นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“…ประชาธรรมเป็นคำที่ผมต้องการใช้มากกว่าประชาธิปไตย เพราะในวงการเมืองนั้น คำว่าประชาธิปไตยใช้กันจนเฝือ เช่น ในโรงเรียนไทย แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการ เขาก็ยังสอนให้นักเรียนท่องว่า ประเทศไทยเป็นเสรีประชาธิปไตย อีกประการหนึ่ง การเป็นประชาธิปไตยนั้น ถ้าไม่อาศัยหลักธรรมะแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์และบกพร่องแน่ เพราะถึงแม้เราจะปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก ถ้าเสียงข้างมากโน้มเอียงไปเชิงพาลแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถถกเถียงเรียกร้องให้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้ จึงจะเป็นธรรม…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2521).

ชื่อ “ป๋วย อึ๊งภากรณ์” นั้น เป็นที่รู้จักพอสมควรในสังคมไทย ในหลายๆ แง่มุมทั้งในฐานะการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ เทคโนแครตตัวอย่างผู้คอยรั้งรัฐบาล นักพัฒนา และนักสันติวิธีคนหนึ่ง รวมถึงจะรู้จักอุดมการณ์สันติประชาธรรมของอาจารย์ป๋วยเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและในบทความนี้ที่ได้หยิบยกมา คือ สังคมปัจจุบันนี้ไม่ได้ก้าวพ้นในสิ่งที่อาจารย์ป๋วยได้เคยพูดเสมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ และในแง่นี้คำพูดของอาจารย์ป๋วยจึงยังคงอยู่กับสังคมมากกว่าปณิธานของอาจารย์ที่ได้แสดงไว้

อีกครั้งหนึ่งกับสันติประชาธรรม

บ่อยครั้งที่เมื่อพูดถึงอุดมคติของรัฐในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยจะเริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า “สันติประชาธรรม” คืออะไร และมีความหมายอย่างไร

“สันติประชาธรรม” นั้น เป็นมรรควิธีสำคัญที่อาจารย์ป๋วยมองว่าเป็นหนทางสำหรับการปกครองและนำสังคมไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีแก่นแกนสำคัญอยู่ที่การมีสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการเข้าถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองโดยไม่จำกัดฐานะ เพศ และชาติกำเนิด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1]  อย่างไรก็ดี ด้วยบริบทของการเป็นเผด็จการแปลงรูปมาในชุดผ้าคลุมของระบอบประชาธิปไตยในยุคสมัยนั้น อาจารย์จึงเลือกที่จะใช้คำอื่นแทนที่จะเรียกประชาธิปไตย ซึ่งคำๆ นั้นก็คือ “สันติประชาธรรม”

“ประชาธรรม คือ ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม…บ้านเมืองที่มีประชาธรรมนั้นมีขื่อมีแป ไม่ใช่ปกครองกันตามอำเภอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จดหมายของ นายเข้ม เย็นยิ่ง
เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ (2515)

ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยนั้นคำว่า “ประชาธรรม” คือ การที่ธรรมเป็นอำนาจไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม กล่าวคือ ธรรมนั้นเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม โดยอาจารย์ป๋วยมีทรรศนะว่า โดยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตยนั้นหากปราศจากธรรมแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์กลายเป็นการปกครองกันด้วยเสียงข้างมากไป

ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจ ซึ่งคำว่า “ธรรม” ที่อาจารย์ป๋วยพูดถึงนั้นน่าจะหมายถึง “ความชอบธรรม” (legitimacy) ซึ่งเป็นเรื่องของการที่อำนาจได้รับการยอมรับจากสาธารณชน รวมถึงเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าว  อย่างไรก็ดี เพียงประชาธรรมอย่างเดียวนั้นในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยไม่เพียงพอ หากแต่ประชาธรรมอันเป็นมรรควิธีนั้นจะต้องเป็นไปโดยสันติ[2]

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี (2515)

นอกจากนี้ ในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยแล้ว การได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นจำเป็นต้องยึดหลักการสันติวิธี ดังที่อาจารย์ได้เคยแสดงทรรศนะเอาไว้ว่า “ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี” กล่าวคือ การได้อำนาจทางการเมืองใดๆ นั้นจะต้องอาศัยวิธีการโดยสันติ  ดังนั้น หากรัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือตำรวจเพื่อเข้าห้ำหั่นประชาชนหรือใช้กำลังทหารเพื่อเข้าควบคุมฝูงชนในการชุมนุม

การใช้ความรุนแรงนี้รวมไปถึงการใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อปิดปากมิให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม ลักษณะดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดนี้ ย่อมไม่สามารถนำไปสู่สังคมที่เป็นประชาธรรมได้ และกลายเป็นความเกลียดชังของคนในสังคมด้วยซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การใช้อาวุธประหัตประหารกันไม่รู้จบ ดังนี้แล้วสังคมใดจะเป็นประชาธรรมอย่างแท้จริงได้ จะต้องเกิดขึ้นบนสันติวิธี ปราศจากการใช้กำลังประหัตประหารกัน[3]

สังคมทำไมต้องเป็นสันติประชาธรรม

…ในสังคมที่มีประชาธรรม เราจะต้องแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เจ้าหน้าที่กับราษฎร หญิงกับชาย คนมีกับคนจน ท้องถิ่นที่อุดมกับท้องถิ่นที่กันดาร การมีโอกาสการศึกษากับการปราศจากโอกาส การมีโอกาสด้านสุขภาพอนามัยกับการปราศจากโอกาส ฯลฯ

ทั้งนี้มิได้เกิดจากลัทธิการเมืองหรือลัทธิอื่นใด เป็นเรื่องของความชอบธรรม ความเมตตากรุณา การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การปรองดองกัน และการที่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้แก่ผู้ตกยาก การมีอิสระที่จะรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กับรวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ซึ่งควรเคารพ ไม่ว่าฐานะกำเนิดของเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมสามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ที่ว่านั้นได้โดยสันติภาพ…”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, แนวทางสันติวิธี (2515)

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สันติประชาธรรม” เป็นมรรควิธีในการและหนทางสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหตุที่อาจารย์ป๋วยคิดเช่นนั้น ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ระบอบประชาธรรมนั้นเกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง และเอื้ออำนวยให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคม และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและช่องว่างด้านอื่นๆ ระหว่างท้องถิ่นและในหมู่ประชาชน[4]

ภาพของสังคมสันติประชาธรรมในทรรศนะของอาจารย์ป๋วย จึงไม่ใช่เพียงสังคมที่ผู้ปกครองมีการใช้อำนาจโดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ในทรรศนะของอาจารย์ สังคมสันติประชาธรรมจะต้องเป็นสังคมที่ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพระหว่างคนในสังคมทั้งหมด โดยรัฐควรจะมีบทบาทในการเกื้อกูลระหว่างประชาชนในแต่ละกลุ่ม ทรรศนะดังกล่าวนี้อาจารย์ป๋วยแสดงผ่านข้อเขียนของอาจารย์ป๋วยที่ชื่อว่า คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2516

ใจความสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ก็คือ การพยายามสื่อสารให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ ซึ่งลำพังการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์นั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคนในประเทศยังคงมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการศึกษา[5]

มองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรม

สถานการณ์สังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังติดอยู่ในกับดักของการหยุดยั้งการพัฒนาทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ สถานภาพของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนนั้นถูกละเลยจากรัฐบาลที่มาจากผลพวงของการรัฐประหาร และความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ในส่วนนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนมองสังคมไทยในวันที่ไม่เป็นสันติประชาธรรมนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง

เมื่ออำนาจกลายเป็นธรรม

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยนั้นถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งในแง่ของการตีความบทบัญญัติกฎหมายชนิดที่เรียกได้ว่า สองมาตรฐาน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาจากการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ยึดโยงอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชน หรือเป็นการตีความกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความชอบธรรมของกฎหมายในมือของรัฐบาล

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของกฎหมายในช่วงที่ผ่านมาเรื่องหนึ่งคือ การพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีทางการเมืองของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพโดย ไอลอว์ (iLaw) ในช่วง 9 กุมภาพันธ์ 2564 – 29 เมษายน 2564 นั้น ในการยื่นขอประกันตัวทั้งหมด 9 ครั้ง ศาลได้ให้เหตุผลในการไม่ให้ประกันตัว 2 ครั้ง โดยอ้างว่า เนื่องจากอัตราโทษสูง อาจไปก่อความผิดซ้ำ หรืออาจนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันกษัตริย์และเกรงว่าจะหลบหนี นอกจากนั้นแล้วศาลให้เห็นเหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม[6] ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมนั้นถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนถึงความชอบธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งบัดนี้การใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งเป็นกติการ่วมกันของสังคมได้ถูกตั้งคำถามมากขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในระบอบกฎหมายต่อไปในอนาคต

ในสังคมที่ห้ามเห็นต่างทางการเมือง

ตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ และสืบทอดอำนาจต่อมาด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 นี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล คสช. นี้เองศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้จัดทำรายงานสรุปสถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 16 กรกฎาคม 2562 เอาไว้[7] ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มีนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และประชาชน ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเมื่อมีการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สถานการณ์ของการมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกับหลุดลอยไปเนื่องจากกระบวนการใช้อำนาจของรัฐนั้นละเลยต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ถูกเรียกรายงานตัว / ควบคุมตัวในค่ายทหาร930 คน
ถูกข่มขู่ คุกคาม ติดตาม592 คน
กิจกรรมสาธารณะถูกปิดกั้นแทรกแซง361 กิจกรรม
ร้องเรียนว่าถูกซ้อมทรมาน18 คน
ถูกปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก159 กลุ่ม
ถูกตั้งข้อหาชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป428 คน
ถูกตั้งข้อหา มาตรา 116124 คน
ถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ. ประชามติฯ ร่าง รธน. 255950 คน
ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวหรือมีเงื่อนไขปล่อยตัว (MOU)31 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จากการแสดงออกที่เกี่ยวกับการเมือง197 คน
ถูกตั้งข้อหา ดูหมิ่นศาล หรือละเมิดอำนาจศาล18 คน
ถูกตั้งข้อหามาตรา 112169 คน
ถูกตั้งข้อหา พ.ร.บ. ชุมนุมฯ276 คน
ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร2,408 คน
จำนวนขั้นต่ำผู้ลี้ภัยทางการเมือง102 คน
สูญหายจากประเทศเพื่อนบ้านระหว่างลี้ภัย6 คน
ตกเป็นเป้าทำร้ายร่างกาย 12 ครั้ง4 คน
ถูกทำให้เสียชีวิตระหว่างลี้ภัย2 คน
ที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ‘5 ปี คสช. สถิติผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ’

ความเหลื่อมล้ำในวิกฤตเศรษฐกิจ

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ในช่วงปี 2558 – 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ต่อปี แต่ในทางตรงกันข้ามประชาชนกลับไม่รู้สึกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก เงินที่ได้รับจากการทำงานยังไม่พอเลี้ยงปากท้อง และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแหล่งอื่น โดยร้อยละ 20 (กลุ่มครัวเรือนไทยที่จนที่สุด) มีแหล่งรายได้มาจากเงินช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและบุคคลนอกครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ที่เป็นตัวเงินทั้งหมด และ ประการที่สอง ครัวเรือนยังต้องบริโภคด้วยการก่อหนี้ โดยสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่เกือบร้อยละ 80 สูงเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากเกาหลีใต้[8]

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบให้กับประชาชนเป็นอย่างมากโดยทำให้รายได้ลด และหนี้สินเพิ่มกลายเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิม โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวสูงถึงร้อยละ 6.1 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มลูกจ้างในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างมากที่สุด เพราะขาดรายได้หรือรายได้ลดลงมาก จากการเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่น รวมถึงในระยะแรกอาจจะต้องมีการนำเงินออมที่มีอยู่ออกมาใช้จ่ายหรืออาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มในช่วงที่ขาดรายได้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19[9] สภาพดังกล่าวยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เนื่องจากลูกจ้างในสังคมไทยเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงเนื่องจากรายได้ต่ำ เมื่อเทียบกับความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างน้อย

การหลุดลอยออกจากระบบการศึกษา

จากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จากข้อมูลการศึกษาล่าสุดปีการศึกษา 1/2564 มีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเด็กทั้งหมด ในช่วงวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับที่มีประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 1,094 บาท  นอกจากนี้ รายได้จากการเกษตรหรือด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่ลดลง แต่รายได้ที่เพิ่มมาจากสวัสดิการรัฐ เงินช่วยเหลือเยียวยา และผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้จำนวนเด็กยากจนพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากปีการศึกษา 2/2563[10]

สถานการณ์ดังกล่าวเลวร้ายมากขึ้นจากการสำรวจของ กสศ. ในช่วงภาคเรียนที่ 1/2563 ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยมีนักเรียนยากจนจำนวน 1.7 ล้านคน โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยากจนพิเศษในปีที่ผ่านมาประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียนที่ 2/2562 มากกว่า 2.4 แสนคน[11]

สิ่งที่จะต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ ภายหลังสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว สถานการณ์การหลุดลอยจากระบบการศึกษาจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อชีวิตร่วงหล่นลงอย่างไม่มีคุณค่า

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น แม้ในช่วงต้นของการระบาดประเทศจะรับมือได้ดีเนื่องจากความตั้งใจและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19  อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสถัดๆ ไปนั้น ประเทศไทยประสบกับปัญหาค่อนข้างมากโดยเฉพาะเมื่อการระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และโอไมครอน สภาพของการระบาดที่เกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล และจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกันจำนวนการเข้าถึงวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพในประเทศไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า และกระจายการเข้าถึงในระดับที่ต่ำ

สถิติผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายใหม่

ที่มา: JHU CSSE COVID-19 Data.

สถิตผู้ได้รับวัคซีน

ที่มา: กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม.

สังคมไทยในวันนี้ ที่อาจารย์ป๋วยได้จากโลกนี้ไปแล้ว สภาพสังคมโดยรวมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สังคมการเมืองไทยยังคงอยู่ในวังวนที่ธรรมนั้นเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม ในขณะที่วิถีชีวิตของคนในสังคมยังคงมีความยากลำบากและไม่มีความแน่นอนในชีวิต คุณภาพชีวิตนับตั้งแต่จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนนั้นยังคงไม่ได้ดีขึ้นเท่าใดนัก สังคมไทยยังห่างไกลสู่หนทางของการเป็นสันติประชาธรรม เมื่อนึกดูแล้วก็ได้แต่ “นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม”


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 ตุลาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/10/873.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] เพิ่งอ้าง.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, จารีตรัฐธรรมนูญไทยกับสันติประชาธรรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2550) 169.

[5] พชร สูงเด่น, “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ย้อนอ่านความฝันของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์,” a day bulletin, 9 มีนาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://adaybulletin.com/life-feature-from-womb-to-tomb-puey-ungphakorn/47552.

[6] iLaw-freedom, “รวมสถิติการยื่นคำร้องขอประกันตัว เพนกวิน-พริษฐ์,” iLaw freedom, 5 พฤษภาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://freedom.ilaw.or.th/node/906.

[8] พิรญาณ์ รณภาพ, “​ความเหลื่อมล้ำ: ตัวฉุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลง,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, 11 พฤศจิกายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_11Nov2021.aspx.

[9] เพิ่งอ้าง.

[10] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ยากจน ลำบาก หลุดจากระบบการศึกษา,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 25 กันยายน 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2565, จาก https://www.eef.or.th/infographic-06-09-21/.

ผู้เขียนได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยมีความตั้งใจจะใช้เป็นความเพื่อระลึกถึง อ.ป๋วย แม้ผู้เขียนจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับ อ.ป๋วย โดยตรง เพราะกว่าเมื่อผู้เขียนจะรู้ความพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในสังคมไทย อ.ป๋วย ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อในบทความนี้ก็คือ ความเคารพที่มีต่ออาจารย์ หลายคนมอง อ.ป๋วย ในหลายบทบาททั้งในฐานะ นักพัฒนา เทคโนแครตมืออาชีพ นักอุดมการณ์​ นักสันติวิธี และเจ้าของอุดมการณ์​สันติประชาธรรม แต่การพิจารณา อ.ป๋วย ในลักษณะแบบนั้นมันเป็นการเคารพ อ.ป๋วย ตามอุดมการณ์แบบบูชาตัวบุคคล มากกว่าจะก้าวข้าม อ.ป๋วย และสืบสาน รักษา และต่อยอดสิ่งที่ อ.ป๋วยพูด ไว้ สังคมไทยเลยติดกับอยู่กับคำพูดมากกว่าอุดมการณ์​ เสมือน อ.ป๋วยไม่เคยจากโลกนี้ไป อ.ป๋วย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อบางชุด ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความนี้เพื่อแสดงมุทิตาจิต ในฐานะศิษย์ซึ่งไม่เคยพบหน้าและยึดถืออุดมการณ์ของอาจารย์

สันติประชาธรรมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

สันติประชาธรรมเป็นมรรควิธีสำคัญของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ท่านได้แสดงไว้ ซึ่งสันติประชาธรรมนั้นเป็นวิธีการและหนทางสำคัญในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

สันติประชาธรรมคืออะไร

“ถ้ายึดหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

สันติประชาธรรมคือ หลักการที่อาจารย์ป๋วยหรือ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนอเป็นหลักคิดสำหรับการเกิดสันติและความเป็นธรรมในสังคม โดยอาจารย์ป๋วยเชื่อว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนทางการเมือง ซึ่งอาจารย์ป๋วยเรียกว่า “ประชาธรรม” นั้นจะได้มาก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น  ฉะนั้น ในมุมมองของอาจารย์ธรรมเป็นอำนาจ (ธรรมเป็นที่มาและวิธีการของอำนาจ) ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม (อำนาจเป็นที่มาและวิธีการของการเป็นธรรม) ดังนั้นแล้วจึงถ้ายึดหลักประชาธรรม (สิทธิและเสรีภาพของประชาชน) แล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี

คุณค่าของสิทธิและเสรีภาพในมุมมองของอาจารย์ป๋วยจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดประการหนึ่งในการดำรงอยู่ของสังคม และการใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้นแม้จะสำเร็จอาจจะได้ผลก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น  ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามใช้กำลังทหารหรือควบคุมฝูงชนจึงอาจจะไม่ใช่หนทางไปสู่การเกิดประชาธรรมแล้ว ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดความเกลียดชังในสังคมอีกด้วยซ้ำ

“สมมติว่าเราปักใจท้อเสียก่อนว่าสันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อนุสนธิจากจดหมายของนายเข้มฯ.

ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยประชาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ด้วยสันติวิธีเท่านั้น และแม้จะเกิดขึ้นได้ยากและอาจทำให้ผู้คนหมดหวังไปเสียก่อน ในมุมมองของอาจารย์ป๋วยการปักใจเชื่อว่า “สันติวิธีจะไม่สามารถนำประชาธรรมมาได้ (ความจริงไม่น่าท้อเสียก่อน) สมมติว่าไม่มีหวังจะสำเร็จ ก็น่าจะคิดว่าควรทำ หรือควรจะพูดควรจะเขียนเพื่อเสรีภาพ” ก็ควรแสดงออกทางการเมืองโดยสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการเรียกร้องหรือการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงประชาธรรม วิธีการดังกล่าวนั้นเช่นเดียวกับที่อาจารย์ป๋วยพยายามทำเสมอมาผ่านตัวตนที่แสดงออกจากงานเขียน “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” “สันติประชาธรรม” และ “จดหมายนายเข้ม เย็นยิ่ง”

หนทางของอาจารย์ป๋วยในการได้มาซึ่งประชาธรรมนั้นมีสันติวิธีเพียงอย่างเดียวถึงจะได้ประชาธรรมถาวรมั่นคง และต้องใช้เวลานาน ต้องเสียสละ ต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษ และอาจจะถูกเย้ยหยันโดยผู้อื่น แต่ถ้ามุ่งมั่นในหลักการจริงความมานะอดทนย่อมตามมาเอง บุคคลที่บัดนี้ได้ถูกรัฐบาลควบคุมตัวไว้เพราะกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักในประชาธรรมนั้นจึงเป็นผู้มีเกียรติ ควรได้มาซึ่งความเคารพ และไม่ควรถูกทอดทิ้งไว้ในยามยากลำบาก เพราะอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

ในการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ)

ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็ควรจะพิจารณาวิถีทางแห่งสันติประชาธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลที่ได้เข้ามาบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 7 ปีนั้นได้เพียงแต่นำเสนอการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ใส่ใจในเชิงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งภาพดังกล่าวยิ่งชัดเจนในช่วงเวลาของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่มีหลักประกันในคุณภาพชีวิต เมื่อเผชิญกับโรคระบาดและภาวะการตกงาน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้ไปตกแก่ภาระของปัจเจกบุคคล แทนที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นความบกพร่องของการทำงานและระบบของรัฐบาล ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ยอมรับว่าความผิดเป็นผลมาจากการบริหารงานที่ไม่มีความสามารถของตนเองการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

สังคมเศรษฐกิจไทยจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสันติประชาธรรมได้นั้น จำเป็นต้องยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเสียก่อน ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นตรงกันข้ามกับสังคมไทยที่เน้นการเติบโตเชิงตัวเลขเท่านั้นมากกว่าการจะเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน  นอกจากนี้ การพัฒนาในปัจจุบันก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองหลวงและเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมือง ภาพที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นการเอาทรัพยากรของคนทั้งประเทศไปทุ่มไว้ให้คนบางกลุ่มเท่านั้น

ในขณะที่ประชาชนนอกกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับปัญหาความยากลำบากทั้งการเข้าไม่ถึงสวัสดิการ การรักษาพยาบาล และกลายเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้การพัฒนาในรูปแบบดังกล่าวเป็นการพัฒนาบนรากฐานของความรุนแรงและการบังคับเสียสละ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพซ้ำเติมของความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น (ภาพเหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะนอกกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ในเขตกรุงเทพมหานครก็กลายเป็นพื้นที่แสดงภาพดังกล่าวซ้อนทับเข้าไปอีก เมื่อโครงสร้างของการพัฒนาไม่สมดุล)

การจะหลุดพ้นจากการพัฒนาแบบไม่สมดุลได้นั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเป็นสังคมสันติประชาธรรม ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้การกำหนดนโยบายการพัฒนา (ทางเศรษฐกิจ) ก็ควรจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

“ผมจำเป็นต้องมีโอกาสได้ร่วมงานของชุมชนที่ผมอาศัยอยู่ และสามารถมีปากเสียงในการกำหนดชะตาของบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศของผม”

– ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน.

อาจารย์ป๋วยได้เคยเขียนถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนนี้ไว้ในเอกสารเรื่อง “ปฏิทินความหวัง-จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” แสดงให้เห็นว่าบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการมีประชาธรรม และจะมีเฉพาะการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในระดับรากฐานของชุมชนการเมือง ฉะนั้น การกระจายอำนาจทางปกครองจึงมีความสำคัญ

“ในการพัฒนาประชาชาติ ข้อที่ควรคำนึงถึงก็คือ ประชาชาติประกอบด้วยประชาชนที่เป็นมนุษย์ และมนุษย์แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉานหรือตุ๊กตาของเล่นอยู่ที่มนุษย์สามารถใช้สมองใช้ความคิด สามารถช่วยตัวเองได้  ฉะนั้น วิธีการพัฒนาหมู่ชนด้วยการลงทุนน้อยและได้ผลมากก็คือ วิธีการช่วยให้มนุษย์และประชาชนนั้นสามารถช่วยตัวเองได้อย่างดี กล่าวคือ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในส่วนกลาง คือ รัฐบาล จำเป็นต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของเอกชน เคารพในศักดิ์และสิทธิแห่งเอกชน ที่จะริเริ่มดำเนินการได้ด้วยตนเอง ที่จะดำเนินกิจการของเขาไปได้โดยปราศจากข้อกีดขวางในทำนองถูกเบียดเบียนแย่งชิงหรือห้ามปรามด้วยเอกสิทธิ์อันไม่ชอบธรรม”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

แนวทางการพัฒนาตามสันติประชาธรรมนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การไม่ปฏิเสธคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐไม่ควรดำเนินนโยบายหรือวางท่าทีการบริหารประเทศเสมือนเป็นการทำมหากุศลหรือการบริจาคทาน และมองประชาชนเป็นเสมือนภาระหรือผู้ขอรับความช่วยเหลือ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่จะให้การสนับสนุนประชาชนในการจะดำเนินการเพื่อก่อร่างสร้างตำแหน่งแห่งที่ของตน ดังนั้น ทัศนคติของรัฐบาลโดยคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พยายามกระทำกับประชาชนเหมือนเป็นการบริจาคโดยใช้เงินภาษีของประชาชนนั้นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องต่อการสร้างสังคมที่มีประชาธรรม ในทางตรงกันข้ามทัศนคติแบบนี้เป็นวิถีทางของเผด็จการและเศษซากศักดินาที่มองประชาชนเป็นเบี้ยล่าง และวางตนเป็นผู้มีบุญอยู่เหนือความทุกข์ยากของประชาชน

“ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก”

– ป๋วย อึ้งภากรณ์.

สังคมที่เป็นสันติประชาธรรมนั้นนอกจากการตระหนักในคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้วนั้น สังคมควรสร้างความเป็นภราดรภาพระหว่างคนในสังคมจะต้องผนวกความเอื้ออาทรต่อกลุ่มชนผู้เสียเปรียบในสังคมและมองว่าเป็นหนี้ร่วมกันของคนในสังคมที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในการเพิ่มรายได้นั้น ไม่ควรที่จะให้คนมี มีจนเกินไปนัก และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนจน จนลงไปมาก…สุภาษิตของแมกไซไซที่ว่า ถ้าใครเกิดมามีน้อยบ้านเมืองพึงให้มากๆ เป็นสุภาษิตซึ่งควรจะมีประจำใจไว้” และหัวใจสำคัญคือการจะต้องเกื้อกูลกันด้วยความเป็นภราดรภาพ ดังอาจารย์ป๋วยได้เคยแสดงปาฐกถาเรื่อง “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาชาติ” ว่า “ผู้อ่อนแอกว่าย่อมพึงมีสิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่คอยรับทานจากผู้ที่แข็งแรงกว่า และผู้ที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า จะต้องรู้จักยับยั้งไม่กอบโกยด้วยความโลภ เปิดโอกาสให้มีความยุติธรรมทางสังคม”

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาสังคมสู่สันติประชาธรรมนั้นก็คือ ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ระบอบการเมืองการปกครองของไทยเป็นระบอบเผด็จการเสียส่วนใหญ่ ทหารและนักการเมืองรับใช้ทหารคอยปกครองประเทศและเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศให้มีอัปลักษณะบางประการทางสังคม ได้แก่ ขนาดของการเปิดประเทศที่มีมากเกินไป การพึ่งพาการนำเข้าและการพึ่งพิงเงินออกจากต่างประเทศมากเกินไป การผูกขาดและการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดมาจากนโยบายของรัฐบาล (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, 2531) ที่คอยสนับสนุนอุ้มชูกลุ่มทุนจากต่างประเทศโดยกดขี่แรงงานไทย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564) หรือการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่สนับสนุนตนเองหรือตนเองเข้าไปมีส่วนเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการรวมอยู่ด้วย (เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564 และผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, 2546) อัปลักษณะเหล่านี้เองก็มีส่วนซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางสังคมและขัดขวางการพัฒนา

ปัจจุบันนี้ สังคมกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านมนตราของระบอบเผด็จการได้เริ่มเสื่อมลงแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีทัศนะที่ถูกต้องแล้วว่าการพัฒนาแบบไม่สมดุลนั้นไม่ใช่ความยั่งยืน การจะทำให้สังคมไปสู่สังคมสันติประชาธรรมนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลา แต่ไม่มีอะไรที่จะสายเกินกว่าจะเริ่มต้นทำในวันนี้ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาโดยยึดถือสันติประชาธรรมนั้นจะช่วยให้สังคมไทยดีขึ้น พร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น แม้ในเวลาที่ยากลำบากก็ขอให้อย่าหมดหวังในสังคมที่เป็นประชาธรรมโดยสันติ และขอให้อย่าหมดหวังในขบวนการประชาธิปไตย


อ้างอิงจาก

  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ทัศนะทางเศรษฐกิจ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2559).
  • รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์ พัวพงศกร, ‘เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม ?’ ใน รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และนิพนธ์พัวพงศกร (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย: บนเส้นทางแห่งสันติประชาธรรม (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2531) 1027 – 1051.
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ตุลาคม 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/10/854 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 กุมภาพันธ์ 2564) https://pridi.or.th/th/content/2021/02/599 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564
  • ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 3, สำนักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2546).
  • ธารทอง ทองสวัสดิ์, ‘เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504’ ใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (บรรณาธิการ) เศรษฐกิจไทย (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2533).