ย้อนดูคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ชวนทำนายผลคำพิพากษาศาล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. ในประเด็นข้อกล่าวหาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติการเป็น สส. เพราะถือหุ้นสื่อไว้พิจารณา และได้มีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ข่าวศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติดังกล่าวแล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงสปิริตประกาศในสภาผู้แทนราษฎรยอมรับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว โดยการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาวันเดียวกัน เมื่อที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมาก (395:312 เสียง) มีมติไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะรับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นครั้ังที่สอง

คำถามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การพิจารณาในครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกไปในลักษณะใด สถานการณ์แบบนี้จึงควรย้อนกลับมาทบทวนเกี่ยวกับสถานะของศาลรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นตามหลักการอย่างไร เมื่อพิจารณาจากการเดินทางแห่งการพิพากษาในเรื่องทำนองนี้มาแล้วของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนจึงใคร่ขอย้อนดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตเพื่อทำนายผลในอนาคต

ศาลรัฐธรรมนูญเดินมาไกลจนเลยเถิด

แต่ดั้งแต่เดิมวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญในโลกนี้ มีเป้าหมายแรกและเป้าหมายสำคัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1] แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดแรกของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1920) โดยเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญให้คงคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุด[2] และพิทักษ์หลักนิติรัฐที่ได้รับการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายมาสู่การตรวจสอบการกระทำในลักษณะใดๆ ที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) โดยกำหนดให้รัฐธรรมนูญมีกลไกในการทำลายการกระทำดังกล่าว[3] ซึ่งนำมาสู่การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมืองหรือดำเนินการในลักษณะใดๆ ต่อการกระทำที่คิดว่าจะทำลายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือพฤติกรรมที่สะท้อนการเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย

กรณีของประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญเริ่มต้นปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540[4] โดยในช่วงเริ่มต้นจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญไทยใหม่ๆ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่น่าเคารพท่านหนึ่งได้เคยให้อธิบายความมุ่งหมายของท่านในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ”[5] ทว่า ภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างความน่าเชื่อถือทางการเมืองเป็นไปเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาจนถึงช่วงภายใต้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จนถึงรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มปรากฏเด่นชัดในฐานะคู่ขัดแย้งทางการเมือง ในฐานะกลไกในการรักษาอำนาจของฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกรับรองโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และวุฒิสภาของ คสช.

ศาลรัฐธรรมนูญมาพาประเทศไทยมาสู่ทางตันหลายครั้งหลายหน

ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกตั้งคำถามจากประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เท่ากับนายสมัครปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้าง จึงเป็นการขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีและพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือเป็นกรณีที่ศาลถูกนำมาใช้สร้างอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

และท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 19/2565 ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือคำวินิจฉัยที่ 20/2564 เรื่องขอให้ศาลพิจารณาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดให้การสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะชอบด้วยกฎหมายไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยต่างๆ เหล่านี้ของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตันทีละเล็กละน้อย และบีบให้ประชาชนไม่มีจุดให้ไปต่อ เพราะศาลได้บีบให้การเมืองต้องมาถึงทางตันที่จะไปอย่างไรตามหลักการประชาธิปไตย ทำให้เกิดการสลายขั้วทางการเมือง หรือทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ศาลควรจะพิทักษ์ไว้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำได้จริงตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างสภาวะที่ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นใหญ่ (the supremacy of constitutional court)

ในกรณีของการรับคำร้องของ กกต. ตามเรื่องพิจารณาที่ 23/2566 ถึงสมาชิกภาพของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครั้งนี้ อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไทยไปสู่ทางตันและความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่?

ย้อนดูคดีเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญคิดอย่างไร

เจตนารมณ์ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้นก็เพื่อมุ่งหมายมิให้ได้ประโยชน์จากกิจการดังกล่าวที่จะส่งผลให้มีอิทธิพลสั่งการกำหนดทิศทางของกิจการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเอื้อประโยชน์ตอบแทนของบริษัทในฐานะว่าที่ หรือผู้อยู่ในตำแหน่งผู้แทนราษฎร[6] อย่างไรก็ดี คำอธิบายใดๆ ทางวิชาการในประเทศนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้ได้

สิ่งที่สังคมรู้ตอนนี้คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต. แล้ว และยังไม่อาจทราบได้ว่า ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะใด แต่สิ่งที่อาจจะพอคาดเดาได้ก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจจะพอเป็นกระจกสะท้อนภาพของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้ โดยที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่ามีการถือหุ้นสื่อมาแล้ว 3 ครั้ง

ในครั้งแรกในคดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามคำวินิจฉัยที่ 14/2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในระหว่างสมัครรับเลือกตั้ง แม้จะได้โอนหุ้นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ถือหุ้นแทนธนาธรหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งศาลไม่เชื่อว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โอนหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบกับกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ และในเอกสารแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ (แบบ สสช.1) ระบุว่า ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ รวมถึงในเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ยังระบุว่า มีรายได้จากการให้บริการโฆษณา ดังนั้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จึงเป็นธุรกิจประกอบการสื่อ แม้ว่าบริษัทจะหยุดประกอบกิจการไปแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการหรือเจ้าของกิจการตามกฎหมาย จึงยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ตามคำวินิจฉัยที่ 20/2563 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด ในระหว่างดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จะแจ้งว่าได้ทำการโอนหุ้นก่อนวันเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นว่ามีพยานหลักฐานที่หนักแน่นพอว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวจริง และพบความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้น จึงไม่เชื่อว่ามีการโอนหุ้นจริง และคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ยังถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่ ประกอบกับบริษัททั้งสองมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ และประกอบกิจการผลิตสื่อภาพยนตร์ โฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ สื่อการแสดง และสื่อการตลาดต่างๆ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย และในเอกสารนำส่งงบการเงิน รวมถึงเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ระบุว่า ธุรกิจยังมีการดำเนินการที่มีรายได้อยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ดังจะเห็นได้ว่า เงื่อนไขสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวถือหุ้นสื่อหรือไม่ก็คือ บุคคลดังกล่าวถือหุ้นของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์เป็นการจัดทำสื่อในลักษณะต่างๆ และบริษัทยังคงมีรายได้จากการประกอบกิจการจากผลิตสื่อ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยที่ 18-19/2563 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ (ผู้ถูกร้องที่ 20) ซึ่งถือหุ้นบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หรือรับจ้างพิมพ์ ออกหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ และสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศทุกภาษาตามข้อ 28 โดยศาลรัฐธรรมนูญในเสียงข้างมากได้ให้ความเห็นว่า ตามแบบ สสช.1 ระบุว่าประกอบกิจการการบริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม แต่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีรายได้ใดๆ จากการให้บริการ และผลประกอบการขาดทุนสุทธิเป็นเงินจำนวน 97,415.51 บาท ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

ชวนทำนายผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าเราคิดตามหลักการของรัฐธรรมนูญและเป้าหมายของการป้องกันการถือหุ้นสื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนำไปสู่การใช้อำนาจครอบงำ ซึ่งในกรณีนี้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลสู่สาธารณะว่าได้ยุติการให้บริการเนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมายองค์การจัดสรรคลื่นความถี่ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อโฆษณาแต่อย่างใด[7]

หากถือตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ควรจะต้องไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพและศาลรัฐธรรมนูญจึงควรมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

อย่างไรก็ดี ความไม่ชอบมาพากลของเรื่องยังมีอยู่อีกมาก เพราะหากพิจารณางบการเงินล่าสุดพบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (นำส่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2566) งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 19,974,084.00 บาท กำไรสุทธิ 8,635,285.00 บาท งบดุลรวมสินทรัพย์ 1,266,191,686.00 บาท หนี้สิน 2,891,997,086.00 บาท ขาดทุนสะสม 7,480,276,245.00 บาท[8] ซึ่งไม่ตรงกับที่มีการกล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้น[9]

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของการเป็น สส. ดังกล่าวนี้ จึงน่าสนใจมากอยู่เสมอ เพราะด้วยสถานการณ์การเมืองดังกล่าวที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่า หลักการใดๆ ก็อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตามหลักวิชาการ นอกจะบอกว่าการเมืองตอนนี้คือผลรวมของการละเมิดกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นความสับสนทางการเมือง

ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่สังคมไทยควรจะต้องทำมากที่สุดก็คือ การกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการออกแบบสถาบันตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้น และมีบทบาทหน้าที่จำกัดอย่างเหมาะสมในฐานะขององค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร,ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), น.37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง, น.37 และ อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558) น.27.

[3] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, “หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย,” วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,  (กันยายน 2557) : น.634 – 635 และ 643 – 644.

[4] ดู หมวด 8 ศาล ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[5] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ,” วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 4 เล่มที่ 10,  (มกราคม – เมษายน 2545) : น.3-7.

[6] มติชน (12 พฤษภาคม 2566), “พรสันต์ ยก 3 เหตุผล ชี้ พิธา ถือหุ้นสื่อ itv ไม่ส่งผลให้สถานะ ส.ส.ต้องพ้นไป,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[7] วัชชิรานนท์ ทองเทพ (28 พฤษภาคม 2566), “ไอทีวี ยุติธุรกิจสื่อไปแล้ว ยังถือเป็นสื่อมวลชนหรือไม่,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[8] สำนักข่าวอิศรา (9 มิถุนายน 2566), “สถานะไอทีวีปมหุ้นพิธา! หมายเหตุประกอบงบฯ ฉบับล่าสุดชัดดำเนินการค้าตามปกติ,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[9] โพสต์ทูเดย์ (15 มิถุนายน 2566), “ITV แจงปมคลิปประชุมผู้ถือหุ้นไม่ตรงกัน,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

ทหารและกองทัพในบริบทของรัฐธรรมนูญไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ทหารและกองทัพเป็นตัวแสดงสำคัญตัวหนึ่งในการเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา บทบาทของทหารและกองทัพในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นและกลายมาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญถึงขนาดถูกกำหนดบทบาทไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการย้ำเตือนความสำคัญของทหารและกองทัพ รวมถึงเป็นการสร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในสังคมไทยโดยผูกพันไว้กับรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของประเทศ (รัฐ) ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรม ทหารและกองทัพเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลมากและเป็นผู้เล่นสำคัญในการเมืองไทย

ทหารและกองทัพกับรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร

นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น 13 ฉบับ  โดยนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 บทบาทของกองทัพได้มีความสำคัญท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ณ ขณะนั้น ในฐานะตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรแห่งความชั่วร้าย[1]

เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองได้เปิดบทบาทให้ทหารเข้ามามีส่วนสำคัญในทางการเมืองไทย ทหารและกองทัพได้เริ่มต้นฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญไทย ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492[2] โดยกำหนดบทบาทของทหารและกองทัพไว้ในบทบัญญัติเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในรัฐธรรมนูญไทย

ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับทหารและกองทัพปรากฏอยู่ใน 4 ลักษณะ ได้แก่

  • เรื่องที่ 1 การกำหนดหน้าที่ให้บุคคลเป็นทหาร[3]
  • เรื่องที่ 2 การกำหนดความจำเป็นในการมีกองกำลังทหารให้มีเท่าที่จำเป็น[4]
  • เรื่องที่ 3 การกำหนดให้ทหารเป็นของชาติโดยอยู่ในบังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ไม่ขึ้นต่อเอกชน คณะบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ[5] ซึ่งรวมถึงการกำหนดมิให้เอกชน คณะบุคคล และพรรคการเมืองจะนำทหารไปเป็นเครื่องมือไม่ได้[6] และ
  • เรื่องที่ 4 การกำหนดบทบาทหน้าที่ของทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม หรือเพื่อปราบปรามการจลาจล และจะใช้ได้ก็แต่โดยกระแสพระบรมราชโองการ[7]

บทบัญญัติทั้ง 4 เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับทหารและกองทัพในลักษณะเดียว  อย่างไรก็ดี ในบางช่วงเวลาบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีเนื้อหาแตกต่างไปบ้างและบางเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองของทหารและกองทัพในเวลานั้นๆ แต่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทหารและกองทัพได้ถูกผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองสำคัญตามกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของรัฐ พึงสังเกตไว้ว่า การเข้ามามีบทบาทของทหารในทางกฎหมายมักจะมาภายหลังจากการมีรัฐประหาร อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ก็ลอกเรียนแบบตามๆ กันมา

นอกจากนี้ พึงสังเกตว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจกับทหารและกองทัพเอาไว้มาก แต่นัยดังกล่าวนั้นมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อตำแหน่งแห่งที่ของทหารและกองทัพในการเมืองไทย

ทหารและกองทัพในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย

นอกจากบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว รัฐธรรมนูญยังประกอบไปด้วยมิติเชิงวัฒนธรรมในฐานะข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ[8] การพิจารณารัฐธรรมนูญในมิตินี้จึงเป็นการพิจารณาระเบียบในความเป็นจริงของสังคมหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร

นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยได้อธิบายว่า ทหารและกองทัพเป็นอิทธิพลหรืออำนาจที่ไม่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในระบอบการปกครองใดๆ ยกเว้นเผด็จการ ทหารและกองทัพจะมีส่วนแบ่งของอำนาจนิดเดียวเสมอ[9]

ลักษณะดังกล่าวนี้สอดคล้องกับลักษณะของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่เกี่ยวกับทหารและกองทัพ กล่าวคือ เมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่นๆ ในการเมืองไทย ทหารจะมีอำนาจอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอำนาจที่กำหนดไว้จะมีลักษณะเป็นการบ่งชี้ในเชิงความสำคัญ แต่ไม่ได้มีอำนาจพิเศษใดๆ รองรับ อาทิ ในรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเมียนมาร์ได้รองรับอำนาจพิเศษของกองทัพในการเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้[10]

เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรมไทยทหารและกองทัพเป็นประดิษฐกรรมใหม่ของรัฐไทยที่พึ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ 5 ในฐานะเป็นกลไกหนึ่งในการก่อตั้งรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

อย่างไรก็ดี นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทหารและกองทัพเป็นสถาบันการเมืองที่พิเศษกว่าสถาบันอื่นๆ เพราะแม้ว่ากองทัพจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ[11] ซึ่งเป็นกลไกของการเป็นรัฐสมัยใหม่[12] แต่ทหารและกองทัพเป็นกลุ่มตัวแสดงทางการเมืองที่พิเศษกว่าข้าราชการทั่วๆ ไป กล่าวคือ ทหารและกองทัพไม่มีขอบเขตอำนาจเหนือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งภายในประเทศ ในขณะเดียวกันกองทัพแม้จะมีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีน้อย แต่มีการสะสมอิทธิพลอย่างรวดเร็ว และอิทธิพลของทหารและกองทัพนั้นถูกมองแตกต่างจากข้าราชการทั่วไปที่อาจจะถูกมองว่าฉ้อฉล แต่ทหารและกองทัพกลับถูกสังคมมองในแง่ที่ดีกว่า โดยสังคมมองว่ากองทัพไม่ใช่ผู้ปกครองแต่อยู่ในสถานะของผู้ปกป้อง (เปรียบเสมือนพ่อขุน) ซึ่งคนไทยบางส่วนก็ยินดีและยอมรับการใช้อำนาจของทหารและกองทัพไปใช้ในการขจัดข้าราชการที่ฉ้อฉล[13]

การมีอิทธิพลแต่ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีมากเช่นสถาบันอื่นๆ ทำให้ทหารและกองทัพไม่ถูกตระหนักถึงอิทธิพลที่แผ่ขยายออกไปเท่ากับข้าราชการกลุ่มอื่นๆ ฉะนั้น ทหารและกองทัพบ่อยครั้งจึงหลุดลอยไปจากการถูกตรวจสอบ[14]

ในทางกลับกัน อิทธิพลของทหารจะได้รับการยอมรับเสมอตราบเท่าที่ทหารไม่กลายเป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายหรือประเพณี เพราะจะทำให้สถานะของทหารกลายมาเป็นผู้ปกครอง และทหารจะไม่กลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาควบคุมการใช้อำนาจ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจที่ฉ้อฉล ในลักษณะเช่นนี้การเมืองไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจของทหาร ซึ่งทำให้ความนิยมในทหารลดลง[15] จนในท้ายที่สุดจึงมีความพยายามขจัดทหารออกจากอำนาจ ดังเช่นในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การพยายามขับไล่รัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร หรือการที่มีสมาชิกวุฒิสภามาจากทหารและกองทัพในปัจจุบัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเห็นว่าไม่เหมาะสม

เมื่อพิจารณาบทบาทของทหารและกองทัพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับต่างๆ ประกอบกับรัฐธรรมนูญในมิติวัฒนธรรมไทย จะเห็นได้ว่า แม้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นทหารและกองทัพอาจมิได้มีอำนาจมาก แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นได้สร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในฐานะสถาบันอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้มีอำนาจเช่นเดียวกันสถาบันอื่นๆ

อาทิ สภาผู้แทนราษฎร ศาล คณะรัฐมนตรี หรือบรรดาองค์กรอิสระ แต่กระบวนการนี้ได้ยกระดับความสำคัญของทหารและกองทัพให้เป็นส่วนหนึ่งในสถาบันภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบกับเมื่อพิจารณาในมิติวัฒนธรรมการเมืองไทยจะเห็นได้ว่า ในระเบียบแห่งอำนาจในสังคมไทย ทหารและกองทัพมีส่วนสำคัญที่เป็นอิทธิพลในฐานะของผู้ปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องประชาชนจากอำนาจอันฉ้อฉลของข้าราชการ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองต่างๆ

สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทหารเป็นผู้เล่นสำคัญในทางการเมืองไทย ทั้งในฐานะผู้ปกป้อง และไม่ถูกตรวจสอบภายใต้กระบวนการต่างๆ อีกด้วย


เชิงอรรถ

[1] ดู ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ‘รัฐประหาร 2490: หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเมืองไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 6 พฤศจิกายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/11/487> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.

[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นมาภายหลังจากรัฐประหารล้มล้างการปกครองของรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 57.

[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 58.

[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 59.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 61.

[7] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 60.

[8] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติ เมืองไทย แบบเรียน และอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม รัฐ และรูปการจิตสำนึก (พิมพ์ครั้งที่ 4, มติชน 2563) 115.

[9] เพิ่งอ้าง 131.

[10] อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ, ‘มองพม่า : สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ผ่านรัฐธรรมนูญ-การเลือกตั้ง-อ้างปฏิรูป’ (TCIJ, 13 สิงหาคม 2558) <https://www.tcijthai.com/news/2015/13/scoop/5733> สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.

[11] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132.

[12] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, การเป็นสมัยใหม่กับแนวคิดชุมชน (สร้างสรรค์ 2557) 9 และ 27.

[13] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132-133.

[14] เพิ่งอ้าง 133 – 134.

[15] ดู เพิ่งอ้าง.

บทบาทของธนาคารไทยในความสัมพันธ์ทางการเมือง

ธนาคารเป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในโลกสมัยใหม่ ทว่าในประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งธนาคารนั้น มีลักษณะที่เฉพาะไม่เหมือนธุรกิจอื่น กล่าวคือ ธนาคารเป็นธุรกิจนำเข้ามาจากประเทศตะวันตก และเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็มีผู้เชี่ยวชาญไม่มากนัก กลุ่มผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงเป็นนักธุรกิจพ่อค้าชาวจีนมากกว่า แต่ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่กีดกันและลดบทบาทของพ่อค้าชาวจีน ทำให้นักธุรกิจพ่อค้าชาวจีนต้องแสวงหาความช่วยเหลือและความคุ้มครองทางการเมือง ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับธนาคารจึงเริ่มต้นขึ้นมาจากจุดนั้น

การเริ่มต้นกิจการธนาคารขึ้นในประเทศไทย

ระบบธนาคารนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยนำเข้ามาจากประเทศตะวันตก ซึ่งก่อนจะมีการจัดตั้งธนาคารขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะในประเทศไทยนั้น ในระยะแรกบริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยได้มาพร้อมกับบริษัทตัวแทนธนาคารพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น บริษัท วินเซอร์ จำกัด เป็นบริษัทตัวแทนธนาคารเมอร์แคนไทล์ของประเทศอังกฤษ  อย่างไรก็ตาม เมื่อการค้าและพาณิชย์ขยายตัว การอาศัยเฉพาะบริษัทตัวแทนธนาคารพาณิชย์เท่านั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ธนาคารของชาติตะวันตกจึงได้เข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในประเทศไทย โดยธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่เปิดกิจการในประเทศไทย คือ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้เปิดสำนักงานในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2431 หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีธนาคารของประเทศตะวันตกเข้ามาจัดตั้งในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก เช่น ธนาคารชาร์เตอร์ด ธนาคารเมอร์แคนไทล์ และธนาคารอินโดจีน เป็นต้น

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 25 ความสนใจเกี่ยวกับกิจการธนาคารในแวดวงคนไทยยังมีอยู่อย่างจำกัดในขณะนั้น จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. 2447 (4 ตุลาคม พ.ศ. 2447) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย (พระองค์เจ้าไชยันตมงคล) เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ได้ตามเสด็จประพาสยุโรปและศึกษาดูงานการธนาคารมาเป็นเวลา 9 เดือน ได้ทรงจัดตั้ง “บุคคลัภย์” (Book club) โดยมีเงินทุน 30,000 บาท และใช้ตึกแถวของพระคลังข้างที่แถวบ้านหม้อเป็นสำนักงาน โดยเบื้องหน้าเปิดเป็นห้องสมุด และเบื้องหลังดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินโดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อบุคคลัภย์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยได้ทรงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษจัดตั้ง “บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” ขึ้นมาเป็นธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยแห่งแรก 

นอกเหนือจากบุคคลัภย์แล้ว กิจการธนาคารสัญชาติไทยอีกแห่งหนึ่งที่ได้จัดตั้งขึ้นมาคือ “คลังออมสิน” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคลังออมสิน พุทธศักราช 2456 โดยขึ้นตรงต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีสถานะเป็นส่วนราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีความพยายามขยายกิจการของคลังออมสินออกไป จึงได้มีการโอนกิจการคลังออมสินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไปสังกัดยังกรมไปรษณีย์โทรเลข กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าในช่วงระยะแรกของการจัดตั้งธนาคารในประเทศไทย จึงมีลักษณะเป็นธนาคารพาณิชย์ของต่างชาติหรือธนาคารซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยเชื้อพระวงศ์ระดับสูงหรือเป็นส่วนหนึ่งของส่วนราชการ แม้ในช่วงหลังจะมีธนาคารของพ่อค้าชาวจีนเกิดขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุประการหนึ่งเนื่องมาจากกิจการธนาคารเป็นกิจการควบคุมที่จะต้องได้รับอนุญาตจากเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเสียก่อน ตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พุทธศักราช 2471

ความเปลี่ยนแปลงของกิจการธนาคารไทย

เมื่อมีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย กิจการธนาคารพาณิชย์โดยส่วนใหญ่มีลักษณะไม่แตกต่างไปจากสภาพก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากเท่าใดนัก สำหรับในมุมมองของรัฐกิจการธนาคารยังคงเป็นกิจการควบคุมที่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากการประกอบกิจการธนาคารเช่นกัน โดยรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติภาษีการธนาคารและการประกันภัยพุทธศักราช 2475 ขึ้นมา เพื่อจัดเก็บภาษีจากการประกอบกิจการทั้งสอง เป็นการลดบทบาทของธนาคารขนาดเล็กที่ไม่สามารถจ่ายภาษีได้ทำให้ต้องยุติการประกอบกิจการไป

จุดเปลี่ยนสำคัญของกิจการธนาคารเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2480 เมื่อรัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมกิจการธนาคารพุทธศักราช 2480 ซึ่งได้ออกมายกเลิกบรรดากฎหมาย กฎและข้อบังคับอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัตินี้ คือ กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งและการประกอบกิจการธนาคารที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การกำหนดให้ธนาคารจะต้องมีเงินทุนซึ่งชำระแล้วของธนาคารเป็นจำนวนอย่างน้อย 200,000 บาท หรือธนาคารจะต้องมอบหลักประกันไว้กับรัฐบาลสยามเป็นจำนวนตามกฎหมายกำหนดไว้ โดยอาจเป็นเงินสดหรือหลักทรัพย์ซึ่งรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย และธนาคารซึ่งจดทะเบียนในราชอาณาจักรสยามจะต้องกันเงินอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินกำไรสุทธิเพื่อตั้งเป็นเงินสำรอง จนกว่าเงินสำรองนี้เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนเงินทุนที่ชำระแล้ว เป็นต้น 

นอกจากข้อกำหนดในเรื่องการจัดตั้งและการประกอบกิจการแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังได้จำกัดสิทธิหลายประการของกิจการธนาคาร เช่น การห้ามปันผลแล้วมีผลทำให้เงินชำระทุนลดลง การห้ามมิให้มีอสังหาริมทรัพย์อันมิจำเป็นเพื่อใช้ในกิจการธนาคาร และการห้ามจ่ายเงินให้กรรมการธนาคารกู้ยืมโดยทางตรงหรือทางอ้อม เป็นต้น

การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้มีผลอย่างสำคัญคือ ทำให้กิจการธนาคารที่เปิดดำเนินการในประเทศไทยหลายธนาคารต้องยุติการให้บริการลง หรือระงับการประกอบกิจการเป็นการชั่วคราวหลายธนาคาร หรือถูกโอนไปเป็นของรัฐ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารของพ่อค้าชาวจีน สำหรับธนาคารของพ่อค้าชาวจีนที่ยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้นั้นจึงเหลือเพียงแค่ธนาคารหวั่งหลี และธนาคารตันเองชุน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2482 และประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ในปี พ.ศ. 2484 ส่งผลให้เกิดความชะงักงันของบริษัทธุรกิจของชาติตะวันตก เนื่องจากกิจการของชาติตะวันตกโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นกิจการของประเทศคู่สงคราม ทำให้กิจการธนาคารต่างชาติถูกปิดกิจการลง 

ผลของการปิดกิจการของธนาคารชาติตะวันตกนั้น ส่งผลให้ประเทศไทยต้องมีการปิดตัวลงของธนาคารจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้กิจการธนาคารอยู่ รัฐบาลในขณะนั้นได้พยายามชดเชยการขาดหายไปของกิจการธนาคาร ด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจการธนาคาร ตัวอย่างเช่น ธนาคารแห่งเอเชียเพื่ออุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (ธนาคารเอเชีย) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยนายปรีดี พนมยงค์ โดยอาศัยเงินกองทุนสวัสดิการพนักงานของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 

นอกเหนือจากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ธนาคารของพ่อค้าชาวจีนมีความสำคัญมากขึ้น แม้ว่าในแง่หนึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลจะมีนโยบายเศรษฐกิจต่อต้านพ่อค้าชาวจีนก็ตาม ปัจจัยสำคัญนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ธนาคารของชาติตะวันตกไม่สามารถดำเนินกิจการได้ แต่ในขณะเดียวกันความต้องการบริการทางการเงินยังคงมีอยู่ ความตระหนักในข้อนี้ทำให้ผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนอย่างนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งแม้ในช่วงแรกของการเข้ามามีอำนาจทางการเมือง นายปรีดีจะเชื่อมั่นในกลไกของรัฐโดยประเมินศีลธรรมและความสามารถของรัฐเอาไว้สูง โดยเชื่อว่ารัฐจะผสานความสมัครสมานสามัคคีของประชาชนได้ตามหลักภราดรภาพนิยม  

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป นายปรีดีได้เปลี่ยนความคิดในบางประการ เนื่องจากความตระหนักถึงลัทธิชาตินิยมโดยทหารที่พยายามดึงเอาอำนาจทั้งหมดเข้าสู่การตัดสินใจของรัฐบาล โดยรวมถึงอำนาจในทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เป็นภัยกับระบบการปกครองใหม่ ด้วยเหตุดังกล่าว นายปรีดีจึงได้พยายามอาศัยความรู้และความสามารถของพ่อค้าชาวจีน เพื่อให้เกิดการดุลและคานอำนาจกับการขยายตัวของรัฐวิสาหกิจ จึงเกิดการจัดตั้งธนาคารต่างๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ  ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารกสิกร  ธนาคารศรีนคร และธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น โดยการสนับสนุนนั้นอาศัยอิทธิพลทางการเมืองของนักการเมืองบางคนเพื่อป้องกันผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจต่อต้านพ่อค้าชาวจีน

จำนวนธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น ทั้งธนาคารที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่น ธนาคารเอเชียของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และธนาคารมณฑลซึ่งกระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่ เป็นต้น และยังรวมไปถึงธนาคารพาณิชย์ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าไปถือหุ้น เช่น แบงก์สยามกัมมาจล ทุน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์” หรือ “ธนาคารนครหลวงไทย” ซึ่งทั้งสองธนาคารนั้นมีสถานะคล้ายคลึงกับรัฐวิสาหกิจเนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลใช้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ดำเนินกิจการทางพาณิชย์เพื่อชดเชยความไม่คล่องตัวของรัฐในลักษณะเดียวกันกับรัฐวิสาหกิจ ความพยายามเพิ่มจำนวนธนาคารในฐานะสถาบันการเงินสำคัญของนายปรีดีมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนรวมไปถึงการยกระดับให้คลังออมสิน โดยเปลี่ยนสถานะเป็น “ธนาคารออมสิน” ตาม พระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489
ในช่วงเวลานั้นประเทศไทยเริ่มมีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นมาเพื่อกำกับการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเกิดขึ้นจากการต่อยอดจากสำนักงานธนาคารชาติไทย ซึ่งนายปรีดีได้ริเริ่มไว้ (โปรดดู ปรีดี พนมยงค์ กับธนาคารชาติ และ ธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)

ธนาคารและความสัมพันธ์ทางการเมือง

บทบาทของธนาคารไทยไม่ได้ปรากฏอยู่เฉพาะในทางเศรษฐกิจเท่านั้น ทว่า ธนาคารยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างฐานอำนาจและการสนับสนุนทางการเมืองของกลุ่มอำนาจต่างๆ ในบางเวลา ซึ่งในประเด็นนี้มีข้อถกเถียงพอสมควรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับธนาคาร เพราะในหลายด้านนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดผู้ปกครองต้องการอาศัยความรู้ความชำนาญของพ่อค้าชาวจีนเหล่านี้มาผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะดังกล่าวจึงเกิดความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มทุนพ่อค้าชาวจีนและข้าราชการไทย

ตารางที่ 1 : แสดงธนาคารพาณิชย์และกลุ่มผู้ร่วมทุนจัดตั้งธนาคารพาณิชย์

ธนาคารพาณิชย์กลุ่มเชื้อสายเจ้ากลุ่มขุนนางเดิม/ข้าราชการพ่อค้าชาวจีน
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการราชนิกุลสกุลปราโมชสกุลอินทรทูต
(พระพินิจชนคดี)
ตระกูลหวั่งหลี ตระกูลมหาคุณ ตระกูลบูลสุข ตระกูลเคียงศิริ
ธนาคารกรุงเทพเจ้าพระยารามราฆพพระยานลราชสุวัจน์ตระกูลโสภณพาณิชย์
ธนาคารกสิกรไทยนายทองเปลว ชลภูมินายสงวน จูฑะเตมีย์ตระกูลล่ำซำ
ธนาคารศรีนครพระยาโทณวณิกมนตรีพระยาจินดารักษ์นายอื้อจือเหลียง
(เตชะไพบูลย์)

ที่มา:  ผู้เขียนปรับปรุงและเรียบเรียงใหม่จาก ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504”, ใน เศรษฐกิจไทย, (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533), น. 294.

ความตระหนักต่ออิทธิพลทางเศรษฐกิจของธนาคารได้ทำให้ผู้ปกครองบางกลุ่มพยายามอาศัยธนาคารเป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้น ในงานศึกษาวิจัยของสังศิต พิริยะรังสรรค์ หรือพรรณี บัวเล็ก ดังเช่น กรณีของขุนนิรันดรชัยซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นราชเลขานุการในพระองค์ได้นำเงินจากทุนในส่วนของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปร่วมตั้งธนาคารนครหลวงไทย และในอีกด้านหนึ่งขุนนิรันดรชัยได้เข้าควบคุมธนาคารไทยพาณิชย์โดยอาศัยช่องทางตัวแทนของกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ปกครองในขณะนั้นทุกคนจะเห็นแก่ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจส่วนตัว นายปรีดี พนมยงค์เป็นบุคคลหนึ่งที่แม้จะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งธนาคารหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้มีส่วนเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นหรืออาศัยอิทธิพลทางการเมืองของตนในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง 

ดังเช่นในครั้งที่มีการจัดตั้งธนาคารเอเชียขึ้นมา เนื่องจากเห็นประโยชน์ของกิจการธนาคารจะเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ประกอบกับธนาคารโอเวอร์ซีไชนิสแบงก์กิ้ง คอร์เปอเรเชั่นได้เลิกกิจการลง เนื่องจากผู้จัดการธนาคารได้ส่งเงินไปช่วยเหลือจีนคณะชาติ (พรรคก๊กมิ่นตั๋ง) จึงเป็นเหตุให้ถูกเนรเทศออกจากประเทศไป ด้วยความตระหนักว่าประเทศไทยในขณะนั้นมีเพียง “แบงค์สยามกัมมาจล ทุน” (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารไทยพาณิชย์) เป็นธนาคารสัญชาติไทยเพียงธนาคารเดียว นายปรีดีจึงได้เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีต่อมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจะมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนเพื่อบำรุงมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากเงินอุดหนุนจากทางการซึ่งไม่สามารถรองรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมานี้ได้ และเป็นสถานที่ฝึกอบรมศึกษากิจการธนาคารอันเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา ซึ่งเงินที่นำมาใช้ในการซื้อหุ้นนี้ได้นำเงินสำรองของมหาวิทยาลัยมาใช้ในการซื้อหุ้น โดยนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์นั้น ไม่ได้ถือหุ้นในธนาคารเอเชีย หรือแม้แต่กระทั่งเมื่อครั้งที่นายหลุย พนมยงค์ น้องชายของนายปรีดีได้จัดตั้งธนาคารกรุงศรีแห่งอยุธยาขึ้นนั้น จากคำบอกเล่าของคนสนิทใกล้ตัวอย่างนางฉลบชลัยย์ พลางกูร ซึ่งได้กล่าวถึงในตอนหนึ่งว่า

“…ในตอนหลังเมื่อคุณหลุย พนมยงค์ ตั้งธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา ก็มิได้บอกท่าน (นายปรีดี) ด้วยซ้ำ คุณหลุยถามดิฉัน (นางฉลบชลัยย์) ว่า “คุณพี่ว่าอะไรผมบ้างหรือเปล่าที่ตั้งธนาคารนี้” ดิฉัน (นางฉลบชลัยย์) บอกว่า “ไม่เคยว่าเลย มีแต่ชมว่า เก่ง สามารถ”…”

ซึ่งในบทความนี้นางฉลบชลัยย์ได้กล่าวถึงความไม่สนใจเรื่องเงินทองและความเป็นคนพอเพียงของนายปรีดีที่เน้นการดำรงชีพด้วยเงินเดือนตามตำแหน่งเท่านั้น

ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครองบางกลุ่มจากกิจการธนาคารเห็นได้ชัดเมื่อในเวลาต่อมาหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารนำโดยพันโทผิณ ชุณหะวัณ และลูกน้อง ได้พยายามเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจจากกิจการธนาคาร 

ภายหลังปฏิบัติการขบวนการประชาธิปไตย คณะรัฐประหารที่ครองอำนาจในขณะนั้นได้จับนายเดือน บุนนาค และนายหลุย พนมยงค์ ในความผิดทางการเมือง และได้บังคับให้นายเดือนในฐานะเลขาธิการมหาวิทยาลัยในฐานะผู้แทนของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขายหุ้นของธนาคารเอเชีย ให้กับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก  และได้บังคับให้นายหลุย พนมยงค์ ขายหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาของตนให้กับสมาชิกคณะรัฐประหาร ซึ่งทำให้คณะรัฐประหารเข้ามามีอำนาจครอบงำธนาคารทั้งสองแห่ง

การบังคับขายหุ้นในธนาคารเอเชียนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำลายฐานทางเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และทำให้มหาวิทยาลัยต้องหันไปพึ่งพิงแหล่งรายได้จากงบประมาณเพียงอย่างเดียวเสมือนหน่วยงานของรัฐอื่นๆ

ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างธนาคารกับการเมืองนั้นเริ่มชัดเจนมากขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 กิจการธนาคารนั้นสัมพันธ์กันอย่างยิ่งกับผู้นำและบุคคลสำคัญในคณะรัฐประหาร ซึ่งอาศัยความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างฝ่ายการเมืองที่อาศัยความรู้ความชำนาญและอิทธิพลทางการเมืองคุ้มกันมาเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากกิจการ (โปรดดู รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลโสภณพนิช ซึ่งเป็นตระกูลที่ปรับตัวและดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง โดยเข้าไปร่วมมือกับพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ทำให้ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของพลตำรวจเอกเผ่า กิจการของธนาคารได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง

ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างธนาคาร (กรุงเทพ) กับฝ่ายการเมืองดำเนินไปควบคู่กับความเปลี่ยนแปลงในสังคมมาโดยตลอด ดังที่รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ นักวิชาการทางเศรษฐกิจคนสำคัญ ได้อธิบายถึงผลประโยชน์ทางเมืองระหว่างธนาคาร (กรุงเทพ) กับการเมืองเอาไว้อย่างชัดเจนในงานเขียนชื่อว่า “ธนาคารพาณิชย์: ปลิงดูดเลือดสังคมไทย ?” ไว้ว่า 

“…ธนาคารกรุงเทพไม่ได้เป็นธนาคารเดียวที่พยายามแสวงหาอิทธิพลทางการเมือง และสาเหตุที่ธนาคารกรุงเทพตกเป็นเป้าโจมตีมากกว่าธนาคารอื่น ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกรุงเทพกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ฉาวโฉ่ (จอมพลประภาส จารุเสถียร) เท่านั้น หากรวมตลอดถึงการที่ธนาคารกรุงเทพมีนักการเมืองมาเป็นกรรมการอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย ดังจะเห็นได้ว่าในสมัยหนึ่งนั้น กรรมการของธนาคารกรุงเทพประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” 

ธนาคารเป็นเพียงแต่รูปแบบหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกเข้าแทรกแซงโดยอำนาจทางการเมือง ผลประโยชน์จากการเข้าไปเกี่ยวข้องในทางการเมืองประกอบกับกิจการธนาคารได้กลายเป็นฐานให้กลุ่มทุนธนาคารพาณิชย์ที่มีอำนาจรัฐอยู่เบื้องหลังสามารถขยายกิจการออกไปในธุรกิจอื่นๆ ได้ ปรากฏตามตารางที่ 2

ตารางที่ 2 : ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของนายธนาคารพาณิชย์

ตระกูลนายธนาคารพาณิชย์ผลประโยชน์ในธนาคารพาณิชย์ผลประโยชน์นอกธนาคารพาณิชย์
ตระกูลเตชะไพบูลย์ธนาคาร ศรีนคร จำกัดธนาคารแห่งเอเชียเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จำกัดธนาคารไทยพัฒนา จำกัดบริษัท ไทยอมฤตบริวเวอรี่ จำกัดบริษัท กระจกไทยอาซาฮี จำกัดบริษัท สุรามหาคุณ จำกัดบริษัท ไทยอาซาฮีโซดาไฟ จำกัดบริษัท คาเธ่ย์ทรัสท์ จำกัดบริษัท ธนพัฒนาทรัสท์ จำกัดบริษัท กมลสุโกศล อินเวสต์เม้นท์ แอนด์ทรัสท์ จำกัดบริษัท ไทยโอเวอร์ซีส์ทรัสต์ จำกัดบริษัท ศรีนครพัฒนา จำกัดบริษัท ไทยโปรดัคท์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัดบริษัท พาราวินเซอร์ จำกัดบริษัท ไทยมิตซูบิชิ อินเวสต์เม้นท์ จำกัดบริษัท สหธนกิจไทย จำกัดบริษัท อินเตอร์เนชันแนลไฟแนนซ์ แอนด์คอนเซาล์แทนส์ จำกัดโรงแรมรีเจ้นท์พัทยาโรงรับจำนำ 11 แห่งฯลฯ
ตระกูลล่ำซำธนาคารกสิกรไทย จำกัดบริษัท เลเปอร์ตี้ต์ (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท อุตสาหกรรมกระดาษไทย จำกัดบริษัท สมบัติล่ำซำ จำกัดบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัดบริษัท สุรามหาคุณ จำกัดบริษัท ยิบอินซอย จำกัดบริษัท ล็อกซ์เลย์ (กรุงเทพฯ) จำกัดบริษัท ภัทรเคหะ จำกัดบริษัท ล่ำซำประกันภัยและคลังสินค้า จำกัดบริษัท คลังสินค้าแม่น้ำประกันภัย จำกัดหยาดฟ้าภัตตาคารบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัดบริษัท ล่ำซำอิมปอร์ต จำกัดบริษัท ภัทรธนกิจ จำกัดบริษัท ยางไฟร์สโตนส์ (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท ทิสโก (ค้าหลักทรัพย์และลงทุน) จำกัดบริษัท ล่ำซำบราเดอร์ส จำกัดฯลฯ
ตระกูลหวั่งหลีธนาคารหวั่งหลีบริษัท พูนผล จำกัดบริษัท อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จำกัดบริษัท วิสุทธิพาณิชย์ จำกัดบริษัท หวั่งหลี จำกัดบริษัท ไทยพาณิชย์ ประกันภัย จำกัด
ตระกูลโสภณพณิชธนาคารกรุงเทพ จำกัดบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัดบริษัท กรุงเทพคลังสินค้า จำกัดบริษัท กรุงเทพธนาทร จำกัดบริษัท เคหพัฒนา จำกัดบริษัท บางกอกโนมูระ อินเตอร์เนทชั่นแนล ซีเคียวริตี้ จำกัดบริษัท อั้นฟองเหลาไมฮง จำกัดบริษัท สินเอเชียทรัพสต์ จำกัด บริษัท กรีนสปอต (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท บางกอกรัษฎาและทรัสท์ จำกัดโรงงานทอผ้าประมาณ 10 โรงโรงงานน้ำตาลประมาณ 10 โรงฯลฯ

ที่มา: นิทรรศการเรื่อง “การผูกขาดในอุตสาหกรรมไทย” จัดโดยกลุ่มเศรษฐธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2517)

แม้ว่าบริษัทตามตารางที่ 2 นี้ ในปัจจุบันจะได้หายไปด้วยสาเหตุทางเศรษฐกิจและการควบรวม หรือเปลี่ยนมือกันก็ตาม แต่การอาศัยทุนธนาคารเป็นฐานในการต่อยอดทางธุรกิจโดยอาศัยความช่วยเหลือทางการเมืองทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน การที่กรรมการธนาคารพาณิชย์ล้วนมีผลประโยชน์ในกิจการอื่นๆ เป็นอันมากนั้น เป็นเหตุให้ธนาคารเหล่านี้ใช้อำนาจในการแสวงหาผลประโยชน์แห่งตน ทั้งในการเก็งกำไรและการกักตุนสินค้า และใช้อำนาจผ่านธนาคารในการผูกขาดเพื่อไม่ให้เกิดกิจการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเป็นคู่แข่งในกิจการที่ตนมีผลประโยชน์อยู่ได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วการผูกขาดย่อมหมายถึงการได้รับผลตอบแทนสูงกว่าอัตราอันสมควร  ทว่า การผูกขาดและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนธนาคารนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากปราศจากความช่วยเหลือจากผู้ปกครองที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ

สภาวการณ์ที่กลุ่มทุนเข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้ใช้อำนาจรัฐนั้น ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่มีความอันตรายต่อเศรษฐกิจโดยรวม กล่าวคือ ผู้มีอำนาจรัฐมีแนวโน้มจะบิดเบือนกลไกตลาดต่างๆ โดยอาศัยอำนาจรัฐเพื่อประกันผลประโยชน์ของทุนที่ให้ผลประโยชน์แก่ตัวเอง