ผู้หญิงในความรุนแรงทางกฎหมาย: เมื่อกฎหมายเขียนและใช้โดยชาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย เป็นปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นประจำทุกปี ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์ด้านความรุนแรงทางเพศไม่ได้ลดลง และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลและเมื่อย้อนกลับไปดูภาพของความรุนแรงที่ผ่านมาในช่วงปี 2559-2566 พบว่าจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเกิดขึ้นเฉลี่ย 1,660 รายต่อปี[1] และในปี 2567 จากการเก็บข้อมูลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ในช่วง 6 เดือน (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) พบว่ามีจำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ 1,296 ราย โดยผู้ถูกกระทำความรุนแรงส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพศหญิง และเกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบครอบครัว จากคู่ชีวิต บุตร และบิดา[2]

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงทางเพศในสังคมไทยนั้นมีลักษณะที่มีความซับซ้อน กล่าวคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นประกอบไปด้วยความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาทิ การทำร้ายร่างกาย และการข่มขืนกระทำชำเรา และความรุนแรงเชิงโครงสร้างสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างสังคมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นจากโครงสร้างทางสังคมที่กดทับทางเพศ ซึ่งทำให้ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากความรุนแรงดังกล่าว ความรุนแรงนี้อาจเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หรือกฎหมาย

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในบรรดาความรุนแรงที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า ความรุนแรงในลักษณะนี้มีความสำคัญที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกฎหมายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในนามของรัฐ โดยอาศัยอำนาจของรัฐ ซึ่งหากปราศจากอำนาจของรัฐแล้วความรุนแรงในลักษณะนี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

นอกจากความรุนแรงนี้จะเกิดขึ้นในนามของรัฐแล้ว ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของความรุนแรงในลักษณะนี้คือ การลดทอนคุณค่าในความเสมอภาคทางเพศ และลดทอนศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของคนๆ หนึ่ง ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงในลักษณะนี้ ได้สร้างความเป็นอื่นให้เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ แม้ว่ามาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญจะรับรองความเสมอภาคของบุคคลทุกคนเอาไว้ และเน้นย้ำถึงความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงแต่ความเสมอภาคดังกล่าวกลายเป็นเพียงกระดาษ เพราะคนในวงการกฎหมายกลายเป็นผู้ทำลายความเสมอภาคดังกล่าวไปเสียเอง

ความรุนแรงในกฎหมายเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ แต่หากพยายามจัดกลุ่มลักษณะของความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมาย

ในกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะนี้มักแสดงออกมาผ่านบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งเขียนขึ้นโดยมีอคติทางเพศ (gender bias) หรือกฎหมายเขียนขึ้นโดยไม่มีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutral) และกรณีของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้และการตีความกฎหมายนี้เกิดขึ้นจากอคติทางเพศและมุมมองของความไม่เป็นกลางทางเพศที่เกิดขึ้นในความคิดของผู้ใช้และตีความกฎหมาย

กรณีศึกษาความรุนแรงในการข่มขืนแบบเลือกเพศ

ตัวอย่างหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายก็คือ การแก้ไขนิยามของคำว่า การกระทำชำเราในประมวลกฎหมายอาญาใหม่

ในอดีตก่อนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ครั้งที่ 27 ได้มีการกำหนดนิยามของการกระทำชำเราไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 19 โดยกฎหมายได้กำหนดนิยามของการกระทำชำเรา หมายถึง 

“การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น[3]

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขนิยามของการกระทำชำเราใหม่ โดยการกำหนดให้การกระทำชำเรา หมายถึง “การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น[4]

หากดูผิวเผิน การนิยามคำว่า กระทำชำเราในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะเห็นได้ว่านิยามของการกระทำชำเรานั้นมีความคล้ายจะเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมาก

เจตนารมณ์ของกฎหมายของการเพิ่มนิยามคำว่า กระทำชำเราในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาครั้งที่ 19 มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย โดยไม่ประสงค์ให้มีการเลือกปฏิบัติและได้รับการคุ้มครองจากถูกล่วงละเมิดทางเพศและกระทำชำเรา[5] ซึ่งเป็นปัญหามาในอดีต

จากแนวทางการใช้และการตีความกฎหมายของศาลที่ผ่านมา กำหนดให้การกระทำชำเราจะต้องอาการของการสอดใส่ (penetration) ซึ่งตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไทยถือว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราจะเป็นความผิดสำเร็จก็ต่อเมื่อของลับของชายล่วงล้ำเข้าไปในของลับของหญิง 1 องคุลี[6] (ประมาณครึ่งข้อแรกของนิ้วกลาง)

การตีความของศาลตามนัยดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาว่า หากเป็นกรณีที่ผู้หญิงถูกกระทำ โดยวัตถุอื่นโดยไม่ได้เป็นการใช้อวัยวะเพศชาย อาทิ การใช้อุปกรณ์ทางเพศ (sex toy) หรือสิ่งอื่นแทนอวัยวะเพศ จะถือว่าเป็นการกระทำชำเราหรือไม่ รวมถึงหากผู้หญิงถูกกระทำชำเราโดยผู้หญิง หรือผู้ชายถูกกระทำโดยผู้หญิงแนวทางการตีความของกฎหมายอาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมและคุ้มครองสิทธิของประชาชน ทำให้เกิดการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติครั้งที่ 19 เพื่อให้ข่มขืนกระทำชำเราสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ และทำให้ความสำคัญของการข่มขืนกระทำชำเรากับมาอยู่ที่การละเมิดความยินยอม (consent) มากกว่าเป็นวิธีการกระทำชำเรา

แต่ภายหลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครั้งที่ 27 นิยามของการกระทำชำเราถูกทำให้แคบลง โดยได้มีการตัดนิยามของการใช้การใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น โดยไปแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นความผิดฐานอนาจารแทน[7] ส่งผลให้การใช้การตีความของศาลต้องกลับไปยึดถือหลักการเดิม คือ จะต้องแสดงให้เห็นอาการของการสอดใส่ ซึ่งในการพิสูจน์การกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจจะทำไม่ได้ในกรณีที่การข่มขืนเกิดขึ้นในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ผู้กระทำเป็นชาย สิ่งนี้กลายเป็นกฎหมายละเลยต่อความยินยอมของบุคคล และไปให้ความสำคัญกับวิธีการกระทำชำเรา

ตัวอย่างของการใช้กฎหมายในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5131/2562 ศาลอธิบายว่า การใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น ซึ่งตามคำพิพากษาดังกล่าวเท่ากับศาลไม่ได้สนใจต่อประเด็นการล่วงละเมิดความยินยอมแต่อย่างใด

ความรุนแรงเกิดขึ้นจากชายชราในฝ่ายนิติบัญญัติ

สาเหตุของความรุนแรงนี้เกิดจากอะไร คำตอบก็คือในหลาย ๆ ครั้ง ผู้เขียนกฎหมายอาจมีอคติทางเพศหรือมุมมองที่ขาดความเป็นกลางทางเพศในการตรากฎหมาย

สิ่งนี้ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาให้ในสังคมไทยเป็นอย่างมาก ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนคือ การออกกฎหมายในยุคของ คสช. โดยภายหลังจากการรัฐประหารในปี 2557 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรัฐสภาในสถานการณ์ปกติ

องค์ประกอบของ สนช. นี้ประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่คัดสรรมาจากอดีตข้าราชการ ทหาร และตำรวจ โดยจากเก็บข้อมูลของ iLaw ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 พบว่า สมาชิก สนช. มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 250 คน เป็นทหารทุกเหล่าทัพรวมกัน 145 คน (58%) ตำรวจ 12 คน (5%)  ข้าราชการ 66 คน (26%) ภาคธุรกิจ 19 คน (8%) และอื่น ๆ 8 คน (3%) หากรวมสมาชิกที่เคยเป็นข้าราชการ หรือทำงานในหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจทุกประเภทจะมีจำนวนถึง 223 คน (89%) ของสมาชิกทั้งหมด[8]

ในด้าน iLaw ระบุว่าอายุของสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 64 ปี ขณะที่คนวัยเกษียณ หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 185 คน หรือคิดเป็น 75% ของทั้งสภา โดยสมาชิกที่อายุมากที่สุด 92 ปี และน้อยที่สุด 51 ปี[9]  นอกจากนี้ จากจำนวนสมาชิก สนช. ที่เป็นทหารทั้งหมด 145 คน สามารถแบ่งเป็นทหารประจำการ 90 คน และทหารที่เกษียณอายุราชการแล้ว 55 คน[10] ส่วนในด้านเพศพบว่า เพศของสมาชิก สนช. 95% เป็นเพศชาย[11]

ดังนี้ เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังของสมาชิก สนช. ทั้งประวัติการทำงาน อายุ และเพศแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สนช. นั้นมีลักษณะเป็นสภาฯ ที่นำโดยผู้ชาย ข้าราชการสูงวัยและเกษียณอายุ ซึ่งอาจจะไม่ได้สะท้อนต่อมุมมองทางเพศที่หลากหลาย องค์กรประกอบของสมาชิก สนช. โดยส่วนใหญ่เติบโตมาในวัฒนธรรมที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเพศ และไม่ได้มองปัญหาเรื่องเพศอย่างเป็นสาระสำคัญ

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าการเพิ่มองค์ประกอบของผู้หญิงหรือเพศหลากหลายในสภาฯ แล้วจะทำให้เกิดมุมมองที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิดในเรื่องค่านิยมทางเพศที่ดี ความเป็นกลาง หรือการตระหนักต่อสิทธิทางเพศ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำ (ความคิดที่มีพื้นฐานที่เอื้อประโยชน์ให้กับความเป็นชายตามแบบกระแสหลัก) ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในชั้นของการใช้การตีความกฎหมายได้เช่นกัน

กรณีศึกษาความรุนแรงที่เกิดจากมุมมองของชายเป็นใหญ่

ไม่เพียงแต่ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น แต่ความรุนแรงทางเพศอาจจะมาจากการใช้การตีความกฎหมายที่คับแคบและแฝงไปด้วยอคติทางเพศ ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการใช้กฎหมายที่มีต่อผู้หญิง และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ชายมากกว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คุณค่าของผู้หญิงที่กฎหมายรับรองไว้อาจไม่ได้รับการเคารพอย่างแท้จริง

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้ก็คือ การพิสูจน์พฤติการณ์ของการข่มขืนใจ (แสดงให้เห็นว่าโจทย์กับกับจำเลยได้มีความยินยอมที่จะร่วมเพศกันโดยสมัครใจ) ซึ่งจะนำไปสู่เงื่อนไขที่จะเป็นการข่มขืนกระทำชำเราตามกฎหมาย ปัญหาสำคัญในเรื่องนี้อยู่ที่ศาลให้น้ำหนักกับการข่มขืนใจอย่างไร

ในกรณีที่ผ่านมา หากจำเลยกระทำโดยใช้อาวุธเข้าร่วมกระทำความผิดหรือมีการใช้กำลังบังคับซึ่งดูผิวเผินในกรณีเช่นนี้ก็อาจจะดูเป็นการข่มขืนใจแล้ว แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่เป็นเช่นนี้เสมอไป ในการใช้อัตวินิจฉัยของผู้พิพากษา พบว่าแนวคำพิพากษาของศาลให้ความสำคัญกับการแสดงอาการของการถูกข่มขืนใจ กล่าวคือ ผู้หญิงต้องแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ยินยอม และพึงพอใจกับการถูกข่มขืน รวมถึงต้องแสดงออกให้เห็นว่าตนไม่ยินยอมกับกิจกรรมทางเพศดังกล่าว

คำถามคือ ที่ผ่านมาศาลใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการนำมาวินิจฉัยว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ยินอยม

ในการวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ผ่านมา ศาลพิจารณาความไม่ยินยอม และพึงพอใจผ่านการแสดงออกโดยชัดแจ้งและเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2528 ความว่า

“…รูปคดีน่าเชื่อถือตามที่จำเลยว่าผู้เสียหายและจำเลยต่าง สมัครใจที่จะร่วมประเวณี หากผู้เสียหายถูกจำเลยให้ดื่มน้ำเป๊ปซี่มอมเมาผู้เสียหายจนหมดสติไม่รู้สึกตัว แต่เหตุใดเมื่อมารู้สึกตัวว่าจำเลยกระทำชำเรา ผู้เสียหายจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนงานที่นอนอยู่ใกล้ๆ มุ้งของจำเลย นอกจากนี้เมื่อผู้เสียหายมีกำลังลุกขึ้นได้แทนที่จะแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนงานคนใดคนหนึ่งที่นอนอยู่ในห้องจำเลยได้ทราบ ผู้เสียหายกลับเข้าห้องน้ำล้างหน้า ต่อมาก็กลับไปทำงานโดยไม่ได้เล่าให้ผู้ใดฟัง เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งมารดาผู้เสียหายมาถาม จึงบอกเรื่องไปนอนกับจำเลยในคืนเกิดเหตุให้ฟัง”

คำพิพากษานี้กำลังบอกอะไรกับพวกเราทุกคน สิ่งที่คำพิพากษานี้กำลังบอกกับเราคือ ความสมัครใจในสายตาของศาลคือ การที่ผู้เสียหายต้องแสดงอาการของการขัดขืน และต้องประกาศป่าวร้องว่าตนเองโดนข่มขืน หากเราทุกคนสวมบทบาทเป็นผู้พิพากษา เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าในความเป็นจริง จำเลยและผู้เสียหายยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กันจริงหรือไม่ เพราะพวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ในห้องร่วมกับจำเลยและผู้เสียหาย แต่หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาข้างต้น เราก็ไม่สามารถสรุปได้เช่นกันว่า จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจเข้าร่วมประเวณีกันจริงหรือไม่

การที่ศาลไปพิจารณาปัจจัยอื่น นอกเหนือจากความยินยอมของผู้เสียหายแล้ว อาทิ การขัดขืน หรือการป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ สะท้อนความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ของการข่มขืนและอคติทางเพศของผู้พิพากษา ในความเป็นจริงเมื่อเกิดการข่มขืน ผู้เสียหายมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดสถานการณ์แพนิก (panic attack) ที่เกิดจากการตกใจ ซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจจะไม่ได้แสดงอาการขัดขืน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้หญิงอาจจะถูกทำร้ายร่างกายได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการขัดขืน ซึ่งนำมาสู่อันตรายต่อชีวิตและร่างกายมากขึ้น

นอกจากที่ศาลให้น้ำหนักกับการขัดขืนกับผู้เสียหายแล้ว เท่ากับในสายตาของศาลก็มองว่า ผู้หญิงมีหน้าที่โดยปริยายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศกับตัวเอง ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่อันเคร่งครัด หากผู้เสียหายไม่ได้แสดงอาการต่อต้านในสายตาของศาลอาจจะไม่ถือว่าจำเลยถูกข่มขืนใจ

ไม่เพียงแต่ผู้เสียหายต้องแสดงการขัดขืนแล้ว อีกสิ่งที่ศาลนำมาใช้ในการแสดงออกก็คือ การป่าวร้องต่อคนอื่น ๆ ในคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ศาลมองว่าการที่ผู้เสียหายไม่ได้ป่าวร้อง ทั้งในห้องที่เกิดเหตุหรือต่อมารดาของผู้เสียหายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความสมัครใจเข้าร่วมประเวณี โดยที่ผ่านมาแนวทางของศาลได้ให้น้ำหนักกับการแสดงใด ๆ ก็ตามที่สื่อออกไปในเชิงป่าวร้องกับคนอื่นเป็นน้ำหนักที่ศาลนำมาใช้เชื่อว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ เช่น ผู้เสียหายเป็นหญิงได้บอกสามีว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา[12] หรือทันทีที่พ้นจากการข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายเป็นหญิงได้ไปบอกกับคนอื่นๆ ว่าตนถูกข่มขืน[13] เป็นต้น

สภาพดังกล่าวกลายเป็นความรุนแรงกับผู้หญิง เพราะกลายเป็นสถานการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนถูกข่มขืน ซึ่งกลายมาเป็นสถานการณ์ของการข่มขืนซ้ำ ๆ ไม่ได้เพียงแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผู้เสียหายต้องบอกเล่าในชั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และศาล แต่กลับต้องแสดงให้สาธารณชนรับรู้ถึงการถูกข่มขืนกระทำชำเรา กลายเป็นผู้เสียหายไม่ได้ถูกข่มขืนเพียงครั้งเดียว ผู้เสียหายกลับถูกข่มขืนซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ต้องนึกถึงสถานการณ์ดังกล่าว และบอกเล่าสถานการณ์ดังกล่าวให้คนรับรู้

คำถามคือ ผู้พิพากษาจะรู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่ สิ่งนี้ผู้เขียนไม่มีคำตอบให้กับคำถามของตัวเองข้อนี้เหมือนกัน แล้วสังคมควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะหากพิจารณาแล้วจริง ๆ แล้ว ความรุนแรงที่สะท้อนผ่านผู้ใช้และตีความกฎหมายนี้ก็อาจจะไม่ต่างจากนักร่างกฎหมายที่ถูกครอบงำโดยความคิดแบบชายเป็นใหญ่

เราจะเปลี่ยนจากจุดนี้ได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงปัญหาความรุนแรงทางเพศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่วนหนึ่งความรุนแรงทางเพศสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ปัญหาความรุนแรงทางเพศที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ในกฎหมาย อาจจะเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับการลดความรุนแรงทางกายภาพ

ในกรณีของประเด็นที่ผู้เขียนยกขึ้นมานั้น ประเด็นแรกการแก้ไขอาจจะไม่ซับซ้อนมาก สิ่งที่ควรจะต้องทำคือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาให้กลับไปในลักษณะเดียวกันกับการแก้ไขครั้งที่ 19 ซึ่งเปิดกว้างในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายกับการข่มขืนกระทำชำเราได้ครอบคลุมกว่า ซึ่งจะช่วยส่งเสริมประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ส่วนกรณีของการใช้ดุลพินิจตีความของศาล ในมุมนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การพยายามฝึกอบรมและทำให้ผู้พิพากษาตระหนักต่ออคติทางเพศในเรื่องนี้ และสะสางแนวคิดที่ครอบงำวงการผู้พิพากษาในเรื่องนี้ แม้ว่าแก้ไขในเรื่องนี้จะไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก็ควรเร่งที่จะดำเนินการทำ

สำหรับปัญหาเรื่องความรุนแรงอื่น ๆ ในเชิงวัฒนธรรม ผู้เขียนคิดว่าสิ่งนี้เป็นการบ้านที่สังคมไทยต้องร่วมมือกันในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป


เชิงอรรถ

[1] สถิติจะเก็บค่อมปี เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลภายใต้ช่วงปีงบประมาณ (ต.ค. – ก.ย. ของอีกปีหนึ่ง); ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 25 พฤศจิกายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://pridi.or.th/th/content/2023/11/1771.

[2] กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, “รายงานการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 รอบ 6 เดือน,” สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 8 พฤษภาคม 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://opendata.nesdc.go.th/dataset/violence2567-6.

[3] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 มาตรา 3.

[4] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 3.

[5] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 หมายเหตุ; ท้ายพระราชบัญญัติ.

[6] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2509.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 มาตรา 8.

[8] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 1: “สภาทหาร-สภาผลประโยชน์” เมื่อคนใกล้ชิดผู้นำประเทศอยู่เต็มสนช.,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://ilaw.or.th/node/4407.

[9] iLaw, “ใครออกกฎหมาย? 2: ส่องสนช. ‘สภาอาวุโส’ วัยหลังเกษียณ 75% พบแก่สุด 92 ปี อ่อนสุด 51 ปี,” iLaw, 5 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567, https://www.ilaw.or.th/articles/2263.

[10] iLaw, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 8.

[11] วศินี พบูประภาพ, “เปิดสถิติ ความหลากหลายทางเพศสภาไทย 2566,” Workpoint Today, 1 มิถุนายน 2566 [Online], สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567,  https://workpointtoday.com/parliament-230500/.

[12] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2542.

[13] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2513.

ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในโอกาสที่วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล  (International Day for the Elimination of Violence against Women) ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำเสนอถึงประเด็นวัฒนธรรมว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบและส่งอิทธิพลต่อความประพฤติของคนในสังคม อิทธิพลของวัฒนธรรมปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษผ่านสื่อบันเทิง โดยสื่อบันเทิงไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เฉพาะในแง่ดีแต่ผลของการทำสื่อบันเทิงอาจส่งผลกระทบในเชิงลบได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อคนบางกลุ่ม อาทิ เด็กและผู้หญิง ทั้งในฐานะของผู้รับสารจากสื่อบันเทิงและผู้รับผลลัพธ์ของความรุนแรงนั้นๆ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยควรย้อนกลับมาพิจารณาเมื่อประเทศไทยต้องการก้าวเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของผู้ส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมต่างๆ และเริ่มมีบทบาทในการเมืองโลกผ่านวัฒนธรรม

บทความชิ้นนี้จึงพยายามสำรวจความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เป็นผลมาจากสื่อบันเทิง

ความรุนแรงในครอบครัว คือความรุนแรงต่อผู้หญิง

จากการสำรวจสถิติความรุนแรงในครอบครัวไทยของกรมกิจการสตรีและครอบครัวในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 พบว่า สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยเกิดขึ้นกับผู้หญิงกว่าร้อยละ 82.78 ของจำนวนกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในขณะที่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 90.5 ของจำนวนผู้กระทำความรุนแรงทั้งหมดเป็นผู้ชาย

ในแง่ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 เฉลี่ยเดือนละ 196 รายต่อเดือน โดยเดือนที่มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน 2564 จำนวน 247 ราย และเมื่อย้อนกลับไปมองภาพความรุนแรงย้อนหลังในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2566) พบว่า จำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเฉลี่ยเกิดขึ้น 1,660 รายต่อปี

นอกจากนี้ จากการสำรวจดังกล่าวระบุว่า ความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 จำนวนกว่าร้อยละ 42.8 ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภริยา

โดยสาเหตุ 10 อันดับแรกของความรุนแรงในครอบครัวเกิดมาจาก

  1. ยาเสพติด ร้อยละ 19.3
  2. สุรา ร้อยละ 11.8
  3. ความหึงหวง ร้อยละ 10.8
  4. สุราและการบันดาลโทสะ ร้อยละ 9.9
  5. บันดาลโทสะ ร้อยละ 8.6
  6. ความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่า ร้อยละ 8.1
  7. หย่าร้าง ร้อยละ 6.3
  8. ปัญหาสุขภาพจิต ร้อยละ 4.9
  9. สุราและยาเสพติด ร้อยละ 4.7
  10. ปัญหาอื่นๆ อาทิ ความเครียดทางเศรษฐกิจ และการพนัน ร้อยละ 15.6

ผลของความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้กระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ เพศ และชีวิตของผู้ถูกกระทำความรุนแรง โดยผลกระทบต่อร่างกายถือว่าเป็นผลกระทบอันดับแรกๆ ที่เกิดขึ้น

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุการใช้ความรุนแรงในครอบครัวประการหนึ่งก็คือ สาเหตุที่ว่าตนมีความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมที่สร้างบทบาทของหญิงและชาย

สื่อบันเทิงกับความรุนแรงต่อผู้หญิง

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา สื่อบันเทิงไทยมีการนำเสนอละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อดังหรือละครที่ประสบความสำเร็จในการถ่ายทำตลอดกาล โดยบรรดาละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์เหล่านี้บางเรื่องมีการทำซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายเรื่องมีการทำซ้ำหลายครั้ง (มากถึง 5-6 ครั้งในรูปแบบที่แตกต่าง)

ปัญหาของการนำบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหรือละครที่ประสบความสำเร็จนี้คือ การผลิตซ้ำความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง บทประพันธ์หรือละครเหล่านี้ส่วนหนึ่งสร้างขึ้นบนวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ กล่าวคือ บทประพันธ์เหล่านี้ให้ความชอบธรรมแก่ผู้ชายกับพฤติกรรมแบบผู้ชายกระแสหลัก ซึ่งทำให้เกิดการตั้งท่าทีรังเกียจกับคนที่เป็น LGBTQ+ หรือยอมรับการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงหรือสร้างบทบาทของผู้หญิงให้ด้อยกว่าหรือต้องพึ่งพาผู้ชาย

จุดที่น่ากังวลที่สุดก็คือ การให้ความชอบธรรมกับการข่มขืน ละครโทรทัศน์ส่วนหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เก่าหรือละครที่มีชื่อเสียงในอดีตบางเรื่องได้พยายามนำเสนอภาพของความชอบธรรมเกี่ยวกับการข่มขืนในหลายๆ ลักษณะ อาทิ ตัวละครเอกฝ่ายหญิงถูกตัวละครเอกฝ่ายชายข่มขืน กรณีนี้เป็นการใช้การข่มขืนเป็นเงื่อนไขของความรักและเป็นการทำให้การข่มขืนกลายเป็นเรื่องโรแมนติก ซึ่งในตอนสุดท้ายเรื่องก็จะจบลงอย่าง Happy Ending หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ ตัวละครหญิงฝ่ายร้าย (ผู้เขียนลำบากใจมากที่จะเรียกว่านางร้าย) ซึ่งทำเรื่องไม่ดีมาทั้งหมดตลอดทั้งเรื่องอาจจะมีจุดจบคือ การถูกข่มขืน การถูกนำไปค้าประเวณี หรือการติดโรคร้ายแรงทางเพศสัมพันธ์ หรือไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้คือการที่ผู้เขียนบทประพันธ์พยายามนำเสนอภาพของการสั่งสอนและชี้ให้เห็นผลร้ายของการทำตัวเป็นคนไม่ดีตามบทประพันธ์ ปัญหาก็คือ การที่ตัวละครหญิงฝ่ายร้ายถูกข่มขืนกับกลายเป็นเรื่องสะใจหรือที่พึงพอใจของผู้ชม เพราะมองว่าเหมาะสมกับสิ่งเลวร้ายที่ตัวละครนั้น ความเลวร้ายในเรื่องดังกล่าวถูกจัดให้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าการถูกดำเนินคดีหรือถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันตัวละครชายที่ข่มขืนตัวละครหญิงฝ่ายร้ายนี้ก็ไม่ได้รับผลร้ายจากการกระทำ

สถานการณ์ของการฉายวนภาพของความรุนแรงกับผู้หญิงและการข่มขืนในละครไทยเริ่มกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงขาลงของธุรกิจโทรทัศน์ไทยที่หลายๆ ช่องเริ่มนำละครที่เคยได้รับความนิยมกลับมาฉายซ้ำในช่วงเวลาที่ไม่ได้ไพรม์ไทม์ (ช่วงเวลายอดนิยม)

สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ไม่ควรมีใครสมควรถูกข่มขืน สิ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่สุด

นอกจากเรื่องการข่มขืนแล้ว ละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์จำนวนหนึ่งยังให้ความสำคัญหรือกำหนดคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่แบบแผนที่สังคมปรารถนาหรือมาตรฐานความสวยงามไว้กับรูปแบบที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจมากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลายหรือสร้างเรื่องราวที่เสริมสร้างให้ยอมรับความหลากหลาย แน่นอนว่าในปัจจุบันเราเริ่มเห็นผลงานที่นำเสนอในประเด็นนี้แล้วและคาดหวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

อีกรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงที่ปรากฏในละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์คือ การสร้างภาพของการทำร้ายร่างกายของตัวละครฝ่ายหญิงเพื่อแย่งชิงฝ่ายชาย ซึ่งทำให้ภาพของความภราดรภาพในหมู่ผู้หญิงอ่อนแอลง โดยทำให้ผู้หญิงเข้าสู่ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงผู้ชายกัน มากกว่าการสร้างคุณค่าของตัวละครหญิงเอง

การสร้างความตระหนักรู้ต่อความรุนแรงคือเรื่องสำคัญ

ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นปัญหาโดยรวมของสังคม กลไกการสร้างความตระหนักรู้มีส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงที่ยั่งยืนที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม

การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม โจทย์ที่สำคัญจึงมาตกอยู่กับการทำอย่างไรให้สามารถขับเคลื่อนคุณค่าของผู้หญิงและการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงไปสู่สังคมที่ผู้หญิงมีคุณค่าและได้รับการเสริมพลังอย่างเต็มที่

การสร้างความตระหนักรู้ควรจะเริ่มต้นจากการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ให้กับคนในสังคมเข้าใจ แม้ว่าผู้เขียนจะพูดถึงบทประพันธ์เก่าหรือที่เราเรียกว่างานคลาสสิกว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน แต่ในการนำเสนองานดังกล่าวอาจต้องผ่านการปรับปรุงหรืออย่างน้อยที่สุด สื่อควรมีบทบาทในการอธิบายพฤติกรรมดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้ข้อมูลกับผู้เสพสื่อเพื่อให้เขาสามารถตัดสินใจต่อไปได้

บทบาทของสื่อบันเทิงควรเปลี่ยนไป สื่อควรจะต้องสร้างภาพแทนใหม่ให้ผู้หญิงมีความเข้มแข็งมากขึ้นสามารถก้าวออกไปใช้ชีวิตและมีพื้นที่ทัดเทียมกันกับผู้ชาย รวมถึงควรเลิกสร้างสื่อที่ผลักดันหรือสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง ปัญหาสำคัญที่สุดของสื่อปัจจุบันคือ การทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ผู้ชายรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ศักยภาพของผู้ผลิตสื่อไทยสามารถที่จะนำเสนอประเด็นความรักโรแมนติกโดยที่ไม่ต้องมีการข่มขืนหรือการทำร้ายร่างกายกันได้

ในแง่ของรัฐบาลที่ต้องการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมออกไปสู่ต่างประเทศ รัฐบาลอาจจะต้องกลับมาทบทวนก่อนว่า สินค้าที่จะส่งออกนี้มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ที่จะใช้เป็นฐานในการขยายผลและสร้างที่มั่นทางการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อเทียบกับการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมในต่างประเทศที่มีการปรับตัวเข้าสู่บริบทของสังคมใหม่ๆ แล้ว ภาพของการใช้ความรุนแรง การหึงหวงแบบเกินเลย หรือการข่มขืนไม่ควรจะต้องอยู่ในชั้นวางขายสินค้าอีกต่อไป


อ้างอิงจาก