ก้าวต่อไปของสังคมไทยหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อปลายเดือนที่แล้วกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ได้ประกาศใช้บังคับแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แล้วเรียกได้ว่าสังคมได้ก้าวสู่เส้นทางของความเสมอภาคทางเพศไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

ท่ามกลางสถานการณ์และการต่อสู้ขับเคี่ยวมาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่การต่อสู้ในแนวคิดของร่างกฎหมายว่าจะเป็นการจดทะเบียนคู่ชีวิต หรือจะเป็นการสมรสเท่าเทียม จนมาถึงเนื้อหาของกฎหมาย แต่ในที่สุดสังคมไทยก็บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกันที่จะรับรองสถานะของการสมรสเท่าเทียม เพื่อให้รักของเราทุกคนเท่ากัน

ในวาระที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ประกาศใช้แล้วนี้ ผู้เขียนจึงขอพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก่อนจะไปพิจารณาก้าวต่อไปของกฎหมายสมรสเท่าเทียม และก้าวต่อ ๆ ไปของความเสมอภาคทางเพศ ซึ่งเป็นก้าวใหญ่ต่อไปที่สำคัญของสังคมไทย

สาระสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ความสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็คือ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในกฎหมายครอบครัวเดิมที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่รับรองเฉพาะการสมรสของหญิง-ชายเท่านั้น การไม่รองรับการก่อตั้งสถาบันครอบครัวที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีการอุปการะเลี้ยงดูและมีความสัมพันธ์ไม่ได้แตกต่างจากคู่สมรสหญิง-ชาย กฎหมายฉบับนี้จึงต้องการให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถที่จะหมั้นและสมรสกันได้อย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับหญิง-ชาย รวมถึงมีสิทธิและหน้าที่เช่นต่อกันภายใต้สถาบันครอบครัวอย่างเสมอภาค[1]

ในด้านของสิทธิและหน้าที่กฎหมายรับรองไว้ในการสมรสเท่าเทียมยังครอบคลุมถึงสิทธิในหลายลักษณะ ได้แก่

  • สิทธิในการหมั้น การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ได้รับรองสิทธิในการหมั้นของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเป็นการแก้ไขบทบัญญัติในมาตรา 1435[2]
  • การสมรส โดยกฎหมายรับรองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ตามมาตรา 1448[3] โดยเปลี่ยนจากคำว่าชายและหญิงให้กลายเป็นบุคคล เพื่อรับรองว่าไม่ว่าจะเป็นบุคคลในเพศใดก็มีสิทธิในการสมรสเสมอเหมือนกัน นอกจากนี้ การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ยังได้ขยับอายุของผู้มีสิทธิสมรสจาก 17 ปี มาเป็น 18 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบังคับเด็กสมรส ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก[4]
  • การหย่า เมื่อกฎหมายรับรองสิทธิในการสมรสแล้ว กฎหมายก็ได้รับรองสิทธิในการหย่าของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (มาตรา 1516 (1) และ (10)) โดยแก้ไขถ้อยคำเพื่อรองรับเรื่องเหตุนอกกายนอกใจคู่สมรส (adultery) และเรื่องที่คู่สมรสมิอาจมีเพศสัมพันธ์ได้[5]
  • การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สิน การอุปการะเลี้ยงดูระหว่างคู่สมรส การเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ และการรับบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นเงื่อนไขรับรองการดำรงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเช่นเดียวกันกับหญิง-ชาย[6]

นอกเหนือจากรับรองความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว การรับรองสิทธิและหน้าที่ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นเดียวกันกับหญิง-ชายนั้น ยังนำมาสู่การรับรองสิทธิประการอื่น ๆ อาทิ การได้รับมรดกในฐานะคู่สมรส และสิทธิที่ได้รับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส ซึ่งเป็นการได้มาตามผลของกฎหมาย

อย่างไรก็ดี พึงสังเกตว่าการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ ไม่ครอบคลุมไปถึงกรณีที่กฎหมายกำหนดเรื่องครอบครัวและมรดกไว้เป็นการเฉพาะ สิ่งนี้ดูผิวเผินแล้วน่าจะหมายถึง การสมรสและการจัดการมรดกตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามใน เขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นกฎหมายสมรสเฉพาะและมรดกเฉพาะ แต่นอกจากกฎหมายฉบับนี้แล้ว ความสัมพันธ์ทางครอบครัวยังถูกกำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีก อาทิ กฎหมายอุ้มบุญ หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดเรื่องสถานภาพระหว่างบุพการี (parent) กับบุตร กรณีหลังนี้จึงอาจจะเป็นปัญหาที่ต้องมีการถกเถียงต่อไป

อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ ในการแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครั้งนี้ ยังมีลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในกฎหมายให้มีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutrality) อาทิ การเปลี่ยนถ้อยคำจากชายและหญิง ไปเป็นบุคคล หรือเปลี่ยนเป็นผู้หมั้นหรือผู้รับหมั้น ซึ่งลักษณะของถ้อยคำนั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเพศใด ในแง่หนึ่งการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้มีความเป็นกลางทางเพศนี้ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหญิง-ชายด้วย การแก้ไขในลักษณะนี้เป็นการทำให้สิทธิและหน้าที่ไม่ได้จำกัดกับเพศของบุคคลอีกต่อไป

ในอดีตการหมั้นกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของชายที่ต้องส่งมอบของหมั้นให้กับหญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรส แต่การเปลี่ยนถ้อยคำให้เป็นกลางโดยใช้คำว่า ผู้หมั้นและผู้รับหมั้นนี้ทำให้สิทธิและหน้าที่ของกฎหมายไม่ได้ยึดติดกับเพศอีกต่อไป หากหญิงใดพึงพอใจจะหมั้นหมายชายก็ทำได้ หรือชายใดพึงพอใจจะหมั้นหมายหญิงก็ทำได้เช่นกัน ไม่จำเป็นที่การหมั้นจะต้องเกิดขึ้นจากชายหมั้นหมายหญิงอีกต่อไป

ก้าวต่อไปของกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ขณะนี้กฎหมายได้มีผลใช้บังคับแล้ว เรื่องที่ต้องทำยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการยังมีอยู่อีกมาก เพื่อให้สิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเท่าเทียมและเกิดขึ้นได้จริง

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและมีผู้เริ่มกล่าวถึงไว้พอสมควรก็คือ การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ผู้เขียนได้อ่านบทความขนาดสั้นของ ผศ. ดร. เอมผกา เตชะอภัยคุณ เรื่อง “อนาคตของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย: ความท้าทายและแนวทางสู่ความเท่าเทียม”

ผศ. ดร. เอมผกา ได้อธิบายว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ทำให้เกิดหลักการใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในกฎหมายครอบครัวของประเทศไทยมาก่อน อาทิ เรื่องการหมั้นหรือเหตุหย่า ซึ่งประเด็นนี้อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจให้มากขึ้น[7] โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง ไม่ว่าจะเป็นนายทะเบียนหรือผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการสมรส เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญทั้งต่อการใช้และการตีความกฎหมาย รวมถึงการอธิบายให้ประชาชนเข้าใจกฎหมาย จึงอาจต้องมีการทำความเข้าใจกันให้มาก เพื่อไม่ให้การใช้หรือการตีความกฎหมายสวนทางและทำให้การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องศูนย์เปล่าไป

นอกจากนี้ ในมุมมองของผู้เขียน ปัญหาเรื่องการตีความกับนักกฎหมายนี้เป็นเสมือนสิ่งที่เกิดมาคู่กันจริง ๆ เพราะโดยสภาพการเขียนกฎหมายให้รัดกุมจนลดการตีความแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะภาษาไทยที่ถ้อยคำนั้นแทบจะดิ้นได้ทั้งหมด (เราเห็นกันมาเยอะแล้วในอภินิหารการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ) ข้อกังวลอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นด้วยกับคนที่ได้ยกขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือ ในเรื่องเหตุหย่า ได้มีการแก้ไขถ้อยคำในเรื่องเหตุหย่าจากเดิม กฎหมายใช้คำว่า เป็นชู้หรือมีชู้และร่วมประเวณี แต่กฎหมายใหม่ใช้คำว่า กระทำการหรือยอมรับการกระทำเพื่อสนองความใคร่

เหตุที่กฎหมายต้องแก้ไขถ้อยคำก็เพราะว่า แนวคำพิพากษาของศาลประกอบการตีความตามพจนานุกรม ยังจำกัดเฉพาะเพศตรงข้ามหรือก็คือ หญิง-ชาย เท่านั้น หรือพูดให้ง่ายๆ ก็คือ ความคิดที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำนั้นไม่สามารถปรับใช้ให้ตรงกับบริบทปัจจุบันได้ ข้อกังวลนี้ คุณไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ก็ได้อธิบายไว้เหมือนกันว่า อาจจะต้องดูแนวทางการตีความของศาลในอนาคตต่อไป[8]

ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนค่อนข้างสนใจว่า เหตุผลที่คำว่าร่วมประเวณีนำไปใช้กับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้ แล้วผู้ร่างกฎหมายกลับไปเลือกใช้คำที่ไม่รัดกุม ไม่แน่ใจว่าเพราะไม่สามารถตีความถ้อยคำให้ไปถึงได้จริง ๆ หรือเป็นเพราะความรับรู้ที่ครอบงำเหนือถ้อยคำนั้นทำให้ความคิดของคนคับแคบจำกัดอยู่เพียงแค่ว่า ประเวณีเป็นเรื่องของหญิง-ชายเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะนักกฎหมายไทยก็เก่งเรื่องตีความแบบร้อยลิ้นกะลาวน สามารถตีความให้ผีโม่แป้งก็ได้ จะตีความคำว่ารายรับเป็นรายได้ โดยถือว่าเป็นเงินที่รับมาเหมือนกันก็ได้

อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้สิ่งที่ยังต้องคิดกันต่อไปก็คือ จะออกแบบมาตรการอย่างไรมารองรับในการใช้กฎหมายฉบับนี้ให้ตรงกับเจตนารมณ์ในการยกร่าง และตอบสนองต่อสิทธิของประชาชนให้มากที่สุด ในมุมมองของผู้เขียน คิดว่าสิ่งสำคัญที่ต้องเริ่มทำคือ การจัดเตรียมและเผยแพร่คำอธิบายให้ประชาชนรับรู้ คำอธิบายดังกล่าวอาจจะอยู่ในรูปแบบคู่มือหรือวิดีโอก็ได้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องได้รับความรู้ในเรื่องนี้ ทั้งในรูปของคู่มือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือวิดีโอถ่ายทอดความรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองในการปฏิบัติงาน การบังคับใช้กฎหมายก็ล้มเหลว

ก้าวต่อ ๆ ไปของความเสมอภาคทางเพศ

ดังกล่าวมาแล้วว่า การสมรสเท่าเทียมเป็นเพียงก้าวแรกของความเสมอภาคทางเพศ สิ่งต่อไปที่ต้องคำนึงถึงก็คือ จะขจัดกฎหมายที่ยังไม่มีความเป็นกลางทางเพศอย่างไร เพื่อให้สิทธิและความเสมอภาคทางเพศจริง ๆ

โจทย์เบื้องต้นที่อาจจะต้องดำเนินการและเป็นการต่อยอดจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็คือ การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับสิทธิในครอบครัวให้ครบถ้วน นอกจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า ยังมีกฎหมายอุ้มบุญอีกฉบับหนึ่งที่กำหนดเรื่องสถานภาพครอบครัวระหว่างบุพการีกับบุตร

ทว่า กฎหมายดังกล่าวยังคงยึดโยงอยู่กับสถานะทางเพศ (gender status) ของหญิง-ชาย ในสถาบันครอบครัวแบบทวิเพศ ดังปรากฏในมาตรา 19 กำหนดให้การผสมเทียมต้องกระทำต่อ “หญิงที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมาย” และมาตรา 21 กำหนดเงื่อนไขสำคัญของการตั้งครรภ์แทนว่า ต้องกระทำโดย “สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย” ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้ถูกแก้ไขไปพร้อม ๆ กันกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งตราบใดที่กฎหมายยังไม่แก้ไข คู่สมรสที่เป็นคนหลากหลายทางเพศก็อาจจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรโดยใช้วิธีการอุ้มบุญได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ การรับรองเรื่องสัญชาติของคู่สมรสที่เป็นคนไทยกับคนต่างด้าว ในปัจจุบันตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 กำหนดไว้ในมาตรา 9 ว่า “หญิง” ต่างด้าวที่ได้สมรสกับผู้ถือสัญชาติไทย ประสงค์จะเปลี่ยนสัญชาติไทย ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ (การสะกดทางการสำหรับการกระทำต่ออีกคนหนึ่งในทางที่ไม่ดี) ทางเพศ ซึ่งไม่เฉพาะต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่รวมถึงหญิง-ชายทั่วไปด้วย ในกรณีเช่นนี้กฎหมายสัญชาติก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการแก้ไข

นอกเหนือจากกฎหมายทั้งสองเรื่องแล้วที่เกี่ยวข้องกับการสมรสโดยตรง ยังพบว่ากฎหมายไทยมีอีกหลายเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความหลากหลาย อาทิ การเปลี่ยนแปลงเรื่องคำนำหน้านาม สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่กฎหมายอาจจะต้องรับรอง ให้เกิดการเปลี่ยนคำนำนามได้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตัวเอง (Self Determination) ว่าบุคคลพึงใจจะเป็นใคร และตัวตนหรือเพศแบบใด ก้าวนี้อาจจะเป็นตัวอย่างสำคัญของการรับรองความเสมอภาคทางเพศ

ท้ายที่สุด เรื่องที่สำคัญและอาจจะหลงลืมไม่ได้ก็คือ การรับความเสมอภาคทางเพศในรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ (เฉพาะถ้อยคำที่ใช้ต่อ ๆ กันมายาวนาน) ระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ในมาตรา 27 การที่กฎหมายยังใช้คำว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน อาจจะเป็นการลักลั่นกันของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพราะในวรรคก่อนรัฐธรรมนูญยังระบุอยู่เลยว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย 

คำถามคือ เราจะเสมอภาคกันได้อย่างไร หากกฎหมายยังรับรองแค่หญิง-ชาย ถ้าหากรัฐธรรมนูญคำนึงถึงความหลากหลายทางเพศแล้ว ถ้อยคำในรัฐธรรมนูญควรจะระบุหรือไม่ว่าบุคคลไม่ว่าเพศใดย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกัน


เชิงอรรถ

[1] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ

[2] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 4 ถึงมาตรา 12.

[3] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 13.

[4] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …ครั้งที่ 5 (31 มกราคม 2567), 9-10; ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการได้มีการเสนอให้ตัดบทบัญญัติในมาตรา 1448 ส่วนท้าย ซึ่งเปิดโอกาสให้มีสามารถสมรสก่อนอายุ 18 ปีได้ โดยให้ศาลเป็นผู้อนุญาตให้มีการสมรส เนื่องจากข้อยกเว้นดังกล่าวยังคงเปิดโอกาสให้มีการบังคับเด็กสมรส.

[5] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 44 ถึงมาตรา 51.

[6] ดู พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567.

[7] เอมผกา เตชะอภัยคุณ, “อนาคตของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย: ความท้าทายและแนวทางสู่ความเท่าเทียม,” TULAW E-Newsletter, 23 กันยายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567, สืบค้นจาก https://anyflip.com/mcpoh/tbru/.

[8] ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์, “สมรสเท่าเทียม ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง,” the101.world, 19 มิถุนายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.the101.world/marriage-equality-bill/.

ความเป็นจริงของความเสมอภาคทางเพศ: เมื่อสิทธิในรัฐธรรมนูญไม่เป็นจริงในชีวิตจริง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเท่าเทียมทางเพศ” ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่การรับสิทธิในการเลือกตั้งโดยเสมอภาคเท่าเทียม จนไปถึงการรับรองสิทธิในความเท่าเทียมทางเพศ การรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกำหนดห้ามมิให้เลือกปฏิบัติโดยอาศัยเหตุเนื่องจากเพศของบุคคล อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกันกับกฎหมายหลายๆ ฉบับที่ในกฎหมายกับในความเป็นจริงแตกต่างกัน สิทธิความเสมอภาคทางเพศก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ในทางกฎหมายกับในความเป็นจริงอาจจะเดินสวนทางกันอยู่ ด้วยปัจจัยเชิงสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ที่อยู่ภายในสังคม

ทรรศนะทางสังคมที่ยังไม่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศ

สิทธิความเสมอภาคทางเพศนั้นเช่นเดียวกันกับสิทธิต่างๆ ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย กล่าวคือ สิทธิทั้งหลายนั้นไม่ใช่เพียงแค่จะต้องมีการรับรองในฐานะสิทธิทางการเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์คนในสังคมจะต้องมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยด้วย ปัญหาของสังคมไทยที่ผ่านมาคือ ทรรศนะทางสังคมเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศยังคงไม่เป็นจริงมากเท่าใดนัก

จากการสำรวจของธนาคารโลกในปี พ.ศ. 2561 ระบุว่า ในประเทศไทยมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นทั้งในเรื่องการเข้าถึงโอกาสในการทำงาน การรับบริการของรัฐ  การศึกษาหรือการฝึกอบรม และบริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า ร้อยละ 60 ของกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) ร้อยละ 30 ของกลุ่มเลสเบี้ยน และร้อยละ 20 ของกลุ่มเกย์ ถูกเลือกปฏิบัติในการทำงาน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ใบสมัครของตนถูกปฏิเสธด้วยเหตุแห่งการมีอัตลักษณ์เป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[1]

นอกจากนี้ UNDP และ Love Frankie ได้ทำการสำรวจเกี่ยวรูปแบบการถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ พบว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยมีแนวโน้มจะถูกเลือกปฏิบัติได้อย่างน้อย 7 รูปแบบ ได้แก่ (1) โดนล้อเลียนหรือดูถูกหรือต่อว่า (2) ถูกทอดทิ้งจากกลุ่ม/สังคม (3) โดนไล่ออกจากงานหรือสูญเสียโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (4) โดนล่วงละเมิดทางเพศ (5) โดนทำร้ายร่างกาย (6) โดนให้ออกจากที่อยู่อาศัย และ (7) โดนตำรวจมาตรวจจับ โดยรูปแบบการเลือกประบัติที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด 4 อันดับ คือ รูปแบบที่ (1) – (4)[2]

ส่วนหนึ่งของกระบวนการเลือกปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นในสภาวะที่สังคมกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้และพยายามปรับตัว สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่อุปสรรคใหญ่ของสังคมนั้นมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เข้ามาผสมโรง ทำให้การก่อให้เกิดทรรศนะทางสังคมที่ตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศไม่เกิดขึ้น อาทิ การกีดกันสิทธิในการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือการยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ที่มีความหลากหลายในสังคมอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างเพศในสังคมซ้ำๆ

ความเสมอภาคทางเพศที่ไม่ใช่แค่มิติหญิงชาย: การปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเพศเสียใหม่

การทำความเข้าต่อประเด็นความเสมอภาคทางเพศในปัจจุบัน ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ “เพศ” เสียใหม่ โดยในปัจจุบันเมื่อพูดถึงเรื่องความเสมอภาคทางเพศแล้ว อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอธิบายเพศในปัจจุบันไม่ควรถูกอธิบายผ่านเพศโดยกำเนิด (คิดจากฐานคิดว่าเพศมีแค่หญิงชายและใช้อวัยวะเพศเป็นเกณฑ์) แต่ควรทำความเข้าใจบทบาทเกี่ยวกับเพศในแง่ของเพศสภาพ (Gender) และเพศวิถี (Sexuality) ของบุคคลมากกว่า ซึ่งทำให้เพศมีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ เลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวล ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงของสังคมที่ในปัจจุบันเพศไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศหญิงหรือเพศชายอีกต่อไป

ฉะนั้น เมื่อการทำความเข้าใจและอธิบายความหมายเกี่ยวกับเพศเสียใหม่แล้ว จะเห็นได้ว่ามิติของความเสมอภาคทางเพศจึงไม่ใช่แค่มิติความเสมอภาคระหว่างเพศหญิงและเพศชายอีกต่อไป แต่ควรพิจารณาความเสมอภาคทางเพศบนมิติของความหลากหลายและโอบรับความหลากหลายที่เพิ่มมากขึ้น

การอธิบายกรอบคิดเรื่องเพศในลักษณะนี้รัฐควรจะต้องนำไปปรับเปลี่ยนในเชิงนโยบาย รวมไปถึงมุมมองของรัฐที่มีต่อเรื่องเพศเสียใหม่ นอกจากนี้การจะรองรับความเสมอภาคดังกล่าวได้นั้น กฎหมายก็ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการรับรองสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งกฎหมายใดที่ขัดขวางหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวก็ควรจะต้องถูกแก้ไขให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน

แม้สังคมจะก้าวไปข้างหน้า แต่กฎหมายล้าสมัยยังคงถูกใช้บังคับอยู่

กฎหมายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่คอยย้ำเตือนต่อวัฒนธรรมความไม่เสมอภาคทางเพศ และคอยขัดขวางการสร้างทรรศนะทางสังคมที่ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ในปัจจุบันมีกฎหมายบางฉบับที่ยังเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงไทยที่สมรสกับชายต่างด้าว อาทิ กฎหมายสัญชาติซึ่งกำหนดให้สามีต่างด้าวที่ประสงค์จะต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ในขณะที่ภรรยาต่างด้าวของชายชาวไทยไม่ถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน[3] ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวทำให้คู่สมรสของผู้หญิงมีความยุ่งยากมากกว่าคู่สมรสของผู้ชาย

อีกกรณีหนึ่งคือ การจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เพศกำเนิดเป็นเพศเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิดังกล่าวเอาไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กรณีดังกล่าวนี้เป็นภาพสะท้อนของกฎหมายที่ล้าสมัยที่ยังดำเนินอยู่ในสังคมไทย

ปัจจุบันการสมรสเท่าเทียมได้ถูกผลักดันทั้งจากฝ่ายการเมือง ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป โดยพยายามผลักดันให้รัฐบาลและพรรคร่วมผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่รัฐบาลพยายามเลี่ยงที่จะไปออกกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิต ซึ่งสถานะที่แตกต่างนี้นำไปสู่หนทางของการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมบนพื้นฐานทางเพศเช่นกัน[4]

แม้กฎหมายจะรับรองความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย แต่สังคมทำให้ผู้หญิงไม่เท่ากับผู้ชาย

ความไม่เท่าเทียมทางเพศปรากฏอยู่ในหลายลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงให้อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่า อาทิ กรณีผู้หญิงมุสลิมในภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา หลักประกันทางสังคม การบริการทางสุขอนามัย และโอกาสทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เนื่องจากวัฒนธรรมประเพณีและสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ อีกทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงเป็นฝ่ายแบกรับภาระในการวางแผนครอบครัว[5]

ในกรณีพื้นฐานที่สุด ความเหลื่อมล้ำทางเพศปรากฏอยู่ในรูปแบบของการควบคุมเรื่องการแต่งกาย อาทิ ในกรณีของข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 20 กำหนดให้ในเวลาว่าความ ทนายความหญิงต้องใส่กระโปรงและเสื้อสีสุภาพไม่ฉูดฉาด ซึ่งหากทนายความผู้หญิงคนใดฝ่าฝืนอาจจะถูกลงโทษหรือได้รับผลร้าย เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนมรรยาททนายความ โดยข้อบังคับดังกล่าวถูกใช้มาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปีแล้ว[6]

แม้ว่าในปัจจุบันข้อบังคับดังกล่าวจะถูกวินิจฉัย โดย คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ให้มีการดำเนินการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าว[7] แต่กรณีนี้อาจจะไม่เพียงพอ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเข้าสู่ห้องพิจารณาคดีผู้พิพากษายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในฐานะผู้ควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในห้องพิจารณาคดี ซึ่งบางครั้งผู้พิพากษาอาจจะเห็นว่าการใส่กระโปร่งของทนายความหญิง อาจจะขัดกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในห้องพิจารณา รวมถึงในปัจจุบันสภาทนายความอยู่ในระหว่างการฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการดังกล่าว[8]

ความเสมอภาคที่แท้จริงต้องได้รับการสนับสนุน

ความเสมอภาคไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่สิทธิทางกฎหมาย แต่การยกระดับชีวิตของบุคคลควรลงไปถึงมิติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิง (ผู้ชายในบางบริบท และผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ให้มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดคือ ผู้หญิงต่อบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวัน อาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางคือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[9]

ฉะนั้นการออกแบบนโยบายจึงควรพิจารณาต้นทุนการใช้ชีวิตที่เกิดขึ้นกับคนเพศนั้นๆ ประกอบร่วมด้วย เพราะผู้หญิงอาจจะต้องคำนึงถึงภาระและต้นทุนในการเลี้ยงลูก หรือคนที่มีเพศหลากหลายอาจจะต้องคำนึงถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขที่เพิ่มเติมกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายในบางบริบท อาทิ การแปลงเพศ เป็นต้น[10]

ทางออกและหนทางสู่สังคมเสมอภาคทางเพศ

ท้ายที่สุด หนทางของการเสริมสร้างความเสมอภาคทางเพศต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยพิจารณาปัจจัย 3 ด้าน ประกอบกัน ได้แก่ (1) การสร้างความตระหนักรู้และความรับรู้เกี่ยวกับเพศในสังคม โดยต้องลงไปแก้ที่หลักสูตรการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในวิชาสุขศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองและทำให้เกิดความเข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น (2) การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางเพศ และ (3) การกำหนดนโยบายใหม่ๆ เพื่อเสริมพลังและให้ตอบโจทย์แก่ประชาชนในทุกๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม


เชิงอรรถ

[1] ธนาคารโลก, ‘การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของกลุ่ม LGBTI ในประเทศไทย’ (ธนาคารโลก, 17 พฤศจิกายน 2561) <http://documents.worldbank.org/curated/en/527451521822208295/pdf/124554-v1-THAI- Executive-Summary-Thai-23-March-format.pdf> สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2561 อ้างใน จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ และปิยะวรรณ แก้วศรี, ‘รายงานการศึกษา การทบทวนความก้าวหน้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558’ (เสนอต่อกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) 2563) 20.

[2] UNDP และ Love Frankie, ‘ผลการสำรวจระดับชาติเกี่ยวกับทัศนคติด้านรสนิยมทางเพศอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศในประเทศไทย’ (นำเสนอในการสัมมนา Being LGBTI in Asia: Thailand Country Dialogue ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2561) อ้างใน เพิ่งอ้าง 20.

[3] ดวงพร เพชรคง, ‘ความเท่าเทียมระหว่างเพศ’ (สภาผู้แทนราษฎร, ไม่ปรากฏวันที่) <https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/download/article/article_20181012153459.pdf> อ้างใน เพิ่งอ้าง 19.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รักเราไม่เท่ากัน : พิจารณามุมมองของ สมรสเท่าเทียม และ จดทะเบียนคู่ชีวิต’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1137> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[5] (เชิงอรรถ 1) 19.

[6] iLaw, ‘ทนายหญิงจะใส่กางเกงว่าความได้แล้ว? ย้อนไทม์ไลน์ สภาทนายความ-เนติฯ ไม่แก้ข้อบังคับแต่งกาย’ (iLaw, 8 ธันวาคม 2565) <https://ilaw.or.th/node/6330> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[7] ประชาไท, ‘วลพ. มีคำสั่ง สภาทนาย – เนติบัณฑิตฯ แก้กฎระเบียบ ให้ ‘ทนายหญิง’ สวมกางเกง – กระโปรง ว่าความได้’ (ประชาไท, 1 ธันวาคม 2565) <https://prachatai.com/journal/2022/12/101681> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[8] วศินี พบูประภาพ, ‘สภาทนายความยื่นฟ้อง วลพ. หลังมีคำวินิจฉัยให้แก้กฎการแต่งกายเท่าเทียม’ (Workpointtoday, 7 สิงหาคม 2565) <https://workpointtoday.com/220807-lgbtlawyers/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[9] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

[10] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง : มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2 สิงหาคม 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1194> สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2566.

เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง: มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่มีประชาชนคนใดที่จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทว่า การได้รับผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ดี ในภาพกว้างของสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมนี้มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำอยู่ ทั้งในเชิงรายได้ ทรัพย์สิน รวมไปถึงสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่ากัน ซึ่งภายใต้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำมีคนบางกลุ่มที่จะถูกโครงสร้างความเหลื่อมล้ำกดทับมากกว่า ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกกดทับก็คือ “ผู้หญิง”

เศรษฐกิจกับเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจ

การก่อตัวของแรงงานเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่แยกกระบวนการผลิตออกจากการผลิตในหน่วยครัวเรือน เพื่อเข้าสู่การผลิตในหน่วยอุตสาหกรรม โดยทำให้เกิดกระบวนการแบ่งงานกันทำระหว่างหญิงชาย รวมถึงทำให้เกิดการแบ่งบทบาทหญิงชาย โดยกำหนดให้ผู้หญิงมีบทบาทในครัวเรือน ในขณะที่ผู้ชายมีบทบาทในพื้นที่สาธารณะและการทำงาน[1]

ในบริบทของประเทศไทยอาจจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก คือการกำหนดบทบาทของผู้หญิงในสังคม โดยเฉพาะเมื่อในเวลาต่อมาประเทศไทยมีการรับเอาคติแบบวิคตอเรียน (Victorian) เข้ามา ผ่านทางราชสำนัก ก่อนภาพดังกล่าวจะถูกผลิตซ้ำในสังคมและกลายเป็นแบบแผนของผู้หญิงที่ควรจะเป็นในสังคม[2] ทำให้สังคมไทยมีลักษณะคล้ายๆ กับสังคมตะวันตกที่มีการแบ่งบทบาทของชายและหญิงออกจากกัน โดยผู้หญิงถูกสังคมมอบหมายบทบาทให้เป็นคนดูแลเรื่องในบ้านและมีหน้าที่ดูแลลูก ในขณะที่ผู้ชายถูกกำหนดให้มีบทบาทในสังคมในฐานะของแรงงานและการออกไปทำงานนอกบ้าน

ผลของการแบ่งพื้นที่ระหว่างเรื่องในบ้านและเรื่องนอกบ้านอย่างเด็ดขาด ทำให้การทำงานของผู้หญิงไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงานที่สร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากงานของผู้ชาย[3] อย่างไรก็ดี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปและกระแสของประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในพื้นที่สาธารณะ (นอกบ้าน) ทำให้ผู้หญิงมีพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าสู่ตำแหน่งทางการงานต่างๆ ตั้งแต่ในภาคเอกชนและราชการ

ทว่า การเข้ามาทำงานของผู้หญิงทั้งในภาคเอกชนและราชการ ก็ยังมีประเด็นอีกมากที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้หญิงในทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความเท่าเทียม

ผู้หญิงกับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มากกว่าผู้ชาย

แม้ว่าในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุน รวมถึงสามารถมีความก้าวหน้าในตำแหน่งต่างๆ ได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย  อย่างไรก็ดี ปัญหาความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายยังคงมีอยู่โดยปรากฏอยู่ในรูปแบบอื่นๆ อาทิ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างหญิงชาย โดยจากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2561 พบว่าช่องว่างระหว่างค่าจ้างหญิงชายเทียบเป็นสัดส่วนกับค่าจ้างของหญิงไม่ได้ขึ้นกับระดับการศึกษา กล่าวคือ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใดๆ ลูกจ้างเอกชนชายมีค่าจ้างสูงกว่าหญิงร้อยละ 22-57 ในปี พ.ศ. 2530-2539 ร้อยละ 12-50 ในปี พ.ศ. 2540-2549 และร้อยละ 11-32 ในปี พ.ศ. 2550-2559 สถานการณ์ดีขึ้นสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ แต่กลับแย่ลงสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี[4] สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงมีความเสียเปรียบผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี

ปัจจัยส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้ผู้หญิงได้รับค่าจ้างต่ำกว่ามาจากวิธีคิดเกี่ยวกับผู้หญิงที่ว่า ผู้หญิงนั้นไม่ได้มีสถานะเป็นแรงงานที่เท่าเทียมกับผู้ชาย เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของการทำงานและการออกจากงานของผู้หญิงเมื่อมีครอบครัว ทำให้บริษัทส่วนใหญ่อาจจะให้ค่าจ้างกับผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้ในด้านของแรงงานไร้ฝีมือในกระบวนการผลิตปกตินั้น ผู้ชายกับผู้หญิงก็อาจจะได้ค่าตอบแทนแตกต่างกันบ้าง แต่แนวโน้มที่ค่าตอบแทนจะปรับมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงมากขึ้น สวนทางของแรงงานมีฝีมือที่ความแตกต่างระหว่างค่าจ้างของผู้หญิงและผู้ชายที่จบปริญญาตรีมีสูงมาก ทั้งๆ ที่การทำงานไม่ได้มีความแตกต่างในเชิงกายภาพ[5] 

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านค่าใช้จ่ายจะพบว่า ผู้หญิงมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นโดยเหตุผลธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายประจำวันที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ อาทิ ค่าใช้จ่ายจากผ้าอนามัย โดยหากคำนวณราคาผ้าอนามัยแบบมาตรฐานเฉลี่ยชิ้นละ 5 บาท โดยค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้าอนามัยจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 75 – 175 บาท ซึ่งเมื่อคิดจากระยะเวลาการมีประจำเดือนของผู้หญิงที่จะมีประจำเดือนจนอายุ 40 ปี ผู้หญิงจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับผ้าอนามัยประมาณ 84,000 บาท ตลอดช่วงชีวิต[6] ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเกิดเป็นผู้หญิง

ภาพของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงชายยังมีประเด็นอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก โดยหากขยับไปสู่ประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงในบทบาทของแม่

บทบาทของแม่ กับมุมหนึ่งของการเป็นแม่ที่ไม่ถูกมองเห็น

อีกหนึ่งเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ การเป็นแม่ แม้ว่าสังคมจะยกย่องบทบาทของการเป็นแม่ว่าเป็นความสำคัญและเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งที่ควรยกย่อง ถึงขนาดมีการมอบรางวัลแม่ดีเด่นต่างๆ ทว่า บทบาทของการเป็นแม่นั้นมีภาระในทางตรงกันข้าม การที่สังคมกำหนดบทบาทความเป็นแม่ให้เป็นหน้าที่เฉพาะของผู้หญิงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้สถานะความเป็นแม่ถูกสังคมคาดหวังจนกลายเป็นภาระที่กดทับผู้หญิง

บทบาทของการเป็นแม่เปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก นอกจากการจะต้องโฟกัสและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปให้กับลูก ทำให้ผู้หญิงมีภาระมากกว่าปกติ รวมถึงการมีลูกนั้นทำให้ผู้หญิงอาจจะต้องละทิ้งการโฟกัสชีวิตในด้านอื่นๆ เพื่อมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก ดังจะเห็นได้ว่า มีผู้หญิงจำนวนมากที่ออกจากงานภายหลังการมีลูก ซึ่งกลายเป็นว่า ผู้หญิงต้องละทิ้งโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับการเลี้ยงลูก เพราะในมุมมองของบริษัทจะมองว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานคือ การแบ่งบทบาทระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ขาดออกจากกัน ซึ่งในความเป็นจริง การจะทำแบบนั้นได้มีต้นทุนที่จะต้องแบกรับ เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝากลูกไว้กับเนิร์สเซอรีหรือการจ้างคนอื่นมาเลี้ยงลูก เป็นต้น

ดังนั้น ทางเลือกของผู้หญิงจึงถูกบีบให้เหลือเพียงแค่ “ถ้าอยากมีลูกก็ไม่ต้องเน้นการทำงาน แต่ถ้าอยากก้าวหน้าในการทำงาน ก็ไม่ต้องมีลูก” ซึ่งในท้ายที่สุด หากผู้หญิงอยากจะกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่งอาจจะต่อไม่ติดกับงานอีกแล้ว รวมถึงอาจจะไม่มีความก้าวหน้าในการงานอีกต่อไป[7]

ในทางเศรษฐกิจ การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือ ผู้หญิงในบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวันอาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางก็คือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[8]

เช่นเดียวกันหากผู้หญิงเปลี่ยนไปเดินทางด้วยวิธีการอื่น ต้นทุนของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นก็ยังคงมีอยู่จากการเดินทางหลายต่อ สิ่งนี้สะท้อนว่าผู้หญิงในบทบาทความเป็นแม่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วยขนส่งสาธารณะสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีลูกและผู้ชาย

นอกจากนี้ ปัญหาของผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่อีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าผู้หญิงจะสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีระหว่างเรื่องการทำงานและการเลี้ยงลูก แต่ในบทบาทของชีวิตสมรสภายใต้สถาบันครอบครัวที่ผู้หญิงได้รับ คือ การเป็นแม่ศรีเรือนหรือแม่บ้านแม่เรือนตามที่สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงจะต้องทำงานบ้านด้วย ซึ่งการทำงานบ้านนี้เป็นงานที่ไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงาน เพราะในวิธีคิดแบบเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ได้มองว่าการทำงานบ้านเป็นงานที่มีผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่การทำงานบ้านเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิตแรงงานในระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง

ปัญหาทั้งหมดจะยิ่งซ้ำเติมผู้หญิง เมื่อต้องดำรงบทบาทของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่จะต้องดูแลลูกคนเดียวโดยปราศจากการสนับสนุนจากคู่สมรส ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุว่าคู่สมรสเสียชีวิตหรือหย่าขาด เพราะทำให้ผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่ต้องรับต้นทุนแต่เพียงฝ่ายเดียว

การสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับคนในสังคม

การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมของหญิงชายนั้นต้องแก้ไขปัญหาในหลายระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิงให้มากยิ่งขึ้น

ในเชิงนโยบายรัฐมีส่วนเข้ามาช่วยเหลือได้มากในหลายๆ วิธีการ ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การจัดให้มีรัฐสวัสดิการที่จะช่วยเข้ามาแบ่งเบาภาระและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในเรื่องต่างๆ เช่น การจัดให้มีสวัสดิการผ้าอนามัยเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้หญิงในแง่มุมหนึ่ง หรือการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรผ่านการได้รับเงินช่วยเลี้ยงดูบุตรในลักษณะต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในบริบทของการทำงานในกรณีของผู้หญิงโดยเฉพาะกรณีของการเป็นแม่ ซึ่งเวลาการทำงานควรจะถูกปรับให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับกับผู้หญิงที่ต้องการให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือ กรณีของประเทศอังกฤษ ได้มีการตรา Children and Family Act 2007 ขึ้นมา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิแก่คนทำงานได้อย่างยืดหยุ่นทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย

ต้องถือว่ารัฐมีส่วนสำคัญในการโอบอุ้มและให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงและแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแม่ เพราะการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมานั้นต้องใช้ทรัพยากรที่มาก การจะปล่อยให้บทบาทการเลี้ยงดูเด็กภายใต้สถาบันครอบครัวเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากความช่วยเหลือหรือประคับประคองโดยรัฐอาจจะไม่เหมาะสม

แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ปัญหาของระบบเศรษฐกิจที่กดทับผู้หญิงบางส่วนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสถานะทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบทบาทความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรม ในความเป็นจริงการเป็นแม่หรือสวมบทบาทแม่นั้นไม่ควรจะจำกัดเฉพาะผู้หญิง แต่หน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็กให้เกิดและเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีนั้นควรเป็นบทบาทของทุกคนในสถาบันครอบครัวทั้งไม่ว่าจะเป็นสามีภริยาหรือครอบครัวในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงสังคมก็ควรจะมีบทบาทในการช่วยเหลือในการเลี้ยงดูเด็กเช่นกัน


เชิงอรรรถ

[1] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, ‘เศรษฐศาสตร์จากมุมมองสตรีนิยม’ (การสัมมนานักวิชาการรุ่นเยาว์ ณ ห้องประชุมคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547) 6.

[2] การรับอิทธิพลแบบวิคตอเรียนเข้ามาในสังคมไทยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปฏิรูปรัฐราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ประเทศไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกผ่านการเข้าทำความตกลงกับอังกฤษ.

[3] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, (เชิงอรรถ 1) 6-7.

[4] วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, ‘3 ทศวรรษ ของการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานไทย’ (TDRI, 5 มีนาคม 2561) <https://tdri.or.th/2018/03/3decade-thai-labour-market/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] นุชประภา โมกข์ศาสตร์, ‘สร้างสวัสดิการขั้นพื้นฐานเพื่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ด้วยผ้าอนามัยที่ทุกคนเข้าถึงได้’ (ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต, 29 มีนาคม 2565) <https://think.moveforwardparty.org/article/welfare/2217/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[7] ดู พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล และ วิโรจน์ สุขพิศาล, ‘ผศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา : เมื่อการเป็นผู้หญิง ไม่ได้ทำให้คนเสียเปรียบเท่าการเป็นแม่’ (the 101.world, 23 เมษายน 2562) <https://www.the101.world/manasikan-interview/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[8] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the 101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.