ผลกระทบต่อการเปิดเสรีการค้ากลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่งผลต่อการผลิตข้าวสยามอย่างไร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเปิดเสรีทางการค้าในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำ ‘สนธิสัญญาเบาว์ริง’ ระหว่างสหราชอาณาจักรกับราชอาณาจักรสยามในปี ค.ศ. 1855 ทำให้การค้าระหว่างประเทศที่เคยมีอยู่ในอดีตเพิ่มความสำคัญมากขึ้น[1]

พร้อมๆ กันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวระบบเศรษฐกิจของสยามได้เปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพที่การผลิตมีขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคภายในครัวเรือนมาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการค้าเสรี[2] ที่มีการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมากขึ้น[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพและภาคกลางของสยามที่ระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพได้ลดบทบาทความสำคัญลง เนื่องจากวิถีการผลิตดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อระบบทุนนิยมที่เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น อาทิ การทอผ้าในครัวเรือนได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากราคาผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตด้วยเครื่องจักรมีราคาถูกกว่า ทำให้ชาวบ้านอุทิศเวลาให้การผลิตข้าวมากขึ้นเพื่อนำเงินจากการขายข้าวมาซื้อสินค้าเพื่อบริโภคแทน[4]

ข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังทศวรรษที่ 1867(นับแบบคริสต์ศักราช) เป็นต้นมา การส่งออกข้าวของสยามเพิ่มมากขึ้นโดยเป็นสินค้าส่งออกหลัก 2 ใน 3 ถึง 3 ใน 4 หรือราวๆ ร้อยละ 60-70 ของการส่งออกสยาม[5] ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการข้าวในต่างประเทศ โดยปริมาณความต้องการข้าวเพิ่มขึ้นจากประมาณร้อยละ 5 ของผลผลิตทั้งหมดในปี ค.ศ. 1850 เป็นร้อยละ 50 ในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งเป็นผลของการเพิ่มขึ้นประชากร[6]

การเพิ่มขึ้นของความต้องการข้าวทำให้รัฐบาลสยามเลือกที่จะจัดสรรทรัพยากรที่สำคัญ 2 อย่างคือ แรงงานและที่ดินไปตอบสนองการผลิตข้าวเพื่อการค้ามากขึ้น[7] โดยสะท้อนผ่านนโยบายสำคัญ 3 อย่างคือ นโยบายการยกเลิกไพร่และทาส การขยายพื้นที่เพาะปลูก และการจัดเก็บภาษีข้าวในอัตราต่ำ

ในกรณีของการเลิกไพร่และทาสในช่วงทศวรรษ 1945 (นับแบบคริสต์ศักราช) มีจุดประสงค์สำคัญอยู่ที่การปลดปล่อยแรงงานให้เป็นอิสระจากการควบคุมภายใต้ระบบศักดินาเดิม ซึ่งทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานไม่สามารถกระทำได้อย่างอิสระ[8] ผลที่ตามมาก็คือ แรงงานไพร่และทาสในอดีตส่วนใหญ่หันไปบุกเบิกพื้นที่เพื่อทำมาหากินประกอบอาชีพเป็นชาวนา โดยมีสถานะเป็นชาวนารายย่อย ในขณะเดียวกันชาวนาเหล่านี้ยังได้ทำอาชีพรับจ้างทำนาหรือเช่าที่นาของขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ซึ่งได้ครอบครองที่ดินเพื่อปลูกข้าว โดยเฉพาะในเขตคลองรังสิต (รังสิตและธัญบุรี)[9] สภาพดังกล่าวทำให้ในช่วงศตวรรษที่ 19 อาชีพหลักของคนไทยคือ การเป็นชาวนาปลูกข้าวมีมากถึงร้อยละ 80-90 ของคนไทยทั้งหมด[10]

เมื่อความต้องการข้าวเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังทศวรรษที่ 1850 (นับแบบคริสต์ศักราช) เป็นต้นมา รัฐบาลสยามได้ตั้งเป้าหมายในการขยายพื้นที่เพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นจนประมาณช่วงปี ค.ศ. 1905-1906 สยามมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น 9.1 ล้านไร่ สูงกว่าที่ประเมินไว้ในปี ค.ศ. 1850 ว่าจะมี 5.8 ล้านไร่อยู่ 3.3 ล้านไร่ โดยจำนวนที่ดินนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 34.6 ล้านไร่ ในปี ค.ศ. 1950[11]

การขยายพื้นที่เพาะปลูกครั้งสำคัญก็คือ โครงการขุดคลองรังสิต เนื่องจากลำพังการจัดสรรที่ดินเพื่อให้นำไปใช้ในการทำนานั้นไม่เพียงพอต่อการจะทำให้นามีผลตอบแทนมาก การจะทำนาให้ได้ผลตอบแทนมาจะต้องมีระบบชลประทานที่เข้าถึงนาด้วย ฉะนั้น การขยายตัวของพื้นที่เพาะปลูกข้าวโดยวิธีการขุดคลองจึงได้รับความนิยมมาก โดยรัฐบาลสยามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มอบพระบรมราชานุญาตขุดคลองและให้สิทธิพิเศษอันเกี่ยวเนื่องกับการขุดคลองกับบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม อาทิ สิทธิในการเลือกขุดคลองก่อน และสิทธิในการได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน[12]

อีกประการหนึ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการขยายตัวของการปลูกข้าวในบริเวณกรุงเทพและภาคกลางของสยามคือ การจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ โดยงานศึกษาของ พอพันธ์ อุยยานนท์ ได้ระบุว่า นโยบายรัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการเก็บภาษีที่นาเอาไว้ในระดับต่ำเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกข้าวขึ้น โดยภาระภาษีข้าวตกอยู่ที่ชาวนาไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าข้าวที่ผลิตได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีที่เก็บในพม่าและอินโดจีนยิ่งมีอัตราที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบแล้วอัตราภาษีที่นาที่รัฐบาลสยามจัดเก็บกับชาวนามีอัตราต่ำไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เก็บในพม่า[13] ทั้งนี้ ยังไม่รวมภาษีชนิดอื่นๆ ที่รัฐบาลสยามจัดเก็บ ซึ่งมีปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนกัน

ทั้งสามปัจจัยมีส่วนช่วยตอบสนองให้การส่งออกข้าวเพิ่มของสยามให้เพิ่มมากขึ้น  อย่างไรก็ดี การส่งออกข้าวที่เพิ่มมากขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของชาวนาให้ดีขึ้นแต่อย่างใด ชาวนาไทยส่วนใหญ่มีสถานะยากจนและประสิทธิภาพในการทำนาต่ำนั้นมีสาเหตุมาจากการไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทางการเมือง รวมถึงสถาบันที่กำกับตัวสังคมอย่างเพียงพอ

กล่าวคือ การเข้าสู่ทุนนิยมภายใต้การผลิตเพื่อการค้าแบบเมืองขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าเพื่อป้อนให้กับอาณานิคมของชาติวันตกในเอเชีย ทำให้ไม่มีการทำลายระบบศักดินาเดิมลง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการปกครองบ้าง[14] อาทิ การออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในระบบไพร่-ทาส แต่กฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ออกมาเพื่อตอบสนองต่อการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพที่ควรจะมีในระบบตลาด

ในทางตรงกันข้ามกฎหมายเหล่านี้ออกมาเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมพลเมืองของรัฐ[15] ทำให้ส่วนเกินที่เกิดจากการผลิตสินค้าถูกดูดกลืนไปเป็นของนายทุนการค้าที่ส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่มั่งคั่งขึ้นมาจากระบบราชการ เจ้าของที่ดิน และชาวต่างชาติบางกลุ่ม ซึ่งการส่งออกจึงเน้นไปที่การสร้างความมั่งคั่งให้กับทุนการค้าและทุนเงินกู้ที่มีกำลังทรัพย์มาจากการตักตวงผลประโยชน์บนความสัมพันธ์อุปถัมภ์ภายใต้ระบบศักดินา[16]

เมื่อโครงสร้างทางการเมืองและสถาบันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทำผลเสียตกกับชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากโครงสร้างทางการเมืองและสถาบันต้องการจะขูดรีดผลประโยชน์ส่วนเกินจากชาวนาในการผลิตข้าว โดยการขูดรีดอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ

ประการแรก การไม่ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะการพัฒนาที่ดินสำหรับใช้ในการทำนาก็ตาม แต่การขุดคลองที่ดังกล่าวไม่ได้มาจากการลงทุนของรัฐ แต่เกิดขึ้นจากลงทุนของเอกชนที่เป็นนายทุนการค้า เจ้าของที่ดิน และชาวต่างชาติที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เอกชนดำเนินการขุดคลอง แต่ถึงกระนั้นการพัฒนาเทคนิคด้านการผลิตมีน้อย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงเทคนิคด้านการผลิตอยู่บ้างแต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ระบบการผลิตเปลี่ยนแปลงไป[17] ชาวนาส่วนใหญ่ยังทำเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติ ซึ่งพอดินฟ้าอากาศไม่อำนวยก็ทำให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตรังสิตที่หากน้ำมากเกินไปการหว่านไถก็ทำไม่ได้ หรือถ้าน้ำท่วมก็จะทำให้นาล่มเสียหาย รวมถึงการที่ดินเปรี้ยวหรือเค็มเป็นกรดก็ทำให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตไม่ดี[18]

วิธีขยายการเพาะปลูกโดยไม่ปรับปรุงเทคนิคการผลิตทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงในระยะยาวและสะท้อนคุณภาพของที่ดินซึ่งมีลักษณะเลวลง ไม่อุดมสมบูรณ์พอจะเพาะปลูก[19] ในขณะเดียวกันนายทุนและเจ้าที่ดินไม่ได้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะพัฒนาที่ดินเนื่องจากนายทุนและเจ้าที่ดินไม่ใช่ชาวนาแต่เป็นผู้ให้เช่าที่นา ตราบใดยังได้ค่าเช่าและมีคนมาเช่าน่าก็เป็นที่พึงพอใจ

ประการที่สอง การทำนาของชาวนารายย่อยนั้นต้องทำนาภายใต้ที่ดินอันจำกัด โดยการจะทำให้ได้ผลผลิตมาจากการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติสูงและไม่มีการปรับปรุงเทคนิคจึงต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปเพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ที่ดินของชาวนารายย่อยมีอยู่อย่างจำกัดและเป็นที่ดินแปลงขนาดเล็กซึ่งไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อการพัฒนา จากการสำรวจท้องถิ่นสยามของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน ในช่วงปี ค.ศ. 1930 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและอาศัยการเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน หรือหากจะมีที่ดินเป็นของตัวเองก็เป็นที่ดินขนาดเล็ก[20]

ประการที่สาม การจัดเก็บภาษีมีความซ้ำซ้อนกัน แม้ว่าในช่วงต้นจะได้อธิบายว่ารัฐบาลสยามมีการเก็บภาษีค่านาต่ำ แต่ชาวนายังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอื่นๆ อาทิ ภาษีโคกระบือ เงินรัชชูปการ[21] และในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้มีการนำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้ามาใช้เพื่อเก็บกับผู้มีเงินได้ ทำให้ชาวนาที่มีรายได้จากการทำนาเพียงอย่างเดียวจะต้องจ่ายภาษีหลายรายการ[22] ประกอบกับชาวนายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าเช่านา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นทุนให้กับชาวนาทั้งนั้น[23]

กล่าวโดยสรุป แม้ว่าสยามจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแล้วก็ตาม ทว่า การเปลี่ยนผ่านจากการผลิตแบบยังชีพมาสู่การผลิตเพื่อการค้า โดยไม่มีการล้มล้างระบบศักดินาเดิม ทำให้ระบบศักดินาตักตวงส่วนเกินการผลิต รวมถึงไม่ได้ลงทุนเพื่อให้เกิดการปรับปรุงที่ดินให้มีศักยภาพเพียงพอในการผลิตจึงทำให้ภาระทั้งหมดมาตกอยู่กับชาวนาในการบำรุงที่นาเพื่อเป้าหมายในการเกษตร ทว่า ด้วยข้อจำกัดเทคนิคด้านการผลิต ทำให้การผลิตอยู่ในสถานะตามมีตามเกิด และถูกขูดรีดซ้ำโดยรัฐบาลผ่านภาษีอากรและเงินรัชชูปการจนทำให้ชาวนายากจนและประสิทธิภาพการทำนาไม่พัฒนา


เชิงอรรถ

[1] ดู นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), 68-154.

[2] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, “ระบบเศรษฐกิจไทย พ.ศ. 2394-2453,” ใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสมภพ มานะรังสรรค์ (บ.ก.), ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย จนถึง พ.ศ. 2484 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), 170.

[3]  พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2564), 15.

[4] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 170-171.

[5] พอพันธ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 15.

[6] เจมส์ ซี. อินแกรม, การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 1850-1970, ชูศรี มณีพฤกษ์ และเฉลิมพจน์ เอี่ยมกมลา แปล (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552), 63.

[7] พอพันธ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 16.

[8] กุลลดา เกษบุญชู มี๊ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย, อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 79-86.

[9] พอพันธ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 20.

[10] เจมส์ ซี อินแกรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 58.

[11] เพิ่งอ้าง, 65.

[12] ดู สุนทรี อาสะไวย์, ประวัติคลองรังสิต: การพัฒนาที่ดินและผลกระทบต่อสังคม พ.ศ. 2431-2457 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530), 1-14.

[13] พอพันธ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 20.

[14] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 173.

[15] ธงชัย วินิจจะกูล, รัฐราชาชาติ ว่าด้วยรัฐไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2563), 185.

[16] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 173-178.

[17] เพิ่งอ้าง, 184.

[18] สุนทรี อาสะไวย์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 12, 131.

[19] เจมส์ ซี. อินแกรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 71.

[20]  คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, ซิม วีระไวทยะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2525), 18-32.

[21] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563, สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2567 จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312.

[22] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “คณะราษฎรกับภารกิจเพื่อสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรมในสังคมไทย,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 เมษายน 2566, สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2567 จาก https://pridi.or.th/th/content/2023/04/1501

[23] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 21.

ครบรอบ 84 ปี ประมวลรัษฎากร: ความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ประมวลรัษฎากร” ถือเป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ ในฐานะเป็นกฎหมายที่รวบรวมเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรจากเงินได้ของประชาชนผู้มีเงินได้และเข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษี โดยในช่วงตลอดระยะเวลา 84 ปี ประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขหลายครั้งและทำให้ประมวลรัษฎากรกลายเป็นกฎหมายที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดฉบับหนึ่ง

หากพิจารณาเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นของการจัดทำประมวลรัษฎากรก็เพื่อที่จะลดความทับซ้อน ซ้ำซ้อน และซับซ้อนของกฎหมายภาษีที่จัดเก็บในเวลานั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมจากการจัดเก็บภาษีตามหลักการประชาธิปไตย บทความนี้จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านสำรวจความเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของประมวลรัษฎากร

ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร

“ปฐมบทของการจัดทำประมวลรัษฎากร” นั้น เริ่มต้นมาจากสภาพสังคมในอดีตของประเทศไทยที่มีการจัดเก็บภาษีที่ซับซ้อน และมีภาษีบางรายการที่ซ้ำซ้อนกัน ในขณะเดียวกันระบบภาษีในเวลานั้นไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของผู้จ่ายภาษีว่าจะมีความสามารถหรือไม่ อาทิ ภาษีรัชชูปการ เป็นเงินที่เก็บจากชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 – 60 ปี โดยมิได้คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวมีรายได้หรือไม่ หรือ ภาษีสมพัตสร ซึ่งรัฐบาลเก็บจากจำนวนพื้นที่ที่ปลูกไม้ล้มลุกบางประเภทและจำนวนไม้ผลยืนต้นบางประเภทเป็นรายปี โดยไม่ได้คำนึงว่าไม้ผลดังกล่าวจะสร้างรายได้จริงหรือไม่ก็ตาม จึงจะเห็นได้ว่าระบบการเก็บภาษีก่อนช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการหารายได้ให้กับรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรม ความเหมาะสม และความสามารถในการจ่ายภาษีของประชาชน[1]

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบภาษีในอดีตของประเทศมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อนกัน เกิดมาจากข้อจำกัดของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้ประเทศสยามมีข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีการค้า (ภาษีขาเข้า-ออก) เนื่องจากตามสนธิสัญญากำหนดให้สยามจัดเก็บภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 3 ของราคาสินค้าในท้องน้ำ[2] ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อการขยายตัวของรายได้รัฐบาล[3] ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใช้วิธีการเก็บภาษีซับซ้อนและซ้ำซ้อนกันหลายชนิด ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ประเทศไทยเคยใช้มาตลอด

นัยสำคัญของการจัดทำประมวลรัษฎากรจึงเป็นการเปลี่ยนหลักของสังคม โดยยึดหลักการที่ว่า “มีมากเสียมาก มีน้อยเสียน้อย ใช้มากเสียมาก ใช้น้อยเสียน้อย” ตามหลักการเก็บภาษีอากรของประเทศในระบอบประชาธิปไตย[4]

พัฒนาการของประมวลรัษฎากร

“ประมวลรัษฎากร” ถือได้ว่า เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบ่อยครั้งมากทั้งในระดับของการแก้ไขประมวลรัษฎากร และในระดับกฎหมายลำดับรอง ทำให้ทุกวันนี้ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมากและมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายภายใต้ประมวลรัษฎากรอีกเป็นจำนวนมาก

ในแง่ความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันประมวลรัษฎากรมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 80 กว่าครั้ง โดยหลายครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละสมัย โดยการแก้ไขนั้นมีทั้งการแก้ไขในเรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษี และการแก้ไขในเรื่องสำคัญ เช่น อำนาจของรัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษี ข้อยกเว้นในการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี และปีภาษี เป็นต้น สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรกนี้ ผู้เขียนได้สรุปไว้ ดังต่อไปนี้

การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 หรือราวๆ 1 ปีหลังจากการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร โดยขยายรูปแบบของกิจกรรมที่จะถูกเก็บภาษีให้ออกไปให้กว้างมากขึ้น รวมถึงมีการกำหนดให้ที่ดินในครอบครองของรัฐวิสาหกิจจะต้องเสียเงินบำรุงท้องที่เท่ากับที่ดินในเขตเทศบาล เนื่องจากเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีความเจริญแล้ว[5]

โดยต่อมาได้มี การปรับปรุงแก้ไขประมวลรัษฎากรอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2483 โดยมีสาระสำคัญหลายประการ แต่ส่วนหนึ่งที่มีความน่าสนใจก็คือ การแก้ไขปรับปรุงครั้งนี้เป็นการกำหนดปีภาษีใหม่ โดยใช้เกณฑ์ปีภาษียึดตามปีปฏิทิน[6] โดยเริ่มต้นที่ 1 มกราคม และ สิ้นสุดที่ 31 ธันวาคมของปีถัดไป ซึ่งแต่เดิมยึดตามปีปฏิทินหลวง คือ เริ่มต้น 1 เมษายนและจบลงที่ 30 มีนาคมของปีถัดไป[7]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ได้มีการจำแนกประเภทเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยเพิ่มประเภทของเงินได้ในมาตรา 40 (1) (2) และมาตรา 42 (4) ของประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมประเภทของเงินได้มากขึ้น[8] และมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็น ลักษณะ 5 แห่งประมวลรัษฎากร[9] เรื่อง ภาษีการซื้อข้าว[10] และ ภาษีการซื้อน้ำตาล[11] ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าทำความตกลงสมบูรณ์แบบทำให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมการซื้อขายและจัดเก็บภาษีในการซื้อขายข้าว และน้ำตาล[12]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 6 โดยแก้ไขให้สามารถนำเงินบำรุงท้องที่สามารถโอนเงินไปจ่ายบำรุงท้องที่ตำบลอื่นที่ไม่ใช่ตำบลที่เก็บเงินบำรุงท้องที่นั้นในอำเภอเดียวกันก็ได้[13] ซึ่งมีความน่าสนใจในแง่ของการทำให้เกิดระบบที่เปิดช่องให้มีการนำเงินภาษีจากพื้นที่หนึ่งไปใช้ประโยชน์เพื่ออีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นจากตำบลที่พัฒนาแล้วและรายได้สูง ไปยังพื้นที่ยังไม่พัฒนาและรายได้ต่ำ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2494 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 8 โดยในการแก้ไขครั้งนี้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำในบทบัญญัติให้ชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับการลดอัตรารัษฎากรให้เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือสภาพของบางท้องที่ และยกเว้นรัษฎากรแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสนธิสัญญา โดยทำเป็นพระราชกฤษฎีกา[14] ซึ่งแต่เดิมกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลเพียงแค่ตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อปรับลดอัตราเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในบางท้องที่เท่านั้น[15] 

นอกจากนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ รัฐบาลได้ยกเลิกเงินช่วยการประถมศึกษาสำหรับใช้จ่ายการบำรุงประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นภาษีเสริมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 โดยเก็บจากชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วในครั้งแรกปีละ 1 บาท[16]  และต่อมาได้ปรับเป็นปีละ 2 บาท โดยการยกเลิกนี้สันนิษฐานได้ว่าในเวลานั้นประเทศไทยได้มีการศึกษาระดับประถมศึกษาทั่วถึงแล้ว ความจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเสริมเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาจึงมีความจำเป็นลดลง ในท้ายที่สุดเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรครั้งนี้ได้มีการจัดเก็บภาษีโรงแรมภัตตาคารขึ้นมาโดยตั้งเป็นบทบัญญัติในส่วนใหม่ขึ้นมาเป็นลักษณะ 7 ภาษีโรงแรมภัตตาคาร[17] ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้มีการจัดเก็บเงินช่วยชาติประเภทโรงแรมและภัตตาคาร[18]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 9 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในลักษณะ 3 ภาษีบำรุงท้องที่ใหม่[19]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 10 โดยเป็นการเพิ่มเติมหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร[20]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 12 เนื่องด้วยวิธีการเสียภาษีอากรกับวิธีปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ภาษีป้าย อากรแสตมป์ อากรมหรสพ และภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ควรได้แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สะดวกและรัดกุมยิ่งขึ้นตามกาลสมัย[21]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 เนื่องจากผู้ประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุก ได้แบกภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเกินกว่าอัตภาพในขณะนี้ เงินที่นำมาชำระภาษีก็ได้จากการจำหน่ายผลิตผลที่เกิดจากการกสิกรรมในที่ดินของตน ปกติพืชที่ปลูกมากก็คือข้าว ในปัจจุบันราคาข้าวไม่ดี การทำนาได้ผลน้อยอยู่แล้ว  ฉะนั้น สมควรยิ่งที่จะลดภาระภาษีบำรุงท้องที่[22]

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 17 เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นปรากฏว่าอัตราก้าวหน้าแต่ละขั้นมีช่วงยาวเกินไปไม่เป็นธรรม จึงได้แก้ไขให้มีช่วงสั้นกว่าเดิม

อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นต่ำไปมาก และอัตราภาษีการค้าบางประเภทยังต่ำกว่าที่ควร แต่บางประเภทก็มีอัตราสูงไปกว่าที่ควร เฉพาะอัตราอากรแสตมป์สำหรับตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินมีอัตราสูงไป จึงได้แก้ลดอัตราลงเพื่อช่วยส่งเสริมนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกันอยู่ขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีอากรของประเทศอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าอัตราภาษีอากรของประเทศไทยยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอแก่การทำนุบำรุงประเทศชาติให้วัฒนาถาวรได้ เพื่อประโยชน์แห่งรายได้ของรัฐที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้รุ่งเรือง จึงได้ปรับปรุงอัตราภาษีอากรดังกล่าวให้เป็นไปตามควรแก่สถานการณ์[23]

นอกจากการปรับปรุงประมวลรัษฎากรในช่วง 20 ปีแรกนี้แล้ว ภายหลังยังมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรสำคัญอีกหลายครั้ง โดยนอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสำคัญๆ ที่ได้มีการพูดถึงนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งอื่นๆ มักจะเพื่อแก้ไขวิธีการจัดเก็บภาษีให้เหมาะสมและมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี ยกเลิกภาษีซ้ำซ้อน รวมถึงการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วง ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้ประมวลรัษฎากรมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป “ประมวลรัษฎากร” จัดทำขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม แต่ด้วยลักษณะของกฎหมายนั้น เมื่อมีการตราขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สม่ำเสมอ ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการแก้ไขและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเสมอภาคกันในสังคมที่อยู่ร่วมนั่นเอง


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงภาษีอากรที่เป็นธรรม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 ตุลาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/10/450> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[2] Treaty of Friendship and Commerce between Great Britain and Siam 1855, Article 8.

[3] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 13.

[4] สุพจน์ ด่านตระกูล, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (สุขภาพใจ 2552) 196.

[5] สรุปสาระสำคัญจากรพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2482.

[6] ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 78.

[7] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2483 มาตรา 4 และมาตรา12.

[8] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 3 และมาตรา 4.

[9] ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 บทบัญญัติในประมวลรัษฎากรมีเพียงแค่ 4 ลักษณะเท่านั้น ได้แก่ ลักษณะ 1 ลักษณะทั่วไป ลักษณะ 2 ลักษณะภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ลักษณะ ๓ เงินช่วยบำรุงท้องที่ และลักษณะ 4 เงินช่วยการประถมศึกษา.

[10] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 37.

[11] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2489 มาตรา 38.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 สิงหาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/08/395> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[13] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2490 มาตรา 3.

[14] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 4.

[15] ประมวลรัษฎากร มาตรา 3.

[16] ประมวลรัษฎากร มาตรา 167 และมาตรา 170.

[17] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 มาตรา 49.

[18] ศิลปวัฒนธรรม, ‘เงินช่วยชาติในภาวะคับขัน ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2’ (ศิลปวัฒนธรรม, 12 มกราคม 2565) <https://www.silpa-mag.com/history/article_62770> สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2565.

[19] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2495 (ฉบับที่ 9) มาตรา 3.

[20] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2496 (ฉบับที่ 10) มาตรา 40.

[21] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[22] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2501 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.

[23] พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2502 หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ.