ถอดรหัสรัฐสวัสดิการผ่านวัฒนธรรมการขอบริจาค

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“การบริจาค” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คู่กับสังคมไทย เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การบริจาคและการทำการกุศลนั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้สังคมดีขึ้น และสร้างความเป็นภราดรภาพ (ให้รู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน) ให้เกิดขึ้นภายใต้การอยู่ร่วมกัน มายาคติที่ว่านี้ส่วนหนึ่งนั้นอาจมาจากอิทธิพลของพุทธศาสนาและความเชื่อเรื่องบาป-บุญ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ รัฐบาลได้หยิบยกการบริจาคมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลอย่างหนึ่งที่เห็นได้บ่อย คือ การขอรับบริจาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การประสบสถานการณ์อุทกภัย การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เป็นต้น สิ่งนี้ชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า 

รัฐควรจะเล่นบทบาทเป็นคนกลางในฐานะผู้รับบริจาคเพื่อนำเงินไปแจกจ่ายหรือไม่

รัฐไทยกับวัฒนธรรมการบริจาค

ด้วยพื้นฐานของสังคมไทยภายใต้อิทธิพลความเชื่อของพุทธศาสนาทำให้การบริจาคทานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ในฐานะทางเลือกของการทำความดีทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริจาคที่นำไปสู่การบำรุงรักษาสาธารณสมบัติเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสังคม หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ประสบภัยพิบัติ

เมื่อย้อนกลับไปอ่านราชกิจจานุเบกษาโดยพิมพ์คำว่า “บริจาค” จะมีประกาศจำนวนหนึ่งของทางราชการเพื่อขอบคุณ หรือประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือทางราชการ โดยจะเห็นได้ว่าการบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงสาธารณูปโภค การบริจาคทรัพย์สินเพื่อบำรุงอาคารสถานที่ราชการ และการบริจาคยาจำเป็นเพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดโรคในเวลานั้น โดยประกาศเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมากและมีจากหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงธรรมการศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ทว่า การบริจาคในลักษณะดังกล่าวโดยส่วนมากจะเป็นกรณีที่รัฐมีบทบาทเป็นผู้รับประโยชน์เพื่อบำรุง และเป็นการสนับสนุนภารกิจของราชการ

การบริจาคช่วยเหลือราชการจึงกลายมาเป็นประเพณีของสังคมไทยที่ประชาชน คหบดีและผู้มีอันจะกิน อาจจะช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการผ่านการบริจาคเพื่อสมทบทุนและช่วยเหลือการทำงานของราชการที่ขาดทุนทรัพย์ ซึ่งในปัจจุบันรัฐได้สร้างแรงจูงใจให้เอกชนมาบริจาคเพื่อแลกกับสิทธิในการลดหย่อนภาษี และเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือสังคม ซึ่งพลังของการบริจาคนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐ

ในงานวิจัยของ James Rolph Edwards สรุปว่า เงินบริจาคสามารถกระจายความช่วยเหลือให้กับประชาชนได้มากกว่างบประมาณของรัฐ เพราะงบประมาณของรัฐในบางกรณีได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอตามความต้องการใช้งาน ซึ่งในบริบทของประเทศไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI: Thailand Development Research Institute) พบว่าประเทศไทยมีเงินบริจาคจำนวนมาก เฉลี่ยสิบปีอยู่ที่ปีละ 7.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่างบประมาณของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ทว่า การบริจาคนั้นควรจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมภารกิจของรัฐเมื่อภาครัฐไม่มีความพร้อมหรือไม่มีงบประมาณที่เพียงพอจะเข้ามาจัดการ การบริจาคจึงไม่ควรถูกนำมาใช้ในทุกๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคในเรื่องที่ควรจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่ได้มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว หรือในเรื่องที่รัฐมีความพร้อมที่จะทำได้แต่ไม่ได้ทำ

การบริจาคในฐานะดาบสองคมของการบั่นทอนบทบาทของรัฐ

แม้ว่าการบริจาคจะมีข้อดีในการช่วยส่งเสริมภารกิจของราชการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริจาคเป็นดาบสองคม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การบริจาคเกิดขึ้นในกรณีที่สิ่งนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลควรจะต้องรับผิดชอบ โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะที่มีความยากลำบากเกิดขึ้นทั้งจากภัยพิบัติและโศกนาฏกรรมต่างๆ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกลับจัดให้มีการขอรับบริจาคเงิน เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของประชาชน แทนการใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้มีการกันเงินดังกล่าวเอาไว้

Timeline การขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ*

  • ม.ค. 2560 รัฐบาลเปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้
  • ก.ค. 2560 รัฐบาลรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากพายุเซินกา (SONCA) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ม.ค. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดรวมน้ำใจไทย ช่วยวาตภัยใต้ รับเงินบริจาคสมทบเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาปึก (PABUK) ในภาคใต้
  • ก.ย. 2562 รัฐบาลจัดรายการถ่ายทอดสดร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากพายุโซนร้อนโพดุล (PODUL) และพายุโซนร้อนคาจิกิ (KAJIKI)
  • มี.ค. 2563 รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
  • ธ.ค. 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนวิจัยค้นคว้าวัคซีนโควิด-19 สำหรับใช้ภายในประเทศไทย
  • ธ.ค. 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
  • ต.ค. 2565 รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู

หมายเหตุ * นับเฉพาะการขอบริจาคครั้งสำคัญโดยรัฐบาลและเหตุการณ์สำคัญๆ

ทว่า ปัญหาของเรื่องนี้ คือ เรื่องดังกล่าวข้างต้นที่รัฐบาลได้ขอรับบริจาคนั้น เป็นเรื่องที่รัฐได้จัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการสำรองเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้เป็นจำนวนมาก (ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง) นอกจากนี้ ในบางปีได้มีการโอนงบประมาณมาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น (ตารางแสดงการโอนงบประมาณ)

ภาพแสดงงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (หน่วย : ล้านบาท)
ที่มา : ผู้เขียนเรียบเรียงจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 – 2566

ตารางแสดงการโอนงบประมาณในช่วงปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563
(เรียงจากปีงบประมาณใหม่ไปปีงบประมาณเก่า)

ลำดับปีงบประมาณจำนวนที่โอน
(หน่วย : บาท)
หมายเหตุ
1.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256388,452,597,900โดยที่รายการสำรองจ่ายฯ ที่ตั้งไว้จำนวน 96,000,000,000 บาท ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19
2.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256110,000,000,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2561 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
3.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256011,866,512,300โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2560 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
4.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 255921,885,555,000โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
5.งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 25587,917,077,700โดยที่เป็นการสมควรโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการมาตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบกลาง
ที่มา:  ผู้เขียนเรียบเรียงพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2558 – 2563

สภาพดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลือกที่จะใช้วิธีการบริจาคมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยใช้เงินจากประชาชนเพื่อมาช่วยเหลือประชาชนด้วยกันเอง แทนที่รัฐบาลจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้มาเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุดที่รัฐบาลเชิญชวนบริจาคช่วยเหลือกรณีเหตุโศกนาฏกรรม จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งในทางหลักการแล้วผู้ประสบเหตุมีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยาจากหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดสรรเงินงบประมาณไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะแล้ว อาทิ การได้รับการชดเชยจากกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา[4] และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์[5] ซึ่งถ้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนอาจจะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องขอรับบริจาค

ภาพดังกล่าวยังไม่รวมถึงการขอรับบริจาคย่อยๆ หรืองานการกุศลของเอกชนที่เข้ามาดำเนินการเพื่อสนับสนุนภารกิจรัฐสามารถจะทำได้เพียงนำงบประมาณไปใช้จ่ายอย่างเหมาะสม อาทิ การระดมเงินเพื่อนำเงินไปใช้ในการบริจาคเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งหากรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่นำงบประมาณไปใช้กับกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ การนำงบประมาณไปใช้กับจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท และอากาศยานไร้คนขับจำนวน 3 ลำ มูลค่า 4,100 ล้านบาท ถ้าหากรัฐบาลนำงบประมาณที่ใช้เพื่อกิจการทางกองทัพมาเน้นความมั่นคงของมนุษย์ผ่านสวัสดิการทางสังคมอาจจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า

การที่รัฐบาลกลายมาเป็นผู้รับบริจาครายใหญ่ทั้งที่มีงบประมาณเตรียมไว้สำหรับการดำเนินการในเรื่องนั้นแล้ว ภาพดังกล่าวเสมือนกับรัฐไทยเป็นรัฐอนาถาที่รอแต่การรับบริจาคเงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เมื่อเกิดสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ แต่มีเงินสำหรับนำไปใช้เพื่อการบำรุงรักษาบางสิ่งบางอย่างที่มีความจำเป็นน้อยในปัจจุบัน เสมือนคนที่ไม่สามารถลำดับความสำคัญของเรื่องได้อย่างถูกต้อง

อีกทั้งการบริจาคนี้ยังกลายเป็นการบั่นทอนคุณค่าของสิทธิสวัสดิการของประชาชนที่ควรจะได้รับจากรัฐบาล เพราะเมื่อเป็นการบริจาคนั้นลักษณะของความช่วยเหลือจึงมาในรูปแบบของการสงเคราะห์ ทั้งที่ความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยธรรมชาติ การได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน หรือกระทั่งการช่วยเหลือเมื่อได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมเหล่านี้ ควรจะเป็นสิทธิของประชาชนและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะต้องช่วยเหลือประชาชน และการช่วยเหลือมาจากเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรเอาไว้อยู่แล้ว ในขณะที่การบริจาคนั้นควรจะมีหน้าที่เป็นสิ่งที่เข้ามาเสริมหรืออุดช่องว่างของความไม่พอเพียงของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากเงินภาษีของประชาชน

กล่าวโดยสรุป การบริจาคเป็นสิ่งที่ดีแต่การบริจาคไม่ควรทำให้สังคมละเลยต่อปัญหาใหญ่ที่สุด คือ การบริจาคไม่สามารถชดเชยหน้าที่ของรัฐที่มีต่อประชาชน การใช้วิธีการขอรับบริจาคมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทุกๆ ครั้ง จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการแสดงความไม่รับผิดชอบของรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหา โดยให้สังคมช่วยเหลือกันเอง ทั้งที่มีการตั้งงบประมาณไว้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้แล้ว


อ้างอิงจาก

วันขึ้นปีใหม่: วันเริ่มต้นปีงบประมาณในอดีต

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันขึ้นปีใหม่มีความสำคัญต่องบประมาณของประเทศไทย โดยในอดีตวันขึ้นปีใหม่มักจะสัมพันธ์กับวันเริ่มต้นและสิ้นสุดของงบประมาณแผ่นดิน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณแบบในปัจจุบัน

นัยสำคัญของการเปลี่ยนวันและเวลา

ในอดีตที่ผ่านมา “วันที่ 13 เมษายน” นั้น มีสถานะเป็น “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งเป็น “วันปีใหม่ไทย” และประเทศอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งในอุษาคเนย์ ศรีลังกา และอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถือเอาวันพระอาทิตย์เคลื่อนออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราช และเริ่มต้นใช้กาลโยคประจำปีใหม่ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของปีใหม่ในทางโหราศาสตร์ ซึ่งโหรจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณให้แน่ชัด[1] 

อย่างไรก็ดี นัยของวันปีใหม่ในลักษณะดังกล่าว ยังไม่ค่อยมีบทบาทหรือความสำคัญกับประชาชนมากทั่วไปเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้ามเมื่อประชาชนอยากจะรู้ว่า ขึ้นต้นปีใหม่แล้วหรือไม่ ก็จำเป็นที่จะต้องติดตามประกาศของทางราชการ

นัยสำคัญของวันปีใหม่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงปฏิรูประบบราชการและได้มีการนำระบบปฏิทินเข้ามาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีนัยสำคัญและส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในราชอาณาจักรสยามเป็นอย่างมาก

“ระบบปฏิทินใหม่” ที่นำเข้ามาใช้อาศัยวิธีการคำนวณแบบสุริยคติแทนการคำนวณวันแบบจันทรคติ พร้อมๆ กับทรงยกเลิกการใช้จุลศักราชและเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทร์ศกแทน[2] โดยทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่แทนโดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการ และวันเริ่มต้นปีทางบัญชีของราชการ แต่การนับวันตามพระราชพิธียังคงใช้วิธีการคำนวณวันตามปฏิทินจันทรคติ[3]

ความสำคัญของการเปลี่ยนให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันเริ่มต้นปีของราชการนั้น มีความสำคัญในเชิงงบประมาณ เพราะเป็นการกำหนดให้ราชการตลอดทั้งราชอาณาจักรเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยต้องจัดทำงบประมาณเสนอต่อเสนาบดีเพื่อขอพระบรมราชานุญาต โดยงบประมาณรายจ่ายนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม และเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน[4]

วันที่ 1 เมษายนถูกใช้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณต่อไปเรื่อยๆ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และแม้ในเวลาต่อมาประเทศมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลคณะราษฎรที่เข้ามา บริหารประเทศในเวลานั้นก็ยังคงยึดการใช้ วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ[5]

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณ

ความสำคัญของวันที่ 1 เมษายนในฐานะของวันเริ่มต้นปีงบประมาณได้มาสิ้นสุดลง ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2481 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2481 โดยพระราชบัญญัตินี้ได้มีการเสนอให้ ปรับเปลี่ยนปีงบประมาณ ซึ่งเดิมเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนและสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมของอีกปีหนึ่ง มาเป็นเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่ง

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนปีงบประมาณนี้มีเหตุผลเนื่องจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า จะกําหนดปีงบประมาณให้เหมาะสมแก่ฤดูกาล

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้น ได้มีการชี้แจงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า 

“ในการที่รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้พิจารณาโดยด่วนนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยเสียก่อนว่า ในการที่ให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้พิจารณาโดยด่วน ก็เพราะเหตุว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ กล่าวคือว่า รัฐบาลได้แถลงไว้ว่า รัฐบาลจะได้เปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ให้ถูกต้องตามฤดูกาล และจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะขอให้สภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยแต่เพียงในวาระที่ 1 คือว่า จะควรรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้หรือไม่เท่านั้น ส่วนรายการละเอียดนั้น ถ้าหากว่าสภาฯ ได้รับหลักการแล้ว ก็จะได้ขอให้ตั้งกรรมาธิการไปพิจารณา… 

…หลักการแห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณนั้น ก็มีอยู่ว่าเพื่อเปลี่ยนปีงบประมาณ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนปีงบประมาณใหม่ โดยจะได้เริ่มตั้งแต่ในเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง และไปหมดในวันที่ 30 กันยายนของอีกปีหนึ่งนั้น ทั้งนี้ ก็โดยคำนึงถึงดินฟ้าอากาศของประเทศสยาม”[6]

ในส่วนของเหตุผลในการเปลี่ยนปีงบประมาณนั้น หลวงประดิษฐ์มนูธรรมชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นหลัก โดยยกเหตุผลสนับสนุนดังนี้

(1) งานก่อสร้างต่างๆ จะทำได้ในฤดูแล้ง คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ถ้าปีงบประมาณเริ่มในเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ก็จะต้องคอยห่วงเรื่องงบประมาณตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม

(2) เดือนเมษายนเป็นเดือนที่หยุดราชการ ดังนั้น กว่าที่จังหวัดต่าง ๆ จะได้รับงบประมาณก็เลยไปถึงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนที่เริ่มฤดูฝนแล้ว ทำให้ทำงานต่าง ๆ ได้ลำบาก และ

(3) เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก ดังนั้น จึงควรรอให้เสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวก่อน เพื่อให้รัฐบาลสามารถคำนวณรายได้จากการเก็บภาษีได้ดีขึ้น[7]

ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนปีงบประมาณดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ปีงบประมาณของประเทศสอดคล้องกับการใช้จ่ายและแนวทางในการพัฒนาประเทศที่มีลักษณะเป็นประเทศเกษตรกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่หากไปทำในช่วงหลังเมษายนและเข้าหน้าฝน การก่อสร้างอาจจะติดขัด โดยการเริ่มต้นใช้ระยะเวลาปีงบประมาณใหม่นี้ได้เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2482

การประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ และการปรับปีงบประมาณอีกครั้ง

การปรับมาใช้วันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลาปีงบประมาณที่มีเหตุมีผลและพิจารณาถึงความเหมาะสมของประเทศ  ทว่า การใช้ระยะเวลาปีงบประมาณตามแบบใหม่นี้ก็อยู่ได้ไม่นานราวๆ เพียงแค่ปีเศษ ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่อีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็มาจากการปรับเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทย

รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีดำริที่จะเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลมีความประสงค์ที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความสอดคล้องเป็นสากลมากขึ้น โดยพยายามเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ให้สอดคล้องกันกับประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป และประเทศตะวันตกอื่นๆ ซึ่งนิยมใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่

รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่นั้น ไม่ยึดโยงกับความเชื่อหรือแนวคิดทางศาสนาใด แตกต่างจากวันขึ้นปีใหม่ตามขนบไทยเดิมที่ยึดโยงอยู่กับความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์ เพื่อให้ประเทศมีวันขึ้นปีใหม่ที่สอดคล้องกันกับสากล รัฐบาลจึงได้มีการประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่[8]

ผลของการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทย นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน โดยการตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2483 โดยกำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มต้นที่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป  อย่างไรก็ดี ในรายงานการประชุมไม่ได้ระบุเหตุผลได้ว่าทำไมถึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณใหม่ให้สอดคล้องกับปีปฏิทิน[9]

การปรับปีงบประมาณกลับมาที่ 1 ตุลาคมอีกครั้งหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณที่เริ่มต้น ในเดือนมกราคมนี้ถูกใช้อยู่กว่า 20 ปี จนมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 โดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้กำหนดให้ปีงบประมาณเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไปทั้งนี้ ปีงบประมาณที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ เริ่มใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2505 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2504 เป็นต้นมา[10] จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับปี พ.ศ. 2502 ได้ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการกลับมาใช้ปีงบประมาณตามเริ่มต้นที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุด 30 กันยายนของปีถัดไปก็เนื่องมาจากเหตุผลในลักษณะเดียวกันกับที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเคยให้เอาไว้ในการประชุมยกร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอดีต

การเปลี่ยนปีงบประมาณในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเนื่องจากระยะเวลาในการจัดทำงบประมาณที่อาจจะเกิดความล่าช้าซึ่งทำให้งบประมาณนั้นไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีประกอบกับช่วงระยะเวลาที่งบประมาณนั้นอาจจะถูกใช้ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการก่อสร้าง แม้ปีงบประมาณตามกฎหมายเดิม จะสอดคล้องกับสากล แต่ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยซึ่งฤดูกาลมีส่วนสำคัญ จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงปีงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง[11]

กล่าวโดยสรุป การเริ่มต้นปีงบประมาณนั้นแต่เดิมพยายามให้มีความสอดคล้องกับการเริ่มต้นปีปฏิทิน โดยส่วนมากจะใช้วันที่ในเดือนเมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทยแต่เดิม ในเวลาต่อมาก็ได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนวันเริ่มต้นปีงบประมาณให้มีความเหมาะสมกับประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของฤดูกาลซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แต่ระยะเวลาในลักษณะดังกล่าวเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยเจตนารมณ์ก็อาจจะเป็นไปเพื่อให้มีความสอดคล้องกับความเป็นสากล

แต่ในที่สุดแล้วสภาพดังกล่าวก็อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศไทยซึ่งมีเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ฤดูกาลที่แตกต่าง ดังนั้น วันเริ่มต้นปีงบประมาณจึงกลับมาอยู่ที่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งยึดถือเช่นนั้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 จนถึงปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] สมบัติ พลายน้อย, ‘สงกรานต์ 3 วัน 13-15 เม.ย.เริ่มมีเมื่อใด ปีใหม่ไทยในอดีตเปลี่ยนไปมา ชาวบ้านตามตรวจดูวันเอง’ (ศิลปวัฒนธรรม, 13 เมษายน 2564) <https://www.silpa-mag.com/history/article_31026> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[2] ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนจากการใช้รัตนโกสินทร์ศกมาเป็นพุทธศักราชแทน.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การจัดทำงบประมาณครั้งแรก ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 28 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/651> สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2565.

[5] พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พุทธศักราช 2476 มาตรา 9.

[6] วรพงษ์ แพรม่วง, ‘ปีงบประมาณของไทย’ (หอสมุดรัฐสภา, ตุลาคม 2563) <https://library.parliament.go.th/th/radioscript/rr2563-oct1> สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2565.

[7] เพิ่งอ้าง.

[8] ประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ (ประกาศมา ณ วันที่ 24 ธันวาคม พุทธศักราช 2483).

[9] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2483, 32-33.

[10] วรพงษ์ แพรม่วง (เชิงอรรถ 6).

[11] สภานิติบัญญัติ, รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ครั้งที่ 38/วันที่ 15 ตุลาคม 2502, 1491 – 1493.