ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

ชื่อบทความ: ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

เผยแพร่ใน: วารสารนิติพัฒน์ ปีที่ 13 เล่มที่ 1 (2567) มกราคม – มิถุนายน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร. วารสารนิติพัฒน์, 13(1). https://so04.tci-thaijo.org/index.php/nitipat/article/view/269947

บทคัดย่อ

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ทำให้เกิดรูปแบบการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ อาทิ การสั่งอาหาร ซึ่งช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ได้มาพร้อมกับประเด็นความท้าทายทางสังคม หนึ่งในความท้าทายที่มีความสำคัญที่จะถูกกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ การคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากรูปแบบการประกอบธุรกิจแบบใหม่ที่ไม่มีลักษณะเหมือนการทำงานในสถานประกอบการในอดีตทำให้สถานะของคนทำงานบนแพลตฟอร์มมีความพร่าเลือนระหว่างการเป็นแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงานหรือการเป็นแรงงานอิสระตามสัญญาจ้างทำของ สภาพการมีนิติสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้คนทำงานบนแพลตฟอร์มไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากข้อจำกัดของกฎหมายแรงงานในปัจจุบันที่ขาดความยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความท้าทายอีกประการหนึ่งก็คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มที่มีเหนือคนทำงานแพลตฟอร์มนั้นทำให้คนทำงานไม่มีทางเลือกที่เป็นอิสระในการทำงานอย่างแท้จริงและต้องผูกติดอยู่กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก

บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบต่อแรงงานที่เกิดจากปัจจัยทั้งสองประการคือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม และข้อจำกัดของกฎหมายแรงงาน เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทั้งสอง ประกอบกับการศึกษากรอบแนวทางการทำงานที่เป็นธรรมและแนวทางการคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์มของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเพื่อนำมาสู่การแสวงหาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม  ทั้งนี้ ในการศึกษาครั้งนี้เลือกศึกษาแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นกรณีศึกษา โดยพบว่าข้อนิติสัมพันธ์ที่แบ่งแยกภายใต้กฎหมายแรงงานและกฎหมายจ้างทำของไม่สามารถที่จะมาคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้ จึงเสนอแนะให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ

จะช่วยแรงงานยุคใหม่ รัฐควรต้องปรับตัว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ธุรกิจแพลตฟอร์ม” เป็นการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากการประกอบธุรกิจที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากสั่งสมและพัฒนาเทคโนโลยีหลายด้านๆ เข้าด้วยกัน วัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มคือ การเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นฐานในชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้สะดวกสบายมากขึ้น อาทิ การเดินทาง โดยเข้ามาช่วยเติมเต็มและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงรถโดยสารสาธารณะหรือการไม่มียานยนต์ขับขี่ส่วนตัว หรือการส่งอาหาร ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่ทุกร้านอาหารจะมีบริการส่งอาหาร

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนำมาสู่ปัญหาใหม่ๆ ในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ด้วยลักษณะของธุรกิจแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานและความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีอดีต ทำให้กรอบทางกฎหมายที่เคยใช้ในการคุ้มครองแรงงานอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มก็ได้รับผลกระทบจากการมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการต่อรองกับธุรกิจแพลตฟอร์มได้เหมือนกับแรงงานในอดีต

มิเพียงเท่านี้บทบาทของรัฐในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ของแรงงานกลุ่มนี้ทำได้จำกัด เพราะลักษณะของธุรกิจที่ซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้รัฐไม่สามารถที่จะตามธุรกิจแพลตฟอร์มเหล่านี้ทันและสร้างมาตรการเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของแรงงานแพลตฟอร์มได้

บทความนี้ต้องการจะนำเสนอรายละเอียดของสภาพปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่แรงงานในแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นหลัก พร้อมทั้งให้แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นกับรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ลักษณะธุรกิจที่ผิดแปลกจากอดีต

ในอดีตเวลาเราต้องการสั่งพิซซ่าจากร้าน เราอาจจะโทรศัพท์ไปที่ Call Center โดยตรง (ถ้าไม่ได้สั่งที่ร้าน) และร้านพิซซ่าก็จะให้พนักงานขับรถมาส่งอาหาร ลักษณะของการขายสินค้าจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างร้านอาหารกับผู้บริโภคโดยตรง ยอดขายและความสามารถในการส่งสินค้าขึ้นอยู่กับโปรโมชันและศักยภาพในการส่งสินค้าของร้านอาหารโดยตรง

แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจนั้นได้เปลี่ยนไปเมื่อธุรกิจแพลตฟอร์มมาถึง แพลตฟอร์มเข้ามาทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สาม ในการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริโภคและ Partner ซึ่งได้แก่ ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร สภาพดังกล่าวทำให้เกิดความสัมพันธ์ 3 ฝ่ายระหว่างผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร

ทั้ง 3 ฝ่ายนี้ถูกเชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นตัวกลางในการจับคู่ธุรกรรม กล่าวให้ง่ายขึ้นคือ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการความต้องกลางของผู้บริโภคสินค้า ร้านอาหารในการขายของ และคนขับรถส่งอาหารในการหารายได้จากการทำงาน

สิ่งนี้ทำให้เกิดสภาพการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มแตกต่างจากอดีตที่โดยทั่วไปแล้วเป็นตลาดด้านเดียว (Single-sided Market) กล่าวคือเป็นตลาดระหว่างผู้บริโภคกับผู้ขายสินค้า แต่ในกรณีของแพลตฟอร์มที่มีทั้งผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหารลักษณะของตลาดการประกอบธุรกิจจึงกลายเป็นตลาดหลายด้าน (Multi-sided Market) ด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์หลายคู่ที่เชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มอยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์เหล่านั้น ดังปรากฏตามภาพประกอบข้างท้ายนี้

ที่มา: FourWeekMBA

ความสัมพันธ์แบบตลาดหลายด้านนี้ ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากอำนาจทางเศรษฐกิจแบบเดิมคือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

อำนาจแพลตฟอร์มเหนือการควบคุมแบบเดิม

อำนาจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบเดิมในอดีตคือ การมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกรรมหลายฝ่ายในตลาดหลายด้านทำให้แพลตฟอร์มเกิดอำนาจใหม่คือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

การเกิดขึ้นของอำนาจแพลตฟอร์มนี้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก ผลกระทบเชิงเครือข่าย (Network effect) ที่เกิดจากความสัมพันธ์หลายฝ่ายบนธุรกรรมแพลตฟอร์ม เมื่อแพลตฟอร์มสามารถดึงเอาผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกัน ทำให้ลักษณะการทำงานของตลาดแพลตฟอร์มแตกต่างธุรกิจดั้งเดิมโดยเป็นตลาดหลายด้าน (Muti-sided market) ตลาดแต่ละด้านจะส่งผลเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน กล่าวคือ เมื่อตลาดด้านผู้บริโภคเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ตลาดด้านผู้ขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทำให้เกิดความอยากขายสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในส่วนของตลาดด้านคนขับรถส่งอาหารก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกันจากการเล็งเห็นว่ามีงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เรียกว่าผลกระทบเชิงเครือข่ายที่เกิดจากผลกระทบในตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง

ประการที่สอง ความสามารถในการสกัดกั้น ควบคุม และวิเคราะห์ข้อมูล โดยความสามารถนี้เกิดขึ้นมาจากการสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าปกติ ซึ่งในอดีตการเก็บข้อมูลเพื่อรู้จักตัวผู้บริโภคกระทำผ่านการสำรวจความต้องการทางการตลาด แต่การที่แพลตฟอร์มสามารถเก็บรวบรวมคนจำนวนมาก และเก็บข้อมูลได้ในระดับพฤติกรรมแบบ Real time ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพในการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้วิเคราะห์ รวมถึงควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ขายสินค้า และคนขับรถขนส่งอาหารบนแพลตฟอร์ม ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะรายบุคคล และผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจกับผู้ขายสินค้าและคนส่งอาหาร รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้สร้างเงื่อนไขในการใช้บริการ

ประการที่สาม ต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม เนื่องจากการเปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่เพียงความไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ใช้งานของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน แต่การย้ายไปสู่แพลตฟอร์มใหม่มีต้นทุนที่มากกว่านั้น ในแง่หนึ่งคือผลประโยชน์ในเชิงของชื่อเสียง ที่ได้รับจากการให้คะแนนรีวิวสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม รวมถึงการสร้างระบบผลประโยชน์ตอบแทนในระบบบิดภายใต้แพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถโอนย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ อาทิ คะแนนสะสม และเครดิตเงินคืน สิ่งนี้กระทบต่อคนส่งอาหารในฐานะแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ เพราะเท่ากับว่าแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการโยกย้ายแพลตฟอร์ม เพราะแรงงานจะสูญเสียคะแนนจากการรีวิว และแม้ว่าในทางปฏิบัติเราจะเห็นว่าแรงงานอาจจะทำงานให้มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งนี้มีข้อจำกัดและไม่ได้สะดวกอย่างที่เห็นซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

ไม่เพียงแต่อำนาจของแพลตฟอร์มเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มแตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมและกระทบต่อความสัมพันธ์ในทางแรงงานคือ การอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ธุรกิจแพลตฟอร์มอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่รองรับความสัมพันธ์ของแรงงานแบบเดิม ทำเกิดภาวะสุญญากาศในการคุ้มครองแรงงานและคนงาน กล่าวคือ กฎหมายแรงงานเดิมออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับความสัมพันธ์ในทางแรงงานในสถานประกอบการ และสัญญาจ้างแรงงานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น

ในขณะเดียวกันอำนาจของแพลตฟอร์มนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน จากงานวิจัยของของโจอันนา มาซูร์ และมาร์ซิน เซราฟิน ในปี ค.ศ. 2022 ได้ระบุว่าในกรณีของธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้นหากธุรกิจเหล่านี้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม รัฐอาจจะดำเนินการปิดกิจการนั้นเสีย หรือพยายามเข้าไปควบคุมผ่านการดำเนินการลงโทษหรือปรับเงิน แต่ธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น แตกต่างออกไปผลกระทบเชิงโครงข่ายไม่ได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีอำนาจทางทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันผลกระทบเชิงโครงข่ายได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีไพ่เหนือกว่ารัฐไปด้วย ผ่านการที่แพลตฟอร์มเข้าถึงผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมจำนวนมาก ซึ่งบรรดาคนเหล่านี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาล ทำให้เมื่อรัฐพยายามเข้ามากำกับดูแลแพลตฟอร์ม อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้บริโภคของแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ รัฐยังมีข้อจำกัดในการเข้ามาควบคุมการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม เนื่องจากปัญหาความไม่สมมาตรกันของข้อมูลของรัฐกับธุรกิจแพลตฟอร์ม เพราะว่าลักษณะของการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  เนื่องมาจากปัจจัยที่สลับซับซ้อนในการวิเคราะห์และอัลกอริธึมภายหลังระบบ ซึ่งรัฐไม่สามารถเข้าใจข้อมูลดังกล่าวได้ จากการเข้าไม่ถึงข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบของแพลตฟอร์มต่อแรงงาน

ผลกระทบของธุรกิจแพลตฟอร์มต่อแรงงานนั้น ส่งผลสำคัญมากๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากการที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปควบคุมและกำกับกิจกรรมของแพลตฟอร์มได้

การที่กฎหมายปัจจุบันไม่คุ้มครองในแรงงานในมิติต่างๆ ได้แก่

ประการแรก สัญญาจ้างแบบยืดหยุ่น การไม่นำความสัมพันธ์แบบการจ้างงานมาใช้ ทำให้ลักษณะของการทำงานของแรงงานมีความไม่มั่นคง นายจ้างมีอำนาจต่อรองและสามารถยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา

ประการที่สอง สภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง และการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านต้นทุนของการทำงานไปยังแรงงาน สภาพการทำงานที่พ้นไปจากสัญญาจ้าง ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานภายใต้แพลตฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานแรงงานทั่วไป

ประการที่สาม การไม่มีอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกัน ผลจากการไม่มีสถานะทางสัญญาจ้างแรงงานและการมีความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เหลื่อมล้ำกัน ส่งผลให้แรงงานแพลตฟอร์มต่าง ๆ นั้นจะมีระบบการจัดสรรงานและโอกาสในการทำงานให้กับแรงงานไม่เท่ากัน ในขณะเดียวกันแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แม้ว่าในทางปฏิบัติจะสามารถย้ายแพลตฟอร์มทำงานได้ แต่การย้ายแพลตฟอร์มก็มาพร้อมข้อจำกัด เนื่องจากแพลตฟอร์มสามารถตั้งเงื่อนไขให้ในกรณีที่ไม่ได้รับงานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเป็นเวลานาน  อาจทำให้ถูกปฏิเสธการเข้าใช้งานและถูกบล็อกออกจากระบบ

ประการที่สี่ การตั้งเงื่อนไขให้แรงงานแพลตฟอร์มสะสมทุนผ่านชื่อเสียง การสะสมอิทธิพลของแรงงานแพลตฟอร์ม กระทำผ่านการสะสมชื่อเสียงจากการรีวิวการทำงาน เงื่อนไขเหล่านี้ถูกนำมากำหนดเป็นความดีความชอบในการทำงาน โดยแรงงานได้ประโยชน์จากการอยู่ในระบบหนึ่งๆ แต่ไม่สามารถย้ายชื่อเสียงหรือผลงานของตัวเองออกไปยังระบบอื่นๆ ได้ โดยเมื่อออกมาจากระบบแล้ว ชื่อเสียงดังกล่าวแทบไม่มีประโยชน์ต่อแรงงานเลย

รัฐจะช่วยแรงงานได้อย่างไร

การแก้ไขปัญหานี้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายแรงงานและสัญญาจ้าง การแก้ไขกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมถึงแรงงานแพลตฟอร์มในเรื่องชั่วโมงการทำงาน การมีหลักประกันความเสี่ยงภัยในการทำงาน และความคุ้มครองที่เกิดขึ้นจากการจ่ายเงินทดแทน เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองจากที่ไม่เคยได้รับการคุ้มครองมาก่อน รวมถึงการกำหนดให้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงานล่วงหน้าเพื่อให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถตัดสินใจได้

การเข้ามาแทรกแซงนิติสัมพันธ์ในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นช่วยให้แรงงานสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การดำเนินการกำกับกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม รัฐต้องเข้าไปดำเนินการมากกว่าการควบคุมธุรกิจในแบบเดิม


อ้างอิงจาก

  • Sebastian Wismer and Arno Rasek, “Market Definition in Multi-sided Markets,” OECD [Online], accessed 16 November 2023, from https://one.oecd.org/document/DAF/COMP/WD%282017%2933/FINAL/En/pdf#:~:text=As%20multi%2Dsided%20markets%20involve%20distinct%20groups%20of%20customers%2C%20there,market%20encompassing%20all%20customer%20groups
  • ธร ปิติดล, เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย: บทเรียนจากโครงการชุมชนนโยบายเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2564).
  • สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ, “รายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาผลกระทบและนำเสนอมาตรการในการกำกับดูแล Digital Platform ในประเทศไทย,” (รายวิจัยเสนอต่อสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), 2566).
  • เดือนเด่น นิคมบริรักษ์, “การผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ,” TDRI [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2013/05/A151_Chapter2.pdf
  • ธร ปีติดล, “เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย (2): การผูกขาด การแข่งขัน และโจทย์ใหญ่ของการกำกับดูแล,” the 101.world [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://www.the101.world/platform-econ-challenge-thai-2/
  • อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ และเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร, แพลตฟอร์มอีโคโนมีและผลกระทบต่อแรงงานในภาคบริการ: กรณีศึกษาในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2561).
  • Platform Revolution, “How digital platforms increase inequality,” Platform Thinking Labs [Online] accessed on 16 November 2022, from https://platformthinkinglabs.com/materials/how-digital-platforms-increase-inequality/
  • Joanna Mazur and Marcin Serafin, “Stalling the State: How Digital Platforms Contribute to and Profit From Delays in the Enforcement and Adoption of Regulations,” Comparative Political Studies, 56(1), 101-130, https://doi.org/10.1177/00104140221089651.

ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

บริบทของการพัฒนากฎหมายแรงงานในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นก่อรูปอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงหลังปี 2475 เนื่องจากในเวลานั้นอาชีพของคนส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ อาชีพแรงงานยังเป็นอาชีพของคนส่วนน้อยในประเทศ[1] และกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยส่วนมากนั้นเป็นคนต่างด้าวมากกว่า  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากช่วงปี 2490 เป็นต้นมาการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยเริ่มเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเข้าแทนที่ของธุรกิจของประเทศตะวันตกที่เป็นคู่สงครามโดยธุรกิจคนไทย[2] ทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น[3] ซึ่งทำให้จำนวนผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ตลอดบริบทของการก่อตัวของกฎหมายแรงงานไทยนั้นจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของแรงงานไทยโดยส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีที่มาจากความตั้งใจของรัฐบาลโดยส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เกิดกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้แรงงานอย่างจริงจัง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นมาจากบริบทของการเมืองระหว่างประเทศ อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย และการเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายทางกฎหมายของรัฐบาลโดยกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516[4] 

แต่ขบวนการแรงงานไทยก็โดนแช่แข็งมาโดยตลอดรัฐบาลของคณะรัฐประหาร ซึ่งพยายามจะกดชนชั้นแรงงานไว้ให้อยู่ในสถานะที่ไม่อาจต่อรองได้เพื่อให้ยอมรับสภาพและเคยชินกับสภาวะที่ไม่มีสิทธิและเสรีภาพ เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ และในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ช่วยอำนวยผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐบาลคณะรัฐประหารไว้[5]

สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นปัญหาของการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานของประเทศไทยว่า บรรดากฎหมายแรงงานทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล หากแต่เกิดจากการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากบริบทของการเมือง เช่น ในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการผ่าน พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ. 2499 ออกมาเพื่อสร้างความนิยมทางการเมืองของตนเอง เป็นต้น หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กรณีของประเทศไทยโดนสหภาพยุโรปให้ใบเหลือง IUU แก่ประเทศไทย เนื่องจากปล่อยให้มีการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เป็นต้น ซึ่งทั้งสองสถานการณ์เป็นตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขกฎหมายแรงงานไทย

ภายใต้บทความนี้ ผู้เขียนได้ลองนำเสนอความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยผ่านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาหรือต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

ตารางแสดงบริบททางการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคมกับกฎหมายแรงงานไทย

รัฐบาลปีกฎหมายบริบท/รายละเอียด
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว2471ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ลักษณะ 6 จ้างแรงงานนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะอื่นๆ ซึ่งรองรับการขยายตัวของกิจกรรมการค้าพาณิชย์ตามแนวทางตะวันตก
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา2475พ.ร.บ. สำนักงานจัดหางาน และพ.ร.บ. จัดหางานประจำท้องถิ่นเกิดปัญหาการว่างงานขึ้นมาโดยสืบเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ[6]
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา2479กฎหมายการสอบสวนภาวะกรรมกรสอบสวนและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกรรมกรเพื่อวางนโยบาย และออกกฎหมาย[7]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม2497พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2497สหอาชีวะกรรมกรไทยได้เคลื่อนไหวออกมาเรียกร้อง[8]
2499พ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499กฎหมายนี้ได้ถูกตราขึ้นมาอย่างน้อย 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การถูกสันนิบาตชาติสอบถามถึงการมีกฎหมายแรงงานในการประชุมครั้งแรกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งองค์การดังกล่าวเมื่อ พ.ศ. 2462[9] อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของสหอาชีวะกรรมกร และ กรรมกร 16 หน่วย เคลื่อนไหวกับรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง[10] ในขณะเดียวกัน องค์กรที่รัฐบาลของจอมพล ป. ได้จัดตั้งเพื่อช่วงชิงองค์กรกรรมกรดั้งเดิม และสามารถควบคุมได้ ก็เปลี่ยนแปลงไปจนถึงขนาดไม่สามารถควบคุมได้อีก นอกจากนั้น ก็มีแรงจูงใจที่จะเอาใจกรรมกรเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้งในปี 2500[11]
  พ.ร.บ. สงเคราะห์อาชีพแก่คนไทย พ.ศ. 2499มีการรุกรานจากชาวต่างชาติซึ่งมาทำงานหากินในประเทศไทยในขณะนั้นเป็นจำนวนมาก[12]
จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
2501ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่19 ลงวันที่ 31 ต.ค. 2501 ซึ่งยกเลิก พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499  จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ทำการรัฐประหาร[13] และมองว่าการรวมกลุ่มของคนงานเป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉาน และเป็นเครื่องมือให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้การประกอบอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมมีความระส่ำระส่าย อันเป็นภัยต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[14] หากมีข้อพิพาท ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัย[15]
 2501 – 2502ออกกฎหมายในรูปประกาศของกระทรวงมหาดไทยแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499[16]เพื่อแทนที่ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ.2499 โดยประกอบด้วย…ประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้างประกาศเรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการจ่ายเงินทดแทน ตลอดจนจำนวนเงินค่าทดแทนประกาศว่าด้วยโรค ซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ประกาศเรื่องกำหนดงานอันอาจเป็นภัยต่อสุขภาพและอนามัย หรือร่างกายของลูกจ้างและคนงาน ประกาศเรื่องวันหยุดงานประจำสัปดาห์
จอมพลถนอม
กิตติขจร
2508ตรา พ.ร.บ. กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน[17]สืบเนื่องจากได้มีการพิพาทแรงงานและการนัดหยุดงานเกิดขึ้นมาก[18]
 2511ตรา พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2511 มาแทนที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยสำนักจัดหางาน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ. สำนักจัดหางานท้องถิ่น พ.ศ.2475[19]
 2512พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 
แทนที่ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2482 
มุ่งเน้นไปที่การกำหนดวิธีการก่อตั้งโรงงานและการคุ้มครองผู้ทำงานในโรงงาน[20]
จอมพลถนอม
กิตติขจร
(ปฏิวัติซ้อน)
2515ออกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ซึ่งยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501และ พ.ร.บ.กำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน พ.ศ.2508องค์กรแรงงานระหว่างประเทศและขบวนการแรงงานสากลได้กดดันรัฐบาลไทยจากการปล่อยให้เกิดการกดขี่แรงงานมาเป็นระยะยาวนานในช่วงการปกครองโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกทั้งเป็นความพยายามรักษาแรงงานให้ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจ[21] โดยนอกจากจะยกเลิกประกาศคณะรัฐประหารดังกล่าวแล้ว ก็ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ โดยนาหลักการแรงงานสัมพันธ์ในพ.ร.บ. แรงงาน พ.ศ.2499 มาใช้อีก แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ให้สิทธิลูกจ้างจัดตั้งองค์กรของตนขึ้นได้ แต่เรียกว่า สมาคมลูกจ้าง[22]นอกจากนั้น ยังมีประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 322 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตการทำงานของคนต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยออกบังคับใช้โรงงาน[23]
ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 12 บาทเป็นวันละ 16 บาทผลจากการอ้างว่าประกาศคณะรัฐประหารฉบับที่ 103 เป็นกฎหมายที่มีขอบเขตกว้างที่สุด และมีข้อบัญญัติใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ ค่าจ้างขั้นต่ำ และการก่อตั้งเงินทุนค่าทดแทน
สัญญา 
ธรรมศักดิ์
2517ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากวันละ 16 บาทเป็น
วันละ 20 บาท
วันที่ 10 ถึง 14 มิถุนายน พ.ศ. 2517 กรรมกรโรงงานทอผ้านับหมื่นคนภายใต้การนำของสมาคมลูกจ้างอุตสาหกรรมสิ่งทอสมุทรปราการและสมุทรสาครได้มาชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง[24]
 2518ตรา พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518คาดว่าเป็นผลจากการต่อสู้ของกรรมกรไทยในช่วงปีที่ผ่านมาที่แสดงให้เห็นถึงพลังของกรรมกรต่อรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ และเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ[25]
 2517 – 2518ค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงานรัฐสวัสดิการเริ่มดีขึ้นสมาคมลูกจ้างต่าง ๆ มีการประท้วงขอปรับเงินเดือนและปรับปรุงสวัสดิการ ตลอดจนต่อต้าน
การคอรัปชั่นของผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ (จะส่งผลต่อการต่อสู้ของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในช่วงปี 2531-2533 ให้มีความโดดเดี่ยว)
คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 
(สงัด
ชลออยู่)
2519ออกคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 46 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518– การต่อสู้ระหว่างขบวนการสามประสานต่อรัฐกับกลุ่มทุน จนพยายามตีกรอบขบวนการแรงงานในประเทศไทยให้กลายเป็นขบวนการสหภาพแรงงานของแรงงานในระบบ และค่อยสกัดกั้นผู้คนอื่นๆ ให้พ้นจากขบวนการแรงงาน[26]
– กำหนดให้องค์การแรงงานระดับชาติต้องจดทะเบียน และมีวัตถุประสงค์ที่จำกัด[27]
  การออกกฎหมาย เพื่อจำกัดเสรีภาพในการนัดหยุดงานคาดว่า เป็นผลจากการที่รัฐต้องการสกัดกั้นพลังงานของขบวนการสามประสานที่กำลังมีอิทธิพลต่อการต่อสู้กับนายจ้าง และรัฐบาล โดยการออกกฎหมายดังกล่าวจะประกอบด้วยดังนี้
– ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องห้ามนัดหยุดงาน และห้ามปิดงาน 8 ตุลาคม 2519- กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2519 (ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์)
– คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519[28]
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์
2521ตรา พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521สถานการณ์ทางการเมืองทั่วไปได้มีผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[29]
 2522ตรา พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2503 มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง และทำให้รัฐเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสในการใช้แรงงานของทุน แต่มาตรการเริ่มเสื่อมถอย และเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมของรัฐ จึงทำให้เริ่มกระบวนการดึงการต่อสู้ของแรงงานเข้ามาอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะระบบไตรภาคี ซึ่งก็มีศาลแรงงานเป็นหนึ่งในนั้น อันทำให้การต่อสู้อยู่ในกรอบที่รัฐวางขอบเขต และสร้างความสะดวกแก่รัฐ และทุนที่จะทำให้ความขัดแย้งยุติด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ย [30]
 2522การตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ซึ่งจะมีมาตรา 6 กำหนดไม่ให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองแรงงาน และว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ คาดว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงพลังต่อรองที่กำลังเริ่มเข้มแข็ง
ของแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 
 2523กลุ่มนักบริหารงานบุคคล กอ.รมน. รุ่นที่ 1 ถึง 4 เสนอต่อรัฐบาลให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจาก พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518  เช่นเดียวกันกับการตรา พ.ร.บ. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
– 
พลเอกเกรียงศักดิ์ 
ชมะนันทน์

– 
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
2520 – 2523การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก 28 เป็นวันละ 35 บาท 45 บาท และ 54 บาทตามลำดับการปรับค่าจ้างเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน และได้ทำข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล เพราะรัฐบาลยุคธานินทร์ กรัยวิเชียรในแรกเริ่ม เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นมาเพียง 3 บาท และไม่มีทีท่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยคณะกรรมการค่าจ้างต่างก็ลงมติปรับค่าจ้างให้ต่ำกว่าข้อเสนอของสหภาพแรงงานทั้งสิ้น[31]
พลเอกเปรม 
ติณสูลานนท์
2524มติคณะรัฐมนตรี 15 กันยายน 2524ผลจากการสังเกตว่าสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจมีการวมตัวเข้มแข็งจนสามารถเรียกร้องเรื่องค่าจ้าง และสวัสดิการ โดยเดิมที ก็จะมีความอิสระในการตกลงกับฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจ จึงออกกฎห้ามรัฐวิสาหกิจทำการปรับปรุงอัตราค่าจ้าง เงินเดือน ค่าครองชีพ หรือสวัสดิการอื่นใดที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี[32]
 2528พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
 2530พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ2533ตรา พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533นักศึกษาได้มาร่วมชุมนุมสนับสนุนคนงาน ซึ่งมีองค์กรแรงงานที่นำการเคลื่อนไหว คือ สภาองค์การลูก จ้าง สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย กลุ่มสหภาพแรงงานภาคเอกชน 3 กลุ่มย่าน และกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์[33]
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: สุนทร คงสมพงษ์)และอานันท์ 
ปันยารชุน
2534ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 54 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518  การรัฐประหารของคณะ รสช. พยายามจำกัด กีดกันคนอื่นๆ ไม่ให้สามารถเข้าเป็นที่ปรึกษาแก่สหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรองได้อย่างเสรี ผู้ที่จะให้คำปรึกษาได้จะต้องได้รับการจดทะเบียนจากอธิบดีกรมแรงงานเท่านั้น[34]
 2534พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2534เรียนรู้จากบทเรียนในช่วง 2531 – 2533 กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พยายามขับเคลื่อนประเด็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งการปรับโครงสร้างเงินเดือน และต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่สำเร็จจากการเคลื่อนไหวที่โดดเดี่ยว และภาพพจน์การต่อสู้เพื่อประโยชน์ของตัวจนดูหมดความชอบธรรมในสายตาประชาชน และกลายเป็นเป้าหมายในการสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหาร โดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ออกกฎหมาย[35]  ทำให้แยกพนักงานรัฐวิสาหกิจออกจากพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518[36] แยกสลายขบวนการแรงงานภาครัฐวิสาหกิจกับเอกชน
ชวน หลีกภัย2537พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537เกิดกระแสการขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อประชาชนจาก
การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นไปบนบรรยากาศแห่งการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยรัฐบาลก็นำไปขับเคลื่อนด้วย 
โดยอ้างถึงความต้องการปรับปรุงกฎหมายฉบับเก่า[37]  
 2541พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
 2543พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
ทักษิณ ชินวัตร2544ออกพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2544เพื่อกำหนดให้สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518[38]
 2546ระเบียบกรมการจัดหางานว่าด้วยการส่งเสริมงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ.2546ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในด้านกฎหมายแรงงานแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพราะจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้านให้มีขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน และเสริมสร้างการรวมกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านให้เข้มแข็ง[39]
อภิสิทธิ์ 
เวชชาชีวะ
2552มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในการประชุม ครั้งที่ 7/2552 การให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างชั่วคราวของรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือน 15,000 บาท ได้รับค่าครองชีพชั่วคราวเดือนละ 2,000 บาท เป็นะระยะเวลา 6 เดือน[40]
 2553พ.ร.บ. คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553เกิดจากการขับเคลื่อนของโฮมเนท ประเทศไทย และเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยร่วมกับองค์กรอื่นๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 โดยมีการจัดทำร่างพ.ร.บ. ส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. …. โดยเป็นการนำเสนอคู่ขนานไปกับร่างกฎหมายเกี่ยวกับผู้รับงานไปทำที่บ้าน ฉบับกระทรวงแรงงาน[41] (และเข้าใจว่าร่างฉบับกระทรวงแรงงานได้รับเลือก)
 2554พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554มีที่มาจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานเคเดอร์ ใน 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้ตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม และไม่มีการซักซ้อมการรับมือกับอัคคีภัยให้แก่พนักงาน อันทำให้ขบวนการแรงงานได้มีความพยายามในการที่จะเรียกร้องให้มีกฎหมาย และรัฐบาลก็เริ่มมีนโยบาบเกี่ยวกับความปลอดภัยของแรงงาน[42]
 2555ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ และลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555การขยับฐานเงินเดือน และค่าครองชีพขั้นต่ำของข้าราชการ พนักงานราชการ  และลูกจ้างชั่วคราวให้รวมถึง 15,000 บาท เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[43]
 2555ประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ เรื่อง ค่าตอบแทนของพนักงานราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2555
 2555หนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0428/ว 12 ออกในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร2555กฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (ลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน)เกิดจากการเคลื่อนไหวของมาลี สอบเหล็ก ประธานกลุ่มลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย และสมาชิกเพื่อนร่วมอาชีพกว่า 300 ชีวิต เรียกร้องให้กระทรวงมีมาตรการคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพในบ้าน[44]
 2555 – 2556ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 7) และประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 8)การขยับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็น 300 บาทใน 70 จังหวัด และทั่วประเทศตามลำดับ เป็นผลจากกระบวนการหาเสียงที่พยายามให้คนสนใจที่นโยบายมากกว่าตัวบุคคล[45]
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (1)2557กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557ต้องการเตรียมตัวในการปฏิบัติตามให้สอดคล้องกับ
กฎระเบียบ IUU[46] 
 2558พ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[47]
 2559พระราชกำหนดการนาคนต่างด้าวมาทางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. 2559หากพิจารณาหมายเหตุท้ายพ.ร.บ. ที่กล่าวไว้ส่วนหนึ่งว่า “เพื่อให้มาตรฐานในการทำงานของแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ” ก็น่าจะมีความนัยเดียวกันว่า ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการถูกจัดอันดับในกลุ่ม Tier 3 ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) และการติดใบเหลืองตามกฎระเบียบ IUU
 2557 – 2561กฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557 และกฎกระทรวง คุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 (ออกตามพ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541)ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่สำนักงานเพื่อการติดตามและการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ให้ไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 และการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[48]
 2562พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562ออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป จนทำให้ประเทศไทยติดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558[49] โดยแม้ว่าจะมีการปลดใบเหลืองแล้ว ก็มีการเตือนอยู่ว่าจะต้องส่งเสริมสิทธิแรงงานต่อไป มิฉะนั้นจะกลับไปติดใบเหลืองอีก[50] และการปฏิบัติตามพันธกรณีตาม C188[51]
 2562พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 (แรงงานบังคับ)เป็นหลักฐานให้สหรัฐอเมริกาเห็นว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับ “ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างเต็มที่ในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินการดังกล่าว” หรือ Tier 2[52] และไม่ให้กลับไปสู่กลุ่ม Tier 3 ซึ่งเคยถูกจัดไว้ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2557 ประกอบกับการอนุวัติการให้เป็นไปพิธีสาร ค.ศ. 2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930[53]

การศึกษาในครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นของภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขและตรากฎหมายแรงงานไทย ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับแรงงานนั้นยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อบริบทของแรงงานไทยเปลี่ยนแปลงไป

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ และหัตถพงษ์ หิรัญรัตน์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854> สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2564.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ข้อสังเกตประการหนึ่งการเพิ่มขึ้นของแรงงานสัญชาติไทยอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมกีดกันแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้รับการศึกษาโดยละเอียดภายใต้บทความนี้.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, (เชิงอรรถที่ 1).

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2564.

[6] วีรนันท์ ฮวดศรี, 2558, ‘วิวัฒนาการกฎหมายแรงงานไทย’ (Blogzine, 1 กุมภาพันธ์ 2556) <https://blogazine.pub/blogs/iskra/post/3946> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, ประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานไทย (พิมพ์ตุลา 2533) 35.

[7] เพิ่งอ้าง 35.

[8] เพิ่งอ้าง 42.

[9] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, ‘รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “แม้มีสิทธิ (ตามกฎหมาย) แต่เข้าไม่ถึงสิทธิ (ตามความเป็นจริง)”: กรณีศึกษาสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานและเจรจาต่อรองตามพ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518’ (สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า 2559) 9 และ 45; มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 32.

[10] นภาพร อติวานิชยพงศ์, สหภาพแรงงานไทย ที่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม Thai Unionism as a Social Movement (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2561) 33-34; เพิ่งอ้าง 51 – 52.

[11] เพิ่งอ้าง 26–27 และ 43–54; ศรัณย์ จงรักษ์, ‘การให้และกีดกันสิทธิของผู้ใช้แรงงานโดยพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2560) 97 – 98.

[12] ธีระ ศรีธรรมรักษ์, กฎหมายแรงงาน (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2547) <http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LW401(47)/lw401(47)-1-1.pdf> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564, 8.

[13] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[14] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 66.

[15] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[16] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 67.

[17] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[18] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[19] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[20] เพิ่งอ้าง.

[21] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 35; ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 100 – 106.

[22] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 45.

[23] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[24] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 10) 78.

[25] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 79.

[26] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 20).

[27] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 119.

[28] เพิ่งอ้าง 114–119.

[29] วีรนันท์ ฮวดศรี, (เชิงอรรถที่ 6).

[30] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 9) 14.

[31] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 137.

[32] มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, (เชิงอรรถที่ 6) 120.

[33] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42.

[34] ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา, (เชิงอรรถที่ 16).

[35] นภาพร อติวานิชยพงศ์, (เชิงอรรถที่ 6) 42-43.

[36] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46.

[37] ศรัณย์ จงรักษ์, (เชิงอรรถที่ 11) 110 – 112.

[38] บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์, (เชิงอรรถที่ 5) 46

[39] ชญานี กลีบบัว, ‘การรับงานไปทำที่บ้าน’ (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2558) 37–38 และ 44.

[40] การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564) <https://www.ryt9.com/s/cabt/756092>; โปรดดู สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี (เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564)  <https://resolution.soc.go.th/?page_id=74&find_word=%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88&start_date=24%2F11%2F2552&end_date=24%2F11%2F2552&book_number=&page_no=1>

[41] ชฤทธิ์ มีสิทธิ์ และพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์, ผู้รับงานไปทำที่บ้านในประเทศไทย: สิทธิและการรณรงค์นโยบาย (มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท 2549) 27–32.

[42] นักสื่อสารแรงงาน, ‘ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำลึก 28 ปีกรณีไฟไหม้โรงงานเคเดอร์เสียชีวิต 188 ราย’ (Voicelabour, 10 พฤษภาคม 2564) <https://voicelabour.org/ขบวนการแรงงานร่วมจัดรำ/> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564; และศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ‘10 พฤษภาคม วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ’ (ศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม, 10 พฤษภาคม 2562) <https://www.shecu.chula.ac.th/home/content.asp?Cnt=216> สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2564.

[43] มติชน, ‘เพื่อไทยไม่หวั่น พปชร. ชูนโยบายขึ้นค่าแรง เพราะเคยทำได้ผลมาแล้ว 17 ปีก่อน’ (มติชนออนไลน์, วันที่ 14 มีนาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/politics/news_1405733> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[44] วศินี พบูประภาพ, ‘Opinion | สิทธิในการเข้าร่วมสหภาพ : ทางออกปัญหาการค้ามนุษย์ในแรงงานข้ามชาติ-แรงงานนอกระบบ’ (Workpoint, 30 ตุลาคม 2562) <https://workpointtoday.com/trade-union-human-trafficking/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2564.

[45] มติชน, (เชิงอรรถที่ 43).

[46] สุภางค์ จันทวานิช และคณะ, ‘รายงานผลการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม การค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ พ.ศ. 2559’ (เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2559), 33 – 34; ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, ‘การคุ้มครองแรงงานในงานประมงของไทยในกรอบการเจรจาทวิภาคีไทย-สหภาพยุโรป ช่วงปี พ.ศ. 2558 – พฤษภาคม 2563‘ (รายงานการศึกษาส่วนบุคคล หลักสูตรนักบริหารการทูต รุ่นที่ 12 ปี 2563 สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ 2563) 2-4 และ 15-16; และ โสรญา พิกุลหอม, ‘อนาคตของแรงงานประมงไทยภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550’ (รัฐสภาไทย, กุมภาพันธ์ 2562) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=54525&filename=house2558>, 1–2.

[47] ชุลีรัตน์ ทองทิพย์, เพิ่งอ้าง 1-2.

[48] เพิ่งอ้าง 1-2.

[49] เพิ่งอ้าง 15-16; และ กองบรรณาธิการ, 2563, ‘สิทธิประมงไทย ไม่เคย New Normal’ (Way Magazine, 14 กรกฏาคม 2563) <https://waymagazine.org/cso-coalition-2020/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.

[50] วศินี พบูประภาพ, (เชิงอรรถที่ 44).

[51] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[52] สถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานกงสุลในประเทศไทย, ‘รายงานการค้ามนุษย์ประจำปี พ.ศ. 2562’ (U.S. Embassy, 2563) <https://th.usembassy.gov/th/our-relationship-th/official-reports-th/2019-trafficking-persons-report-thailand-th/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564; และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2564, ‘พม. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกำหนดกิจกรรมภายใต้แนวทางให้บริการช่วงระยะเวลาฟื้นฟูและไตร่ตรอง (Reflection Period) สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์’ (สำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 25 กุมภาพันธ์ 2564) <https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/mso_web/mobile_detail.php?cid=32&nid=29883> สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2564.

[53] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการคุ้มมนุษย์ พ.ศ. 2551 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลาเริ่มต้นจากการเคลื่อนเข้าสู่การเกิดขึ้นของแรงงานในช่วงก่อนพุทธศักราช 2475 สภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของแผ่นดินสยามจะเกี่ยวข้องกับการเกษตรมากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

จนเมื่อ “คณะราษฎร” เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ขึ้นและนำเสนอโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและปรับปรุงผลผลิตและทรัพยากรในสังคม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมเข้าสู่สังคมแรงงานมากขึ้นสิทธิของผู้ใช้แรงงานก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ในบทความนี้จะได้พูดถึงการเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในช่วงเหตุการณ์สำคัญในเดือนตุลาคม 2 เหตุการณ์ คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

การเคลื่อนเข้าไปสู่การเกิดขึ้นของแรงงาน

ในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 นั้นสภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้จากอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นข้าราชการกับเกษตรกรมากกว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำร่างนโยบายเศรษฐกิจของคณะราษฎร หรือที่เรียกว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับปรุงการปันผลผลิตในสังคม โดยมุ่งใช้ทรัพยากรการผลิตให้เต็มที่ด้วยการแปลงกระบวนการผลิตของไทย โดยอาศัยรัฐวิสาหกิจเข้ามาดำเนินการผลิตในอุตสาหกรรม[1] 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเนื้อหาในเค้าโครงการเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและพัฒนาพื้นที่ชนบท และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในเวลานั้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจในเมืองเป็นประเด็นรอง[2] 

ทว่า ในท้ายที่สุดข้อเสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติเนื่องจากมีกระแสคัดค้านทางการเมืองจากชนชั้นสูงและกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบเก่าโดยอ้างพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงการเศณษบกิจ[3]  นอกจากนี้ การช่วยเหลือชาวนายังหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มนายทุนในเมือง เพราะพวกนี้เป็นพวกขูดรีดส่วนเกินมาจากชาวนาทั้งในรูปแบบของหนี้สินและการเอารัดเอาเปรียบต่างๆ[4]

ในท้ายที่สุดรัฐบาลคณะราษฎรก็ไม่ได้นำเค้าโครงการเศรษฐกิจมาใช้และต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินการทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมโดยมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศณษฐกิจดังกล่าว โดยข้อเสนอหลายประการของหลวงวิจิตรวาทการนั้นยังคงต่อต้านระบบศักดินาเดิม เพียงแต่เบากว่าที่ปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ เช่น การซื้อที่ดินของรัฐทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอของหลวงวิจิตรวาทการนั้นไม่ได้ขัดขวางการเติบโตและขยายตัวของทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพียงแต่อุตสาหกรรมเหล่านั้นถูกควบคุมโดยชาติผ่านระบบราชการของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม[5]

การเกิดขึ้นของชนชั้นแรงงานไทยเกิดขึ้นจริงๆ อย่างเป็นกิจลักษณะภายหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบริษัทห้างร้านโดยส่วนใหญ่ที่เป็นของชาติตะวันตกที่เป็นคู่สงครามมีบทบาทลดลง ทำให้เกิดการเปิดกิจการต่างๆ ของคนไทยโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามาทดแทนกิจการเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดชนชั้นแรงงานเพิ่มมากขึ้น

การรับรองสิทธิของแรงงานในกฎหมาย

การรับรองสิทธิแรงงานั้นในทางกฎหมายนั้นทั้งประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในโลกโดยส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นมาจากความตกลงกันบนพื้นฐานของกฎหมายสัญญาบนความตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในบริบทของประเทศไทยกฎหมายที่เข้ามารับรองเรื่องสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนั้นเป็นไปตามบรรพ 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ซึ่งได้ประกาศใช้ในปี 2471[6] 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่ไม่เท่ากันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้รัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงโดยออกกฎหมายเฉพาะเข้ามาดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งในประเทศไทยในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อประสานงานตลอดจนความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง[7] ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศตั้งแต่ต้น โดยภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการรับรองสิทธิแรงงานในหลายลักษณะตามมาตรฐานสากล เช่น การรับรองสหภาพแรงงานในฐานะองค์การของลูกจ้างที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผลประโยชน์ในการทำงานและเพื่อสวัสดิการของลูกจ้างหรือการคุ้มครองแรรงานในเรื่องเวลาการทำงาน วันหยุดงาน การใช้แรงงานหญิงหรือแรงงานเด็ก การกำหนดค่าจ้าง และการกำหนดสภาพการจ้างแรงงานอื่นๆ เป็นต้น

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กับการเคลื่อนไหวของแรงงาน

แม้ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดชนชั้นแรงงานไทยขึ้นมาจะมาพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของกฎหมายแรงงาน แต่พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมากเพียงแค่ 3 ปี ก็ถูกคณะรัฐประหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีประกาศของคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501 โดยกล่าวหาว่าเป็นการเปิดช่องให้เป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นโอกาสให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์อาศัยใช้ลูกจ้างเป็นเครื่องมือยุยงในทางมิชอบ ทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในการประกอบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็นภัยร้ายแรงแก่การดำเนินการเศรษฐกิจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[8] เนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้นต้องการสร้างบรรยากาศลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำ[9]

ผลของประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้มีผลทำให้บรรดาสิทธิแรงงานที่เคยได้รับตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 และแทนที่ด้วยสิทธิแรงงานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้แทน ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 เพื่อใช้แทนกฎหมายแรงงานที่ได้ถูกยกเลิกไป ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ยังพอมีข้อดีอยู่บ้างเนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ได้รับรองสิทธิของลูกจ้างในการตั้งสมาคมลูกจ้างได้ แต่ไม่ให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของลูกจ้างในการตั้งข้อเรียกร้องเพื่อต่อรองและเจรจากับนายจ้าง[10] ผลของการยอมจัดตั้งสมาคมลูกจ้างได้นั้นประกอบกับการมีนิสิตนักศึกษาเข้าไปช่วยจัดตั้งทำให้เกิดสมาคมลูกจ้างพระประแดงขึ้นมา ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงาน โดยในช่วงปี 2515 – 2516 นั้นมีการนัดหยุดงานมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งการรวมกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงานกับนักศึกษานั้นเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถอนม กิตติขจร

ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น สังคมไทยเกิดความตื่นตัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระแสการใช้สิทธิและเสรีภาพทั้งในทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นประกอบกับแนวร่วมสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรนั้นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมเพื่อให้เกิดสังคมที่เป็นธรรมในขอบเขตทั่วประเทศ

ในด้านสิทธิแรงงานนั้นกระแสความเคลื่อนไหวของแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งให้สิทธิคนงานในการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นความเข้มแข็งของผู้ใช้แรงงาน และแรงสนับสนุนจากแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการจัดตั้งสภาแรงงานแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2519 โดยมีนายไพศาล ธวัชชัยนันท์เป็นประธานสภาผู้ใช้แรงงานแห่งประเทศไทย[11] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานของผู้ใช้แรงงาน โดยอาศัยการรวมตัวเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับรัฐบาล

การรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนนี้ ประกอบกับการมีอยู่ของแนวร่วมสามประสานนี้เองทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวการเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นสามารถทำได้สำเร็จโดยมีการปรับเปลี่ยนค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตอบสนองความต้องการนี้ของประชาชนเป็นอย่างดี[12]

ตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พ.ศ. 2516 – 2520)

ฉบับที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันที่ประกาศใช้
112 บาท4 กุมภาพันธ์ 2516
216 บาท30 พฤศจิกายน 2516
320 บาท13 มิถุนายน 2517
418 บาท1 สิงหาคม 2517
525 บาท1 ตุลาคม 2517
628 บาท23 สิงหาคม 2520
835 บาท30 สิงหาคม 2521
ที่มา: กระทรวงแรงงาน

6 ตุลาคม 2519 กับจุดผลิกผันของขบวนการแรงงาน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการสังหารหมู่กลางกรุงเทพในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นส่งผลให้กลุ่มสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรถูกทำลายลง คณะรัฐประหารได้สร้างกระบวนการ (อ) ยุติธรรมของตนเองขึ้นมาโดยการเพิ่มอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ซึ่งการบีบบังคับดังกล่าวนั้นทำให้ผู้ต้องหาบางส่วนหนีเข้าป่าแล้วไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในขณะเดียวกันขบวนการแรงงานก็ถูกฝ่ายขวากล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และก็ถูกทยอยจับกุมเข้าเรือนจำ[13]

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ได้นำการรัฐประหารมาสู่ประเทศไทยในเวลานั้น ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 22 ได้กำหนดข้อหา “ภัยสังคม” ขึ้นมา โดยรวมกำหนดให้การ “ร่วมหยุดงาน หรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เป็นภัยสังคมในลักษณะหนึ่ง บรรยากาศของการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานค่อยๆ ลดลงไป

ระบอบรัฐประหารนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำลายระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่กลายเป็นระบอบรัฐประหารนั้นได้ทำลายการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานลง คณะรัฐประหารนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของผู้ใช้แรงงาน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนและต้องการเสริมสร้างการลงทุนเพื่อแสวงหาประโยชน์จึงพยายามกดผู้ใช้แรงงานเอาไว้ ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2564 นั้นกลายเป็นชวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงานอย่างไม่หวนกลับมา

ในปัจจุบันสิทธิของผู้ใช้แรงงานยังคงมีปัญหาอยู่ แม้ว่ารูปแบบการดำเนินกิจการจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ปัญหาของกลุ่มผู้ใช้แรงงานก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม กลุ่มผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การใช้แรงกายเท่านั้น แต่ยังมีแรงงานในลักษณะอื่น เช่น การไม่มีสถานะเป็นผู้ใช้แรงงานของฟู๊ดไรเดอร์ (Food Rider) และคนขับรถที่ให้บริการผ่านแอพลิเคชั่น หรือผู้ให้บริการอิสระ (Freelance) ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากความตกลงที่อาจจะไม่เป็นธรรม และแม้แต่ “Sex Worker” ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการรับรองตามกฎหมาย เป็นต้น ปัญหาของผู้ใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสัญญาหรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสภาพการจ้าง สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกเพิกเฉยละเลยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 106

[2] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 6, ซิลค์เวอร์ม 2566) 146

[3] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 107

[4] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์ (เชิงอรรถ 2) 146.

[5] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 108

[6] พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่

[7] หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499

[8] ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501

[9] บันทึก 6 ตุลา, ‘การต่อสู้ของกรรมกร’ (บันทึก 6 ตุลา) <https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-2/2-2-1> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[10] Voice Labour, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงาน เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์’ (Voice Labour, 28 สิงหาคม 2556) <https://voicelabour.org/14-ตุลากับขบวนการแรงงาน-เ/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[11] นภาพร อติวานิชยพงศ์, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงานไทย’ (ประชาไท, 12 ตุลาคม 2557) <https://prachatai.com/journal/2014/10/55959> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564

[13] สุภชาติ เล็บนาค, ‘จากคุกถึงคุก: กระบวนการ(อ)ยุติธรรรม สามารถทำร้ายคนหนึ่งคนได้มากแค่ไหน’ (The Momentum, 17 เมษายน 2564) <https://themomentum.co/lostinthought-fromjailtojail/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

เผด็จการที่หยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ขบวนการสิทธิแรงงานที่หยุดการเติบโตโดยอำนาจเผด็จการ โดยเล่าย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 ได้เกิดปัญหาการนัดหยุดงานของกรรมกร และชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง โดยผู้ใช้แรงงานต่างเรียกร้องขอเพิ่มสวัสดิการต่างๆ หลักประกันการทำงาน และอัตราค่าจ้างงานขั้นต่ำรายวัน การเรียกร้องครั้งนั้นเป็นผลสำเร็จ เกิดการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ผลักดันให้มีการจัดตั้งองค์กรสหภาพแรงงานขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ฝ่ายที่สูญเสียประโยชน์ได้มีการโต้กลับ ที่เรียกปรากฏการณ์นั้นว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ภายในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้นำกรรมกรและชาวนาถูกลอบสังหารเป็นจำนวนมาก เกิดการปะทะจนทำให้กรรมกรหญิงอายุเพียง 15 ปีเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดการหยุดยั้ง และเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสิทธิแรงงานที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ในบทความนี้จะย้อนไปดูเหตุการณ์ที่เป็นชนวนสำคัญและลักษณะของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ย้อนกลับไปช่วงสถานการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 นอกเหนือไปจากขบวนการนิสิต-นักศึกษาแล้ว กลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือ “กลุ่มผู้ใช้แรงงาน” ในนามของ สภาแรงงานแห่งประเทศไทย โดยได้ร่วมกับ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ที่คัดค้านสถานะภิกษุของ ‘จอมพลถนอม กิตติขจร’ และได้ขอให้รัฐบาลเนรเทศภิกษุถนอม กิตติขจรออกจากประเทศไทย[1] เมื่อในเวลาต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การสังหารหมู่กลางกรุงเทพฯ

ความขัดแย้งทางการเมืองนั้น นำมาสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้นำไปสู่การฟื้นชีพใหม่ของกลุ่มเผด็จการขวาจัด โดยมี ‘นายธานินทร์ กรัยวิเชียร’ (องคมนตรี) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การโอบอุ้มของคณะทหารในนามคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน[2] โดยภายหลังประชาชนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำกรรมกรต่างถูกกวาดล้าง ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้จำเป็นต้องหนีเข้าป่าเพื่อหลบซ่อนและเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

นับตั้งแต่เหตุการณ์ก่อน 14 ตุลาคม 2516 จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานนั้นมีความสำคัญและมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรวมกลุ่ม 3 ประสาน ระหว่างนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกร และขบวนการชาวนา 

ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2515 – 2517 นั้น ได้มีการนัดหยุดงานหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างและปรับปรุงสภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในช่วงกลางปี 2517 เมื่อคนงานกว่า 6 พันคนของโรงงานทอผ้าที่กรุงเทพฯ นัดหยุดงานประท้วงที่นายจ้างเลิกจ้างคนงานเพราะขายของไม่ได้ ซึ่งนักศึกษาได้เข้าช่วยกลุ่มผู้ใช้แรงงานเหล่านี้โดยการตั้งองค์กรประสานขบวนการแรงงาน และผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งรัฐบาลในเวลานั้นได้ตอบสนองโดยการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ และเข้ามาไกล่เกลี่ยการนัดหยุดงาน และออกกฎหมายแรงงานใหม่ที่ยอมให้จัดตั้งสหภาพแรงงาน ให้มีกลไกเพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท[3] การร่วมมือกันของขบวนการ 3 ประสานนี้เอง ทำให้รัฐบาลเผด็จการฝ่ายขวาเองตระหนักถึงความแข็งเกร่งของกลุ่มทางสังคมเหล่านี้ ซึ่งทำให้ในเวลาต่อมารัฐบาลพยายามลดทอนอำนาจของกลุ่มทางสังคมต่างๆ

กระบวนการของเผด็จการในหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน

ภายหลังจากการรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น กลุ่มเผด็จการขวาจัดและคณะทหารได้ร่วมมือกันสกัดกั้นบทบาททางการเมืองของขบวนการแรงงาน โดยการลดทอนความแข็งแกร่งและทำลายคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ใช้แรงงานเพื่อไม่ให้สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ ดังนี้

ประการแรก:การรัฐประหารได้ทำลายขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสาน โดยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้นเพื่อต่อต้านการบริหารประเทศโดยรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวร่วมกัน 3 ฝ่าย โดยเป็นความสัมพันธ์ของ ขบวนการนักศึกษาปัญญาชน ขบวนการกรรมกรและขบวนการชาวนา ซึ่งร่วมกันต่อสู้และขับเคลื่อนการใช้สิทธิเรียกร้องต่างๆ ร่วมกัน[4] อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสานนั้นได้เสื่อมลงจากความพยายามใช้อำนาจทางการเมืองบีบบังคับให้ขบวนการดังกล่าวเสื่อมลง ทำให้ขบวนการแรงงานนั้นต้องพึ่งพาตนเองอย่างโดดเดี่ยวทางสังคมในระดับสูง

ประการที่สอง ค่าจ้างขั้นต่ำต้องถูกแช่แข็งนานมาก โดยค่าจ้างขั้นต่ำอัตราแรกนั้นจำนวน 12 บาทต่อวัน ที่บังคับใช้กับลูกจ้างกรรมกรตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2516 แต่ภายหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กระแสการเคลื่อนไหวของขบวนการ 3 ประสานนั้นได้ส่งผลต่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นสูงมากโดยปรับจาก 12 บาท มาเป็น 16 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2517 และในวันที่ 14 มิถุนายน 2517 ก็ปรับเป็น 25 บาท[5] ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วมาก  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการขวาจัดที่มีทหารหนุนหลังได้คุกคามและทำลายอำนาจต่อรองของขบวนการแรงงานในการเรียกร้องให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และแม้ในภายหลังจะสามารถเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้ในเวลา 2 ปีต่อมา แต่ก็เพิ่มด้วยอัตราที่ต่ำมาก โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2520 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 28 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท[6] จากในปี 2517

ประการที่สาม การยกเลิกองค์กรจัดตั้งและสหภาพแรงงาน ภายหลังจากการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 รัฐบาลเผด็จการได้ออกคำสั่งปฏิวัติยกเลิกกฎหมายแรงงานและสหภาพแรงงานเหมือนกับการรัฐประหารยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2501[7] โดยสหภาพแรงงานจึงมีสถานะกลายเป็นองค์กรเถื่อนที่ไม่มีกฎหมายรับรอง ทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะรัฐบาลใช้อำนาจรัฐเข้ามาควบคุม เช่น เมื่อมีการจัดประชุมจะต้องมีการขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ รวมถึงรัฐบาลได้ยกเลิกศูนย์ประสานงานกรรมกรแห่งชาติ และสภาแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้สหภาพแรงงานไทยอ่อนแอลง  

นอกจากนี้ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2519 คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ห้ามมิให้ร่วมกันหยุดงานหรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีสถานะเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและจะถูกควบคุมตัว[8]

ประการที่สี่ ออกกฎกระทรวงจำกัดสิทธินัดหยุดงานของลูกจ้างในกิจการบางประเภท[9] โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 23 ได้กำหนดห้ามกิจการ คือ การรถไฟ การท่าเรือ การโทรศัพท์ หรือ การโทรคมนาคม การผลิตหรือจำหน่ายพลังงาน หรือ กระแสไฟฟ้าแก่ประชาชน การประปา การผลิต หรือการกลั่นน้ำมันเชื้องเพลิง กิจการโรงพยาบาล หรือ สถานพยาบาล และกิจกรรมอื่นที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นกฎกระทรวง ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้อาศัยอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดให้ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ในบางกิจการไม่มีสิทธินัดหยุดงาน ได้แก่ กิจการทุกประเภทของรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กิจการของวิทยาลัยเอกชนและของโรงเรียนราษฎร์ กิจการสหกรณ์ กิจการขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง

ประการที่ห้า การควบคุมการจัดตั้งสภาแรงงาน โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กำหนดให้การจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างต้องมีสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 15 แห่ง และต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งทำให้เกิดความยากในการจัดตั้งสภาแรงงาน[10]

ประการที่หก แยกรัฐวิสาหกิจออกจากแรงงานทั่วไป โดยการตรากฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่เฉพาะสำหรับรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[11]

สภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยยับยั้งการเติบโตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิแรงงานที่ถูกกระทบอย่างชัดเจนจากการขยายอำนาจทางการเมืองของระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผลกระทบต่อขบวนการแรงงานไทยภายหลังจากการรัฐประหารและความรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519


[1] สมยศ เชื้อไทย, คดีประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 : ใครคือฆาตกร (พี. เค. พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2531) น. 14-15.

[2] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, ‘อาชญากรรมคดี 6 ตุลา กับผลกระทบต่อขบวนการแรงงาน’ (2545) 33 วารสารสังคมศาสตร์, 81.

[3] คริส เบเคอร์และผาสุก พงษ์ไพจิตร, ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย (สำนักพิมพ์มติชน 2557) น. 284

[4] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 82

[5] เพิ่งอ้าง, 82

[6] เพิ่งอ้าง, 83

[7] เพิ่งอ้าง, 84

[8] คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ข้อ 1 และข้อ 2

[9] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 87

[10] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 88 – 89

[11] บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ, (เชิงอรรถที่ 2) 89