PRIDI Economic Focus: 2565 ปรับค่าแรงใหม่เพียงพอหรือไม่ สำรวจบทวิเคราะห์ค่าแรง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” นับเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งนำมาสู่ประเด็นต่างๆ เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำมีความเหมาะสมหรือไม่ หรือ ต้นทุนของผู้ประกอบการจะเป็นเช่นไร เป็นต้น

ในบทความนี้ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ภายใต้คอลัมน์ PRIDI Economic Focus จะขอพาท่านไปติดตามเรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ที่มีผลใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และสำรวจบทวิเคราะห์ที่ว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำ

การปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2565 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยมีอัตราค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท เป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยขึ้น 5.02 %[1] การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้เป็นผลมาจากข้อเสนอของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งได้มีการเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา ซึ่งที่ประชุมพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำบนพื้นฐานของความเสมอภาค เพื่อให้นายจ้างสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ และลูกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข และมีเป้าหมายเพิ่มเติม คือ การเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น[2] ซึ่งการจัดแบ่งค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 9 อัตรา มีลักษณะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ดังนี้

ตารางแสดงค่าแรงขั้นต่ำปี พ.ศ. 2565

ลำดับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(บาท/วัน)
จำนวน
(จังหวัด)
เขตท้องที่บังคับใช้
13543จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
23536กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
33451จังหวัดฉะเชิงเทรา
43431จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
534014จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา ปราจีนบุรี พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
63386จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม
733519จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง และอุตรดิตถ์
833222จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุทัยธานี
93285จังหวัดนราธิวาส น่าน ปัตตานี ยะลา และอุดรธานี

โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ได้เริ่มต้นใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลเป็นการปรับเปลี่ยนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม

ค่าจ้างขั้นต่ำคืออะไร และมีหลักการเบื้องหลังการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

“ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ อัตราค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนวิธีคิดว่า อัตราค่าจ้างดังกล่าวเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน 1 คน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น[3]

กล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ค่าจ้างขั้นต่ำ” คือ การที่รัฐเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดราคาขั้นต่ำของค่าจ้างมิให้ต่ำไปกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป้าหมายของการแทรกแซงดังกล่าวก็เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเพิ่มค่าจ้าง และช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากร และทำให้การกระจายรายได้เป็นธรรมมากขึ้น[4]

อย่างไรก็ดี ทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ (ในอดีต) มักจะอธิบายว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมีผลเสียที่เกิดขึ้น และอาจจะไม่ได้ดีกับแรงงานเสมอไป เพราะในแง่หนึ่งการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการให้สูงขึ้น โดยสมมติให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมอยู่ที่ 300 บาท ต่อมามีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมาเป็น 360 บาท ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 60 บาท

ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยอาจจะต้องลดจำนวนแรงงานลงหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปพึ่งพาเครื่องจักรมากขึ้น ซึ่งหากเป็นธุรกิจประเภท SMEs และอุตสาหกรรมประเภทต้องใช้แรงงานคนที่เข้มข้นก็อาจจะได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก และการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรอาจจะไม่ช่วยอะไร

นอกจากนี้ การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอาจจะกระทบการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้เกิดการเปลี่ยนฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศแทน ซึ่งทำให้จำนวนแรงงานที่จะตกงานเพิ่มขึ้นอีก[5] (อย่างไรก็ดี การประเมินภาพในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่จริงเสมอไป และในปัจจุบันก็มีงานวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ยืนยันว่า การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดการว่างงานมากเท่าใดนัก)

ด้วยเหตุที่การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีผลกระทบต่อสังคมในด้านต่างๆ มาก ทำให้รัฐบาลไม่สามารถกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้โดยลำพัง ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นหลักการเบื้องหลังของการกำหนดอัตราค่าจ้างก็คือ “การเจรจา” บนฐานคิดว่าควรจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเท่าใด โดยโจทย์สุดท้ายของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะกลับไปสู่กระบวนการเจรจาและใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำระหว่างผู้แทน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน[6] โดยจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากตัวเลขเดิมก่อนหน้านี้เท่าใด ซึ่งผลสรุปที่ได้ก็คือ ตัวเลขดังปรากฏตามตารางข้างต้น

ค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต?

การที่รัฐบาลเข้ามากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อีกแง่หนึ่งมีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เพราะหากไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2556 ได้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้บางจังหวัดหรือบางพื้นที่ มีอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม เช่น ในจังหวัดพะเยา ก่อนหน้าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบาย 300 บาท มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 159 บาท เป็นต้น[7] ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในพื้นที่นั้นให้ดีขึ้น

ทว่า ปัญหาของประเทศไทย คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดกันในวันนี้เหมาะสมหรือไม่ ดังกล่าวมาแล้วว่า หลักการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดบนพื้นฐานของการมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพของแรงงานในแต่ละวันเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะหรือความจำเป็นที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของแรงงาน

ผลก็คือ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้แรงงานใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งนี้นำมาสู่การตั้งคำถามจาก 101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ว่า ค่าจ้างขั้นต่ำควรกำหนดด้วยฐานคิดว่า “ควรเพิ่มเท่าไหร่” ไม่ใช่ “ควรเป็นเท่าไหร่” ในบทความชื่อว่า “ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต”

ประเด็นที่ 101 PUB ได้ยกขึ้นมากล่าวอย่างน่าสนใจก็คือ ในการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำควรจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดต่อปัจจัยการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเสียใหม่ โดยวิธีการที่ใช้สำหรับการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน คิดจากฐานของการใช้ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำเดิมมาเป็นตัวกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ แล้วจึงค่อยพิจารณาปรับและกำหนดจำนวน โดยดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยอาจพิจารณาเพิ่มเติมด้วยอัตราสมทบของแรงงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ตามคำชี้แจงการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ)[8]

ทว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำโดยวิธีการดังกล่าวมีปัญหา เพราะค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ โดย 101 PUB ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำไทยเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มน้อยกว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย และ GDP per Capita เป็นต้น

ซึ่งทาง 101 PUB ได้ดำเนินการเปรียบเทียบค่าจ้างขั้นต่ำกับค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2556 – 2563 ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย (average wage) เพิ่มขึ้น 108 บาทต่อวัน กลายเป็น 587 บาทต่อวัน GDP per Capita เพิ่มขึ้น 151 บาทต่อวัน กลายเป็น 757 บาทต่อวัน แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 28-54 บาทต่อวัน กลายเป็น 328-354 บาทต่อวัน และเมื่อพิจารณาจากค่าจ้างขั้นต่ำเป็นมูลค่าที่แท้จริง (ขจัดผลของอัตราเงินเฟ้อออก) ยิ่งสะท้อนว่า แนวทางการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ไม่สามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดีขึ้นได้[9]

ประเด็นดังกล่าวนำมาสู่ข้อเสนอในการปรับปัจจัยที่ใช้ในการคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เนื่องจากปัจจัยค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน ยังไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบ เพื่อให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานมากขึ้น

101 PUB จึงเสนอว่า ควรเปลี่ยนปัจจัยในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นการคิด “ค่าจ้างเพื่อชีวิต” (living wage) โดยค่าตอบแทนสำหรับการทำงานตามเวลาปกติ ที่ทำให้แรงงานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล การเดินทาง เครื่องนุ่งห่ม และสิ่งจำเป็นอื่นๆ ในการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของสังคม ตลอดจนการเตรียมตัวรับมือกรณีฉุกเฉิน[10]

การปรับแก้ปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้น การทบทวนปัจจัยในการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ จึงเป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ที่สังคมไทยต้องเร่งผลักดันกันต่อไป


เชิงอรรถ

[1] The Standard, ‘ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ มีผล 1 ต.ค. 2565 ตามกรอบที่เสนอ กทม.-ปริมณฑล 353 บาท’ (The Standard, 13 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/cabinet-minimum-wages/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[2] The Standard, ‘เปิดค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 5% ทั่วประเทศ มีผล 1 ตุลาคม 2565’ (The Standard, 26 กันยายน 2565) <https://thestandard.co/minimum-wage-year-2022/> สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2565.

[3] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[4] ศศิวิมล ตันติวุฒิ, ‘ค่าจ้างขั้นต่ำช่วยแรงงานจริงหรือ?’ (TDRI, 22 กันยายน 2559) <https://tdri.or.th/2016/09/does-minimum-wage-effective/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[5] เพิ่งอ้าง.

[6] คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11).

[7] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘ค่าแรงขั้นต่ำ ทำไมถึงต้องสูง?’ (The 101 world, 2 ธันวาคม 2564) <https://www.the101.world/why-high-minimum-wage/> สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2565.

[8] กษิดิ์เดช คำพุช, ‘ยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำไทย ให้ไปถึงค่าจ้างเพื่อชีวิต’ (The 101.world, 29 กันยายน 2565) <https://www.the101.world/minimum-wage-to-living-wage/> สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2565.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] เพิ่งอ้าง.

Hometown Cha-Cha-Cha: ค่าจ้างขั้นต่ำกับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภาพ: โปสเตอร์ซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha

หลังจาก Squid Game ลาจอไปได้ไม่นาน ประเทศเกาหลีก็ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสการพูดถึงซีรีส์ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วยเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha นอกจากเนื้อเรื่องที่มีการพูดถึงความรัก บรรยากาศอบอุ่นใจของความสัมพันธ์ต่างๆ ของตัวละครในเรื่อง และปมปัญหาชีวิตที่หลากหลายของตัวละครแต่ละตัวแล้ว โดยเรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นที่ชุมชนชาวประมงเล็กๆ ชื่อว่า “กงจิน” 

สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในเรื่องและคิดว่าเป็นสิ่งที่เนื้อเรื่องพยายามจะสื่อสารกับคนดูทุกคนก็คือ “เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอยู่ในท้องถิ่นได้” ผ่านบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีค่าจ้างขั้นต่ำที่มีคุณภาพเพียงพอกับการครองชีพ

หัวหน้าฮงและชาวบ้านกงจินดำรงชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำได้อย่างไร

อาจจะไม่การสปอยเนื้อเรื่องจนเกินไป เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ซีรีส์พยายามถ่ายทอดให้กับคนดูทุกคนรู้ตั้งแต่ Ep แรกๆ ของแล้วว่า ตัวละครหลายตัวในเรื่องนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง เช่น ตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่องอย่างหัวหน้าฮง ซึ่งจะทำงานจิปาถะต่างๆ (หัวหน้าฮงทำได้ทุกอย่างจริงๆ มีใบอนุญาตทำงานทุกๆ อย่างเท่าที่จะมีได้ และมีทักษะหลากหลายตั้งแต่พูดภาษารัสเซียและใช้ภาษามือ ไปจนถึงการเป็นบาริสต้า ช่างทาสี ช่างไฟฟ้า และช่างซ่อมเรือ)

ในชุมชนหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้โดยคิดค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน ต่อชั่วโมงคูณด้วยชั่วโมงการทำงานในแต่ละงาน เช่น ตอนที่ตัวเอกหญิงของเรื่องได้ให้หัวหน้าฮงดำเนินการจัดทำเรื่องสัญญาเกี่ยวกับการเช่าบ้าน และสถานที่สำหรับทำร้านหมอฟัน เป็นต้น และ โดยการทำงานของหัวหน้าฮงจะเป็นรูปแบบของฟรีแลนซ์ มีเวลาทำงานโดยเป็นคนกำหนดเอง และจะไม่ทำงานในวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์

ประเด็นสำคัญคือ ค่าจ้างขั้นต่ำที่หัวหน้าฮงเรียกเป็นค่าบริการนี้เป็นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2021 ซึ่งรัฐบาลเกาหลีกำหนดให้คนเกาหลีที่ทำงานรับจ้างได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 8,720 วอน หรือ 240 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของประเทศไทย และมากกว่าอาชีพพนักงานร้านสะดวกซื้อบางยี่ห้อที่ให้ค่าตอบแทนพนักงานประมาณชั่วโมงละ 40 บาท (โดยมีขอบเขตการทำงานกว้างขวางเหมือนมหาสมุทร) นอกจากค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงแล้วรัฐบาลเกาหลียังได้มีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนด้วย (เงินเดือนรวมๆ) จะต้องอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,822,480 วอน หรือประมาณ 51,000 บาท (มากกว่าค่าตอบแทนปริญญาตรีของไทย)

ไม่ใช่แค่ตัวละครเอกฝ่ายชายเท่านั้นที่ทำงานเรียกรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้ จะเห็นได้ว่าตัวละครหลายตัวในเรื่องดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ เช่น คุณยายกัมรี หัวหน้าแก๊งสามยาย ที่มีอาชีพควักเครื่องในหมึกก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในการดำรงชีวิต ซึ่งถ้าเทียบกับค่าครองชีพแล้วจะเห็นฉากหนึ่งที่แก๊งสามยายไปซื้อสบู่ที่บ้านของหัวหน้าฮง ซึ่งจะมีการพูดถึงราคาสบู่ก้อนละ 500 วอน ซึ่งคุณยายทั้งสามจะบอกว่ามันถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพ สิ่งนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงความสมเหตุสมผลของค่าจ้างและค่าครองชีพในชุมชน

ดังจะเห็นได้ว่าค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศเกาหลีนั้น เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง และแม้จะอยู่ในท้องถิ่นชนบทค่าจ้างขั้นต่ำในจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินที่มากจนนายจ้างไม่สามารถจ่ายได้และไม่ได้น้อยไปจนไม่สามารถใช้ในการครองชีพได้เลย เพราะจะเห็นได้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีการจ้างงานจิปาถะกับหัวหน้าฮงแทบจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะจ่ายค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าวเลย

นอกจากนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำของเกาหลียังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ มีการทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสม่ำเสมอ แม้ว่าซีรีส์จะพึ่งจบไปไม่นาน แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนไปแล้ว โดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (The Minimum Wage Commission) ของประเทศเกาหลี ได้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาและได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2022 เป็น 9,160 วอน หรือประมาณ 256 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 5.1 ของค่าจ้างขั้นต่ำในปีก่อน และกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนไว้ที่ 1,914,440 วอน หรือประมาณ 53,700 บาท ต่อเดือน ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ดำเนินการมาต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 24 ปี ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา และการประกันค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนเริ่มต้นมีในปี 2016

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับเปลี่ยนโดยคณะกรรมการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

YearHouly Minimum
wage rate
Dai ly minimum wage rate
(based on 8 hours)
Monthly minimum wage rate
(based on 209 hours, based on Public notice)
Increase
(an increase in the amount)
‘22.1.1 ~’22.12.319,16073,2801,914,4405.05(440)
‘21.1.1 ~’21.12.318,72069,7601,822,4801.5(130)
‘20.1.1 ~’20.12.318,59068,7201,795,3102.87(240)
‘19.1.1 ~’19.12.318,35066,8001,745,15010.9(820)
‘18.1.1 ~’18.12.317,53060,2401,573,77016.4(1,060)
‘17.1.1 ~’17.12.316,47051,7601,352,2307.3(440)
‘16.1.1 ~’16.12.316,03048,2401,260,2708.1(450)
‘15.1.1 ~’15.12.315,58044,640 7.1(370)
14.1.1~’14.12.315,21041,680 7.2(350)
‘13.1.1 ~’13.12.314,86038,880 6.1(280)
‘12.1.1 ~’12.12.314,58036,640 6.0(260)
‘11.1.1~’11.12.314,32034,560 5.1(210)
‘10.1.1~’10.12.314,11032,880 2.75(110)
‘09.1.1~’09.12.314,00032,000 6.1(230)
‘08.1.1~’08.12.313,77030,160 8.3(290)
‘07.1.1~’07.12.313,48027,840 12.3(380)
‘05.9~’06.123,10024,800 9.2(260)
‘04.9~’05.82,84022,720 13.1(330)
‘03.9~’04.82,51020,080 10.3(235)
‘02.9~’03.82,27518,200 8.3(175)
‘01.9~’02.82,10016,800 12.6(235)
‘00.9~’01.81,86514,920 16.6(265)
‘99.9~’00.81,60012,800 4.9(75)
‘98.9~’99.81,52512,200 2.7(40)
‘97.9~’98.81,48511,880 6.1(85)
‘96.9~’97.81,40011,200 9.8(125)
‘95.9~’96.81,27510,200 8.97(105)
‘94.9~’95.81,1709,360 7.8(85)
’94.(1~8)1,0858,680 7.96(80)
’931,0058,040 8.6(80)
’929257,400 12.8(105)
’918206,560 18.8(130)
’906905,520 15.0(90)
’896004,800 1Group29.7(137.5)
2Group23.7(112.5) 
’881Group 462.50
2Group 487.50 
3,700
3,900 
 
ที่มา: Minimum Wage Commission, Republic of Korea

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกาหลีก็มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นมาจากการผูกขาดของการพัฒนา และจะมีด้านมืดของสังคมที่มีการกดดันต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเรียกสังคมเกาหลีว่า “นรกโชซอน” (Hell Joseon) และอัตราค่าครองชีพอาจจะสูงมากเมื่ออยู่ในเมืองทำให้คุณภาพชีวิตอาจจะลดลงบ้าง แต่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวก็เพียงพอในการดำรงชีวิตได้

ถ้าหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทยจะมีค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

เมื่อพิจารณาบริบทของประเทศเกาหลีในซีรีส์แล้ว ลองย้อนกลับมาดูประเทศไทย สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ ค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง และเหมาะสมกับค่าครองชีพจริงๆ หรือไม่ โดยมาลองสมมติกันว่า ถ้าหากหัวหน้าฮงเกิดเป็นคนไทย หรือถ้าน้ำเน่า (หน่อยๆ) แบบเรือแตกความจำเสื่อมแล้วมารู้สึกตัวอยู่เมืองไทยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่มีความสามารถมากมายหลายอย่างเขาจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไรในประเทศไทย

คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าหัวหน้าฮงทำงานที่ไหน หรือ เรือไปแตกแล้วตื่นขึ้นมาที่จังหวัดไหนของประเทศไทย เพราะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยมีความแตกต่างกัน (สัมพัทธ์) ตามพื้นที่การแบ่งเขตค่าจ้างขั้นต่ำ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมาคณะกรรมการค่าจ้างได้มีประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) ซึ่งได้ประกาศให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยแบ่งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แตกต่างกันตามเขตพื้นที่ (ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แต่อย่างใด) ดังนี้

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในแต่ละพื้นที่

  พื้นที่  ค่าจ้างขั้นต่ำ  จำนวนจังหวัด
จังหวัดชลบุรีและภูเก็ต3362
จังหวัดระยอง3351
กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ3316
จังหวัดฉะเชิงเทรา3301
จังหวัดกระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย อุบลราชธานี32514
จังหวัดปราจีนบุรี3241
จังหวัดกาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสงคราม3236
จังหวัดกาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ พะเยา ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์32021
จังหวัดกำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระยอง ราชบุรี ลำปาง ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อุทัยธานี และอำนาจเจริญ31522
จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี3133
ที่มา: ปรับปรุงจากประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ดังนั้น ถ้าหัวหน้าฮงทำงานในกรุงเทพมหานครก็จะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำรายวันๆ ละ 331 บาท หรือคิดเป็นรายชั่วโมงตกชั่วโมงละ 41 บาท (จำนวนนี้คิดจากการหาร 8 ชั่วโมงตามเวลาทำงานปกติสูงสุดตามกฎหมายแรงงานกำหนดไว้) และเมื่อคิดเป็นค่าจ้างต่อเดือนจะเป็นเงินจำนวน 9,930 บาท (คิดจากการคูณ 30 วัน ซึ่งอาจรวมเสาร์และอาทิตย์ซึ่งอาจเป็นวันหยุดงานในบางอาชีพและสถานประกอบการ)

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าครองชีพแล้วถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่หัวหน้าฮงจะต้องจ่าย เช่น ค่าเดินทาง และค่าเช่าที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมๆ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการมีเงินเก็บแม้แต่น้อย (แม้ว่าอาจจะมีพูดให้ความเห็นว่า ถ้ารู้จักใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอเพียง และรู้จักใช้ก็อยู่ได้ก็อยากให้คนพูดย้อนกลับไปคิดเองว่ามันเพียงพอจริงๆ เหรอ และจะเลือกรับเงินจำนวนดังกล่าวจริงๆ หรือไม่ ถ้าหากสามารถเลือกได้)

สำหรับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยนั้นตามพื้นที่นั้นเกิดจากการกำหนดของคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่าๆ กัน โดยศึกษาและพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้แก่ อัตราค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเทียบเคียงและอาศัยสูตรคำนวณตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ซึ่งเกณฑ์นี้ใช้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้นๆ โดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเอาไว้ให้กับลูกจ้างแรกเข้าในปีนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ลูกจ้างทุกคนจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำจริงๆ เช่น ในปี 2558 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำการสำรวจการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำแรงงานทั่วประเทศ พบว่ายังมีแรงงานทั่วประเทศไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 2.11 ล้านคน หรือร้อยละ 14.8 โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานในสถานประกอบการที่มีคนทำงานไม่เกิน 50 คน ((1-9 คน ร้อยละ 33.6) 10-49 คน (ร้อยละ 12)) เป็นต้น

ร้อยละของแรงงานไม่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำ

ขนาดสถานประกอบการ (คน)% แรงงานไม่ได้รับต่ำกว่า 300 บาท (ล้านราย)
1-933.6           (1.55)
10-4912.0           (0.38)
50-1993.7          (0.08)
200+ขึ้นไป1.9          (0.07)
อื่นๆ11.7          (0.01)
รวมเฉลี่ย14.8          (2.11)
หมายเหตุ: คำนวณจากการสำรวจการมีงานทำไตรมาส 3, 2558
ที่มา: ยงยุทธ  แฉล้มวงษ์, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.

นอกจากนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเกิดความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในพื้นที่ที่มีความเจริญอยู่แล้วหรือมีเป็นเมืองเศรษฐกิจ (การท่องเที่ยว และโรงงานอุตสาหกรรม) กลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูง ในขณะที่เมืองที่ยังไม่ได้รับการพัฒนากลับมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำ

เมื่อคิดถึงสภาพการลงทุนแล้วเอกชนอาจจะอยากลงทุนในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ต่ำเพิ่มขึ้น แต่แรงงานก็ไม่อยากทำงานในพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับพยายามโยกย้ายเข้าไปหางานทำในพื้นที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงสภาพการพัฒนายิ่งไม่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ เพราะแม้มีการลงทุนแต่อาจก็ไม่มีแรงงาน

ปัญหาเรื่องอัตราค่าครองชีพในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากโดยเฉพาะในช่วงหาเสียงที่รัฐบาลหลายพรรคการเมืองมักจะชูนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่นเดียวกันกับรัฐบาลนี้ที่เคยหาเสียงด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ไม่ได้ทำตามสัญญาหลังจากขอเวลามานาน) ประเด็นใจความสำคัญของการถกเถียงมักจะอยู่ที่ว่าการแทรกแซงราคาค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้เกิดอัตราการว่างงานเนื่องจากมีการปลดคนงานออก 

อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องเมื่อรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ล่าสุดนั้นได้สรุปผลการวิจัยว่า จาก “การทดลองตามธรรมชาติ” (Natural Experiments) โดยการศึกษาสถานการณ์ตามความเป็นจริงเพื่อตอบคำถามทางสังคมในเรื่องที่ว่าค่าแรงขั้นต่ำกับการอพยพส่งผลต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้าง ซึ่งผลสรุปนั้นพบว่า การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลต่อการจ้างงานลดลง และผู้อพยพก็ไม่ได้ทำให้พวกคนงานซึ่งเกิดในพื้นถิ่นได้รับค่าจ้างต่ำลง ผลการทดลองในครั้งนี้เป็นการพลิกแนวความคิดเดิมที่เคยยึดถือจากการทดลองโดยใช้แบบจำลองมาคิด

เมื่อกลับมาที่หัวหน้าฮง สถานการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนหากหัวหน้าฮงย้ายจากประเทศเกาหลีมาทำงานที่ประเทศ ไม่ว่าเขาจะทำงานในกรุงเทพฯ หรือ ในต่างจังหวัด อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวก และเลือกทำงานในวันที่อยากทำเหมือนในเรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha แต่ทางเลือกของหัวหน้าฮงอาจจะลดลงและทำงานอย่างยากลำบากในทุกๆ วันเพื่อจะมีชีวิตรอดไปวันจนไม่สามารถใส่ใจคนในชุมชนรอบตัวเขาได้อย่างเต็มที่แบบที่เป็นในซีรีส์ และคงไม่เกิดเรื่องราวอบอุ่นหัวใจเป็นที่แน่นอน

Hometown Cha-Cha-Cha (2021)

ประเภทซีรีส์: โรแมนติก, คอมเมดี้

ผู้กำกับ: ยูเจวอน

นักแสดงนำ: ชินมินอา, คิมซอนโฮ, อีซังอี

จำนวนตอน: 16 ตอน

ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง tvN วันที่ 28 สิงหาคม 2564 เวลา 21.00 น. (เกาหลี)

ประเทศไทยสามารถรับชมได้ที่ NETFLIX


อ้างอิงจาก

  • กองบรรณาธิการ TCIJ, ‘จับตา: สรุปรางวัลโนเบลทุกสาขาประจำปี 2021’ (TCIJ, 14 ตุลาคม 2564) <https://www.tcijthai.com/news/2021/10/watch/11993&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ยงยุทธ แฉล้มวงษ์, ‘ถึงเวลาปรับค่าจ้างขั้นต่ำได้หรือยัง’ (TDRI, 7 กันยายน 2558) <https://tdri.or.th/2016/09/minimum-wages/&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
  • Minimum Wage Commission, ‘Minimum Wage System’ (Minimum Wage Commission Republic of Korea) <http://minimumwage.go.kr/eng/sub04.html&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.
  • กรกิจ ดิษฐาน, ‘Hell Joseon เมื่อคนหนุ่มสาวเกาหลีไม่อยากอยู่ประเทศตัวเอง’ (Post Today, 4 พฤษภาคม 2564) <https://www.posttoday.com/world/652005&gt; สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2564.