กระชับเวลาช่วย บมจ. ควบรวมธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง พิยดา เกื้อทาน และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สนามแข่งขันของภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเป็นไปอย่างดุเดือด สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความดุเดือดของการแข่งขันได้เป็นอย่างดีคือ การเพิ่มขึ้นของการควบรวมธุรกิจ

“การควบรวม” เป็นอาวุธสำคัญที่ถูกใช้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จะเห็นได้จากที่ผ่านมาในระดับภูมิภาคเอเชีย Grab และ Uber สองผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ดำเนินการควบรวมกลายเป็น Grab Holding เพื่อเพิ่มขอบเขตการให้บริการ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ส่วนในประเทศไทยเองก็มีการควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH เกิดบริษัทใหม่ชื่อว่า NewCo

ขณะที่ในปีหน้า มีการคาดการณ์กันว่าการส่งออกไทยในปี 2568 จะเติบโตต่ำกว่าในอดีต โดย SCB EIC วิเคราะห์สาเหตุไว้ว่าส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกได้

ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการควบรวมธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา และเพื่อรองรับสถานการณ์ของการควบรวมธุรกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องทบทวนบทบัญญัติของกฎหมายให้มีความเหมาะสมและส่งเสริมการควบรวมธุรกิจมากขึ้น

นอกจากการปรับกฎหมายให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ระหว่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กับ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ในประเด็นการแก้ไขคำนิยามการควบรวมกิจการ ที่คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอได้มีข้อเสนอไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ การปรับกระบวนการควบรวมธุรกิจให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้น เพราะหากขั้นตอนดังกล่าวล่าช้า อาจกระทบต้นทุนดำเนินการของกิจการในที่สุด

หนึ่งในขั้นตอนของการควบรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายปัจจุบันคือ การกำหนดให้บริษัทมหาชนต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ในการควบรวมธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้เอาไว้แล้ว โดยเจ้าหนี้มีสิทธิคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ได้ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการควบรวมกิจการต่อไปได้ จนกว่าจะชำระหนี้หรือวางหลักประกันแก่เจ้าหนี้จนแล้วเสร็จ

นั่นหมายความว่า หากมีเจ้าหนี้จำนวนมากคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ อาจใช้ระยะเวลาที่มากในการดำเนินการซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจในขั้นตอนต่อๆ ไป

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การควบรวมธุรกิจภายใต้ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัดฯ พบว่ากฎหมายได้กำหนดให้เจ้าหนี้ส่งคำคัดค้านหากไม่เห็นด้วยกับควบรวมภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่มีมติให้ควบรวมกิจการ ซึ่งแตกต่างจากการควบรวมของบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดระยะเวลาไว้เพียง 1 เดือนเท่านั้น

โดยการกำหนดระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะส่งผลให้เกิดการควบรวมที่ล่าช้า และส่งผลต่ออัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ความแตกต่างของกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการควบรวมระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัด เนื่องจากแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาส่งคำคัดค้านของบริษัทจำกัดแล้ว การดำเนินการขั้นตอนต่อไปก็ยังไม่สามารถกระทำได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการส่งคำคัดค้านของบริษัทมหาชนเสียก่อน ทำให้กระบวนการควบรวมล่าช้า และธุรกิจใช้ระยะเวลานานเกินความจำเป็น อีกทั้งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้บริษัทสามารถปรับตัวเข้ารับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการควบรวมจะส่งผลให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เช่น บริษัท ก มีทรัพย์สินมาก มีเจ้าหนี้น้อยราย แต่บริษัท ข ซึ่งมีทรัพย์สินน้อยมีเจ้าหนี้มาก เมื่อเกิดการควบรวมย่อมส่งผลให้ทรัพย์สินบริษัททั้งสองรวมกัน ทำให้เจ้าหนี้บริษัท ก เสียเปรียบเพราะทรัพย์สินถูกเฉลี่ย เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสามารถจัดการได้ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละราย

เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว พบว่ามีหลักเกณฑ์แตกต่างจากกฎหมายไทย ตัวอย่างเช่นในกรณีของอินเดีย หลักเกณฑ์การควบรวมกิจการตามกฎหมายบริษัทปี 1959 (The Companies Acts. 1959) กำหนดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่ได้ดำเนินการภายใน 1 เดือนจะถือว่าได้ลงมติเช่นเดียวกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นการสร้างความแน่นอนและไม่ทำให้กระบวนการควบรวมกิจการต้องชะลอไป

จากหลักเกณฑ์ของอินเดียที่กำหนดระยะเวลาชัดเจน ทำให้กรรมการของบริษัทต้องแจ้งมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมสำเนามติที่ประชุม ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัท รวมถึงเจ้าหนี้ของบริษัทที่ต้องให้ความยินยอมกับการควบกิจการนั้น เว้นแต่จะมีบทบัญญัติอื่นตามกฎหมายฉบับนี้หรือมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ของบริษัทไม่ยินยอมกับแผนการควบกิจการ มีสิทธิดำเนินการถอนเงินมัดจำ หรือเงินกู้ หรือเงินล่วงหน้า (ถ้ามี) ภายในระยะเวลา 1 เดือนนับแต่ได้รับแจ้งมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ในกรณีของไทย การแก้ไขกฎหมายเพื่อทำให้ระยะเวลากระชับและชัดเจนมากขึ้น อาจจะเป็นการช่วยให้การควบรวมธุรกิจทำได้รวดเร็วขึ้น โดยการแก้ไขเรื่องระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทบสิทธิของเจ้าหนี้แต่อย่างใด เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้อยู่เหมือนเดิม เพราะบริษัทที่ควบรวมแล้วย่อมรับไปซึ่งทั้งสิทธิและหน้าที่ของบริษัทเดิม

นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติปัจจุบัน บริษัทที่จะควบรวมจะทำการสอบถามเจ้าหนี้ที่บริษัทรับรู้ก่อน เพื่อเป็นการเตรียมการก่อนที่จะมีการส่งหนังสือบอกกล่าวผ่านทางไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น และเจ้าหนี้บริษัทส่วนใหญ่อาจติดตามข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญผ่านสื่อออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนี้ การสื่อสารเรื่องการควบรวมและการสั่งคำคัดค้านอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาที่นานถึง 2 เดือนอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแก้ไขระยะเวลาในการส่งคำคัดค้านของเจ้าหนี้ในกรณีไม่เห็นด้วยกับมติควบรวม ตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดไว้เพียง 1 เดือน เพื่อลดความลักลั่น พร้อมแก้ไขปัญหาความล่าช้าของขั้นตอน ลดต้นทุนดำเนินการ และช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการควบรวมให้เกิดขึ้นทั้งในบริษัทมหาชน หรือระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัดมากยิ่งขึ้น