ยกเครื่องกฎหมาย ต่อลมหายใจโรงแรมเล็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่การระบาดของโควิด-19 ส่งกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยตรงทำให้ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งต้องปิดกิจการชั่วคราว แต่สำหรับบางโรงแรมที่ส่วนใหญ่คือโรงแรมขนาดเล็กขาดสภาพคล่องไปต่อไม่ไหว รวมทั้งเข้าไม่ถึง โครงการช่วยเหลือของรัฐ ต้องยุติกิจการและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

ดังที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ โรงแรมขนาดเล็กทั่วประเทศเข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ช่วยบรรเทาความ เดือดร้อน จากการที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ Sandbox เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แม้จะพยายามยื่นขออนุญาตแต่ติดกฎหมายหลายฉบับ ที่ไม่สามารถปรับปรุงอาคารได้

โควิด-19 จึงไม่ใช่สาเหตุหลักสาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กเผชิญความลำบากในการประกอบกิจการ ในแวดวงผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทราบกันดีว่า การบังคับใช้กฎหมายและใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมภายใต้กฎหมาย คือ กฎหมายผังเมือง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ และ พ.ร.บ.โรงแรมฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน และการบังคับใช้อยู่ตั้งอยู่บนมาตรฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของ โรงแรมขนาดเล็ก สร้างภาระปัญหาให้กับทั้งผู้ประกอบการเดิมและรายใหม่ในอนาคต

กฎหมายกดทับโรงแรมเล็ก

ประเทศไทยมีโรงแรมขนาดเล็กจำนวนมากที่มีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ได้แก่ กฎเกณฑ์ภายใต้กฎหมายผังเมืองที่ได้จำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เช่น การบำบัดน้ำเสีย การมีที่จอดรถ หรือการสร้างมลภาวะทางเสียง เป็นต้น

พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ได้กำหนดลักษณะ ขนาดพื้นที่และที่ตั้งของอาคาร รวมถึงความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร โดยยึดโยงอยู่กับมาตรฐานอาคารขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งไม่ครอบคลุมโรงแรมขนาดเล็กที่มีการนำบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักมาดัดแปลง แม้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีความพยายามผ่อนคลายกฎเกณฑ์ ในเรื่องมาตรฐานอาคารโดยปรับให้สอดคล้องกับอาคารขนาดเล็กมากขึ้น แต่ยังไม่ครอบคลุมลักษณะที่พักอีกหลายประเภท เช่น เรือนแพ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

เมื่อไม่ผ่านเงื่อนไขนี้ ทำให้การขอใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.โรงแรมฯ ของโรงแรม ขนาดเล็กจึงเป็นไปได้ยาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มีแนวโน้มความนิยมการเข้าพักโรงแรมขนาดเล็กมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทั้งบ้านเก่า อาคารพาณิชย์เก่า หรือหอพักดัดแปลง และทำให้เกิดช่องโหว่ของภาครัฐในการกำกับดูแลธุรกิจโรงแรม

หากพิจารณาจากจำนวนโรงแรมที่ได้รับอนุญาตจากกรมการปกครอง มีประมาณ 30,000 กว่าแห่ง ในขณะที่โรงแรมที่ลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มเว็บไซต์ OTA สำหรับจัดการการจองที่พัก มีโรงแรมมากกว่า 60,000 แห่ง

นอกจากการกำหนดเรื่องขนาดพื้นที่ ลักษณะอาคารแล้ว พ.ร.บ.โรงแรมฯ ยังกำหนดเงื่อนไขการต้องแยกสัดส่วนระหว่างที่พักอาศัยกับส่วนที่เป็นโรงแรม และจำกัดจำนวนห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง จำนวนคนพักไม่เกิน 20 คนสำหรับโฮมสเตย์ เงื่อนไขนี้กระทบต่อธุรกิจที่มีบ้านพักอาศัยกับโรงแรมตั้งอยู่ในที่เดียวกัน จึงทำให้การประกอบธุรกิจแบบโฮมสเตย์ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยผลของกฎหมายเช่นกัน ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงสถานที่เพื่อให้บริการลูกค้า

อีกทั้งยังมีการกำหนดว่าโรงแรมต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักโรงแรมขนาดเล็ก อาจไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพียงแต่ต้องการห้องพักที่สะอาดเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมตามกฎหมายกำหนดบางอย่างเป็นต้นทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กทั้งสิ้น

ปัญหาโรงแรมขนาดเล็กไม่สามารถดำเนินกิจการและขอใบอนุญาตโรงแรมได้เพราะติดข้อกฎหมายนั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน หน่วยงานของรัฐได้มีความพยายามผ่อนผันโดยใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและ พัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปรับปรุงอาคารและดำเนินการขอใบอนุญาตโรงแรมได้โดยกฎหมายได้มีการยกเว้น ความผิดและยกเว้นโทษให้ผู้ประกอบการจนถึงวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุนจากการไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ และต้องหยุดกิจการตามมาตรการของรัฐบาลจากการระบาดของ โควิด-19 แม้จะมีการกำหนดมาตรการผ่อนผันเพียงชั่วคราว โรงแรมขนาดเล็กก็ยังไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงอาคารและขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมให้สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดได้ตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เพราะโรงแรมขนาดเล็กไม่มีเงินทุนมากพอที่จะดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงอาคาร

รื้อกฎหมายเอื้อรายเล็กเริ่มต้นใหม่และไปต่อได้

แม้กฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขของอาคารและการให้บริการโรงแรม จะทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ดีเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการได้รับผลกระทบของการประกอบกิจการ และเพื่อยกมาตรฐานดูแลผู้เข้าพักในโรงแรม แต่เงื่อนไขของกฎหมาย ดังกล่าวนั้นอาจจะล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน

ทางแก้ไขปัญหานี้จะต้องปรับรื้อกฎหมายเอื้อให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งมีส่วนช่วยฟื้นคืนภาคการท่องเที่ยวบริการของประเทศไทย โดยจำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบเสมือนการยกเครื่องรถยนต์ใหม่ทั้งคัน

ในระยะแรกจะต้องมีการคุ้มครอง ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการที่คำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 หมดอายุลง การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ในช่วงโควิด-19 ระบาดนั้น รัฐบาลอาจ จะต้องออก พ.ร.ก.งดเว้นการบังคับใช้กฎหมายโรงแรมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก ที่ดำเนินการมาก่อนหน้าปีการระบาดของ โควิด-19 เพื่อไม่ให้มีการเอาผิดกับ ผู้ประกอบที่ดำเนินการในช่วงเวลานี้

พร้อมทั้งให้เวลากับผู้ประกอบปรับปรุงสภาพอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมาย และให้เวลาหน่วยงานของรัฐดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป

การแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก รัฐบาลควรดำเนินการแก้ไขกฎหมายและ ใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมใหม่ โดยการปรับกฎเกณฑ์ของมาตรฐานอาคารที่ใช้ในการประธุรกิจโรงแรมให้รองรับลักษณะของการประกอบธุรกิจโรงแรมที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมขนาดเล็ก และโรงแรมที่มีรูปแบบ เฉพาะตัว เช่น เรือนแพและ บ้านต้นไม้ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน นโยบายเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงแรม ควรสนับสนุนการประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก โดยการยกเลิกการผูกโยงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่จำเป็นต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคกับโรงแรมขนาดเล็ก รวมถึงการยกเลิกการนำกฎหมายโรงแรมกับกฎหมายควบคุมอาคารมาผูกไว้ด้วยกัน เพื่อให้การประกอบธุรกิจกับการควบคุมอาคารแยก ออกจากกันตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

ท้ายที่สุด การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจโรงแรม ควรจะเปลี่ยนมือจากหน่วยงานของรัฐส่วนกลางแบบกรมการปกครองมาสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งใกล้ชิดกับพื้นที่ทำให้สามารถเข้าถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีแรงจูงใจที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ มากกว่าหน่วยงานของรัฐที่ส่วนกลาง

การปรับแก้กฎหมายในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กไปต่อได้แล้ว การประหยัดต้นทุนใน การปฏิบัติตามกฎหมายยังช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำเงินไปใช้กับการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ด้านนักท่องเที่ยวก็มีทางเลือกรูปแบบ โรงแรมที่เข้าพักหลากหลาย สอดรับกับการที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก

เสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร

ชื่อบทความ: เสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร

เผยแพร่ใน: รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 172 มกราคม 2564, น. 11 – 16.

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการสรุปจากงานเสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานสัมมนาสาธารณะทีดีอาร์ไอ ประจำปี 2563 เรื่อง “แฮกระบบราชการ เปลี่ยนระบบปฏิบัติการประเทศ” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ในรูปแบบ Virtual Conference งานเสวนาครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้รู้ทางกฎหมาย 3 ท่าน คือ คุณปกรณ์ นิลประพันธ์ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปากุล และคุณยิ่งชีพ อัชฌานันท์

Download บทความนี้

การร่างกฎหมายอย่างเป็นหลักวิชาการยังห่างไกล

ภาพประกอบจาก: the blue diamond gallery

ตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกาศใช้ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้มีข้อเสียมากกว่าข้อดี และเกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในบรรดาข้อดีที่มีอยู่น้อยนิดนั้นที่ได้มาบัญญัติไว้ในตราสารที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญนี้ คือ การกำหนดให้การร่างกฎหมายจะต้องเป็นหลักวิชาการมากขึ้น โดยบัญญัติไว้ในบทบัญญัติมาตรา 77 บัญญัติว่า

มาตรา 77 รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น พึงกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง

บทบัญญัติในทั้งสามวรรคของมาตรา 77 นั้น เป็นความพยายามเปลี่ยนให้การร่างกฎหมายเป็นวิชาการมากขึ้น และลดทอนความเป็นการเมืองในกฎหมายลงโดยให้สอดคล้องกับข้อมูลในเชิงประจักษ์มากขึ้น แน่นอนว่าการร่างกฎหมายทุกอย่างย่อมมาจากนโยบาย และคณะรัฐมนตรีก็ผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามนโยบายายที่ได้แถลงไว้ต่อหน้าที่ประชุมรัฐสภา แต่เมื่อการออกกฎหมายเป็นการไปกระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน การร่างกฎหมายจึงควรเป็นไปตามหลักวิชาการให้มากกว่านี้ และสามารถใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการวิเคราะห์ได้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญไปกับแบบของการร่างกฎหมายมากกว่าเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งเป็นลักษณะส่วนใหญ่ของการร่างกฎหมายในประเทศไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีาซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการร่างกฎหมาย ทำให้ในการร่างกฎหมายจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถกเถียงในเชิงถ้อยคำของกฎหมายและรูปแบบการวางรูปประโยคของกฎหมายมากกว่า

ในด้านเนื้อหาของกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้พยายามที่จะกำหนดแนวทางในการร่างกฎหมายโดยคำนึงถึงหลักการในทางนิติศาสตร์ต่างๆ แต่ในความคิดของผู้ร่างกฎหมายของหน่วยงานภาครัฐยังไม่เปิดรับแนวคิดของการนำศาสตร์อื่นมาใช้ประกอบในการร่างกฎหมาย เช่น การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ หรือการใช้เครื่องมือทางสังคมวิทยา เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้อาจจะมาจากหลายส่วนด้วยกันทั้งความไม่รอบรู้ในทางวิชาการสาขาต่างๆ ของผู้ร่างก็ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การใช้กฎหมายเปรียบเทียบเป็นเครื่องมือหลักในการร่างกฎหมาย โดยขาดบริบทแวดล้อมของกฎหมายนั้น

นอกจากนี้ การร่างกฎหมายมีแนวโน้มจะร่างจากอุดมคติหรือทัศนะส่วนบุคคลของผู้ร่างโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของบริบททางสังคม และเนื่องจากผู้ร่างกฎหมายไม่มีข้อมูลที่สมมาตรพอ ทำให้การตัดสินใจเป็นไปโดยผิดพลาด และพยามยามตรากฎหมายให้ครอบคลุมเกินกว่ากรณี เพราะผู้ร่างไม่มีข้อมูลหรือไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แม้ว่าในความเป็นจริงภาครัฐจะเต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่ขอให้ประชาชนยื่นมาให้ตนก็ตาม แต่มันก็ผสมปนเปกันไปหมดจนหาดีได้ยาก

ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้หากร่างกฎหมายอย่างเป็นหลักวิชาการยังห่างไกลอีกมาก

พูดออกอากาศครั้งแรก

ในวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปออกรายการ BizValues Live บน Facebook Live ครั้งแรก โดยเข้าไปเล่าประสบการณ์ในการทำงานวิจัยในโครงการทบทวนการอนุญาตของทางราชการ และร่วมแชร์ประสบการณ์กับทางรายการ BizValues

การได้มีโอกาสไปพูดในรายการครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการพูดออกอากาศครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างจะมีอาการตื่นเต้นเล็กๆ น้อย เพราะไม่เคยได้มีโอกาสไปพูดกับคนผ่านทางสื่อมาก่อน โชคดีที่การไปพูดครั้งนี้ เรายังไปพูดในฐานะเป็นคนทำงานร่วมกันกับพี่เพลส ดร.รัชพร วงศาโรจน์ ที่มีบทบาทเป็นหัวหน้าทีมหลักในการมีบทบาททบทวนกฎหมาย

หัวข้อและใจความสำคัญในการไปพูดครั้งนี้ จึงเป็นการยกตัวอย่างเกี่ยวกับผลการทบทวนการอนุญาตที่ได้ทำมา อาทิ ใบอนุญาตโรงแรม ใบอนุญาตสปา และใบอนุญาตอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน

ชื่องานวิจัย: โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน

ผู้วิจัย: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

ผู้ให้ทุนวิจัย: สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) และคณะกรรมการร่วมสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย


สรุปสาระสำคัญของงานวิจัย

การศึกษาวิจัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาแนวทางในการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน อันเป็นการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย เป้าหมายหรือผลอันพึงประสงค์ที่ 2

เอกสารบทสรุปผู้บริหาร

รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมายฯ เล่มที่ 1

รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมายฯ เล่มที่ 2

รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมายฯ เล่มที่ 3