ก้าวต่อไปของสังคมไทยหลังกฎหมายสมรสเท่าเทียม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อปลายเดือนที่แล้วกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ได้ประกาศใช้บังคับแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แล้วเรียกได้ว่าสังคมได้ก้าวสู่เส้นทางของความเสมอภาคทางเพศไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

ท่ามกลางสถานการณ์และการต่อสู้ขับเคี่ยวมาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่การต่อสู้ในแนวคิดของร่างกฎหมายว่าจะเป็นการจดทะเบียนคู่ชีวิต หรือจะเป็นการสมรสเท่าเทียม จนมาถึงเนื้อหาของกฎหมาย แต่ในที่สุดสังคมไทยก็บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกันที่จะรับรองสถานะของการสมรสเท่าเทียม เพื่อให้รักของเราทุกคนเท่ากัน

ในวาระที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ประกาศใช้แล้วนี้ ผู้เขียนจึงขอพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก่อนจะไปพิจารณาก้าวต่อไปของกฎหมายสมรสเท่าเทียม และก้าวต่อ ๆ ไปของความเสมอภาคทางเพศ ซึ่งเป็นก้าวใหญ่ต่อไปที่สำคัญของสังคมไทย

สาระสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ความสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็คือ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในกฎหมายครอบครัวเดิมที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่รับรองเฉพาะการสมรสของหญิง-ชายเท่านั้น การไม่รองรับการก่อตั้งสถาบันครอบครัวที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีการอุปการะเลี้ยงดูและมีความสัมพันธ์ไม่ได้แตกต่างจากคู่สมรสหญิง-ชาย กฎหมายฉบับนี้จึงต้องการให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถที่จะหมั้นและสมรสกันได้อย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับหญิง-ชาย รวมถึงมีสิทธิและหน้าที่เช่นต่อกันภายใต้สถาบันครอบครัวอย่างเสมอภาค[1]

ในด้านของสิทธิและหน้าที่กฎหมายรับรองไว้ในการสมรสเท่าเทียมยังครอบคลุมถึงสิทธิในหลายลักษณะ ได้แก่

  • สิทธิในการหมั้น การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ได้รับรองสิทธิในการหมั้นของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเป็นการแก้ไขบทบัญญัติในมาตรา 1435[2]
  • การสมรส โดยกฎหมายรับรองสิทธิในการสมรสของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ตามมาตรา 1448[3] โดยเปลี่ยนจากคำว่าชายและหญิงให้กลายเป็นบุคคล เพื่อรับรองว่าไม่ว่าจะเป็นบุคคลในเพศใดก็มีสิทธิในการสมรสเสมอเหมือนกัน นอกจากนี้ การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ยังได้ขยับอายุของผู้มีสิทธิสมรสจาก 17 ปี มาเป็น 18 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบังคับเด็กสมรส ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก[4]
  • การหย่า เมื่อกฎหมายรับรองสิทธิในการสมรสแล้ว กฎหมายก็ได้รับรองสิทธิในการหย่าของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (มาตรา 1516 (1) และ (10)) โดยแก้ไขถ้อยคำเพื่อรองรับเรื่องเหตุนอกกายนอกใจคู่สมรส (adultery) และเรื่องที่คู่สมรสมิอาจมีเพศสัมพันธ์ได้[5]
  • การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สิน การอุปการะเลี้ยงดูระหว่างคู่สมรส การเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ และการรับบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นเงื่อนไขรับรองการดำรงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเช่นเดียวกันกับหญิง-ชาย[6]

นอกเหนือจากรับรองความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว การรับรองสิทธิและหน้าที่ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นเดียวกันกับหญิง-ชายนั้น ยังนำมาสู่การรับรองสิทธิประการอื่น ๆ อาทิ การได้รับมรดกในฐานะคู่สมรส และสิทธิที่ได้รับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส ซึ่งเป็นการได้มาตามผลของกฎหมาย

อย่างไรก็ดี พึงสังเกตว่าการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ ไม่ครอบคลุมไปถึงกรณีที่กฎหมายกำหนดเรื่องครอบครัวและมรดกไว้เป็นการเฉพาะ สิ่งนี้ดูผิวเผินแล้วน่าจะหมายถึง การสมรสและการจัดการมรดกตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามใน เขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นกฎหมายสมรสเฉพาะและมรดกเฉพาะ แต่นอกจากกฎหมายฉบับนี้แล้ว ความสัมพันธ์ทางครอบครัวยังถูกกำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีก อาทิ กฎหมายอุ้มบุญ หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดเรื่องสถานภาพระหว่างบุพการี (parent) กับบุตร กรณีหลังนี้จึงอาจจะเป็นปัญหาที่ต้องมีการถกเถียงต่อไป

อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ ในการแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครั้งนี้ ยังมีลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในกฎหมายให้มีความเป็นกลางทางเพศ (gender neutrality) อาทิ การเปลี่ยนถ้อยคำจากชายและหญิง ไปเป็นบุคคล หรือเปลี่ยนเป็นผู้หมั้นหรือผู้รับหมั้น ซึ่งลักษณะของถ้อยคำนั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเพศใด ในแง่หนึ่งการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้มีความเป็นกลางทางเพศนี้ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหญิง-ชายด้วย การแก้ไขในลักษณะนี้เป็นการทำให้สิทธิและหน้าที่ไม่ได้จำกัดกับเพศของบุคคลอีกต่อไป

ในอดีตการหมั้นกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของชายที่ต้องส่งมอบของหมั้นให้กับหญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรส แต่การเปลี่ยนถ้อยคำให้เป็นกลางโดยใช้คำว่า ผู้หมั้นและผู้รับหมั้นนี้ทำให้สิทธิและหน้าที่ของกฎหมายไม่ได้ยึดติดกับเพศอีกต่อไป หากหญิงใดพึงพอใจจะหมั้นหมายชายก็ทำได้ หรือชายใดพึงพอใจจะหมั้นหมายหญิงก็ทำได้เช่นกัน ไม่จำเป็นที่การหมั้นจะต้องเกิดขึ้นจากชายหมั้นหมายหญิงอีกต่อไป

ก้าวต่อไปของกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ขณะนี้กฎหมายได้มีผลใช้บังคับแล้ว เรื่องที่ต้องทำยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการยังมีอยู่อีกมาก เพื่อให้สิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเท่าเทียมและเกิดขึ้นได้จริง

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและมีผู้เริ่มกล่าวถึงไว้พอสมควรก็คือ การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ผู้เขียนได้อ่านบทความขนาดสั้นของ ผศ. ดร. เอมผกา เตชะอภัยคุณ เรื่อง “อนาคตของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย: ความท้าทายและแนวทางสู่ความเท่าเทียม”

ผศ. ดร. เอมผกา ได้อธิบายว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ทำให้เกิดหลักการใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในกฎหมายครอบครัวของประเทศไทยมาก่อน อาทิ เรื่องการหมั้นหรือเหตุหย่า ซึ่งประเด็นนี้อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจให้มากขึ้น[7] โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง ไม่ว่าจะเป็นนายทะเบียนหรือผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการสมรส เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญทั้งต่อการใช้และการตีความกฎหมาย รวมถึงการอธิบายให้ประชาชนเข้าใจกฎหมาย จึงอาจต้องมีการทำความเข้าใจกันให้มาก เพื่อไม่ให้การใช้หรือการตีความกฎหมายสวนทางและทำให้การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องศูนย์เปล่าไป

นอกจากนี้ ในมุมมองของผู้เขียน ปัญหาเรื่องการตีความกับนักกฎหมายนี้เป็นเสมือนสิ่งที่เกิดมาคู่กันจริง ๆ เพราะโดยสภาพการเขียนกฎหมายให้รัดกุมจนลดการตีความแทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะภาษาไทยที่ถ้อยคำนั้นแทบจะดิ้นได้ทั้งหมด (เราเห็นกันมาเยอะแล้วในอภินิหารการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ) ข้อกังวลอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นด้วยกับคนที่ได้ยกขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือ ในเรื่องเหตุหย่า ได้มีการแก้ไขถ้อยคำในเรื่องเหตุหย่าจากเดิม กฎหมายใช้คำว่า เป็นชู้หรือมีชู้และร่วมประเวณี แต่กฎหมายใหม่ใช้คำว่า กระทำการหรือยอมรับการกระทำเพื่อสนองความใคร่

เหตุที่กฎหมายต้องแก้ไขถ้อยคำก็เพราะว่า แนวคำพิพากษาของศาลประกอบการตีความตามพจนานุกรม ยังจำกัดเฉพาะเพศตรงข้ามหรือก็คือ หญิง-ชาย เท่านั้น หรือพูดให้ง่ายๆ ก็คือ ความคิดที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำนั้นไม่สามารถปรับใช้ให้ตรงกับบริบทปัจจุบันได้ ข้อกังวลนี้ คุณไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ก็ได้อธิบายไว้เหมือนกันว่า อาจจะต้องดูแนวทางการตีความของศาลในอนาคตต่อไป[8]

ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนค่อนข้างสนใจว่า เหตุผลที่คำว่าร่วมประเวณีนำไปใช้กับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้ แล้วผู้ร่างกฎหมายกลับไปเลือกใช้คำที่ไม่รัดกุม ไม่แน่ใจว่าเพราะไม่สามารถตีความถ้อยคำให้ไปถึงได้จริง ๆ หรือเป็นเพราะความรับรู้ที่ครอบงำเหนือถ้อยคำนั้นทำให้ความคิดของคนคับแคบจำกัดอยู่เพียงแค่ว่า ประเวณีเป็นเรื่องของหญิง-ชายเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะนักกฎหมายไทยก็เก่งเรื่องตีความแบบร้อยลิ้นกะลาวน สามารถตีความให้ผีโม่แป้งก็ได้ จะตีความคำว่ารายรับเป็นรายได้ โดยถือว่าเป็นเงินที่รับมาเหมือนกันก็ได้

อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้สิ่งที่ยังต้องคิดกันต่อไปก็คือ จะออกแบบมาตรการอย่างไรมารองรับในการใช้กฎหมายฉบับนี้ให้ตรงกับเจตนารมณ์ในการยกร่าง และตอบสนองต่อสิทธิของประชาชนให้มากที่สุด ในมุมมองของผู้เขียน คิดว่าสิ่งสำคัญที่ต้องเริ่มทำคือ การจัดเตรียมและเผยแพร่คำอธิบายให้ประชาชนรับรู้ คำอธิบายดังกล่าวอาจจะอยู่ในรูปแบบคู่มือหรือวิดีโอก็ได้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องได้รับความรู้ในเรื่องนี้ ทั้งในรูปของคู่มือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือวิดีโอถ่ายทอดความรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองในการปฏิบัติงาน การบังคับใช้กฎหมายก็ล้มเหลว

ก้าวต่อ ๆ ไปของความเสมอภาคทางเพศ

ดังกล่าวมาแล้วว่า การสมรสเท่าเทียมเป็นเพียงก้าวแรกของความเสมอภาคทางเพศ สิ่งต่อไปที่ต้องคำนึงถึงก็คือ จะขจัดกฎหมายที่ยังไม่มีความเป็นกลางทางเพศอย่างไร เพื่อให้สิทธิและความเสมอภาคทางเพศจริง ๆ

โจทย์เบื้องต้นที่อาจจะต้องดำเนินการและเป็นการต่อยอดจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็คือ การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับสิทธิในครอบครัวให้ครบถ้วน นอกจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า ยังมีกฎหมายอุ้มบุญอีกฉบับหนึ่งที่กำหนดเรื่องสถานภาพครอบครัวระหว่างบุพการีกับบุตร

ทว่า กฎหมายดังกล่าวยังคงยึดโยงอยู่กับสถานะทางเพศ (gender status) ของหญิง-ชาย ในสถาบันครอบครัวแบบทวิเพศ ดังปรากฏในมาตรา 19 กำหนดให้การผสมเทียมต้องกระทำต่อ “หญิงที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมาย” และมาตรา 21 กำหนดเงื่อนไขสำคัญของการตั้งครรภ์แทนว่า ต้องกระทำโดย “สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย” ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้ถูกแก้ไขไปพร้อม ๆ กันกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งตราบใดที่กฎหมายยังไม่แก้ไข คู่สมรสที่เป็นคนหลากหลายทางเพศก็อาจจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรโดยใช้วิธีการอุ้มบุญได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ การรับรองเรื่องสัญชาติของคู่สมรสที่เป็นคนไทยกับคนต่างด้าว ในปัจจุบันตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 กำหนดไว้ในมาตรา 9 ว่า “หญิง” ต่างด้าวที่ได้สมรสกับผู้ถือสัญชาติไทย ประสงค์จะเปลี่ยนสัญชาติไทย ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ (การสะกดทางการสำหรับการกระทำต่ออีกคนหนึ่งในทางที่ไม่ดี) ทางเพศ ซึ่งไม่เฉพาะต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่รวมถึงหญิง-ชายทั่วไปด้วย ในกรณีเช่นนี้กฎหมายสัญชาติก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการแก้ไข

นอกเหนือจากกฎหมายทั้งสองเรื่องแล้วที่เกี่ยวข้องกับการสมรสโดยตรง ยังพบว่ากฎหมายไทยมีอีกหลายเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความหลากหลาย อาทิ การเปลี่ยนแปลงเรื่องคำนำหน้านาม สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่กฎหมายอาจจะต้องรับรอง ให้เกิดการเปลี่ยนคำนำนามได้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตัวเอง (Self Determination) ว่าบุคคลพึงใจจะเป็นใคร และตัวตนหรือเพศแบบใด ก้าวนี้อาจจะเป็นตัวอย่างสำคัญของการรับรองความเสมอภาคทางเพศ

ท้ายที่สุด เรื่องที่สำคัญและอาจจะหลงลืมไม่ได้ก็คือ การรับความเสมอภาคทางเพศในรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ (เฉพาะถ้อยคำที่ใช้ต่อ ๆ กันมายาวนาน) ระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ในมาตรา 27 การที่กฎหมายยังใช้คำว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน อาจจะเป็นการลักลั่นกันของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพราะในวรรคก่อนรัฐธรรมนูญยังระบุอยู่เลยว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย 

คำถามคือ เราจะเสมอภาคกันได้อย่างไร หากกฎหมายยังรับรองแค่หญิง-ชาย ถ้าหากรัฐธรรมนูญคำนึงถึงความหลากหลายทางเพศแล้ว ถ้อยคำในรัฐธรรมนูญควรจะระบุหรือไม่ว่าบุคคลไม่ว่าเพศใดย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกัน


เชิงอรรถ

[1] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ

[2] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 4 ถึงมาตรา 12.

[3] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 13.

[4] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …ครั้งที่ 5 (31 มกราคม 2567), 9-10; ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการได้มีการเสนอให้ตัดบทบัญญัติในมาตรา 1448 ส่วนท้าย ซึ่งเปิดโอกาสให้มีสามารถสมรสก่อนอายุ 18 ปีได้ โดยให้ศาลเป็นผู้อนุญาตให้มีการสมรส เนื่องจากข้อยกเว้นดังกล่าวยังคงเปิดโอกาสให้มีการบังคับเด็กสมรส.

[5] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567, มาตรา 44 ถึงมาตรา 51.

[6] ดู พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567.

[7] เอมผกา เตชะอภัยคุณ, “อนาคตของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย: ความท้าทายและแนวทางสู่ความเท่าเทียม,” TULAW E-Newsletter, 23 กันยายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567, สืบค้นจาก https://anyflip.com/mcpoh/tbru/.

[8] ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์, “สมรสเท่าเทียม ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง,” the101.world, 19 มิถุนายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.the101.world/marriage-equality-bill/.

เมื่อต้นอ่อนคือความไม่ยุติธรรม ผลที่ออกมาวิมานจึงเป็นหนาม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมจนถึงต้นกันยายน ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เป็นกระแสแล้วถูกพูดถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องวิมานหนาม ส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นกระแสก็เพราะเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่มีการพูดถึงประเด็นเรื่องความไม่ยุติธรรม ทั้งที่เห็นโดยชัดเจนตั้งแต่ยังไม่ต้องดูภาพยนตร์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ และการไม่ถูกรับรองสถานะของคนรักเพศเดียวกัน

ทว่า หากผู้อ่านท่านใดได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว จะพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยการนำเสนอความไม่ยุติธรรมในหลายลักษณะผ่านสัญญะที่แสดงออกในบทของภาพยนตร์ ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ และการไม่ถูกรับรองสถานะของคนรักเพศเดียวกัน

บทความนี้ของผู้เขียนแม้อาจจะมาสายไปสักหน่อย และตลาดอาจจะเริ่มวายแล้ว แต่ผู้เขียนก็หวังว่าบทความนี้ของผู้เขียนจะเสนอแง่มุมที่แตกต่างในแง่ของความไม่ยุติธรรมรวมถึงได้รวมแลกเปลี่ยนประเด็นต่าง ๆ บ้าง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความไม่ยุติธรรม และสัญญะที่แฝงอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้

คำเตือน บทความนี้มีเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวภายในภาพยนตร์

ตัวตนของผู้กำกับ และเสน่ห์ของความแตกต่างหลากหลาย

ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจความไม่ยุติธรรมที่อยู่ในวิมานหนาม ผู้เขียนขอใช้เวลาสักนิดหนึ่งกับการชวนให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักผู้รังสรรค์งานชิ้นนี้ ผู้เขียนไม่กล้าจะประเมินคุณค่างานชิ้นนี้ว่าดีหรือไม่ เพราะผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องภาพยนตร์

แต่บอส นฤเบศ กูโน นั้นเป็นคนหนึ่งที่ผู้เขียนสนใจความคิดและผลงานที่เขาแสดงออกมา วิมานหนามนี้เป็นทั้งผลงานกำกับและร่วมเขียนบทของบอส การทำความเข้าใจภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ลึกซึ้งด้วยการย้อนกลับไปดูร่องรอยที่ผ่านมาอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

บอสเริ่มเป็นที่รู้จักจากผลงานหลาย ๆ ที่ผ่านมาหลายเรื่อง อาทิ Side by Side พี่น้องลูกขนไก่, I HATE YOU, I LOVE YOU, แปลรักฉันด้วยใจเธอ และมาถึงวิมานหนาม ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของบอส เมื่อลองย้อนกลับไปดูงานที่ผ่าน ๆ มาของบอส[1] เราจะพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนลายเซ็นในงานของบอสคือ การนำเสนอประเด็นเรื่องความหลากหลายและความแตกต่างไว้ในผลงาน

ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่อง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่เป็นที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนักกีฬาที่ประกอบด้วยคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน (แม่ตั้มและแม่แตง) โดยมีลูกชาย 2 คนคือ พี่ยิม ซึ่งมีภาวะออทิสติก และน้องโด่ง โดยทั้งพี่ยิมและน้องโด่งต่างมีความฝันที่จะเป็นนักแบดมินตันมืออาชีพ

แม้ดูผิวเผินซีรีส์เรื่องนี้อาจจะมุ่งเน้นไปที่การมุ่งชนะเป้าหมายของตัวเอง และความรักภายในครอบครัว และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของตัวละคร แต่อีกด้านหนึ่งที่เนื้อเรื่องพยายามนำเสนอความหลากหลายและความแตกต่างอย่างแยบคายผ่านความสัมพันธ์ของแม่ตั้มและแม่แตงที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ช่วยกันดูแลลูก ในแง่หนึ่งสิ่งนี้สะท้อนความสัมพันธ์แบบภคินีแห่งผู้หญิง (lesbian continuum)[2] ซึ่งสะท้อนความผูกพันทางอารมณ์ของผู้หญิงที่คอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกัน ไม่เพียงแต่การเน้นย้ำความสัมพันธ์ดังกล่าว แต่ในเรื่องการลดบทบาทของตัวละครผู้ชายหรือพ่อออกไปจากครอบครัว ยิ่งเป็นการเน้นย้ำประเด็นนี้ให้ชัดเจนขึ้น (แม้ว่าผู้เขียนบทอาจจะต้องการนำเสนอภาพครอบครัวที่มีความรักและความอบอุ่น โดยไม่ต้องมีบทบาทของคนเป็นผู้ชายในฐานะพ่อก็ตาม)

อีกประเด็นหนึ่งที่เรื่องนี้มีการกล่าวถึงคือ การทำความเข้าใจภาวะความเป็นอื่นของพี่ยิมในฐานะคนที่มีภาวะออทิสติก ซึ่งตัวละครแต่ละตัวจะต้องปรับตัวกับตัวละครนี้อย่างไร เพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ของครอบครัว และเรียนรู้จะทำความเข้าใจความแตกต่าง[3]

แปลรักฉันด้วยใจเธอ (Part 1) เป็นอีกงานหนึ่งที่น่าสนใจของบอส ซีรีส์เรื่องนี้มีความน่าสนใจในการนำเสนอความสัมพันธ์ของเต๋และโอ้เอ๋ว ที่เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กก่อนที่จะเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองคนเหินห่างกันออกไป ก่อนที่จะกลับมาสนิทกันอีกครั้งและค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักในท้ายที่สุด ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ การพยายามนำเสนอช่วงเวลาของการค้นหาตัวตนของวัยรุ่นที่ตัวละครค่อย ๆ พัฒนาจนค้นพบรสนิยมความชอบของตัวเอง และยอมรับตัวเองในท้ายที่สุด[4]

การกล่าวถึงประเด็นความหลากหลายนี้อาจจะเป็นพื้นฐานที่ปรากฏในงานของบอส ซึ่งในเรื่องวิมานหนาม ประเด็นนี้ยังคงถูกชูขึ้นมาเป็นประเด็นหลักของเรื่อง แต่ถูกซ้อนทับลงไปด้วยภาพการเมืองของความแตกต่าง

จุดเริ่มต้นของความไม่ยุติธรรม

กลับมาที่วิมานหนาม เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในจังหวัดแม่ฮ่องสอน หลังจากลงเงินและลงแรงอยู่หลายปีทองคำ (เจฟ ซาเตอร์) กับเสก (เต้ย พงศกร) ก็ประสบความสำเร็จ ช่อดอกทุเรียนดอกแรกของส่วนเริ่มเบ่งบาน และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้ไถ่โฉนดที่ดินสวนทุเรียนที่พอของเสกเอามาจำนองไว้กับสหกรณ์คืน ทั้งสองคนตั้งใจให้โฉนดที่ดินนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักของทั้งสองคน เป็นเสมือนทะเบียนสมรสที่เป็นหลักฐานของความมุ่งมั่นและพยายาม อย่างไรก็ดี ด้วยอุบัติเหตุได้ทำให้เสกจากไปก่อนวัยอันควร และทำให้เกิดปัญหาเรื่องที่ดิน เนื่องจากทองคำและเสกไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ตามกฎหมาย ทำให้แม่แสง (สีดา พัวพิมล) ซึ่งเป็นแม่ของเสกมารับมรดกและเป็นเจ้าของที่ดินต่อจากเสกพร้อมกับโหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ซึ่งในเรื่องอธิบายว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมที่แม่แสงเก็บมาเลี้ยง และจริง ๆ คือเมียที่ไม่ถูกต้องทำกฎหมายของเสก

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากตรงนี้ การเข้ามาของแม่แสงและโหม๋ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งและการแย่งชิงมรดกขนานใหญ่ ระหว่างทองคำ แม่แสง และโหม๋ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม

ในด้านหนึ่งผู้กำกับและผู้เขียนบทอาจจะจงใจให้ผู้ชมภาพยนตร์หลงไปกับประเด็นหลักของเรื่องคือ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเหมือนจังหวะที่หลังเรื่องนี้เข้าฉายเหมาะเจาะกับช่วงที่รัฐสภาได้ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ประกอบกับการเกริ่นนำเรื่องนี้ว่า “แรงบันดาลใจจากความไม่เท่าเทียม” ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งเสมือนเป็นการบอกเล่าความจริง พร้อมกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นการเมือง ที่นำเสนอผ่านความเป็นเมโลดราม่า (melodrama)

แน่นอนว่าความไม่เท่าเทียมทางเพศอาจจะเป็นประเด็นหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ความไม่เท่าเทียมทางเพศในเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนต้นอ่อนของต้นไม้ เพียงแต่ผลที่เกิดจากความไม่ยุติธรรมก็คือ ความไม่ยุติธรรมนั่นแหละ กล่าวคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่ความไม่ยุติธรรมทางเพศเท่านั้น แต่ลึก ๆ ลงไปกว่านั้น บอสได้หยิบเอาความไม่ยุติธรรมในหลาย ๆ ลักษณะมาถ่ายทอดและเรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราว

เมื่อหนามที่ทิ่มแทงคือความไม่ยุติธรรม

ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับทุเรียนคือ เคยโดนทุเรียนตกใส่เท้า สิ่งที่รู้สึกก็คือ ความเจ็บปวด แต่ในวิมานหนาม หนามที่ทิ่มแทงตัวละครในภาพยนตร์ก็คือ ความไม่ยุติธรรม

ความไม่ยุติธรรมที่ปรากฏตลอดภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่งเฉพาะ แต่ทุก ๆ คนล้วนแต่เป็นเหยื่อของไม่ยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ละในคนมุมเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วที่ทองคำทำไม่ดีกับแม่แสงหรือโหม๋ ก็อาจจะไม่ได้เพราะต้องการจะทำแบบนั้น หรือที่เมื่อดูจนจบเรื่องแล้วโหม๋อาจจะเป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุดก็ได้

ทั้งนี้ ในบรรดาความไม่ยุติธรรมที่ปรากฏในเรื่อง วิมานหนามได้นำเสนอความไม่ยุติธรรม ทั้งปรากฏโดยชัดเจน และที่ปรากฏในเชิงสัญญะต่าง ๆ ในเรื่อง ซึ่งผู้เขียนจะขอพาผู้อ่านไปสำรวจความไม่ยุติธรรมกันทีละประเด็น

“เพศ” เมื่อความรักไม่เท่าเทียมกัน

ประเด็นเรื่องเพศเป็นประเด็นหนึ่งที่วิมานหนามนำเสนอ ความสัมพันธ์ของทองคำและเสกที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนคู่สมรส ทำให้แม้ทองคำกับเสกจะช่วยกันทำมาหากินจนสามารถปลดจำนองที่ดินได้ แต่เมื่อเสกถึงแก่ความตาย ทองคำกลับไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

ไม่เพียงปัญหาเรื่องที่ดินที่เป็นปมหลักของเรื่อง หลายครั้งการไม่ได้มีสถานะทำให้ทองคำตกอยู่ในสภาพที่เป็นรองหรือด้อยกว่าคนอื่น ตัวอย่างเช่น ในตอนที่เสกประสบอุบัติเหตุและต้องได้รับการผ่าตัด หมอที่รักษาได้สอบถามว่าทองคำมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเสก ซึ่งทองคำก็ได้อธิบายว่ามีสถานะเป็นแค่เพื่อน และไม่สามารถให้ความยินยอมในการรักษา จนเป็นเหตุให้เสกถึงแก่กรรม แม้ว่าในภาพยนตร์ทองคำจะพยายามแสดงว่าตัวละครทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ตาม (ฉากที่ถกกางเกงลงมาให้หมอและพยาบาลดู) แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกรับรองด้วยกฎหมาย

อีกลักษณะหนึ่งที่ภาพยนตร์พยายามตอกย้ำสถานะของทองคำและเสกคือ ฉากที่ทองคำต้องหอบเอาเอกสารและรูปภาพจำนวนมากไปแสดงต่อผู้พิพากษา ทนายความ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อบอกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์อะไรกับเสกบ้าง แต่บรรดาเอกสารและรูปภาพเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ใด ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าระบบกฎหมายที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนโดยเสมอภาคทางเพศ

ซ้ำร้ายในภาพยนตร์ยังแสดงทัศนคติของคนทำงานในกระบวนการยุติธรรม ที่มองประเด็นเรื่องความไม่เป็นธรรมนี้เป็นเรื่องความโง่เง่าของทองคำ มากกว่าจะเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมของระบบ ดังเช่นในฉากที่ทนายอาสาประจำสถานีตำรวจพูดกับทองคำว่า “คนแบบเรามันโง่ยกทุกอย่างให้ผู้ชายไม่ได้หรอก”

ความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับทองคำในกรณีนี้ มีสาเหตุมาจากการที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่รับรองความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันให้มีสถานะเหมือนชายหญิง (และหวังว่า ณ วันที่บทความนี้ได้เผยแพร่กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่ผ่านรัฐสภาแล้วจะได้รับการลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว) ทว่า การไม่มีกฎหมายที่ยุติธรรมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ มองไม่เห็นหรือเลือกจะไม่เห็นความไม่ยุติธรรม โดยให้ความเห็นว่า เพราะกฎหมายเป็นแบบนี้ สิ่งนี้อาจจะเป็นข้อบกพร่องใหญ่ของกระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ก็ได้

“ชีวิต” ไม่เป็นธรรม เรื่องชาวบ้าน  เรื่องชนบท

อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องวิมานหนามพยานนำเสนอคือ ประเด็นของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งแสดงออกผ่านการเดินทาง การมีทางเลือกในชีวิต และการจำกัดการเข้าถึงทุนนิยม

การเดินทางเป็นจุดสำคัญที่เรื่องนี้หยิบนำมาเล่าในหลาย ๆ ฉาก เพื่อเน้นย้ำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเมืองกับชนบท ฉากแรกที่นำเรื่องการเดินทางมาใช้เพื่ออธิบายความแตกต่างคือ ฉากที่เสกประสบอุบัติเหตุแล้วจะต้องให้แม่แสง เดินทางจากดอยอมก๋อยเพื่อมาเซ็นหนังสือให้ความยินยอม ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง และการเดินทางจะไม่สามารถทำได้เลยหากคนที่อยู่บนดอย ไม่อาศัยยานพาหนะส่วนตัวหรือของคนในชุมชนลงมา

นอกจากฉากข้างต้น ฉากการเดินทางไปโรงพยาบาลของแม่แสง เมื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านของทองคำและเสกที่ใกล้เมืองมากขึ้น แต่การจะไปโรงพยาบาลก็ยังไม่สะดวกอยู่ดี เพราะสถานที่ต่าง ๆ อยู่ไกลจากกันมาก หากแม่แสงจะไปหาหมอในโรงพยาบาล โดยที่ทองคำไม่ไปส่งก็จะต้องนั่งรถสองแถวเข้ามาในเมือง

อีกฉากหนึ่งที่ภาพยนตร์หยิบเอาประเด็นเรื่องการเดินทางมาใช้ก็คือ ในฉากที่ทองคำเดินทางกลับจากการติดต่อเรื่องขายทุเรียน แล้ววันนั้นพายุเข้าถล่มภาคเหนือของประเทศไทย ทองคำจะต้องรีบกลับมาโยงกิ่งทุเรียน เพื่อลูกทุเรียนร่วงจากแรงพายุ ในฉากนั้นอุปสรรคสำคัญก็คือ การเดินทาง เมื่อรถของทองคำเสีย การจะกลับมาที่สวนให้ทันมีเพียงวิธีการเดียวคือ ต้องติดรถคนอื่นกลับมา ซึ่งถ้าหากฝนตกหนักไม่มีรถผ่านก็จะกลับมาที่สวนไม่ได้

ฉากการเดินทางต่าง ๆ นี้สะท้อนให้เห็นปัญหาของการไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ สถานการณ์ของจังหวัดที่มีความเป็นเมือง อาจจะดีกว่านี้หน่อย อาทิ ในเชียงใหม่อาจจะมีรถบัสวิ่งข้ามอำเภอให้บริการ หรือมีรถแดงให้บริการ แต่การมีระบบขนส่งมวลชนที่พร้อมอาจจะเป็นโจทย์สำคัญในการมีชีวิตขั้นพื้นฐานที่ยังไม่ถูกให้ค่าเท่าที่ควร[5]

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ดีไม่เกิดขึ้น ก็เกิดมาจากลักษณะของการพัฒนาที่เป็นเมืองโตเดี่ยวของประเทศไทยที่มีกรุงเทพเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด[6] ในขณะเดียวกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถที่จะเข้ามาดำเนินการได้อย่างเต็มที่ จังหวัดใดที่จะมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีมาจากการสนับสนุนของภาคเอกชน[7]

นอกจากเรื่องการเดินทางแล้ว ในวิมานหนามยังได้แสดงให้เห็นข้อจำกัดในทางเลือกของการใช้ชีวิต แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนอาจมีทางเลือก แต่ทางเลือกดังกล่าวนั้นอาจจะจำกัดลงโดยสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว

โหม๋เป็นตัวอย่างของคนที่ถูกสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว บีบคั้นให้เหลือทางเลือกในชีวิตไม่มาก โหม๋เกิดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดที่ถูกจัดให้มีปัญหาความยากจนเรื้อรัง และเป็นคนชาติพันธุ์ที่ถูกสังคมผลักให้ไปอยู่ที่ชายขอบ (ภาษาที่โหม๋พูดในเรื่องกับจิ่งน่ะเป็นภาษาไทใหญ่) รวมถึงไม่ค่อยมีการศึกษา

ในภาพยนตร์ได้บอกกับเราว่าทางเลือกของโหม๋ มีเพียงแค่ 2 ทางคือ ทางเลือกแรก ตื่นตั้งแต่ตี 3-4 เพื่อมาเก็บผักที่ปลูกไว้ใส่เข่งเต็มรถเพื่อแลกเงิน และทางเลือกที่สอง โยกย้ายตัวเองไปทำงานเป็นแรงงานในกรุงเทพฯ ซึ่งในประเด็นนี้ก็ได้สื่อกลาย ๆ ว่า ในต่างจังหวัดความหลากหลายของอาชีพอาจจะไม่ได้มีมาก เมื่อเทียบกับในจังหวัดที่มีความเป็นเมืองมากกว่า

สิ่งที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ การมีทางเลือก เป็นคนละเรื่องกับการพอใจ หากโหม๋พอใจที่จะมีชีวิตอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะสิ่งนั้นมาจากการตัดสินใจของโหม๋ แต่ในเรื่องจะเฉลยให้เรารู้ว่าโหม๋ไม่ได้ตัดสินใจเลือก แต่ถูกบังคับให้ต้องเลือกที่จะอยู่ที่นี่

ไม่เพียงแต่โหม๋เท่านั้นที่เรื่องสะท้อนข้อจำกัดของการมีชีวิตในพื้นที่ หากผู้อ่านทุกท่านได้ชมภาพยนตร์และยังจำแม่ของทองคำได้ อันที่จริงแล้วแม่ของทองคำก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่เผชิญข้อจำกัดในการมีชีวิตในพื้นที่ ต้องโยกย้ายตัวเองไปทำงานนอกบ้านเกิด ซึ่งกรณีนี้ไปไกลกว่าโหม๋ เพราะแม่ของทองคำต้องทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณอยู่ที่ไต้หวัน เพื่อหาโอกาสทางรายได้ใหม่ ๆ

นอกจากข้อจำกัดเรื่องอาชีพแล้ว ในภาพยนตร์ยังได้อธิบายกับผู้ชมทุกคนกลาย ๆ ว่า เมื่ออาชีพในต่างจังหวัดมีอยู่อย่างจำกัด อาชีพที่ดีจึงเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ดังจะเห็นได้จากฉากงานแต่งงานของคุณปลัดกับโหม๋ แน่นอนว่าผู้ชมทุกคนเมื่อดูภาพยนตร์จบ ย่อมรู้แน่ชัดว่าโหม๋ไม่ได้รักในตัวปลัดหนุ่มคนนั้นเลย การแต่งงานไม่ได้เป็นไปเพราะความรัก ถ้าเทียบกันแล้วโหม๋อาจจะรักเสกมากกว่าบ้าง

แต่เหตุผลที่โหม๋เลือกแต่งงานกับปลัดหนุ่ม คำตอบถูกเฉลยโดยพิธีกรในงานแต่งว่า ข้าราชการเป็นอาชีพที่มั่นคง มีหน้ามีตาในสังคม และทำให้ลูกเมียได้รับสวัสดิการไปตาม ๆ กัน สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า การแต่งงานของโหม๋ แท้จริงแล้วก็เพื่อให้ได้รับสวัสดิการ และการเลื่อนสถานะทางสังคมจากคนชายขอบมาสู่คนที่สังคมยอมรับ

ท้ายที่สุด ความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทก็คือ การจำกัดการเข้าถึงทุนนิยม ในเรื่องจะเห็นฉากที่โหม๋พยายามเอาใจแม่แสง โดยการพาเข้าไปเที่ยวในอำเภอ โหม๋บอกกับแม่แสงว่าจะพาแม่แสงมาห้าง แต่จริง ๆ สถานที่ทั้งสองคนไปเป็นเพียงแค่มินิมาร์ทเท่านั้น ทว่า การได้เผชิญกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ก็ทำให้แม่แสงแปลกประหลาดใจ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องที่อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาในพื้นที่หนึ่งและของคนหนึ่ง แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำของการพัฒนา อาจจะกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาของอีกคนหนึ่งก็ได้

อ่านมาถึงจุดนี้ ผู้อ่านหลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า การไม่เข้าถึงทุนนิยมน่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ และชีวิตในต่างจังหวัดก็อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรือไม่ ผู้เขียนเองไม่สามารถให้คำตอบแทนคนทุก ๆ คนได้ เพียงแต่ในมุมของผู้เขียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การมีทางเลือกมากกว่า หากย้อนกลับไปว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่ใช่หนึ่งในจังหวัดที่มีคนยากจนเรื้อรัง และคุณภาพชีวิตโดยรวมมีแนวโน้มที่จะดี เดินทางสะดวก เข้าถึงสวัสดิการ และการได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐอย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องมีสถานะทางสังคมที่เหลือกว่าคนอื่น เท่านี้ใครจะเลือกทำอะไรก็สุดแท้แล้วแต่เขาคนนั้น

“งานบ้าน” เรื่องการทำงานที่ไม่ถูกให้คุณค่า

อีกเรื่องหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่องวิมานหนามบอกกับเราผู้ชมทุกคนก็คือ สังคมไทยไม่ให้ความสำคัญและคุณค่ากับงานบ้าน โหม๋เป็นคนที่มีบทบาทมากที่สุดในประเด็นนี้ โดยตลอดทั้งเรื่องจะเห็นได้ว่าหน้าที่สำคัญของโหม๋คือ การดูแลแม่แสงและทำงานบ้านต่าง ๆ อาทิ การทำความสะอาดปัสสาวะของแม่แสง ซึ่งเป็นอัมพาตครึ่งท่อนล่าง ทำให้ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเต็มที่ หรือการทำอาหารให้แม่แสงทาน

สิ่งเหล่านี้ในแง่หนึ่งก็สร้างความได้เปรียบให้กับโหม๋ ในการแย่งชิงความพึงพอใจที่ได้รับจากแม่แสงกับทองคำ ดังจะเห็นได้จากในฉากที่ทองคำเริ่มต้นทำดีเพื่อให้เอาชนะใจแม่แสงมากขึ้น แต่เมื่อถึงจุดที่แม่แสงผู้เป็นอัมพาตครึ่งท่อนล่างนอนปัสสาวะรดที่นอน แม้ว่าทองคำจะพยายามเข้าไปช่วยดูแลและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ แต่แม่แสงก็ปฏิเสธ เพราะในแง่หนึ่งสังคมได้สร้างบทบาททางเพศ (gender role)[8] เอาไว้โดยกำหนดลูกผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลแม่ (ผัว) การที่ทองคำก้าวเข้ามาจะทำหน้าที่นี้ก็เป็นเสมือนการไม่ดำเนินบทบาทที่สอดคล้องกับบทบาททางเพศ แน่นอนว่าในฉากนั้นโหม๋ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพื่อชิงชัยในความได้เปรียบ

ท่ามกลางความได้เปรียบนี้ แต่การทำงานบ้านของโหม๋ก็ไม่ได้ถูกให้คุณค่าว่าเป็นการทำงานอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากในสายตาของแม่แสงที่ไม่ได้คิดว่าการดูแลของโหม๋เป็นการทำงาน สิ่งที่แม่แสงให้โหม๋ ทั้งเสื้อผ้าและของใช้นั้นเป็นเรื่องบุญคุณ โดยผู้อ่านที่ได้ดูจะเห็นได้ว่าสถานะของโหม๋ก่อนจะได้ที่ดินนั้นมีความยากจน ผู้กำกับและผู้เขียนบทเน้นย้ำให้เราเห็นสถานะนี้จากตอนที่โหม๋เทเหรียญออกมาจากกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายค่าแซนวิชให้แม่แสง เงินจำนวนดังกล่าวก็เป็นเศษเหรียญที่เหลือ ๆ ของโหม๋ ไม่ได้เป็นเงินค่าตอบแทนที่เป็นชิ้นเป็นอัน

การไม่นับงานบ้านเป็นลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของระบบทุนนิยมที่แยกการผลิตมูลค่าทางเศรษฐกิจออกจากมูลค่าทางสังคม กล่าวให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือ งานจะต้องเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้งานใด ๆ ก็ตามที่ไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจก็จะไม่ใช่งานในความหมายนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ แรงงานที่ปราศจากคนคอยช่วยเหลือหรือดูแลงานบ้านให้จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร[9] เช่นเดียวกันกับที่ก่อนหน้าเสกจะจากโลกนี้ไป หากเสกไม่มีโหม๋คอยดูแลแม่แสง เสกจะสามารถที่จะมาทำสวนทุเรียนอยู่กับทองคำได้อย่างไร

หากกล่าวว่า ทองคำลงเงินเพื่อให้เสกลงแรงในการเพาะปลูกทุเรียน ในความเป็นจริงโหม๋ก็กำลังลงแรงแบบหนึ่งเพื่อช่วยให้เสกสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ทว่า แรงงานของโหม๋ที่ถูกใช้ไปในการดูแลแม่แสงกลับไปถูกให้คุณค่าแต่อย่างใด

“จารีต” การสะสมทุนและการชิงชัยชนะ

นอกจากเรื่องทุนทางเศรษฐกิจแล้ว ภาพยนตร์เรื่องวิมานหนามยังแสดงให้เห็นว่าคน ๆ หนึ่งสามารถสะสมทุนในทางวัฒนธรรม[10] มาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ การปรากฏตัวของการเอาชัยชนะเหนือคู่แข่งด้วยทุนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในฉากที่ทองคำ ตัดสินใจจะบวชให้แม่แสงแทนเสกที่ล่วงลับ การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ทองคำได้รับความสนใจจากแม่แสงมากกว่าโหม๋ รวมถึงเป็นการพลิกเกมจากการตกอยู่ในสถานะเป็นรองให้ขึ้นมามีอำนาจต่อรองได้มากขึ้น

การบวชเป็นการสะสมทุนทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง โดยแฝงอยู่ในรูปแบบของทุนทางวัฒนธรรมที่อยู่ในรูปของสถาบัน (iinstitutionalized cultural capital) กล่าวคือ การบวชทำให้ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในสถานะที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาก รวมถึงเป็นการเลื่อนชั้นทางสังคมไปในตัว[11] ประกอบกับตามความเชื่อของสังคมไทยความเชื่อว่าการที่ลูกชายบวชพระสงฆ์จะทำให้พ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์ การบวชนี้สัมพันธ์กับบทบาททางเพศของบุคคล แม้ว่าจริง ๆ แล้วทองคำจะเป็นผู้ความหลากหลายทางเพศ แต่ในสายตาของแม่แสงและคนอื่น ๆ ทองคำก็ยังคงเป็นเพศสรีระเป็นชายที่สามารถบวชได้ตามพระพุทธศาสนาแบบไทย ความเชื่อทางศาสนาจึงกลายเป็นทุนที่ส่งเสริมทองคำให้อยู่ในสถานะที่พิเศษ และอยู่ในจุดที่เหนือกว่าโหม๋

ตรงกันข้ามกับโหม๋และผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่แม้จะดูแลบิดาและมารดาดีแค่ไหน ในความเชื่อที่มีอยู่ในสังคมไทย โหม๋ก็ไม่สามารถให้แม่แสงเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ได้ สิ่งนี้เป็นข้อจำกัดของพระพุทธศาสนาแบบไทยที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับความเสมอภาคทางเพศ โดยไม่ยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี[12] เช่นเดียวกันกับผู้ชาย สิ่งนี้สะท้อนความไม่เป็นธรรมในการสะสมทุนทางวัฒนธรรม รวมถึงสะท้อนความไม่เสมอภาคทางเพศ ผู้หญิงไม่มีสิทธิเช่นเดียวกันกับผู้ชายที่จะให้บิดาและมารดาเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์

“ความเป็นชาย” ในวัฒนธรรมชายกระแสหลัก

นอกเหนือจากเรื่องทางวัฒนธรรมแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ชมภาพยนตร์ทุกคนจะเห็นได้จากเรื่องวิมานหนามก็คือ ประเด็นเรื่องความเป็นชายกระแสหลักที่กดทับทุกคนในสังคม ความเป็นชายกระแสหลัก (hegemonic masculinity) ในที่นี้ หมายถึง ความเป็นชายประกอบด้วยความแข็งแรง ความเข้มแข็ง ความมีอำนาจและอิทธิพล และความไม่จู้จี้จุกจิกซึ่งมักถูกพิจารณาว่าเป็นคุณสมบัติของความเป็นผู้หญิง[13]

ตัวอย่างแสดงออกของความเป็นชายกระแสหลักในวิมานหนาม แสดงออกผ่านตัวละครปลัดหนุ่มที่โหม๋ได้เจอและแต่งงานด้วย ปลัดหนุ่มเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอำนาจและอิทธิพลและความแข็งแรง รวมถึงความเป็นชายในแบบวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ แม้ว่าในความเป็นจริงปลัดจะเป็นข้าราชการจะเป็นข้าราชการตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครองปฏิบัติการ มีเงินเดือนอยู่ที่ 15,000-16,500 บาท[14] ซึ่งเป็นข้าราชการระดับล่างสุดของสายวิชาการ รวมถึงมีอัตราเงินเดือนที่ไม่ได้สูงมากนักเมื่อเทียบกับอัตราเงินเดือนและการเสี่ยงภัย แต่ในขณะเดียวกันภาพของปลัดที่ถูกแสดงออกในวัฒนธรรมไทย และผ่านสื่อร่วมสมัยต่าง ๆ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น ละครแบบปดิวรัดาหรือลูกสาวกำนัน ได้แสดงภาพของปลัดในฐานะของข้าราชการตัวอย่างจากกรุงเทพ ผู้เข้ามาแก้ไขปัญหาในต่างจังหวัด อาทิ การคอร์รัปชัน ผู้มีอิทธิพล และอื่น ๆ สิ่งนี้ได้กลายมาเป็นฐานของภาพจำของข้าราชการจากเมืองหลวงผู้นำความเจริญมาสู่ท้องที่ สถานะของปลัดหนุ่ม จึงไม่ได้แบกรับเฉพาะความเป็นชายกระแสหลักทั่วไป แต่ยังมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีในฐานะข้าราชการในพระเจ้าอยู่หัว

ในงานแต่งงานของปลัดหนุ่มกับโหม๋ สินสอดซึ่งนำมาใช้ในงานแต่งงานเป็นเงินที่ทองคำหามาได้จากการทำสัญญาตัดทุเรียนขาย แต่เมื่อโหม๋ได้กลายมาเป็นเจ้าของสวนทุเรียนแทนแม่แสงในเวลาต่อมา เงินดังกล่าวก็กลายเป็นของโหม๋ ที่ในงานแต่งโหม๋ใช้เงินก้อนนี้มาเป็นเงินสินสอดงานแต่งตัวเอง โดยที่ในภาพยนตร์พิธีกรงานแต่งจะพยายามอธิบายให้ผู้ชมทุกคนได้รับรู้ว่า เงินสินสอดนี้เป็นเงินที่ได้มาจากการร่วมกันทำสวนทุเรียนของปลัดหนุ่มกับโหม๋ ปลัดหนุ่มไม่สามารถที่จะรับเอาความดีความชอบในการหาสินสอดมาเป็นของตัวเองคนเดียวได้แน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นการถูกตีความเป็นการได้เงินมาเพราะทุจริต

แต่ในขณะเดียวกันการจะยอมรับว่าเงินสินสอดทั้งหมดเป็นของโหม๋ สิ่งนี้ก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะจะกลายเป็นการยอมรับว่าบกพร่องในบทบาทความเป็นชายที่ต้องมีสินสอดมามอบให้แก่ฝ่ายเจ้าสาว และเหนืออื่นใดนั้น สิ่งนี้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้ชายที่แอบอิงอยู่กับอำนาจรัฐว่า ไม่มีศักดิ์ศรีและเสียเกียรติภูมิข้าราชการ

การแสดงว่าสินสอดเป็นเงินที่ทำมาหาได้ร่วมกันจึงเป็นจุดที่ลงตัวระหว่างการรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรี รวมถึงยังทำให้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ที่เป็นไปอย่างปุบปับฉับพลันของปลัดหนุ่มและโหม๋ได้เป็นอย่างดี

ถ้าคุณปลัดหนุ่มเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายกระแสหลักในเรื่องแล้ว ใครละที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายกระแสรองในเรื่อง คน ๆ นั้นก็คือ ทองคำ และจิ่งน่ะ แต่ในกรณีของทองคำอาจจะไม่ได้มีสถานะที่เป็นรองจากปลัดหนุ่มขนาดนั้น การเติบโตในสังคมที่เป็นเมืองมากก่อนและการได้รับการยอมรับจากสังคมเมือง ทำให้ทองคำอยู่คนละสถานะกับปลัดหนุ่ม แต่คนที่ในเรื่องทำให้เห็นสถานะของความเป็นรองมากที่สุดก็คือ จิ่งน่ะ

ความเป็นชายกระแสรองของจิ่งน่ะ ปรากฏตั้งแต่ตัวละครถูกกำหนดให้เป็นคนไทใหญ่ ซึ่งอาจจะถูกมองว่าไม่ใช่คนไทยแท้ในสายตาของรัฐไท ซ้ำร้ายจิ่งน่ะยังเป็นคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าสังคมไทยหรือรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาจะแหกปากประกาศว่า “เรายอมรับความหลากหลายทางเพศและความเสมอภาคทางเพศ” แต่การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย ความไม่เข้าใจและการไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหาสำคัญของการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ของไทยต่อไปอีกนาน

นอกจากความเป็นชาติกำเนิดและเพศวิถีแล้ว จิ่งน่ะยังเป็นคนจนมีอาชีพไม่มั่นคง ในเรื่องได้อธิบายให้ผู้ชมทุกคนได้รับรู้ว่า จิ่งน่ะ เป็นน้องชายของโหม๋ และมีอาชีพที่ไม่แน่นอนเป็นเพียงคนตัดต้นไม้เท่านั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับปลัดหนุ่มแล้ว จิ่งน่ะคือ ตัวละครที่อยู่ตรงข้ามปลัดหนุ่มทุกทาง

สถานะของความเป็นชายกระแสหลักคือ ประเด็นสำคัญของความไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่งที่สะท้อนอยู่ในสังคมไทย การไม่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้ชาย และการไม่สามารถสร้างครอบครัวที่เป็นสุขได้ตามทัศนคติของสังคม ทำให้ผู้ชายบางคนดูบกพร่อง แม้ว่าทั้งหมดนี้จะกลายเป็นการกดบีบ บังคับ และเป็นความรุนแรงต่อผู้ชายให้มีหน้าที่รับรองและประคับประคองครอบครัวในฐานะผู้นำครอบครัว

“ผู้หญิง” ภายใต้วัฒนธรรม

นอกจากผู้ชายที่ถูกกดทับแล้ว ภายใต้วัฒนธรรมของสังคมไทย ผู้หญิงก็ถูกกดทับ และอาจถูกกดทับมากขึ้นภายใต้ชุดอัตลักษณ์บางอย่าง ซึ่งทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะถูกทำให้มีสถานะด้อยกว่า ตัวอย่างเช่น ตัวละครโหม๋ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เพียงแต่การไม่มีสิทธิที่จะเลือกดังกล่าวมาข้างต้น การตกอยู่ในสถานะเป็นเมียของเสกก็ทำให้โหม๋สูญเสียอิสรภาพในการทำอะไรหลายอย่าง อาทิ การย้ายไปทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งคาดหวังว่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความซับซ้อนของความที่ไม่เป็นธรรมอาจจะเพิ่มขึ้นหากโหม๋มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมซ้อนทับเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง

ผู้เขียนไม่แน่ใจประเด็นเรื่องวัฒนธรรมของคนไทใหญ่ แต่ผู้เขียนเคยศึกษาและพอรับรู้วัฒนธรรมของชาวม้งมาบ้าง ในวัฒนธรรมของชาวม้งมีความเชื่อว่า การแต่งงานของผู้หญิงไม่ได้เป็นการแค่เปลี่ยนจากครอบครัวหนึ่งมาสู่อีกครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นการย้ายจากการนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงมาอยู่ภายใต้การดูแลของผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย ภายใต้วัฒนธรรมม้งผู้หญิงเติบโตมาโดยการดูแลของพ่อ และเมื่อแต่งงานก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของสามี ซึ่งเท่ากับตัดขาดจากสัมพันธ์ทางบ้านเดิม แง่หนึ่งผู้หญิงตัดขาดจากแซ่เดิมของตัวเอง เพื่อมาใช้แซ่ใหม่ของสามี แต่เมื่อหย่าขาดกับสามีก็ต้องตัดขาดจากแซ่ใหม่ จะกลับไปใช้แซ่เดิมก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายการหย่าขาดก็กลายเป็นการทำให้ผู้หญิงถูกถอดถอนจากการดูแลของผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย แต่จะกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงก็ไม่ได้อีกเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้หญิงม้งอยู่ในสถานะการไม่มีพื้นที่ทางสังคมที่แท้จริง เพราะหากกลับไปอยู่ในบ้านเดิมก็จะไม่สามารถเข้าร่วมพิธีกรรมใด ๆ ได้[15]

หากในเรื่องโหม๋เป็นชาวม้ง ไม่ใช่ชาวไทใหญ่ การกลับบ้านไปไม่ได้ของโหม๋น่าจะมีเหตุผลพอสมควร เพราะโหม๋เป็นเมียคนหนึ่งของเสก โหม๋อาจจะไม่สามารถกลับบ้านไปได้อีก เพราะโหม๋กลายเป็นคนนอกของวัฒนธรรม สิ่งนี้เป็นตัวอย่างของความรุนแรงและความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นภายใต้วัฒนธรรม อัตลักษณ์ที่เข้ามาทับซ้อนผู้หญิงคน ทำให้ปัญหาของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่สามารถใช้แนวทางเดียวกันแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด และการอ้างความเป็นธรรมในภาพรวม ๆ บางครั้งก็อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุก ๆ เรื่อง

เมื่อความยากจนเฆี่ยนตี เราจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว

ในภาพยนตร์ พยายามแสดงให้เห็นภาพของความยากจนที่เป็นที่มาของปัญหาทั้งหมด แม่แสงอยากได้ที่ดินเป็นของตัวเองเพื่อเป็นหลักประกันว่า ตนที่ไม่มีลูกชายแล้วและไม่มีใครดูแลจะยังพอมีทรัพย์สินไว้ใช้จ่ายจนกว่าจะตาย ในขณะที่โหม๋ซึ่งไม่มีอะไรจนถึงขนาดพูดว่า “เกิดมา…กูยังไม่เคยเจอใครที่น่าสงสารเท่ากูมาก่อนเลย” ความยากจน ความไม่แน่นอน และการขาดหลักประกันในชีวิตได้ขับเคลื่อนให้ทั้งสองคนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว แล้วพยายามช่วงชิงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากทองคำ

ลักษณะประการสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมทุนนิยมก็คือ การทำให้เกิดความแปลกแยก (alienation) โดยมนุษย์ถูกทำให้แปลกแยกจากมนุษย์คนอื่น ๆ (human being) ในขั้นเลวร้ายที่สุดคือ การทำให้เขารู้สึกไม่มีเพื่อน ไม่มีความสัมพันธ์ที่เอื้ออาทร หรือความเห็นอกเห็นใจคนอื่นในสังคม[16] สิ่งนี้เป็นความแปลกแยกที่กังวล เพราะทำให้สังคมไม่มีความเป็นภราดรภาพ ระบบทุนนิยมต้องการขูดรีดจากแรงงานให้มากที่สุด จนทำให้พวกเขาสนใจเฉพาะเรื่องของตัวเองและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ตอบสนองต่อการผลิต

ในทางตรงกันข้าม ภาพยนตร์พยายามเน้นย้ำประเด็นนี้โดยแสดงให้เห็นในสิ่งที่ตรงข้ามกัน ในฉากงานแต่งงาน ปลัดหนุ่มได้ประกาศก้าวว่า จะแจกทุเรียนให้คนฟรี ๆ คนไม่มีเงินก็มาเอาไปได้ ทำให้เสมือนว่าความใจดีและความมีเมตตาเป็นคุณสมบัติของคนที่ร่ำรวยเท่านั้น

“รัฐข้าราชการ” ตัวร้ายของความสุขสมบูรณ์

มาถึงความไม่เป็นธรรมในเรื่องสุดท้าย การทำให้ข้าราชการเป็นตัวร้ายของความสุขสมบูรณ์ ในเรื่องนี้ผู้เขียนมองว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องความไม่เป็นธรรมในทีเดียว แต่สัญญะที่แฝงอยู่ในเรื่องอาจจะยึดโยงในเรื่องความไม่เป็นธรรม

ย้อนกลับไปที่ต้นเรื่องคือ กฎหมายกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของการกำหนดสถานะของทองคำและเสก ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้ากฎหมายยอมรับสถานะของคนทั้งสอง การสมรสเท่าเทียมเป็นการต่อสู้ระยะยาวของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เคลื่อนไหวให้เกิดการรับรองผลทางกฎหมายในการก่อตั้งครอบครัวของเขา แต่ลึก ๆ แล้วองค์กรผู้บังคับใช้กฎหมายอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับรองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ยังได้แสดงทัศนคติอันเป็นเหตุผลประกอบคำวินิจฉัยว่า กฎหมายไม่ห้าม แต่กฎหมายไม่ได้รับรองสิทธิในการจัดตั้งครอบครัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศ[17] ความเลวร้ายของทัศนคติอันน่าชิงชังนี้คือ การมองไม่เห็นประเด็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับการจัดตั้งครอบครัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศบนพื้นฐานของกฎหมายอย่างเท่าเทียมครอบครัวหญิงชาย รวมถึงทัศนคติที่มองกฎหมายครอบครัวเป็นเพียงแค่เรื่องการสืบพันธุ์เท่านั้น[18]

ไม่เพียงแต่ประเด็นนี้เท่านั้นที่รัฐราชการกลายมาเป็นตัวร้ายของความสุขสมบรณ์ อีกสัญญะหนึ่งที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนคือ การปรากฏตัวของตัวละครปลัดหนุ่มในเรื่อง ดังกล่าวมาแล้วว่าตัวละครปลัดไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นชายกระแสหลักเท่านั้น แต่ตัวละครปลัดยังเป็นตัวแสดงแทนอำนาจรัฐ หรือเป็นตัวแทนของรัฐ การปรากฏตัวของปลัดในหลายฉากหลายตอนจึงไม่ได้มาเฉย ๆ แต่มาเพื่อแสดงนัยบางอย่าง

ตัวอย่างเช่น ในฉากงานแต่งงานนอกจากสินสอดที่ได้ถูกอธิบายว่าเป็นการหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของปลัดหนุ่มกับโหม๋แล้ว การที่ปลัดหนุ่มแถลงแก่แขกผู้ร่วมงานว่าทุเรียนกำลังจะตัด ใครไม่มีเงินก็มาเอาไปฟรี ๆ ได้ ทั้ง ๆ ที่ปลัดหนุ่มก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ตนไม่ได้เป็นคนเพาะปลูกไม่ได้เป็นคนดูแล แต่เพราะตัวเองได้ความเป็นเจ้าของมาจากการสมรสกับโหม๋ สิ่งต่าง ๆ ก็ล้วนเป็นของตัวเองทั้งสิ้น

สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนลงแรงทำงานของประชาชนเพื่อแสวงหาเงินมาใช้ชีวิตเพื่อความสุขของตัวเอง แต่รัฐข้าราชการได้ชุบมือเปิบไปในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ อาทิ ภาษีแล้วเอามาแจกจ่ายเสมือนเป็นเงินของตัวเอง โดยไม่ได้ใส่ใจต่อความเดือดร้อนลำบากของคนที่เป็นคนทำมาหาได้ รัฐข้าราชการกลายเป็นนักบุญ และแสดงตัวอย่างน่าชื่นตาบานว่าตัวเองเป็นคนมีเจตนาที่ดี แต่ไร้ความรับผิดชอบต่อเจ้าของ

ไม่เพียงแค่ในฉากงานแต่งงานเท่านั้น การปรากฏตัวของปลัดหนุ่มยังมีความสำคัญในตอนจบของเรื่อง เมื่อปมปัญหาต่าง ๆ กำลังจะคลี่คลายลง โหม๋ได้อธิบายความทุกข์ใจต่าง ๆ ที่ตนเผชิญมา ความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาโดยตลอด และทองคำก็รับรู้แล้วพร้อมจะก้าวข้ามความบาดหมางในอดีต ให้อภัยซึ่งกันและกัน แล้วแยกย้ายกันไปมีความสุข โดยทองคำกับจิ่งน่ะจะไปจากที่ดินแห่งนี้ แต่แล้วความสุขทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อปลัดหนุ่มเข้ามารัดคอทองคำจากข้างหลัง และจบลงด้วยการที่จิ่งน่ะที่มาช่วยทองคำถูกปลัดเอามีดปาดคอตาย แล้วหอบเงินสินสอดหนีไป

การหักมุมในตอนจบนี้คือ การแสดงให้เห็นสัญญะว่า เมื่อท้ายที่สุดเรากำลังจะมีความสุขสมบูรณ์ รัฐข้าราชการจะทำลายความสุขนั้นและพรากเอาทุกสิ่งไปจากเรา รัฐข้าราชการที่มุ่งหวังจะตักตวงผลประโยชน์ โดยไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง

เราทุกคนล้วนเจ็บปวดกับหนามของความไม่ยุติธรรม

ในท้ายที่สุด หลังจากแจกแจงความไม่ยุติธรรมมาหลายข้อในข้างต้น ผู้เขียนอาจจะไม่ได้แจกแจงได้ครบทุกประเด็นด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลาและปัญญาของผู้เขียน รวมถึงบางส่วนผู้อ่านบางท่านอาจจะไม่ได้เห็นด้วย แต่ก็นั่นก็สุดแท้แต่ว่าแต่ละคนจะมองความไม่ยุติธรรมอย่างไร

ในมุมมองของผู้เขียนวิมานหนามได้แสดงให้ผู้ชมทุกคนเห็นว่า ทุก ๆ คนต่างเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมทั้งสิ้น หากแต่เรามองความไม่ยุติธรรมในบริบทใด ทองคำอาจจะเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมจากมุมมองของรัฐที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ โหม๋อาจจะเป็นเหยื่อของความยุติธรรมอย่างรอบด้านทั้งการไม่มีทางเลือก สถานะความเป็นผู้หญิง และอัตลักษณ์ที่สวมทับโหม๋อยู่ แม่แสงอาจจะเป็นเหยื่อของการเข้าไม่ถึงสวัสดิการที่ดีพอ และจิ่งน่ะอาจจะเป็นเหยื่อของแห่งการถูกกดทับด้วยความเป็นชายกระแสหลัก

มนุษย์ทุกคนล้วนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ความไม่ยุติธรรมที่ปรากฏจะออกมาในรูปแบบใด

ในส่วนของทางออกของความไม่ยุติธรรมในที่นี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร ผู้เขียนยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสังคมจะหาทางออกในลักษณะใดได้เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ จนหมด สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าอาจจะต้องใส่ใจคือ การสร้างกลไกที่มีความรับผิดชอบ การกระจายอำนาจ บวกกับการสร้างรัฐสวัสดิการ

กลไกที่มีความรับผิดชอบเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ท้ายที่สุดเราจะเห็นว่าปัญหาสำคัญของการไม่รับรองความเท่าเทียมทางเพศเกิดขึ้นมาจากการไม่รับผิดชอบของรัฐต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ปี พ.ศ. 2567 นี้ไม่ใช่ปีแรกที่มีการพยายามนำเสนอร่างกฎหมายเพื่อรับรองสถานะการสมรสเท่าเทียม ก่อนหน้ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้มีความพยายามเสนอร่างพระราชบัญญัติในลักษณะนี้ หรือแม้แต่ก่อนหน้าการรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้มีความพยายามร่างกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิตที่เป็นก้าวแรกของการรับรองสถานะดังกล่าว แต่ทั้งหมดก็มลายสิ้นไปหมดหลังการรัฐประหารที่ได้คณะรัฐมนตรีที่ไม่มีความยึดโยงและรับผิดชอบต่อประชาชนมาบริหารประเทศ

นอกจากการสร้างกลไกความรับผิดชอบแล้ว การกระจายอำนาจก็อาจจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องพิจารณาเช่นเดียวกัน การเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน การไม่มีระบบดูแลคนในพื้นที่ และการมีอิทธิพลของข้าราชการจากส่วนกลางมากจนเกินไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการกระจายอำนาจแบบกระท่อนกระแท่น ส่งผลให้ท้องถิ่นไม่เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น แล้วเกิดความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทมากเกินไป

ท้ายที่สุด การสร้างรัฐสวัสดิการอาจจะตอบโจทย์หลาย ๆ อย่างของสังคมไทย ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยแสดงเจตจำนงนี้ไว้เมื่อเริ่มร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจว่า ไม่อยากให้มนุษย์ในสังคมต้องประหัตประหารกัน การมีหลักประกันความสุขสมบูรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ คล้าย ๆ กันกับที่เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนเพิ่งจะได้อ่านบทวิเคราะห์ขนาดสั้นของ เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ ข้อเสนอเรื่องฉันทามติรัฐสวัสดิการสังคมนิยมประชาธิปไตย น่าจะเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ เพราะไม่เพียงแต่การแก้ไขปัญหาเรื่องการเมืองอัตลักษณ์แล้ว การกลับไปหาคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ยอมรับและเปิดกว้าง โอบรับความหลากหลายพร้อม ๆ กับการยอมรับทุก ๆ คนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมไทยต้องการ การมีระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ไม่ได้กำหนดจากสถานะของบุคคลแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบัน อาจจะเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ความไม่ยุติธรรมหลาย ๆ ประการหายไปก็ได้

หมายเหตุ ขอขอบคุณภาพประกอบบทความจาก GDH


เชิงอรรถ

[1] งานเขียนบทซีรีส์และภาพยนตร์อาจจะไม่ได้เป็นงานของบอสแต่เพียงผู้เดียว แต่จากการสังเกตของผู้เขียนพบว่างานบทของซีรีส์และภาพยนตร์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้มีลักษณะบางประการร่วมกัน.

[2] see Adrienne Cecile Rich, “Compulsory Heterosexuality and Lesbian Existence” (1980) Journal of Women’s History, Vol.15, N.3, 11, https://posgrado.unam.mx/musica/lecturas/Maus/viernes/AdrienneRichCompulsoryHeterosexuality.pdf.

[3] ดู จุฑามาศ สาคร, “การสร้างตัวละครตัวละครที่มีลักษณะเฉพาะและการเล่าของละครโทรทัศน์ชุดโปรเจกต์เอส เดอะ ซีรีส์ตอน Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ และ SOS Skate SOS Skate ซึม ซ่าส์,” (วิทยานิพนธ์ปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561), https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=3958&context=chulaetd.

[4] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “แปลรักฉันด้วยใจเธอกับความเป็นชายที่พร้อมจะกดทับทุกคน,” Khemmapat.org, 9 พฤศจิกายน 2565 [Online], สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://khemmapat.wordpress.com/blogs/1520/.

[5] ดู เดชรัต สุขกำเนิด และนุชประภา โมกข์ศาสตร์, “ขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาค: ความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ระดับนโยบาย,” ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต, 3 มิถุนายน 2565 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://think.moveforwardparty.org/article/welfare/2638/.

[6] ดู เปรม ใจบุญ, “มองความเหลื่อมล้ำของ ‘ต่างจังหวัด’ และ ‘กรุงเทพฯ’ ผ่านระบบขนส่งมวลชน,” ANGKAEW for EQUALITY, 15 มีนาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://angkaew4equality.masscomm.cmu.ac.th/มองความเหลื่อมล้ำของ-ต/.

[7] กองบรรณาธิการ, “ขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด ‘ไม่มี’ เพราะรัฐไม่จัดสรร จังหวัดที่ ‘มี’ เกิดขึ้นได้โดยเอกชน,” Thairath Plus, 18 พฤศจิกายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/100718.

[8] “บทบาททางเพศ” เป็นแนวคิดทางสังคมวิทยาและจิตวิทยาที่อธิบายถึงพฤติกรรม ทัศนคติ และความคาดหวังที่สังคมกำหนดให้กับบุคคลตามเพศสภาพของคนนั้น.

[9] เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, ฉันทามติรัฐสวัสดิการสังคมนิยมประชาธิปไตย, (กรุงเทพฯ: จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์, 2567), 69-70; วัชรพล พุทธรักษา, Crack/ลัทธิมาร์กซ์/101, (พิษณุโลก: แครกเกอร์ บุ๊กส์, 2567), 10-16.

[10] ทุนทางวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในทุน 4 ประเภทตามแนวคิดของ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ ซึ่งประกอบไปด้วยทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางสัญลักษณ์ และทุนทางสังคม. ดู กาญจนา แก้วเทพ และสมสุข หินวิมาน, สายธารแห่งนักคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองกับสื่อสารศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อินทนิล, 2560), 549-551.

[11] นิธิ เอียวศรีวงศ์, พระพุทธศาสนาไทยตายแล้ว?, (กรุงเทพฯ: ปลากระโดด, 2566), 32-37.

[12] มติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 31/2545 เรื่อง การบวชภิกษุณี; ประกาศมหาเถรสมาคม ว่าด้วยเรื่องห้ามพระภิกษุ สามเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต พ.ศ. 2471; สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, รายงานผลการพิจารณา ที่ 344/2558 เรื่อง สิทธิสตรีและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีมหาเถรสมาคมมีมติห้ามบวชภิกษุณีในประเทศไทย, https://crcfthailand.org/wp-content/uploads/2015/07/e0b8a1e0b895e0b8b4-e0b881e0b8aae0b8a1-e0b895e0b988e0b8ad-e0b8a1e0b895e0b8b4-e0b8a1e0b8aa-e0b980e0b8a3e0b8b7e0b988e0b8ade0b887e0b8ab.pdf.

[13] วิสุทธิ์ เวชวราภรณ์, “องคชาต(เป็น)ใหญ่: มองขนาด อำนาจ และความเปราะบาง ผ่านอวัยวะเพศและความเป็นชาย,” ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร, 13 มิถุนายน 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/616.

[14] ดู ข้อมูลอาชีพ (Job description) ของปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองปฏิบัติการ) https://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=637553960702612227.

[15] ดู บทสัมภาษณ์ของ รัศมี ทอศิริชูชัย เลขานุการและหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘โครงการพาลูกสาวกลับบ้าน’ (Koom Haum PojNiam HmoobThaib). สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์, “กลับบ้านเรา รักรออยู่: โครงการพาลูกสาวกลับบ้าน ของหญิงชาวม้งที่ลุกขึ้นมาชวนพ่อแม่ชาวม้งวางค่านิยมประเพณี เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางเพศในกลุ่มชาติพันธุ์บนภูเขาสูง,” The Cloud, 6 กันยายน 2562 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://readthecloud.co/hmong-women-rights/.

[16] วัชรพล พุทธรักษา, Crack/ลัทธิมาร์กซ์/101, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 9, 16.

[17] คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564.

[18] ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์, “ระหว่างบรรทัดศาลรัฐธรรมนูญ จากสมรสเท่าเทียมสู่ฟ้องชู้,” the 101.world, 13 สิงหาคม 2567 [Online], สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2567, สืบค้นจาก https://www.the101.world/constitutional-court-and-family-law/.

เศรษฐกิจที่คิดคำนึงถึงผู้หญิง: มองเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่มีประชาชนคนใดที่จะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทว่า การได้รับผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ดี ในภาพกว้างของสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมนี้มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำอยู่ ทั้งในเชิงรายได้ ทรัพย์สิน รวมไปถึงสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่ากัน ซึ่งภายใต้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำมีคนบางกลุ่มที่จะถูกโครงสร้างความเหลื่อมล้ำกดทับมากกว่า ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกกดทับก็คือ “ผู้หญิง”

เศรษฐกิจกับเรื่องของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจ

การก่อตัวของแรงงานเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่แยกกระบวนการผลิตออกจากการผลิตในหน่วยครัวเรือน เพื่อเข้าสู่การผลิตในหน่วยอุตสาหกรรม โดยทำให้เกิดกระบวนการแบ่งงานกันทำระหว่างหญิงชาย รวมถึงทำให้เกิดการแบ่งบทบาทหญิงชาย โดยกำหนดให้ผู้หญิงมีบทบาทในครัวเรือน ในขณะที่ผู้ชายมีบทบาทในพื้นที่สาธารณะและการทำงาน[1]

ในบริบทของประเทศไทยอาจจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก คือการกำหนดบทบาทของผู้หญิงในสังคม โดยเฉพาะเมื่อในเวลาต่อมาประเทศไทยมีการรับเอาคติแบบวิคตอเรียน (Victorian) เข้ามา ผ่านทางราชสำนัก ก่อนภาพดังกล่าวจะถูกผลิตซ้ำในสังคมและกลายเป็นแบบแผนของผู้หญิงที่ควรจะเป็นในสังคม[2] ทำให้สังคมไทยมีลักษณะคล้ายๆ กับสังคมตะวันตกที่มีการแบ่งบทบาทของชายและหญิงออกจากกัน โดยผู้หญิงถูกสังคมมอบหมายบทบาทให้เป็นคนดูแลเรื่องในบ้านและมีหน้าที่ดูแลลูก ในขณะที่ผู้ชายถูกกำหนดให้มีบทบาทในสังคมในฐานะของแรงงานและการออกไปทำงานนอกบ้าน

ผลของการแบ่งพื้นที่ระหว่างเรื่องในบ้านและเรื่องนอกบ้านอย่างเด็ดขาด ทำให้การทำงานของผู้หญิงไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงานที่สร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากงานของผู้ชาย[3] อย่างไรก็ดี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปและกระแสของประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในพื้นที่สาธารณะ (นอกบ้าน) ทำให้ผู้หญิงมีพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเข้าสู่ตำแหน่งทางการงานต่างๆ ตั้งแต่ในภาคเอกชนและราชการ

ทว่า การเข้ามาทำงานของผู้หญิงทั้งในภาคเอกชนและราชการ ก็ยังมีประเด็นอีกมากที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้หญิงในทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความเท่าเทียม

ผู้หญิงกับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มากกว่าผู้ชาย

แม้ว่าในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุน รวมถึงสามารถมีความก้าวหน้าในตำแหน่งต่างๆ ได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย  อย่างไรก็ดี ปัญหาความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายยังคงมีอยู่โดยปรากฏอยู่ในรูปแบบอื่นๆ อาทิ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างหญิงชาย โดยจากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2561 พบว่าช่องว่างระหว่างค่าจ้างหญิงชายเทียบเป็นสัดส่วนกับค่าจ้างของหญิงไม่ได้ขึ้นกับระดับการศึกษา กล่าวคือ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใดๆ ลูกจ้างเอกชนชายมีค่าจ้างสูงกว่าหญิงร้อยละ 22-57 ในปี พ.ศ. 2530-2539 ร้อยละ 12-50 ในปี พ.ศ. 2540-2549 และร้อยละ 11-32 ในปี พ.ศ. 2550-2559 สถานการณ์ดีขึ้นสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ แต่กลับแย่ลงสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี[4] สภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงมีความเสียเปรียบผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี

ปัจจัยส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้ผู้หญิงได้รับค่าจ้างต่ำกว่ามาจากวิธีคิดเกี่ยวกับผู้หญิงที่ว่า ผู้หญิงนั้นไม่ได้มีสถานะเป็นแรงงานที่เท่าเทียมกับผู้ชาย เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของการทำงานและการออกจากงานของผู้หญิงเมื่อมีครอบครัว ทำให้บริษัทส่วนใหญ่อาจจะให้ค่าจ้างกับผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้ในด้านของแรงงานไร้ฝีมือในกระบวนการผลิตปกตินั้น ผู้ชายกับผู้หญิงก็อาจจะได้ค่าตอบแทนแตกต่างกันบ้าง แต่แนวโน้มที่ค่าตอบแทนจะปรับมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงมากขึ้น สวนทางของแรงงานมีฝีมือที่ความแตกต่างระหว่างค่าจ้างของผู้หญิงและผู้ชายที่จบปริญญาตรีมีสูงมาก ทั้งๆ ที่การทำงานไม่ได้มีความแตกต่างในเชิงกายภาพ[5] 

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านค่าใช้จ่ายจะพบว่า ผู้หญิงมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นโดยเหตุผลธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายประจำวันที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ อาทิ ค่าใช้จ่ายจากผ้าอนามัย โดยหากคำนวณราคาผ้าอนามัยแบบมาตรฐานเฉลี่ยชิ้นละ 5 บาท โดยค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้าอนามัยจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 75 – 175 บาท ซึ่งเมื่อคิดจากระยะเวลาการมีประจำเดือนของผู้หญิงที่จะมีประจำเดือนจนอายุ 40 ปี ผู้หญิงจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับผ้าอนามัยประมาณ 84,000 บาท ตลอดช่วงชีวิต[6] ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเกิดเป็นผู้หญิง

ภาพของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงชายยังมีประเด็นอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก โดยหากขยับไปสู่ประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงในบทบาทของแม่

บทบาทของแม่ กับมุมหนึ่งของการเป็นแม่ที่ไม่ถูกมองเห็น

อีกหนึ่งเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ การเป็นแม่ แม้ว่าสังคมจะยกย่องบทบาทของการเป็นแม่ว่าเป็นความสำคัญและเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งที่ควรยกย่อง ถึงขนาดมีการมอบรางวัลแม่ดีเด่นต่างๆ ทว่า บทบาทของการเป็นแม่นั้นมีภาระในทางตรงกันข้าม การที่สังคมกำหนดบทบาทความเป็นแม่ให้เป็นหน้าที่เฉพาะของผู้หญิงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้สถานะความเป็นแม่ถูกสังคมคาดหวังจนกลายเป็นภาระที่กดทับผู้หญิง

บทบาทของการเป็นแม่เปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก นอกจากการจะต้องโฟกัสและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปให้กับลูก ทำให้ผู้หญิงมีภาระมากกว่าปกติ รวมถึงการมีลูกนั้นทำให้ผู้หญิงอาจจะต้องละทิ้งการโฟกัสชีวิตในด้านอื่นๆ เพื่อมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก ดังจะเห็นได้ว่า มีผู้หญิงจำนวนมากที่ออกจากงานภายหลังการมีลูก ซึ่งกลายเป็นว่า ผู้หญิงต้องละทิ้งโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับการเลี้ยงลูก เพราะในมุมมองของบริษัทจะมองว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานคือ การแบ่งบทบาทระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ขาดออกจากกัน ซึ่งในความเป็นจริง การจะทำแบบนั้นได้มีต้นทุนที่จะต้องแบกรับ เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝากลูกไว้กับเนิร์สเซอรีหรือการจ้างคนอื่นมาเลี้ยงลูก เป็นต้น

ดังนั้น ทางเลือกของผู้หญิงจึงถูกบีบให้เหลือเพียงแค่ “ถ้าอยากมีลูกก็ไม่ต้องเน้นการทำงาน แต่ถ้าอยากก้าวหน้าในการทำงาน ก็ไม่ต้องมีลูก” ซึ่งในท้ายที่สุด หากผู้หญิงอยากจะกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่งอาจจะต่อไม่ติดกับงานอีกแล้ว รวมถึงอาจจะไม่มีความก้าวหน้าในการงานอีกต่อไป[7]

ในทางเศรษฐกิจ การเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงมีต้นทุนของการใช้ชีวิตที่สูงกว่าผู้ชายในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือ ผู้หญิงในบทบาทของการเป็นแม่ในชีวิตประจำวันอาจจะมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบการเดินทางเป็นการแวะหลายต่อ เช่น ผู้หญิงที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางก็คือ การแวะไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทันทีที่มีการเดินออกสถานีรถไฟฟ้าเพื่อแวะส่งลูก ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็จะต้องนับหนึ่งใหม่ และถ้าในช่วงเย็น ต้นทุนก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะนอกจากกลับจากที่ทำงานแล้ว อาจจะต้องแวะรับลูก และแวะซื้ออาหารหรือของใช้เข้าบ้าน ในขณะที่ผู้ชายอาจจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านเลย เป็นต้น[8]

เช่นเดียวกันหากผู้หญิงเปลี่ยนไปเดินทางด้วยวิธีการอื่น ต้นทุนของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นก็ยังคงมีอยู่จากการเดินทางหลายต่อ สิ่งนี้สะท้อนว่าผู้หญิงในบทบาทความเป็นแม่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วยขนส่งสาธารณะสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีลูกและผู้ชาย

นอกจากนี้ ปัญหาของผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่อีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าผู้หญิงจะสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีระหว่างเรื่องการทำงานและการเลี้ยงลูก แต่ในบทบาทของชีวิตสมรสภายใต้สถาบันครอบครัวที่ผู้หญิงได้รับ คือ การเป็นแม่ศรีเรือนหรือแม่บ้านแม่เรือนตามที่สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงจะต้องทำงานบ้านด้วย ซึ่งการทำงานบ้านนี้เป็นงานที่ไม่ถูกนับรวมเป็นการทำงาน เพราะในวิธีคิดแบบเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ได้มองว่าการทำงานบ้านเป็นงานที่มีผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่การทำงานบ้านเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิตแรงงานในระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง

ปัญหาทั้งหมดจะยิ่งซ้ำเติมผู้หญิง เมื่อต้องดำรงบทบาทของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่จะต้องดูแลลูกคนเดียวโดยปราศจากการสนับสนุนจากคู่สมรส ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุว่าคู่สมรสเสียชีวิตหรือหย่าขาด เพราะทำให้ผู้หญิงในบทบาทการเป็นแม่ต้องรับต้นทุนแต่เพียงฝ่ายเดียว

การสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับคนในสังคม

การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมของหญิงชายนั้นต้องแก้ไขปัญหาในหลายระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ควรจะเริ่มต้นจากการมองเห็นความต้องการของผู้หญิงให้มากยิ่งขึ้น

ในเชิงนโยบายรัฐมีส่วนเข้ามาช่วยเหลือได้มากในหลายๆ วิธีการ ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การจัดให้มีรัฐสวัสดิการที่จะช่วยเข้ามาแบ่งเบาภาระและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในเรื่องต่างๆ เช่น การจัดให้มีสวัสดิการผ้าอนามัยเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้หญิงในแง่มุมหนึ่ง หรือการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรผ่านการได้รับเงินช่วยเลี้ยงดูบุตรในลักษณะต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในบริบทของการทำงานในกรณีของผู้หญิงโดยเฉพาะกรณีของการเป็นแม่ ซึ่งเวลาการทำงานควรจะถูกปรับให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับกับผู้หญิงที่ต้องการให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือ กรณีของประเทศอังกฤษ ได้มีการตรา Children and Family Act 2007 ขึ้นมา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิแก่คนทำงานได้อย่างยืดหยุ่นทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย

ต้องถือว่ารัฐมีส่วนสำคัญในการโอบอุ้มและให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงและแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแม่ เพราะการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมานั้นต้องใช้ทรัพยากรที่มาก การจะปล่อยให้บทบาทการเลี้ยงดูเด็กภายใต้สถาบันครอบครัวเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากความช่วยเหลือหรือประคับประคองโดยรัฐอาจจะไม่เหมาะสม

แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ปัญหาของระบบเศรษฐกิจที่กดทับผู้หญิงบางส่วนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสถานะทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบทบาทความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรม ในความเป็นจริงการเป็นแม่หรือสวมบทบาทแม่นั้นไม่ควรจะจำกัดเฉพาะผู้หญิง แต่หน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็กให้เกิดและเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีนั้นควรเป็นบทบาทของทุกคนในสถาบันครอบครัวทั้งไม่ว่าจะเป็นสามีภริยาหรือครอบครัวในรูปแบบอื่นๆ รวมถึงสังคมก็ควรจะมีบทบาทในการช่วยเหลือในการเลี้ยงดูเด็กเช่นกัน


เชิงอรรรถ

[1] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, ‘เศรษฐศาสตร์จากมุมมองสตรีนิยม’ (การสัมมนานักวิชาการรุ่นเยาว์ ณ ห้องประชุมคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547) 6.

[2] การรับอิทธิพลแบบวิคตอเรียนเข้ามาในสังคมไทยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปฏิรูปรัฐราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ประเทศไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกผ่านการเข้าทำความตกลงกับอังกฤษ.

[3] ร่มเย็น โกไศยกานนท์, (เชิงอรรถ 1) 6-7.

[4] วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, ‘3 ทศวรรษ ของการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานไทย’ (TDRI, 5 มีนาคม 2561) <https://tdri.or.th/2018/03/3decade-thai-labour-market/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] นุชประภา โมกข์ศาสตร์, ‘สร้างสวัสดิการขั้นพื้นฐานเพื่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ด้วยผ้าอนามัยที่ทุกคนเข้าถึงได้’ (ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต, 29 มีนาคม 2565) <https://think.moveforwardparty.org/article/welfare/2217/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[7] ดู พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล และ วิโรจน์ สุขพิศาล, ‘ผศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา : เมื่อการเป็นผู้หญิง ไม่ได้ทำให้คนเสียเปรียบเท่าการเป็นแม่’ (the 101.world, 23 เมษายน 2562) <https://www.the101.world/manasikan-interview/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.

[8] บุญวรา สุมะโน, ‘เมืองที่มองไม่เห็นคนกว่าครึ่ง’ (the 101.world, 8 มีนาคม 2565) <https://www.the101.world/women-in-bangkok/> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565.