ชื่อหนังสือ : สมการคอร์รัปชั่น
ผู้เขียน : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่การพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
หนังสือชื่อ สมการคอร์รัปชั่น เป็นหนังสือรวมบทสัมภาษณ์เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น ซึ่งตามหนังสือเล่มนี้สรุปว่า การคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้ โดยเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ C (Corruptio) = (M (Monopoly) + D (Discretion)) - A (Accountability)

บทสัมภาษณ์ที่รู้สึกน่าสนใจหนังสือและเกี่ยวข้องกับงานทางกฎหมายโดยตรงคิดว่า เป็นบทสัมภาษณ์ของ อ.ธานี ชัยวัฒน์ กับบทสัมภาษณ์ของ อ.นิพนธ์ พัวพงศกร ซึ่งพูดถึงดุลพินิจดุลพินิจ
ในที่นี้เป็นคำที่คนทั่วไปหรือนักกฎหมายหลายๆ คนมองว่าเป็นเรื่องอิสระและค่อนไปในทางอำเภอใจพอสมควร ซึ่งไม่ถูกต้องซะทีเดียว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในวิทยานิพนธ์ของ อ.เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล และตำรากับบทความของ อ.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์) ซึ่งดุลพินิจในความหมายของหนังสือเล่มนี้จะหมายถึงดุลพินิจที่เป็นอิสระและค่อนไปในทางอำเภอใจอ.ธานี ชัยวัฒน์ อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่กฎหมายยอมให้มีดุลพินิจ
ในด้านดีของดุลพินิจคือ การสร้างความเป็นยุธรรมเฉพาะกรณี หรือความยุติธรรมเชิงปัจเจก ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์มองว่ามีต้นทุนที่จะต้องจ่าย โดยความยุติธรรมเชิงปัจเจกสร้างต้นทุนให้กับสังคมและในขณะเดียวกันก็เป็นการทำลายความยุติธรรมเชิงสังคมไป เพราะบรรทัดฐานซึ่งถูกนำมาใช้ในเรื่องหนึ่งๆ ต่างกัน เช่น การตัดสินคดีลักทรัพย์ 2 คดีระหว่าง A กับ B โดย A ลักทรัพย์ เพราะอยากได้ของคนอื่น และ B ลักทรัพย์ เพราะอยากได้นมผงมาเลี้ยงลูก ในแง่นี้การที่ศาลมีดุลพินิจที่จะลงโทษแก่ทั้งสองกรณีซึ่งศาลอาจลงโทษ B เบากว่าก็ได้ เป็นต้น
ในเชิงนี้อ.ธานี ชัยวัฒน์ ไม่ได้บอกว่าดุลพินิจไม่ดีนะ แต่ในการใช้ดุลพินิจสังคมหนึ่งๆ จึงต้องชั่งน้ำหนักเพื่อเลือกระหว่างความยุติธรรมในทั้งสองกรณี แต่หากข้อเท็จจริงกลับกันเป็น B ก็ขโมยของด้วยเหตุผลเดียวกับ A (บนข้อเท็จจริงที่เหมือนกันทุกประการ) แต่ศาลกับลงโทษ B ต่างจาก A กรณีนี้จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า จะเกิดความรู้สึกในสังคมว่า เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นมาแล้ว และเกิดความรู้สึกว่ากฎหมายในฐานะเครื่องมือรักษาความสงบของสังคมที่ทุกคนยอมรับร่วมกันนั้นบกพร่องหรืออีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องดุลพินิจ แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า
แต่ในที่นี้ อ.ธานี ชัยวัฒน์ อธิบายว่าเป็นดุลพินิจ คือ กรณีที่กฎหมายห้ามรถจักรยานยนตร์ หรือเข็นของขึ้นสะพานหรือลงอุโมงค์ข้ามแยก อันเป็นเหตุผลในทางวิศวกรรมศาสตร์ที่รถข้างต้นมีโอกาสได้รับอุบัติเหตุสูงกว่า แต่ในทางปฏิบัติไม่มีการบังคับใช้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะเลือกที่จะจับหรือผ่อนปรนไปก็ได้ (ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่) สภาวะเช่นนี้เองสังคมจะรู้สึกว่า กฎหมายที่มีอยู่ไม่มีบกพร่อง และรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม การที่คนรู้สึกถึงความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง ส่งผลกระทบถึงความเชื่อถือต่อกฎหมายทั้งระบบ และพลอยให้รู้สึกว่า การปฏิบัติตามกฎหมายยกเว้นได้
อ.นิพนธ์ พัวพงศกร อธิบายถึงความจำเป็นของการมีอยู่ของดุลพินิจ และอธิบายบายการแทนที่การใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจด้วยการสร้างมาตรฐานในแต่ละเรื่อง เพราะหากทุกสิ่งมีมาตรฐานคล้ายกันแล้วเหตุผลในบางเรื่องที่ทำให้เลือกแตกต่างจะหายไปอันนี้เป็นบางส่วนที่หยิบยกมาเล่าจากหนังสือเล่มนี้ที่พึ่งอ่านจบ
ส่วนที่น่าสนใจมีอีกมาก เช่น ส่วนของคุณสฤณี อาชวานันทกุล หรือส่วนของคุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ที่พูดถึงการผูกขาด ส่วนของอ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ที่พูดถึงการมีส่วนร่วม หนังสือเล่มนี้อธิบายได้น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการออกแบบสถาบัน โดยเฉพาะกฎหมาย ซึ่งอาจอยู่นอกเหนือความสนใจของนักกฎหมายส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นในบทสัมภาษณ์นี้ส่วนตัวก็เห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง เพราะอย่างเรื่องดุลพินิจก็มีเหตุผลของเรื่องในทางกฎหมายที่เป็นคำอธิบาย ซึ่งหากบางคนมาอ่านก็อาจลากยาวไปถึงเหตุผลในทางปรัชญาได้เหมือนกัน แต่หนังสือเล่มนี้ก็มีข้อดีคือ การเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับนักกฎหมายได้ศึกษาบ้าง