นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ประชาธรรมเป็นคำที่ผมต้องการใช้มากกว่าประชาธิปไตย เพราะในวงการเมืองนั้น คำว่าประชาธิปไตยใช้กันจนเฝือ เช่น ในโรงเรียนไทย แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการ เขาก็ยังสอนให้นักเรียนท่องว่า ประเทศไทยเป็นเสรีประชาธิปไตย อีกประการหนึ่ง การเป็นประชาธิปไตยนั้น ถ้าไม่อาศัยหลักธรรมะแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์และบกพร่องแน่ เพราะถึงแม้เราจะปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก ถ้าเสียงข้างมากโน้มเอียงไปเชิงพาลแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถถกเถียงเรียกร้องให้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้ จึงจะเป็นธรรม…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2521).

ชื่อ “ป๋วย อึ๊งภากรณ์” นั้น เป็นที่รู้จักพอสมควรในสังคมไทย ในหลายๆ แง่มุมทั้งในฐานะการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เทคโนแครตตัวอย่างผู้คอยรั้งรัฐบาล นักพัฒนา และนักสันติวิธีคนหนึ่ง รวมถึงจะรู้จักอุดมการณ์สันติประชาธรรมของอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและในบทความนี้ที่ได้หยิบยกมา คือ สังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ก้าวพ้นในสิ่งที่อาจารย์ป๋วยได้เคยพูดเสมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ และในแง่นี้คำพูดของอาจารย์ป๋วยจึงยังคงอยู่กับสังคมมากกว่าปณิธานของอาจารย์ที่ได้แสดงไว้

อีกครั้งหนึ่งกับสันติประชาธรรม

บ่อยครั้งที่เมื่อพูดถึงอุดมคติของรัฐในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยจะเริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า “สันติประชาธรรม” คืออะไร และมีความหมายอย่างไร

“สันติประชาธรรม” นั้น เป็นมรรควิธีสำคัญที่อาจารย์ป๋วยมองว่าเป็นหนทางสำหรับการปกครองและนำสังคมไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีแก่นแกนสำคัญอยู่ที่การมีสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการเข้าถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองโดยไม่จำกัดฐานะ เพศ และชาติกำเนิด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี ด้วยบริบทของการเป็นเผด็จการแปลงรูปมาในชุดผ้าคลุมของระบอบประชาธิปไตยในยุคสมัยนั้น อาจารย์จึงเลือกที่จะใช้คำอื่นแทนที่จะเรียกประชาธิปไตย ซึ่งคำๆ นั้นก็คือ “สันติประชาธรรม”

“ประชาธรรม คือ ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม…บ้านเมืองที่มีประชาธรรมนั้นมีขื่อมีแป ไม่ใช่ปกครองกันตามอำเภอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จดหมายของ นายเข้ม เย็นยิ่ง
เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ (2515)

ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยนั้นคำว่า “ประชาธรรม” คือ การที่ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม กล่าวคือ ธรรมนั้นเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม โดยอาจารย์ป๋วยมีทรรศนะว่า โดยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยนั้นหากปราศจากธรรมแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์กลายเป็นการปกครองกันด้วยเสียงข้างมากไป

ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจ ซึ่งคำว่า “ธรรม” ที่อาจารย์ป๋วยพูดถึงนั้นน่าจะหมายถึง “ความชอบธรรม” (legitimacy) ซึ่งเป็นเรื่องของการที่อำนาจได้รับการยอมรับจากสาธารณชน รวมถึงเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าว  อย่างไรก็ดี เพียงประชาธรรมอย่างเดียวนั้นในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยไม่เพียงพอ หากแต่ประชาธรรมอันเป็นมรรควิธีนั้นจะต้องเป็นไปโดยสันติ[2]

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี (2515)

นอกจากนี้ ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยแล้ว การได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นจำเป็นต้องยึดหลักการสันติวิธี ดังที่อาจารย์ได้เคยแสดงทรรศนะเอาไว้ว่า “ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี” กล่าวคือ การได้อำนาจทางการเมืองใดๆ นั้นจะต้องอาศัยวิธีการโดยสันติ  ดังนั้น หากรัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือตำรวจเพื่อเข้าห้ำหั่นประชาชนหรือใช้กำลังทหารเพื่อเข้าควบคุมฝูงชนในการชุมนุม

การใช้ความรุนแรงนี้รวมไปถึงการใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อปิดปากมิให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม ลักษณะดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดนี้ ย่อมไม่สามารถนำไปสู่สังคมที่เป็นประชาธรรมได้ และกลายเป็นความเกลียดชังของคนในสังคมด้วยซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การใช้อาวุธประหัตประหารกันไม่รู้จบ ดังนี้แล้วสังคมใดจะเป็นประชาธรรมอย่างแท้จริงได้ จะต้องเกิดขึ้นบนสันติวิธี ปราศจากการใช้กำลังประหัตประหารกัน[3]

สังคมทำไมต้องเป็นสันติประชาธรรม

…ในสังคมที่มีประชาธรรม เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เจ้าหน้าที่กับราษฎร หญิงกับชาย คนมีกับคนจน ท้องถิ่นที่อุดมกับท้องถิ่นที่กันดาร การมีโอกาสการศึกษากับการปราศจากโอกาส การมีโอกาสด้านสุขภาพอนามัยกับการปราศจากโอกาส ฯลฯ

ทั้งนี้มิได้เกิดจากลัทธิการเมืองหรือลัทธิอื่นใด เป็นเรื่องของความชอบธรรม ความเมตตากรุณา การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การปรองดองกัน และการที่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้แก่ผู้ตกยาก การมีอิสระที่จะรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กับรวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ซึ่งควรเคารพ ไม่ว่าฐานะกำเนิดของเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมสามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ที่ว่านั้นได้โดยสันติภาพ…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2515)

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สันติประชาธรรม” เป็นมรรควิธีในการและหนทางสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุที่อาจารย์ป๋วยคิดเช่นนั้น ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ระบอบประชาธรรมนั้นเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง และเอื้ออำนวยให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคม และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและช่องว่างด้านอื่นๆ ระหว่างท้องถิ่นและในหมู่ประชาชน[4]

ภาพของสังคมสันติประชาธรรมในทรรศนะของอาจารย์ป๋วย จึงไม่ใช่เพียงสังคมที่ผู้ปกครองมีการใช้อำนาจโดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ในทรรศนะของอาจารย์ สังคมสันติประชาธรรมจะต้องเป็นสังคมที่ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพระหว่างคนในสังคมทั้งหมด โดยรัฐควรจะมีบทบาทในการเกื้อกูลระหว่างประชาชนในแต่ละกลุ่ม ทรรศนะดังกล่าวนี้อาจารย์ป๋วยแสดงผ่านข้อเขียนของอาจารย์ป๋วยที่ชื่อว่า คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2516

ใจความสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ก็คือ การพยายามสื่อสารให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ ซึ่งลำพังการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์นั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคนในประเทศยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการศึกษา[5]

มองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรม

สถานการณ์สังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังติดอยู่ในกับดักของการหยุดยั้งการพัฒนาทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ สถานภาพของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของการรัฐประหาร และความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ในส่วนนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนมองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรมนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง

เมื่ออำนาจกลายเป็นธรรม

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งในแง่ของการตีความบทบัญญัติกฎหมายชนิดที่เรียกได้ว่า สองมาตรฐาน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาจากการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ยึดโยงอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชน หรือเป็นการตีความกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความชอบธรรมของกฎหมายในมือของรัฐบาล

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของกฎหมายในช่วงที่ผ่านมาเรื่องหนึ่งคือ การพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีทางการเมืองของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพโดย ไอลอว์ (iLaw) ในช่วง 9 กุมภาพันธ์ 2564 – 29 เมษายน 2564 นั้น ในการยื่นขอประกันตัวทั้งหมด 9 ครั้ง ศาลได้ให้เหตุผลในการไม่ให้ประกันตัว 2 ครั้ง โดยอ้างว่า เนื่องจากอัตราโทษสูง อาจไปก่อความผิดซ้ำ หรืออาจนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันกษัตริย์และเกรงว่าจะหลบหนี นอกจากนั้นแล้วศาลให้เห็นเหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม[6] ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมนั้นถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนถึงความชอบธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งบัดนี้การใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งเป็นกติการ่วมกันของสังคมได้ถูกตั้งคำถามมากขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในระบอบกฎหมายต่อไปในอนาคต

ในสังคมที่ห้ามเห็นต่างทางการเมือง

ตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ และสืบทอดอำนาจต่อมาด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 นี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นี้เองศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้จัดทำรายงานสรุปสถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 16 กรกฎาคม 2562 เอาไว้[7] ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มีนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และประชาชน ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเมื่อมีการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สถานการณ์ของการมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกับหลุดลอยไปเนื่องจากกระบวนการใช้อำนาจของรัฐนั้นละเลยต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ถูกเรียกรายงานตัว / ควบคุมตัวในค่ายทหาร930 คน
ถูกข่มขู่ คุกคาม ติดตาม592 คน
กิจกรรมสาธารณะถูกปิดกั้นแทรกแซง361 กิจกรรม
ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมาน18 คน
ถูกปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก159 กลุ่ม
ถูกตั้งข้อหาชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป428 คน
ถูกตั้งข้อหา มาตรา 116124 คน
ถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ. ประชามติฯ ร่าง รธน. 255950 คน
ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวหรือมีเงื่อนไขปล่อยตัว (MOU)31 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากการแสดงออกที่เกี่ยวกับการเมือง197 คน
ถูกตั้งข้อหา ดูหมิ่นศาล หรือละเมิดอำนาจศาล18 คน
ถูกตั้งข้อหามาตรา 112169 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. ชุมนุมฯ276 คน
ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร2,408 คน
จำนวนขั้นต่ำผู้ลี้ภัยทางการเมือง102 คน
สูญหายจากประเทศเพื่อนบ้านระหว่างลี้ภัย6 คน
ตกเป็นเป้าทำร้ายร่างกาย 12 ครั้ง4 คน
ถูกทำให้เสียชีวิตระหว่างลี้ภัย2 คน
ที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ‘5 ปี คสช. สถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ’

ความเหลื่อมล้ำในวิกฤตเศรษฐกิจ

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ในช่วงปี 2558 – 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ต่อปี แต่ในทางตรงกันข้ามประชาชนกลับไม่รู้สึกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก เงินที่ได้รับจากการทำงานยังไม่พอเลี้ยงปากท้อง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแหล่งอื่น โดยร้อยละ 20 (กลุ่มครัวเรือนไทยที่จนที่สุด) มีแหล่งรายได้มาจากเงินช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและบุคคลนอกครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ที่เป็นตัวเงินทั้งหมด และ ประการที่สอง ครัวเรือนยังต้องบริโภคด้วยการก่อหนี้ โดยสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่เกือบร้อยละ 80 สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากเกาหลีใต้[8]

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบให้กับประชาชนเป็นอย่างมากโดยทำให้รายได้ลด และหนี้สินเพิ่มกลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิม โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวสูงถึงร้อยละ 6.1 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มลูกจ้างในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างมากที่สุด เพราะขาดรายได้หรือรายได้ลดลงมาก จากการเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่น รวมถึงในระยะแรกอาจจะต้องมีการนำเงินออมที่มีอยู่ออกมาใช้จ่ายหรืออาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มในช่วงที่ขาดรายได้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19[9] สภาพดังกล่าวยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เนื่องจากลูกจ้างในสังคมไทยเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงเนื่องจากรายได้ต่ำ เมื่อเทียบกับความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างน้อย

การหลุดลอยออกจากระบบการศึกษา

จากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จากข้อมูลการศึกษาล่าสุดปีการศึกษา 1/2564 มีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเด็กทั้งหมด ในช่วงวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับที่มีประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 1,094 บาท  นอกจากนี้ รายได้จากการเกษตรหรือด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่ลดลง แต่รายได้ที่เพิ่มมาจากสวัสดิการรัฐ เงินช่วยเหลือเยียวยา และผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้จำนวนเด็กยากจนพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากปีการศึกษา 2/2563[10]

สถานการณ์ดังกล่าวเลวร้ายมากขึ้นจากการสำรวจของ กสศ. ในช่วงภาคเรียนที่ 1/2563 ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยมีนักเรียนยากจนจำนวน 1.7 ล้านคน โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยากจนพิเศษในปีที่ผ่านมาประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียนที่ 2/2562 มากกว่า 2.4 แสนคน[11]

สิ่งที่จะต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว สถานการณ์การหลุดลอยจากระบบการศึกษาจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อชีวิตร่วงหล่นลงอย่างไม่มีคุณค่า

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น แม้ในช่วงต้นของการระบาดประเทศจะรับมือได้ดีเนื่องจากความตั้งใจและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19  อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสถัดๆ ไปนั้น ประเทศไทยประสบกับปัญหาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเมื่อการระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และโอไมครอน สภาพของการระบาดที่เกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล และจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกันจำนวนการเข้าถึงวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพในประเทศไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า และกระจายการเข้าถึงในระดับที่ต่ำ

สถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายใหม่

ที่มา: JHU CSSE COVID-19 Data.

สถิตผู้ได้รับวัคซีน

ที่มา: กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม.

สังคมไทยในวันนี้ ที่อาจารย์ป๋วยได้จากโลกนี้ไปแล้ว สภาพสังคมโดยรวมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สังคมการเมืองไทยยังคงอยู่ในวังวนที่ธรรมนั้นเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม ในขณะที่วิถีชีวิตของคนในสังคมยังคงมีความยากลำบากและไม่มีความแน่นอนในชีวิต คุณภาพชีวิตนับตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนนั้นยังคงไม่ได้ดีขึ้นเท่าใดนัก สังคมไทยยังห่างไกลสู่หนทางของการเป็นสันติประชาธรรม เมื่อนึกดูแล้วก็ได้แต่ “นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม”


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 ตุลาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/10/873.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, จารีตรัฐธรรมนูญไทยกับสันติประชาธรรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2550) 169.

[5] พชร สูงเด่น, “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ย้อนอ่านความฝันของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์,” a day bulletin, 9 มีนาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://adaybulletin.com/life-feature-from-womb-to-tomb-puey-ungphakorn/47552.

[6] iLaw-freedom, “รวมสถิติการยื่นคำร้องขอประกันตัว เพนกวิน-พริษฐ์,” iLaw freedom, 5 พฤษภาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://freedom.ilaw.or.th/node/906.

[8] พิรญาณ์ รณภาพ, “​ความเหลื่อมล้ำ: ตัวฉุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลง,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, 11 พฤศจิกายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_11Nov2021.aspx.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ยากจน ลำบาก หลุดจากระบบการศึกษา,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 25 กันยายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.eef.or.th/infographic-06-09-21/.

ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยมีความตั้งใจจะใช้เป็นความเพื่อระลึกถึง อ.ป๋วย แม้ผู้เขียนจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับ อ.ป๋วย โดยตรง เพราะกว่าเมื่อผู้เขียนจะรู้ความพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในสังคมไทย อ.ป๋วย ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อในบทความนี้ก็คือ ความเคารพที่มีต่ออาจารย์ หลายคนมอง อ.ป๋วย ในหลายบทบาททั้งในฐานะ นักพัฒนา เทคโนแครตมืออาชีพ นักอุดมการณ์​ นักสันติวิธี และเจ้าของอุดมการณ์​สันติประชาธรรม แต่การพิจารณา อ.ป๋วย ในลักษณะแบบนั้นมันเป็นการเคารพ อ.ป๋วย ตามอุดมการณ์แบบบูชาตัวบุคคล มากกว่าจะก้าวข้าม อ.ป๋วย และสืบสาน รักษา และต่อยอดสิ่งที่ อ.ป๋วยพูด ไว้ สังคมไทยเลยติดกับอยู่กับคำพูดมากกว่าอุดมการณ์​ เสมือน อ.ป๋วยไม่เคยจากโลกนี้ไป อ.ป๋วย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อบางชุด ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความนี้เพื่อแสดงมุทิตาจิต ในฐานะศิษย์ซึ่งไม่เคยพบหน้าและยึดถืออุดมการณ์ของอาจารย์

การขุดคอคอดกระ: ประวัติศาสตร์อันยาวนานของโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

โครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยเป็นโครงการขนาดใหญ่โครงการหนึ่งที่ถูกพูดถึงในทุกยุคสมัยตลอดหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน และเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งที่ถูกพูดถึงอยู่ตลอด สิ่งที่น่าสนใจก็คือนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้มีเหตุการณ์สำคัญที่พูดถึงการขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลสองฝั่งที่มีด้ามขวานไทยขั้นอยู่ตลอดเวลา ในบทความนี้จึงได้ทำการศึกษาว่าแนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองดังกล่าวถูกพูดถึงบ่อยแค่ไหนในหน้าประวัติศาสตร์ไทย

การริเริ่มแนวคิดและโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยในสมัยอยุธยา

การขุดคลองไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งกลายมาเป็นมรดกจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการขุดคลองนั้นมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อการสัญจรและเกี่ยวพันกับการโยกย้ายกำลังพลเพื่อประโยชน์ในการทำสงคราม

ตัวอย่างคลองสำคัญหนึ่งก็คือ คลองมหาชัย-สนามชัย (คลองพระพุทธเจ้าหลวง-มหาไชยชลมารค) เชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน[1] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่นระยะทางในการเดินทางไปเมืองเพชรบุรี ซึ่งสามารถข้ามด่านสิงขรไปเข้าตะนาวศรีและมะริดต่อได้[2]

ภาพแสดงเส้นทางคลองมหาชัย-สนามชัย

ในส่วนของการขุดคลองคอดกระนั้น เมื่อพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3) พ.ศ. 2220 โดย เมอซิเออร์ เดอ ลา มาร์ (M. de la Mare) วิศวกรชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากับคณะราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส ได้ทำการสำรวจเพื่อหาเส้นทางการค้าทางทะเลใหม่ระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน 

โดยจากการศึกษาของ เมอซิเออร์ เดอ ลา มาร์ นั้นพบว่า สามารถขุดคลองข้ามคอคอดกระจากสงขลาเชื่อมไปยังทวายได้ ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสเล็งเห็นความได้เปรียบในประเด็นดังกล่าวจากการค้าเหนือประเทศยุโรปที่ควบคุมช่องแคบมะละกาในขณะนั้น[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวดัชต์และชาวโปรตุเกส  

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสมเด็จพระนารายณ์สิ้นพระชนม์ และเกิดการเปลี่ยนราชวงศ์จากราชวงศ์ปราสาททองมาเป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งมีนโยบานต่อต้านชาวต่างชาติทำให้โครงการดังกล่าวยุติลงไป

โครงการขุดคลองคอดกระในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองคอดกระเริ่มต้นขึ้นในประเทศไทยโดยสามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในช่วงปี พ.ศ. 2336 (ช่วงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก; รัชกาลที่ 1) โดย สมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ทรงมีพระราชดำริจะขุดคลองยุทธศาสตร์ที่บริเวณอำเภอกระบุรี เชื่อมทะเลฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในการเดินเรือในการรบกับพม่า[4] โดยการนำทัพเข้าไปเสริมเมื่อเมืองชายฝั่งทะเลอันดามันถูกโจมตี[5] ซึ่งจะช่วยร่นระยะเวลาในการเดินเรือที่เดิมจะต้องร่องเรือจากอ่าวไทยไปอ้อมช่องแคบมะละกา       

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการขุดคลองอย่างจริงจัง และในช่วงแรกแนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองคอดกระนั้น ให้ความสำคัญกับการขุดคลองเพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงการทหารมากกว่าในด้านเศรษฐกิจ

ในเวลาต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2396 – 2411 ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองคอดกระได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยข้อเสนอของชาวอังกฤษและฝรั่งเศส

โดยในปี พ.ศ. 2396 ได้มีชาวอังกฤษขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[6] เพื่อขุดคลองบริเวณคอคอดกระในจังหวัดระนองถึงจังหวัดชุมพรในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด  

เมื่อเริ่มดำเนินการขุดคลองไปได้ระยะเวลาหนึ่งโครงการดังกล่าวก็ต้องเป็นอันล้มเลิกไป เนื่องจากวิศวกรชาวอังกฤษพบว่า เทือกเขาตะนาวศรีเป็นอุปสรรคสำคัญในการขุดคลองผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งในการจะดำเนินการเช่นว่านั้นได้ ต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก จึงเป็นเหตุให้โครงการดังกล่าวต้องยุติลง[7]

ภาพแสดงส่วนที่แคบที่สุดของประเทศไทย

ที่มา : กรมศิลปากร, ‘วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์’ (กรมศิลปากร 2544) 2 อ้างใน สุจิตต์ วงษ์เทศ, ‘ปักษ์ใต้สมัยอยุธยา เริ่มจากเขต จ. ประจวบคีรีขันธ์’ (มติชนออนไลน์, 12 มกราคม 2560) <https://www.matichon.co.th/columnists/news_424702> สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2565.

อย่างไรก็ดี ในเวลานั้นอังกฤษได้เข้ายึดพื้นที่ในบริเวณช่องแคบมะละกาเพื่อใช้เป็นสถานีทางการค้าของอังกฤษได้สำเร็จ ทำให้อังกฤษได้รับผลประโยชน์จากสถานีทางการค้าในบริเวณช่องแคบมะละกาอย่างเต็มที่ การขุดคลองจึงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการค้ากับอังกฤษ[8] ในส่วนของรัฐบาลสยามนั้น นับจากช่วง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมาจนถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น คู่สงครามสำคัญของสยามอย่างพม่าได้ลดบทบาทความสำคัญลงเนื่องจากภายแพ้ในสงครามให้กับประเทศอังกฤษ  ดังนั้น ความจำเป็นที่จะขุดคลองเพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งกำลังทหารจึงลดลง

ในเวลาต่อมาเมื่อมีชาวฝรั่งเศสมาขอพระบรมราชานุญาตเพื่อขุดคอคอดกระต่อจากอังกฤษในปี พ.ศ. 2401 – 2411 รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิเสธ นอกจากนี้ ทรงเกรงว่าหากขุดคอคอดกระสำเร็จ สยามอาจจะต้องสูญเสียแหลมมลายูให้แก่ฝรั่งเศส เช่นเดียวกันกับในสมัยของ พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งทรงไม่เห็นประโยชน์ของสยามในการขุดคลอง และทรงมีความกังวลต่อภัยความมั่นคงของชาติ[9]

การกลับมาอีกครั้งของโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ตั้งแต่สมัยรัฐบาลหลวงประดิษฐ์มนูธรรม

ในปี พ.ศ. 2478 หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ภายใต้รัฐบาลของ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้รื้อฟื้นและเสนอแผนการในการขุดคลองบริเวณคอคอดกระเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่โครงการดังกล่าวก็มีเหตุให้ต้องยุติลงเนื่องจากประสบกับปัญหาด้านงบประมาณของประเทศ[10] ทำให้โครงการดังกล่าวไม่ได้ถูกดำเนินการ

“รัฐบาลไทยรับว่า จะไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทยเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรมิได้เห็นพ้องด้วยก่อน”

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นประเทศไทยโดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามโดยเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่น และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับฝ่ายอักษะในสงคราม แต่ด้วยบทบาทการขับเคลื่อนของขบวนการเสรีไทยนั้น ทำให้ประเทศไทยไม่ตกอยู่ในสถานะของผู้แพ้สงคราม แต่ก็ถูกกำหนดให้ต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้กับประเทศอังกฤษ (สหราชอาณาจักร; บริเตนใหญ่) 

ในปี พ.ศ. 2489 ประเทศอังกฤษได้ดำเนินการเจรจาเพื่อยุติสภาวะสงครามกับประเทศไทย โดยกำหนดเงื่อนไขว่าประเทศไทยจะต้องยอมตกลงภายใต้สัญญาความตกลงสมบูรณ์แบบ (ดู เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่นๆ จากความตกลงสมบูรณ์แบบ ใน ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว) ซึ่งสัญญาความตกลงสมบูรณ์แบบ มีข้อสำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยก็คือ ประเทศอังกฤษกำหนดไว้ในสนธิสัญญาว่า 

“รัฐบาลไทยรับว่า จะไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทยเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรมิได้เห็นพ้องด้วยก่อน”[11]

ผลของความตกลงสมบูรณ์แบบจึงกลายมาเป็นข้อจำกัดให้กับประเทศไทยในการดำเนินโครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย โดยประเทศไทยต้องระงับแนวคิดเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 12 ปี[12] ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นส่วนหนึ่งอาจมองว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของดินแดนอาณานิคมอังกฤษในมาลายา กับอีกเหตุผลหนึ่ง คือ อังกฤษแสดงความเห็นว่า การขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทยจะทำให้เกิดภัยคุกคามความปลอดภัยของอินเดียในอารักขาของอังกฤษ ถ้าญี่ปุ่นสามารถยึดครองดังกล่าวได้และใช้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการขนส่งกำลังทหาร[13]

อย่างไรก็ดี โครงการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยนั้นไม่ได้ถูกพับแผนเก็บไว้ไปตลอด แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยยังคงถูกพูดถึงอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการศึกษาความเป็นไปได้อยู่ตลอด ดังนี้

  • พ.ศ. 2501 รัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้มีความคิดที่จะขุดคอคอดกระอีกครั้ง แต่รัฐบาลไม่สามารถหาข้อยุติในผลดี-ผลเสียแก่ประเทศได้[14]
  • พ.ศ. 2503 นายเชาว์ เชาว์ขวัญยืน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด และบริษัท แหลมทอง จำกัด ได้ขออนุญาตขุดคลองคอดกระ แต่สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอให้ระงับเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแบ่งแยกดินแดน[15]
  • พ.ศ. 2514 รัฐบาลได้อนุญาตให้สำนักงานพลังงานแห่งชาติ ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองคอดกระ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้ออำนวย[16]
  • พ.ศ. 2515 นายเชาว์ ได้เสนอผลการศึกษาโครงการขุดคลองคอดกระ โดยในครั้งนี้นายเชาว์ ได้ว่าจ้างบริษัทของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นที่ปรึกษา[17]  โดยคณะรัฐมนตรีลงนามรับทราบ แต่ยังไม่ได้ประกาศนโยบาย เนื่องมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้รัฐบาลของจอมพล ถนอม ต้องเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศ ทำให้โครงการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้น[18]
  • พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการขุดคลองคอดกระ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ในปี พ.ศ. 2526[19]
  • พ.ศ. 2526 พลโท หาญ ลีลานนท์ แม่ทัพภาคที่ 4 มีดำริจะรื้อฟื้นโครงการขุดคลองคอดกระขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่โครงการดังกล่าวถูกระงับเนื่องจากมีความกังวลว่าจะนำไปสู่ปัญหาความมั่นคง[20]
  • พ.ศ. 2540 รัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีแนวความคิดที่จะนำโครงการขุดคลองคอดกระมาดำเนินการอีกครั้ง แต่ยังมิได้ดำเนินการใดๆ รัฐบาลของพลเอกชวลิต ได้สิ้นสุดลงด้วยการลาออกทำให้โครงการดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการ[21]
  • พ.ศ. 2542 ในช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งญัตติด่วนเกี่ยวกับการขุดคลองคอดกระเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวม 2 ฉบับ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2542 รับทราบญัตติดังกล่าว และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการแล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป[22]
  • พ.ศ. 2544 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ประกาศนโยบายที่จะสานต่อโครงการขุดคลองคอดกระ โดยให้เหตุผลว่าการขุดคลองจะช่วยนำไปสู่การจ้างงานและการลงทุนทำให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจได้ รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้แห่งชาติเพื่อศึกษาความไปได้ในการขุดคลอง โดยกระทรวงคมนาคมโดยใช้เวลา 18 เดือนในการศึกษาและเปิดผลการศึกษาความเป็นไปได้ต่อสาธารณชนเป็นเวลา 6 เดือน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกับสาธารณชนต่อไป[23]  อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกดำเนินการให้เกิดขึ้นจริง[24]
  • พ.ศ. 2559 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างเส้นทางสายใหม่ทางทะเลของประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เพื่อช่วยร่นระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางทะเล[25]
  • พ.ศ. 2559 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559 ว่าการขุดคลองคอดกระอยู่ในช่วงการศึกษาข้อดีข้อเสีย ปัญหาชายแดนภาคใต้แก้ได้หรือยัง ยังมีพื้นที่อื่นที่มีปัญหาอีก ไม่ใช่ว่าขุดแล้วจะมีคนมาใช้ ถ้าแพงกว่าของเดิม เขาจะมาไหม  ทั้งนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่าดีหรือไม่ดี มีหลายอย่างโครงการคอคอดกระ มีสะพาน ถนนข้าม แต่ถามว่าเงินมีไหม จะเอาเงินจากไหน ถ้าคิดก็คิดได้หมดแต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา[26]

แนวคิดเกี่ยวกับการขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทยเป็นแนวคิดที่มีมาอย่างยาวนาน โดยสามารถสืบย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยวัตถุประสงค์ของการศึกษาโครงการดังกล่าว เป็นไปเพื่อศึกษาการสร้างเส้นทางการค้าใหม่สำหรับประเทศตะวันตกเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้า ในขณะที่ทางสยามมองประโยชน์ของการสร้างเส้นทางเพื่อประโยชน์ในเรื่องของความมั่นคงในการส่งกำลังทหาร ก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในระยะเวลาต่อมา 

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงหลายครั้งโครงการขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทยได้ถูกเลื่อนออกไปเพราะปัญหาในเรื่องความมั่นคง ทั้งในแง่ของความกังวลว่าจะทำให้ถูกใช้เป็นเหตุในการแบ่งแยกดินแดน การถูกอ้างเป็นข้ออ้างในการเสียดินแดน หรือการถูกใช้เป็นคลองยุทธศาสตร์ในการลำเลียงกำลังพล ซึ่งข้ออ้างในลักษณะดังกล่าวอาจจะล้าสมัยไปแล้วในยุคที่การทำสงครามแย่งชิงดินแดนเกิดขึ้นได้ยาก และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการสันติวิธี 

การพิจารณาว่าการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยจึงควรพิจารณาในเชิงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวมากกว่า


เชิงอรรถ

[1] สันนิษฐานกันว่าเป็นคลองที่ขุดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี) หรือที่คนทั่วไปรู้เรียกพระองค์ว่า พระเจ้าเสือ โดยคลองดังกล่าวปรากฏในโคลงพันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต โดยคลองดังกล่าวเริ่มขุดขึ้นในปี พ.ศ. 2248 – 2264 แล้วเสร็จในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ 9 หรือสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ.

[2] ประวัติศาสตร์นอกตำรา, ‘พันท้ายนรสิงห์ เรื่องจริง หรือ นิยาย กระบวนการสร้างใหม่ ผลิตซ้ำ: ประวัติศาสตร์นอกตำรา Ep.7’ (26 พฤศจิกายน 2560) <https://www.youtube.com/watch?v=7CapHFnK6ew> สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2565.

[3] Amonthep Thongsin, ‘The Kra Canal and Thai Security’ (Master of Science in Resource Planning and Management for International Defense, Naval Postgraduate School, 2002) 6.

[4] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, ‘การขุดคอคอดกระ’ ในชุมพล เลิศรัฐการ (บรรณาธิการ) วิชาการรัฐศาสตร์ 2544-2545 (สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ 2545) 90.

[5] Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 7.

[6] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, (เชิงอรรถที่ 4) 90.

[7] Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 8.

[8] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, (เชิงอรรถที่ 4) 90.

[9] เพิ่งอ้าง 90-91.

[10] เพิ่งอ้าง 91; และ Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 9.

[11] ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อเลิกสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่ และอินเดีย ข้อ 7.

[12] Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 9.

[13] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, (เชิงอรรถที่ 4) 91.

[14] เพิ่งอ้าง 91.

[15] เพิ่งอ้าง 91.

[16] เพิ่งอ้าง 91.

[17] Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 10.

[18] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, (เชิงอรรถที่ 4) 91.

[19] เพิ่งอ้าง 91.

[20] เพิ่งอ้าง 91.

[21] เพิ่งอ้าง 91.

[22] เพิ่งอ้าง 91.

[23] Amonthep Thongsin, (Footnote 3) 10.

[24] ระพีภรณ์ เลิศวงศ์วีระชัย, (เชิงอรรถที่ 4) 91.

[25] ทีมข่าวเฉพาะกิจ, ‘หลากเสียงสะท้อน ขุด-ไม่ขุด “คอคอดกระ” ตั้งแต่สมัย “พระนารายณ์” วันนี้ก็ยังไม่เกิด !’ (มติชนออนไลน์, 15 มกราคม 2559) <https://www.matichon.co.th/politics/news_3649> สืบค้นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2565.

[26] เพิ่งอ้าง.