความจำเป็นอันชั่วร้าย กล่าวคือ ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ มีแนวโน้มที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มสูงขึ้นดังปรากฏตามภาพ อ้างอิงจากเอกสารวิชาการของสำนักงบประมาณรัฐสภาในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 โดยพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีการจัดสรรงบกลางไป 4.96 ล้านล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ย 4.96 แสนล้านบาทต่อปี[5]

ส่วนหนึ่งก็เพราะรายจ่ายที่อยู่ในวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น โดยอันดับต้นๆ นั้นอยู่ในรายการที่รัฐจำเป็นต้องจ่ายคือ เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ 2.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.24% หรือเฉลี่ย 2.24 แสนล้านบาทต่อปี (คำนวณจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566)[6] โดยในปีนี้รัฐบาลตั้งเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญไว้ 3.29 แสนล้านบาทโดยเป็นเงินจำนวนกว่ากึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายงบกลาง

ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความจำเป็นในการตั้งงบประมาณได้ รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ค่อยๆ มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จึงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น

แต่งบประมาณรายจ่ายงบกลางที่น่าจะมีปัญหามากที่สุดก็คือ งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณรายการนี้แตกต่างจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางประเภทอื่นๆ คือ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่าย กล่าวคือ แม้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น จะถูกกำหนดว่าต้องใช้เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น แต่กรณีของความฉุกเฉินและจำเป็นนี้คืออะไร ผิดกับกรณีของเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่มีความชัดเจนในแง่ของวัตถุประสงค์ เพียงแต่ไม่ชัดเจนในกลุ่มเป้าหมายผู้รับว่ามีกี่คน

เมื่อพิจารณาแนวโน้มในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทยจะพบว่า นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมาจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีแนวโน้มจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในช่วงปี 6 ปีหลังจำนวนเงินจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เว้นแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้มากเพื่อรับมือกับปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

แต่ในความเป็นจริงจะไม่ได้มีการเบิกจ่ายเต็มจำนวนที่ตั้งไว้ โดยสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการตั้งงบประมาณของประเทศไทยไม่ค่อยมีพื้นที่เหลือสำหรับการนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นและไม่อาจคาดหมายได้ ทำให้การรัฐบาลขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณไปกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านั้นการตั้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้สูง หากตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมากเกินไป ย่อมเสียโอกาสในการตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยรับงบประมาณอื่นที่มีรายการค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว[7] ทำให้รายการสำคัญๆ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายอาจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายจริง

นอกจากนี้ ในเรื่องของการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉิน จากข้อสังเกตของสำนักงบประมาณของรัฐสภาพบว่า[8] รัฐบาลที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564) มีพฤติกรรมที่จะใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล โดยนำเงินงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ 3 เรื่อง ได้แก่

  1. การใช้จ่ายเพื่อแก้ไข ป้องกัน บรรเทาความเสียหายจากสถานการณ์ต่างๆ โดยมีสัดส่วนการใช้จ่ายทั้งสิ้นร้อยละ 53.5 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ได้แก่ การฟื้นฟูเยียวยา ป้องกันภัยพิบัติ พัฒนาด้านการเกษตร รวมถึงแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
  2. การใช้จ่ายเพื่อนโยบายของรัฐบาลร้อยละ 25.26 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 อาทิ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการชิม ช้อป ใช้
  3. การใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานที่เป็นภารกิจประจำของหน่วยรับงบประมาณ เช่น การดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่า บางรายการงบประมาณรัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณรายการงบประมาณให้กับหน่วยรับงบประมาณปกติได้ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเผื่อไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉิน

นอกจากนี้ พบว่าในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลโอนงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณต่างๆ มาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉินเพื่อมาดำเนินการใช้จ่ายเพื่อแก้ไข เยียวยา และลดผลกระทบจากโควิด-19[9] ซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้เป็นในแผนงานหรือโครงการของกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยรับงบประมาณที่มีอำนาจในการเบิกจ่ายรองรับกับสถานการณ์โควิด-19 โดยที่รัฐสภาและประชาชนสามารถทราบแผนการใช้จ่ายได้ แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นแทน

จะควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางอย่างไร

ดังกล่าวมาแล้วว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เป็นจำนวนมาก ในทางหลักการรัฐบาลควรจะใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเสมือนกับเงินติดกระเป๋าในกรณีฉุกเฉิน เพราะในทางหลักการปฏิเสธไม่ได้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นมีข้อเสียที่ทำให้เกิดความยากในการติดตามและตรวจสอบความใช้จ่ายโดยรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชน รวมถึงเราไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการเบิกจ่ายดังกล่าวจะทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนเมื่อเทียบกับงบประมาณที่มีการใช้จ่ายไปหรือไม่

ในทางหลักการจึงมีความพยายามควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้ โดยกำหนดกรอบในการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้  อย่างไรก็ดี กรอบในการดำเนินการในปัจจุบันนั้นยังคงไม่ครอบคลุมและทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ดังนี้

เรื่องที่หนึ่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง[10] ซึ่งสะท้อนหลักการว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางควรมีเท่าที่จำเป็น  นอกจากนี้ ภายใต้พระราชบัญญัตินี้ยังให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดกรอบวงเงินของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ไม่เกินร้อยละ 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี[11]

อย่างไรก็ดี การกำหนดสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้นในทางปฏิบัติไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากการปรับเปลี่ยนเพดานสัดส่วนดังกล่าวสามารถทำได้โดยคณะกรรมการการเงินการคลังของรัฐที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นรองประธาน ทำให้ในทางปฏิบัติรัฐบาลมีดุลพินิจในการปรับสัดส่วนดังกล่าวได้ตามอำเภอใจ ดังเช่นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ปรับเพดานสัดส่วนเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นใหม่

เรื่องที่สอง พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประกอบกับระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดเรื่องวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีความต้องการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดและจำนวนงบประมาณที่จะขอใช้ และยื่นคำขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง พร้อมกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้น ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 แต่ระเบียบดังกล่าวนั้นก็เพียงแต่กำหนดกรอบของเรื่องที่จะเบิกจ่ายไว้เพียงกว้างๆ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของกฎหมายไทยที่มีปัญหาในการตีความว่า “ความจำเป็นเร่งด่วน” ซึ่งเป็นเหตุในการใช้จ่ายนั้นคืออะไร[12]

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนความไม่เพียงพอของรายละเอียดของเรื่องที่จะขอเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ควรจะมีเงื่อนไขที่ชัดเจนกำกับว่าเรื่องใดคือเงื่อนไขที่จำเป็นบ้าง เพื่อปิดไม่ให้รัฐบาลนำโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลมาแทรกไว้ในงบประมาณส่วนนี้ ทั้งที่รัฐบาลสามารถตั้งรายการงบประมาณในส่วนนี้ได้ในรายการและแผนงานปกติ[13]

นอกจากนี้ กรอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในเชิงรายละเอียดที่เพียงพอ กฎหมายควรกำหนดกรอบในการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนโดยควรแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยรับงบประมาณที่ดำเนินการ แผนงาน โครงการ กิจกรรม หรือมาตรการ วงเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้จ่าย วัตถุประสงค์และความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อแสดงถึงความพร้อมความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบการดำเนินการและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวได้[14]

กล่าวโดยสรุป งบประมาณรายจ่ายงบกลางยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ แต่ปัญหาของการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพ


เชิงอรรถ

[1] อัญชลี ทองอุ่น, “ปัญหาการใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทย,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565), 34-35 และ 39.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “มหากาพย์งบประมาณรายจ่ายงบกลาง: วิธีคิดและมุมมองต่อความเหมาะสม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 สิงหาคม 2564, สืบค้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/08/802#_ftn1.

[3] สุปรียา แก้วละเอียด, กฎหมายการคลัง: ภาคงบประมาณแผ่นดิน (วิญญูชน 2563), 240.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[5] วนิยดา ชูชาย, “งบประมาณรายจ่ายงบกลางของไทย: การจัดสรรและการบริหารงบประมาณ,” สำนักงบประมาณของรัฐสภา, 35.

[6] เพิ่งอ้าง, 38.

[7] สิทธิกร นิพภยะ, “งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น,” เศรษฐสาร, 31 ตุลาคม 2562, สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://setthasarn.econ.tu.ac.th/blog/detail/33#:~:text=งบประมาณรายจ่ายงบกลาง%20เป็น,หน่วยรับงบประมาณได้โดยตรง.

[8] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74-75.

[9] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74.

[10] มาตรา 22 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561.

[11] ประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[13] ดู วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 84.

[14] เพิ่งอ้าง, 83-84.

ย้อนดูคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ชวนทำนายผลคำพิพากษาศาล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. ในประเด็นข้อกล่าวหาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติการเป็น สส. เพราะถือหุ้นสื่อไว้พิจารณา และได้มีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ข่าวศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติดังกล่าวแล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงสปิริตประกาศในสภาผู้แทนราษฎรยอมรับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว โดยการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาวันเดียวกัน เมื่อที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมาก (395:312 เสียง) มีมติไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะรับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นครั้ังที่สอง

คำถามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การพิจารณาในครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกไปในลักษณะใด สถานการณ์แบบนี้จึงควรย้อนกลับมาทบทวนเกี่ยวกับสถานะของศาลรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นตามหลักการอย่างไร เมื่อพิจารณาจากการเดินทางแห่งการพิพากษาในเรื่องทำนองนี้มาแล้วของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนจึงใคร่ขอย้อนดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตเพื่อทำนายผลในอนาคต

ศาลรัฐธรรมนูญเดินมาไกลจนเลยเถิด

แต่ดั้งแต่เดิมวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญในโลกนี้ มีเป้าหมายแรกและเป้าหมายสำคัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1] แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดแรกของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1920) โดยเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญให้คงคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุด[2] และพิทักษ์หลักนิติรัฐที่ได้รับการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายมาสู่การตรวจสอบการกระทำในลักษณะใดๆ ที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) โดยกำหนดให้รัฐธรรมนูญมีกลไกในการทำลายการกระทำดังกล่าว[3] ซึ่งนำมาสู่การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมืองหรือดำเนินการในลักษณะใดๆ ต่อการกระทำที่คิดว่าจะทำลายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือพฤติกรรมที่สะท้อนการเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย

กรณีของประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญเริ่มต้นปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540[4] โดยในช่วงเริ่มต้นจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญไทยใหม่ๆ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่น่าเคารพท่านหนึ่งได้เคยให้อธิบายความมุ่งหมายของท่านในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ”[5] ทว่า ภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างความน่าเชื่อถือทางการเมืองเป็นไปเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาจนถึงช่วงภายใต้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จนถึงรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มปรากฏเด่นชัดในฐานะคู่ขัดแย้งทางการเมือง ในฐานะกลไกในการรักษาอำนาจของฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกรับรองโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และวุฒิสภาของ คสช.

ศาลรัฐธรรมนูญมาพาประเทศไทยมาสู่ทางตันหลายครั้งหลายหน

ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกตั้งคำถามจากประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เท่ากับนายสมัครปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้าง จึงเป็นการขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีและพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือเป็นกรณีที่ศาลถูกนำมาใช้สร้างอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

และท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 19/2565 ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือคำวินิจฉัยที่ 20/2564 เรื่องขอให้ศาลพิจารณาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดให้การสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะชอบด้วยกฎหมายไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยต่างๆ เหล่านี้ของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตันทีละเล็กละน้อย และบีบให้ประชาชนไม่มีจุดให้ไปต่อ เพราะศาลได้บีบให้การเมืองต้องมาถึงทางตันที่จะไปอย่างไรตามหลักการประชาธิปไตย ทำให้เกิดการสลายขั้วทางการเมือง หรือทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ศาลควรจะพิทักษ์ไว้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำได้จริงตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างสภาวะที่ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นใหญ่ (the supremacy of constitutional court)

ในกรณีของการรับคำร้องของ กกต. ตามเรื่องพิจารณาที่ 23/2566 ถึงสมาชิกภาพของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครั้งนี้ อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไทยไปสู่ทางตันและความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่?

ย้อนดูคดีเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญคิดอย่างไร

เจตนารมณ์ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้นก็เพื่อมุ่งหมายมิให้ได้ประโยชน์จากกิจการดังกล่าวที่จะส่งผลให้มีอิทธิพลสั่งการกำหนดทิศทางของกิจการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเอื้อประโยชน์ตอบแทนของบริษัทในฐานะว่าที่ หรือผู้อยู่ในตำแหน่งผู้แทนราษฎร[6] อย่างไรก็ดี คำอธิบายใดๆ ทางวิชาการในประเทศนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้ได้

สิ่งที่สังคมรู้ตอนนี้คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต. แล้ว และยังไม่อาจทราบได้ว่า ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะใด แต่สิ่งที่อาจจะพอคาดเดาได้ก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจจะพอเป็นกระจกสะท้อนภาพของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้ โดยที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่ามีการถือหุ้นสื่อมาแล้ว 3 ครั้ง

ในครั้งแรกในคดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามคำวินิจฉัยที่ 14/2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในระหว่างสมัครรับเลือกตั้ง แม้จะได้โอนหุ้นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ถือหุ้นแทนธนาธรหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งศาลไม่เชื่อว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โอนหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบกับกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ และในเอกสารแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ (แบบ สสช.1) ระบุว่า ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ รวมถึงในเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ยังระบุว่า มีรายได้จากการให้บริการโฆษณา ดังนั้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จึงเป็นธุรกิจประกอบการสื่อ แม้ว่าบริษัทจะหยุดประกอบกิจการไปแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการหรือเจ้าของกิจการตามกฎหมาย จึงยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ตามคำวินิจฉัยที่ 20/2563 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด ในระหว่างดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จะแจ้งว่าได้ทำการโอนหุ้นก่อนวันเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นว่ามีพยานหลักฐานที่หนักแน่นพอว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวจริง และพบความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้น จึงไม่เชื่อว่ามีการโอนหุ้นจริง และคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ยังถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่ ประกอบกับบริษัททั้งสองมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ และประกอบกิจการผลิตสื่อภาพยนตร์ โฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ สื่อการแสดง และสื่อการตลาดต่างๆ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย และในเอกสารนำส่งงบการเงิน รวมถึงเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ระบุว่า ธุรกิจยังมีการดำเนินการที่มีรายได้อยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ดังจะเห็นได้ว่า เงื่อนไขสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวถือหุ้นสื่อหรือไม่ก็คือ บุคคลดังกล่าวถือหุ้นของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์เป็นการจัดทำสื่อในลักษณะต่างๆ และบริษัทยังคงมีรายได้จากการประกอบกิจการจากผลิตสื่อ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยที่ 18-19/2563 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ (ผู้ถูกร้องที่ 20) ซึ่งถือหุ้นบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หรือรับจ้างพิมพ์ ออกหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ และสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศทุกภาษาตามข้อ 28 โดยศาลรัฐธรรมนูญในเสียงข้างมากได้ให้ความเห็นว่า ตามแบบ สสช.1 ระบุว่าประกอบกิจการการบริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม แต่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีรายได้ใดๆ จากการให้บริการ และผลประกอบการขาดทุนสุทธิเป็นเงินจำนวน 97,415.51 บาท ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

ชวนทำนายผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าเราคิดตามหลักการของรัฐธรรมนูญและเป้าหมายของการป้องกันการถือหุ้นสื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนำไปสู่การใช้อำนาจครอบงำ ซึ่งในกรณีนี้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลสู่สาธารณะว่าได้ยุติการให้บริการเนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมายองค์การจัดสรรคลื่นความถี่ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อโฆษณาแต่อย่างใด[7]

หากถือตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ควรจะต้องไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพและศาลรัฐธรรมนูญจึงควรมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

อย่างไรก็ดี ความไม่ชอบมาพากลของเรื่องยังมีอยู่อีกมาก เพราะหากพิจารณางบการเงินล่าสุดพบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (นำส่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2566) งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 19,974,084.00 บาท กำไรสุทธิ 8,635,285.00 บาท งบดุลรวมสินทรัพย์ 1,266,191,686.00 บาท หนี้สิน 2,891,997,086.00 บาท ขาดทุนสะสม 7,480,276,245.00 บาท[8] ซึ่งไม่ตรงกับที่มีการกล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้น[9]

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของการเป็น สส. ดังกล่าวนี้ จึงน่าสนใจมากอยู่เสมอ เพราะด้วยสถานการณ์การเมืองดังกล่าวที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่า หลักการใดๆ ก็อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตามหลักวิชาการ นอกจะบอกว่าการเมืองตอนนี้คือผลรวมของการละเมิดกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นความสับสนทางการเมือง

ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่สังคมไทยควรจะต้องทำมากที่สุดก็คือ การกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการออกแบบสถาบันตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้น และมีบทบาทหน้าที่จำกัดอย่างเหมาะสมในฐานะขององค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร,ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), น.37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง, น.37 และ อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558) น.27.

[3] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, “หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย,” วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,  (กันยายน 2557) : น.634 – 635 และ 643 – 644.

[4] ดู หมวด 8 ศาล ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[5] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ,” วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 4 เล่มที่ 10,  (มกราคม – เมษายน 2545) : น.3-7.

[6] มติชน (12 พฤษภาคม 2566), “พรสันต์ ยก 3 เหตุผล ชี้ พิธา ถือหุ้นสื่อ itv ไม่ส่งผลให้สถานะ ส.ส.ต้องพ้นไป,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[7] วัชชิรานนท์ ทองเทพ (28 พฤษภาคม 2566), “ไอทีวี ยุติธุรกิจสื่อไปแล้ว ยังถือเป็นสื่อมวลชนหรือไม่,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[8] สำนักข่าวอิศรา (9 มิถุนายน 2566), “สถานะไอทีวีปมหุ้นพิธา! หมายเหตุประกอบงบฯ ฉบับล่าสุดชัดดำเนินการค้าตามปกติ,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[9] โพสต์ทูเดย์ (15 มิถุนายน 2566), “ITV แจงปมคลิปประชุมผู้ถือหุ้นไม่ตรงกัน,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

ยกเว้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลที่อาจตามมา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีความสำคัญทั้งในด้านของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และในด้านของการกำกับดูแลการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญทั้งกับภาคธุรกิจและการดำเนินภารกิจของหน่วยงานของรัฐ

เมื่อไม่นานมานี้หลังจาก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ใช้บังคับมาได้เพียง 1 เดือน คณะรัฐมนตรีได้มีมติและเห็นชอบหลักการของพระราชกฤษฎีกายกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ. ให้กับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในหน่วยงานของรัฐ

เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ การจัดเก็บภาษีของหน่วยงานรัฐ การดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ การดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ การดำเนินการของหน่วยงาน ศาล อัยการ และผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งขอบเขตของการยกเว้นดังกล่าวค่อนข้างกว้าง และอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศ

ในด้านสิทธิและเสรีภาพของประชาชน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทำหน้าที่เสมือนผ้าเบรกช่วยลดการแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัว และคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยการกำหนดมาตรฐานและวิธีการในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

การยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ. นั้นมีความน่ากังวลในประเด็นนี้ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ขอบเขตของการยกเว้น ซึ่งตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีการยกเว้นการนำกฎหมายมาใช้ในเรื่องสำคัญๆ ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล การร้องเรียน ความรับผิดทางแพ่ง และบทกำหนดโทษ ซึ่งเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐลอยนวลพ้นผิดจากการละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบต่างๆ

เรื่องที่สองคือ วัตถุประสงค์ของการยกเว้น อาทิ การรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นมีความไม่เฉพาะเจาะจง และไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะมีความหมายเช่นไรขึ้นกับดุลยพินิจและการตีความของหน่วยงานรัฐ ซึ่งข้อยกเว้นดังกล่าวนั้นขยายออกไปจากข้อยกเว้นเดิมที่กฎหมายกำหนดไว้

ที่ผ่านมาภาครัฐมีปัญหาในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาโดยตลอด ดังเช่นในปีที่ผ่านมา พบว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานของรัฐ 5 ครั้ง ซึ่งข้อมูลที่รั่วไหลนั้นรวมถึงข้อมูลสุขภาพที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ

นอกจากเรื่องรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว ล่าสุดภาครัฐยังมีประเด็นเกี่ยวกับการคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชนที่น่ากังวลและไม่ชัดเจน จากกรณีที่มีนักกิจกรรมหลายคนถูกติดตามด้วยซอฟต์แวร์สปายแวร์บนโทรศัพท์มือถือ และถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลรวมถึงข้อมูลพิกัดตำแหน่งบุคคลโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะขายซอฟต์แวร์ให้กับภาครัฐเท่านั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบของภาครัฐ ดังนั้น การยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ยิ่งอาจจะทำให้มีปัญหาให้หน่วยงานของรัฐใช้หรือเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากความรับผิดชอบ และกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหาวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดเมื่อเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

ในทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทำหน้าที่สำคัญในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่มีความจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดน

ดังจะเห็นได้จากกรอบความตกลงทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น RCEP หรือ CPTPP เป็นต้น ที่กำหนดให้ประเทศภาคีต้องรับรองหลักการดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างประเทศจีนต้องผ่านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมาในปีที่ผ่านมา

หลักการสำคัญของการเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดนนั้นให้ความสำคัญกับการส่งข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะต้องมีมาตรฐานในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอไม่น้อยกว่าประเทศผู้ส่งข้อมูลส่วนบุคคล

ซึ่งตาม GDPR หรือ General Data Protection Regulation  ของสหภาพยุโรปกำหนดว่า มาตรฐานที่เพียงพอนี้รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายจะต้องไม่ถูกแทรกแซงโดยรัฐหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติรัฐที่มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ดังนั้น ผลของพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เปิดช่องให้สามารถตีความ รวมถึงไม่ได้มีการรับรองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้ ก็อาจจะทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เท่าเทียมกันกับสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ อิทธิพลของ GDPR ได้สร้างมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ทั่วโลก หากประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเทียบเท่า GDPR ก็จะมีผลให้ประเทศไทยไม่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศอื่น ซึ่งทำให้การเคลื่อนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลเข้ามาในประเทศไทยทำได้ยาก และทำให้เอกชนของประเทศไทยอาจจะพลาดโอกาสในการเติบโตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

หากคณะรัฐมนตรียังต้องการผลักดันพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวต่อไป ต้องพิจารณาข้อน่ากังวลที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งสองประการข้างต้น และควรตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้เป็นสำคัญ

ช่องโหว่กฎหมาย PDPA เมื่อ ‘Big Brother’ จ้องคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 บนเว็บไซต์ waymagazine.org

“Big brother is watching you”

ประโยคข้างต้นสะท้อนนัยของการคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชนผ่านการสอดส่องโดยรัฐ การสอดส่องการกระทำของประชาชนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในโลกวรรณกรรม แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ซึ่งล่าสุดในประเทศไทยก็เกิดกรณีที่นักกิจกรรมออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะถึงการได้รับคำเตือนทางโทรศัพท์ว่ากำลังถูกเจาะระบบ และนำมาสู่การเปิดเผยว่ามีการใช้สปายแวร์ ‘เพกาซัส’ ในประเทศไทย 

การล่วงล้ำเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของประชาชน จากการใช้อำนาจรัฐหรือปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยการไม่คำนึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อจุดประสงค์ในทางการเมือง ถือได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมโดยรัฐที่ทำกับประชาชนรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันอาจจะเลวร้ายมากขึ้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้คณะรัฐมนตรีได้มีความพยายามที่จะยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนด้วยข้อความที่คลุมเครือและเปิดช่องให้เกิดการตีความให้ได้เปรียบแก่รัฐในการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

บทความชิ้นนี้เป็นบทวิเคราะห์ให้เห็นความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวที่ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และอำนาจของประชาชนที่จะต่อสู้กับรัฐในสถานการณ์ที่รัฐไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันที่รัฐพยายามละเมิดสิทธิประชาชนโดยอาศัยช่องโหว่ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565

การสอดส่องประชาชนโดยรัฐ = การก่ออาชญากรรมโดยรัฐ

หลายคนอาจคุ้นหูและเคยเห็นข้อความว่า “Big brother is watching you” จากสื่อต่างๆ ซึ่งมีที่มาจากวรรณกรรมเรื่อง 1984 ของ จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) พื้นหลังของเรื่องเล่าถึงประเทศสหราชอาณาจักรที่ถูกปกครองโดยระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ โดยรัฐจะสอดส่องชีวิตของประชาชนผ่านระบบเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘telescreen’ ซึ่งใช้ในการสอดส่องการกระทำของประชาชน รวมถึงเพื่อให้แน่ใจว่า ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองจะประพฤติและปฏิบัติตัวเป็นไปตามที่ความต้องการที่ผู้ปกครองกำหนดหรือไม่ 

สถานการณ์ดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดเฉพาะในงานวรรณกรรมเท่านั้น ทว่าการสอดส่องประชาชนโดยรัฐนั้นได้เกิดขึ้นจริง โดยมีตัวอย่างหลายกรณีทั่วโลก เช่น การสร้างระบบคลาวด์ตำรวจ (police cloud) ของประเทศจีน ซึ่งระบบจะทำการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ประวัติการรักษาพยาบาล ข้อมูลสมาชิกซูเปอร์มาร์เก็ต และข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับหมายเลขประจำตัวประชาชน ทำให้ระบบสามารถติดตามประชาชนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และทราบได้ว่าเป้าหมายนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลใด รวมถึงการคาดการณ์กิจกรรมในอนาคตของบุคคลนั้น โดยวัตถุประสงค์ของระบบคลาวด์ตำรวจนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์กับบุคคล เป็นต้น[1]

ย้อนกลับมาในกรณีของประเทศไทยล่าสุดนี้ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสอดส่องประชาชนโดยอาศัยสปายแวร์ (spyware) ที่มีชื่อว่า ‘เพกาซัส’ (Pegasus) โดยกลุ่มเป้าหมายที่ถูกสอดส่องส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักกิจกรรม นักวิชาการ ทนายความ และนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทย 

จากการสรุปของ Citizen Lab หรือห้องปฏิบัติการสหวิทยาการจาก Munk School of Global Affairs พบว่า ปัจจุบันมีนักกิจกรรมทางการเมืองกว่า 30 คน ถูกสอดส่องโดยเพกาซัสในช่วงปี พ.ศ. 2563-2564[2] และจากการศึกษาของ iLaw พบว่า ช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่มีการพยายามเจาะระบบโทรศัพท์นั้นจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบันออกจากตำแหน่ง หรือการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์[3]

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับภูมิหลังของสปายแวร์นี้แล้วจะพบว่า สปายแวร์ดังกล่าวเป็นของบริษัท NSO Group ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอิสราเอลที่เป็นผู้พัฒนาและให้บริการด้านความมั่นคงไซเบอร์ โดยบริษัทดังกล่าวจะให้บริการเฉพาะกับหน่วยงานของรัฐ และเป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลของประเทศอิสราเอลแล้วเท่านั้น[4]

รายชื่อบุคคลผู้ถูกคุกคามและช่วงเวลาที่มีการเจาะระบบ

ที่มา: CitizenLab (2022)

นัยของการสอดส่องประชาชนโดยรัฐนั้น ไม่เพียงแสดงถึงลักษณะการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมโดยรัฐแล้ว การสอดส่องประชาชนโดยรัฐยังอาจก่อให้เกิดอาชญากรรมรูปแบบอื่นๆ ต่อไปได้อีก เช่น การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา วรรณะ และลัทธิทางการเมือง เพื่อการสร้างความเกลียดชัง และเลือกปฏิบัติกับตัวบุคคลโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมา ดังเช่นในสมัยนาซีเยอรมันที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว เป็นต้น หรือการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยรัฐอาจใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อดำเนินคดีในประเด็นสาธารณะ และเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือคู่ขัดแย้งทางการเมือง[5]

นอกจากนี้ การคุกคามสิทธิความเป็นส่วนตัวโดยรัฐนั้นอาจจะเกิดจากวิธีการที่เป็นทางการ ผ่านการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายหรือปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ที่มีกฎหมายรองรับ หรือวิธีการที่มีความเป็นทางการน้อยกว่า อย่างปฏิบัติการเชิงข้อมูลข่าวสาร (information operation: IO) โดยการนำข้อมูลส่วนบุคคลหรือเรื่องส่วนตัวของบุคคลดังกล่าวมาเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเกลียดชัง 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (Amnesty international Thailand) ระบุว่า ปลายปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลได้เปิดเผยแผนการผลักดัน ‘ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก’ ในลักษณะสงครามไซเบอร์ ซึ่งกองกำลังไซเบอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดส่องสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารออนไลน์ของคนทำงานภาคประชาสังคมเพื่อระบุตัวผู้ต่อต้านรัฐบาล และมีความเป็นไปได้ที่กองทัพไซเบอร์นั้นจงใจปล่อยข่าวปลอมเพื่อคุกคามนักสิทธิมนุษยชนทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งดำเนินคดีกับประชาชนทั่วไปที่พยายามแสดงถึงเสรีภาพในการแสดงออก[6]

การรุกล้ำข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อความมั่นคงของรัฐ ในนามกฎหมาย PDPA

ดังจะเห็นได้ว่า นัยของสิทธิความเป็นส่วนตัวนั้นมีความสำคัญในฐานะส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนสมัยใหม่[7] และได้รับการรับรองเอาไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีการบัญญัติรับรองสิทธิความเป็นส่วนตัวเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ[8] โดยในบางประเทศสิทธิความเป็นส่วนตัว และสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล อาจได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษจากกฎหมายเฉพาะ เนื่องจากในชีวิตของคนหนึ่งคนประกอบไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก อาทิ ชื่อ-นามสกุล เพศ อายุ อาชีพ ศาสนา ความเชื่อ ความคิดเห็น หรือความเชื่อทางการเมือง สถานะทางเศรษฐกิจ จนถึงรสนิยมการดำรงชีวิตหรือการบริโภค ซึ่งข้อมูลดังกล่าวผูกพันหรือยืนยันความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นให้แตกต่างไปจากบุคคลอื่น[9] ฉะนั้น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นสาระสำคัญของการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัว เพราะหากปราศจากการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พลเมืองก็จะปราศจากวิธีการและเครื่องมือในการใช้สิทธิความเป็นส่วนตัว และปกป้องสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองจากการล่วงละเมิด เพื่อบรรเทาการแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัว[10]

วัตถุประสงค์ของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือ การให้สิทธิกับประชาชนในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ในการควบคุมและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองจากการถูกละเมิด กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเกิดขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน หรือ NGO และไม่ว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะเกิดขึ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือกระดาษ[11] ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้นได้มีการตรา พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ขึ้นมาเพื่อเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล[12]

คำถามสำคัญก็คือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สามารถที่จะคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลและการคุกคามความเป็นส่วนตัวจากรัฐได้หรือไม่ ซึ่งหากในสถานการณ์ปกติอาจจะกล่าวได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้อาจช่วยบรรเทาการแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัว โดยการเรียกร้องให้การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการของพระราชกฤษฎีกายกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยหน่วยงานของรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ การจัดเก็บภาษีของหน่วยงานรัฐ การดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ การดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ การดำเนินการของหน่วยงาน ศาล อัยการ และผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยมิให้นำบทบัญญัติในหมวดเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล การร้องเรียน ความรับผิดทางแพ่ง และบทกำหนดโทษมาใช้บังคับหน่วยงานของรัฐในวัตถุประสงค์ดังกล่าว[13] ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อยกเว้นดังกล่าวนั้นกว้างกว่าข้อยกเว้นเดิมที่กฎหมายกำหนดไว้[14] และอาจทำให้หน่วยงานของรัฐทั้งหลายตบเท้าเข้ามาเพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนได้ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยประชาชนปราศจากเครื่องมือในการต่อสู้

ปัญหาสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวก็คือ ขอบเขตของการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจง สุดแต่ผู้มีอำนาจจะตีความ และที่ผ่านมาการตีถ้อยคำว่า ‘การรักษาความมั่นคงปลอดภัย’ ‘ความปลอดภัยสาธารณะ’ หรือ ‘ประโยชน์สาธารณะ’ ล้วนแต่มีปัญหาในการตีความที่นำมาสู่การตั้งคำถามของสังคมเกี่ยวกับความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงข้อยกเว้นดังกล่าวยังตอกย้ำวัฒนธรรม ‘ลอยนวลพ้นผิด’ ตามวิถีนิติรัฐแบบไทยๆ ที่มอบอภิสิทธิ์อย่างล้นๆ เกินๆ แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่จะละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ในนามของกฎหมาย

ท้ายที่สุดหากรัฐบาลมีความจริงใจ โปร่งใส และมุ่งหมายที่จะเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว รัฐบาลควรที่จะระงับแผนการที่จะผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง


เชิงอรรถ

[1] Human Right Watch, ‘China: Police ‘Big Data’ Systems Violate Privacy, Target Dissent Automated Systems Track People Authorities Claim Threatening’ (Human Right Watch, 19 November 2017). <https://www.hrw.org/news/2017/11/19/china-police-big-data-systems-violate-privacy-target-dissent> accessed 22 July 2022.

[2] John Scott-Railton, Bill Marczak and others, ‘GeckoSpy: Pegasus Spyware Used Against Thailand’s Pro-Democracy Movement’ (The Citizen Lab, 17 July 2022). <https://citizenlab.ca/2022/07/geckospy-pegasus-spyware-used-against-thailands-pro-democracy-movement/> accessed 22 July 2022.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] iLaw, ‘ปรสิตติดโทรศัพท์ : ข้อค้นพบเมื่อสปายแวร์เพกาซัสถูกใช้ต่อผู้เห็นต่างจากรัฐบาล’ (iLaw, 16 กรกฎาคม 2565). <https://freedom.ilaw.or.th/report-parasite-that-smiles-th> สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2565.

[5] See Privacy International, ‘The Keys to Data Protection: A Guide for Policy Engagement on Data Protection’ (5 September 2018). <https://www.privacyinternational.org/report/2255/data-protection-guide-complete> accessed 23 July 2022, 26.

[6] แอมเนสตี้, ‘สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกออนไลน์’ (Amnesty) <https://www.amnesty.or.th/our-work/onlinefreedom/> สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2565.

[7] ดู ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 12.

[8] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 32.

[9] นคร เสรีรักษ์, ความเป็นส่วนตัว: ความคิด ความรู้ ความจริง และพัฒนาการเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย (พิมพ์ครั้งที่ 2, พี.เพรส 2563) 101.

[10] Privacy Internationaol (no 5) 12.

[11] Ibid; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘PDPA101: มาเข้าใจกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแบบนับหนึ่งกันเถอะ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 มิถุนายน 2565). <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1121> สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2565.

[12] ดู พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[13] รัฐบาลไทย, ‘สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2565’ (รัฐบาลไทย, 5 กรกฎาคม 2565) <https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56572?fbclid=IwAR3urkjQeTG60Xuu0gDYBT6rBmBityC30hJwHTtQncP8bEmGGPfCz30DdrA> สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2565.

[14] พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 4.

24 มิถุนายน 2475: อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พลิกฟ้าปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…” 

ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
(พ.ศ. 2475 ตามปฏิทินเก่า)


การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
 มีความสำคัญในฐานะของวันที่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นคำที่ ปรีดี พนมยงค์ ใช้อธิบายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี การดำเนินการของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบอบการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ของประเทศ ดังเช่นที่ปรีดี ได้กล่าวไว้ใน เค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[2] 

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแล้วสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า โครงสร้างของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นมีความฝืดเคืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ กระบวนการสะสมทุนทางเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำจนส่งผลโดยตรงต่อความทุกข์ยากของราษฎร[3]

ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในปัจจุบันงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกผ่านการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริง[4] โดยกลุ่มขุนนางและเจ้าศักดินาในระบอบเดิมได้ปรับตัวเข้ากับระเบียบโลกใหม่ตามพระราชนิยมและความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สยามจะอาศัยประโยชน์นี้โดยเข้าไปมีส่วนร่วมและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก การค้าเพื่อสะสมทุนได้เข้ามาเป็นฐานอำนาจหลักของชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่แทน[5]

รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเวลานั้นให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางผ่านการสถาปนารัฐราชการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประการที่สอง การรวมทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้การควบคุมของรัฐบาลราชสำนักที่กรุงเทพฯ[6]

กล่าวเฉพาะในเรื่องของการระดมทรัพยากร ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นก็คือ “ที่ดิน” กลไกที่รัฐบาลในเวลานั้นใช้ก็คือ การออกพระบรมราชโองการประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 120 และพระบรมราชโองการประกาศแก้วิธีและพิกัดเก็บเงินค่านา ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บอากรค่านาของรัฐบาลราชสำนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องมีการประเมินใหม่ทุกปีดังเช่นนาฟางลอย แต่ผลกระทบกลับตกอยู่กับชาวนา เพราะนอกจากอากรค่านาจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว จาก 1 สลึงเป็น 1 บาทแล้ว ชาวนายังถูกบังคับให้ต้องทำนาให้เต็มพื้นที่ทุกปี เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องเสียอากรอยู่ดี[7] ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบต่อชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ในเวลานั้นนอกจากอาชีพข้าราชการแล้ว อาชีพอีกอย่างหนึ่งที่ชาวสยามนิยมทำกันคือ การทำเกษตรกรรม เป็นชาวนา  โดยจากการสำรวจของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจในชนบท ในปี พ.ศ. 2473 พบว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในสยามจะมีอาชีพเป็นชาวนา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและอาศัยวิธีการเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน[8] และสภาพของการทำนาในเวลานั้นพึ่งพาธรรมชาติและขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี ประกอบกับต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมา แต่ได้ผลตอบแทนน้อย[9] แต่กลับต้องแบกรับภาระจากการทำนาเป็นอาชีพเป็นจำนวนมากทั้งภาษีและค่าใช้จ่ายในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ดังนั้น นโยบายทางการเงินการคลังในช่วงก่อน 2475 กลายเป็นเครื่องมือในการดึงส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจจากราษฎรตามหัวเมืองต่างๆ ที่เรียกว่า ‘การสกัดส่วนเกิน’ เพื่อมาแบ่งสรรให้แก่ชนชั้นปกครองโดยเฉพาะราชสำนักและกองทัพ[10]

การอภิวัฒน์สยามเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ผลของความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เอง ทำให้เมื่อเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจตนารมณ์นี้ปรากฏชัดเจนใน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ความว่า

“…บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”

นอกจากนี้ ความในประกาศคณะราษฎรแล้ว อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะราษฎรมุ่งที่จะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็คือ หลักการในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 3

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

เมื่อพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังนั้น ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญ และผู้ถูกเรียกว่า มันสมองของคณะราษฎรนั้น เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านทฤษฎีปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องบน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องล่าง ซึ่งก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ[11] โดยการทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องทางเศรษฐกิจผ่านกระบวนการประชาธิปไตย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย


เชิงอรรถ

[1] พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล, ‘บางบันทึกของ ‘ปรีดี’ ต่อกรณีอภิวัฒน์สยาม 2475’ (the 101.world, 30 มิถุนายน 2560) <https://www.the101.world/pridi-on-2475/> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565; อิทธิพล โคตะมี, ‘การอภิวัฒน์ที่นำมาสู่หลักการ ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 16 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/738> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150.

[3] อิทธิพล โคตะมี, ‘การสกัดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ : กลไกสะสมทุนศักดินา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1063> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563 <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[5] อิทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 4).

[9] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525) 57.

[10] ทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.