วัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดที่ขยายช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม เหตุการณ์สำคัญที่จะต้องหยิบมาพูดถึงคือ เหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในหน้าการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ทั้งสอง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการลอยนวลพ้นผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการลอยนวลพ้นผิดนี้สร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยในหลายๆ ด้าน ทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังถ่างช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น

การลอยนวลพ้นผิด : อภิสิทธิ์ปลอดความผิด

การลอยนวลพ้นผิด (impunity) หรือ อภิสิทธิ์ปลอดความผิด ถูกอธิบายในฐานะของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการหยิบยื่นความรับผิดชอบให้แก่ผู้กระทำความรุนแรง ซึ่งได้กระทำลงในนามของอำนาจรัฐต่อประชาชน[1]

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิด คือ การใช้ความรุนแรงโดยรัฐกับประชาชนโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ โดยหลักการทั่วไปแล้ว รัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นใหญ่ มีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่แบบในสังคมไทย กลับเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรง และ การลอยนวลพ้นผิด เกิดขึ้นและดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันได้ในบางกลุ่มคน ซึ่งมักจะมีมายาคติและคำพูดที่ใช้กันจนชินว่า “มันก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ”

หากนับตั้งแต่การอภิวัฒน์สยามหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่องมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยต้องเผชิญกับการใช้ความรุนแรงในหลายๆ ลักษณะ  อิทธิพล โคตะมี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการลอยนวลพ้นผิดและความรุนแรงได้สรุปว่า

“งานศึกษาความรุนแรงบางชิ้นเสนอว่า คนไทยที่เกิดหลังปี 2475 เป็นต้นมา จะต้องมีชีวิตผ่านปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอย่างน้อยถึง 14 รูปแบบ ในแง่นี้จึงไม่น่าแปลกใจหากคนไทยจะคุ้นชินกับความรุนแรงและเห็นมันตั้งแต่ยามค่ำจนยันกลางวันแสกๆ”[2]

ตัวอย่างของความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยรัฐ (และเครือข่ายของรัฐ) ที่ชัดเจนก็คือ การใช้กำลังปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือการสังหารหมู่กลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519

นอกจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว ความรุนแรงดังกล่าวยังเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เกิดการรัฐประหาร และมีการใช้กำลังกับผู้เห็นต่างทางการเมือง การอุ้มฆ่า การซ้อมทรมาน การดำเนินคดี และการสังหารผู้มีความเห็นต่างทางศาสนา โดยปฏิบัติการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจด้วยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ความรุนแรงที่หลุดลอยไปจากการตรวจสอบ : วัฒนธรรมหนึ่งของสังคมไทย

คำถามสำคัญและน่าสนใจก็คือ “ทำไมถึงไม่มีการดำเนินการใดๆ กับบุคคลเหล่านี้เลย?”

คำตอบของคำถามดังกล่าว คือ ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหารนั้น สิ่งที่ตามมา คือ การนิรโทษกรรมในทางการเมือง ทั้งการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นความรับผิดใดๆ ที่ตนเคยได้ทำ หรือ การรับรองให้การกระทำใดๆ ของตนล้วนชอบด้วยกฎหมายและด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้กระทำ ซึ่งรวมแล้วมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเกือบ 23 ฉบับ โดยแบ่งเป็น พ.ร.ก. ได้ 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ[3] ซึ่งบรรดากฎหมายเหล่านี้เป็นที่มาของการลอยนวลพ้นผิด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดความรู้สึกว่า การลอยนวลพ้นผิดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และดูเหมือนจะเป็นเรื่องชั่วคราว  แต่ทว่า การยกเว้นความผิดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่โดยทั่วไปกฎหมายไม่อาจให้กระทำได้ เพราะเป็นการทำลายความยุติธรรมและการปกครองแบบนิติรัฐ

ในทุกๆ ครั้งที่มีการลอยนวลพ้นผิดย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสังคมโดยไร้ข้อจำกัดด้านเวลา และกลายเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย รวมทั้งกลายเป็นการปูทางให้มีการใช้ความรุนแรงในนามของรัฐในกาลข้างหน้าต่อไป[4]

ภาพที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ภายใต้คำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 นั้น ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งใดๆ ก็ตาม ซึ่งถูกรับรองความชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะไม่ถูกตรวจสอบ และแม้จะพ้นยุคสมัยของ คสช. ไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ยังคงรับรองความชอบด้วยกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผลิตซ้ำการลอยนวลพ้นผิดยังค่อยๆ ถูกแทรกซึมเข้ามาในสถานการณ์ปกติ ผ่านกลไกทางกฎหมายต่างๆ ที่ให้อำนาจรัฐยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายโดยอาศัยข้ออ้างในด้านความมั่นคง อาทิ การห้ามมิให้ศาลปกครองตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองใดๆ ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน[5] หรือการพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยข้ออ้างในการตีความที่ไม่ชัดเจนและมีขอบเขตกว้าง อาทิ การพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของรัฐบาลปัจจุบัน โดยให้เหตุผลด้านประโยชน์สาธารณะและความมั่นคง[6] ตัวอย่างดังกล่าวเป็นเพียงการลอยนวลพ้นผิดที่มีการรองรับโดยกฎหมายเท่านั้น

ซึ่งยังไม่รวมถึงกรณีเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายอาศัยอำนาจที่ไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพของการสร้างอภิสิทธิ์พิเศษแก่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการตามคำสั่งรัฐในการกระทำการใดๆ ที่จะละเมิดสิทธิของประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมายและในนามของกฎหมายได้

ภาพดังกล่าว คือ การฉายซ้ำของการลอยนวลพ้นผิดที่ได้แปรรูปแบบ และสะท้อนภาพกลายเป็นวัฒนธรรมหรือเป็นสถาบันของสังคมไทยอย่างหนึ่งที่กำหนดให้รัฐมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม[7] ซึ่งไม่เพียงแต่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของสังคมไทยได้ถูกทำให้ปกติอย่างถูกกฎหมายและในนามของกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการบั่นทอนระบอบนิติรัฐ

การลอยนวลพ้นผิดสัมพันธ์อย่างไรกับความเหลื่อมล้ำ

นิติรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะโดยหลักการแล้ว นิติรัฐเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อ่อนแอจากผู้มีอำนาจ[8] แต่การที่กฎหมายเข้ามาทำหน้าที่ตรงกันข้ามเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก เมื่อคนคนหนึ่งทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะขาดแรงจูงใจที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น และไม่พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดการทำร้ายนั้น[9] บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้อาจจะละเลยความใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งมิเพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้ ในบางกรณีผู้มีอำนาจอื่นๆ ก็อาจจะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าแทรกแซง รวมถึงโน้มน้าวการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น เพื่อให้ได้ผลสมปรารถนาที่พวกเขาต้องการ อาทิ การติดสินบน และการใช้อิทธิพลหรืออำนาจ

กรณีที่สอง การทำให้สถานะของมนุษย์ที่ควรจะเท่ากันอย่างน้อยในทางกฎหมายเกิดความไม่เท่ากัน (กับคนอื่นๆ) เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้ถูกทำลายลงจากการลอยนวลพ้นผิด (หรืออย่างน้อยก็พยายามจะทำให้ลอยนวลพ้นผิด จนกว่าจะถูกตัดสินโดยศาล)

ตัวอย่างของสถานการณ์ที่ส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจนี้ เช่น ในคดีของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล การที่ศาลไม่ได้ยึดถือหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นบริสุทธิ์ (แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรอง) และเรียกหลักประกันในอัตราที่สูงหรือสร้างข้อยุ่งยาก ผิดกับคดีในลักษณะอื่นๆ ที่ศาลไม่ได้เรียกหลักประกันหรือให้เงื่อนไขที่ทำให้มีอิสระในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ต้องหาในคดีเหล่านี้ต้องอาศัยหลักประกันที่มีทุนทรัพย์เป็นจำนวนมากมาใช้ในการต่อสู้คดี ซึ่งในกรณีนี้หากรัฐบาลใดๆ ใช้กลไกอำนาจรัฐในการบังคับลงโทษกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ผู้เรียกร้องเรื่องสิทธิและเสรีภาพ หรือผู้ต่อสู้เพื่อสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า การบั่นทอนนิติรัฐนั้นกำลังดำเนินปฏิบัติการบางอย่างที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำ

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิดนั้นสร้างผลร้ายต่อสังคม มิเพียงแต่บั่นทอนนิติรัฐ แต่กลับให้อำนาจรัฐในการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และวัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดก็เชื่อมโยงเข้ากับสถานะทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นในทุกขณะ


เชิงอรรถ

[1] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 4 อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง, ‘กฎหมายในความรุนแรง ความรุนแรงในกฎหมาย: การลอยนวลพ้นผิดทางกฎหมายของรัฐไทยในกรณีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง’ (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) 58.

[2] อิทธิพล โคตะมี, ‘ลอยนวลพ้นผิด: สำรวจ ‘วัฒนธรรมเฉพาะ’ เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล’ (Way Magazine, 10 ธันวาคม 2562) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[3] ปรับแก้ตัวเลขจากบทความของ อิทธิพล โคตะมี ซึ่งในบทความที่กล่าวถึงนี้มีการนับจำนวนกฎหมายไว้ 22 ฉบับ; เพิ่งอ้าง.

[4] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 6; อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง (เชิงอรรถ 1) 60.

[5] บทวิพากษ์ของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์; ดู ธีระ สุธีวรางกูร, ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้บังคับ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 150.

[6] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ช่องโหว่กฎหมาย PDPA เมื่อ ‘Big Brother’ จ้องคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชน’ (Way Magazine, 26 กรกฎาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ยกเว้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลที่อาจตามมา’ (กรุงเทพธุรกิจ, 10 สิงหาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ‘รัฐลอยนวล’ (มติชนออนไลน์, 3 กันยายน 2561) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[8] โจเซฟ อี. สติกลิตซ์, ราคาของความเหลื่อมล้ำ – The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future (สฤณี อาชวานันทกุล แปล, สำนักพิมพ์ Openworlds 2556) 318.

[9] เพิ่งอ้าง 318.

Pridi Economic Focus: การศึกษาและราคาของการขยับสถานะทางสังคม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเหลื่อมล้ำ” เป็นปัญหาสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอื่นๆ ในสังคมไทย และหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คือ ปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเครื่องมือในการขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม (Social Mobility) หมายถึง การที่คน ครอบครัว และครัวเรือนเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม โดยเปลี่ยนจากตำแหน่งแห่งที่ในสังคมที่เป็นอยู่[1] ซึ่งอาจจะเป็นการเลื่อนสถานะทางสังคมขึ้นหรือลง[2]

การขยับสถานะทางสังคมนั้นส่วนใหญ่มักถูกอธิบายโดยเกี่ยวข้องกับเรื่องทางชนชั้น/สถานะใดๆ[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาการขยับสถานะทางสังคมที่วัดโดยเปรียบเทียบช่วงเวลา ซึ่งพิจารณาความสามารถของเด็กที่จะได้สัมผัสกับชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่ หรืออาจจะวัดในลักษณะช่วงเวลาว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร และเวลา 10 ปีต่อมาจะมีสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร เป็นต้น

นอกจากนี้ การขยับสถานะทางสังคมยังมีส่วนเกี่ยวพันกับการประเมินผลกระทบภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลลัพธ์ต่อชีวิตของแต่ละบุคคล[4]

การขยับสถานะทางสังคมกับความเหลื่อมล้ำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยการลดความเหลื่อมล้ำมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจน ในขณะที่การขยับสถานะทางสังคมมีวัตถุประสงค์เพื่อการให้คนคนหนึ่งสามารถที่จะขยับสถานะทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีขึ้น[5]

ในการประเมินการขยับสถานะทางสังคมนั้น มีดัชนี (Index) ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักในการขยับสถานะทางสังคม ประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 10 ด้าน ได้แก่ การสาธารณสุข (Health) การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Education Accesess) การมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม (Education Quality and Equity) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learing) การได้รับความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) การเข้าถึงเทคโนโลยี (Technology Acceses) การเข้าถึงโอกาสในการทำงาน (Work Opportunities) การได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรม (Fair Wages) การมีเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม (Working Conditions) และการมีสถาบันที่สนับสนุนการเข้าถึงโอกาส (Inclusive Institutions)

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก ที่มา : World Economic Forum (2020)
ที่มา: World Economic Forum (2020)

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังขาดปัจจัยอันเหมาะสมที่จะทำให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม โดยกลุ่มของเด็กที่ครอบครัวมีสถานะทางเศรษฐกิจเปราะบาง จะส่งผลต่อการเผชิญกับอุปสรรคในการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี[6] โดยปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจคือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และการมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มรายได้มากขึ้นในอนาคต

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นการวัดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการเข้าถึงการศึกษา โดยทำให้เกิดความมั่นใจว่า ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยปราศจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อป้องกันมิให้เด็กต้องขาดโอกาสทางการศึกษา[7]

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่าระดับการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทยในแง่โอกาสการเข้าถึงการศึกษา ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 51 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 59 คะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (upper-middle-income group average) เพียงนิดหน่อย (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน) ในขณะที่ในด้านคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษา ประเทศไทยนั้นอยู่ในลำดับที่ 44 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 44 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน)

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย ที่มา : World Economic Forum (2020)

ที่มา : World Economic Forum (2020)

ในบริบทของประเทศไทย ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เคยอธิบายว่า “เด็กนักเรียนยากจนจะมีต้นทุนในการเรียนที่สูงกว่าคนอื่น คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงไม่มีเงินเก็บ แต่ยังเป็นหนี้ด้วย เขาต้องมีรายได้วันนี้ ถ้าไม่มีรายได้วันนี้ การมาเรียนของเขาจะมีมูลค่าหลายพันบาท เด็กยากจนส่วนใหญ่ยังมีเงินติดลบและมีค่าเสียโอกาส”[8] ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสำคัญว่า ราคาของการศึกษาของเด็กไทยตลอดชีวิตคิดเป็นมูลค่าเท่าใด

ราคาของการศึกษาของเด็กไทยที่พ่อแม่จะต้องใช้จ่ายเพื่อให้ลูกสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น มีค่าใช้จ่ายอยู่หลายๆ ส่วนประกอบกัน ได้แก่ ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าทำกิจกรรม ค่าภาษีสังคมอื่นๆ ค่ากวดวิชา เป็นต้น และเมื่อเข้าสู่ช่วงการศึกษามหาวิทยาลัยแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เช่น ค่าหอพัก เป็นต้น จากการสำรวจของธนาคารกรุงศรี พบว่าเมื่อจำแนกค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ที่ต้องใช้ในการสนับสนุนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรีต่อเทอมดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

ตารางแสดงค่าใช้จ่ายต่อเทอมตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มหาวิทยาลัย (ปริญญาตรี)

ระดับการศึกษาค่าใช้จ่าย (บาท/เทอม)
อนุบาล20,000 – 80,000
ประถม20,000 – 150,000
มัธยม50,000 – 300,000
มหาวิทยาลัย70,000 – 500,000
ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา.

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านลักษณะของสถาบันการศึกษายังมีส่วนสำคัญต่อการผันแปรของราคาค่าใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าการศึกษาสำหรับเด็กวัยเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับปริญญาตรีไว้ว่า หากเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 ล้านบาท หากเลือกศึกษาในสถาบันการศึกษาของเอกชนค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท และหากเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติ จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 20.1 ล้านบาทตลอดระยะเวลาเล่าเรียน[9]

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาของการเข้าสู่การศึกษาทางการศึกษาของประเทศไทยไม่ได้เป็นราคาน้อยๆ ซึ่งหากครอบครัวใดมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากจนย่อมมีอุปสรรคในการเข้าสู่การศึกษามาก และแม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะรับรองสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาเอาไว้ให้เด็กสามารถได้เรียนฟรี 12 ปี[10] โดยเป็นหน้าที่ของรัฐในการทำให้เด็กสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ฟรี ทว่า ราคาของการศึกษานั้นแพงกว่าเพียงแค่ค่าเล่าเรียน แต่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ตามมา การที่รัฐธรรมนูญเพียงแต่รับรองเรื่องการศึกษาฟรี แต่ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว การศึกษาฟรีก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเข้าถึงการศึกษาจริงๆ

ท้ายที่สุด สิ่งนี้อาจจะต้องทำให้ประเทศไทยกลับมาทบทวนว่า การศึกษาควรจะเป็นเรื่องที่ฟรีและทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริงๆ โดยปราศจากการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ แล้ว การศึกษาที่ฟรีก็อาจจะเป็นเพียงการศึกษาฟรีบนกระดาษเท่านั้น ซึ่งอาจจะถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องทบทวนเรื่องนโยบายสวัสดิการด้านการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง


เชิงอรรถ

[1] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, ‘การขยับสถานะทางสังคม’ (มติชนออนไลน์, 22 ตุลาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/columnists/news_1720579#:~:text=อธิบายง่ายๆ%20ว่าในเชิง,สถานะนั้น%20เขามักจะ> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[2] World Economic Forum, ‘The Global Social Mobility Report 2020 Equality, Opportunity and a New Economic Imperative’ (World Economic Forum, January 2020) <https://www3.weforum.org/docs/Global_Social_Mobility_Report.pdf> accessed 21 August 2022, p9.

[3] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (เชิงอรรถ 1).

[4] เพิ่งอ้าง; World Economic Forum (no 2.), p9.

[5] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘โลกเหลื่อมล้ำกับการเปลี่ยนลำดับชั้นทางเศรษฐกิจ’ (The Momentum, 24 กุมภาพันธ์ 2563) <https://themomentum.co/inequality-with-economic-mobility/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[6] World Economic Forum (no 2.), p9.

[7] World Economic Forum (no 2.), p16.

[8] Way Magazine, ‘โอกาสทางการศึกษา บันไดสู่การเลื่อนชั้นทางสังคม’ (สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.), 28 กรกฎาคม 2563) <https://research.eef.or.th/โอกาสทางการศึกษา-บันไดส/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[9] ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ‘จ่ายหนักแค่ไหน? เมื่อเทศกาลเปิดเทอมใกล้เข้ามา (ฉบับพ่อแม่มือใหม่)’ (ธนาคารกรุงศรี) <https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/life/children/จายหนกแคไหน-เมอเปดเทอม> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2563.

[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54.

วิกฤตโควิดกับวังวนของปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือที่รู้จักกันในชื่อ โควิด-19 (Covid-19) ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก นับเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ที่ท้าทายการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผลกระทบในทางเศรษฐกิจและสังคมที่ตามมาทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งได้สร้างผลกระทบครั้งใหม่แบบที่ไม่ได้ประสบมาตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540  การระบาดของโรคอุบัติใหม่ในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างปัญหาใหม่ แต่ยังได้เร่งรัดให้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีอยู่เดิมในสังคมไทยบางประการให้แสดงอาการออกมา และรุนแรงเกินกว่าจะรับมือได้ในช่วงวิกฤต ในบทความนี้ขอพาทุกท่านสำรวจเศรษฐกิจและสังคมไทยในวังวนของโควิด-19

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในวังวนของโควิด-19

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ผ่านมาตราการทางสาธารณสุขที่เข้มงวดต่าง ๆ ซึ่งต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับบุคลากรสาธารณสุขของประเทศที่ได้ช่วยให้สถานการณ์การระบาดคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาสถานการณ์การระบาดรัฐบาลได้เลือกใช้มาตรการที่รุนแรงโดยล็อคดาวน์ (Lock down) ประเทศ จำกัดการเข้าออกของคนต่างชาติ (ซึ่งรวมถึงประชาชนชาวไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในต่างประเทศ) เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดในประเทศ ผลจากมาตรการดังกล่าวทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีรายได้ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2562[1] หากเปรียบเทียบรายได้จากนักท่องเที่ยวในปี 2562 กับปี 2563 จะเห็นได้ว่า รายได้ดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ภาพที่ 1) ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นมีความสำคัญ โดยคิดเป็นร้อยละ 20 ของรายได้ประชาชาติ และเป็นร้อยละ 20 ของรายได้ครัวเรือน[2]  ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวจึงอยู่ในฐานะแหล่งรายได้หลักของประเทศ เปรียบได้กับเป็นหนึ่งในสามเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ภาพ 1 แสดงรายได้นักท่องเที่ยวไทยเดือนมกราคม – กันยายน 2563

ที่มา: รายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวเดือนกันยายน 2563, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา.

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แม้ว่ารัฐบาลจะได้พยายามกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวด้วยนโยบายต่าง ๆ แต่เนื่องจากการท่องเที่ยวของประเทศไทยผูกติดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ฉะนั้น ตราบใดที่การเข้ามาของนักท่องเที่ยวยังคงถูกจำกัดอยู่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวย่อมเกิดขึ้นได้ยาก

สำหรับในด้านการส่งออกของประเทศในปีที่แล้ว แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสจนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วก็ตาม แต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกเป็นวงกว้าง จำนวนผู้ป่วยทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการบริโภคสินค้าในต่างประเทศยังไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยในเดือนมิถุนายนติดลบร้อยละ 23[3] แม้ในช่วงหลังเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา สถานการณ์การส่งออกจะดีขึ้นและการส่งออกติดลบน้อยลง แต่อุตสาหกรรมอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกนั้น ส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานของประเทศ  กิจการจำนวนมากในประเทศต้องปิดกิจการลง เนื่องจากลดจำนวนพนักงานลง หรือจำกัดชั่วโมงการทำงาน ทำให้มีคนตกงานในระดับ 5–6 ล้านคน และแม้ในช่วงหลังเดือนมิถุนายน สถานการณ์การระบาดจะดีขึ้นและสามารถควบคุมได้ แต่ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบอยู่ เนื่องจากรัฐบาลยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาได้ ผลกระทบในทางเศรษฐกิจนี้ยังดำเนินต่อไป[4]  และในช่วงปลายปีที่มีการระบาดครั้งใหม่ ซึ่งอาจจะซ้ำเติมสภาวะที่เผชิญอยู่ได้  ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีอย่างรุนแรงรายได้ประชาชาติในปี 2563 คาดว่าจะหดตัวลงใกล้ร้อยละ 10 ทั้งที่มีการเยียวยาจากรัฐบาลจำนวนมาก[5] จากการศึกษาของ ดร.สมชัย จิตสุชน แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่า ผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มบุคคลแยกตามระดับการศึกษา โดยเป็นผลการสำรวจออนไลน์โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดังแสดงตามภาพที่ 2

ภาพที่ 2 ผลกระทบต่อรายได้ของโควิด-19 แยกตามระดับการศึกษา

ที่มา: ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส, รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563.

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในข้างต้นแล้วโควิด-19 ยังได้สร้างผลกระทบในทางเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ อีก และยังได้สร้างผลกระทบในทางสังคมในหลายประการด้วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและสังคมไทยนั้นมีสาเหตุมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมดั้งเดิมของประเทศไทย วิกฤตโควิด-19 นี้เป็นเพียงตัวเร่งให้ปัญหานั้นปรากฏขึ้น

เมื่อโควิด-19 มา ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยก็พุด

ดร.บัณฑิต นิจถาวร ได้กล่าวถึงความอ่อนแอของสังคมไทย ก่อนหน้าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเมื่อเกิดการระบาดขึ้นมา บรรดาปัญหาทั้งหลายนั้นก็ได้ปรากฏขึ้นมาและรุนแรง ประหนึ่งเมื่อน้ำลดต่อก็พุด  ความอ่อนแอของสังคมไทยนั้นมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการ และช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ[6]

ประการแรก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าประเทศไทยจะมีอัตราความเหลื่อมล้ำลดลง เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ด้านรายได้และรายจ่าย แต่รายได้และรายจ่ายไม่ใช่เกณฑ์เดียวเท่านั้นที่ใช้ในการพิจารณาความเหลื่อมล้ำ  ในทางตรงกันข้ามการพิจารณาความเหลื่อมล้ำ ควรพิจารณาจากการกระจายตัวของความมั่งคั่งหรือการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งหากพิจารณาจากเกณฑ์นี้ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งอยู่ในกลุ่มที่สูงสุดในโลก[7]

นอกจากนี้ สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ให้โอกาสการพัฒนาชีวิตของคนที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะระหว่างคนจน/คนชั้นกลางระดับร่าง และคนชั้นกลางระดับสูง/คนรวย[8] เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัส ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจึงแสดงออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม  ภาพของผู้ปกครองจะต้องจัดหาเครื่องมือเพื่อให้บุตรหลานเข้าถึงการเรียนการสอนทางออนไลน์ หรือภาพของคนไร้บ้านที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ หรือภาพที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การที่ประชาชนของประเทศจากทั้งหมดประมาณ 67 ล้านคน มีประชาชนถึง 40 ล้านคน ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากรัฐ[9]

ในขณะที่ประชาชนประสบภาวะว่างงานและรายได้ของครัวเรือนที่ลดลง ตรงกันข้าม รายจ่ายของครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่เพิ่มจากการทำงานที่บ้าน  ในทางสังคม ระดับความเครียดและความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยจากการสำรวจออนไลน์โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ในวันที่ 27 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 (ภาพที่ 3) พบว่าเกือบร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อเช่นในช่วงต่ำสุดของวิกฤตจะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ลำบากมากจนเกินไปได้ไม่เกิน 3 เดือน

ภาพที่ 3 ระยะเวลาที่ดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ลำบากเกินไป (ร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม)

ที่มา: ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส, รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563.

ประการที่สอง ประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการที่จะสนับสนุนการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระบบราชการของประเทศไทยนั้นยึดติดกับกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก  ทว่าเมื่อเกิดการระบาดเกิดขึ้น กฎเกณฑ์แบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ เช่น การประชุมผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายไทย ทำให้รัฐบาลต้องตราพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ขึ้นมารับรองการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  นอกจากนี้ การขาดประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการนั้นเกิดจากบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่สร้างข้อจำกัดแก่การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและยับยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทยนั้นหดตัวลงร้อยละ 7.8 (ภาพที่ 4) ซึ่งปัจจัยมาจากการพยายามควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกบ้านและการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากร้านค้าตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และผู้บริโภคไม่สามารถสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ได้ เพราะกฎหมายห้ามไว้ เป็นต้น

ภาพที่ 3 การเติบของอุตสาหกรรมสุราในประเทศไทย

ที่มา: Euromonitor International, Passport Alcoholic Drinks in Thailand, Euromonitor International (August 2020).

ปัญหาอีกประการของระบบราชการ คือ ระบบราชการนั้นพึ่งพาเอกสารและกระดาษมากเกินไป  เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัส ไม่ใช่เพียงเอกชนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนราชการก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ข้าราชการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยทำงานอยู่กับบ้าน แต่เนื่องจากวิถีการทำงานของข้าราชการที่ผ่านมา ทำงานบนเอกสารผ่านหนังสือราชการเป็นหลัก  เมื่อต้องทำงานแยกกันตามบ้านพักของแต่ละคน การทำงานจึงดำเนินไปไม่สะดวก ทำให้หลาย ๆ กิจกรรมยังต้องติดต่อสื่อสารที่สำนักงานอยู่ และบางกิจกรรมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เลย

ประการที่สาม ช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ กล่าวคือ การขยายตัวของธุรกิจในประเทศไทยกระทำผ่านการควบรวมซื้อกิจการที่ไม่ได้เป็นการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่  ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจึงมีกำลังการผลิตเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าของเท่านั้น จึงไม่มีนวัตกรรมหรือสินค้าใหม่ ๆ ที่จะแข่งขันกับตลาดโลกในอนาคตได้ 

สำหรับช่องว่างนี้ ดร.บัณฑิต นิจถาวร อธิบายว่า “เกิดจากระบบแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ที่เป็นผลจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไม่มีการพัฒนา ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการลงทุนใหม่ ไม่มีสินค้าใหม่ ๆ ที่จะไปแข่งขันกับต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้  ขณะเดียวกันภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ก็ได้รับการปกป้องในการทำธุรกิจในประเทศ จนทำให้การทำธุรกิจในประเทศมีการแข่งขันน้อย ธุรกิจขนาดใหญ่มีอิทธิพลมากจากสัดส่วนตลาดที่มีสูงและความใกล้ชิดกับผู้ทำนโยบาย สิ่งเหล่านี้ทำให้การแข่งขันที่มีน้อยเป็นข้อจำกัดต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจจากต่างประเทศ ผลคือไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศโดยผู้เล่นรายใหม่และเศรษฐกิจเสียโอกาส นี่คืออีกประเด็นที่ลืมไม่ได้และต้องแก้ไข เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว[10] ซึ่งหากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่า ปัญหาในข้อนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสขึ้นมาภายในประเทศ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นของเอกชนเพียงกลุ่มหนึ่ง เมื่อเอกชนรายนั้นได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส อุตสาหกรรมนั้นก็จะได้รับผลกระทบไปหมด ประกอบกับการส่งออกของประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มที่

ดังจะเห็นได้ว่า ความอ่อนแอทั้งสามประการข้างต้นนั้นส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจและคุณภาพของชีวิตของสังคมไทยอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้ซ้ำเติมความอ่อนแออันเป็นรากฐานของเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่างมาก

ในบทความนี้ได้พาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในวังวนของโควิด-19 และชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นระยะสั้น อันเกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัส  ทว่าวิกฤตนี้เป็นผลมาจากความอ่อนแอที่ดำเนินมายาวนาน  สิ่งที่ต้องช่วยกันคิดต่อไปคือ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามในบทความต่อไป


เชิงอรรถ

[1] พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย, “ผลกระทบของ COVID-19 ต่อประเทศไทย ในปัจจุบันและอนาคต,” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564, จาก https://thaipublica.org/2020/11/pipat-65/.

[2] สมชัย จิตสุชน, “ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส,” รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563, จาก https://tdri.or.th/2020/12/inequality-in-thai-society-turning-the-covid-19-crisis-into-an-opportunity/, น. 5.

[3] ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร.

[4] สมชัย จิตสุชน, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 5.

[5] เพิ่งอ้าง, น. 5.

[6] บัณฑิต นิจถาวร, “ปีที่อยากลืม…แต่ลืมไม่ได้,” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563, จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651729

[7] สมชัย จิตสุชน, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 2 – 3.

[8] เพิ่งอ้าง , น. 3 – 4.

[9] บัณฑิต นิจถาวร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

[10] บัณฑิต นิจถาวร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงระบบภาษีอากรที่เป็นธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ไม่เพียงแต่ผลงานในด้านการเมืองการปกครองเท่านั้น  การปรับปรุงภาษีอากรเพื่อความเป็นธรรมของสังคมโดยยึดหลัก “มีมากเสียมาก มีน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย” ตามหลักการเก็บภาษีอากรของประเทศในระบอบประชาธิปไตย[1] ก็เป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของคณะราษฎร ที่ได้ลงมือทำหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

ระบบภาษีของสังคมไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ประเทศสยามมีการจัดเก็บภาษีทางตรงจากประชาชนหลายอย่าง ซึ่งสร้างภาระแก่ประชาชนและเป็นต้นทุนแก่การประกอบอาชีพของประชาชน อาทิ ภาษีรัชชูปการ ซึ่งเป็นเงินช่วยราชการตามที่กำหนดโดยเรียกเก็บจากชายฉกรรจ์ที่มีอายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี[2] (บรรลุนิติภาวะแล้ว) ที่มิได้รับราชการทหารหรือได้รับการยกเว้นเป็นรายบุคคล[3] โดยจะเก็บปีละ 4 บาท (บางภาคเสีย 6 บาท) โดยเงินค่ารัชชูปการนั้นเริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  หรือภาษีสมพัตสร (อากรค่าสวน) ซึ่งเป็นเงินที่รัฐเก็บจากจำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภท (เช่น ขนุน เงาะ กระท้อน และมะไฟ เป็นต้น) โดยจะเก็บเป็นรายปี

ระบบการจัดเก็บภาษีแต่เดิมนั้นไม่ได้คำนึงถึงความสามารถในการเสียภาษีของผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด อาทิ ภาษีรัชชูปการนั้นจัดเก็บกับบุคคลที่บรรลุนิติภาวะทุกคน ไม่ว่าจะเศรษฐีหรือยากจน ก็ต้องเสียภาษีรัชชูปการในอัตรา 4 บาทต่อปีเช่นกัน และหากบุคคลใดไม่เสียภาษีตามวันกำหนด นายอำเภอมีอำนาจที่จะยึดทรัพย์สมบัติของบุคคลนั้นเพื่อขายทอดตลาด เพื่อให้ได้เงินที่จะต้องเสีย และค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดด้วย แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีทรัพย์สมบัติเพียงพอแก่การจะชำระภาษีรัชชูปการนายอำเภอมีอำนาจที่จะสั่งให้เอาตัวบุคคลนั้นไปใช้งานโยธาตามที่ทางการกำหนดไว้เป็นระยะเวลา 30 วัน[4]

นอกจากภาษีรัชชูปการและภาษีสมพัตสรแล้ว ยังมีภาษีอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากที่เก็บกับประชาชนในขณะนั้น เช่น อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อย และภาษีไร่ยาสูบ เป็นต้น ซึ่งภาษีแต่ละประเภทนั้นสร้างภาระให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก โดยจากการสำรวจของคาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลสยามจ้างให้สำรวจเศรษฐกิจในชนบทในปี พ.ศ. 2473 พบว่า ภาษีซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมนั้นเป็นการซ้ำเติมให้ประชาชนโดยเฉพาะชาวนาที่มีความยากลำบากจากการทำนาที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ยังต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลอีก ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวนาและคนในชนบทยากลำบาก[5]

การยกเลิกและปรับปรุงภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ

เมื่อคณะราษฎรได้เข้ามาบริหารประเทศไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้มีนโยบายที่จะปรับปรุงภาษีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งในขณะนั้นนายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีดำริจะยกเลิกภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ โดยกระทรวงการคลังได้ออกแถลงการณ์เพื่อให้ประชาชนทราบในการยกเลิกภาษีบางประเภท และเสนอร่างประมวลรัษฎากรอันเป็นหลักการเก็บภาษีใหม่[6]

โดยภาษีที่รัฐบาลเสนอยกเลิกนั้น ได้แก่ ภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรค่าสวน ภาษีไร่อ้อย และภาษีไร่ยาสูบ ซึ่งภาษีแต่ละประเภทนั้นสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลเป็นจำนวนมาก (ตารางที่ 1) แต่ภาษีดังกล่าวเป็นการเก็บจากประชาชนทางตรงหลายอย่างซึ่งเป็นภาระแก่ประชาชน[7] และได้มีการปรับปรุงภาษีบางประเภทให้มีลักษณะเหมาะสมขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้รัฐบาลมีแหล่งรายได้ที่มีประสิทธิภาพและไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 1 : แสดงประเภทภาษีที่ยกเลิกและมูลค่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้

ประเภทภาษีมูลค่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้
ภาษีรัชชูปการคิดเป็นเงิน  6,800,000 บาท  
อากรค่านาคิดเป็นเงิน  5,400,000 บาท  
อากรสวนคิดเป็นเงิน  320,000 บาท
ภาษีไร่อ้อยคิดเป็นเงิน  18,500 บาท
ภาษีไร่ยาสูบคิดเป็นเงิน  60,000 บาท
รวมภาษีอากรเป็นเงิน12,598,500 บาท

ที่มา:  รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17/2481, น. 950.

ตารางที่ 2 : แสดงประเภทภาษีที่ยกเลิกและมูลค่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้

ประเภทภาษีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงและมูลค่าเงินภาษีที่อาจจัดเก็บได้
ภาษีเงินได้ซึ่งประมาณว่าจะได้เพิ่มราว 280,000 บาท
ภาษีการค้าซึ่งเปลี่ยนมาเรียกว่า “โรงค้า” จะได้เพิ่มราว 380,000 บาท  
ภาษีธนาคารซึ่งได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเสียใหม่และมิได้คำนวณในทางเพิ่ม
อากรซึ่งประมาณได้เพิ่มราว 1,850,000 บาท
รวมภาษีอากรปรับปรุงใหม่เป็นเงิน2,510,000 บาท

ที่มา:  รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17/2481, น. 950.

แม้จะยังมีเงินขาดอยู่อีกบ้างจากการยกเลิกและปรับปรุงภาษีไป รัฐบาลในขณะนั้นได้ตระหนักถึงข้อนี้ดี และได้หาวิธีการชดเชยภาษีที่เสียไป โดยรัฐบาลได้ดำเนินวิธีการหาภาษีอากรที่เก็บจากทางอ้อมเป็นส่วนใหญ่เพื่อชดเชย และรัฐบาลได้ดำเนินวิธีการหาภาษีทางตรงที่เก็บใหม่ ซึ่งก็คือ “อากรมหรสพ” ซึ่งรัฐบาลจัดเก็บตามอัตราค่าเข้าดูการมหรสพจากผู้เข้าดูมหรสพนั้น ๆ จะเก็บภาษีเป็นรายได้เพิ่มขึ้นได้อีกราวปีละ 200,000 บาท และรัฐบาลจะได้มีการพิจารณาเพิ่มภาษีอากรประเภทค่าธรรมเนียมบางชนิดซึ่งจะได้เสนอเป็นพระราชบัญญัติต่อไป[8]

หลักการของการจัดเก็บภาษีใหม่ตามประมวลรัษฎากร

หลักการใหม่ของประมวลรัษฎากรนั้น นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ได้แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“รัฐบาลได้แถลงไว้ว่าจะปรับปรุงภาษีให้เป็นธรรมแก่สังคมนั้น…รัฐบาลได้ถือหลักโดยคำนึงถึงความสามารถในการเสียภาษีของราษฎรตามส่วนซึ่งราษฎรจะเสียได้ หลักในเรื่องความแน่นอน หลักความสะดวก และหลักประหยัดค่าใช้จ่าย และคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนในทางการเมืองเป็นสิ่งประกอบการพิจารณา ด้วยความรู้สึกของประชาชนนั้นมิใช่จะคำนึงถึงความรู้ของคนชั้นเดียว ได้พยายามนึกถึงความรู้สึกของคนทุกชั้น สิ่งใดที่จะคิดเก็บภาษีก็เป็นไปในทำนองซึ่งหวังว่า ผู้ซึ่งสามารถเสียภาษีได้นั้น คงจะเสียสละเพื่อความเจริญของท้องที่และของประเทศชาติ”

จากคำกล่าวของนายดิเรก ชัยนาม จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของรัฐบาลในขณะนั้นโดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปรารถนาที่จะให้ระบบภาษีใหม่นี้มีหลักการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายภาษี (Ability to pay) ของประชาชนผู้รับภาระภาษี ซึ่งระบบภาษีก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบภาษีที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักการดังกล่าว แต่มุ่งใช้ภาษีในลักษณะของการสร้างความมั่งคั่งให้กับรัฐบาล 

กล่าวคือ ในอดีต การจัดเก็บภาษีหลายประเภทจึงไม่มุ่งคำนึงว่า ผู้รับภาระภาษีมีความสามารถที่จะเสียภาษีดังกล่าวหรือไม่ ดังเช่น ภาษีรัชชูปการที่บังคับเก็บจากชายฉกรรจ์วัย 18-60 ปี ทุกคนในพระราชอาณาจักร  แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบภาษีตามประมวลรัษฎากรนั้นภาษีเงินได้ที่ได้รับการปรับปรุงทำให้มีผู้ต้องเสียภาษีน้อยลงจากเดิม 3 ล้านคน ตามพระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463 มาเป็นเพียง 2 หมื่นคน จากจำนวนประชาชนทั้งสิ้น 14 ล้านคน[9]

ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบแล้วแม้จำนวนผู้เสียภาษีจะลดลง และรัฐได้รับเงินภาษีลดลง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นธรรมในสังคมแล้ว การจัดเก็บภาษีตามระบบใหม่นั้นย่อมดีกว่าแน่นอน ในส่วนของรายได้ของรัฐบาลที่ขาดไปนั้น รัฐบาลได้ใช้วิธีสร้างภาษีประเภทใหม่และเก็บภาษีจากฐานอื่นแทน เช่น ภาษีทางอ้อม และภาษีมรดก เป็นต้น 

ในท้ายที่สุดนี้ ผลของการริเริ่มปฏิรูประบบภาษีของคณะราษฎรในวันนั้นยังคงเป็นรากฐานสำคัญของระบบภาษีของประเทศไทยในปัจจุบัน ประมวลรัษฎากรที่ได้ร่างไว้ในครั้งนั้นยังคงใช้สืบเนื่องกันมาผ่านการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับยุคสมัยในปัจจุบัน สิ่งนี้เป็นข้อยืนยันถึง “ผลของการที่ก่อสร้างไว้ดีแล้ว ย่อมไม่สูญหาย”


เชิงอรรถ

[1]   สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : สุขภายใจ, 2552), น. 196.

[2]   พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463, มาตรา 4.

[3]   พระราชบัญญัติลักษณการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463, มาตรา 5; กำหนดบุคคลเอาไว้ 5 ประเภท ไม่ต้องเสียภาษีรัชชูปการ คือ ประเภทที่ 1 ได้แก่ พระภิกษุ สามเณร บาทหลวง และผู้สอนศาสนาอิสลาม และประเภทที่ 2 ได้แก่ ทหารบก ทหารเรือ ตำรวจภูธร ตำรวจพระนครบาลที่ประจำการ และทหารกองหนุนบางชั้นบางประเภท ประเภทที่ 3 ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัต และแพทย์ประจำตำบล ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนพิการทุพลภาพที่ไม่สามารถจะประกอบการหาเลี้ยงชีพได้เอง และประเภทที่ 5 คนพวกอื่น ๆ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นเป็นการเฉพาะ.

[4]   พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2463, มาตรา 11.

[5]   คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, แปลโดย ซิม วีระไวทยะ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2525), น. 32.

[6]   สุพจน์ ด่านตระกูล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 197-198.

[7]   รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17/2481, น. 950.

[8]   รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17/2481, น. 951.

[9]   ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์ จำกัด, 2526), น. 491-492.