ความเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรม กับการทำสัญญะของระบอบการปกครองใหม่

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เคยเป็นวันสำคัญอย่างเป็นทางการของประเทศไทย โดยเป็นหมุดหมายสำคัญของการเริ่มต้นอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ผลของการอภิวัฒน์ดังกล่าวไม่ได้มีเพียงความมุ่งหมายในการอภิวัฒน์การเมืองเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้เกิดการอภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการพยายามวางเค้าโครงการเศรษฐกิจ และการอภิวัฒน์ทางวัฒนธรรม

ดังจะเห็นได้จากภายหลังการอภิวัฒน์สยามเกิดขึ้น แม้ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านจะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น อาทิ การเกิดขึ้นของกบฏบวรเดชและการปิดสภาผู้แทนราษฎรโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา หรือการปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบต่อการอภิวัฒน์ในมิติการเมืองและเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี มิติหนึ่งที่คณะราษฎรทำได้สำเร็จและเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงก็คือ มิติทางวัฒนธรรม ซึ่งดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งล่วงเข้ามาในช่วงหลังปี พ.ศ. 2490 และเสื่อมพลังมากที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองไทยภายใต้การรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ความสำคัญของการอภิวัฒน์ทางวัฒนธรรมก็คือ การสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นในสังคม โดยทั่วไปเราอาจเห็นว่า วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติกันโดยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือสมควรจะกระทำ ซึ่งทำให้วัฒนธรรมเป็นภาพสะท้อนและเครื่องมือทางสังคม เหมือนเวลาเราพูดถึงวัฒนธรรมไทย อาจจะนึกถึงการไหว้หรือความอ่อนช้อยสวยงาม (แบบไทย?)

ทว่า บทบาทของวัฒนธรรมนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติกันเท่านั้น แต่วัฒนธรรมยังมีส่วนสำคัญในฐานะโครงสร้างส่วนบน  (superstructure) ของสังคมที่บรรจุไปด้วยระบบโลกทัศน์ อุดมการณ์ อุดมคติ หลักปรัชญาของสังคม โครงสร้างทางการเมือง และกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดและการกระทำของสังคม[1] ซึ่งโครงสร้างส่วนบนนี้มีส่วนสำคัญต่อการผลิตซ้ำความคิดและความเชื่อ รวมถึงตำแหน่งแห่งที่ของคนในสังคม

ไม่เพียงเท่านั้นวัฒนธรรมยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะหล่อหลอมสังคมให้ดำรงอยู่ได้ภายใต้ระบอบการเมืองหนึ่งๆ และระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ และทำให้ระบอบการเมืองและระบบเศรษฐกิจสามารถดำรงต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังเช่นที่ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายไว้ว่า ทรรศนะทางสังคมเป็นส่วนที่เป็นจิตใจ ซึ่งทรรศนะทางสังคมนั้นอาจจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ได้ แต่หากปราศจากทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยแล้วก็คงไม่เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์[2]

ด้วยเหตุนี้ในความใส่ใจของคณะราษฎรจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาในสังคม โดยแนวคิดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญของคณะราษฎรคือ การลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ (sacred) ตามขนบแบบเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากคติจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิที่เชื่อในเรื่องความสูงต่ำที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมบุญบารมีข้ามภพชาติ ซึ่งสะท้อนอยู่ในสถาปัตยกรรม พิธีกรรม และแบบแผนการดำรงชีวิตในสังคม

ปรีดี หงษ์สต้น[3] ได้อธิบายถึงขบวนการสร้างวัฒนธรรมใหม่ของคณะราษฎรคือ การจัดวัตรปฏิบัติประจำวันของชีวิตมนุษย์ (routinization of life) หรือความเป็นสาธารณ์ (profane) ให้กลายเป็นสิ่งสำคัญเทียบเท่าความศักดิ์สิทธิ์โดยทำให้เรื่องในชีวิตประจำวันกลายมาเป็นพลังทางการเมืองใหม่ และทำให้เกิดความเป็นสาธารณะ (publicness) ขึ้นในสังคมไทย การสร้างภาพของวัฒนธรรมใหม่นี้จึงไปปรากฏในสถาปัตยกรรม พิธีกรรม และแบบแผนการดำรงชีวิตของราษฎรในชีวิตประจำวันโดยเป็นการเปลี่ยนศูนย์กลางของความหมายจากความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นความธรรมดาที่มีราษฎรเป็นส่วนสำคัญ

วันธรรมดาในชีวิตประจำวันของราษฎรในระบอบใหม่

ตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประการแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด โดยปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของราษฎรคือ งานด้านสถาปัตยกรรม เช่น อาคาร สถานที่ และตลอดจนถึงการตกแต่งภายในของอาคารต่างๆ เป็นต้น

งานสถาปัตยกรรมที่เราเห็นและใช้ประโยชน์นั้นไม่ได้มีการออกแบบเพียงเพื่อความสวยงาม ทว่า อาคาร สถานที่ และตลอดจนถึงการตกแต่งดังกล่าวนั้นเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อผลิตซ้ำความหมายต่างๆ ภายใต้อุดมการณ์และแนวคิดทางสังคม

ภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังการดำรงตำแหน่งของจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้นจะเห็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างลักษณะภายนอกที่เรียบเกลี้ยงเป็นเส้นตรงไปตรงมาแบบกล่องสี่เหลี่ยม ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ค่อยมีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายใดๆ โดยเฉพาะการใช้ลวดลายไทย (อาคารสำคัญอาจจะมีการตกแต่งด้วยศิลปะแบบสัจนิยมแนวสังคม (social realism) ที่เน้นความสมจริงและสะท้อนความจริงในสังคม) และมีหลังคาเป็นทรงตัดหรือมีการก่อผนังขึ้นมาเป็นแผงคอนกรีตบังส่วนหลังคาเพื่อหลอกสายตาให้ดูเป็นหลังคาทรงตัด[4] งานสถาปัตยกรรมในลักษณะดังกล่าวถูกเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบทันสมัย

สถาปัตยกรรมแบบทันสมัยนี้ไม่ได้เพิ่งได้รับความนิยมในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เริ่มถูกนำมาใช้ในสังคมไทยตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ดี ชาตรี ประกิตนนทการ ได้ให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมแบบทันสมัยในความหมายช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมีลักษณะเป็นเพียงการทำตามสมัยนิยม (ตามแบบอย่างตะวันตก) ลักษณะของการสร้างสถาปัตยกรรมดังกล่าวจึงเป็นเพียงการนำรูปแบบของสถาปัตยกรรมมาใช้ แต่ไม่ได้เป็นการนำคุณค่าของสถาปัตยกรรมดังกล่าวมาใช้[5]

อย่างไรก็ดี ภายหลังการอภิวัฒน์สยามคณะราษฎรได้พยายามสร้างความหมายใหม่ให้กับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เป้าหมายของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ การแสดงภาพตรงกันข้ามกับศิลปะตามจารีตหรือพระราชนิยมในอดีตที่มีการประดับตกแต่งโดยเน้นลักษณะสูงต่ำตามแนวคิดแบบจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ โดยลดทอนลักษณะฐานานุศักดิ์ในงานสถาปัตยกรรมลง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมมีความสลับซับซ้อนมากเท่าใดก็ยิ่งกลายเป็นการแบ่งชนชั้นทางสังคมมากเท่านั้น[6]  กล่าวคือ ลักษณะของงานสถาปัตยกรรมบางอย่างถูกสงวนเอาไว้เฉพาะกับคนบางกลุ่ม แม้จะไม่ได้มีกฎเกณฑ์ทางสังคมกำหนดไว้โดยเฉพาะ แต่ในทางวัฒนธรรมเป็นที่รับรู้กันว่า หากทำเช่นนี้จะทำตัวเทียมเจ้าเทียมนาย

สมมติฐานของ ชาตรี ประกิตนนทการ มีหลักฐานสนับสนุนคือ กฎหมายที่เกี่ยวกับอาคารที่ออกมาในเวลานั้น มีการกำหนดรูปแบบลักษณะอาคารโดยอิงอยู๋กับแบบแผนของงานสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่

ความทันสมัยในนัยใหม่ของสถาปัตยกรรมที่คณะราษฎรมุ่งเน้นจึงเป็นการนำเสนอสัญลักษณ์ของ “ความเสมอภาค” และการให้ความสำคัญต่อ “สามัญชน” ในระบอบประชาธิปไตยผ่านการออกแบบศิลปะและสถาปัตยกรรม[7] ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้ เช่น สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย (พ.ศ. 2481) กลุ่มอาคารรอบถนนราชดำเนินกลาง 10 หลัง (พ.ศ. 2484) ที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข บางรัก (ไปรษณีย์กลางบางรัก) (พ.ศ. 2483) และโรงแรมรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2486) เป็นต้น


ภาพอาคารบนถนนราชดำเนินกลาง
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพอาคารนิทรรศรัตนโกสินทร์ หนึ่งในอดีตกลุ่มอาคารบนถนนราชดำเนินกลาง
ที่ได้รับการตกแต่งใหม่
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพอาคารไปรษณีย์กลาง
ที่มา: Supanut Arunoprayote (2566) บน Wikipedia


ภาพสนามกีฬาแห่งชาติ ศุภชลาศัย
ที่มา: Supanut Arunoprayote (2566) บน Wikipedia

ไม่เพียงแต่รูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เน้นเรื่องความเสมอภาคหรือความสามัญชนเท่าที่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น แต่การสร้างวัฒนธรรมใหม่ของคณะราษฎรยังไปปรากฏอยู่ในงานสถาปัตยกรรมเดิม ผ่านการประยุกต์และสร้างความหมายใหม่ให้ยึดโยงกับระบอบการปกครองใหม่ โดยพยายามลดทอนรายละเอียดตามจารีตแบบเดิมให้สอดประสานกับแนวคิดเรื่องความเสมอภาค ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ เจดีย์ศรีมหาธาตุ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่ภายนอกมีรูปแบบการตกแต่งที่เรียบง่าย และมีลักษณะเป็นสามัญชนมากขึ้น


ภาพหน้าบันเจดีย์ศรีมหาธาตุ
ที่มา: Google maps, street view (2567)

ไม่เพียงแต่การลดทอนรายละเอียดตามจารีตเดิมลงแล้ว อีกสิ่งที่จะพบในงานสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ การใส่สัญลักษณ์ “ลายอรุณเทพบุตร” เข้าไปในงานประติมากรรมต่างๆ ซึ่งในอดีตลายอรุณเทพบุตรนั้นไม่ถูกนำมาใช้ในงานเป็นประติมากรรมตกแต่งอาคารหรือสถานที่มาก่อน โดยเฉพาะสถานที่ราชการที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะใช้ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์หรือตราประจำพระองค์ต่างๆ หรือตราครุฑ แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลายอรุณเทพบุตรถูกนำมาใช้ประดับประดางานสถาปัตยกรรมใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลัง อาทิ ภาพหน้าบันพระพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ซึ่งเป็นลายประดับเหนือบานประตูของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

นัยสำคัญของการใช้ลายอรุณเทพบุตรมาตกแต่งอาคารและสถานที่นั้นมีนัยทางการเมืองที่สื่อถึง อรุณเทพบุตรที่เป็นสารถีประจำรถของพระสูรยะ การนำสัญลักษณ์ของอรุณเทพบุตรมาใช้ในที่นี้จึงเปรียบเสมือนกับการปรากฏตัวของแสงสว่างแรกที่ส่องสว่างก่อนเข้าสู่ยุคการเมืองใหม่ รวมถึงยังมีนัยสื่อถึงเวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่ประชาธิปไตยได้ถูกประดิษฐานไว้แล้ว[8]


ภาพหน้าบันพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพหน้าบันพระพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ซึ่งเป็นลายประดับเหนือบานประตูของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ที่มา: คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (มปป.)

นอกจากนี้ สัญญะอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏเข้าไปในฐานะภาพสะท้อนของคติการปกครองใหม่ ในงานสถาปัตยกรรมแบบเดิม เช่น การใส่สัญลักษณ์ของพานรัฐธรรมนูญเข้าไปบนสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แบบหน้าบัน เพดาน ธรรมาสน์ และงานประดับตกแต่งอื่นๆ ในสถานที่สำคัญทางศาสนา[9] การนำสัญลักษณ์ของพานรัฐธรรมนูญมาประดับไว้ในสถานที่สำคัญทางศาสนานี้ เจตนารมณ์ประการหนึ่งคือ ต้องการเสริมสร้างภาพของรัฐธรรมนูญในฐานะสัญลักษณ์ของการปกครองใหม่ให้มีความสำคัญและเสมือนเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน


ภาพหน้าบันวัดตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
ที่มา: ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล (2563)

ไม่เพียงแค่ศาสนสถานแบบวัดพุทธเท่านั้นที่ได้รับอิทธิพลในลักษณะดังกล่าว แต่การนำรูปพานรัฐธรรมนูญไปใช้ในการตกแต่งประดับประดาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองใหม่ยังปรากฏในศาสนสถานหลายๆ รูปแบบ อาทิ อาคารโรงเจหลวงพ่อโสธร (กุศลสถานศาลเจ้า) (พ.ศ. 2519) ที่จะมีการตกแต่งกระเบื้องโมเสกเป็นรูปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อยู่บริเวณจุดไหว้ที่ 7 และ 8


ภาพโมเสกประดับในอาคารโรงเจหลวงพ่อโสธร
ที่มา: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (2562)

วันชาติ-รัฐพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ

นอกจากงานสถาปัตยกรรมแล้ว การสร้างวัฒนธรรมใหม่อีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญคือ การเปลี่ยนพื้นที่ของวันสำคัญและงานเฉลิมฉลอง

ย้อนกลับไปในช่วงก่อนการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 งานเฉลิมฉลองต่างๆ รวมถึงพระราชพิธีนั้นเป็นพื้นที่สงวนเอาไว้สำหรับชนชั้นนำ แม้ว่าจะมีความพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของพระราชพิธีหรือพิธีกรรมต่างๆ ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้ แต่นัยสำคัญของพิธีกรรมยังคงให้จุดเน้นย้ำอยู่กับองค์ประธานของพิธีกรรมคือ พระมหากษัตริย์ ดังเช่นในพระราชพิธีพืชมงคล-จรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ แม้จะมีการเปิดให้ราษฎรเข้ามาร่วมพิธีกรรม โดยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ใช้พื้นที่ของพระราชพิธีเพื่อสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี[10] แต่สาระสำคัญของพระราชพิธียังคงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่สาระสำคัญของการมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของวันสำคัญและงานเฉลิมฉลอง

หนึ่งในงานมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ งานฉลองพระนครมีอายุครบรอบ 150 ปี ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ นัยของงานฉลองดังกล่าวมี 2 นัย โดยนัยแรกคือ การเฉลิมฉลองที่กรุงรัตนโกสินทร์ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน 150 ปี ซึ่งปรากฏตามพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี และอีกนัยหนึ่งเป็นการเฉลิมฉลองที่ราชวงศ์จักรีปกครองประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง งานฉลองดังกล่าวมีกิจกรรมหลายประการ อาทิ การจัดพิธีเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าและการเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ และการเสด็จพระราชดำเนินเรียบพระนครทั้งทางสถลมารคและชลมารค


ภาพกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงประทับบนทรงพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง
ที่มา: ห้องสมุดมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2564) บน Wikipedia

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองงานมหกรรมสาธารณะส่วนใหญ่จึงมุ่งตอบสนองต่อภาพของวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันของชีวิตมนุษย์ทั่วไป โดยมีรัฐธรรมนูญเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดังนี้กิจกรรมที่เกิดขึ้นจึงมีความพยายามเชื่อมโยงระหว่างการปกครองใหม่กับประชาชน ภาพสะท้อนของมหกรรมสาธารณะที่สำคัญนี้มีอย่างน้อย 2 ประการคือ วันชาติ และวันรัฐธรรมนูญ

งานวันชาติครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม 7 ปี โดยเริ่มต้นจัดงานวันชาติในระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 โดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่ได้มีวันชาติอย่างเป็นทางการ เนื่องจากชาติของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนา ไม่ใช่ชาติในความหมายที่สัมพันธ์กับเชื้อชาติหรือชาติของสามัญชน[11]  ดังนั้น วันชาติโดยปริยายจึงเป็นวันจักรีหรือวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเป็นวันที่เน้นให้ความสำคัญกับบูรพกษัตริยาธิราช[12]

ก่อนกำเนิดวันชาติในเดือนมิถุนายนนั้นมีวันสำคัญเดิมอยู่ 2 วันคือ วันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน และวันรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งตรงกับวันที่ 27 มิถุนายน ที่คณะราษฎรประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยวันทั้งสองเป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามเผยแพร่อุดมการณ์การรัฐธรรมนูญให้แก่พลเมืองเพื่อที่จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้แก่สังคมไทย โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง เช่นเดียวกันกับวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร[13]

ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอยกเลิกวันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญและวันรัฐธรรมนูญชั่วคราว และกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติแทน[14]

ศรัญญู เทพสงเคราะห์ (2567) อธิบายว่างานวันชาติครั้งแรกเริ่มต้นด้วยความคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้าในเวลา 5 นาฬิกา เมื่อมีการจัดงานตลาดนัดที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งสะท้อนนัยความสำคัญของสะพานพระพุทธยอดฟ้าที่เคยมีเมื่อครั้งสมโภชน์พระนคร ในฐานะพื้นที่ทางเศรษฐกิจของประชาชนในระบอบใหม่ ตามมาด้วยการก่ออิฐพิธีก่อฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ณ สี่แยก ถนนราชดำเนินกลางตัดกับถนนดินสอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพิธีสำคัญในวันดังกล่าว[15]

กิจกรรมที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันชาติจึงเป็นกิจกรรมที่มีลักษณะของความเป็นสาธารณะ กล่าวคือ แม้จะเป็นรัฐพิธีที่รัฐบาลเป็นผู้จัดพิธีการดังกล่าวก็ตาม แต่นัยพิธีการนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประชาชนทั่วไป อาทิ การก่ออิฐอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเปิดสภาผู้แทนราษฎร และการเจิมสนธิสัญญา[16]  ยังไม่นับรวมถึงการมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมแบบตลาดนัดที่เชื่อมโยงวิถีทางเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความสำคัญจากแบบแผนและพิธีกรรมในอดีต

ส่วนวันรัฐธรรมนูญนั้นมีที่มาที่ยาวนานกว่าวันชาติ 24 มิถุนายนเล็กน้อย โดยวันรัฐธรรมนูญเริ่มต้นจัดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 โดยถือว่าเป็นมหกรรมสาธารณะขนาดใหญ่งานแรกที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิวัฒน์สยาม การเกิดขึ้นของวันรัฐธรรมนูญก็เพื่อรับรองอุดมการณ์รัฐธรรมนูญให้อยู่ในความสำคัญของชีวิตประจำวัน โดยทำให้วันดังกล่าวกลายเป็นวันหยุดราชการหรือวันสำคัญของชาติ[17] ซึ่งความพยายามดังกล่าวต้องการทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับสถาบันการเมืองในระบอบเดิม เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงความคิดในเชิงทฤษฎีที่ไม่สัมพันธ์กับประชาชน[18]


ภาพประชาชนเข้าชมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
ประดิษฐานอยู่ในกระโจมที่สนามหญ้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดี

ดังนี้ เป้าหมายหลักของงานฉลองรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจความหมายของรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เพื่อประชาชนรับรู้ว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญในฐานะกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ[19]

ราษฎร ตัวตนใหม่ภายใต้ระบบการปกครองแบบไม่สูงต่ำ

การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 คือ การสร้างความหมายของความเป็นราษฎรขึ้นในสังคมไทย คำว่า “ราษฎร” หากพิจารณาตามเว็บไซต์สำนักราชบัณฑิตสภาได้ให้ความหมายของราษฎร หมายถึง ผู้ที่เป็นคนของประเทศ ถือสัญชาติเดียวกัน อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน มีสิทธิตามกฎหมาย และต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองเหมือนกันทุกคน[20]

ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำว่า ราษฎร เป็นคำที่มีการใช้อย่างทั่วไป โดยอย่างช้าสุดคาดว่าคำดังกล่าวเริ่มต้นใช้มาตั้งแต่รัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏในพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ที่ในช่วงราวปี พ.ศ. 2347 ซึ่งแสดงพระราชปณิธานในการปกครองของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกความว่า

ทุกวันนี้เอื้อเฟื้อด้วยพัสดุเงินทองไม่ รักพระศาสนอานาประชาราษฎร ยิ่งกว่าพัสดุ เงินทองร้อยเท่าพันทวีอีก ตั้งพระไททำนุกบำรุงวรพุทธศาสนา ไพร่ฟ้าประชากรให้อยู่เยนเปนศุกร…”[21] (คงตัวสะกดตามแบบแผนเดิม)

โดยในช่วงเวลานั้นคำว่า “ราษฎร” มักจะปรากฏอยู่คู่กับคำว่า “ประชา” โดยตามท้ายเป็นคำว่า “ประชาราษฎร” หรือ “ประชาราษฎร์” ซึ่งนัยในลักษณะเดียวกันกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินหรือไพร่บ้านพลเมือง หากพิจารณาทั่วไปแล้วย่อมหมายถึงประชาชนชาวสยามหรือชายไทย[22]

อย่างไรก็ดี ในช่วงปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย คำว่า “ราษฎร” ไม่ได้มีเพียงความหมายธรรมดา ทว่า คำดังกล่าวได้กลายเป็นภาษาทางการเมืองอย่างเข้มข้น โดยสอดแทรกความคิดและจิตสำนึกที่ก้าวหน้าของชาวบ้าน รวมถึงการแบ่งแยกราษฎรเป็นชนชั้นโดยไม่นับรวมกลุ่มเจ้านายเข้าไปด้วย หลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นนัยความหมายของราษฎรตามนัยนี้ ปรากฏชัดเจนในคำประกาศของคณะราษฎร[23]

ดังนี้ นัยของคำว่า “ราษฎร” นั้นจึงมีความมุ่งหมายในลักษณะเดียวกันกับคำว่า “Citoyenne” (ซีตัวแยน) โดยในภาษาไทยนิยมแปลว่า “พลเมือง” ซึ่งปรากฏในคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 (Déclaration des droits de l’homme et du citoyen) ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส[24] โดยนัยของคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองดังกล่าว พยายามนำเสนอภาพของพลเมืองในฐานะผู้ทรงสิทธิทางการเมืองต่างๆ

เช่นเดียวกันกับคำว่า “ราษฎร” ในประกาศคณะราษฎรที่มีคำๆ นี้มากถึง 41 แห่ง ซึ่งทำให้คำว่าราษฎรนี้มีนัยที่พิเศษ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาตามประกาศคณะราษฎรทั้งฉบับแล้วจะเห็นได้ว่า คำว่าราษฎรนั้นมาพร้อมๆ กับนัยของผู้มีสิทธิมากกว่าหน้าที่[25] ดังเช่นตามหลัก 6 ประการที่ระบุว่า

“3. ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)

5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น”[26]

ผลของการเปลี่ยนแปลงบทบาทของราษฎรในฐานะผู้มีสิทธิแล้วจะเห็นได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหม่ๆ ของรัฐบาลคณะราษฎร ตัวอย่างที่สำคัญเช่น การปฏิรูประบบภาษีใหม่ โดยยกเลิกการเก็บเงินรัชชูการที่มีการเก็บมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2462 โดยเก็บจากค่าราชการจากชายฉกรรจ์ (อายุตั้งแต่ 18-60 ปี) ทุกคนซึ่งนัยของเงินดังกล่าวเป็นการเก็บจากการที่บุคคลมีสถานะเป็นผู้ใต้ปกครอง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของบุคคลในการจ่ายเงินดังกล่าวได้ และเมื่อไม่สามารถจ่ายเงินดังกล่าวได้จะถูกนำไปบังคับใช้เกณฑ์แรงงาน[27] การยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างวัฒนธรรมใหม่ภายใต้แนวคิดเรื่องสิทธิและความเสมอภาค

กล่าวโดยสรุป ภารกิจหนึ่งที่คณะราษฎรได้ริเริ่มสร้างคือ การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฒนธรรมโดยการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพื้นที่ของราษฎร ทั้งในด้านของความเป็นสาธารณะ การสร้างอุดมการณ์ของสิทธิและเสรีภาพ และความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ผ่านการปรากฏของวัฒนธรรมในหลายลักษณะเพื่อให้วัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทย  อย่างไรก็ดี ภารกิจดังกล่าวนั้นค่อยๆ ถูกลบล้างลงในปัจจุบัน และเริ่มเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย สัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญและอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่อยู่ในวัฒนธรรมค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไป

หมายเหตุ รูปแบบการอ้างอิง การสะกด และอักขรคงไว้ตามต้นฉบับ


เชิงอรรถ

[1] ฆัสรา ขมะวรรณ, “แนวคิดของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ ในวัฒนธรรมศึกษาและการวิเคราะห์วัฒนธรรมบริโภค,” (วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์), 13-14.

[2] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นอนิจจังของสังคม, พิมพ์ครั้งที่ 10 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สายธาร, 2552), 64-65.

[3] ปรีดี หงษ์สต้น, สยามมหกรรม: การเมืองวัฒธนรรมกับการช่วงชิงความเป็นสาธารณะ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), 10-12.

[4] ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปะสถาปัตยกรรมสยามสมัยใหม่ ไทยประยุกต์ ชาตินิยม, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2566), 296-297; ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรม สัญลักษณ์ทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2563), 13.

[5] เพิ่งอ้าง, 18.

[6] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 319.

[7] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 19.

[8] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 208-210.

[9] ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล, “วัดธรรมนูญ พานรัฐธรรมนูญ พุทธศิลป์ไทยในยุคการปกครองระบอบประชาธิปไตย กับวัด แหล่งกระจายความคิดที่กว้างขวางที่สุด,” [Online] The Cloud, 9 ธันวาคม 2563, สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://readthecloud.co/constitution-on-phan-waen-fah-in-thai-temple/.

[10] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “รัฐนาฏกรรมของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในความเปลี่ยนแปลงของสังคม,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 พฤษภาคม 2567, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2024/05/1954.

[11] ชนาวุธ บริรักษ์, ความทรงจำใต้อำนาจ: รัฐ ราชวงศ์ พลเมือง และการเมืองบนหน้าปฏิทิน, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2565), 42-49.

[12] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “กำเนิด ‘วันจักรี’ หรือมี ‘วันชาติ’ ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือไม่?,” (2550) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม 28(6), 94: 94-110.

[13] ชนาวุธ บริรักษ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 11, 54-55.

[14] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ, สืบค้นจาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1110471.pdf.

[15] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “รัฐนาฏกรรมในงานวันชาติ พ.ศ. 2482-2484,” (2567) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม, 45(8), 80: 89-90.

[16] เพิ่งอ้าง, 90.

[17] ชนาวุธ บริรักษ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 11, 60.

[18] ปรีดี หงษ์สต้น, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 85.

[19] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 226.

[20] สำนักราชบัณฑิตยสภา, “ราษฎร,” [Online] สำนักราชบัณฑิตยสภา, 6 มกราคม 2557, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก http://legacy.orst.go.th/?knowledges=ราษฎร-๖-มกราคม-๒๕๕๗.

[21] ดู พระราชกำหนดใหม่ มาตรา 9; ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, เล่ม 2 , (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550), 714.

[22] ศราวุฒิ วิสาพรม, “ฝูงชนในเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475,” (2557) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม 35(8) 88: 93.

[23] เพิ่งอ้าง, 93-95.

[24] ดู คำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 ฉบับแปลภาษาไทย โดย ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 (Déclaration des droits de l’homme et du citoyen),” [Online] มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.), 19 มีนาคม 2562, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://thaivolunteer.org/คำประกาศว่าด้วยสิทธิ/.

[25] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475, พิมพ์ครั้งที่ 3, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2560), 182 อ้างใน ศราวุฒิ วิสาพรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 22, 96.

[26] สถาบันปรีดี พนมยงค์, “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126.

[27] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “เงินรัชชูปการ ภาษีซึ่งเก็บจากความเป็นราษฎร,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 ตุลาคม 2563, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2020/10/470.

แม่ เมีย และผู้หญิง : การเมืองไทยใน “มาลัยสามชาย”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ไม่ได้เพียงแต่ให้ความบันเทิงกับผู้อ่าน ซึ่งส่วนสำคัญของความบันเทิงดังกล่าวเกิดจากความสนุกสนานของเนื้อเรื่องที่สื่อสารมายังผู้อ่าน อีกทั้งงานวรรณกรรมที่ดีนั้น ยังมีการใช้ภาษาที่สละสลวยและถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกมายังผู้อ่าน ทำให้เกิดจินตนาการสอดประสานไปกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้

อย่างไรก็ดี คุณค่าของงานวรรณกรรมนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะความบันเทิงหรือความสุนทรียะที่เกิดจากการใช้ภาษาที่สละสลวยเท่านั้น คุณค่าอีกประการหนึ่งที่งานวรรณกรรมกำลังทำหน้าที่ก็คือ “การสะท้อนสังคม”

เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้เคยอธิบายไว้ว่า วรรณกรรมทุกเรื่องมีบทบาทในการสะท้อนสังคมเพียงแต่จะมากหรือน้อย จะถูกต้องหรือบิดเบือนเพียงใดเท่านั้นเอง เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะวรรณกรรมเป็นกิจกรรมที่คนเรากระทำต่อธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสิ่งที่ล้อมรอบอยู่กับตัวของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง อาทิ เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม ซึ่งวรรณกรรมย่อมมีส่วนถ่ายทอดประเด็นทางสังคมเหล่านี้ออกมา รวมถึงทัศนคติของผู้ประพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติ และสภาพสังคมในเวลานั้น[1] โดยเฉพาะหากวรรณกรรมดังกล่าวมีลักษณะเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์แล้ว วรรณกรรมดังกล่าวอาจจะกำลังทำหน้าที่มากไปกว่าความบันเทิง การสร้างสุนทรียภาพ และการสะท้อนสังคม แต่วรรณกรรมดังกล่าวอาจกำลังสร้างปฏิบัติการของการสร้างความทรงจำร่วมกันของคนในสังคม

ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอนำผู้อ่านมาพิจารณาเนื้อหาของนวนิยายเรื่อง “มาลัยสามชาย” โดยมองมิติการเมืองผ่านตัวตนของผู้หญิงในนวนิยายเรื่องนี้

คำเตือน บทความนี้มีการหยิบเนื้อหาบางส่วนของนวนิยายเรื่องมาลัยสามชาย และกล่าวถึงเนื้อหาบางส่วนจากละครโทรทัศน์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน หากผู้อ่านประสงค์จะติดตามเนื้อหาของนวนิยายหรือละครโดยละเอียด โปรดอย่าอ่านต่อ

‘มาลัยสามชาย’ และเบื้องหลังของผู้ประพันธ์

“มาลัยสามชาย” เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยรองศาสตราจารย์ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ หรือรู้จักในนามปากกาว่า ว. วินิจฉัยกุล หรือ แก้วเก้า เป็นนักประพันธ์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงจากการเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ และแนวแฟนตาซีหลายเรื่อง

กล่าวเฉพาะเกี่ยวกับมาลัยสามชาย ซึ่งเป็นนวนิยายที่คุณหญิงวินิตา เขียนโดยใช้นามปากกาว่า ว. วินิจฉัยกุล เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารพลอยแกมเพชรโดยเขียนเป็นตอนสั้นๆ ก่อนจะถูกนำไปรวมเล่มในปี พ.ศ. 2550

เนื้อเรื่องโดยรวมของมาลัยสามชายนี้ เป็นการเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของ “ลอออร” หรือ “คุณหญิงโยธาบดี” ในเวลาต่อมา

‘ลอออร’ เกิดและมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 9[2] ผ่านชีวิตการแต่งงานมีครอบครัวมา 3 ครั้ง ก่อนจะพบความสุขในชีวิตคู่ในตอนสุดท้าย โดยชีวิตของลอออรนั้นได้เข้าไปเกี่ยวพันกันกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลานั้นอย่างใกล้ชิดที่นวนิยายในแต่ละช่วงจะได้อธิบายเรื่องดังกล่าวผ่านมุมมองของตัวละครต่างๆ

ในแง่วรรณศิลป์ ผู้เขียนอาจจะไม่แสดงความเห็นต่อนวนิยายเรื่องนี้มาก เนื่องจากนวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทนวนิยาย จากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจากการอ่านผู้เขียนก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับการได้รับรางวัลดังกล่าว[3]

อีกสิ่งที่น่าสนใจของนวนิยายเรื่องมาลัยสามชายนี้คือ การที่ผู้ประพันธ์ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องย้อนหลังจากช่วงเวลาปัจจุบัน โดยอาศัยความทรงจำของตัวละครอื่นในเรื่องเพื่ออธิบายเกี่ยวกับชีวิตของลอออร[4] ซึ่งถูกมองว่ามีความแปลกและแตกต่างไปจากชีวิตของผู้หญิงทั่วๆ ไปในช่วงเวลาเดียวกัน ประกอบกับมีการผูกโยงเรื่องราวเข้ากับเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์อย่างการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475

การเล่าเรื่องในลักษณะดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนเป็นกับการอธิบายชีวประวัติของบุคคลที่เสมือนมีตัวตนอยู่จริง และสร้างน้ำหนักที่มีความสมจริงให้กับบทประพันธ์มากยิ่งขึ้น ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นความแยบคายและเฉียบคมของผู้ประพันธ์ที่ช่วยให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครได้มากขึ้น คล้ายๆ กับที่ผู้อ่านมีความรู้สึกร่วมกันกับบทประพันธ์อย่างสี่แผ่นดิน

อนึ่ง แม้ว่าจะไม่ปรากฏแน่ชัดว่า คุณหญิงวินิตาได้อิทธิพลของตัวละครลอออรมาจากที่ใด (คำกล่าวอ้างจำนวนหนึ่งได้เล่าว่า ผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของผู้หญิงคนหนึ่ง หรือการตามมารดาไปเจอญาติผู้ใหญ่ และอีกส่วนก็กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของคุณหญิงมณี สิริวรสาร)  อย่างไรก็ดี อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ได้นำเสนอแง่มุมการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ ภูมิหลังสำคัญของผู้ประพันธ์มีส่วนสำคัญในการเติมเต็มเรื่องราวของลอออร กล่าวคือ ผู้หญิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายวัลลภ วินิจฉัยกุล และนางกาญจนี วินิจฉัยกุล สมรสกับนายสมพันธ์ ดิถียนต์ และมีบุตรสาวสอง

ด้วยเหตุนี้ การเลือกสร้างตัวละครนำให้เป็นผู้หญิงจึงอาจจะมีความราบรื่นมากกว่า ประกอบกับการที่ผู้อ่านหลักของเรื่องนี้ในช่วงแรกเป็นผู้หญิงในนิตยสารสตรี ทำให้การใช้ตัวละครหญิงเพื่อนำเสนอคุณค่าใหม่ของผู้หญิงทำให้ผู้อ่านรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจตัวละครมากยิ่งขึ้น[5]

บทบาทของแม่ เมีย และผู้หญิงในช่วงเปลี่ยนผ่านสังคมและการเมือง

ด้วยเหตุที่เป้าหมายดั้งเดิมของผู้ประพันธ์ในนวนิยายเรื่องมาลัยสามชายโดยตีพิมพ์ในนิตยสารพลอยแกมเพชรที่เป็นนิตยสารสตรี มีกลุ่มผู้อ่านหลักในเวลานั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งการดำเนินเรื่องโดยตัวละครผู้หญิงอาจจะทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการถึงภาพและทำความเข้าใจบริบทของตัวละครได้ดีกว่า ประกอบกับด้วยภูมิหลังของผู้เขียนดังที่ได้มีการกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นวนิยายไม่เพียงแต่มีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง ทว่า การดำเนินเรื่องโดยส่วนใหญ่จะดำเนินผ่านตัวละครผู้หญิงที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครลอออร อาทิ แม่ของลอออร คุณป้าจรวย (ป้าของลอออร) คุณประยงค์ (พี่สาวของสามีคนแรก) เสด็จพระองค์หญิง ทองไพรำ และเครือญาติฝ่ายหญิงของสามีสองคนแรก โดยที่ตัวละครแต่ละตัวนั้นฉายภาพของผู้หญิงในบริบทของสังคมเวลานั้นๆ

ในนวนิยายผู้ประพันธ์สร้างตัวละครลอออรให้เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นบุตรสาวคนโตของพระยาวรพันธ์กับภริยาคนแรก ภายหลังจากมารดาถึงแก่กรรมก็ได้อยู่ภายใต้การอุปการะของคุณป้าจรวยโดยถวายตัวเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิง จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 18 ปี ลอออรได้แต่งงานกับ ยศ พลาธร บุตรชายคนเดียวของพระยาพลาธรกับภริยาเอกที่เพิ่งกลับมาจากเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ชีวิตสมรสก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะในเวลาต่อมายศได้พาทองไพรำเข้ามาในบ้าน ทำให้ลอออรได้ตัดสินใจเลิกลา และกลับเข้าวังเพื่อรับราชการเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิงอีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งเสด็จพระองค์หญิงสิ้นพระชนม์จึงได้ออกมาอยู่นอกวัง ได้พบรักและแต่งงานกับนายพันโทพระสุรกิจเกรียงไกร หรือ เทพ ราชศักดิ์ มีครอบครัวด้วยกันจนกระทั่งชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ทำให้เทพต้องลี้ภัยทางการเมืองตามเจ้านายพระองค์หนึ่ง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนท้ายที่สุดลอออรได้ตกหลุมรักและตกลงแต่งงานกับเจ้าดิเรกรุจ ผู้มีสถานะเป็นเจ้านายวงศ์ล้านนา

ตลอดนวนิยายเรื่องนี้จะนำเสนอบทบาทของผู้หญิงใน 3 แง่มุม คือ การเป็นแม่ เมีย และผู้หญิงที่ดีในกรอบขนบของสังคมไทย แม้ว่าตัวละครบางตัวจะไม่ได้ต้องดำรงบทบาททั้ง 3 บทบาท แต่ต้องดำรงบทบาทของผู้หญิงที่ดีในกรอบขนบของสังคมไทยที่ได้รับการส่งเสริมด้วยสถานะของผู้หญิงที่ทรงศักดิ์ที่จะมีอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้บทบาทที่สังคมคาดหวังให้เป็นแม่และเมีย ดังจะเห็นได้จากกรณีของเสด็จพระองค์หญิง ซึ่งเป็นเจ้านายที่ลอออรได้เข้ามาถวายตัวเป็นนางข้าหลวงตั้งแต่ยังเด็ก หรือกรณีของคุณจรวย และคุณประยงค์ ซึ่งทั้งสองคนก็มีสถานะเป็นนางข้าหลวงและเป็นลูกหลานของผู้ดีที่มีสถานะได้รับการยอมรับจากสังคม (แม้ว่าในนวนิยายจะอธิบายเหตุที่คุณประยงค์ไม่ได้สมรสเอาไว้ แต่การอยู่โดยมีสถานะทางสังคมที่สูงก็ทำให้รอดพ้นจากความคาดหวังดังกล่าว)[6]

โดยทั่วไปบทบาททั้งสามนั้น ครอบคลุมกับตัวละครเกือบทุกตัวในนวนิยายเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลอออร ที่แม้ว่าผู้ประพันธ์พยายามเน้นย้ำกับผู้อ่านว่า ลอออรไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นในยุคสมัยเดียวกัน[7] ดังปรากฏตามบทประพันธ์ว่า

“เริ่มตั้งแต่ชื่อ คุณย่า (ลอออร)  ก็ไม่เหมือนคนแก่ในวัยเดียวกันเสียแล้ว ยิ่งถ้ารู้จักคุณย่า ก็จะพบว่ามีอีกหลายๆ อย่างผิดแผกจากคนรุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่รุ่นหลังท่าน” หรือ “ชีวิตส่วนตัวของคุณย่า (ลอออร) เป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนคนแก่คนอื่นๆ…คุณปู่กับคุณย่ารับประทานขนมปังทาเนยบางๆ สลับกับข้าวต้มเครื่องในบางวัน ตอนบ่ายแม่บ้านยกน้ำชาฝรั่งมาให้คุณย่ากับคุณปู่ที่ลานสนามข้างบ้าน พร้อมของว่างประเภทแซนด์วิช…”[8]

ความแตกต่างที่ผู้ประพันธ์พยายามเน้นย้ำให้ผู้อ่านทราบในนวนิยายก็คือ การปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมัยใหม่หรือการรับเอาวัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นอกจากเรื่องการกิน ดังยกตัวอย่างมาแล้วในข้างต้น ในบทประพันธ์จะอธิบายว่า ลอออรมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าป่านหรือลูกไม้ คอปก แขนสามส่วน กับนุ่งผ้าไหมยาวเลยน่อง สีสันไปทางเดียวกัน และไม่เดินเท้าเปล่า แม้แต่เวลาที่อยู่ในบ้านก็จะใส่รองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้าน หรือการมีกิจวัตรประจำวันในการดูการ์ตูนสั้นขาวดำที่นำเข้าจากต่างประเทศ การเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงฟังเพลงสากล รวมถึงการมีทักษะการทำงานบ้าน อาทิ การทำบัญชี การปักผ้าครอสติช ถักโครเชต์ ถักแท็ตติดผ้าเช็ดหน้า จัดดอกไม้ และทำอาหารฝรั่งประเภทสตูว์ เนื้ออบ และมันฝรั่งอบยัดไส้ รวมถึงลอออรสามารถขับรถและยิงปืนได้อีกด้วย[9]

การอธิบายคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นในนวนิยายเป็นการอธิบายว่า ลอออรมีลักษณะแตกต่างไปจากผู้หญิงทั่วไปในยุคสมัยเดียวกัน แต่ผู้ประพันธ์ยังคงสร้างตัวละครลอออรให้เป็นผู้หญิงตามขนบของหญิงไทยที่เพียบพร้อมในสมัยก่อน[10] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นการรับมือกับการเปลี่ยนผ่านทางยุคสมัยและความเป็นสมัยใหม่ภายใต้อิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาสู่สังคมไทยของชนชั้นนำ ซึ่งแม้จะมีการปรับเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางอย่าง อาทิ การกิน การแต่งกาย และการใช้ชีวิตความบันเทิง แต่ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบภายนอก ในทางตรงกันข้ามองค์ประกอบทางจิตใจนั้นยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งคุณค่าของความเป็นไทยบางอย่างที่ถูกยกย่องให้สูงส่งกว่า อาทิ ความเป็นกุลสตรีไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างตัวตนของความเป็นไทย[11]

ความเป็นกุลสตรีไทยที่ถูกเน้นย้ำนั้น ยึดโยงกับบทบาทของการเป็นนางแก้ว ตามการวิเคราะห์ของ อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ได้อธิบายว่า ลอออรเป็นหญิงสาวผู้มีคุณสมบัติของการเป็นศรีภริยา กล่าวคือ เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติของความเป็นผู้ดี รวมถึงการมีชาติตระกูลและภูมิหลังที่ดีโดยได้รับการอบรมจากในวังของเสด็จพระองค์หญิง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลทางความคิดและเป็นตัวแบบให้กับลอออร[12] การสร้างตัวละครเสด็จพระองค์หญิงขึ้นมาจึงอาจมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำว่าลอออรได้รับการถ่ายทอดคุณลักษณะของความเป็นกุลสตรีชาววังมาโดยตรง

บทบาทของการเป็นนางแก้วผู้เป็นเมียของลอออรยังได้รับการเน้นย้ำจากผู้ประพันธ์ไว้ในหนังสือ โดยเมื่อลอออรแต่งงานกับยศ สามีคนแรก ดังปรากฏในบทประพันธ์ว่า “ไม่รักก็บ้าแล้ว นางแก้วอย่างน้องอรไปหาได้ที่ไหนอีก เรารักมาตั้งแต่เห็นหน้า”[13]

การเปรียบเทียบลอออรเป็นนางแก้วซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิตามคติแบบไตรภูมินั้นเป็นการยกย่องลอออรไว้ในสถานะที่สูงส่ง เพราะไม่เพียงการเป็นศรีภริยาทั่วไปนั้น แต่ยังเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นเมียที่ดี รู้จักปรนนิบัติสามีให้ได้รับความสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ[14]

มิเพียงเท่านั้นเมื่อลอออรจบความสัมพันธ์กับยศ และได้ไปแต่งงานกับนายพันโทพระสุรกิจเกรียงไกรหรือเทพ ที่ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นพันเอกพระยาโยธาบดี สามีคนที่สอง ลอออรยังคงปฏิบัติหน้าที่ศรีภริยาโดยการดูแลปรนนิบัติสามี รวมถึงคอยต้อนรับเพื่อนร่วมงานของสามีไม่ให้สามีต้องขายหน้า ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของภริยาตามขนบของการเป็นช้างเท้าหลังได้เป็นอย่างดี รวมถึงปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่ที่ดีทั้งกับลูกของตัวเองและลูกติดของสามี

บทบาทของการเป็นกุลสตรีไทยนี้มีเป็นจุดสำคัญของเรื่อง แม้ว่าลอออรจะท้าทายขนบธรรมเนียมของสังคมด้วยการเป็นหญิงสามผัว ซึ่งตามคติของคนไทยที่มีคำพังเพยว่า “หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์คบไม่ได้” ซึ่งเป็นการมองว่า ผู้หญิงที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้วหลายหนย่อมต้องเป็นผู้หญิงที่มีปัญหา รวมถึงการผ่านชีวิตสมรสมามากก็อาจจะมีเล่ห์กลสามารถออดอ้อนมารยาสาไถยสามีได้[15]

ในกรณีของลอออรนั้น ด้วยการเป็นกุลสตรีที่วางตัวมาอย่างดีทำให้เมื่อมีการสิ้นสุดความสัมพันธ์กับสามีคนที่หนึ่งและคนที่สอง จนมาแต่งงานกับเจ้าดิเรกรุจ สามีคนที่สามก็ไม่มีใครว่ากล่าวในทางเสียหาย โดยมองว่าการสิ้นสุดความสัมพันธ์กับยศสามีคนแรกก็เป็นเพราะยศนั้นเป็นคนไม่ดีเองที่ทอดทิ้งลอออรไปมีผู้หญิงใหม่ คือ ทองไพรำ เป็นเหตุให้ลอออรขอหย่ากับสามี

ส่วนการแต่งงานครั้งที่สองสิ้นสุดลงเป็นเสมือนการสิ้นบุญวาสนากัน แต่การวางตัวดีของลอออรนั้นทำให้แทนที่จะถูกนินทาว่าร้ายจากคนในสังคม ในทางตรงกันข้ามคนในสังคม รวมถึงญาติตระกูลของยศก็กลับเชิดชูลอออรเสมือนเป็นคนในครอบครัวและยังคงไปมาหาสู่กันอยู่ หรือแม้แต่เมื่อพระยาโยธาบดีถึงแก่กรรมลอออรก็ยังคงวางตัวเป็นอย่างดี โดยพยายามสกัดกั้นความสัมพันธ์และความรู้สึกที่มีต่อเจ้าดิเรกรุจ

การหย่าขาดกับสามีคนแรกมีลักษณะแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในเวลานั้น เพราะด้วยว่าธรรมเนียมในอดีตกาลที่ผู้ชายมีหลายเมียนั้นเป็นเรื่องปกติ คติของการมีผัวเดียวเมียเดียวเป็นสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นจากการรับวัฒนธรรมแบบวิกตอเรียนเข้ามาในสังคมไทยในช่วงราวๆ รัชกาลที่ 6 และเป็นรูปเป็นร่างเมื่อภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475[16] ประกอบกับผู้หญิงในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 นั้นมีโอกาสทางอาชีพค่อนข้างน้อย[17] ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อลอออรหย่าขาดจากยศแล้ว จึงเลือกที่จะกลับไปเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิงแทน แต่การหย่าดังกล่าวไม่ได้ทำให้ลอออรถูกมองในแง่ร้าย ในทางกลับกันตัวละครต่างๆ ในเรื่องกลับมองว่าลอออรเป็นผู้หญิงที่ดีและมีคุณค่าจนเสียดาย

จากที่ได้อธิบายมาข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า นวนิยายเรื่องมาลัยสามชายเป็นตัวแสดงอำนาจทางการเมืองของจารีตแบบไทยที่ทาบทับบนตัวตนของผู้หญิงแบบลอออร เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ว่าในลักษณะใดๆ ก็ตามในสังคมนั้น ถูกกำกับโดยกติกาและกลไกในการทำให้สยบยอม เรื่องความสัมพันธ์จึงเป็นมิติหนึ่งของการเมือง[18] ซึ่งแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการแต่งตัว และวิถีชีวิตบางด้านให้เป็นไปตามแนวทางสมัยใหม่จากตะวันตก แต่บทบาทและจุดยืนเบื้องหลังของลอออรยังคงยึดโยงอยู่กับคุณค่าของความเป็นไทย ทำให้ตัวตนของผู้หญิงเป็นพื้นที่ต่อรองทางการเมืองลักษณะหนึ่ง

อย่างไรก็ดี นวนิยายเรื่องมาลัยสามชายนั้น ไม่ได้แสดงความเป็นการเมืองเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ที่กำกับเหนือตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิงอย่างลอออร แต่ตัวนวนิยายเองก็เป็นผลผลิตของการเมืองด้วยเช่นกัน

การเมืองใน ‘มาลัยสามชาย’ ภาพสะท้อนผ่านผู้หญิง

ไม่เพียงแต่ความสนุกที่ได้จากเรื่องราวของนวนิยาย แต่จากการวิเคราะห์บทบาทของลอออรผ่านความเป็นแม่ เมีย และกุลสตรีไทยนั้นจะทำให้เห็นภาพของอำนาจทางการเมืองของจารีตแบบไทยที่ทาบทับบนตัวตนของผู้หญิงแบบลอออร นอกจากนี้ นวนิยายเรื่องนี้ยังให้นัยทางการเมืองแอบแฝงเอาไว้ในเนื้อเรื่อง

นัยอย่างหนึ่งที่นวนิยายเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ประพันธ์จะจงใจหรือไม่ก็ตาม มาลัยสามชายได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความทรงจำรวมหมู่ (collective memory) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องย้อนหลังจากปัจจุบันมาสู่อดีต โดยอาศัยข้อเท็จจริงและมีการอ้างอิงถึงตัวบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริง แม้จะไม่ได้สื่อสารไปในลักษณะที่ชัดเจนว่าหมายถึงตัวบุคคลใดตรงๆ[19] แต่ความคล้ายกันและความคลุมเครือดังกล่าวทำให้นวนิยายที่นำเสนอเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน จนยากที่จะแยกว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ในขณะเดียวกันการสื่อสารในลักษณะดังกล่าวอาศัยข้อได้เปรียบของการเป็นนวนิยาย ทำให้ปฏิเสธความแม่นยำหรือความถูกต้องของพยานหลักฐาน  ทว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ถูกนำเสนอเข้าไปในความทรงจำรวมหมู่ของคนในสังคมแล้ว[20]

แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของมาลัยสามชายจะกล่าวถึงการแต่งงาน ความสัมพันธ์ของตัวละคร และชีวิตสมรส แต่ผู้ประพันธ์ก็ผูกเรื่องการเมืองไว้กับชีวิตแต่งงานของตัวละครอย่างแยบยล[21] ตัวอย่างของการเมืองในมาลัยสามชายนี้ที่สะท้อนผ่านชีวิตของลอออร อาทิ การนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 และทัศนคติของตัวละครที่มีต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว

ในนวนิยายเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามเกิดขึ้นในช่วงที่ตัวลอออรได้แต่งงานครั้งที่ 2 กับพันเอกพระยาโยธาบดี ซึ่งเป็นบุตรชายของพระยาราชศักดิ์ นายทหารคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันพันเอกพระยาโยธาบดีรับราชการเป็นราชองค์รักษ์ของจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงสถานะของพันเอกพระยาโยธาบดีในฐานะของตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมที่อยู่ตรงกันข้ามกับคณะราษฎร โดยที่ไม่ปรากฏชัดว่าผู้ประพันธ์จะจงใจหรือไม่ แต่ตัวละครที่ผู้ประพันธ์เลือกนำมาใช้นำเสนอภาพแทนคณะราษฎร คือ พระยานราภิบาล โดยอธิบายบุคลิกลักษณะของตัวละครทั้งสองให้ตรงข้ามกัน

ภาพการอธิบายตัวละครพระยาโยธาบดีนั้น จะถูกนำเสนอในรูปแบบของนายทหารผู้มีเกียรติ มีภริยาที่เพียบพร้อม และมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ แต่ในนวนิยายผู้ประพันธ์กลับอธิบายลักษณะของพระยานราภิบาลในด้านลบ อาทิ การอธิบายว่าพระยานราภิบาลเป็นคนไม่จงรักภักดี เป็นคนแปดเหลี่ยมสิบสองคม ความประพฤติไม่น่าไว้ใจ เกลียดเจ้า และมักใหญ่ใฝ่สูง[22] ดังตัวอย่างปรากฏในบทประพันธ์ว่า

“ผมทราบว่าเจ้าคุณนราเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง…วิ่งเต้นประจบประแจงเจ้านายไม่สำเร็จ ก็หันไปทางอื่น จึงไม่อยากเกี่ยวดองด้วย ไม่อยากให้แปดเปื้อนมาถึงสกุลราชศักดิ์”[23]

สิ่งนี้ทำให้พระยาโยธาบดีพยายามกีดกันเพื่อไม่ให้ลูกสาวและนรินทร์ ลูกชายของพระยานราภิบาลได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกัน ถึงขนาดลงโทษลูกสาวอย่างหนักเมื่อทราบว่าไปพบเจอกับนรินทร์[24] แม้ว่าในช่วงต้นของนวนิยาย ผู้ประพันธ์จะปูเรื่องมาให้เข้าใจว่า พระยาโยธาบดีไม่ชอบพอวิธีการเลี้ยงลูกของพระยานราภิบาล ดังปรากฏในบทประพันธ์ว่า

“หมายถึงบ้านนั้น เขาเลี้ยงลูกไม่เหมือนเรา พี่ไปรับลูก เห็นหนุ่มๆ นั่งกันอยู่เต็มสนาม ปนเปกับสาวๆ หัวร่อต่อกระซิก ไม่มีผู้ใหญ่ให้เห็นสักคน มัวขึ้นไปอยู่บนตึกกันหมด ไม่งาม ไม่รู้ว่าเจ้าคุณนรากับคุณหญิงคิดอย่างไร”[25]

ข้อความดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพความแตกต่างระหว่างจุดยืนของพระยาโยธาบดีกับพระยานราภิบาล ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ประพันธ์ยังได้สร้างภูมิหลังของพระยานราภิบาลให้มีลักษณะห่างไกลจากการเป็นคนมีชาติตระกูลที่ดีเป็นแค่คนมีฐานะพอมีพอกิน เติบโตในหน้าที่การงานด้วยเส้นสายและเงินทองของภริยา คุณหญิงประไพ ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าสัวในย่านสำเพ็งไม่ใช่ลูกผู้ดีมีชาติตระกูลแบบลอออร[26]

นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์ยังได้ขยายความขัดแย้งระหว่างพระยาโยธาบดีและพระยานราภิบาลให้มากขึ้น โดยอธิบายว่า เมื่อมีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระยานราภิบาลได้อาศัยอำนาจทางการเมืองทำเรื่องเลวร้าย อาทิ การยุแยงให้ผู้นำของคณะราษฎรเนรเทศให้พระยาโยธาบดีออกจากสยามไปพร้อมกับเจ้านายที่พระยาโยธาบดีรับใช้ และการพยายามข่มเหงให้ลอออรมีความสัมพันธ์กับตนเพื่อแลกกับจดหมายของพระยาโยธาบดี เนื่องจากพระยานราภิบาลประสงค์จะได้ลอออรมาเป็นภริยาอีกคนหนึ่ง

การที่บทประพันธ์กำหนดให้พระยานราภิบาลพยายามเกี้ยวพาราสี และคอยที่จะข่มเหงลอออรนั้น โดยที่ผู้ประพันธ์กำหนดให้พระยานราภิบาลเป็นสมาชิกและเป็นตัวแทนของคณะราษฎรโดยรวม การคุกคามต่อผู้หญิงของพระยานราภิบาลจึงกลายเป็นการสะท้อนว่า ความเป็นสมัยใหม่นั้นไม่ได้มีแต่ด้านดีแต่มีอันตรายที่ต้องตระหนัก[27]

การอธิบายความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระยานราภิบาลยังได้ถูกตีความและขยายออกไปเมื่อมีการนำนวนิยายเรื่องนี้ไปทำละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2553 เมื่อทั้งสองได้พบเจอกัน ดังปรากฏในฉากของละครว่า

พระยานราภิบาลและเพื่อนร่วมงานได้เดินเข้ามาในห้องอาหารและกล่าวว่า “สังคมผู้ดีบ้านเรามันแคบเกินไป เพราะมีเพียงไม่กี่นามสกุลที่ร่ำรวยจนล้นฟ้าแล้วยึดพื้นที่ มีอิทธิพลในทุกกิจการ ไม่ว่าจะเป็นราชการงานเมือง หรือเรื่องการค้าการขาย เพราะฉะนั้นมันสมควรแก่เวลาแล้วที่สังคมเราจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงสักที (หัวเราะ)” โดยมีนายทหารคนหนึ่งกล่าวตอบว่า “สังคมเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วนะเจ้าคุณนรา ไม่ว่าจะนามสกุลอะไร หากเป็นคนดีมีความสามารถ ผมก็เห็นเจริญด้วยกันด้วยตนเองทั้งนั้น…”[28]

จากบทสนทนาข้างต้น ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของพระยานราภิบาลดังกล่าวเป็นการแสดงอุดมการณ์ในการพยายามลดทอนอำนาจของชนชั้นนำในสังคมไทยเพื่อให้เกิดความเสมอภาค อันเป็นอุดมการณ์ของคณะราษฎรที่ได้ประกาศไว้ (ในประกาศคณะราษฎร) หากแต่อุดมการณ์ดังกล่าวกลับถูกหักล้างด้วยข้อโต้แย้งว่า ความเจริญรุ่งเรืองของคนทุกชั้นมาจากความสามารถเป็นหลัก ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกันหากมีความสามารถมากพอ[29]

อนึ่ง การโต้แย้งดังกล่าวเป็นการพิจารณาจากทรรศนะของผู้อยู่ภายใต้ระบบอภิสิทธิ์ชน โดยไม่ได้มองพื้นฐานของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นที่อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรถูกจำกัดเอาไว้ด้วยคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น[30]  นอกจากนี้ การโต้แย้งอุดมการณ์ของพระยานราภิบาลยังเป็นการโต้แย้งอุดมการณ์ของคณะราษฎรประชาธิปไตยและความเสมอภาคของคณะราษฎร[31]

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของนวนิยายฉบับนี้ คือ การอุปมาสถานการณ์ของการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร[32] เข้ากับช่วงชีวิตของลอออร และครอบครัวที่พระยาโยธาบดีจำต้องเดินทางออกจากสยามไป การแตกสลายของครอบครัวนี้เน้นย้ำถึงอารมณ์ความรู้สึกของการแตกสลายของประเทศชาติบ้านเมือง

ชีวิตทาบทับด้วยความสุข ความทุกข์ และความสงบของชายทั้งสาม

ประเด็นสุดท้ายที่เป็นข้อสังเกตต่อนวนิยายฉบับนี้ก็คือการนำเสนอความสุข ความทุกข์ และความสงบของตัวลอออรที่ได้รับจากผู้ชายแต่ละคน แต่หากพิจารณาผู้ชายทั้งสามคนในแง่ตามชนชั้น และภูมิหลังของตัวละครแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า สามีแต่ละคนของลอออรกำลังนำเสนอคุณค่าบางอย่าง

“ยศ พลาธร” เป็นหนุ่มนักเรียนนอกจากประเทศอังกฤษ แม้ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาแต่ก็ได้มีโอกาสไปเรียนรู้วัฒนธรรมและความรู้จากตะวันตก ยศจึงกลายเป็นตัวแทนของความสมัยใหม่ แม้ในนวนิยายจะอธิบายว่าในบางช่วงยศอาจจะดีกับลอออร และช่วยเหลือกันในบางช่วงเวลาด้วยความรัก แต่ความดีดังกล่าวไม่ได้สม่ำเสมอ เสมือนกันกับความทันสมัยนั้นไม่ใช่จะมีข้อดีเสียทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับลอออรในฐานะตัวแทนของการนำเสนอภาพของความเป็นกุลสตรีไทย หรือกล่าวให้ถึงที่สุดแล้วแสดงถึงความเป็นไทย

“เทพราชศักดิ์” หรือ “พระยาโยธาบดี” นายทหารหนุ่มผู้รักชาติ และมีความมั่นคงซื่อสัตย์ในเกียรติยศและศักดิ์ศรี เป็นตัวแทนของคุณค่าความเป็นไทย ความสัมพันธ์ระหว่างพระยาโยธาบดีกับลอออรเป็นความสัมพันธ์ของคู่ชีวิตที่เติมเต็มกันและกันโดยมีความสุขสมบูรณ์ เปรียบเสมือนความเป็นไทยที่ให้ความสุขสมบูรณ์ได้มากกว่าความเป็นตะวันตก

และท้ายที่สุด คือ “เจ้าดิเรกรุจ” ผู้มีเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือและเป็นหมอหนุ่มผู้มีความสามารถ โดยเป็นคนรักคนสุดท้ายของลอออรที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนจากกันด้วยความตาย การนำเสนอภาพของเจ้าดิเรกรุจให้เป็นเชื้อพระวงศ์ จะเป็นเจ้านายทางเหนือ แต่หากพิจารณาสถานะดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เจ้าดิเรกรุจเป็นภาพแทนของสถาบันกษัตริย์ที่ให้ความร่มเย็นและความสงบสุขทางจิตใจตลอดชีวิต ในลักษณะเดียวกันกับตัวละครของเสด็จพระองค์หญิงที่ผู้ประพันธ์สร้างขึ้นที่ให้ลอออรได้พึ่งพิงในยามที่ตกยาก ทั้งตอนที่มารดาถึงแก่กรรมและตอนที่ต้องแยกทางกับยศ[33]

กล่าวโดยสรุป หากพิจารณาเพียงผิวเผินมาลัยสามชายเป็นนวนิยายที่ดีเล่มหนึ่งโดยทรงคุณค่าทั้งในเชิงวรรณศิลป์และมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักโรแมนติกที่น่าประทับใจชวนให้น่าติดตาม

หากแต่ในขณะเดียวกัน ‘มาลัยสามชาย’ ก็เป็นนวนิยายที่มีความน่าสนใจในการชวนให้เพ่งพินิจพิจารณาในแง่ของการนำเสนอเรื่องทางการเมือง โดยอาจจะมองนัยทางการเมืองที่ถูกนำเสนออย่างแยบยลต่างด้วยมิติที่หลากหลาย อาทิ ผ่านบทบาทความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านการนำเสนอประเด็นทางการเมืองที่แสดงผ่านตัวของผู้หญิง และผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้น


เชิงอรรถ

[1] รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, วรรณกรรมปัจจุบัน, พิมพ์ครั้งที่ 12, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2540), 133.

[2] วินิตา ดิถียนต์, มาลัยสามชาย (นนทบุรี: Meb (Mobile e-Book), 2560), 7.

[3] ศศิพริมม์ มัธยัสถ์สุข, “วิถีชีวิตและค่านิยมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ 7 ถึงรัชกาลที่ 8 ในนวนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล,” (วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต แขนงวิชาไทยคดีศึกษา สาขาศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556), 29-30.

[4] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, “มาลัยสามชาย: ความย้อนแย้งในการนำเสนอคุณค่าใหม่ของผู้หญิง,” (2564) วิวิธวรรณสาร 5(2) 25: 49.

[5] เพิ่งอ้าง, 48-50.

[6] ดู ศศิพริมม์ มัธยัสถ์สุข, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 32-34.

[7] ผู้เขียนได้รับอิทธิพลการวิเคราะห์มาจากบทความของอาจารย์อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ซึ่งผู้เขียนต้องขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้. ดู อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4, 33-36.

[8] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 7-9.

[9] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 7-13 และ 1173-1188.

[10] เพิ่งอ้าง, 36.

[11] ดู ธงชัย วินิจจะกุล, เมื่อสยามพลิกผัน ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 32-37.

[12] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 3, 36 และ 46.

[13] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 88.

[14] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 3, 37.

[15] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, “หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์ คบไม่ได้ ?,” ศิลปวัฒนธรรม, 18 กันยายน 2566, สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2567 สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_13781.

[16] ดู สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ, ผัวเดียวเมียเดียว อาณานิคมครอบครัวในสยาม, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561), 111-124.

[17] ชานันท์ ยอดหงส์, “สาวๆ ทำอะไร เมื่อแรกมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475,” the Matter, 10 ธันวาคม 2562, สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2567 สืบค้นจาก https://thematter.co/thinkers/women-and-the-constitution-in-2475/93587.

[18] ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์, “การเมืองเรื่องเพศและเพศสภาพ: ความปรารถนาและกติกาเรื่องเพศในปรมจารย์ลัทธิมาร,” ใน การเมือง อำนาจ ความรู้: หลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นสำนักธรรมศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2564), 373.

[19] ตัวอย่างเช่น เจ้านายที่เทพราชศักดิ์ต้องติดตามไปก็คือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ หรือเสด็จพระองค์หญิงที่ลอออรและคุณป้าจรวยรับใช้ผู้เขียนสันนิษฐานว่าตัวละครนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.

[20] เจษฎา บัวบาล, “พระอรหันต์รักในหลวง: การสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ผ่านการสอนวิปัสสนาและพุทธศาสนาแบบอิงคัมภีร์ในธรรมนิกายของ สุทัสสา อ่อนค้อม,” (2567) วารสารมานุษยวิทยาศาสนา 5(2) 4: 8-9.

[21] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 4, 43.

[22] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 529-530.

[23] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 530.

[24] ดู เพิ่งอ้าง, 516-531.

[25] เพิ่งอ้าง, 438.

[26] เพิ่งอ้าง, 452-453.

[27] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 4, 46.

[28] ดู ละครมาลัยสามชาย (2533) ตอนที่ 21 อ้างใน เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ, “มองการปฏิวัติสยาม 2475 ผ่านเรื่องเล่าและผู้หญิงในละครโทรทัศน์,” ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 11 เปิดโลกสุนทรีย์ในวิถีมนุษยศาสตร์ ในวันที่ 8-9 กันยายน 2560 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 544.

[29] เพิ่งอ้าง, 545.

[30] ดู คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, แปลโดย ซิม วีระไวทยะ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2525).

[31] เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 21, 545.

[32] ในฉบับนวนิยายผู้ประพันธ์จงใจจะใช้คำว่า “คณะราษฎร์” เพื่อลดทอนสถานะและความมุ่งหมายของคณะราษฎร.

[33] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 4, 46.

วุฒิสภา (สูงวัย) ในไทยกับบทบาทของสภาสูงในโลก: มองบทบาทวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบต่างประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงล้นหลามจนทำให้เกิดคำถามว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลจะได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะด้วยกลไกอันแปลกประหลาดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้

ความประหลาดดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากที่สุดในเวลานี้จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ในเมื่อสมาชิกวุฒิสภาได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนคัดเลือกมาดำรงตำแหน่ง ประเด็นนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญของสังคมว่า วุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้จะยังควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่

บทความนี้ชวนพิจารณาวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบกับความจำเป็นในบทบาทของสภาสูงในระดับสากลว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และบทบาทของวุฒิสภาเป็นอย่างไรในโลกปัจจุบัน

บทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองจำนวนมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา องค์ประกอบหนึ่งของรัฐสภาก็คือ วุฒิสภา

วุฒิสภาเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นสภาสูงทำงานควบคู่กับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาหลักในการเป็นผู้แทนของประชาชนที่ในประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญและมีอำนาจในการนิติบัญญัติอย่างแท้จริง

บทบาทของวุฒิสภาในแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของการออกแบบระบบการเมืองหรือโครงสร้างของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาทั่วโลกจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

ประการแรก หน้าที่ในการตรากฎหมาย บทบาทหลักของรัฐสภาคือการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมาย เมื่อวุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ฉะนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของวุฒิสภาในการตรากฎหมายจึงเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุดของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หน้าที่ในการตรากฎหมายของวุฒิสภาในแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน วุฒิสภาในบางประเทศไม่มีอำนาจในการเสนอกฎหมาย ทำหน้าที่ได้เพียงทำรายงานการศึกษาและแนะนำให้กับสภาผู้แทนราษฎรในการตรากฎหมาย แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะมีหน้าที่หลักในการอภิปรายและพิจารณาผ่านร่างกฎหมาย[2]

ประการที่สอง หน้าที่เป็นผู้แทน โดยทั่วไปถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นผู้แทนของประชาชน แต่นอกเหนือจากการเป็นผู้แทนของประชาชนแล้ว วุฒิสภายังมีสถานะเป็นผู้แทนของชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐที่เข้ามาประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐ โดยวุฒิสภาเหล่านี้จะมีบทบาทในการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐเหล่านั้น[3] ตัวอย่างเช่น สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นวุฒิสภาของประเทศอังกฤษในอดีตมาจากขุนนางสืบตระกูล แต่ในปัจจุบันสมาชิกสภาขุนนางได้รับการเสนอชื่อโดยนายกรัฐมนตรีให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และมีบทบาทน้อยลงมากๆ ภายหลังการปฏิรูปรัฐสภา[4] หรือในสหรัฐอเมริกาและสหพันธรัฐเยอรมนีวุฒิสภานั้นจะมาจากการเป็นสมาชิกของผู้แทนแต่ละมลรัฐที่เข้าร่วมเป็นสหพันธ์[5]

ประการที่สาม หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอม ในระบบการเมืองส่วนใหญ่ที่มีวุฒิสภามักจะให้อำนาจแก่วุฒิสภาในการให้คำแนะนำและความยินยอมในเรื่องต่างๆ เช่น การแต่งตั้งและการทำสนธิสัญญา ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภามีอำนาจสำคัญต้องยืนยันการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูงที่ตั้งโดยประธานาธิบดี อาทิ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของรัฐบาลกลาง และเอกอัครราชทูต หรือการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่เจรจาโดยฝ่ายบริหาร หรือในบริบทของประเทศไทย วุฒิสภามีบทบาทมากไปกว่านั้นโดยทำหน้าที่ให้การรับรองบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครอง[6]

ประการที่สี่ หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ในระบบการเมืองส่วนใหญ่มักจะให้อำนาจวุฒิสภาในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน โดยสามารถตั้งกรรมาธิการสอบสวน ติดตาม หรือตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นอกจากนี้ ในบางประเทศยังกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่เป็นศาลสูงสุดที่มีอำนาจพิจารณาคดี อาทิ ในอดีตศาลสูงสุดของประเทศสหราชอาณาจักรคือ ศาลสภาขุนนาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร แต่ภายหลังเมื่อสหราชอาณาจักรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปจึงได้มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากสภาขุนนางและตั้งเป็นศาลสูงสุดแทน[7] และ

ประการที่ห้า หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร[8] โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญอาจจะออกแบบระบบการเมืองให้สภาทั้งสองมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยอาจจะกำหนดให้วุฒิสภามีอายุยาวกว่าเพื่อประกันความต่อเนื่องของภารกิจเมื่อสภาผู้แทนราษฎรพ้นวาระไปก่อน นอกจากนี้ ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภามีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[9] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่น นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”[10]

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาบทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภาในข้างต้นแล้ว วุฒิสภาดูมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ในโลกนี้ก็มีหลายประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ออกแบบระบบการเมืองให้มีวุฒิสภา

ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่มีวุฒิสภา

เมื่อพิจารณาจำนวนประเทศในปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 80 ประเทศในโลกที่ออกแบบระบบการเมืองให้ใช้ระบบสองสภา คือ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่างและวุฒิสภาเป็นสภาสูง ดังเช่นปรากฏในภาพของ E-Public Law Project ที่แสดงให้เห็นประเทศที่ใช้ระบบสองสภา คือ ประเทศที่สีแดง และประเทศที่ใช้ระบบสภาเดียวคือ ประเทศสีฟ้า โดยนอกเหนือจากประเทศที่ใช้ระบบสองสภาและสภาเดียวแล้ว ระบบการเมืองในบางประเทศยังมีการกำหนดให้มีรูปแบบขององค์กรนิติบัญญัติที่แตกต่างจากระบบการเมืองข้างต้น (สีเขียวและสีเหลือง) อาทิ ในประเทศจีนที่ระบบการเมืองกำหนดให้มีสภาเดียวคือ สภาประชาชนแห่งชาติเป็นสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว แต่ในทางปฏิบัติและโครงสร้างระบบราชการของจีนก็กำหนดให้องค์กรทางการเมืองแบบคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ มีบทบาทมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือครอบงำการทำงานของสภาประชาชนแห่งชาติ หรือประเทศบรูไนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และไม่มีการตั้งองค์กรนิติบัญญัติที่อยู่ในรูปแบบของรัฐสภาที่มีผู้แทนจากประชาชน

ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีระบบการเมืองแบบสองสภา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทิศทางของหลายประเทศเริ่มปรับตัวไปสู่ระบบการเมืองที่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเป็นสภาเดียว โดยการยกเลิกตำแหน่งสภาสูงในหลายประเทศอาจจะเกิดขึ้นจากการทำประชามติเพื่อพิจารณาบทบาทและความจำเป็นในการมีสภาสูงที่ลดลง และการรัฐประหารทำให้เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มีการตั้งสภาสูง ซึ่งหากย้อนกลับไปพิจารณาสาเหตุของการไม่มีสภาสูงในหลายประเทศ มีที่มาจากความพยายามลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการนิติบัญญัติ หรือบทบาทของสภาสูงในประเทศหมดความจำเป็นแล้ว หรือต้องการประหยัดงบประมาณ หรือสภาสูงเป็นสัญลักษณ์ของระบบการเมืองแบบกษัตริย์และศักดินาที่หมดความจำเป็น ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ระบบการเมืองในหลายประเทศได้เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ระบบสภาเดียว โดยให้น้ำหนักและบทบาทไปที่สภาผู้แทนราษฎร[11]

ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

วุฒิสภาไทยเกิดขึ้นมาอย่างไร

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา โดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[12] โดยเมื่อย้อนกลับไปที่ความคิดของนายปรีดี ซึ่งเห็นว่าไม่ควรนำระบบสองสภามาใช้ในประเทศไทยโดยประเทศไทยควรมีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดังสะท้อนอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475[13]

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องมีระบบการเมืองที่กำหนดให้มีสองสภาจริงๆ นายปรีดี ได้ให้ความเห็นว่า สมาชิกของสภาสูงอย่างน้อยก็ควรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของราษฎร ซึ่งอาจใช้วิธีการเลือกตั้งสองชั้นโดยสภาเทศบาลหรือสภาจังหวัดหรือมิฉะนั้นก็โดยสภาผู้แทนราษฎร และให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกได้โดยเปิดเผย กับให้สภาผู้แทนราษฎรมีเวลาพอที่จะพิจารณาว่า ผู้สมัครคนใดควรได้รับการเลือกตั้ง”[14]

และสภาสูงควรมีบทบาทคือ ทำหน้าที่เพียง “ยับยั้ง” ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรได้เสนอ โดยถือว่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะหรือวัยวุฒิเพียงพอที่จะตริตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาในที่นี้จึงเป็น “ห้ามล้อ” ไม่ใช่เป็นการถ่วง โดยการห้ามล้อนี้ต้องคำนึงดุลยภาพแห่งอำนาจของระบบรัฐสภา ซึ่งในทางวิชาการที่เป็นประชาธิปไตยไม่ปรากฏว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมีการถ่วงดุลโดยอภิสิทธิ์ชน จนทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องทรุดเซไปและเสียดุลยภาพแห่งอำนาจในการบริหารประเทศ[15]

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ประเทศไทยมีสภาสูง ซึ่งนายปรีดีได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ทั้งนี้นายปรีดีไม่เห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้มีสองสภาตามที่รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เสนอให้มีการตั้งพฤฒสภาขึ้นมา[16]

พฤฒสภาซึ่งเป็นสภาสูงแรกที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นั้นยังดำเนินไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตยอยู่บ้าง โดยกำหนดให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยราษฎร[17] อย่างไรก็ดี บทบาทของพฤฒสภานั้นสั้นและสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งถูกล้มล้างโดยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490

ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งวุฒิสภาขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อจากพฤฒสภามาเป็นวุฒิสภาแทน[18] โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวังวนของการเกิดขึ้นของวุฒิสภาแต่งตั้ง[19] โดยสถานการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534[20] และมาถึงจุดที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในช่วงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด[21]

บทบาทของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นไปเพื่อถ่วงและทำลายสมดุลแห่งอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และรักษาความต่อเนื่องของระบอบรัฐประหาร[22] แต่สภาพลักษณะดังกล่าวก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เน้นความสูงวัยแบบไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีอำนาจล้นเหลือ

ก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพ้นวาระไป คณะรัฐประหารได้วางกลไกสืบทอดอำนาจของตัวเองไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกำหนดเรื่องการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา โดยการสรรหานั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของ คสช.[23] ซึ่งกระบวนการสรรหาดังกล่าวนั้นแทบจะทำให้สมาชิกวุฒิสภาชุดที่ 12 นี้ ไม่แตกต่างอะไรจากการได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจาก คสช.

ผลที่ได้รับจากการสรรหาของ คสช. คือ การได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความภักดีต่อ คสช. ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ชาย แก่เกษียณอายุจากวงราชการที่ตบเท้าเข้ามาจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ กองทัพ ข้าราชการ และผู้ทรงภูมิรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ ที่ คสช. เลือกสรรเข้ามา[24]

ปัญหาสำคัญคือ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้สวนทางกับหลักการประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วโลก เพราะในทางหลักการอำนาจควรจะมาพร้อมกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตย องค์กรใดจะมีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญมากก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงต่อประชาชน ทว่า วุฒิสภาชุดนี้กลับมีอำนาจเทียบเท่า ส.ส. ทั้งๆ ที่กระบวนการสรรหามีความไม่โปร่งใสและชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เมื่อพิจารณาอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พบว่าวุฒิสภามีอำนาจทั้งหมด 6 ลักษณะ ได้แก่ การประชุมวุฒิสภาและกรรมาธิการต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง[25] ตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีผ่านการตั้งกระทู้ถาม เปิดอภิปรายคณะรัฐมนตรีและส่งชื่อเพื่อกล่าวหา/ถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ[26] ทำหน้าหน้าที่ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะรัฐสภา[27] พิจารณากฎหมาย[28] ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ[29] และอำนาจอื่นๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ อาทิ ให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระในการจัดทำมาตรฐานจริยธรรม[30] พิจารณาข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ[31] ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ[32] สกัดกั้นกฎหมายยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษสำหรับความผิดทุจริตคอรัปชัน[33]

เหนือสิ่งอื่นใดวุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจในช่วงระยะเวลา 5 ปี แรกในการเห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี[34] ซึ่งเป็นอำนาจวิเศษที่ถูกเพิ่มเติมมาผ่านคำถามพ่วงในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

“ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปกติ ส.ว. เนี่ย ไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่นะ ไม่มีสิทธิไปโหวตใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญ โดยเสนอในสมัยที่ผมยังเป็น สปท. ให้ ส.ว. 250 คนนี้ มีสิทธิร่วมในการโหวตคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเป็นคำถามพ่วง พวกเราจำได้อ๊ะเปล่า คำถามพ่วงนี้โหวตทั่วประเทศได้ 15 ล้านเสียง ว่าเห็นด้วยว่าให้ ส.ว. ที่ คสช. ตั้งมาเนี่ย มีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรี”

วันชัย สอนสิริ

เบื้องหลังของบทบัญญัติมาตรานี้มีที่มาจาก นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งได้ออกมายอมรับอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเป็นผู้ยกร่างหลักการในเรื่องนี้ ดังความข้างต้น[35]

ดังจะเห็นได้ว่า บทบาทของสมาชิกวุฒิสภาในทุกวันนี้กำลังพ้นไปไกลจากวุฒิสภาสากลที่ควรจะเป็นในต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ทรงวุฒิที่ให้คำปรึกษาหรือทำในลักษณะแบบที่นายปรีดีได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า ทำหน้าที่คอยยับยั้งเสมือนเบรกที่ทำหน้าที่เพียงชะลอความเร็วไม่ใช่เป็นสภาถ่วง

แต่วุฒิสภาประเทศไทยในเวลานี้กลับดำเนินการตรงข้ามกับหลักการที่ควรจะเป็น กลายเป็นสภาถ่วงพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และล้มเหลวในการทำหน้าที่อื่นๆ อาทิ การช่วยกลั่นกรองกฎหมายหรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาวุฒิสภาชุดที่ 12 ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ในคาถาของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่ผ่านกฎหมายกว่า 40 ฉบับ โหวตตรงกันเกือบร้อยละ 98 ของจำนวนการโหวตทั้งหมด[36] ยังไม่รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้นำเหล่าทัพที่ตบเท้าเข้ามาดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่แทบจะไม่เคยเข้าร่วมประชุมวุฒิสภา[37]

สภาพดังกล่าวนี้อาจจะถึงเวลาที่สังคมไทยต้องกลับมาทบทวนการดำรงบทบาทของวุฒิสภาในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การปิดสวิตช์วุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ แต่อาจจะถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทางเลือกในการยุบวุฒิสภาทิ้งแล้วหรือไม่ เพราะหากกลับไปที่จุดมุ่งหมายของการมีวุฒิสภาที่ทำหน้าที่ 5 ประการ บทบาทเหล่านี้อาจจะถูกอุดช่องว่างได้แล้วหรือไม่ อาทิ

  • หน้าที่ในการตรากฎหมาย ซึ่งหากเหลือเพียงสภาเดียวกระบวนการพิจารณากฎหมายอาจทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกันข้อกังวลเรื่องการไม่มีกระบวนกลั่นกรองที่ละเอียดเพียงพอและอาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการดังกล่าวก็มีช่องทางอื่นที่รองรับการแก้ไขไว้ อาทิ การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติ
  • หน้าที่เป็นผู้แทน ซึ่งหากพิจารณาบริบทของวุฒิสภาชุดที่ 12 นั้นแทบไม่ได้เป็นผู้แทนของใครนอกจากผู้แทนของ คสช. ซึ่งตั้งวุฒิสภาชุดนี้ขึ้นมา ประกอบกับประเทศไทยไม่มีบริบทเช่นเดียวกับสภาขุนนางอังกฤษหรือวุฒิสภาทำหน้าที่ตัวแทนของมลรัฐ ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาเป็นผู้แทนจึงไม่มีความจำเป็น
  • หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอมให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอาจจะแก้ไขได้ด้วยการมอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎร โดยสภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองขนาดเล็กร่วมกันกับการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่แทนวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรก็ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด รวมถึงมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งมากกว่าอำนาจของวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้สร้างกลไกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไว้มากมาย องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการป้องกันการทุจริตได้โดยไม่ต้องมีวุฒิสภา

ท้ายที่สุดภาคประชาชนคือส่วนสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย กระบวนการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่หลายพรรคการเมืองพูดถึงควรจะมาพร้อมกับการเสริมสร้างอำนาจที่ทำให้รัฐราชการโปร่งใส ให้ข้อมูลและตระหนักถึงสิทธิประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหากทำให้หลักการของความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนมีคุณวุฒิมาชี้นำสังคมในแบบวุฒิสภาปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[3] ibid p. 6.

[4] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาขุนนางอังกฤษ,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 (พ.ค.-มิ.ย. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[5] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาที่สองในระบบรัฐสภา,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-ก.พ. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 และโกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,” วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 5, สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[6] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[7] Legislation.gov.uk, Constitutional Reform Act 2005 Section 23 (1)

[8] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[9] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 250.

[10] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[11] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014), p. 6-7.

[12] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[13] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[14] วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์และวิษณุ วรัญญู, แนวความคิดประชาธิปไตย ของ ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 136.

[15] เพิ่งอ้าง น. 136.

[16] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[17] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 24 และมาตรา 25.

[18] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 8.

[19] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 33.

[20] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 12.

[21] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 121.

[22] ดู บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ใน Dhanadis – ธนดิศ, ‘ส.ว. มีไว้ทำไม ?’ (Youtube, 20 พฤษภาคม 2566),  สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[23] ILaw, ‘ไม่ใช่แค่บิ๊กป้อมนั่งประธาน กรรมการสรรหา ส.ว. คสช. เลือกเอง ทั้งทีม’ (ILaw, 26 กุมภาพันธ์ 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[24] เพิ่งอ้าง และ ILaw, ‘เปิดบันทึกประชุม คสช. ตอนคัดเลือก ส.ว. 250 คน นัดเดียวจบ’ (ILaw, 8 ธันวาคม 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[25] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129.

[26] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 150 มาตรา 153 และมาตรา 236.

[27] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 156 มาตรา 165 มาตรา 177 และมาตรา 178.

[28] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 136 มาตรา 137 มาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 146 มารตรา 148 มาตรา 172 และมาตรา 173.

[29] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 204 มาตรา 222 มาตรา 228 มาตรา 232 มาตรา 238 มาตรา 241 มาตรา 246.

[30] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 219.

[31] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 256.

[32] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 270.

[33] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 271.

[34] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 272.

[35] Wikipedia, ‘วันชัย สอนศิริ’ (Wikipedia, 18 พฤษภาคม 2566), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[36] ILaw, ‘สภาหุ่นยนต์! ส.ว.แต่งตั้ง ผ่านกฎหมายอย่างน้อย 40 ฉบับ โหวตทางเดียวกันไม่แตกแถวถึง 98%’ (ILaw, 23 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[37] ILaw, ‘ส.ว. แต่งตั้ง: ผู้นำเหล่าทัพ รับเงินจากสภาและกองทัพ แต่มาลงมติในสภาไม่ถึง 7%’ (ILaw, 30 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

นโยบายการปฏิรูปที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของคณะราษฎร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมีเจตนาที่จะผลักดันนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งคือ การปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อหลักที่ 3 ของหลัก 6 ประการที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้ว่า 

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”[1]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินเริ่มต้นปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ในบทความนี้จะเริ่มต้นจากการฉายภาพสภาพเศรษฐกิจและสังคมสยามก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

หลังจากนั้นจะได้อธิบายแนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ และปิดท้ายด้วยความพยายามในการปฏิรูปเรื่องการถือครองที่ดินในช่วงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของกลุ่มคณะราษฎรหลังการอภิวัฒน์

สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทย

ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้ไม่นาน แม้สยามจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจของในฟากทวีปยุโรปได้รับผลกระทบก็ย่อมส่งผลต่อสังคมสยามไปด้วย อันเนื่องจากการผนวกตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398

เมื่อเศรษฐกิจในยุโรปตกต่ำลงเพราะพิษของสงคราม จึงส่งผลให้ข้าว, ไม้สัก, ดีบุก และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกราคาต่ำลงและขายในตลาดต่างประเทศไม่ได้ราคาอย่างที่คาดหวังไว้ ทำให้สยามมีรายได้ลดลงจากเดิม ในปี พ.ศ. 2473 รัฐบาลสยามในขณะนั้นจึงแก้ปัญหาโดยการตัดทอนรายจ่ายเพื่อให้งบประมาณไม่ขาดดุลด้วยการลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทางทหารลง[2]

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาสินค้า การลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรากฐานของปัญหาในสังคมไทยเวลานั้น เพราะปัญหาหลักของสังคมไทยในเวลาดังกล่าวคือการมีอาชีพหลักเพียง 2 ประการคือ ข้าราชการ และเกษตรกร

กล่าวเฉพาะเกษตรกร ราษฎรสยามที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรในเวลานั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จากการสำรวจของคาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน (Carl C. Zimmerman) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกันซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจของชนบทในปี พ.ศ. 2473 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่ของสยามทำอาชีพเป็นชาวนาโดยเช่านาจากเจ้าของที่ดินเป็นส่วนใหญ่ โดยสัดส่วนการเช่าที่ดินแบ่งตามจำนวนภาคได้ดังนี้ ใน ภาคกลาง ชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่ราวร้อยละ 36, ใน ภาคเหนือ ร้อยละ 27, ภาคใต้ ร้อยละ 14 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 18 โดยเฉพาะจังหวัดธัญญบุรี (ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี) พบว่าชาวนาส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าที่ดินในราวร้อยละ 85 โดยเช่าที่ดินจากบริษัทที่เข้ามาพัฒนาขุดคลองและพัฒนาที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมในขณะนั้น เช่น บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด และชนชั้นปกครองของสยามในเวลานั้น[3]

สภาพที่ดินมีลักษณะเป็นแปลงเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ในเจ้าของหลายคน (รายละเอียดปรากฏตามตารางแนบท้าย) ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินทำได้ไม่เต็มศักยภาพ โดยชาวนาคนหนึ่งมีที่ดินที่ต้องใช้ทำนากระจายอยู่ห่างกัน และแปลงหนึ่งมีเนื้อที่เพียงงานเดียว[4] ทำให้ชาวนาต้องใช้แรงกายในการทำนามาก และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงที่ดินเพื่อทำนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่กลับได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประกอบกับการทำนามีต้นทุนหลายประการ อาทิ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแก่เงินกู้มาลงทุนทำนา ค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินค่ารัชชูปการ ซึ่งมีลักษณะซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรม ผลผลิตจากการเพาะปลูกจึงตอบสนองเพียงพอแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น[5]

ตารางแสดงเจ้าของที่ดิน 5 อันดับแรกและกำไรจากการถือครองที่ดินในเขตรังสิต
ชื่อ/สังกัดปี (พ.ศ.)จำนวนที่ (ไร่)ราคาตอนซื้อโดยประมาณราคาในปี พ.ศ. 2468 หลังเขื่อนป่าสัก
[ประมาณการกำไร]
(อัตราผลตอบแทนต่อปี)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นทิวากรวงษ์
ประวัติ (ต้นราชสกุลเกษมศรี)
244217,945406,8131,435,600 – 1,794,500
[1,028,787 – 1,387,687]
(4.97 – 5.87%)
บริษัทลำไทร จำกัด2441 – 24429,000117,765720,000 – 900,000
[602,235 – 782,235]
(7.07 – 7.98%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นสรรพศาสตร์
ศุภกิจ (ต้นราชสกุลทองแถม)
24417,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมพระนราธิปพระพันธ์พงศ์ (ต้นราชสกุล
วรวรรณ)
7,00024,500560,000 – 700,000
[535,500 – 675,500]
(12.29 – 13.22%)
บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม จำกัด24436,584189,850526,720 – 658,400
[336,780 – 468,550]
(4.17 – 5.1%)
ที่มา : สรุปจากการวิเคราะห์ของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา: สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564) หน้า 27 – 28.

การถือครองที่ดินแปลงใหญ่โดยเจ้าของที่ดินชนชั้นสูงซึ่งอยู่อาศัยนอกพื้นที่ อาทิ กรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตพื้นที่รังสิต เป็นผลมาจากการให้สัมปทานในการขุดคลอง[6] ขณะที่ราษฎรที่บุกเบิกจับจองที่ดินนั้นเข้าใจว่าตนมีสิทธิในที่ดินจากการเข้าไปหักร้างถางพงและทำประโยชน์ โดยไม่ได้ตระหนักถึงระบบกรรมสิทธิ์ที่ถูกนำเข้ามาใช้ใหม่แทนที่การครอบครองที่ดินแบบเดิม[7] ทำให้การครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ไม่มีความหมาย จนนำมาสู่การเกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินกับชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองและทำประโยชน์ในที่ดินในฐานะผู้เช่า ทั้งในแง่ของการปลอมเอกสารสิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ออกโดยหน่วยงานหลายหน่วยงานในเวลาเดียวกัน หรือการขับไล่ชาวนาที่เข้าไปบุกเบิกจับจองที่ดินตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราค่าเช่านา[8]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) รับบทบาทในการจัดทำ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ซึ่งเรื่องหนึ่งที่นายปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจคือ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศสยามในเวลานั้นจากเดิมเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่รัฐมีบทบาทจำกัดและปล่อยให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปตามกลไกตลาด[9] มาสู่การเป็นสังคมนิยมแบบสหกรณ์ (cooperative socialism) โดยเน้นการจัดสรรทรัพยากรโดยรัฐเข้ามามีบทบาทในการวางแผนทางเศรษฐกิจแล้วใช้สหกรณ์เป็นหน่วยในการปฏิบัติตามนโยบายเพื่อจัดสรรทรัพยากร[10]

ในแง่วิธีการจัดหาที่ดินนั้นนายปรีดีเสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…รัฐบาลจะซื้อที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ก็เชื่อว่าชาวนาเจ้าของที่ดินผู้รับจำนองทั้งหลายคงจะยินดีมิใช่น้อย เพราะการที่ตนยังคงมีกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดิน หรือยังยึดที่ดินไว้เป็นประกันมีแต่จะขาดทุนอย่างเดียว การซื้อที่ดินกลับคืนมานี้เป็นวิธีต่างกับวิธีริบทรัพย์ของคอมมิวนิสต์”[11]

กล่าวคือ รัฐบาลควรจะดำเนินการโดยการซื้อที่ดินจากเอกชนกลับมาเป็นของรัฐ เนื่องจากในเวลานั้นราคาที่ดินลดลงและเจ้าของที่ดินไม่สามารถเก็บหนี้ค่าเช่าที่ดินจากชาวนาได้ เพราะชาวนาทำนาขาดทุน การขายที่ดินให้กับรัฐบาลจึงเป็นวิธีการดีที่สุดที่เจ้าของที่ดินจะได้ประโยชน์จากราคาที่ดิน โดยการซื้อคืนที่ดินนี้ นายปรีดีเสนอให้มีการออกใบกู้เงินให้เจ้าของถือไว้ตามราคาที่ดิน และให้ถือว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล (คล้ายกับพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบัน) รัฐบาลจะดำเนินการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะนั้น ซึ่งในทรรศนะของนายปรีดีมองว่า วิธีการนี้ดีกว่าการถือโฉนดที่ดินหรือหนังสือสำคัญเอาไว้ในสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากตอนนี้เจ้าของที่ดินไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการเป็นเจ้าหนี้

นอกจากนี้ การได้ที่ดินของรัฐบาลมาโดยวิธีการนี้ไม่ได้เป็นการบังคับยึดที่ดินมา แต่เป็นการใช้วิธีการซื้อคืนที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยสมัครใจ และเป็นการซื้อคืนเฉพาะที่ดินเพื่อการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ อาทิ ที่นาหรือที่ไร่เท่านั้น ไม่รวมถึงที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย[12]

เมื่อพิจารณาถึงแรงจูงใจในการร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ นายปรีดีได้ชี้แจงต่อคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ร่างขึ้นตามแนวทางแบบสังคมนิยมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ โดยตนเห็นว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมต้องเป็นลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่อกัน[13] ตามปรัชญาภราดรภาพนิยมที่นายปรีดียึดถือ[14] การที่รัฐเข้ามาจัดสรรที่ดินจึงเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมองเห็นความจริงของสังคมว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคลคนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแรงงานของตนเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดขึ้นจากสังคมและฝูงชนโดยรอบที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและร่วมประกันภัยต่อกัน[15]

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของนายปรีดีถูกต่อต้านจากรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พร้อมกับการนำพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจ[16]

อนึ่ง สถานการณ์ดังกล่าวในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจคือ คำอธิบายของ อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ ซึ่งได้กล่าวว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจที่มีการกำหนดให้รัฐซื้อที่ดินจากเอกชนมาเป็นของรัฐ ส่งผลกระทบต่อชนชั้นปกครองในเวลานั้นรวมถึงราชสำนักที่เป็นเจ้าของพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

การปฏิรูปที่ดินจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมรับได้ของชนชั้นนำสยาม เพราะที่ดินถือเป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งให้กับชนชั้นนำ โดยอภิชาตและอิสร์กุลอ้างถึงงานของ สุเอฮิโระว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 การถือครองที่ดินของพระคลังข้างที่ให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อื่นๆ อาทิ กิจการรถไฟฟ้า ธนาคาร การเดินเรือ ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเพียงร้อยละ 4-12 เท่านั้น[17]

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นำไปสู่การทำรัฐประหารเงียบโดยการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีผลเป็นการยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา จนท้ายที่สุดในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนานำอำนาจคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย พร้อมยุติบทบาทของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวความพยายามในการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจได้สะดุดหยุดลง และต่อมาในปี พ.ศ. 2476 พระยาโกมารกุลมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการในรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้เสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินรกร้างว่างเปล่าแทนการปฏิรูปที่ดินตามเค้าโครงการเศรษฐกิจ[18]

แนวทางการปฏิรูปที่ดินสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

การปฏิรูปที่ดินถูกหยิบยกกลับมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่งในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงปี พ.ศ. 2491 – 2500 นโยบายการปฏิรูปที่ดินของจอมพล ป. เป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การตกอยู่ภายใต้พันธะของความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่จะต้องส่งข้าวเพื่อชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม[19] ทำให้ราคาส่งออกข้าวกลับมามีราคาเพิ่มสูงขึ้นและเกิดการสะสมที่ดินอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ปัญหาแรงงานล้นเกินยังมีส่วนให้เกิดแรงกดดันของประชากรต่อที่ดินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินตามมา[20]

นอกจากนี้ ด้วยสภาพทางการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งอยู่ระหว่างการเมืองแบบสามเส้า ทำให้จอมพล ป. อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การดึงเอาการสนับสนุนทางการเมืองจากประชาชน และการรับนโยบายจากสหรัฐอเมริกาจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม[21] กรณีดังกล่าวจึงนำมาสู่การตรากฎหมายที่ให้อำนาจรัฐในการยกเลิกโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบเพื่อแย่งชิงสิทธิกับประชาชน และยกเลิกการออกโฉนดที่ไม่เป็นธรรมแล้วนำไปจัดสรรใหม่ให้กับประชาชน[22]

อีกประการหนึ่งที่รัฐบาลจอมพล ป. ได้ดำเนินการ คือ การจำกัดการถือครองที่ดิน กล่าวคือพยายามเสนอร่างกฎหมายใหม่โดยการตราประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งกำหนดห้ามมิให้ถือครองที่ดินเกินกว่า 50 ไร่ ถ้าเกินกว่า 50 ไร่ต้องขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด[23] อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่านโยบายดังกล่าวนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากรัฐบาลในเวลานั้นยอมแก้ไขร่างประมวลกฎหมายที่ดินโดยไม่ให้มีผลย้อนหลัง ทำให้ไม่กระทบต่อชนชั้นนำที่ครอบครองที่ดินในเวลานั้น[24] แต่ในความเป็นจริงนโยบายการจำกัดการถือครองที่ดินของจอมพล ป. ก็ต้องสิ้นสุดลงไปพร้อมกับการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์[25]

กล่าวได้ว่าปัญหาการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทยมีส่วนสำคัญมาจากแรงจูงใจทางการเมืองของชนชั้นนำในสังคมไทยในเวลานั้น ที่มีส่วนในการขัดขวางกระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลประโยชน์เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทว่า ปัจจัยสำคัญที่ชนชั้นนำไม่ต้องการให้เกิดการปฏิรูปที่ดินเนื่องจากการปฏิรูปจะกระทบต่อความมั่งคั่งเดิมและประโยชน์ที่พึงรักษาไว้จากความเหลื่อมล้ำในสังคม


เชิงอรรถ

[1] หลัก 6 ประการนี้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของคำปฏิญาณคนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1; ดู สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญ) (28 มิถุนายน 2475), หน้า 6.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[3] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525), หน้า 18 – 20.

[4] เพิ่งอ้าง, หน้า 20.

[5] เพิ่งอ้าง, หน้า 32.

[6] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, ทุน วัง คลัง (ศักดิ) นา : สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน (มติชน, 2564), หน้า 42.

[7] ผู้เขียนพัฒนาแนวคิดเรื่องนี้มาจากกรอบการวิเคราะห์ของ รองศาสตราจารย์ ดร.หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์; ดู อคิน รพีพัฒน์, ‘กำเนิดรหัสหมายสลัม/ชุมชนแออัด’ ใน อคิน รพีพัฒน์ (หัวหน้าโครงการ) โครงการวิจัยและปฏิบัติการวิวัฒนาการชุมชนแออัดและองค์กรชุมชนแออัดในเมือง (รายงานวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2541).

[8] ดู กิตติกาญจน์ หาญกุล, ‘บทวิเคราะห์ข้อขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินและกลไกการแก้ไขปัญหา : ศึกษาเฉพาะกรณีที่ดินในเขตชลประทานทุ่งรังสิต’ (2550) 1 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,หน้า 32, 37-38.

[9] ข้อสังเกตคือ การทำงานโดยกลไกตลาดในเวลานั้นไม่มีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรเนื่องจากมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจอยูกับกลุ่มชนชั้นนำ และธุรกิจทุนต่างประเทศ ดู พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 105-106.

[10] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ : ข้อคิดจากปรีดี พนมยงค์ ถึงยุคปัจจุบัน (เสมสิกขาลัย, 2564) 32-33; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ ใน ณภัทร ปัญกาญจน์ (บรรณาธิการ) รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2564), หน้า 71.

[11] ปรีดี พนมยงค์, ‘ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์ <pridi.or.th/th/libraries/1583466113> สืบค้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การอธิบายขยายความเค้าโครงการเศรษฐกิจ’ (เชิงอรรถ 10), หน้า 88 – 91.

[13] สันติสุข โสภณสิริ, เค้าโครงการเศรษฐกิจ (โครงการจัดทำสื่อเผยแพร่เกียรติคุณ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส สำหรับเด็กและเยาวชน 2542), หน้า 107.

[14] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[15] สันติสุข โสภณสิริ (เชิงอรรถ 13), หน้า 107 – 108.

[16] ณัฐพล ใจจริง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจจะไม่ใช่ผู้เขียนพระบรมราชวินิจฉัยตัวจริง ข้อสังเกตดังกล่าวมีความน่าสนใจในทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่มีนัยต่อการพิจารณาในเรื่องนี้; ดู ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝในฝันอันเหลือเชื่อ (ฟ้าเดียวกัน, 2566), หน้า 237 – 287.

[17] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ, (เชิงอรรถ 6), หน้า 74.

[18] เพิ่งอ้าง, หน้า 72.

[19] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[20] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[21] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500)’ (2553) 2 วารสารสถาบันพระปกเกล้า 1, หน้า 1-6. ..สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

[22] อภิชาต สถิตนิรมัย และอิสร์กุล อุณหเกตุ (เชิงอรรถ 6), หน้า 82.

[23] พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 58 ทวิ

[24] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ‘กระบวนการกำหนดนโยบายที่ดินในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2500’ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2553), หน้า 158 – 174.

[25] ประชาไท, ‘จอมพล ป.กับการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ-จุดริเริ่มการปฏิรูปเพื่อกระจายการถือครองที่ดินแก่ ปชช. หลัง 2475’, (ประชาไท, 22 มกราคม 2565) <prachatai.com/journal/2022/01/96921> สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2566.

PRIDI Economic เศรษฐกิจของความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีความน่าสนใจทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ ในแง่หนึ่ง ปรีดี เป็นนักคิดและเป็นนักปฏิบัติภายในตัวเอง โดยมีความคิดในการผสมผสานเอาหลักการทางเศรษฐกิจหลายๆ เรื่องมาใช้เพื่อวางโครงการทางเศรษฐกิจ หนึ่งในแนวคิดสำคัญ และอาจเรียกได้ว่าเป็นอุดมการณ์สำคัญของ ปรีดี คือ ความรักชาติ ซึ่งสะท้อนอยู่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจที่ถูกนำเสนอมาควบคู่กับเจตนารมณ์จะทำเพื่อบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เค้าโครงการเศรษฐกิจเป็นความพยายามของ ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นเอกสารการวางแผนทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการวางแผนเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคมไทย

ในความเห็นของ ปรีดี พนมยงค์ มองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีความสำคัญ และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยปรีดีมีความเห็นว่า การเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องเป็นประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป เพราะหากประชาชนยังมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีทางของประชาธิปไตยได้[1]

อย่างไรก็ดี เค้าโครงดังกล่าวนั้นยังเป็นเพียงกรอบและมีลักษณะเป็นแผนการเบื้องต้นพอสมควร ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไป  อนึ่ง เค้าโครงได้สะท้อนวิธีคิดสำคัญและแนวทางของ ปรีดี ในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ประกอบไปด้วยเนื้อหาสำคัญหลายส่วน โดยแบ่งออกเป็น 10 หมวด โดยเริ่มต้นจากคำชี้แจงในการมีเค้าโครงการเศรษฐกิจ และตามด้วยเนื้อหาในหมวดต่างๆ ได้แก่ หมวด 1 ประกาศของคณะราษฎร หมวดที่ 2 ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน หมวดที่ 3 การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร หมวดที่ 4 แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก หมวดที่ 5 วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน, แรงงาน เงินทุน หมวดที่ 6 การจัดทำให้รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ หมวดที่ 7 การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์ หมวดที่ 8 รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ หมวดที่ 9 การป้องกันความยุ่งยาก ในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง หมวดที่ 10 แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ

ความรักชาติในเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ความรักชาติในทางเศรษฐกิจหรือแนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยมเป็นสิ่งที่ปรากฏในแนวคิดการบริหารเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในหลายๆ เรื่อง[2] โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างชาติและการพัฒนาชาติให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ซึ่งความรู้สึกในเชิงชาตินิยมนี้เป็นความรู้สึกร่วมกันของสมาชิกคณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีเจตนาต้องการให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ[3]

ประกอบกับในเวลานั้นภายในประเทศไทยระบบเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยต่างชาติ บริษัทโดยส่วนใหญ่ของประเทศไทยในเวลานั้นเป็นบริษัทของชาวตะวันตกหรือชาวจีน[4]

ในส่วนของ ปรีดี พนมยงค์ หลักฐานที่ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่การบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรเท่านั้น แต่ต้องการให้การสร้างชาติและพัฒนาชาติให้ทัดเทียมอารยประเทศปรากฏอย่างชัดเจนในคำชี้แจงของปรีดี พนมยงค์ ในรายงานการประชุมคณะกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราจะถอยหลังเข้าคลองให้คนมีความต้องการเพียงผ้าที่ปิดร่างกายนิดหน่อยเหมือนคนป่าแล้ว และถ้ากลับเป็นคนป่า เราไม่ต้องทำอะไรมาก ปัญหามีอยู่ว่าเรากลับเป็นคนป่านั้น ต้องการกันหรือไม่ เวลานี้มนุษย์สัมพันธ์กันมาก เราต้องเทียบฐานะของเรากับประเทศที่เจริญแล้ว จึงจะเห็นได้ว่า เราแร้นแค้นเพียงใด เราต้องพยายามทำให้ถึงเขา…”[5]

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาแหล่งความรู้ ปรีดี พนมยงค์ อ้างถึงในการจัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า ปรีดี ได้รับอิทธิทางความคิดสำคัญมาจาก เฟรดอริค ลิสต์ (Friedrich List) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีความคิดทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยม โดยเชื่อว่าภายในประเทศจะต้องมีการลงทุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม กสิกรรม และศิลปวิทยาให้พร้อมมูลเพื่อป้องกันมิให้ประเทศเกิดการขาดดุลทางการค้า และอาจจะมีการตั้งกำแพงภาษีเพื่อให้เกิดการคุ้มครองเศรษฐกิจภายในประเทศ (protectionism)[6]

จากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อมีการยกร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในเวลานั้น ปรีดี พนมยงค์ จึงพยายามนำแนวคิดเกี่ยวกับชาตินิยมทางเศรษฐกิจมาตราไว้ อาทิ การผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายภายในประเทศ การเข้ามาดำเนินการทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาลผ่านการจัดตั้งองค์การทางเศรษฐกิจของรัฐบาล (รัฐวิสาหกิจ) การพยายามทำให้ประเทศได้ดุลการค้าโดยการส่งออกมากกว่านำเข้า การผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติเพื่อให้คนในชาติเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนา[7] ซึ่งบรรดาแนวคิดเหล่านี้จะนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบการทางเศรษฐกิจ พ.ศ. … ต่อไป

นอกจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมแล้ว ปรีดี ยังตั้งใจจะให้รัฐเป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยตั้งใจให้รัฐเป็นกลไกในการรวบรวมความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งสะท้อนนัยของอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบภราดรภาพนิยม (solidarism)[8] ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายที่ ปรีดี คาดหวังไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจก็คือ การวางแผนทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นในชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เนื่องจาก ปรีดี มองสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเวลานั้นว่าประชาชนมีความยากลำบากและมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ดังปรีดีกล่าวว่า

“…ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่า ราษฎรได้มีความอัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ และไม่มีสิทธิ เสรีภาพ กับเสมอภาคในทางการเมืองอีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม ผมมีความคิดก่อนที่ได้ศึกษาในฝรั่งเศสว่า จะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมว่า มีวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น…”[9]


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565.

[2] อนุสรณ์ ธรรมใจ, ปรีดี พนมยงค์ : รัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์ (กรุงเทพธุรกิจ Bizbook 2552) 149.

[3] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2544) 384 – 386.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, สังคมกับเศรษฐกิจ (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2519) 321 อ้างถึงใน เพิ่งอ้าง 390.

[5] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, เรือนแก้วการพิมพ์ 2552) 151.

[6] สถาบันปรีดี พนมยงค์, ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ (สถาบันปรีดี พนมยงค์) สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 1).

[9] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, สถาบันปรีดี พนมยงค์ 2542) 51.

24 มิถุนายน 2475: อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พลิกฟ้าปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…” 

ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
(พ.ศ. 2475 ตามปฏิทินเก่า)


การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
 มีความสำคัญในฐานะของวันที่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นคำที่ ปรีดี พนมยงค์ ใช้อธิบายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี การดำเนินการของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบอบการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ของประเทศ ดังเช่นที่ปรีดี ได้กล่าวไว้ใน เค้าโครงการเศรษฐกิจว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[2] 

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแล้วสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า โครงสร้างของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นมีความฝืดเคืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ กระบวนการสะสมทุนทางเศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำจนส่งผลโดยตรงต่อความทุกข์ยากของราษฎร[3]

ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในปัจจุบันงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกผ่านการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริง[4] โดยกลุ่มขุนนางและเจ้าศักดินาในระบอบเดิมได้ปรับตัวเข้ากับระเบียบโลกใหม่ตามพระราชนิยมและความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สยามจะอาศัยประโยชน์นี้โดยเข้าไปมีส่วนร่วมและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก การค้าเพื่อสะสมทุนได้เข้ามาเป็นฐานอำนาจหลักของชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่แทน[5]

รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเวลานั้นให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางผ่านการสถาปนารัฐราชการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประการที่สอง การรวมทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้การควบคุมของรัฐบาลราชสำนักที่กรุงเทพฯ[6]

กล่าวเฉพาะในเรื่องของการระดมทรัพยากร ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นก็คือ “ที่ดิน” กลไกที่รัฐบาลในเวลานั้นใช้ก็คือ การออกพระบรมราชโองการประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 120 และพระบรมราชโองการประกาศแก้วิธีและพิกัดเก็บเงินค่านา ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บอากรค่านาของรัฐบาลราชสำนักได้มาก ทำให้ไม่ต้องมีการประเมินใหม่ทุกปีดังเช่นนาฟางลอย แต่ผลกระทบกลับตกอยู่กับชาวนา เพราะนอกจากอากรค่านาจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว จาก 1 สลึงเป็น 1 บาทแล้ว ชาวนายังถูกบังคับให้ต้องทำนาให้เต็มพื้นที่ทุกปี เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องเสียอากรอยู่ดี[7] ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบต่อชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ในเวลานั้นนอกจากอาชีพข้าราชการแล้ว อาชีพอีกอย่างหนึ่งที่ชาวสยามนิยมทำกันคือ การทำเกษตรกรรม เป็นชาวนา  โดยจากการสำรวจของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจในชนบท ในปี พ.ศ. 2473 พบว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในสยามจะมีอาชีพเป็นชาวนา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและอาศัยวิธีการเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน[8] และสภาพของการทำนาในเวลานั้นพึ่งพาธรรมชาติและขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี ประกอบกับต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมา แต่ได้ผลตอบแทนน้อย[9] แต่กลับต้องแบกรับภาระจากการทำนาเป็นอาชีพเป็นจำนวนมากทั้งภาษีและค่าใช้จ่ายในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ดังนั้น นโยบายทางการเงินการคลังในช่วงก่อน 2475 กลายเป็นเครื่องมือในการดึงส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจจากราษฎรตามหัวเมืองต่างๆ ที่เรียกว่า ‘การสกัดส่วนเกิน’ เพื่อมาแบ่งสรรให้แก่ชนชั้นปกครองโดยเฉพาะราชสำนักและกองทัพ[10]

การอภิวัฒน์สยามเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

ผลของความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชาวนาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เอง ทำให้เมื่อเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจตนารมณ์นี้ปรากฏชัดเจนใน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ความว่า

“…บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”

นอกจากนี้ ความในประกาศคณะราษฎรแล้ว อีกจุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะราษฎรมุ่งที่จะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็คือ หลักการในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 3

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

เมื่อพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังนั้น ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญ และผู้ถูกเรียกว่า มันสมองของคณะราษฎรนั้น เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านทฤษฎีปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องบน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมเบื้องล่าง ซึ่งก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ[11] โดยการทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องทางเศรษฐกิจผ่านกระบวนการประชาธิปไตย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย


เชิงอรรถ

[1] พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล, ‘บางบันทึกของ ‘ปรีดี’ ต่อกรณีอภิวัฒน์สยาม 2475’ (the 101.world, 30 มิถุนายน 2560) <https://www.the101.world/pridi-on-2475/> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565; อิทธิพล โคตะมี, ‘การอภิวัฒน์ที่นำมาสู่หลักการ ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 16 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/738> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[2] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150.

[3] อิทธิพล โคตะมี, ‘การสกัดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ : กลไกสะสมทุนศักดินา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 เมษายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/04/1063> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563 <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

[5] อิทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถ 4).

[9] คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม (ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2525) 57.

[10] ทธิพล โคตะมี (เชิงอรรถ 3).

[11] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2565.

สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ

ชื่อหนังสือ: สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ

ผู้เขียน: ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

สำนักพิมพ์: เสมสิกขาลัย


ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นั้นสร้างสถานการณ์ให้สังคมไทยมีความตระหนักเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการมากขึ้น และทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวการมีรัฐสวัสดิการของประเทศไทย ในระหว่างหนทางสู่รัฐสวัสดิการยังห่างไกลอยู่ในขณะนี้และสังคมไทยกำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้เพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์ จึงอยากชวนทุกท่านมาอ่านหนังสือเพื่อเติมความรู้สู่คลังปัญญาและลับอาวุธทางปัญญาเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ

หนังสือ “สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ” เขียนโดย ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ รองศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง และผู้ก่อตั้งหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมืองของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย โดยลักษณะของตัวหนังสือประกอบด้วยเนื้อหาที่เรียบเรียงจากการสัมมนา การอภิปราย และบทสัมภาษณ์ของ อ.ณรงค์

“สิ่งที่อาจารย์ปรีดีพูดคือเรื่องของเศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องของการสร้างความมั่นคงและพลังอำนาจของประชาชน เราจำเป็นต้องทำให้ประชาชนทุกคนสามารถต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดได้”

ในภาคแรกของหนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการโดยเริ่มต้นจากแนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองและรัฐสวัสดิการของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นการฉายภาพกว้างๆ และชวนตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิตที่มีความมั่นคงมากขึ้น ไม่ถูกคุกคามจากมนุษย์ด้วยกันหรือธรรมชาติมากเกินไป โดย อ.ณรงค์ ได้ชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่อาจารย์ปรีดีพูดคือเรื่องของเศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องของการสร้างความมั่นคงและพลังอำนาจของประชาชน เราจำเป็นต้องทำให้ประชาชนทุกคนสามารถต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดได้”

“ระบบสังคมนิยมแบบสหกรณ์ (association socialism หรือ cooperative socialism) ที่กำเนิดมาจากโรเบิร์ต โอเวน”

ประเด็นหนึ่ง อ.ณรงค์ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจคือ การหยิบนำเอาแนวคิดทางเศรษฐกิจของ อ.ปรีดี มาอธิบายและชี้ให้เห็นว่าเพราะเหตุใด อ.ปรีดี จึงใช้แนวคิดทางเศรษฐกิจในลักษณะดังกล่าว  นอกจากนี้ อ.ณรงค์ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแนวคิดของ อ.ปรีดี กับแนวคิดแบบมาร์กซิสม์ว่ามีลักษณะและความแตกต่างกันอย่างไร สังคมนิยมที่ อ.ปรีดี นำมาใช้ในแนวคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยนั้นคือ ระบบสังคมนิยมแบบสหกรณ์ (association socialism หรือ cooperative socialism) ที่กำเนิดมาจากโรเบิร์ต โอเวน ซึ่งมีความแตกต่างจากระบบคอมมูนที่เน้นการสั่งการจากรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากระบบสังคมนิยมแบบสหกรณ์ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิและเสียงของสมาชิกที่สอดคล้องกับหลักการแบบประชาธิปไตย โดยจะเห็นได้จากเค้าโครงการเศรษฐกิจที่กำหนดให้แผนการใหญ่ (master plan) มาจากรัฐบาลที่ส่วนกลาง แต่การตัดสินใจในเชิงรายละเอียดของแผนการนั้นมาจากการตัดสินใจของสมาชิกสหกรณ์

นอกจากในส่วนของทฤษฎีและการอธิบายความคิดของ อ.ปรีดี แล้ว หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเนื้อหาต่อไปเกี่ยวกับการนำแนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองและรัฐสวัสดิการของ อ.ปรีดี มาใช้พิจารณาบริบทของสังคมในประเด็นต่างๆ ตัวอย่างเช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ โดย อ.ณรงค์ ได้ฉายภาพให้เห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาตินั้นมีรากฐานมาจากที่มาเดียวกันกับเค้าโครงการเศรษฐกิจของ อ.ปรีดี และการนำแนวคิดทางเศรษฐกิจของ อ.ปรีดี ไปวิเคราะห์เรื่องตลาดภายใน (internal market) ที่มุ่งหมายจำกัดบทบาทของระบบทุนนิยม โดยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม

ในภาคที่สองของหนังสือ อ.ณรงค์ ได้นำเสนอประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่มีความน่าสนใจ ซึ่งสะท้อนความท้าทายของโลกสมัยใหม่ที่มีความต้องการรัฐสวัสดิการมากขึ้น โดยในเนื้อหาส่วนนี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การก่อให้เกิดรัฐสวัสดิการ ซึ่งเป็นการฉายภาพการต่อสู้และการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการ ลักษณะของรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการกับสังคมสวัสดิการ ก่อนจะกลับมาที่แนวความคิดของ อ.ปรีดี กับรัฐสวัสดิการ และจบลงด้วยเรื่องรัฐสวัสดิการกับอุดมการณ์การเมืองสีเขียว

หนังสือเล่มนี้มีความหนาไม่มากเพียง 200 หน้า ผ่านการอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายกระชับ  ทว่า หนังสือได้ชวนให้ขบคิดหลายรอบเกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้เรียบเรียงและนำเสนอผ่านสายตาของผู้อ่าน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีคุณค่าและเหมาะสมกับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ และประวัติศาสตร์ความคิดเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ

ไม่มีคำจำกัดความใดจะเหมาะสมกับหนังสือเล่มนี้ไปกว่าสิ่งที่ อ.วิทยากร เชียงกูล ได้ให้ไว้คำนำ ซึ่งเปรียบเสมือนคำนิยมของหนังสือฉบับนี้ว่า

“ในสภาพที่เรายังขาดความคิดดี หนังสือดี ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองที่พูดถึงความจริงและความเป็นธรรมแบบวิเคราะห์เจาะลึก หนังสือเล่มนี้จึงเป็นประโยชน์ที่ผมอยากชักชวนให้ผู้สนใจอ่านและค้นคว้าอภิปรายกันต่อไป”

ความสัมพันธ์ของเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้เศรษฐกิจไม่ดี จริงหรือไม่ ? รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถจัดการเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ จริงหรือไม่ ? สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง

ปฏิสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมือง

‘ลิขิต ธีรเวคิน’ นักวิชาการรัฐศาสตร์คนสำคัญของประเทศไทยได้เคยอธิบายว่า การเมืองและเศรษฐกิจมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา (intertwine) อย่างแยกกันไม่ออก การเมืองอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และกลับกันเศรษฐกิจก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการเมืองหรือเศรษฐกิจนั้น โครงสร้างใดจะส่งผลต่ออีกโครงสร้างหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับในยุคสมัยใด ตัวแปรใดเป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง[1] ซึ่งในกรณีนี้หากเราลองย้อนเวลากลับไปพิจารณาสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแล้วเราอาจจะเห็นความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างชัดเจนผ่านบทเรียนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ 3 ประเทศ

กรณีประเทศอังกฤษ กรณีของประเทศอังกฤษนั้น เริ่มต้นจากการบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในมหากฎบัตรแมคนาคาตา (Magna Carta) เพื่อจำกัดพระราชอำนาจของพระเจ้าจอห์นในการจัดเก็บภาษี บริบทนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้อังกฤษก้าวไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย ผลของการเป็นประเทศประชาธิปไตยนี้เองได้เกิดการประกันสิทธิของประชาชนในทรัพย์สินจากการใช้อำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและใช้ทรัพย์สินแสวงหาประโยชน์สูงสุดให้กับตนเอง เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่การเกิดขึ้นของลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
กรณีประเทศฝรั่งเศส กรณีของประเทศฝรั่งเศส การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 (คริสตศักราช) นั้นมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจความเป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างทางสังคมเนื่องมาจากระบอบศักดินาเดิมของฝรั่งเศส สภาพเศรษฐกิจ   ในเวลานั้นชาวนาซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ 3 กลายเป็นผู้ต้องรับผิดชอบภาระภาษีทั้งหมดของประเทศ ทั้งๆ ที่ฐานันดรศักดิ์ที่ 3 นั้นยากจนเพราะถูกเอาเปรียบด้วยระบบศักดินาและมีรายได้จำกัดจากการทำการเกษตร แต่ฐานันดรศักดิ์ที่ 2 และที่ 1 กลับไม่ต้องรับภาระภาษีและโดยหลักการแล้วฐานันดรทั้งสองนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมากแท้ๆ   เมื่อเกิดภัยพิบัติและความอดอยากเกิดขึ้นทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความโกรธเกรี้ยวต่อการบริหารงานของรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงนำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 นั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศในที่สุด
กรณีประเทศรัสเซีย ในประเทศรัสเซียนั้นจากการบริหารประเทศของพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟนั้นมีสภาพที่เศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่กับชนชั้นสูง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสติดที่ดิน (serf) ตามระบอบการปกครองแบบศักดินาเดิมไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงพอในการดำรงชีวิต จึงนำไปสู่การปฏิวัติรัสเซียโดยพรรคบอลเชวิกโค่นล้มพระเจ้าซาร์นิโคลัสในที่สุด

เมื่อพิจารณากรณีศึกษาข้างต้นหลายกรณีจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายประการนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายกรณีนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นไม่เสมอไปที่จะต้องนำไปสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตย บางกรณีนั้นอาจนำไปสู่ระบอบการปกครองแบบเผด็จการก็ได้เช่นกัน เช่น กรณีของประเทศรัสเซีย ซึ่งเมื่อมีการปฏิวัติและโค่นล้มระบอบการปกครองโดยพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบการปกครองแบบเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

ฉะนั้น แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสมอ สิ่งที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มาสนับสนุนทางเลือกของสังคมที่จะกำหนดว่าจะใช้ระบอบการเมืองแบบใดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองในเวลานั้นๆ สนใจ เช่น ในช่วงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศรัสเซียนั้น ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในเวลานั้นมีความเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเชื่อมั่นในการจัดการทรัพยากรโดยร่วมกันของประชาคมโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นศูนย์กลางของประชาคม

ด้วยเหตุประการนี้เอง ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ จึงเชื่อว่าควรจะปกครองประเทศโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ตัดสินใจหลักในทางการเมืองและเป็นองค์กรสูงสุดในการตัดสินใจทางการเมือง เป็นต้น

การใช้ระบอบเผด็จการนำมาสู่ปัญหา เพราะการที่รัฐเข้ามาผูกขาดการดำเนินการทางเศรษฐกิจเองก็ทำให้เกิดการไม่กระจายตัวของรายได้อย่างเพียงพอ และรัฐไม่มีข้อมูลสมบูรณ์พอที่จะดำเนินการทางเศรษฐกิจได้ การเข้าผูกขาดทางเศรษฐกิจของรัฐเองจึงทำให้บ่อยครั้งที่รัฐดำเนินแผนการทางเศรษฐกิจผิดพลาด ลักษณะข้อนี้เองก็เป็นผลที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและจีนในเวลาต่อมาที่รัฐเซียต้องทลายม่านเหล็กลงและเริ่มใช้นโยบายใหม่ในยุคของ ‘มิคาอิล กอบอชอฟ’ ซึ่งใช้กลัสนอสต์และเปเรสตรอยก้า หรือประเทศจีนที่เมื่อ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ เข้ามาบริหารประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยการเปิดรับนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมากขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจในบริบทโลก

ในบริบทโลกนั้นความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเหตุได้ชัดจากกรณีศึกษาต่างๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเทศที่ปกครองโดยประชาธิปไตยโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นประเทศที่มี GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ของประชาชนในประเทศค่อนข้างสูง[2] เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการหรือระบอบผสมแล้วจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน (ภาพที่ 1 และภาพที่ 2)

ภาพที่ 1 แสดงดัชนีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ที่มา:  The 2020 Economist Intelligence Unit Democracy Index map, Improved by Wikipedia.

ภาพที่ 2 แสดง GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita)

ที่มา:  Wikipedia.

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแต่ GDP แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียแม้จะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยอาจมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ประเทศอินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่ GPD เฉลี่ยต่อหัวต่ำ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำและความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนที่เป็นระบอบการปกครองค่อนไปทางเผด็จการแต่มี GDP ต่อหัวสูงกว่า 

นอกจากนี้ ในบางประเทศที่แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการแต่หากเกิดเหตุการณ์เฉพาะบางอย่างขึ้นมาก็สามารถทำให้รายได้ต่อหัวของประชากร (GDP เฉลี่ยต่อหัว) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีประเทศสาธารณรัฐอิเควทอเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการ โดยในกลางทศวรรษ 1990 (นับตามแบบคริสตศักราช) จนถึงปี 2010 (2553) นั้นมีรายได้ต่อหัวมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการค้นพบแหล่งแร่มีค่าที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีมากขึ้น[3]

หรือในบริบทของประเทศจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจเศรษฐกิจของประเทศจีนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ส่วนหนึ่งประเทศจีนก็มีบริบทเฉพาะของตัวเองทั้งในแง่ของการเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และเป็นฐานการบริโภคขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งก็เป็นบริบทพิเศษเฉพาะของประเทศจีน เป็นต้น

แม้ว่า GDP ต่อหัวจะไม่สามารถนำมาใช้ในแง่ของการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศประชาธิปไตยจะมีเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศเผด็จการ แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าโดยส่วนใหญ่ประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นค่อนข้างจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า

ในขณะเดียวกันด้วยระบอบการปกครองที่ต้องให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดแล้ว แนวโน้มที่นโยบายทางเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญกับประชาชนต้องมาที่หนึ่งน่าจะมากกว่าประเทศเผด็จการที่อาจจะไม่สนใจประชาชนจะเป็นอย่างไร เพียงแต่คิดว่าได้ทำเพื่อประชาชนแล้วโดยไม่สนใจว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นดีจริงหรือไม่

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่มีพื้นหลังมาจากเรื่องทางเศรษฐกิจ

ในลักษณะเดียวกันกับบริบทของต่างประเทศที่เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา ในบริบทของสังคมไทยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่มีผลสำคัญให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตัวแปรที่มีปฏิสัมพันธ์ไขว้กันอย่างแยกไม่ออกของเศรษฐกิจและการเมือง[4]

เมื่อพิจารณาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นั้น ‘ปรีดี พนมยงค์’ สมาชิกคนสำคัญและเปรียบเป็นมันสมองของคณะราษฎรนั้น ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยไว้ว่า

สังคมมนุษย์ทุกสังคมประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ประการแรก คือ เศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐาน (โครงสร้างเบื้องล่าง) ของสังคม ประการที่สอง คือ การเมือง ซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนของสังคม โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบแก่กันและกัน  และ ประการที่สาม คือ ทรรศนะทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดจิตใจอย่างหนึ่งของคนในสังคม และเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”[5]

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเป็นไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของปรีดีว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[6]

ผลของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจะเห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นในสังคมไทย (ภาพที่ 3) และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศที่มีความยากลำบากจากโครงสร้างทางสังคมในช่วงก่อนหน้านี้

ภาพที่ 3 เปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคมก่อนและหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475

Table

Description automatically generated

ที่มา:  ลิขิต ธีรเวคิน.

เมื่อคณะราษฎรเข้ามาบริหารประเทศก็ได้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจสำคัญตามหลัก 6 ประการ ที่ได้ประกาศไว้ ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ก็เกิดชนชั้นกลางในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนนี้ก็คือเศรษฐกิจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 

นอกจากนี้ ในทางสังคมการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยทำให้เกิดอัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้นตามนโยบายของคณะราษฎร ซึ่งการเพิ่มจำนวนของผู้รู้หนังสือนั้นมีความสำคัญต่อการเมืองของประเทศไทย ผลผลิตของการเกิดขึ้นของชนชั้นใหม่ และนโยบายทางการศึกษาที่คณะราษฎรได้สร้างไว้ทำให้เกิดกลุ่มนิสิตนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการต่อต้านระบบเผด็จการทหาร[7]

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างใกล้ชิด และบ่อยครั้งความสัมพันธ์ทั้งสองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งดังปรากฏให้เห็นมาแล้วในบทเรียนทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งระบอบการเมืองในบางเวลาก็มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และระบบเศรษฐกิจก็มีผลต่อระบอบการเมือง


เชิงอรรถ

[1] ลิขิต ธีรเวคิน, ‘ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ’ 1 (1) วารสารวิทยาการจัดการ <https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/113874/88457&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[2] แม้ว่า GDP จะไม่ได้เป็นดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศนั้นๆ แต่ในด้านหนึ่งการนำตัวเลขจีดีพีนี่แหละมาหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด เป็นตัวเลขกลางๆ ที่จะบอกว่าคนในชาตินั้นโดยเฉลี่ยแล้วผลิตสินค้าหรือบริการมูลค่าเท่าไหร่ต่อปี ซื่งสามารถอธิบายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ได้ในระดับหนึ่ง โปรดดู รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, จีดีพี ดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดี, https://themomentum.co/beyond-gdp/

[3] วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร, เศรษฐกิจสามสี – เศรษฐกิจแห่งอนาคต (บริษัท บุ๊คสเคป จำกัด 2563) 45 – 46

[4] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[6] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150

[7] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

‘ปรีดี พนมยงค์’ ผู้วางรากฐานกฎหมายมหาชนไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“กฎหมายมหาชน” เป็นนวัตกรรมทางกฎหมายที่ประเทศไทยนำเข้าจากต่างประเทศ ในฐานะของกลุ่มสาขาวิชากฎหมายที่มีส่วนในการกำหนดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐมิให้ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันตก ในส่วนของประเทศไทยนั้นวิชากฎหมายมหาชนเป็นของใหม่ และไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูปประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้เริ่มการเรียนการสอนครั้งแรกในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2474 หลังจากอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เดินทางกลับมาประเทศไทย ในบทความนี้สถาบันปรีดี พนมยงค์ จะชวนผู้อ่านมาศึกษาบทบาทของอาจารย์ปรีดี ในฐานะผู้วางรากฐานของกฎหมายมหาชนไทย

ผู้บรรยายกฎหมายปกครองคนแรก

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมายังประเทศไทย อาจารย์ปรีดีได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาชั้น 6 กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับการฝึกหัดเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย ซึ่งนอกเหนือจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว อาจารย์ปรีดียังเป็นผู้บรรยายสำคัญที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม โดยเริ่มเป็นผู้บรรยายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2470 โดยในช่วงแรกนั้นเป็นการสอนในวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วนบริษัทและสมาคม ต่อมาได้บรรยายกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับต่อนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ

ต่อมาโรงเรียนกฎหมายได้เปลี่ยนหลักสูตรการสอนในปี พ.ศ. 2474 ได้มีการเพิ่มเติมวิชาใหม่ๆ เข้าไปในหลักสูตร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วิชากฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการเรียนการสอนวิชานี้โดยมีอาจารย์ปรีดีเป็นผู้บรรยายกฎหมายปกครอง โดยวิชากฎหมายปกครองนี้เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เพราะสาระวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชน การริเริ่มสอนกฎหมายปกครองในครั้งนี้ทำให้ถึงขนาดทำให้ ดร.พนม เอี่ยมประยูร ยกย่องอาจารย์ปรีดีเป็น “บิดาแห่งกฎหมายปกครองไทย”

คุณูปการของการบรรยายกฎหมายปกครอง

ความตั้งใจของอาจารย์ปรีดีในการสอนวิชากฎหมายปกครองดังกล่าวนั้นก็เพื่อจะเป็นการปลุกจิตสำนึกนักเรียนกฎหมายในสมัยนั้นให้สนใจแนวทางประชาธิปไตย และแนวทางเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นรากฐานของสังคม ส่วนกฎหมายเป็นแต่โครงร่างเบื้องบนของสังคมเท่านั้น ซึ่งการสอนกฎหมายปกครองในประเทศเวลานั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะกฎหมายปกครองเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอันเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ทว่า การสอนวิชากฎหมายปกครองในเวลานั้นต้องอาศัยความกล้าหาญและความมุ่งมั่นทางการเมืองอยู่ไม่น้อย เพราะบริบทของประเทศในเวลานั้นยังคงปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้การสอนกฎหมายปกครองนั้นได้รับการจับตามองเป็นพิเศษจากเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในความตอนหนึ่งนั้นอาจารย์ปรีดีได้เล่าถึงการสอนวิชากฎหมายปกครองของท่านได้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งกับมีผู้กล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความกระด้างกระเดื่องของอาจารย์ปรีดี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมาสอบถามและตักเตือน และเมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าครั้งหนึ่ง ณ หน้าพระที่นั่งอัมพรสถานในงานอุทยานสโมสรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เดินผ่านแถวข้าราชการที่เฝ้าเสด็จ และทรงแวะทักทายข้าราชการบางคนก่อนจะทรงมาหยุดตรงปลายแถวของข้าราชการกระทรวงยุติธรรมและทรงแวะทักทายเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และทรงทักทายอาจารย์ปรีดี ดังความที่อาจารย์เล่าว่า

“พระองค์ได้ทรงรู้จักตั้งแต่ครั้งพระองค์ทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส ส่วนข้าพเจ้านั้นเป็นนักเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฝรั่งเศส โดยทรงเรียกชื่อเดิมข้าพเจ้าว่า “ปรีดีทำงานที่ไหน” ข้าพเจ้ากราบทูลตำแหน่งประจำของข้าพเจ้าว่า “ทำงานที่กรมร่างกฎหมาย พระพุทธเจ้าค่ะ” โดยมิได้กราบทูลถึงตำแหน่งพิเศษที่เป็นผู้สอน ณ โรงเรียนกฎหมาย  พระองค์จึงรับสั่งว่า “สอนด้วยไม่ใช่หรือ” ซึ่งแสดงว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องสอนกฎหมายปกครองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าค่ะ””

การสอนกฎหมายรัฐธรรมนูญครั้งแรก

แม้กระแสเรื่องการปฏิรูปประเทศให้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะได้มีมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นยังไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมาก และถึงขนาดว่าคำที่ใช้เรียกกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศแบบที่เราเรียกว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” ในปัจจุบันนั้นก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ฉะนั้น การเรียนการสอนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ แม้แต่ในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมก่อนหน้าอาจารย์ปรีดีกลับมาจากประเทศฝรั่งเศสนั้น เนื้อหาการสอนโดยส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญาเสียส่วนใหญ่

การศึกษาเกี่ยวกับว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศแบบที่เรียกว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” แบบในปัจจุบันนั้นเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่ออาจารย์ปรีดีกลับมาสอนหนังสือที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม โดยหากพิจารณาคำบรรยายวิชากฎหมายปกครองของอาจารย์ปรีดีในภาค 1 นั้น จะเห็นได้ว่า เนื้อหาโดยส่วนใหญ่นั้นพูดชัดเจนถึงเรื่องการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศ เช่น ในเรื่องรูปของรัฐ แนวคิดการเมืองการปกครอง รัฐบาล การแบ่งแยกอำนาจ และอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น สิ่งนี้ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอาจารย์ที่ต้องการให้มีการปลุกจิตสำนึกขึ้นมาในหมู่นักเรียนกฎหมาย

อาจารย์สอนกฎหมายเคารพของศิษย์

ในช่วงที่บรรยายอยู่ที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมนั้นอาจารย์ปรีดีมีลูกศิษย์อยู่เป็นจำนวนมากที่มาเข้าฟังบรรยาย ลูกศิษย์สำคัญของอาจารย์ปรีดีในช่วงนั้นได้แก่ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายจิตติ ติงศภัทิย์ นายดิเรก ชัยนาม นายเสริม วินิจฉัยกุล นายเสวต เปี่ยมพงศ์สานต์ นายไพโรจน์ ชัยนาม นายประยูร กาญจนดุล และนายทองเปลว ชลภูมิ

บทบาทการสอนหนังสือของอาจารย์ปรีดีที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมนั้นได้รับการชื่นชมจากนักเรียนกฎหมายเป็นจำนวนมาก โดยได้รับการบอกเล่าว่าอาจารย์ปรีดีอนุญาตให้นักเรียนเข้าพบเพื่อปรึกษาปัญหาการเรียนที่บ้านป้อมเพชร์ที่ถนนสีลมอันเป็นบ้านพักของอาจารย์ในเวลานั้น สิ่งนี้ทำให้อาจารย์คุ้นเคยและมีความสัมพันธ์กับนักเรียนกฎหมายเป็นอย่างดี และทำให้นักเรียนโรงเรียนกฎหมายหลายคนเจริญรอยตามอาจารย์ในสาขากฎหมายมหาชน ดังเช่น นายไพโรจน์ ชัยนาม ซึ่งในภายหลังได้กลับมาเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ พล.ต.ต. พัฒน์ นีลวัฒนานนท์ ซึ่งในเวลาต่อมาท่านได้กลายมาเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายปกครองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยท่านได้กล่าวถึงคุณูปการของอาจารย์ปรีดีเกี่ยวกับกฎหมายปกครองไว้ในคำสั่งเสียสุดท้ายว่า

“โดยที่ได้ใช้ คำอธิบายกฎหมายปกครอง นี้เป็นหลักในการศึกษา และท่านเจ้าของ คำอธิบายกฎหมายปกครอง คนนี้เองด้วยเป็นผู้สอนให้มีความรู้ในเรื่องกฎหมายปกครองเป็นคนแรก จนสามารถเป็นผู้บรรยายกฎหมายปกครองในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อมาได้  ดังนั้น จึงอยากให้เอาคำอธิบายนี้ พร้อมด้วยวิเคราะห์ศัพท์ว่าด้วยกฎหมายปกครองของ ดร. แอล ดูปลาตร์…มาลงต่อท้ายไว้ในตอนท้ายของเล่มด้วย ถ้าไม่ได้พิมพ์ในโอกาสที่มีชีวิตอยู่ ก็ขอผู้อยู่ข้างหลังพิมพ์ในงานศพให้ด้วย”

บิดาของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามที่ไม่ได้ตั้งใจให้ชั่วคราว

หลังจากเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายปกครองได้ประมาณเกือบปี คณะราษฎรก็ได้ดำเนินการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสำคัญของอาจารย์ปรีดีอย่างหนึ่งทั้งในฐานะรัฐธรรมนูญฉบับแรก และการสถาปนากฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยความตั้งใจของอาจารย์ปรีดีเมื่อยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้คือ ต้องการให้เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดแผนและขั้นตอนเอาไว้ทั้งในแง่ของการกำหนดสัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการปกครองในระบอบเดิมมาสู่ระบอบใหม่

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อคณะราษฎรได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระอักษรกำกับต่อท้ายชื่อพระราชบัญญัตินั้นว่า “ชั่วคราว” ซึ่งในวันถัดมาอาจารย์ปรีดีจึงได้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับนี้เป็นธรรมนูญชั่วคราว เพราะได้สร้างขึ้นมาด้วยเวลากะทันหัน อาจมีข้อบกพร่องได้ จึงควรจะได้ตั้งผู้มีความรู้ความชำนาญตรวจแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่”

ดังนั้น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงได้เห็นพ้องตามข้อเสนอของอาจารย์ปรีดี และได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 7 คน ได้แก่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาเทพวิทุร พระยามานวราชเสวี พระยานิติศาสตร์ไพศาล พระยาปรีดานฤเบศร์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ ซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” เรียกชื่อกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ*

วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม และได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมา ณ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นวิชากฎหมายมหาชนได้รับการตั้งมั่นไว้เป็นอย่างดี ในส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งธรรมศาสตร์บัณฑิตทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐการ และบรรดาวิชาอื่นๆ อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยในชั้นนี้วิชากฎหมายมหาชนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้จัดให้มีการบรรยาย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการคลัง กฎหมายการเลือกตั้ง และกฎหมายมหาชนและระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ เป็นต้น

การเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศาลปกครอง

ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว รัฐบาลใหม่ผูกพักที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยข้อยืนยันประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลในขณะนั้นโดยดำริของอาจารย์ปรีดี ซึ่งเสนอให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทยคล้ายๆ กันกับสภาแห่งรัฐ (Conseil d’État) ของประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้ศาลปกครองทำหน้าที่พิทักษ์รักษาสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของราษฎร และไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐมากลั่นแกล้งราษฎรตามเจตนารมณ์ของหลัก 6 ประการ

อย่างไรก็ตาม ความพยายามจัดตั้งศาลปกครองในเวลานั้นยังไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาในรูปแบบศาลเช่นทุกวันนี้  ทว่า อาจารย์ปรีดีเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้นใช้บังคับ โดยมีหน้าที่สำคัญอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรก พิจารณาจัดทำร่างกฎหมาย และให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาล และประการที่สอง พิจารณาพิพากษาคดีปกครองตามที่จะได้มีกฎหมายให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งหน้าที่ประการที่สองนี้เป็นเสมือนการวางเสาเอกให้การจัดตั้งศาลปกครองเกิดขึ้นมาได้ในประเทศไทย

ทว่า เมื่อยังไม่ได้มีการตรากฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครองทำให้สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาไม่สามารถพิจารณาพิพากษาคดีปกครองได้ตามหน้าที่ๆ ได้จัดตั้งขึ้น และเมื่อมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติพิจารณาพิพากษาคดีปกครองต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยรัฐบาลในปี พ.ศ. 2478 และโดยนายประมวล กุลมาตย์ ในปี พ.ศ. 2489 ข้อสรุปของสภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้นก็คือ ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะมีศาลปกครองในเวลานั้น และได้มีการเลี่ยงไปจัดตั้งคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ขึ้ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีแทนตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดการจัดตั้งศาลปกครองก็เกิดขึ้นและสำเร็จเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ขึ้นมา

ดังจะเห็นได้ว่าคุณูปการของอาจารย์ปรีดีที่ได้ริเริ่มการสอนกฎหมายปกครองในวันนั้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่พลิดอกออกผลและตั้งมั่นกลายเป็นวิชากฎหมายมหาชนในทุกวันนี้  อย่างไรก็ตาม ในสภาวะการเมืองการปกครองตกอยู่ภายใต้ห้วงอำนาจนิยมและระบบการปกครองเผด็จการ กฎหมายมหาชนที่ควรจะเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการกลั่นแกล้งประชาชนไปแทน ในทางตรงกันข้ามความตั้งใจที่จะให้การศึกษากฎหมายมหาชนกลายนั้นก่อสำนึกในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้นกลับไม่เกิดขึ้นสมดังเจตนารมณ์ของอาจารย์ปรีดี เพราะนักกฎหมายมหาชนนั้นกลับเลือกรับใช้อำนาจแทนรับใช้ประชาชน

*สำหรับสาเหตุที่ใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” นั้น เป็นไปตามหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ที่เสนอผ่านหนังสือพิมพ์ประชาชาติว่าคำว่า “ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” นั้นยืดยาวเกินไป จึงสมควรใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ”.


อ้างอิงจาก

หนังสือ

  • สมชาย ปรีชาศิลปกุล, นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง : ข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ในองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญของไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2550 (ฟ้าเดียวกัน, 2561).
  • ปิยบุตร แสงกนกกุล, รัฐธรรมนูญ : ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนาและการเปลี่ยนผ่าน, (ฟ้าเดียวกัน, 2562).
  • นรนิติ เศรษฐบุตร, การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2542).
  • ปรีดี พนมยงค์, ประชุมกฎหมายมหาชนและเอกชนของปรีดี พนมยงค์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2526).
  • หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง โดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (โรงพิมพ์นีติเวชช์, 2503).

บทความ

  • พนม เอี่ยมประยูร, ‘การจัดตั้งศาลปกครองไทย: จะเดินหน้าหรือหยุดอยู่กับที่’ (2537) ในรวมบทความทางวิชาการของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนม เอี่ยมประยูร, 100 – 113.
  • พนม เอี่ยมประยูร, ‘วิวัฒนาการ 100 ปี ของโรงเรียนกฎหมายไทย’ (2546) ในรวมบทความทางวิชาการของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนม เอี่ยมประยูร, 156 – 168.

เว็บไซต์

  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ” (Khemmapat.org, 2 ตุลาคม 2563) <https://khemmapat.org/2020/10/02/costitution-law-001/> สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564.
  • ปรีดี พนมยงค์, “แด่ พล.ต.ต. พัฒน์ นีลวัฒนานนท์” (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 30 พฤษภาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/05/282> สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564.

กฎหมาย

  • พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476.

คำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)

เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยอาจถือได้ว่าเป็นความพยายามในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกของประเทศ อย่างไรก็ตาม เค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นในบริบทของสถานการณ์ในช่วงปี พ.ศ. 2473 – 2475 ซึ่งบริบทดังกล่าวนั้นอาจจะไม่สอดคล้องกับในปัจจุบันแล้ว แต่การศึกษาเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นอาจจะยังคงมีความสำคัญในแง่ของการศึกษาบทเรียนจากอดีต เนื่องจากหลายๆ ปัญหาที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนั้นในบริบทของประเทศไทยยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลง

ในหนังสือปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ 2564 รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้น ผู้เขียนได้จัดทำคำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ขึ้นมาใหม่เป็นครั้งแรกในรูปแบบของคำอธิบายประกอบเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 89 ปีที่ผ่านมานั้นเอกสารชิ้นนี้ยังไม่เคยมีการเขียนคำอธิบายประกอบ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าสิ้นนี้ะจะเป็นประโยชน์กับผู้ศึกษาแนวคิดปรีดีศึกษา สำหรับส่วนของคำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจจะปรากฏในท้ายเล่มหนังสือเล่มนี้ในหน้า 52 – 160