ข้อถกเถียงเมื่อคราวร่างภาษีมรดกครั้งแรก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยนั้น มิได้มีความมุ่งหมายแต่เฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น หากคณะผู้ก่อการมุ่งหมายให้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยพยายามแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อชาวนาและคนยากจน ทั้งในแง่ของการแก้ไขปัญหาการถูกยึดทรัพย์สินของกสิกรหรือการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ไปจนถึงการยกเลิกภาษีอากรบางประเภท เช่น การยกเลิกอากรสมพัตสร และการยกเลิกเก็บเงินค่ารัชชูปการ เป็นต้น ซึ่งการยกเลิกภาษีอากรจึงนำมาซึ่งการขาดรายได้ให้กับรัฐบาลสยามในเวลานั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกำหนดภาษีอากรประเภทใหม่ขึ้นเพื่อทดแทนภาษีอากรประเภทเดิมที่ยกเลิกไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “ภาษีมรดก” (ในบทความนี้จะใช้คำว่า “มฤดก” เมื่อกล่าวถึงบริบทในช่วงปี พ.ศ. 2475) 

รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ประธานคณะกรรมการราษฎร) ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 มาสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้น โดยประธานคณะกรรมการราษฎรได้แถลงว่า

“ภาษีเรื่องมฤดกนี้เป็นภาษีอย่างหนึ่งที่บ้านเมืองทั้งหลายเขามีกันทั้งนั้นแล้ว ซึ่งเป็นภาษีที่สมควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง วิธีเก็บมี 2 วิธี บางเมืองก็ใช้ 2 วิธีรวมกัน บางเมืองก็ใช้วิธีเดียว วิธีเก็บอย่างที่ 1 คือ เอามฤดกมากองเป็นกองใหญ่ก่อนแบ่ง เมื่อชำระหนี้สินทั้งหลายแล้วก็หักเงินค่าภาษีออกจากเงินนั้น เหลือเท่าใดก็แบ่งกันระหว่างผู้รับมฤดก 

อีกวิธีหนึ่ง คือแบ่งเสียก่อนตามกฎหมาย ใครได้มากได้น้อยเท่าใด เสร็จแล้วจึงเสียภาษีจากส่วนแบ่งนั้นทีหนึ่ง ประเทศอังกฤษเก็บจากกองมฤดกก่อน และเมื่อแบ่งก็เก็บอีกทีหนึ่ง ฝรั่งเศสทราบว่าเก็บวิธีเดียว คือแบ่งเสียก่อนจึ่งเก็บจากส่วนแบ่งทีเดียว ส่วนของเราคิดว่าฐานะของเราเวลานี้ไม่มีศาล Probate วิธีการแบ่งมฤดกยุ่งเหยิงที่จะทำให้คล่องสะดวกง่ายนั้นยากเต็มที่ 

ถ้าจะเก็บอย่างวิธีแรก คือ เก็บจากกองมฤดก คือเอามฤดกมากองแล้วเก็บนั้น เห็นว่าเป็นวิธีที่ง่าย อีกอย่างหนึ่งวิธีตั้งอัตรา (Scale) มีอีกวิธีหนึ่ง คือเขาตั้งกำหนดอย่างน้อยไว้ตั้งแต่เปอร์เซ็นต์ต่ำแล้วสูงขึ้นไป เราได้คิดว่าสำหรับมฤดกน้อยจะเก็บภาษีก็ไม่ควร เพราะต้องแบ่งแยกกันไประหว่างผู้รับมฤดก อีกประการหนึ่งก็ได้น้อยด้วย 

ฉะนั้นจึ่งตั้งอัตราไว้ 25,000 บาท และตั้งต้นเก็บแต่ 3% ขึ้นไป ตามจำนวนมฤดกที่มีอยู่ อีกประการหนึ่งที่เราทำอย่างนี้คิดว่าคนยากจนสักหน่อย กล่าวคือคนมีมฤดกน้อยก็ไม่ได้รับความเดือดร้อน หรือแบ่งออกไปได้คนละเล็กละน้อยก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่คนที่มีมากก็เสียตามมากขึ้นตามส่วน…”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำเสนอภาษีมรดกในสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีข้อถกเถียงอยู่เป็นจำนวนมากที่น่าสนใจ และน่าสนใจควรค่าแก่การหยิบมาพิจารณาบริบทของสังคมในขณะนั้น ซึ่งข้อถกเถียงสำคัญของการจัดเก็บภาษีมรดกในเวลานั้นคือ รัฐบาลควรจะเก็บเริ่มเก็บภาษีมรดกแล้วหรือไม่

ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ภาษีมรดกนั้นภาระทางภาษีจะตกกับบุคคลใดมากน้อยเพียงใด และการจัดเก็บภาษีมรดกในประเทศสยามเวลานั้นอาจจะยังไม่เหมาะสม เพราะอาจจะเป็นการทำให้ผู้รับมรดกนั้นถึงกับล้มละลายจากรับมรดกก็ได้ อีกทั้งการจัดเก็บภาษีมรดกนั้นจะเป็นการลดทอนกำลังใจของประชาชน

ดังเช่น นายมังกร สามเสน กล่าวว่า “ในการที่จะตั้งอนุกรรมการไปพิจารณา เห็นว่าที่ประชุมนี้ควรจะวางโปลิซีในเรื่องนี้ให้ เพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์สมบัติของผู้ตายถึงกับล้มละลาย…”

หรือ พระยาปรีดานฤเบศร์ ได้กล่าวว่า “…เวลานี้ราษฎรเมืองไทยยังไม่มั่งมีสมบูรณ์ที่จะเสียภาษี…เราจะไม่คิดบ้างหรือว่า เมื่อพ่อแม่มั่งมีเมื่อตายแล้วจะไม่ปล่อยให้ลูกหลานมั่งมีด้วย เพราะการที่เขาพยายามสะสมทรัพย์ไว้ก็เพื่อลูกหลานหากจะเก็บภาษีเช่นว่านั้นก็ควรคิดให้ดี และถ้าจะถือหลักเช่นว่านั้นก็แปลว่ารัฐบาลไม่ประสงค์จะให้คนมั่งมี ซึ่งคิดว่าเป็นนโยบายผิด นโยบายที่ถูกนั้นก็คือต้องพยายามปรนให้อ้วนเสียก่อนเป็นข้อสำคัญ 

จึ่งเห็นว่าภาษีนี้แม้จะมีก็ควรเก็บแต่น้อย เช่น คนละ 6 บาทเป็นทำนองภาษีรายได้ก็จะงามดี และทั้งนี้มิใช่ว่าจะมีความเห็นเป็นการคัดค้านโดยตรง (Direct opposition) ก็หาไม่ แต่ว่าอัตราที่วางไว้นั้นค่อนข้างจะแรง”

อย่างไรก็ตาม ภาษีมรดกนั้นก็มีความสำคัญต่อการจัดหารายได้มาเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งประเทศสยามในเวลานั้นประสบปัญหาทางการคลัง และเมื่อจะมีการยกเลิกภาษีอากรบางลักษณะก็จำเป็นต้องจัดหารายได้เพิ่มเติม

ดังความเห็นของ หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี พนมยงค์) แถลงว่า “การเก็บภาษีมฤดกจากราษฎรนั้น เท่าจำนวนที่เราได้วางข้อยกเว้นไว้ 25,000 บาทนั้นก็ดีแล้ว เพราะคนที่มีเงินมากกว่านั้น ถ้าจะพูดตามศัพท์เจ้าคุณปรีดาก็กล่าวได้ว่าอ้วนบ้างแล้ว และแม้กระนั้นเราก็ไม่ได้เก็บแรงเลย เราอยากเก็บพวกที่มีมากๆ เช่น 1,000,000 บาท คิด 30% ก็เห็นว่าไม่เป็นภาษีที่มากเลย 

ส่วนที่ภรรยาปรีดาชี้แจงว่า ควรเก็บภาษีเป็นทำนองรายได้นั้น ภาษีเช่นนี้ความจริงก็ดำริและเป็นนโยบายที่เสนาบดีคลังกำลังดำริอยู่เหมือนกัน สำหรับภาษีมฤดกนั้นพิจารณาตามอัตราแล้ว ผู้ที่มีน้อยกว่า 25,000 บาทก็ไม่ต้องเสีย 

การเก็บภาษีมฤดก วัตถุประสงค์ที่จะเก็บมีว่า “ธรรมดาเมื่อบุคคลมีทรัพย์โดยได้มาจากการทำมาหากินซึ่งต้องอาศัยฝูงชนที่ร่วมกันอยู่นี้ คิดดูตามลำพังฉะเพาะคนหนึ่งๆ นั้น จะมีกำลังหาได้ตังค์ 1,000,000 บาท หรือการที่มีมากก็อาศัยฝูงชนที่ทำให้ร่ำรวย เช่นคนที่มีที่ดินซื้อที่ดินไว้เพียงราคาเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาที่ดินแถวนั้นมีคนอยู่คับคั่งก็มีราคาแพงขึ้นตั้งหลายๆ เท่าตัวนี้ใครทำให้เจ้าของที่ดินรวย ไม่ใช่ฝูงชนหรือ ฉะนั้นเมื่อคนนั้นตาย การที่จะเก็บภาษีก็เป็นการหันเข้าหาความยุติธรรม เราต้องการที่สุดที่จะสมานฐานะระหว่างคนมั่งมีกับคนจน จึงเห็นว่าการเก็บภาษีมฤดกจะทำความเสมอภาคมากขึ้นไปได้ ถ้าไม่คิดป้องกันเสียก่อนแล้วภายหลังจะลำบาก”

นายประยูร ภมรมนตรี กล่าว่า “ภาษีมฤดกนี้เป็นภาษีพิเศษ ไม่ได้เป็นอากรตามปกติซึ่งเก็บเป็นรายได้ของแผ่นดิน ในเมืองต่างประเทศโดยมากเก็บอากรมรดกไว้เพื่อประโยชน์ในการใช้จ่ายเกี่ยวแก่งานพิเศษของประเทศ เช่น ใช้หนี้ บำรุงการศึกษา สงเคราะห์คนอนาถา และการสุขาภิบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นเงินบำรุงประเทศเพราะฉะนั้นความเข้าใจเสียว่าอากรมฤดกที่จะเก็บนี้เพื่อใช้ในการพิเศษ

บรรดาข้อถกเถียงดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับภาษีมรดกนั้น เป็นข้อถกเถียงสำคัญซึ่งนำไปสู่การศึกษาเพิ่มเติม ในท้ายที่สุดสภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการไปพิจารณาศึกษารายละเอียดของภาษีมรดกเพิ่มเติม

ประการสำคัญที่สุด สิ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้มีการจัดเก็บภาษีมรดก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาษีที่มีความสำคัญและช่วยในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ดังจะเห็นได้ว่าแนวคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีนี้ มิได้เก่าไปเลยเมื่อเวลาผ่านไป เพราะท้ายที่สุดนั้น แม้แต่การยกร่างพระราชบัญญัติภาษีมรดกฉบับใหม่ ข้อถกเถียงในลักษณะเช่นนี้ก็ยังคงปรากฏอยู่เสมอ และเรื่องของภาษีมรดกนั้นยังมีให้ได้เล่าอีกเป็นจำนวนมาก


อ้างอิง

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 32/28 ตุลาคม 2475

กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดินภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในบทความที่แล้วผู้เขียนได้เล่าถึง การจัดทำงบประมาณครั้งแรก ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475 ซึ่งเน้นไปที่ความเปลี่ยนแปลงหลักการผู้มีอำนาจสูงสุดในทางงบประมาณที่เปลี่ยนจากพระมหากษัตริย์มาสู่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชน ในบทความนี้ผู้เขียนจะได้ลงรายละเอียดในเชิงกระบวนการจัดทำงบประมาณ ซึ่งสะท้อนหลักการที่ให้ความสำคัญต่อประโยชน์ของราษฎรที่แตกต่างกัน อันเป็นผลมาจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน “ก่อน” การอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475

ก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ประเทศสยามหรือประเทศไทยในขณะนั้น ได้มีกระบวนการจัดทำงบประมาณแบบสมัยใหม่บ้างแล้ว โดยปรากฏความตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456  อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นกระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดินยังไม่ได้เป็นวาระสาธารณะ การจัดทำงบประมาณแผ่นดินจำกัดอยู่ในวงแคบและเฉพาะบุคคลชั้นนำในราชสำนักเท่านั้น

กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดินตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456 เริ่มต้นจากให้เจ้ากระทรวงทบวงการทั้งปวงทำงบประมาณรายได้และรายจ่ายแผ่นดินตามลักษณะและแบบที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติกำหนดไว้ และให้ยื่นต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติอย่างน้อยก่อนวันที่ 10 เดือนพฤศจิกายนของแต่ละปี เพื่อให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติตรวจสอบรวมยอดรายได้และรายจ่ายแล้ว จึงให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติทำรายงานชี้แจงนำทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 10 มีนาคมในปีนั้น เพื่อให้พระราชทานพระราชดำริในที่ประชุมเสนาบดี และมีพระบรมราชานุญาตต่อไป

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจะดำเนินการย่อรายการในงบประมาณแผ่นดินในส่วนรายรับและรายจ่ายเพื่อนำไปตราเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินประจำปีและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ในส่วนของงบประมาณที่ได้รับพระบรมราชนุญาตให้ตั้งเบิกจ่ายในกระทรวงใดก็จะได้มีการส่งสำเนางบประมาณไปยังกระทรวงนั้นๆ และห้ามมิให้มีการเบิกจ่ายผิดไปจากงบประมาณนั้นเว้นแต่จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต

กระบวนการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน “ภายหลัง” การอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475

เมื่อเกิดการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งเคยมีมาแต่เดิมมาจำกัดเอาไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงจำกัดลงมาเพียงเท่าที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ได้กำหนดว่า “อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”[1]

กล่าวเฉพาะในเรื่องทางงบประมาณภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ได้กำหนดว่า งบประมาณแผ่นดินประจำปี ท่านว่าต้องตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติ…”[2] ซึ่งการจะตราพระราชบัญญัติได้นั้นจะต้องตราขึ้นเป็นกฎหมายได้แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร[3] และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ร่างพระราชบัญญัติขึ้นสำเร็จแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ท่านให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้[4]

ดังนั้น กระบวนการจัดทำงบประมาณภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในทางงบประมาณจึงเปลี่ยนมาเป็นสภาผู้แทนราษฎรแทน จึงมีผลให้กฎหมายวิธีการงบประมาณฉบับเดิมไม่สอดคล้องกับบริบทของระบอบการเมืองปัจจุบัน และนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2476 แทน

กระบวนการงบประมาณภายใต้พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2476 ได้กำหนดให้กระบวนการจัดทำงบประมาณเริ่มต้นจากกระทรวงทบวงกรม ทำงบประมาณรายรับรายจ่ายประจำปีตามลักษณะและในแบบซึ่งกระทรวงการคลังได้วางไว้ และให้ยื่นงบประมาณไปให้กระทรวงการคลังอย่างน้อยก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายนของปีนั้น โดยในการจัดทำงบประมาณรายรับรายจ่ายประจำปีนี้ให้กระทรวงทบวงกรมทำคำอธิบายและบัญชีเพิ่มเติมโดยละเอียดเพื่อประกอบงบประมาณที่ยื่นนั้น[5] เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะต้องนำเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เพื่อปรึกษาลงมติตามรัฐธรรมนูญ[6]

การปรึกษาลงมติตามรัฐธรรมนูญนั้น เนื่องจากในเวลานั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ไม่ได้กำหนดหลักการในการปรึกษาลงมติเอาไว้ แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 มาตรา 45 ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถตราข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ โดยตามข้อบังคับฉบับดังกล่าวได้กำหนดให้การประชุมจักต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเป็นสามวาระ[7]

เช่นเดียวกันกับการพิจารณากฎหมายทั่วไป คือ (1) การพิจารณาวาระที่หนึ่งให้ที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ ในทางปฏิบัติรัฐบาลจะได้แถลงคำอธิบายประกอบงบประมาณของประเทศก่อนแล้ว ซึ่งหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการก็จะได้มีการตั้งกรรมาธิการต่อไป[8] (2) การพิจารณาวาระที่สองให้ปรึกษาเรียงลำดับมาตรา เฉพาะมาตราที่ได้มีการยื่นคำขอแปรญัตติเท่านั้นและลงมติตามมาตราที่ได้ตั้งแปรญัตติไว้[9] และ (3) การพิจารณาวาระที่สาม ให้ปรึกษาแต่ละข้อเดียวว่า ร่างที่แก้ไขเพิ่มเติมตกลงกันแล้วนั้นจะออกเป็นพระราชบัญญัติได้หรือไม่[10] ซึ่งในเชิงเนื้อหาของการพิจารณางบประมาณสภาผู้แทนราษฎรจะได้กระทำการเป็นสองตอนคือ พิจารณาปรึกษาโดยทั่วๆ ไป และลงมติคำขอตั้งเงินจ่าย[11]

เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาครบจนมาถึงวาระที่สามแล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะได้สอบถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า “ท่านผู้ใดเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติควรออกเป็นกฎหมายบังคับได้ โปรดยกมือขึ้น” ซึ่งเมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ยกมือลงมติเห็นชอบเป็นการรับรองให้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีนี้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ และนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา

อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของการพิจารณางบประมาณประจำปีภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็คือ การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายสามารถปรึกษาโดยทั่วๆ ไป โดยอาจตั้งคำถามถึงความจำเป็นและที่มาของการใช้จ่าย รวมถึงการตัดลดรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินนั้นๆ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในการจัดทำงบประมาณประจำปีในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

เนื่องจากการจัดทำงบประมาณนั้น รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองต่อราษฎร  ทว่า การจัดทำงบประมาณประจำปีภายใต้บริบทของระบอบประชาธิปไตยนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของราษฎรจึงจำเป็นต้องพิจารณาปรึกษากันเพื่อกลั่นกรองงบประมาณ

ในขณะเดียวกันการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลก็เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของราษฎร ตัวอย่างเช่น นายสนิท เจริญรัฐ ผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า “…เงินที่รัฐบาลว่าจะใช้ในการส่งเสริมเทศบาล 1,000,000 บาท ใน พ.ศ. 2477 นี้ คือหมายความว่าเงินจำนวนนี้แล้วแต่รัฐบาลจะเฉลี่ยไปให้ในจังหวัดใด ซึ่งขอใช้เทศบาลหรือว่าเป็นเงินซึ่งรัฐบาลจะเฉลี่ยให้ทั่วกัน 70 จังหวัด” ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่จะต้องชี้แจง ซึ่งในกรณีนี้นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า “เงิน 1,000,000 บาทนี้เป็นเพียงกะไว้เท่านั้น แต่ว่ายังไม่มีเทศบาล เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ให้จ่ายอะไรได้ เป็นอันว่างดไว้ก่อน”

ดังจะเห็นได้ว่า กระบวนการจัดทำงบประมาณภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้นมีกระบวนการที่มากกว่าการจัดทำงบประมาณในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการพิจารณาปรึกษากลั่นกรองงบประมาณประจำปี เพื่อรักษาประโยชน์สูงสุดของราษฎร และเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณนั้นสอดคล้องกับความต้องการของราษฎร ซึ่งแสดงผ่านผู้แทนราษฎร


เชิงอรรถ

[1] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, มาตรา 2.

[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, มาตรา 37.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, มาตรา 36.

[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, มาตรา 38.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2476, มาตรา 5.

[6] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2476, มาตรา 6.

[7] ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2476, ข้อ 20.

[8] ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2476, ข้อ 21.

[9] ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2476, ข้อ 24 และ 25.

[10] ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2476, ข้อ 26.

[11] ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาเพื่อใช้ในการปฏิบัติตามงานของสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2476, ข้อ 31.

แนวคิดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินในรัฐธรรมนูญฯ ของปรีดี พนมยงค์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับพัฒนาการของแนวคิดประชาธิปไตยในประเทศไทย แม้ว่าก่อนหน้าการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยจะได้มีการรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินเอาไว้ ทว่า การรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องมาจากกฎหมายยังไม่ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง ในบทความนี้ผู้เขียนจะเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดเกี่ยวกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจะได้อธิบายถึงรัฐธรรมนูญในอุดมคติของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจะฉายให้เห็นภาพของหลักการสำคัญซึ่งไม่ได้รับรองเอาไว้ในกฎหมายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจะส่งผลต่อหัวข้อสุดท้ายคือ การรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยรัฐธรรมนูญ

กรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ก่อนการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ย้อนกลับไปนับตั้งแต่ช่วงปลายอยุธยาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิทธิที่จะใช้สอยทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้สิทธิของกษัตริย์ โดยราษฎรได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินในฐานะสิ่งตอบแทนที่เป็นแรงงานให้กับรัฐ ซึ่งกษัตริย์ยังสงวนอภิสิทธิ์และพระราชอำนาจที่จะจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินให้กับคนในบังคับของพระองค์[1]  

ดังนั้น บรรดาสิทธิทั้งหลายเหนือที่ดินจึงสงวนไว้เฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ตามมาตรา 42 ของพระอัยการเบ็ดเสร็จ ซึ่งระบุว่า “ถ้าที่นอกเมืองหลวงอันเปนแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาใช่ที่ราษฎร อย่าให้ซื้อขายแก่กันอย่าละไว้ให้เปนทำเน (ทำนา) เปล่า”[2] ซึ่ง ร. แลงกาต์ อธิบายว่าการกระทำดังกล่าวเป็นนิตินโยบาย เพราะหากกฎหมายยินยอมให้มีการขายเปลี่ยนมือที่ดินได้อย่างอิสระ การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดอภิสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ที่จะอนุญาตให้คนในบังคับของพระองค์ใช้ที่ดินได้[3]

ในเวลาต่อมาประเทศไทยได้เข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2398 ซึ่งทำให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลก ผลของสนธิสัญญาทำให้เกิดการผลิตข้าวเพิ่มขึ้นและรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ให้การสนับสนุนการหักร้างถางพงเพื่อเข้าไปทำเกษตรกรรม โดยการให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่บุคคลผ่านกระบวนการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นการรองรับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน แนวคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงฐานคิดเกี่ยวกับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินของราษฎร และสามารถใช้สิทธิดังกล่าวอ้างเพื่อไม่ให้ราษฎรคนอื่นเข้ามาขัดขวางการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเจ้าของกรรมสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องอภิสิทธิ์และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังคงมีอิทธิพลและมีความสำคัญอยู่ ผ่านการตีความให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม ดังปรากฏในพระนิพนธ์เรื่องคำบรรยายกฎหมายที่ดินของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ความว่า “หนังสือสำคัญต่างๆ สำหรับที่ดินที่ว่าเปนสิทธิ์ก็ดี ไม่ได้แปลว่าได้ทรงละพระบรมเดชานุภาพจากที่นั้น ให้แก่คนอื่นไปเปนอันเด็ดขาด”[4] ซึ่งเท่ากับว่าแม้กฎหมายจะรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้กับบุคคลแล้ว แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่อาจยกขึ้นเพื่อปฏิเสธอภิสิทธิ์และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้

รัฐธรรมนูญในอุดมคติของนายปรีดี พนมยงค์

การอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่ได้ส่งผลเฉพาะในทางการเมืองเท่านั้น  ทว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นยังส่งผลในทางเศรษฐกิจอีกด้วย กล่าวคือ ตามทฤษฎีปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยของปรีดีนั้นเชื่อว่า สังคมมนุษย์ทุกสังคมประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก คือ เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐาน (โครงสร้างเบื้องล่าง) ของสังคม ประการที่สอง คือ การเมือง ซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนของสังคม โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบแก่กันและกัน  และประกาศที่สาม คือ ทรรศนะทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดจิตใจอย่างหนึ่งของคนในสังคม และเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”  ด้วยเหตุนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบน และเมื่อโครงสร้างเบื้องบนเปลี่ยนแปลงแล้วโครงสร้างเบื้องล่างหรือเศรษฐกิจก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย

โครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองที่สำคัญที่สุดที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงก็คือ สิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาค ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยกระดับราษฎรมิให้เป็นแต่เพียงวัตถุภายใต้การปกครองเท่านั้น แต่ทำให้ราษฎรมีสถานะเป็นผู้ทรงสิทธิที่มีสิทธิและเสรีภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างเต็มที่ ดังปรากฏเจตนารมณ์ไว้ในประกาศหลัก 6 ประการ ในฐานะที่เป็นปฏิญญาแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญของสยาม[5]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักประการที่สี่และประการที่ห้า ที่กล่าวถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคอย่างชัดเจน ซึ่งแม้ว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 จะมิได้บัญญัติถึงสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเอาไว้อย่างชัดเจน แต่หากพิจารณาแล้วว่าประกาศหลัก 6 ประการของคณะราษฎรเป็นปฏิญญาแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีผลผูกพันให้รัฐต้องเคารพ ซึ่งหลักการแห่งสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนี้ได้รับการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489

การรับรองสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสังคมใดจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองได้ จะต้องปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ให้เป็นอิสระและใช้ความสามารถของตนเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่  ทว่า การไม่มีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคย่อมทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพเพื่อแสวงหาประโยชน์ของตนได้  

ดังนั้น อุดมคติของรัฐธรรมนูญของนายปรีดีนั้น จึงให้ความสำคัญกับทั้งสิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาค ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489

ในทรรศนะของนายปรีดี ได้อธิบายถึงหลักความเป็นอิสระหรือเสรีภาพ (Liberté) เอาไว้ในหนังสือคำอธิบายกฎหมายปกครอง โดยหมายถึง ความเป็นอิสระที่บุคคลอาจจะทำการใดๆ ได้โดยไม่เป็นที่รบกวนละเมิดต่อบุคคลอื่น[6] ซึ่งครอบคลุมทั้งความเป็นอิสระในตัวบุคคล (หรือในร่างกาย) อิสระในเคหสถาน อิสระในการทำมาหากิน อิสระในทรัพย์สิน อิสระในการเลือกถือศาสนา อิสระในการสมาคม อิสระในการแสดงความเห็น อิสระในการศึกษา และอิสระในการร้องทุกข์ ส่วนในเรื่องความเสมอภาค (สมภาพ) นั้นหมายถึง ความเสมอภาคในกฎหมาย กล่าวคือ สิทธิและหน้าที่ในทางกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลอื่น ไม่ใช่หมายความว่ามนุษย์จะต้องเสมอภาคในการมีวัตถุสิ่งของ[7]

การรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยรัฐธรรมนูญ

ในทางเศรษฐกิจการรับรองสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีการรับรองสิ่งเหล่านี้ในฐานะปัจจัยพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดกลไกตลาดที่แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกัน กลไกตลาดก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะด้วยเหตุที่บุคคลนั้นไม่ได้มีสถานะที่จะจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ของตนเองไปได้ เมื่อมองในมิติของกรรมสิทธิ์แล้ว แม้ว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะได้รับรองสิทธิในการใช้ทรัพย์สินเอาไว้บ้างก็ตาม แต่บรรดาสิทธิทั้งหลายที่รับรองไว้นั้นสิทธิที่สำคัญที่สุดก็คือกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นสิ่งที่ในระบอบการปกครองเดิมได้รับรองเอาไว้อย่างจำกัด เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงมีอภิสิทธิ์และพระราชอำนาจที่จะเรียกเอาคืนที่ดินกลับคืนมาได้ตลอด

ทว่า เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ได้ประกันกรรมสิทธิ์ของประชาชนจากอำนาจรัฐ ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา 14 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ความว่า “ภายในบังคับแห่งบทกฎหมายบุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ” 

ข้อความที่ว่า “บุคคลย่อมีเสรีภาพบริบูรณ์…ในเคหสถาน และทรัพย์สิน…” นั้นเป็นการรับรองระบบกรรมสิทธิ์ของราษฎร โดยมีอิสระที่จะใช้ เก็บดอกผล จำหน่ายจ่ายโอนตามความพอใจ และเมื่อบุคคลทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกันแล้ว ไม่มีบุคคลใดจะทรงไว้ซึ่งอภิสิทธิ์หรืออำนาจพิเศษที่จะเรียกเอาทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้ตามอำเภอใจแม้แต่กระทั่งรัฐ ในกรณีที่รัฐจะพรากเอากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไปจากบุคคลใดก็ต้องอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาที่เป็นผู้แทนของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งข้อนี้ได้ตรงกับสิ่งที่นายปรีดีได้เคยอธิบายไว้ในคำอธิบายกฎหมายปกครองว่า ความเป็นอิสระในทรัพย์สิน คือ การที่มนุษย์มีสิทธิที่จะใช้ เก็บดอกผล จำหน่ายจ่ายโอนตามความพอใจ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องการบังคับซื้อ (Expropriation) เพื่อตัดถนน ทำทางรถไฟ ชลประทาน หรือการสาธารณะประโยชน์อื่น[8] ซึ่งคำอธิบายกฎหมายปกครองนี้ได้เขียนขึ้นไว้ตั้งแต่ก่อนการอภิวัฒน์สยาม

หลักการประกันกรรมสิทธิ์นี้ ได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกๆ ฉบับนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และในเวลาต่อมารัฐธรรมนูญได้ขยายสิทธินี้ไปถึงขนาดรับรองว่า การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะกิจการของรัฐเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ การได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ การผังเมือง การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการเกษตรหรือการอุตสาหกรรม การปฏิรูปที่ดิน การอนุรักษ์โบราณสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น และต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืนนั้น และการเวนคืนจะต้องกำหนดค่าทดแทนอย่างเป็นธรรม

คุณูปการของการคิดริเริ่มของนายปรีดีนี้ ได้สร้างผลที่ยั่งยืนเอาไว้ และได้รับการรักษา สืบสาน และต่อยอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานที่ราษฎรทุกคนจะต้องมี


เชิงอรรถ

[1] คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร, “อ่านประวัติศาสตร์พระปฐมบรมราชโองการ (ใหม่) : คันฉ่องสะท้อนนัยยะทางกฎหมายและการเมืองของกษัตริย์และสยามสมัยใหม่,” แปลโดย อัญชลี มณีโรจน์, ปีที่ 18 ฉบับที่ 2  ฟ้าเดียวกัน, น.18 – 19 (2563).

[2] กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, เล่ม 2, น.490.

[3] ร. แลงกาต์, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553), น. 378 อ้างถึงใน คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น.20.

[4] พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์, ว่าด้วยที่ดิน, (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์กองลหุโทษ, 2542), น. 2 อ้างถึงใน คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 22.

[5] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: เสรีภาพ เสมอภาค,” สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564, จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/12/529#_ftn15.

[6] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (พระนคร: นิติสาส์น, 2474), น.13.

[7] เพิ่งอ้าง, น.18.

[8] เพิ่งอ้าง, น.16.

ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 3: สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ (ต่อ)

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ผู้เขียนได้นำเสนอสาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจไปบางส่วนแล้วในบทความก่อนสำหรับในบทความนี้จะกล่าวถึงสาระสำคัญอีก 2 เรื่อง คือ การกระจายอำนาจเพื่อเป็นฐานในทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ชนบท และการสร้างระบบเศรษฐกิจความมั่นคงของชาติ

ผู้เขียนขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การศึกษาเค้าโครงการเศรษฐกิจต้องพิจารณาบริบทของเศรษฐกิจและสังคมไทยในขณะนั้นประกอบเสมอ ดังได้กล่าวมาแล้วในบทความที่ผ่านมา ประกอบกับเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นปรีดีได้เขียนขึ้นมาภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งถ้อยคำหลายประการก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้น ในการศึกษาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ผู้เขียนจึงขอให้ความสำคัญกับอุดมการณ์และหลักคิดซึ่งปรีดี พนมยงค์ เคยให้ไว้

การกระจายอำนาจเพื่อเป็นฐานในทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ชนบท

จากการศึกษาของคาร์ล ซี ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่สำรวจสภาพปัญหาของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2473 ทำให้เข้าใจสภาพปัญหาต่อเนื่องของประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 2472–2475 นั้นก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ชนบทเป็นปัญหาสำคัญ และปัญหาดังกล่าวยังส่งผลถึงปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับการสาธารณสุข เป็นต้น ดังนั้น เมื่อคณะราษฎรได้ทำการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว การจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยสมบูรณ์จึงต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาวชนบทซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนา ซึ่งการดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาวชนบทนี้ ปรีดีเสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจให้จัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมา

ปรีดีเสนอให้สหกรณ์อยู่ในฐานะกลไกในการจัดการทางเศรษฐกิจของรัฐ และเป็นเครื่องมือนำไปสู่การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร  แม้เค้าโครงการเศรษฐกิจจะไม่ได้ระบุว่า สหกรณ์ของปรีดีคือสหกรณ์ที่ดำเนินการในรูปแบบใด แต่เมื่อพิจารณาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่ปรีดีระบุไว้ในแล้ว สามารถสรุปได้ว่า สหกรณ์ในความคิดของปรีดีนั้นเป็น “สหกรณ์สังคมนิยม” (Cooperative Socialiste) ซึ่งเป็นสหกรณ์ครบรูปหรือสหกรณ์อเนกประสงค์อันเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย[1] ซึ่งมองว่า รัฐบาลมีหน้าที่จะต้องตอบสนองความต้องการทางกายภาพ คือ “ชีวปัจจัย” อันจำเป็นแก่การดำรงชีวิตให้กับประชาชน

สหรกรณ์ของปรีดีนี้มีความสำคัญอย่างมากในฐานะหน่วยปฏิบัติตามนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลและกลไกในการจัดสรรทรัพยากร[2] กล่าวคือ แม้ตามหลักรัฐบาลจะเป็นผู้เข้ามาจัดการทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลก็มีข้อจำกัดไม่สามารถดำเนินการได้ตลอดทั้งประเทศ จึงจำเป็นต้องแบ่งการประกอบเศรษฐกิจนี้เป็นสหกรณ์[3] เมื่อรัฐบาลกำหนดให้ราษฎรเป็นข้าราชทำงานให้กับรัฐบาล การทำงานของข้าราชการนี้จึงเป็นการทำงานกับสหกรณ์ และราษฎรก็จะได้รับเงินเดือนจากสหกรณ์ตามอัตราที่กำหนดไว้[4]

สำหรับการดำเนินการของสหกรณ์นั้น เนื่องจากสหกรณ์ดังกล่าวเป็นสหกรณ์ครบรูปหรือสหกรณ์อเนกประสงค์ การดำเนินการจึงเป็นการดำเนินการทางเศรษฐกิจครบรูปโดยดำเนินกิจการใน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่[5]

  • ร่วมกันในการประดิษฐ์ (Production) โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกที่ดินและเงินทุน สมาชิกสหกรณ์เป็นผู้ออกแรง
  • ร่วมกันในการจำหน่ายและขนส่ง (Circulation) กล่าวคือ ผลที่สหกรณ์ทำได้นั้น สหกรณ์ย่อมทำการจำหน่ายและขนส่งในความควบคุมของรัฐบาล
  • ร่วมกันในการจัดหาของอุปโภคและบริโภค คือ สหกรณ์จะเป็นผู้จัดจำหน่ายของอุปโภคและบริโภคแก่สมาชิก เช่น อาหาร และเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
  • ร่วมกันในการสร้างที่อยู่ คือ สหกรณ์จะได้จัดสร้างสถานที่อยู่อาศัยโดยครอบครัวหนึ่งจะมีบ้านสำหรับอยู่อาศัย และปลูกตามแผนผังของสหกรณ์ให้ถูกต้องตามอนามัยและสะดวกในการที่จะจัดการปกครองและระวังเหตุภยันตราย

ซึ่งการดำเนินกิจการใน 4 เรื่องดังกล่าวนี้เป็นไปเพื่อตอบสนอง “ปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต” ของราษฎรในเรื่องต่างๆ

สำหรับการจัดตั้งสหกรณ์นั้น จะจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นในเทศบาล (Municipality)[6] ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น ในทรรศนะของปรีดี สหกรณ์จึงไม่ได้เป็นเพียงแต่หน่วยในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อตอบสนองต่อปัจจัยแห่งการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ภารกิจของสหกรณ์ยังขยายไปถึงภารกิจในการอำนวยความสะดวก การความมั่นคง และการอนามัยและสาธาณสุขสำหรับราษฎรในเขตเทศบาล เช่น สหกรณ์อาจจะจัดให้มีแพทย์ออกข้อบังคับว่าด้วยการรักษาอนามัย เป็นต้น  การใช้เทศบาลเป็นฐานของสหกรณ์นั้นมีประโยชน์ เพราะเทศบาลนั้นใกล้ชิดกับประชาชน โดยส่วนรัฐบาลที่ส่วนกลางจะได้ส่งที่ปรึกษาเทศบาลไปช่วยอบรมและแนะนำแก่เทศบาลและสหกรณ์[7]

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สหกรณ์ตามแนวทางของปรีดีตามเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นเป็นการรวมเอาหน่วยในทางเศรษฐกิจและหน่วยในทางปกครองเข้าไว้ด้วยกัน โดยหน่วยทั้งสองนั้นจะทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกัน การบริหารจัดการสหกรณ์นั้นกระทำผ่านการตัดสินใจร่วมกันของสมาชิกสหกรณ์ ซึ่งจะส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดทิศทางการบริหารเทศบาล และในขณะเดียวกันการรวมกันของหน่วยทางเศรษฐกิจและหน่วยการปกครองก็ส่งเสริมให้เทศบาลมีความมั่นคงแข็งแรง อันจะทำให้ฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ในท้ายที่สุดเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีจะไม่ได้ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม แต่ความพยายามของปรีดีในการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นยังคงดำเนินต่อไป เพราะด้วยภารกิจของรัฐบาลที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนรัฐบาลไม่อาจจะลงไปควบคุมดูแลได้ ซึ่งหากพิจารณาจากคำกล่าวของปรีดีที่ว่า

“ในประเทศไทยที่มีอาณาเขตกว้างขวางและมีพลเมืองมาก พลเมืองทั้งหมดในประเทศนั้น ๆ อาจมีส่วนได้เสียเหมือนกันก็มี และกิจการบางอย่างพลเมืองอันอยู่ในท้องถิ่นหนึ่ง อาจมีส่วนได้เสียกับพลเมืองอีกท้องถิ่นหนึ่ง เหตุฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอยู่เองที่จะรวมอำนาจบริหารมาไว้ที่ศูนย์กลาง…แห่งเดียวย่อมจะทำไปไม่ได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มความติดขัดและไม่สะดวกแก่ราชการ”[8]

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลจำเป็นต้องมีหน่วยงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ต่าง ๆ และทำให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการสาธารณะจากภาครัฐได้สะดวกรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งในปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยได้มีทั้งจำนวนและรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล และเทศบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร

การสร้างระบบเศรษฐกิจความมั่นคงของชาติ

ในตอนท้ายของเค้าโครงการเศรษฐกิจปรีดีได้ชี้แจงว่า “การที่รัฐบาลจัดการประกอบเศรษฐกิจเสียเองโดยการแบ่งเศรษฐกิจออกเป็นสหกรณ์นั้น ย่อมทำให้วัตถุที่ประสงค์อื่น ๆ ของคณะราษฎรได้สำเร็จได้อย่างดียิ่งกว่าที่จะปล่อยการเศรษฐกิจให้เอกชนต่างคนต่างทำ…”[9] ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญนั้น ก็คือ การรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศ โดยเมื่อรัฐบาลได้เข้ามาจัดการทางเศรษฐกิจแล้วจะเสริมสร้างความเป็นเอกราชของประเทศทั้งในทางเศรษฐกิจ ในทางการเมือง และในทางสังคมของประเทศโดยมีการศึกษาเป็นพื้นฐาน หากรัฐบาลดำเนินการตามเค้าโครงการเศรษฐกิจได้ครบถ้วนแล้วผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ “ระบบเศรษฐกิจความมั่นคงของชาติ”

ระบบเศรษฐกิจความมั่นคงของชาตินั้นประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบด้วยกัน คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง และความมั่นคงทางสังคม

ประการแรก ในด้านเศรษฐกิจนั้นเมื่อรัฐบาลเข้าจัดการเศรษฐกิจโดยจัดให้มีสิ่งอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นแห่งการดำรงชีวิตได้เองแล้ว และรัฐบาลสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการกดราคาหรือขึ้นราคากันในหมู่ราษฎรได้ ราษฎรย่อมเป็นเอกราชไม่ถูกบีบคั้นหรือกดขี่จากผู้อื่นในทางเศรษฐกิจ ซึ่งตราบใดที่เอกชนยังต่างคนต่างทำอยู่แล้วตราบนั้นเราจะสลัดจากแอกแห่งความกดขี่ในทางเศรษฐกิจไม่ได้[10] นอกจากนี้ เศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้หลักการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้จะมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจแบบชาตินิยมโดยยึดการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ทั้งเพื่อป้องกันผลกระทบจากการปิดประตูทางการค้า[11] และเพื่อลดการขาดดุลทางการค้าของประเทศทำให้ประเทศไทยสามารถลดการพึ่งพาจากต่างประเทศได้เช่นกัน[12]  อย่างไรก็ตาม การลดการพึ่งพาจากต่างประเทศนั้นอาจไม่ถึงขนาดเป็นการกีดกันการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศเลย เพราะประเทศไทยนั้นยังจำเป็นต้องใช้เงินทุนจากต่างประเทศ และจะต้องนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ[13]

ประการที่สอง ในด้านการเมืองนั้นเมื่อรัฐบาลเข้าจัดการเศรษฐกิจโดยจัดให้มีสิ่งอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นแห่งการดำรงชีวิตได้เองแล้ว เมื่อราษฎรมีความมั่นคงในทางเศรษฐกิจเพียงพอและประเทศมีเงินเหลือเพียงพอแก่การสะสมอาวุธเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศแล้ว ประกอบกับประเทศไทยได้ดำเนินวิธีการเพื่อรักษาเอกราชทั้งหลายแล้ว เช่น การจัดทำประมวลกฎหมายให้ครบถ้วน เพื่อให้ไทยได้รับเอกราชทางการศาล และทางเศรษฐกิจกลับคืนมา เป็นต้น ด้วยวิธีการเหล่านี้ทั้งหมดประเทศไทยจะกลับมามีสถานะทัดเทียมกับนานาประเทศ ประเทศไทยไม่ต้องกลัวใครจะมาข่มเหงได้อีกต่อไป เพราะเราได้ทัดเทียมกับนานาประเทศแล้ว และเมื่อประเทศไทยได้ทำการค้ากับต่างประเทศ ประเทศไทยไม่ได้เบียดเบียนหรือกีดกันอาชีพของคนต่างชาติในประเทศไทยและไม่ได้ผิดสัญญาหรือข้อตกลงใด ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวประเทศไทยมาลาวีหรือทำสงคราม ประกอบกับบริบทของประชาคมโลกในขณะนั้นได้มีการจัดตั้งสันนิบาตชาติขึ้นมาแล้ว แม้ปรีดีจะเชื่อว่าสันนิบาตชาติจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ปรีดีก็เห็นว่า แนวโน้มของโลกจะไปในทางที่สันติขึ้นโดยยกกรณีพิพาทระหว่างอังกฤษกับเปอร์เซีย ซึ่งเปอร์เซียได้ยกเลิกสัมปทานบริษัทน้ำมันของอังกฤษทำให้อังกฤษเลือกที่จะนำข้อพิพาทดังกล่าวมาว่ากล่าวในที่ประชุมสันนิบาตชาติแทนจะทำสงคราม[14]

ประการที่สาม ในด้านสังคมนั้นเมื่อรัฐบาลเข้ามาจัดการเศรษฐกิจโดยจัดให้มีสิ่งอุปโภคและสิ่งจำเป็นแห่งการดำรงชีวิตได้เองแล้ว ราษฎรก็สามารถจะเข้าถึงปัจจัยแห่งการดำรงชีวิตต่าง ๆ ได้แล้ว การจะใช้สิทธิและเสรีภาพในระบอบการปกครองประชาธิปไตยจึงจะเป็นไปได้จริง เพราะราษฎรไม่ต้องกังวลดิ้นรนเพื่อสร้างความแน่นอนในชีวิตก็ด้วยมีประกันความสุขสมบูรณ์ที่รัฐบาลจัดไว้ให้แล้ว การมีประกันความสุขสมบูรณ์นี้นอกจากจะช่วยสร้างทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยที่ทำให้ราษฎรเกิดความรักชาติมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศด้วย กล่าวคือ เหตุอันเนื่องจากเศรษฐกิจนั้นเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการกระทำความผิดอาชญากรรม แต่เมื่อราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์มีอาหารการกิน มีเครื่องนุ่งห่ม และสถานที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องประทุษร้ายเบียดเบียนกันอีกต่อไป[15] ซึ่งหากสังคมใดมนุษย์ในสังคมประทุษร้ายกันด้วยวิธีการต่างๆ เพราะด้วยจำกัดไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยแห่งการดำรงชีวิตแล้ว สังคมเช่นนั้นย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุข และท้ายที่สุดนี้เมื่อราษฎรได้รับการประกันความสุขสมบูรณ์แล้วไม่ต้องพะวงว่าทรัยพ์สินจะต้องอันตรายสาบสูญหาย และรัฐบาลได้กำหนดให้

สาระสำคัญเหล่านี้ที่ผู้เขียนได้นำมาสู่ผู้อ่านนี้เป็นหลักใหญ่ใจความของเค้าโครงการเศรษฐกิจเท่านั้น สำหรับเนื้อหาในส่วนอื่นของเค้าโครงการเศรษฐกิจ เช่น การจัดหาแหล่งเงินทุนด้วยวิธีการจัดเก็บภาษีทางอ้อมต่าง ๆ ภาษีมรดก และการจัดตั้งธนาคารชาติ เป็นต้น ก็เป็นแต่วิธีการที่จะนำไปสู่สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจเท่านั้น  สำหรับในบทความต่อไปผู้เขียนจะกล่าวถึงการนำเค้าโครงการเศรษฐกิจมาปรับใช้ในยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างไรบ้าง


เชิงอรรถ

[1] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2542), น. 75.

[2] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2552), น. 51.

[3] เพิ่งอ้าง, น. 51.

[4] เพิ่งอ้าง, น. 52.

[5] เพิ่งอ้าง, น. 53.

[6] เพิ่งอ้าง, น.53.

[7] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น.73.

[8] มรุต วันทนาการ และดรุณี หมั่นสมัคร, “ประวัติและความเป็นมาของเทศบาล,” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎภาคม 2563, จาก wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ประวัติและความเป็นมาของเทศบาล#cite_note-1.

[9] ปรีดี พนมยงค์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 61.

[10] เพิ่งอ้าง, น. 61.

[11] เพิ่งอ้าง, น. 54.

[12] เพิ่งอ้าง, น. 49.

[13] เพิ่งอ้าง, น. 46 และ 49.

[14] เพิ่งอ้าง, น.62.

[15] เพิ่งอ้าง, น.63.