ทุกข์ของชาวนา: กลุ่มคนที่ถูกสังคมทอดทิ้งไว้ที่ชายขอบของการพัฒนาเสมอ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เปิบข้าวทุกคราวคำ

จงสูจำเป็นอาจิณ

เหงื่อกูที่สูกิน

ให้ชนชิมทุกชั้นชน

เบื้องหลังซิทุกข์ทน

และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง

ระยะทางนั้นเหยียดยาว

จากรวงเป็นเม็ดพราว

ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ

เหงื่อหยดสักกี่หยาด

ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น

ปูดโปนกี่เส้นเอ็น

จึงแปรรวงมาเป็นกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง

และน้ำแรงอันหลั่งริน

สายเลือดกูทั้งสิ้น

ที่สูซดกำซาบฟัน

– เปิบข้าว, จิตร ภูมิศักดิ์

ทุกข์ของชาวนา

บทกวีข้างต้นมีชื่อว่า “เปิบข้าว” ซึ่งเขียนขึ้นโดย จิตร ภูมิศักดิ์ นี้ได้ถ่ายทอดความยากลำบากของชาวนาในการเพาะปลูกข้าวในแต่ละครั้งนั้นยากลำบากและต้องใช้กำลังแรงงานลงไปกับการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก บทกวีของจิตรนี้ได้สะท้อนความในใจของจิตรที่ต้องการปลุกเร้าความรู้สึกของผู้อ่านและคนในสังคมให้ทราบถึงความยากลำบากของชาวนาหรือทุกข์ของชาวนา ซึ่งทุกข์ยากของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่โดยตลอดในความรับรู้ของสังคมไทย ผ่านงานเขียนและวรรณกรรมต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ งานพระราชนิพนธ์เรื่องทุกข์ของชาวนาสมในบทกวี ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงนำบทกวี “เปิบข้าว” ของจิตร ภูมิศักดิ์ กับบทกวีของ หลี่เซิน กวีชาวเมืองอู๋ซีซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากของชาวนาไปในทิศทางเดียวกัน

ทุกข์ของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดในสังคมไทย และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากในช่วงก่อนปี 2475 นั้นชาวได้รับความยากลำบากมากเนื่องจากโครงสร้างทางสังคมในเวลานั้นที่ราษฎรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีรายได้จากการขายข้าว แต่เมื่อขายข้าวเสร็จสิ้นแล้วกลับไม่ได้มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ เพราะชาวนามีต้นทุนในการทำนาสูง เช่น ค่าเช่านา อากรค่าโคกระบือ และเงินรัชชูปการ เป็นต้น ประกอบกับการทำนานั้นต้องพึ่งพาธรรมชาติ ซึ่งหากธรรมชาติไม่เป็นใจก็จะได้รับผลผลิตน้อย อีกทั้งการทำนาในเวลานั้นก็ใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลักไม่ได้มีเครื่องจักรสนับสนุน

แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลงไปแต่ปัญหาความทุกข์ของชาวนาก็ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาความทุกข์ของชาวนานั้นเป็นสิ่งที่สังคมไทยนั้นตระหนักดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชนชั้นนำไทย อย่างไรก็ตาม ชนชั้นนำไทยได้มีความพยายามอย่างยาวนานที่จะรักษา “ชาวนา” (peasantry) เอาไว้ เพราะชาวนาที่พออยู่พอกินตามอัตภาพ ย่อมพอใจกับสถานะเดิมที่เป็นอยู่ ไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงใดๆ และแม้ว่าจะมีความพยายามจากชนชั้นนำของสังคมไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบทบาทของชาวนาให้เป็น “เกษตรกร” ซึ่งเป็นผู้ผลิตด้านเกษตรกรรมเพื่อป้อนตลาด[1] แต่ก็มีข้อจำกัดที่ทำให้นโยบายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ตลอดเพราะหากชาวนาซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ลุกขึ้นมามีปากเสียงในสังคมก็อาจจะกระทบต่อโครงสร้างทางสังคม

ชาวนากับนโยบายทางสังคม

อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพพื้นฐานอาชีพหนึ่งของสังคมไทย โดยจากการสำรวจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรจำนวนรวม 8.063 ล้านครัวเรือนหรือคิดเป็นจำนวน 9.394 ล้านคน[2] (มากกว่าจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานครทั้งหมดในปี 2563[3]) แม้จำนวนเกษตรกรจะเป็นอาชีพของคนจำนวนมาก หากแต่อาชีพเกษตรกรนั้นเป็นอาชีพที่ยากลำบากและในบางครั้งการทำเกษตรกรรมนั้นเป็นการลงทุนมากแต่ได้รับผลตอบแทนน้อยโดยเฉพาะชาวนา

รัฐบาลส่วนใหญ่เข้าให้ความช่วยเหลือชาวนาและเกษตรกรผ่านนโยบายเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตรกรรม เช่น การจำนำข้าวหรือการประกันราคาข้าว เป็นต้น แต่ปัญหาของชาวนาและเกษตรกรไทยหลักๆ นั้นมีสาเหตุสำคัญๆ ส่วนใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ การไม่ได้ถือครองที่ดิน การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และการไม่มีสวัสดิการ

ประการแรก การไม่ได้ถือครองที่ดิน เนื่องจากที่ดินเป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญ แต่ปัญหาก็คือชาวนาโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเอง ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าปี 2475 แล้วและแม้จะมีความพยายามของรัฐบาลบางชุดที่ต้องการปฏิรูปเรื่องการถือครองที่ดินดังปรากฏในเค้าโครงการเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ หรือการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการสนับสนุนจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือ FAO[4] เป็นต้น ซึ่งการเข้าไม่ถึงการถือครองที่ดินนั้นส่งผลให้ชาวนาต้องเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ที่ได้มาจากการขายข้าวนั้นก็ต้องมาจ่ายค่าเช่าที่ดินหรือการต้องสูญเสียรายได้จากการขายข้าวเพราะต้องแบ่งข้าวบางส่วนเพื่อไปจ่ายค่าเช่า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยส่วนใหญ่ก็แก้ไขปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอดผ่านชุดนโยบายการกระจายที่ดินที่ไม่ยั่งยืนต่างๆ ตัวอย่างเช่น ที่ดิน สปก. ที่ดินนิคมสร้างตัวเอง หรือการกระจายที่ดินทำกินผ่านคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

ประการที่สอง การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนนั้นเป็นปัญหาของชาวนาไทย (และคนจนส่วนใหญ่ของประเทศ) เนื่องจากการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินเนื่องจากไม่มีหลักประกันการชำระหนี้ที่น่าเชื่อถือเพียงพอนั้นทำให้ชาวนาที่ต้องลงทุนต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบเพื่อให้ได้เงินทุนมาใช้ในการทำนา ซึ่งผลของการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้โดยสถาบันการเงินนั้นก็มีผลทำให้ชาวนาตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือต้องถูกหลอกลวงจากเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เช่น การถูกยึดที่ดินติดจำนองหรือการถูกหลอกให้ทำสัญญาขายฝากที่ดิน เป็นต้น

ประการที่สาม การไม่มีสวัสดิการของชาวนา แม้ว่าการทำนาหรือเกษตรกรรมการทำงานแบบหนึ่งเช่นเดียวกันกับอาชีพอื่นๆ แต่ความแตกต่างระหว่างชาวนาหรือเกษตรกรกับอาชีพอื่นๆ ก็คือ อาชีพโดยส่วนใหญ่นั้นมีสวัสดิการรองรับ เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัท และลูกจ้างโรงงาน เป็นต้น ซึ่งจะได้รับสวัสดิการในรูปแบบประกันสังคมหรือสิทธิข้าราชการ ซึ่งทำให้เมื่อเกิดการเจ็บป่วยชาวนาและเกษตรกรนั้นการรักษาพยาบาลก็ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเอง (แม้ว่าจะสามารถใช้สิทธิ 30 บาทได้แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ทำให้ไม่สามารถใช้แรงงานได้) และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดรายได้

ปัญหาทั้งสามประการนั้นส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชาวนาไทยไม่ได้รับการยกระดับขึ้นมาและซ้ำเติมความทุกข์ของชาวนาให้ยังคงอยู่โดยตลอด การยกระดับคุณภาพของชีวิตของชาวนานอกเหนือจากการใช้นโยบายเกี่ยวกับรายได้สินค้าเกษตรกรรมแล้ว อาจจะต้องมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นทั้งสามประการด้วยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยขึ้นมาผ่านการปฏิรูปที่ดิน การทำให้ชาวนาเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการจัดให้ชาวนามีสวัสดิการ แม้ในบางประเด็นนั้นอาจจะทำได้ยากมากในบริบทปัจจุบัน เช่น การปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลว่า ชนชั้นนำอาจจไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่ดิน แต่ปัญหาที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าชนชั้นนำไทยจะเห็นด้วยหรือไม่ กับการปฏิรูปที่ดิน หากการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นจะต้องมาจากการเห็นพ้องต้องกันของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคม

กล่าวโดยสรุป สภาพความเป็นอยู่ชาวนาในปัจจุบันและปัญหาความทุกข์ของชาวนาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในสังคมไทย ชาวนายังคงเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุด แต่ในขณะเดียวกันสังคมก็ไม่ได้มีสวัสดิการใดๆ ให้กับชาวนา  นอกจากนี้ ปัญหาของชาวนายังมีอีกหลายปัญหาด้วยกัน เช่น การขาดที่ดินเพื่อทำกินและการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เป็นต้น นโยบายของรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาและเกษตรกรนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนโยบายเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อสังคมมีความต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมร่วมกัน เพื่อไม่ให้ชาวนากลายเป็นกลุ่มที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่ชายขอบของการพัฒนา


เชิงอรรถ

[1] นิธิ เอียวศรีวงศ์, เบี้ยไล่ขุน (มติชน 2554) 65 – 66.

[2] ‘รายงานสรุปข้อมูลสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์’ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2564) <https://data.moac.go.th&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

[3] ประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563.

[4] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “การกำหนดนโยบายจัดสรรที่ดินในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2491-2500)” วารสารสถาบันพระปกเกล้า (2020) 8 (2) <https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/view/244554&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

สวัสดิการการศึกษาเมืองไทย: หนทางที่ยังมืดมน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“สวัสดิการด้านการศึกษา” นั้น มีความสำคัญมากไม่น้อยกว่าสวัสดิการในด้านอื่นๆ ด้วยการศึกษานั้นเป็นแก่นกลางของนโยบายทางสังคม[1] โดยการศึกษานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในแง่ของการศึกษาขึ้นพื้นฐาน (ก่อนอุดมศึกษา) เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและการฝึกอาชีพในลักษณะอื่นๆ ก็เป็นสวัสดิการที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ เพราะการศึกษาและการฝึกอาชีพนั้น เป็นกลไกที่จะนำไปสู่การพัฒนา และเพิ่มมูลค่าชีวิตมนุษย์ให้เพิ่มขึ้นได้ 

การศึกษาของประเทศไทยในฐานะการบังคับให้ศึกษา

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมากโดยรับรองสิทธิในการได้รับการศึกษาโดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐ ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ว่า “รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”[2] และเพื่อป้องกันมิให้พ่อแม่ หรือ ผู้ปกครองขัดขวางมิให้บุตรหรือเด็กในอุปการะไม่ได้รับการศึกษากฎหมายก็จะได้รับโทษตามกฎหมายปรับไม่เกิน 10,000 บาท[3] ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความสำคัญของการศึกษาที่รัฐไทยมีให้กับเด็กและเยาวชน

จากบทบัญญัติของกฎหมายทั้งสองเรื่องนั้น สะท้อนความใส่ใจของรัฐไทยที่มีต่อนโยบายการศึกษาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจนำไปสู่ข้อถกเถียงต่อไปได้ว่าลำพังแล้วเพียงแค่กฎหมายอาจจะไม่เพียงพอ แต่การเข้าถึงการศึกษาตามความเป็นจริงนั้นมีความสำคัญกว่านั้น

จากการศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เกี่ยวกับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลังการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในช่วงภาคเรียนที่ 1/2563 พบว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยมีนักเรียนยากจนจำนวน 1.7 ล้านคน โดยมีนักเรียนยากจนพิเศษ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยากจนพิเศษในปีที่ผ่านมาประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียนที่ 2/2562 มากกว่า 2.4 แสนคน 

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่า นักเรียนยากจนด้อยโอกาสในประเทศไทยปัจจุบันมีจำนวน 2.1 ล้านคน คิดสัดส่วนเป็นร้อยละ 29.9 จากนักเรียนทั้งหมด เป็นเด็กนอกระบบ (ช่วงอายุ 6 – 14 ปี) จำนวน 4.3 แสนคน และคุณภาพของโรงเรียนในชนบทนั้นมีลักษณะการให้บริการการศึกษาล้าหลังไป 2 ปีการศึกษาเมื่อเทียบกับโรงเรียนในเมือง นอกจากนี้ ผลกระทบของโควิด-19[4]

จากรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของ กสศ. จะเห็นได้ว่าแม้รัฐไทยจะรับรองสิทธิการศึกษาของประชาชนเอาไว้โดยถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้บริการอย่างมีคุณภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะทำได้ในความเป็นจริง มีบุคคลจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากการศึกษาของประเทศไทย เป็นการบังคับศึกษาที่นอกจากค่าเทอมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอยู่อีกเป็นจำนวนมากที่พ่อแม่และผู้ปกครองต้องจ่ายเพื่อให้บุตรหลานได้รับการศึกษา ซึ่งค่าใช้จ่ายประเภทนี้ได้แก่ ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าทำกิจกรรม ค่ากวดวิชาในช่วงมัธยม หรือแม้แต่ค่าหอพักในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งในประเด็นนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ประมาณค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดกลุ่มนี้เอาไว้ โดยจำแนกตามช่วงชั้นการศึกษาต่อเทอมไว้ดังนี้

ตารางแสดงค่าใช้จ่ายประมาณต่อช่วงชั้นการศึกษาต่อเทอม

อนุบาลค่าใช้จ่ายประมาณ20,000 – 80,000บาท/เทอม
ประถมค่าใช้จ่ายประมาณ20,000 – 150,000บาท/เทอม
มัธยมค่าใช้จ่ายประมาณ50,000 – 300,000บาท/เทอม
มหาวิทยาลัยค่าใช้จ่ายประมาณ70,000 – 500,000บาท/เทอม

ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, จ่ายหนักแค่ไหน? เมื่อเทศกาลเปิดเทอมใกล้เข้ามา (ฉบับพ่อแม่มือใหม่).[5]

ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คือ เมื่อใกล้ช่วงเปิดเรียนในภาคการศึกษาแต่ละเทอมนั้น จะเห็นได้ว่าพ่อ แม่ และผู้ปกครองจะมีการไปใช้บริการโรงรับจำนำ สถานธนานุบาล และ สถานธนานุเคราะห์เป็นจำนวนมาก ถึงขนาดว่าในบางปี หน่วยงานของรัฐที่ดูแลสถานที่เหล่านี้ ต้องเพิ่มเงินงบประมาณเพื่อรับจำนำสิ่งของ เพื่อเอาไปใช้จ่ายในรายจ่ายเบ็ดเตล็ดโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าชุดนักเรียน

สวัสดิการการศึกษา

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในช่วงต้นว่า รัฐไทยได้รับรองสิทธิในการได้รับการศึกษาเอาไว้ แต่ในภาพของความเป็นจริง มีผู้เข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก และงบประมาณที่เกี่ยวกับการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นการใส่งบประมาณเข้าไปให้กับสถานศึกษามากกว่าจะลงไปที่เด็กและเยาวชน

ในแง่หนึ่งก็เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา และใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบุคคล นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่รัฐไทยช่วยรับรองให้ภาระส่วนนี้ก็จะตกอยู่กับครัวเรือน

จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่าข้อมูลรายจ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนที่มีเด็กในวัยเรียนนั้น แม้ครัวเรือนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายก็มีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาก็ค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งหากครัวเรือนใดมีบุตรหลานจำนวนมาก ก้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

ภาพแสดงเปรียบเทียบรายได้รวม รายจ่ายรวม และรายจ่ายด้านการศึกษาครัวเรือน

ที่มา: สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา.[6]

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลงไปในกลุ่มสวัสดิการที่สนับสนุนด้านการศึกษาพบว่า ในประเทศไทยมีเฉพาะกลุ่มข้าราชการที่ได้รับสิทธิสวัสดิการเบิกค่าเล่าเรียนบุตรได้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตร พ.ศ. 2562 โดยมีประเภทและอัตราในการเบิกค่าบำรุงการศึกษาดังนี้

ตารางแสดงประเภทและอัตราในการเบิกค่าบำรุงการศึกษา

ที่มา: กระทรวงการคลัง, กรมบัญชีกลางแจงการเบิกค่าเล่าเรียนบุตรตามสิทธิข้าราชการ.[7]

สำหรับสถานการณ์สิทธิสวัสดิการของประเทศในเรื่องการศึกษานั้น แม้นโยบายของรัฐจะรับรองสิทธิดังกล่าวเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง สิทธิดังกล่าวยังมีข้อบกพร่องที่ทำให้มีผู้เข้าไม่ถึงสิทธิในการได้รับการศึกษาอยู่เป็นจำนวนมากเงินสวัสดิการดังกล่าวก็ยังคงจำกัดอยู่แค่ค่าเล่าเรียนเท่านั้น ไม่ครอบคลุมไปถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่เป็นภาระของครัวเรือนในปัจจุบัน ซึ่งคอยแต่จะซ้ำเติมภาระของครัวเรือนให้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นของ “รัฐสวัสดิการด้านการศึกษา” ที่รัฐยังควรต่อแก้ไขให้ลงตัวอย่างมีคุณภาพ และเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของประชาชนในสังคมไทยเสียที


เชิงอรรถ

[1] อเล็กซานเดอร์ เพทริง และคณะ, รัฐสวัสดิการกับสังคมประชาธิปไตย, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2562), น. 195.

[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560, มาตรา 54.

[3] พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545, มาตรา 15.

[4] กสศ., “รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาหลัง โควิด-19,” สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.eef.or.th/infographic-10-10-20/.

[5] ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, “จ่ายหนักแค่ไหน? เมื่อเทศกาลเปิดเทอมใกล้เข้ามา (ฉบับพ่อแม่มือใหม่),” สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/จ่ายหนักแค่ไหน-เมื่อเปิดเทอม.

[6] สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ข้อมูลรายจ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนที่มีเด็กในวัยเรียน,” สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564, จาก https://research.eef.or.th/nea/.

[7] กระทรวงการคลัง, “กรมบัญชีกลางแจงการเบิกค่าเล่าเรียนบุตรตามสิทธิข้าราชการ,” สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564, จาก http://www1.mof.go.th/home/eco/200619.pdf.

งบประมาณแผ่นดินกับการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สะท้อนภาพของระบบสวัสดิการโดยรวมของสังคมไทยว่าอยู่ในขั้นวิกฤตโดยเฉพาะด้านสาธารณสุข (ซึ่งแม้ประเทศไทยจะโชคดีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเก่งกาจ) เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐสวัสดิการนั้น เป็นแต่เพียงแนวคิดเท่านั้น แต่ไม่เคยถูกนำมาปรับใช้อย่างจริงจังในฐานะนโยบายของรัฐบาล 

ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะความไม่ตระหนักของรัฐบาลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์  ดังนั้น การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจึงเลือกแก้ไขปัญหาเรื่องการเข้าไม่ถึงสวัสดิการ ความยากจน หรือการแก้ไขสภาวะความเป็นอยู่ของประชาชนในลักษณะการสงเคราะห์มากกว่า โดยให้ผู้รับการสงเคราะห์พิสูจน์ความยากจนเฉพาะบุคคล ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลอาจเลือกใช้วิธีการนี้ ก็เพราะว่าเป็นการประหยัดงบประมาณและเป็นการลงทุนที่ต่ำกว่าการจัดบริการสาธารณะพื้นฐานหรือการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้า

คำถามสำคัญของบทความนี้ จึงมีอยู่ว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดสวัสดิการของสังคมไทยนั้นเยอะจริงหรือไม่ โดยในบทความนี้จะทำการสำรวจงบประมาณรายจ่ายประจำปีในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการของประเทศไทย โดยเฉพาะสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาล

ภาพของสวัสดิการที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

ปัญหาของการพิจารณางบประมาณที่เรานำมาใช้ในการจัดสวัสดิการของประชาชนนั้น มีความยากในการทำความเข้าใจ เนื่องจากโครงสร้างรัฐไทยนั้นซับซ้อน รัฐบาลนิยมการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเมื่อมีปัญหาใหม่หนึ่งอย่างจะแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มหน่วยงานใหม่เข้าไปเพื่อให้หน่วยงานนั้นสามารถรับงบประมาณไปดำเนินการตามภารกิจที่รัฐต้องการจะแก้ไข

สภาพดังกล่าวจึงทำให้ในการศึกษางบประมาณที่เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการอาจจะต้องพิจารณาจากงบประมาณที่กระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆ ประกอบกัน 

ในกรณีนี้จะพิจารณางบประมาณรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แล้ว[1] ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะสวัสดิการที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลนั้น ในปีงบประมาณ 2563 ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย อาจจะแบ่งเงินได้ออกเป็น 3 ส่วน คือ ‘กองทุนประกันสังคม’ ‘กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ (บัตรทอง) และ ‘สิทธิสวัสดิการข้าราชการ’ ดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

ตารางแสดงค่าใช้จ่ายสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล 

ประเภทสิทธิสวัสดิการจำนวนผู้ใช้สิทธิสวัสดิการจำนวนงบประมาณ
สิทธิสวัสดิการข้าราชการ6,000,000 คน*71,200,000,000 บาท[2]
สิทธิประกันสังคม**16,990,000 คน[3]66,655,443,000 บาท[4]
สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ48,264,000 คน[5]190,366,000,000 บาท[6]

*หมายเหตุ: ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ได้เคยประเมินไว้ว่า หากรวมข้าราชการและครอบครัวแล้วจะมีประมาณ 6 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2561[7] ซึ่งหากคิดเฉพาะจำนวนข้าราชการสามัญภายใต้การดูแลของสำนักงาน ก.พ. นั้น จะมีจำนวนข้าราชการประมาณ 427,453 คน ยังไม่รวมข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนกลาโหม ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการตุลาการ และข้าราชการในสังกัดองค์กรอิสระและสำนักงานขององค์กรตุลาการ[8]

**หมายเหตุ: จำนวนเงินดังกล่าวนั้น เฉพาะงบประมาณที่ภาครัฐจ่ายสมทบเข้าไปเท่านั้นไม่รวมถึงเงินสมทบจากลูกจ้าง และ นายจ้างตามกฎหมายประกันสังคม

ที่มา: ผู้เขียน.

หากพิจารณาเปรียบเทียบงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการการรักษาพยาบาลทั้ง 3 ประเภทเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าสิทธิสวัสดิการข้าราชการนั้นมีจำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่า (แม้ว่าในกรณีผู้มีสิทธิสวัสดิการข้าราชการ มีผู้ใช้สิทธิถึงประมาณ 6 ล้านคน) สิทธิประกันสังคมซึ่งมีผู้ใช้แรงงาน และมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของงบประมาณสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตัวเลขข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นสภาพของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทยนั้นเงินจำนวนมาก

ปัญหาของงบประมาณที่กระจัดกระจาย

ด้วยเหตุที่งบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลทั้ง 3 แหล่งนั้นกระจัดกระจายอยู่กับหน่วยงานแตกต่างกันเนื่องมาจากสถานะของผู้ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลที่แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่เป้าหมายของสิทธิสวัสดิทั้ง 3 ประเภทนั้น มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ เพื่อใช้รักษาพยาบาลเช่นเดียวกัน การแบ่งงบออกเป็น 3 ส่วนเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงเป็นการสิ้นเปลืองในเชิงบริหารจัดการ

ไม่เพียงแต่การสิ้นเปลืองจากการบริหารจัดการเท่านั้น แต่การแบ่งสรรงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการออกเป็นประเภทของสิทธิในการรักษาพยาบาลทั้ง 3 ประเภทข้างต้นนั้น ทำให้ไม่เห็นภาพรวมของงบประมาณทั้งหมดที่ต้องใช้ในการจัดสวัสดิการ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่างบประมาณที่ใช้ในจัดสวัสดิการนั้นเป็นเงินจำนวนมหาศาล ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างกลุ่มผู้มีสิทธิทั้ง 3 ประเภทข้างต้น กลุ่มสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น มีจำนวนมากกว่ากึ่งหนึ่งของประชากรไทย แต่กลับได้งบประมาณในสัดส่วนที่มาก

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเฉลี่ยงบประมาณในอัตราเหมาจ่ายเป็นรายหัวแล้ว จะตกเป็นเงินคนละประมาณ 3,600 บาทเท่านั้นต่อปี[9] ซึ่งหากในความเป็นจริงรัฐบาลรวมงบประมาณทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกันจะได้เงินจำนวน 328,221,443,000 บาท ซึ่งจะสามารถนำไปจัดสรรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะโดยธรรมชาติของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลนั้น อาศัยการเฉลี่ยความเสี่ยงที่คนๆ หนึ่งจะเจ็บป่วย  

ฉะนั้น การรวมเงินงบประมาณทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกันนั้นจะทำให้อัตราเหมาจ่ายเป็นรายหัวนั้นเพิ่มมากขึ้น และลดความซ้ำซ้อนกันของฐานผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการด้วย เนื่องจากทุกคนได้รับสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลในลักษณะเดียวกัน

การปรับลดงบประมาณบางประเภทเพื่อเพิ่มให้กับสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล

แม้ว่าหากรวมสิทธิสวัสดิการทั้ง 3 ประเภทเข้าด้วยกันแล้ว จะได้เงินจำนวนมากถึง 328,221,443,000 บาท แต่ในอนาคตสังคมไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลนั้น ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน การปรับงบประมาณบางประเภทเพื่อเพิ่มให้กับสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลจึงอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น

ในปัจจุบัน งบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลนั้น ได้รับความสำคัญน้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินที่ใช้ไปกับกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเกิดมากจากความไม่ชัดเจนของรายการงบประมาณภายใต้ยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยบางรายการนั้น ก็มีลักษณะซ้ำซ้อนกันเพียงแต่อยู่คนละหน่วยงาน ทำให้เกิดการใช้งบประมาณไปอย่างสูญเปล่า เช่น งบประมาณในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตามแผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ โครงการที่ 1 โครงการพิทักษ์รักษาการถวายพระเกียรติการปฏิบัติตามพระราชประสงค์และการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเงินงบประมาณ 21,7054,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม เทิดทูน และเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจ 

รวมทั้งพิทักษ์และป้องกันสถาบันพระมหากษัตริย์[10] คิดเป็น 1 ใน 3 ของงบประมาณที่ใช้ในการจัดสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชหรือเงินอุดหนุนสิทธิประกันสังคม ซึ่งรายจ่ายในรายการดังกล่าวอาจจะซ้ำซ้อนกับแผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง ผลผลิตที่ 2 การสนับสนุนการถวายความปลอดภัย การถวายพระเกียรติ และปฏิบัติตามพระราชประสงค์ ซึ่งใช้งบประมาณจำนวน 1,210,154,300 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายความปลอดภัย ถวายพระเกียรติ และปฏิบัติตามพระราชประสงค์[11] เป็นต้น

ในอนาคตหากกระบวนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีดำเนินการไปโดยเคร่งครัดและให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจจะซ้ำซ้อนกันในลักษณะดังกล่าวได้แล้ว นอกจากจะสร้างความโปร่งใสให้กับกระบวนการงบประมาณ การโยกรายจ่ายซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นออกไปจะทำให้สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้เพื่อให้เกิดการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลได้อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด โจทย์สำคัญที่สุดของการจัดทำสวัสดิการในสังคมไทยก็คือ โจทย์ทางด้านการเมือง ในเมื่อประเทศไทยรัฐบาลไม่เคยนำแนวคิดเรื่องสวัสดิการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลอย่างจริงจัง การเกิดขึ้นของสวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการจึงยังคงเป็นเพียงแค่ความฝันต่อไป


เชิงอรรถ

[1] เนื่องจากสถิติข้อมูลของปีงบประมาณ 2563 หน่วยงานของรัฐได้เปิดเผยข้อมูลแล้วจึงสะดวกต่อการศึกษามากกว่าปีงบประมาณ 2564 ซึ่งยังไม่สิ้นสุดปีงบประมาณ.

[2] พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563, มาตรา 6 (4) และสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่าย ฉบับปรับปรุง ตาม พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563, เล่มที่ 1, (กรุงเทพฯ: สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2562), น. 4.

[3] สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่าย ฉบับปรับปรุง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563, เล่มที่ 9, (กรุงเทพฯ: สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2562), น. 470.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, “รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณ 2563,” สืบค้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564, จาก https://www.nhso.go.th/operating_results/47.

[6] เพิ่งอ้าง.

[7] ข่าวสด, “นักวิชาการ เผยข้อมูล งบสวัสดิการ เทียบประชาชน 53 ล้านคน กับข้าราชการ 6 ล้านคน อึ้งห่างกันถึงแสนล้าน,” สืบค้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564, จาก https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1561205.

[8] สำนักงาน ก.พ., “กำลังคนภาครัฐ 2562: ข้าราชการพลเรือนสามัญ,” สืบค้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564, จาก https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/thai-gov-manpower-2562-o.pdf.

[9] สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, น. 46.

[10] สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่าย ฉบับปรับปรุง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563, เล่มที่ 1, (กรุงเทพฯ: สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2562), น. 591.

[11] เพิ่งอ้าง, น. 586.

ศิริกัญญา ตันสกุล “ความสำคัญถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ”

การสัมภาษณ์คุณศิริกัญญา ตันสกุล ในครั้งนี้เพื่อพูดถึงแนวคิดและอนาคตของรัฐสวัสดิการไทย ในสายตาของคุณศิริกัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล

“เรามีความเชื่อเรื่องแนวคิดของรัฐสวัสดิการก็ตรงไปตรงมาว่ารัฐจะต้องเป็นผู้ให้สวัสดิการกับประชาชน”

แนวคิดเบื้องต้นของ “รัฐสวัสดิการ” ในมุมมองของศิริกัญญา

สำหรับเรื่อง “รัฐสวัสดิการ” จะต้องเรียกว่าเป็น แนวคิด เพราะมันยังไม่ใช่ตัวที่เป็นนโยบาย ทางพรรคก้าวไกลซึ่งเราก็สืบทอดเอาตัวนโยบายที่เราได้หาเสียงไว้ ตั้งแต่สมัยเป็นอนาคตใหม่นำมาขับเคลื่อนต่อ และเรามีความเชื่อเรื่องแนวคิดของรัฐสวัสดิการ ก็ตรงไปตรงมาว่า “รัฐ” จะต้องเป็นผู้ให้สวัสดิการกับประชาชนนะคะ ซึ่งมันก็มีได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการให้เงินโอนเป็นเงินสด หรือว่าจะให้เป็นบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาเรื่องสาธารณสุข รวมไปถึงสวัสดิการสำหรับเด็ก หรือว่าสำหรับผู้สูงอายุ

ตรงนี้จะเป็นแนวคิดที่เรียกได้ว่ายอมยกบทบาทนี้ให้กับรัฐเป็นผู้ให้บริการ โดยที่หน้าที่ตรงนี้ก็จะเป็นหน้าที่ตัวกลางที่จะคอยจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการกระจายทั้งรายได้และความมั่งคั่ง เพื่อสุดท้ายจะนำไปสู่การที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วก็สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันนี้ก็จะเป็นแนวคิดเบื้องต้นของรัฐสวัสดิการ

รัฐสวัสดิการแนวนโยบายทางการเมืองที่กำลังผลักดัน

ชุดนโยบายที่เราเคยใช้เมื่อตอนหาเสียง ก็จะเป็นในเรื่องของรัฐสวัสดิการ คือนำเสนอการให้เงินอย่างถ้วนหน้า ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ 0 ถึง 6 ปี แล้วยงมีเงินช่วยเหลือสำหรับเยาวชนตั้งแต่ 7 ถึง 18 ปี ในส่วนของเงินบำนาญที่เป็นบำนาญพื้นฐานจะอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาทต่อคน ตรงนี้เรียกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่ประชาชนสมควรจะได้รับนะคะ

นอกจากนั้นเรายังผลักดัน และขับเคลื่อนบริการอื่น ๆ ที่สมควรจะได้รับไปพร้อมกับการได้รับเงินช่วยเหลือตรงนี้ด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องการที่รัฐควรจะต้องเป็นผู้ให้บริการ Day Care สถานเลี้ยงดูเด็กแบเบาะที่ไม่ใช่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ให้บริการกับเด็กที่มีอายุในวัยก่อนเข้าเรียน

เรายังมีการพูดถึงการปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุข ถึงแม้ว่าเราจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ในเรื่องของคุณภาพ เราก็ยังมี room ที่จะสามารถปรับปรุงไปได้อีกนะคะ ในเรื่องของสวัสดิการผู้สูงอายุ เรามีเรื่องของบํานาญพื้นฐานแล้ว แต่ว่าเราก็ยังไม่หยุดคิดในเรื่องของการบริการผู้สูงอายุเป็นศูนย์สำหรับในชุมชน หรือว่าเป็นบริการช่วยเหลือต่าง ๆ ของผู้ป่วยที่ติดเตียง ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุเช่นเดียวกันค่ะ ก็จะเห็นว่านโยบายที่หาเสียงก็จะเป็นในรูปแบบหนึ่งแต่ว่านโยบายที่จะขับเคลื่อน จะมีความครอบคลุมและมีความหลากหลายมากกว่านั้นอีกค่ะ

จาก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ 2476” สู่การผลักดันนโยบาย “รัฐสวัสดิการ 2564”

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” มี keyword ที่สำคัญก็คือ หลักประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ถูกต้องไหมคะ ซึ่งอันนี้ก็จะสอดคล้องโดยตรงกับกับแนวคิดของรัฐสวัสดิการที่สำคัญ และหัวใจสำคัญที่คิดว่าน่าจะนำมาปรับใช้อย่างแรกเลยก็คือเรื่องของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะถือว่าเป็นเป้าหมายหลักในทางเศรษญกิจ

ใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ได้เน้นย้ำถึงเรื่องของความสุขสมบูรณ์ ซึ่งมันก็คือเรื่องของคุณภาพชีวิต เรื่องของสวัสดิภาพของประชาชน ตรงนี้ถ้ารัฐบาลเอานโยบายนี้มาชูเป็นประเด็นสำคัญ ก็จะสะท้อนให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พูดถึงเรื่องพายที่มันใหญ่ขึ้นแต่อย่างเดียว แต่ว่าเรื่องของการแบ่งพายในแต่ละก้อนให้กับประชาชนในแต่ละกลุ่มอย่างเป็นธรรม แล้วก็กระจายความเท่าเทียมให้ทั่วถึง

ประเด็นต่อมานะคะก็คือเรื่องของ “การการันตีการจ้างงาน” อันนี้เป็นเรื่องที่ในเค้าโครงเศรษฐกิจพูดไว้ค่อนข้างมาก หลักก็คือ “จะไม่มีประชาชนที่ไม่มีงานทำ หรือว่าจะต้องอดอยากจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นเพราะว่ารัฐบาลจะเข้าไปเป็นผู้จ้างงาน” นี่ก็เป็นนโยบายที่เราสามารถปรับใช้ได้ในปัจจุบันได้ เพราะว่าถ้าเรามองย้อนมองบริบทในช่วงที่อาจารย์ปรีดีฯ เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ จะพบว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำ กำลังเผชิญกับ great depression ประเทศไทยเองก็เจอกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเวลานี้ที่เราก็เจอกับวิกฤติโควิด แล้วก็เศรษฐกิจตกต่ำ แล้วก็ทำให้การจ้างงานมีปัญหา มีประชาชนที่จะต้องว่างงาน หรือว่าทำงานต่ำกว่าชั่วโมงทำงานปกติค่อนข้างมาก

ดังนั้นบทบาทของรัฐอีกบทบาทหนึ่งที่จะต้องเข้ามา ก็คือต้องเป็นผู้จ้างงานเสียเอง เพื่อทำให้คนยังมีงานทำและยังมีรายได้ ในนั้นก็จะมีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้สวัสดิการกับคนที่เจ็บป่วย คนที่สูงอายุ หรือแม้แต่ว่าเป็นคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เราสามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ ในเรื่องของบำนาญได้ก็เช่นเดียวกัน เราสามารถที่จะให้สวัสดิการกับคนที่อาจจะเปราะบางทางสังคม อย่างเช่นคนเจ็บป่วย หรือว่าคนพิการ รวมถึงผู้สูงอายุที่ยังไม่มีระบบบำนาญใด ๆ มารองรับก็ควรจะต้องได้รับบำนาญขั้นพื้นฐานไปด้วย ซึ่งนโยบายตรงนี้ที่เราถอดและหยิบยกมาจากเค้าโครงการเศรษฐกิจของอาจารย์ปรีดี

ก็ประมาณนี้ที่เป็นนโยบายที่เราสามารถที่จะหยิบยกถอดมาจากเค้าโครงเศรษฐกิจของอาจารย์ปรีดีมาใช้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้ค่ะ

การขับเคลื่อน “รัฐสวัสดิการ” ในบทบาทของนักการเมือง

ต้องยอมรับว่าแนวคิดนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นที่เคยชินในสังคมไทย ในสังคมที่ประชาชนต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก แล้วก็ไม่เคยได้รับบริการสาธารณะอะไรจากรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรียกได้ว่าที่ผ่านมา สวัสดิการจะเป็นใน รูปแบบของการสงเคราะห์ เป็นสวัสดิการอนาถา สำหรับคนจนเป็นหลัก

จากการที่เรานำเสนอนโยบาย หรือว่าหาเสียงในเรื่องนี้ เราพบกับปัญหาแบบนี้เข้ามาเรื่อย ๆ เพราะว่าชนชั้นกลางส่วนหนึ่งจะเข้าใจว่าการที่จะใช้แนวคิดเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ หรือว่ามีนโยบายที่เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า จะต้องเป็นภาระทางภาษีโดยเฉพาะกับชนชั้นกลางที่ถูกรีดภาษีเงินได้มาโดยตลอด แล้วก็รู้สึกว่าจะเป็นภาระ ทำให้เกิดแรงต่อต้านส่วนหนึ่งจากกลุ่มที่เป็นชนชั้นกลาง

ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถที่จะทำให้ประชาชนรู้สึก และเข้าใจว่า ทำไมประเทศถึงต้องเป็นรัฐสวัสดิการ? ก็อาจจะต้องทำให้ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งสามารถที่จะเข้าถึงบริการสาธารณะได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง เช่น ทุกวันนี้บัตรทองต้องยอมรับว่าไม่ใช่ชนชั้นกลางที่จะเข้าถึงบริการนี้ อันเนื่องมาจากว่าด้วยความที่ระบบสุขภาพที่ยังมีความไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การรอคิวต่าง ๆ ก็ดี หรือว่าการที่โรงพยาบาลไม่ได้อยู่ใกล้บ้านเองก็ดี ทำให้ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็ไม่ได้เข้าไปใช้บริการเหล่านั้น

แต่ถ้าเราสามารถที่จะปรับปรุงบริการสาธารณะพวกนี้ให้มีคุณภาพมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โอกาสที่ชนชั้นกลางจะเข้าไปใช้มีมากขึ้น และเมื่อไหร่ที่มีคนส่วนมากที่เข้าไปใช้บริการสาธารณะพวกนี้ เขาก็จะเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญ ถึงความจำเป็นที่ประเทศจำเป็นที่จะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ

นี่เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียวสำหรับทางฝั่งการเมืองเองก็ดี หรือว่าผู้กำหนดนโยบายเองก็ดี ที่จะสามารถที่จะทำให้ประชาชน buy in กับนโยบายพวกนี้แล้วก็เป็นที่มาด้วยว่าหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ นโยบายที่เราจะต้องยืนยันถึงความเป็นสวัสดิการถ้วนหน้า ก็เป็นปัจจัยนี้ว่าการที่เราไม่จำกัดสิทธิเฉพาะกับใครคนใดคนหนึ่ง หรือว่าตามกลุ่มเป้าหมายและทำให้มีประชาชนที่ได้รับสวัสดิการส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อไหร่ที่เขาได้รับ และเขารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ เขาก็จะสนับสนุนนโยบายพวกนี้ และเต็มใจที่จะมาร่วมเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขกับคนทั้งประเทศ โดยการจ่ายภาษีที่มากขึ้นหรือว่าการที่สนับสนุนนโยบายพวกนี้กับทางฝั่งการเมืองค่ะ

พูดถึงสถานการณ์ผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ และ COVID-19 ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้แรงงาน ควรจะได้รับจากประกันสังคม

สำหรับแรงงานสามารถที่จะได้รับประโยชน์จากรัฐสวัสดิการเช่นเดียวกัน จริง ๆ ในประเทศไทยเราก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเกี่ยวกับการต่อสู้เรื่องของประกันสังคมถูกไหมคะ ทำให้สุดท้ายแล้วประเทศนี้ก็มีระบบประกันสังคม ที่จะสามารถคุ้มครองแรงงาน มีสวัสดิการที่ช่วยเหลือคนที่ว่างงาน หรือว่าเจ็บป่วยทุพพลภาพมีเงินทดแทน รวมไปถึงการมีบำนาญสำหรับผู้ประกันตนด้วย

แต่ก็อย่างที่บอกว่า แรงงานไทยก็ยังรู้สึกเปราะบางอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 อยู่ดี อันเนื่องมาจากว่าแรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วยซ้ำไป แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศนี้ราว 20 ล้านคนเป็นแรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ไม่ได้อยู่ในระบบใด ๆ และไม่ได้มีสวัสดิการใด ๆ ที่จะคุ้มครองแรงงานเหล่านี้

ดังนั้น การที่มีวิกฤตโควิด-19 ทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่ายังมีรายงานอีกกลุ่มใหญ่ กลุ่มที่เป็นส่วนใหญ่ของแรงงานด้วยซ้ำไป ที่ไม่มีตาข่ายใด ๆ มารองรับ เมื่อประเทศเกิดวิกฤต จะเห็นว่าตอนที่มีการระบาดระลอกแรก ก็จะมีการเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือเยียวยากับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรัฐที่ไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการแห่งรัฐบาลปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นว่าก็จะเกี่ยงงอนกับการที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนเหล่านี้

แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปรับปรุงหรือว่าปฏิรูปประชาสังคมให้ครอบคลุมไปถึงแรงงานนอกระบบที่เป็นคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป ตรงนี้ก็ตามแนวคิดของรัฐสวัสดิการ แรงงานไม่ว่าจะเป็นแรงงานประเภทไหน ก็ควรจะต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นจากการว่างงาน หรือว่าจากเมื่อเกษียณอายุ และต้องมีบำนาญคุ้มครอง

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เราผลักดันเช่นเดียวกัน ที่จะต้องปฏิรูปประกันสังคมในเรื่องของมาตรา 40 หรือว่ามาตรา 39 สำหรับมาตรา 40 ให้มีสิทธิประโยชน์ที่จูงใจให้ประชาชนอยากที่จะเข้ามาร่วมเป็นผู้ประกันตนมากขึ้น และมีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมไปถึงบำนาญที่ประชาชนที่เป็นแรงงานสามารถที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เรื่องงบประมาณของรัฐ ถูกใช้ไปกับเรื่องความมั่นคงค่อนข้างสูง ถ้าให้เทียบกับสัดส่วนงบประมาณที่ใช้ไปในเรื่องของสาธารณสุขค่อนข้างต่ำ เมื่อเกิดวิกฤตโควิด รัฐก็ยังคงใช้งบประมาณไปกับความมั่นคงมากกว่า ในฐานะนักการเมืองมีการตั้งข้อสังเกตอะไรบ้าง

ถ้าโยงมากับแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ แน่นอนว่าเราจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการที่จะให้สวัสดิการอย่างถ้วนหน้ากับประชาชน ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นว่า เราจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ และการจัดเก็บภาษีแน่นอน

ทุกวันนี้จากประสบการณ์ที่เป็นนักการเมือง และไปนั่งในกรรมาธิการงบประมาณมา 2 ปี เราก็เห็นว่าการจัดสรรงบมาณสามารถที่จะปรับปรุงให้มันให้มันตรงจุดตรงเป้าได้มากกว่านี้ แต่นี่มันเป็นเรื่องของวิธีคิดเป็นเรื่องของแนวคิดมากกว่าว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มีความคิดว่าสวัสดิการของประชาชนที่เป็นสวัสดิการถ้วนหน้าเป็นเรื่องจำเป็น  ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองไหนก็ตามที่เคยหาเสียงด้วยนโยบายที่จะให้สวัสดิการถ้วนหน้า แล้วก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะผลักดันในการจัดสรรงบให้ไปสู่สวัสดิการอย่างถ้วนหน้าอย่างแท้จริง

เราก็ยังเห็นการเน้นความมั่นคงในด้านในทางทหารมากกว่าความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข หรือ ความมั่นคงในคุณภาพชีวิตของประชาชน ตรงนี้ก็เลยนำไปสู่การที่เราจะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ในสภา มีการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น ที่ผ่านมาเราก็มีการฉายภาพที่เห็นว่าสวัสดิการประชาชนมัน fragment มาก ๆ มันกระจัดกระจาย มันไปอยู่ตามกระทรวงกรมต่าง ๆ เป็น 10 กว่ากระทรวง สำหรับการให้สวัสดิการของประชาชนทั้งประเทศ แต่เมื่อรวมงบประมาณกันแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับงบประมาณที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการ ซึ่งข้าราชการที่มีจำนวนคนที่รับผลประโยชน์ในประมาณ 5 ล้านคน กลับได้งบประมาณที่ใกล้เคียงกับประชาชนทั้งประเทศได้รับสวัสดิการ

ตรงนี้แสดงถึงความคิดวิธีคิด และ ความเชื่อต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในปัจจุบันนี้แล้วว่าเขาไม่ได้เชื่อ และไม่ได้คิดว่าสวัสดิการมันควรจะต้องเป็นสิทธิของประชาชน แต่ว่าจะเน้นไปที่สวัสดิการ อย่างเช่น บัตรคนจนหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งที่จะเป็นการให้ในเชิงสงเคราะห์ที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้

ผลกระทบของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด จนสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อย ๆ การเป็นหนี้สินภาคครัวเรือน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องของหนี้ครัวเรือนแน่นอนว่า การที่คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุมาจากการที่รายได้ต่ำลง ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคระบาดในอย่างทุกวันนี้ ซึ่งรายได้ที่ลดลงของประชาชนไม่ได้เกิดจากการความผิดของประชาชนเอง

ดังนั้นรัฐมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปประคับประคองหรือว่าเยียวยา เพื่อทำให้รายได้ของประชาชนไม่ได้ตกลงไปมากกว่านี้ แต่ยังไงก็ตามถึงแม้ว่ารัฐจะมีมาตรการเยียวยาอะไรออกมา ก็อาจจะไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ว่าก็ต้องคิดอย่างนี้ค่ะ ว่าทุกบาทที่รัฐต้องเป็นคนแบกรับหนี้ให้เป็นหนี้สาธารณะของประเทศ อาจจะทดแทนหนี้ที่เป็นหนี้ของครัวเรือนได้ หมายความว่ามันก็เหมือนกับเป็นกระเป๋าเดียวกัน ถ้ารัฐไม่ทำอะไรเลย หนี้ของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น แต่การที่รัฐจะทำอะไร ก็เหมือนกับว่าแบ่งเบาหนี้ที่ควรต้องเป็นหนี้ของประชาชนมาเป็นหนี้ของรัฐเอง

เรื่องหนี้ครัวเรือน ทางพรรคเองก็มีแนวคิดที่จะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบกับปัญหาเรื่องหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนี้เริ่มกลายเป็นหนี้ที่ไม่สามารถที่จะผ่อนจ่ายต่อได้แล้ว ประสบการณ์จากหลายประเทศที่ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องของการที่จะไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ต่าง ๆ เพื่อที่ทำให้ประชาชนไม่ต้องประสบกับปัญหา ต้องกลายมาเป็นบุคคลล้มละลาย ถูกฟ้องต่าง ๆ โดยที่เกิดจากความผิดที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโควิดแบบนี้ หนี้ต่าง ๆ ถ้าเราสามารถที่จะไกล่เกลี่ยเจรจาแทนประชาชนได้ เป็นตัวกลางที่จะเจรจาระหว่างธนาคารต่าง ๆ หรือว่าบริษัทบัตรเครดิตต่าง ๆ แทนประชาชน ก็ทำให้ประชาชนสามารถที่จะได้รับข้อเสนอที่เป็นธรรมมากขึ้นกับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ด้วย อันนี้ก็จะเป็นแนวคิดที่เราจะช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาของหนี้ครัวเรือน

ตอนนี้ในสถานการณ์ที่จำเป็นอยู่อาจเป็นเรื่องของวัคซีน ในแง่หนึ่งคือการฉีดวัคซีนให้กับคนทั้งประเทศ 66 ล้านคน แต่ปัจจุบันฉีดได้ 1 แสนคน ในภาพแบบนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง

วิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ แน่นอนว่าเราอาจจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละรอบได้ด้วยการเยียวยา เงินที่มีอยู่ในหน้าตัก ถ้ามันไม่พอสำหรับการเยียวยาช่วยเหลือเราก็สามารถที่จะกู้เพิ่มได้ แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะวนลูปนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ได้ตลอดไป

ดังนั้นหนทางเดียวที่เป็นกุญแจออกจากการวนลูปนี้ก็คือ การที่ประชาชนได้รับวัคซีน แล้วก็สามารถที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเชื้อหรือว่าจะแพร่เชื้อไปให้กับบุคคลอื่นได้ แต่ว่าปัญหาเรื่องวัคซีนมันก็กลายเป็นคอขวดที่น่าจะเป็นปัญหาที่ปวดหัวของรัฐบาล

เนื่องจากว่าไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดหาอย่างล่าช้า การที่เราไม่ได้กระจายความเสี่ยงของประเภทของวัคซีนอย่างมากพอ แล้วก็ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการกระจายว่าจะมีกลวิธี ยุทธวิธีอย่างไรที่จะสามารถกระจายวัคซีนได้อย่างตรงจุดตรงเป้า ทุกวันนี้เราก็ไม่รู้แน่ชัดว่าใครกันแน่ที่จะเป็นเป้าหมายในการฉีดวัคซีนของรัฐบาล จะเป็นคนผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน หรือว่าคนที่มีโรคประจำตัว

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ความเชื่อมโยงบนความที่น่าจะเป็นไปได้กับสังคมไทยยุคปัจจุบัน

ถ้าเรามองบริบทตอนที่อาจารย์ปรีดีนำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ เราจะเห็นว่ามันก็จะเป็นตอนที่ช่วงที่ประเทศกำลังประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ คล้าย ๆ ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องของ great depression นะคะแล้วก็เศรษฐกิจโลกตกต่ำทั่วโลก การส่งออกก็ย่ำแย่ ตอนนั้นประเทศก็เพิ่งที่จะเข้าสู่การมีรัฐสมัยใหม่ และที่สำคัญก็คือว่าประชาชนมีความทุกข์ยาก อดอยาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ 90% ก็ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินทำกินนะคะ

ดังนั้นเราอาจจะหยิบยกเอาบางส่วนของเค้าโครงเศรษฐกิจมาปรับใช้กับในปัจจุบันได้ แต่ว่าบริบทจะเปลี่ยนไป เพราะตอนนั้นมีประชากร 11 ล้านคน ปัจจุบันเรามีประชากร 67 ล้านคน แต่ว่าก็ยังไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินอยู่ดี

ตอนนั้นเรามีวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลก ตอนนี้เราก็มีวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกที่เกิดจากโรคระบาดเช่นเดียวกัน ตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มเข้าสู่การมีรัฐสมัยใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตรงนี้ที่เป็นจุดแตกต่างที่ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากว่า 90 ปี เกือบ ๆ 90 ปีผ่านไป หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราก็พบว่ารัฐสมัยใหม่ที่เราได้มาก็อาจจะไม่ใช่รัฐที่มีประสิทธิภาพ หรือว่ามีความสามารถที่จะจัดการกับเศรษฐกิจอย่างที่อาจารย์ปรีดีฯ เคยได้วางแผนไว้ ตอนที่เขียนเค้าโครงทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น เพื่อที่จะทำให้เราไปสู่รัฐสวัสดิการ นำไปสู่หลักการเรื่องของการประกันความสุขสมบูรณ์ของของราษฎร เราก็อาจจะให้รัฐไม่จำเป็นจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่กลายมาเป็นตัวกลางที่จะช่วยจัดสรรทรัพยากร ให้มันเกิดความเท่าเทียม เกิดการกระจาย ทั้งรายได้ และความมั่นคงมั่งคั่งมากขึ้น โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธระบบตลาด ทุกคนยังมีตัวเสรีภาพทางเศรษฐกิจและสามารถที่จะทำธุรกิจอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นของประชาชนเอง โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้รัฐเป็นเป็นผู้ตัดสินใจอยู่เพียงฝ่ายเดียว

เพราะว่าด้วยความที่กาลเวลาก็ผ่านมา ก็มีการพิสูจน์แล้วว่า รัฐสวัสดิการไปได้ดีกับระบบที่ใช้ระบบตลาด ที่เป็นระบบนำเช่นเดียวกับเสรีภาพทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐสวัสดิการในหลาย ๆ ประเทศประสบความสำเร็จ 

เนื่องในโอกาสที่จะถึงวันปรีดีวันที่ 11 พฤษภาคมนะคะ ดิฉันเองด้วยความที่เป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ก็จะได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติหรือว่าผลงานของอาจารย์ปรีดีฯ มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่เราในฐานะนักศึกษาได้ก็มีการพูดคุยถกเถียงกันในชั้นเรียนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม

ดังนั้นก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้นำเอาหลักการแนวคิดของเค้าโครงการเศรษฐกิจมาคุยกันอีกรอบหนึ่ง ในวาระที่สถานการณ์มันเริ่มที่จะกลับมาย้อนรอยกับสถานการณ์ในช่วงที่อาจารย์ปรีดีฯ นำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งค่ะ 

รัฐสวัสดิการ: จำเป็นหรือไม่กับการดำเนินชีวิต ?

ดัดแปลงจากการเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รัฐสวัสดิการเป็นโจทย์สำคัญอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน และความไม่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรค  อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตระหนักถึงความสำคัญของการจำเป็นต้องมีรัฐสวัสดิการ คำถามคือรัฐสวัสดิการคืออะไร มีความจำเป็นกับชีวิตเราอย่างไร และเราจะไปถึงรัฐสวัสดิการได้อย่างไร ในบทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ

ความจำเป็นแห่งการมีรัฐสวัสดิการ

“รัฐสวัสดิการ” หมายถึง รัฐประชาธิปไตย ซึ่งไม่เพียงแต่รัฐนั้นรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน และ อิสรภาพส่วนบุคคลและทางเศรษฐกิจตามรัฐธรรมนูญ (เป็นนิติรัฐ) แต่ยังต้องเป็นรัฐที่ใช้มาตรการทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางวัตถุเพื่อคลายความตึงเครียดทางสังคมและทำให้เกิดความเท่าเทียมกันท่ามกลางความแตกต่างทางสังคม (ในระดับหนึ่ง) 

ในลักษณะดังกล่าวเป้าหมายของรัฐสวัสดิการจึงเป็นเรื่องของความยุติธรรม (Justice) สิ่งนี้สอดคล้องกับทรรศนะของปรีดี พนมยงค์ และเป็นหัวใจสำคัญของการอภิวัฒน์สยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยปรารถนาจะให้ประเทศสยามหรือประเทศไทยในขณะนั้นมีประชาธิปไตยสมบูรณ์

การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้นั้น จะต้องมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ปรีดีให้ความสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจแล้ว ราษฎรส่วนมากก็จะไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้ ด้วยต้องกังวลว่าจะหาเลี้ยงชีพได้อย่างไร ทำให้สุดท้ายไม่ได้สนใจสิทธิและความเป็นอยู่ในทางการเมืองของตน สาเหตุดังกล่าวนี้ภายหลังการอภิวัฒน์สยาปรีดีจึงได้นำเสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ขึ้นมาโดยหมายมุ่งจะให้แบบแผนในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

ดังนั้น “รัฐสวัสดิการ” เป็นเรื่องของความเสมอภาคหรือก็คือ ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการจะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้น ไม่สามารถปฏิเสธความสำคัญของการเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจได้เลย ด้วยเหตุที่ความเสมอภาคทั้งในแง่ศักดิ์ศรี การได้รับความเคารพ และการกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองนั้น อยู่บนเงื่อนไขการได้รับการจัดสรรทรัพยากรพื้นฐาน ซึ่งหากปราศจากทรัพยากรพื้นฐานเหล่านี้แล้วสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นแทบจะไม่มีคุณค่าอะไรเลย 

การคุ้มครองพลเมืองให้รอดพ้นจากภัยความยากจน อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนใช้ศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่นั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในระบอบประชาธิปไตย รัฐสวัสดิการจึงไม่ใช่เรื่องของรัฐสังคมนิยมเพียงอย่างเดียว

สำหรับทรัพยากรพื้นฐานที่รัฐควรจัดหาให้นั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและกาลเวลา ในเบื้องต้นทรัพยากรพื้นฐานนั้นอาจเป็นเรื่องของอาหารและที่พักอาศัย  อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นนั้นยังมีอยู่อีกมาก ซึ่งหากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้วการใช้สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้ 

สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการศึกษาหรือการฝึกอาชีพ ข้อมูลข่าวสาร เงินช่วยเหลือสำหรับเลี้ยงดูบุตร การรักษาพยาบาล และการสนับสนุนพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะต้องอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับสภาวะชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจ

ท้ายที่สุดแล้ว ความจำเป็นของการมีอยู่ของรัฐสวัสดิการจึงเป็นไปเพื่อที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคคล ให้เขาสามารถดำรงไว้ซึ่งเจตจำนงอิสระของตนเองในการดำรงชีวิตและเลือกดำเนินการตามความต้องการของตนเองได้ โดยมีการสนับสนุนจากรัฐในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมการดำรงไว้ซึ่งเจตจำนงอิสระของตน

ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการ

คำถามสำคัญที่สุดและเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการมักจะเป็นเรื่องของต้นทุนที่สังคมต้องแบกรับเพื่อจ่ายให้บรรลุสู่เป้าหมายของการเป็นรัฐสวัสดิการ หลายกระแสมักโจมตีว่ารัฐสวัสดิการนั้น ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากและบ่อยครั้งกลายเป็นประชานิยมที่ละลายงบประมาณแผ่นดินไปกับกิจกรรมที่สิ้นเปลือง และ ไม่รักษาวินัยทางการคลัง และ ถึงขนาดบางครั้งยังมีผู้กล่าวอ้างว่านโยบายทางสังคมเป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  

ทว่า ข้อที่สังคมโดยรวมต้องตระหนักถึงการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการนั้นก็เช่นเดียวกันกับการเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้เป็นเรื่องของกำไรขาดทุน สังคมไม่อาจเอาคุณค่าของอิสรภาพและประชาธิปไตยไปเปรียบเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ 

ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ มายาคติเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการซึ่งมักถูกกล่าวหาว่า รัฐสวัสดิการทำให้คนขี้เกียจ งอมืองอเท้า และไม่มีแรงจูงใจออกไปต่อสู้กับโลกภายนอก ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วรัฐสวัสดิการมิได้แจกจ่ายเงิน แต่ทำให้คนไม่ต้องกังวลเวลาป่วย ตกงาน หรือไม่ต้องจ่ายค่าทำประกันชีวิต ดังได้กล่าวมาแล้วว่าจุดประสงค์ของ “รัฐสวัสดิการ” คือ ส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม ทำให้คนทุกคนในสังคมสามารถจะดำรงชีวิตได้ตามเจตจำนงของตนเอง

นอกจากนี้ หากกล่าวเฉพาะในบริบทของประเทศไทย ‘ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี’ นักวิชาการด้านสวัสดิการสังคมคนสำคัญ ได้ชี้ให้เห็นว่า “อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถเกิดรัฐสวัสดิการในประเทศไทยได้นั้นเกิดขึ้นมาจากปัจจัย 3 ประการ” ดังนี้

ประการแรก กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ คือ กลุ่มที่เห็นความไม่เป็นธรรม ความไม่ถูกต้อง และมีเจตนาดี แต่คิดว่าไม่สามารถทำอะไรหรือเปลี่ยนแปลงปัญหาเชิงโครงสร้างได้ เมื่อเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ทำได้เพียงแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการเสียสละเชิงปัจเจก เช่น โครงการคนละก้าวที่ระดมเงินบริจาคมาช่วยโรงพยาบาล เป็นต้น การแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าวอาจช่วยให้ปัญหาเฉพาะหน้าดีขึ้น แต่ในเชิงโครงสร้างนั้นไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

ประการที่สอง ลัทธิท้องถิ่นนิยมทำให้การต่อสู้เพื่อรัฐสวัสดิการแบบก้าวหน้าครบวงจรไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีกรอบการมองว่าเมื่อไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างได้ เพราะรัฐส่วนกลางไม่มีประสิทธิภาพและทุจริต ดังนั้น จึงต้องย้อนกลับมาหาระดับท้องถิ่น ทั้งๆ ที่ปัญหาหลายอย่างนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้เฉพาะประเด็น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่าประเด็นรัฐสวัสดิการนั้นไม่เคยเป็นประเด็นวิวาทะสาธารณะ

ประการที่สาม กลุ่มนักคิดและเทคโนแครต กลุ่มลัทธิเสรีนิยมใหม่ มองว่า ปัญหาสวัสดิการคือการขาดข้อมูลที่ดี รัฐจึงไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เอาข้อมูลไปให้กับประชาชนจัดการตัวเองได้ด้วยเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ด้วยการแปลงสินทรัพย์ที่มีเป็นทุน เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดให้มากขึ้น โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมภายในรัฐ

อุปสรรคทั้งสามประการข้างต้นนั้น ก่อให้เกิดความไม่ก้าวหน้าของขบวนการรัฐสวัสดิการของประเทศไทย นโยบายทางสังคมของรัฐจึงออกมาในลักษณะของสวัสดิการแบบชิงโชค ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เพราะประเด็นรัฐสวัสดิการนั้นไม่เคยกลายมาเป็นวิวาทะสาธารณะ และการแก้ปัญหาดำเนินการไปเพียงเป็นจุดๆ มากกว่าจะสร้างระบบรัฐสวัสดิการสมบูรณ์

วิถีทางที่เราจะไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ

การจะไปถึงรัฐสวัสดิการได้นั้น รัฐควรจะต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคคล ให้เขาสามารถดำรงไว้ซึ่งเจตจำนงอิสระของตนเองในการดำรงชีวิตและเลือกดำเนินการตามความต้องการของตนเองได้ โดยมีการสนับสนุนจากรัฐในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐาน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะนำไปสู่รัฐสวัสดิการได้นั้น ประกอบไปด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ ‘หลักการเบื้องหลัง’ และ ‘เครื่องมือดำเนินการ’

หลักการเบื้องหลัง ที่จะนำไปสู่รัฐสวัสดิการนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดความตระหนักขึ้นในสังคม แนวคิดของรัฐสวัสดิการนั้นตั้งอยู่บนฐานความคิดที่ว่า สังคมโดยรวมต้องเข้ามาช่วยเหลือกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคคล และส่งเสริมให้บุคคลทุกคนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนเองได้ ซึ่งการร่วมกันนี้ก็คือ ความตระหนักในความเป็นพี่น้องร่วมกันของคนในสังคมหรือเรียกว่าต้องมีความ “ภราดรภาพ” กัน 

‘นายปรีดี พนมยงค์’ ได้เคยอธิบายเรื่องความภราดรภาพเอาไว้ว่า “มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น จึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม ซึ่งหากปราศจากความยินยอมพร้อมใจของคนในสังคมในเรื่องดังกล่าวแล้ว ย่อมไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะทรรศนะของคนในสังคมจะรู้สึกว่าการต้องร่วมช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งเลวร้าย ยิ่งในบางกรณีแล้วจำเป็นต้องอาศัยอำนาจรัฐเพื่อทำให้มีรัฐสวัสดิการแล้ว อาทิ การจัดเก็บภาษีจะกลายเป็นทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ต่างจากการเวนคืนทรัพย์สิน กรณีเช่นนี้จึงต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมเสียก่อน

สำหรับเครื่องมือดำเนินการเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการนั้น บรรดาเครื่องมือทั้งหลายนั้นดำเนินการไปเพื่อให้เกิดสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 

ประการแรก กระบวนการทำให้ไม่เป็นสินค้า (Decommodification) กล่าวคือ การทำให้บุคคลดำรงอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงตลาดแรงงานแต่เพียงช่องทางเดียวในการเลี้ยงชีพของบุคคลหนึ่ง ซึ่งหากบุคคลต้องพึ่งพิงตลาดแรงงานแต่เพียงช่องทางเดียว ตลาดแรงงานอาจจะบีบให้บุคคลต้องรับทำงานทุกประเภทโดยไม่คำนึงว่ามันจะมีค่าตอบแทนต่ำเพียงใด  ดังนั้น รัฐควรเข้ามาส่งเสริมคุณภาพชีวิตของบุคคลให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างรอบด้าน อันจะส่งผลให้บุคคลสามารถมีชีวิตในระดับที่ดีพอสมควรโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน และ

ประการที่สอง การลดระดับการแบ่งช่วงชั้นทางสังคม (Destratification) กล่าวคือ การที่สังคมถูกแบ่งเป็นลำดับชั้นอย่างไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งในประเด็นนี้รัฐสวัสดิการจะเข้ามาช่วยลดระดับการแบ่งช่วงชั้นทางสังคม โดยการเสริมสร้างให้คนขยับระดับทางสังคมให้มีพื้นฐานที่เท่ากัน 

การจะตอบสนองเป้าหมายทั้งสองประการข้างต้นได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยเครื่องมือ 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ 

  1. การประกันการว่างงาน คือ รูปแบบดั้งเดิมที่สุดของสิทธิประโยชน์ทดแทนรายได้ การว่างงานเป็นมากกว่าแค่การสูญเสียรายได้จากการทำงานหรือการสูญเสียเชิงวัตถุ แต่บ่อยครั้งที่การวางนั้นมาพร้อมรู้สึกกังขาในศักยภาพของตนเอง หรือ ความวิกตกกังวลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับชีวิต การประกันการว่างงานจึงเป็นรูปแบบหนึ่งที่จะให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม และปลอบประโลมจิตใจ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการจ่ายเงินประกันการว่างงานแล้วระดับหนึ่ง นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของรัฐสวัสดิการที่จะสามารถต่อยอดต่อไปได้  อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการปรับปรุงเรื่องประกันการว่างงานนั้นอาจจะปรับให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากประกันการว่างงานในปัจจุบันนั้นตอบสนองเพียงเฉพาะตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของแรงงานเท่านั้น  ทว่า ในความเป็นจริงบุคคลหนึ่งคนนั้นมิได้หาเลี้ยงชีพเพียงแค่ตนเท่านั้น อาจจะต้องหาเลี้ยงบิดา มารดา และบุตร การให้เงินประกันการว่างงานจึงอาจคำนึงถึงภาระที่บุคคลนั้นมีอยู่ พร้อมๆ กับเสนอแนะงานที่เหมาะสมกับความต้องการของบุคคลนั้น
  2. เงินบำนาญ คือ การประกันเงินบำนาญนั้นมีความสำคัญในฐานะการช่วยเหลือขั้นพื้นฐานเมื่อบุคคลนั้นเกษียณจากวัยที่สามารถจะทำงานได้แล้ว ซึ่งแม้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาบริการสาธารณสุขและการดูแลมากขึ้น แต่การได้รับเงินบำนาญก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตได้
  3. นโยบายประกันสุขภาพ เป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้แทนที่รัฐจะจ่ายเป็นเงินสดให้กับบุคคลผู้รับสวัสดิการ โดยเปลี่ยนมาเป็นการอำนวยความสะดวกด้านการบริการและสิทธิประโยชน์ในรูปแบบของวัตถุสิ่งของหรือบริการแทน ซึ่งอาจมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าระบบประกันสุขภาพนั้นอาจไม่มีประสิทธิภาพ  ทว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมทางโอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพนั้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นนโยบายที่มีความจำเป็น
  4. การศึกษาและการฝึกวิชาชีพ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีความสำคัญโดยภาครัฐเข้ามาช่วยในการส่งเสริมด้านองค์ความรู้ให้กับบุคคลเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและต่อยอดการพัฒนาศักยภาพของบุคคล

นอกจากเครื่องมือทั้ง 4 ประการข้างต้นแล้ว ในปัจจุบัน รัฐประชาธิปไตยที่เป็นรัฐสวัสดิการที่มีความก้าวหน้านั้นได้ริเริ่มที่จะให้มีรายได้พื้นฐาน (Basic Income) ในลักษณะเป็นการประกันรายได้ขั้นต่ำที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิตให้บุคคล โดยไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่รายได้จากการทำงาน

งบประมาณและภาระทางการคลัง

โจทย์สำคัญที่สุดของเรื่องรัฐสวัสดิการ คือ งบประมาณที่จะนำมาใช้จะมาจากแหล่งใด สิ่งสำคัญที่สุดงบประมาณที่จะนำมาใช้สร้างรัฐสวัสดิการนั้นไม่ควรก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เพราะจะเป็นการสร้างภาระทางการคลังให้กับประเทศ แต่เป้าหมายของรัฐในการดูแลประชาชนก็เป็นสิ่งจำเป็นและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

วิธีการหนึ่งที่ดำเนินการได้แน่นอน คือ การตัดลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง เช่น การปรับลดงบประมาณด้านความมั่นคงหรือด้านการทหารลง เป็นต้น แต่ในอีกแง่หนึ่งสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การปรับโครงสร้างทางภาษีเหมาะสม โดยการใช้ภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้าอย่างจริงจัง แม้ว่าจะสร้างผลกระทบให้กับบุคคลที่มีรายได้มาก เพราะต้องเสียภาษีมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ทุกๆ คนนั้นจะได้รับสวัสดิการตอบแทนกลับมา  

นอกจากนี้ รัฐอาจจะใช้ภาษีเฉพาะมากขึ้น เช่น ภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือทางภาษีนี้นอกจากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อเอามาใช้จัดสวัสดิการแล้ว ยังเป็นการลดความมั่งคั่งของบุคคลบางกลุ่มเพื่อกระจายความมั่งคั่งไปสู่สังคมทั้งหมด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ปรีดีได้เคยดำริไว้เช่นกันในเค้าโครงการเศรษฐกิจ
กล่าวโดยสรุปแล้ว รัฐประชาธิปไตย ที่ตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริงนั้นควรจะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการสร้างความเสมอภาค และ ส่งเสริมการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้สังคมอาจจะต้องฟันฝ่ามายาคติต่างๆ และหยิบเอาประเด็นรัฐสวัสดิการขึ้นมาเป็นวิวาทะสาธารณะอย่างจริงจัง เพื่อให้รัฐสวัสดิการกลายมาเป็นโจทย์สำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคคล

อ่านความคิดปรีดี: ทรรศนะต่อการมีหลักประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ความคิดริเริ่มที่จะบรรเทาความไม่แน่นอนของชีวิตนั้น ได้ปรากฏอยู่ในงานเขียนชิ้นสำคัญที่สะท้อนแนวคิดทางเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ คือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ในส่วนของหลักประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร 

ที่มาแห่งการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

การจะทำความเข้าใจถึงแนวคิดการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้นจำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาบริบทของสยามในเวลานั้น อาชีพของชาวสยามส่วนใหญ่ในเวลานั้นคือ การทำเกษรตรกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นชาวนา และอีกอาชีพหนึ่งที่ชาวสยามนิยมเป็นคือการรับราชการ ซึ่งอาชีพทั้งสองนั้นได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสยามในเวลานั้น

สยามในช่วงปี พ.ศ. 2472 – 2475 นั้น ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งการที่สยามได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398 ทำให้เศรษฐกิจของสยามเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพามาเป็นเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก 

ระบบเศรษฐกิจของสยามในขณะนั้น จึงผูกติดอยู่กับระบบเศรษฐกิจของโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสยามในเวลานั้น

เมื่อเศรษฐกิจของยุโรปตกต่ำลง เพราะผลของสงคราม ก็ส่งผลให้ข้าว ไม้สัก ดีบุก และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของสยามราคาตกต่ำลง และขายในตลาดต่างประเทศไม่ได้ราคา จึงทำให้สยามมีรายได้ลดลง สถานการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุให้รัฐบาลสยามในปี พ.ศ. 2473 ตัดสินใจตัดทอนรายจ่ายเพื่อให้งบประมาณไม่ขาดดุลด้วยการลดค่าตอบแทนข้าราชการและลดงบประมาณทางทหารลง

สำหรับอาชีพเกษตรกรรมนั้น ชาวนาสยามอาจจะถือได้ว่าเป็นอาชีพที่ทำงานหนักที่สุด แต่ได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด จากการสำรวจของคาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carl C. Zimmerman) ได้พบว่า แม้ชาวสยามส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นเกษตรกรทำนา แต่โดยส่วนก็ไม่มีที่นาเป็นของตนเองและอาศัยวิธีการเช่านาจากเจ้าของที่ดิน โดยคิดสัดส่วนการเช่าที่ดินได้ราวๆ เกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ทำเกษตรกรรมของประเทศในเวลานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาในพื้นที่จังหวัดธัญบุรี (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี) 

ชาวนาส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าที่ดินเกือบร้อยละ 85 ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่นั้นเจ้าของที่ดินนั้นเป็นบริษัทที่เข้ามาพัฒนาขุดคลองและพัฒนาที่ดินเพื่อทำการเกษตรในขณะนั้น ประกอบกับการทำการเกษตรในเวลานั้นเน้นพึ่งพาธรรมชาติเสียมากกว่าการพัฒนาองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีเพื่อทำการเกษตร การเพาะปลูกจึงเป็นไปแบบเดิม กล่าวคือ ชาวนาต้องใช้เงินลงทุนมากๆ และได้ดอกผลเพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานที่ได้ลงไป และในส่วนของเงินทุนที่ได้ลงไปนั้นมักจะมาจากการกู้ยืมเงิน ซึ่งภายหลังจากการทำนาเสร็จแต่ละครั้งชาวนาต้องชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าเช่านา ภาษีโคกระบือ อากรค่านา และเงินรัชชูปการ เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดทอนรายได้ของชาวนาไทย

สถาวการณ์ดังกล่าวนั้น ในทรรศนะของปรีดีถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ ปรีดีได้อธิบายเรื่องความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจนี้เอาไว้ในงานเขียนหลายชิ้น เช่น เค้าโครงการเศรษฐกิจ และ ความเป็นอนิจจังของสังคม เป็นต้น 

ซึ่งความไม่เที่ยงแท้ทางเศรษฐกิจนั้น แท้จริงแล้วก็คือ สภาพความไม่แน่นอนตามธรรมชาติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของฐานะทางเศรษฐกิจ และในแง่ของสังขาร ซี่งทั้งสองส่วนสัมพันธ์กันอยู่ เพราะการทำมาหาได้ของคนๆ หนึ่งนั้น ก็ขึ้นอยู่กำลังทางกายของบุคคลนั้น เมื่อสังขารของบุคคลร่วงโรยลงเพราะด้วยอายุหรือด้วยความพิการ ในส่วนของความสามารถในการทำงานของเขาก็จะลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน 

ทรัพย์สินเองก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเจ็บป่วยทรัพย์สินที่หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายไปและเมื่อเจ็บป่วยทรัพย์สินที่จะหามาได้ก็ลดลง  ฉะนั้น ทรัพย์สินจึงไม่อาจประกันความเที่ยงแท้แน่นอนได้ ความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนยากจนเท่านั้น คนชนชั้นกลาง ตลอดจนถึงผู้มั่งมีก็สามารถประสบกับความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจได้ทั้งสิ้น

หลักการการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร

การแก้ไขปัญหาความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจในทรรศนะของปรีดีคือ จะต้องจัดให้มีการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (Assurance Sociale) โดยให้รัฐเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจ โดยการให้หลักประกันกับราษฎรนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นชีพ และ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือเจ็บป่วย หรือพิการ หรือชราทำงานไม่ได้ก็ดี ราษฎรจะได้มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และสถานที่อยู่อาศัย อันเป็นปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต

หลักการการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้น ปรีดีได้นำเสนอเอาไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ โดยการจะดำเนินการให้มีประกันเช่นว่าได้นั้น รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการเอง เพราะด้วยลักษณะของประกันเช่นนี้ ไม่มีเอกชนคนใดจะทำได้ หรือถ้าเอกชนคนใดจะทำได้ ก็จะต้องดำเนินการโดยมีค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันที่แพงมากเกินกว่าราษฎรทุกคนจะได้รับประกันในลักษณะดังกล่าวได้ 

ดังนั้น ในทรรศนะของปรีดีเมื่อให้รัฐบาลเป็นผู้จัดให้มีประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้น รัฐบาลอาจจัดหาสิ่งอื่นแทนเบี้ยประกันภัยได้ เช่น การจ่ายเบี้ยประกันด้วยแรงงานผ่านการรับราชการ หรือจ่ายภาษีอากรโดยอ้อมเป็นจำนวนคนหนึ่งวันละเล็กน้อยในระดับที่ราษฎรไม่รู้สึกถึงภาระค่าเบี้ยประกันที่จ่าย เป็นต้น

ในส่วนของการดำเนินการเพื่อให้มีประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้นจะดำเนินการด้วยกฎหมายว่าด้วยประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดสิทธิของประชาชนทุกคนมีสถานะเสมือนเป็น “ข้าราชการ” เพื่อที่จะให้มีสิทธิได้รับเงินเดือนเป็นจำนวนแน่นอนตามช่วงอายุและความสามารถของราษฎรแต่ละคน ซึ่งสิทธิได้รับเงินในส่วนนี้แยกต่างหากจากเงินเดือนที่จะได้รับในตำแหน่งราชการ

ตารางแสดงอัตราช่วงอายุที่จะได้รับเงินจากรัฐบาล ซึ่งจำนวนเงินเท่าใดจะถูกกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาอีกทีหนึ่ง

ลำดับช่วงอายุจำนวนเงิน/เดือน
1.บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีเดือนละ…………………………บาท
2.บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 1 – 5 ปีเดือนละ…………………………บาท
3.บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 6 – 10 ปีเดือนละ…………………………บาท
4.บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 11 – 15 ปีเดือนละ…………………………บาท
5.บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16 – 18 ปีเดือนละ…………………………บาท
6.บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 19 – 55 ปีเดือนละ…………………………บาท
7.บุคคลที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปเดือนละ…………………………บาท

ที่มา: เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร.

แนวคิดของการจ่ายเงินให้กับราษฎรทุกคนนั้น จะช่วยแก้ไขสถานะทางเศรษฐกิจของราษฎรจากสถานะทางเศรษฐกิจที่เคยอยู่บนปัญหาความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ โดยให้ราษฎรได้รับเงินเพียงพอแก่การดำรงชีพ แม้ว่าแนวคิดเรื่องการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนั้น จะไม่ได้มีลักษณะเช่นเดียวกับสวัสดิการสังคมของรัฐสมัยใหม่เสียทีเดียว แต่เจตนารมณ์ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มีความมั่นคงนั้นเป็นปณิธานที่หาญมุ่งและควรได้รับการสืบสานต่อไป

อ่านความคิด ‘ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี’ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านความมั่นคงของมนุษย์สู่การสร้างรัฐสวัสดิการในประเทศไทย

บทความฉบับนี้เขียนขึ้น โดยมีเนื้อหาจากงานวิจัยที่ชื่อว่าความหมายที่ปลายรุ้งกระบวนการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศรัฐสวัสดิการภายใต้วิกฤตเสรีนิยมใหม่ของษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ความมุ่งหมายจะสรุป ถึงประเด็นสำคัญก็คือความมั่นคงของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับคุณค่าและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของรัฐ อาจมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้นั้นไม่อาจละเลยความมั่นคงของมนุษย์ได้ และหนทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงนั้นก็คือรัฐสวัสดิการ

ความมั่นคงของมนุษย์ที่ไม่มั่นคง

ในงานวิจัยฉบับนี้ ‘ษัษฐรัมย์’ ได้ชี้ให้เห็นข้อวิจารณ์สำคัญของรัฐสวัสดิการประการหนึ่งคือ เรื่องต้นทุนของการดำเนินการเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการไว้ว่า “รัฐสวัสดิการ” มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นทางเลือกของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สามารถคงอยู่ได้จากหลายเงื่อนไขเฉพาะ เช่น ประเภทของเศรษฐกิจ ลักษณะประชากร และวัฒนธรรม เป็นต้น

ในขณะที่แนวทางการพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่เป็นแนวทางที่สากลกว่าและสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสภาพเศรษฐกิจ ลักษณะนโยบายแบบรัฐสวัสดิการจึงเป็นนโยบายที่แพงและเกิดขึ้นได้ในบางประเทศเท่านั้น ขณะที่พื้นที่อื่นๆ สามารถพัฒนาด้วยรูปแบบอื่นที่ถูกกว่าและได้ผลไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่ที่จำกัดบทบาทของรัฐให้เป็นผู้รับผิดชอบน้อยที่สุด และเก็บภาษีน้อยที่สุดเพื่อเพิ่มแรงจูงใจการสะสมทุนของกลุ่มทุนต่างๆ โดยพยายามให้สวัสดิการเป็นสิ่งที่รับผิดชอบโดยปัจเจกบุคคลให้มากที่สุด ผ่านการบริหารจัดการของตนเองผ่านค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการออมเงินในกองทุนต่างๆ เพื่อใช้ในการเกษียณอายุ การซื้อประกันสุขภาพ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าในที่อยู่อาศัยของปัจเจกชนเอง 

ดังนั้น รัฐจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนในความมั่นคงของมนุษย์เพียงแค่เปิดตลาดเสรี เกิดการแข่งขัน จ้างงาน และปัจเจกชนมีรายได้ก็สามารถรับผิดชอบตนเองได้นั้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศเศรษฐกิจใหม่นั้นทำให้เกิด “กลุ่มแรงงานเสี่ยง” ที่ไร้อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและการเมือง ไร้หลักประกันทางสังคม โดยที่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจถูกผูกขาดไว้โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่

ประเทศการเติบโตทางเศรษฐกิจความสามารถในการบริโภค (อันดับ)ดัชนีการพัฒนามนุษย์(อันดับ)
จีน6.5884.2290
อินเดีย7.6703.51131
บราซิล– 3.2704.8479
รัสเซีย– 0.7604.1649

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรากฏในประเทศเศรษฐกิจใหม่แม้จะมีสัดส่วนที่สูง แต่เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ แล้วกลับไม่ได้พัฒนาขึ้นแต่อย่างใด ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น แม้จะมีรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มมากขึ้น

บริบทของสังคมไทยปัจจุบันนั้น มีลักษณะคล้ายกับความมั่นคงของมนุษย์ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องความรับผิดชอบของปัจเจกชนเองมากกว่าการดูแลแบบรวมหมู่โดยรัฐ ซึ่งทำให้บทบาทของรัฐน้อยลง โดยผลักให้เป็นเรื่องของกลไกตลาดเข้ามาจัดการ ผลจากการที่ภาครัฐปล่อยให้การจัดสรรเป็นไปตามกลไกตลาด ความไม่มั่นคงทั้งหมดจึงตกอยู่กับปัจเจกบุคคลที่จะต้องจัดสรรรายได้จากการจ้างมาใช้เพื่อสะสมทุน และสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต และเมื่อความผันผวนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นปัจเจกบุคคลก็ต้องรับความเสี่ยงไปด้วยตนเองเช่นกัน สภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านการเกิดขึ้นของวิกฤตการณ์ที่ค่าเงินเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะเงินเฟ้อ

รัฐสวัสดิการคือหนทางของความมั่นคงของมนุษย์

ในงานวิจัยฉบับนี้ ‘ษัษฐรัมย์’ ได้ชี้ให้เห็นว่า หนทางของการสร้างความมั่นคงของมนุษย์ ก็คือการพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการขึ้นมา ดังจะเห็นได้จากประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงของรัฐ และความมั่นคงของมนุษย์สามารถเติบโตไปด้วยในทิศทางเดียวกัน

ประเทศการเติบโตทางเศรษฐกิจดัชนี GINIความสามารถในการบริโภคดัชนีการพัฒนามนุษย์ (อันดับ)
สวีเดน3.5502.73914
นอร์เวย์0.8572.59241
ฟินแลนด์0.9032.711623
เดนมาร์ก1.0132.91195

การเติบโตทางเศรษฐกิจกับแนวทางรัฐสวัสดิการสามารถไปด้วยกันได้ และแนวทางรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการวางเงื่อนไขความมั่นคงของมนุษย์ไปพร้อมกันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่แนวทางตลาดเสรีนิยมใหม่ มักวางเงื่อนไขให้ปัจเจกชนและความมั่นคงของมนุษย์และการเติบโต โอกาสทางเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งตามจริงแล้วหากใช้แนวทางแบบรัฐสวัสดิการสามารถผลักดันให้เงื่อนไขหลายอย่างเกิดขึ้นได้พร้อมกัน โดยมีรัฐเข้ามาช่วยในการสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงของมนุษย์

อุปสรรคของการไม่เกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการไทย

การเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรนั้น ช่วยสร้างความมั่นคงของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้  ทว่า ภายใต้บริบทของสังคมไทยนั้นอุปสรรคสำคัญของการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรมีปัจจัย 3 ประการด้วยกันดังนี้

ประการแรก กระบวนการทำให้ยอมจำนนในวัฒนธรรมทางการเมืองและการไร้อำนาจต่อรอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความตระหนักถึงสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ที่เสมอกันในสังคมอันเป็นคุณค่าพื้นฐานของการเกิดรัฐสวัสดิการ การตระหนักถึงสิทธิแห่งความเสมอภาคนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 

ทว่า ในบริบทของสังคมไทยนั้นกระบวนการดังกล่าวถูกทำลายโดยชนชั้นนำของไทยในเวลาต่อมา แม้ว่าระบอบการปกครองจะมีลักษณะเสมือนประชาธิปไตย กล่าวคือ มีการเลือกตั้งและมีตัวแทน แต่ประชาชนถูกทำให้ไม่ตระหนักถึงอำนาจของตนหรือสิทธิในการต่อรอง ซึ่งถูกปลูกฝังผ่านข้าราชการในระดับท้องถิ่น ระบบการศึกษา และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบรวมศูนย์ สถานะของประชาชนจึงเป็นเพียงแต่ “วัตถุ” ที่ถูกควบคุมภายใต้ผู้มีอำนาจ การสร้างรัฐสวัสดิการจึงมีลักษณะแบบบนลงล่างขึ้นกับผู้มีอำนาจจะดำเนินการให้ จึงเกิดระบบสวัสดิการแบบสังคมสงเคราะห์ การพิสูจน์ความจน หรือสวัสดิการแก่กลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าราชการ เป็นต้น

ประการที่สอง การไม่ตระหนักถึงราคาของความไม่เท่าเทียม อันเป็นผลมาจากการครอบงำโดยชนชั้นนำที่นิยมกลไกตลาดแบบสุดโต่ง เพื่อประโยชน์ในการผูกขาดทรัพยากรแล้ว การไม่ตระหนักถึงราคาของความไม่เท่าเทียมยังปรากฏในรูปแบบของการไม่เติบโตทางเศรษฐกิจ

เนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าราคาของการจัดการความไม่เท่าเทียมมีราคาที่สูง เช่น การปราบปรามความขัดแย้งจากความเหลื่อมล้ำ การสูญเสียทรัพยากรมนุษย์จากการถูกวางเงื่อนไขให้ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ชนชั้นนำตระหนักว่าการผูกขาดการใช้อำนาจสร้างความเหลื่อมล้ำเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการรักษาสถานะ การที่ชนชั้นนำไทยไม่ตระหนักถึงราคาของความเหลื่อมล้ำทำให้หนทางในการรักษาสถานะของพวกเขาวนเวียนอยู่กับวิธีการแบบเดิม คือ การผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ

ประการที่สาม การขาดจิตสำนึกรวมหมู่ในชีวิตประจำวัน เนื่องมาจากเงื่อนไขข้างต้นทั้งสองประการ ทำให้สภาพการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยโดยทั่วไป คือ การพยายามเอาตัวรอดจากความเปราะบาง การพยายามก่อกำแพงให้ตนเองปลอดภัย ทั้งในระดับประชาชนทั่วไปและชนชั้นนำ ต้นทุนในการต่อสู้เรียกร้องมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากการถูกปราบปรามโดยอำนาจรัฐที่ผูกขาดโดยชนชั้นนำ และต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของอำนาจรัฐและทุน

กระแสเสรีนิยมใหม่ทำให้ต้นทุนในการใช้ชีวิตสูงขึ้น การแสวงหากำไรในธุรกิจที่ไม่เคยเป็นสินค้าอย่างเข้มข้น เช่น การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการพักผ่อน เป็นต้น ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นสินค้าที่มีราคา เงื่อนไขข้างต้นนี้ทำให้ปัจเจกบุคคลอยู่ในสภาพปลอดการเมืองโดยปริยาย การรวมกลุ่มในลักษณะต่างๆ จึงมีต้นทุนที่สูงทำได้ยาก ทางออกคือการต่อสู้ในลักษณะของปัจเจกบุคคล ซึ่งโดยรวมขาดพลังและไม่ก่อให้เกิดนโยบายการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง

ข้อเสนอแนะต่อรัฐไทยในการสร้างความมั่นคงของมนุษย์

นโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร ไม่ใช่นโยบายทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง หากวางอยู่บนความเป็นประชาธิปไตยทางการเมืองและปรัชญามนุษย์นิยม การพัฒนานโยบายนี้ในประเทศไทยจึงไม่ใช่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยเครื่องมือเท่านั้น เงื่อนไขสำคัญโดยสรุปในการวางรากฐานให้เกิดนโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรประกอบไปด้วยเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ประการแรก ปรัชญามนุษย์นิยม ซึ่งเกิดจากความยอมรับร่วมกันในสังคมว่า ความวัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากมีการละทิ้งความมั่นคงของมนุษย์ สวัสดิภาพ สวัสดิการของมนุษย์ในสังคมเศรษฐกิจของประเทศย่อมไม่สามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้ หากประชากรส่วนใหญ่ถูกกองไว้กับความยากจน หนี้สิน และ ความสิ้นหวัง

ความมั่นคงทางการเมืองย่อมไม่เกิดขึ้น หากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอย่างไร รวมถึงไม่สามารถเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยข้อจำกัดทางชาติกำเนิดและฐานะทางเศรษฐกิจ และ ที่สำคัญมนุษย์สามารถเอาชนะข้อจำกัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้ด้วยการก้าวสู่สังคมที่โอบอุ้มมนุษย์ร่วมกันโดยไม่จำต้องปล่อยคนทิ้งไว้เบื้องล่าง กลไกตลาดและระบบเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์แก่ทุนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเท่านั้นที่หาใช่สัจจะนิรันดร์ที่มนุษย์ต้องยึดถือเพียงตัวเลือกเดียว

ประการที่สอง การกระจายอำนาจ ความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการกระจายการตัดสินใจเชิงนโยบายสู่ประชาชน หัวใจสำคัญคือการเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นการเพิ่มระดับพรรคการเมืองที่ผูกติดกับการตัดสินใจในระดับมวลชนมากกว่าพรรคการเมืองของชนชั้นนำ

ประการที่สาม การปฏิรูปเงื่อนไขเบื้องต้นทางเศรษฐกิจ แม้ว่ารัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานปรัชญามนุษย์นิยม และการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยในทุกระดับ แต่การจัดลำดับนโยบายทางเศรษฐกิจก็มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอันดับแรก การจะไปให้ถึงรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร จำเป็นจะต้องมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ การปฏิรูปกฎหมายแรงงาน และการเกิดพรรคแรงงานที่เชื่อมรอยต่อการต่อสู้แต่ละสถานประกอบการเข้าหากันและกัน และผลักดันนโยบายสู่วาระสาธารณะ

สรุปจาก “ความหมายที่ปลายรุ้ง: กระบวนการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศรัฐสวสัดิการใต้วิกฤตเสรีนิยมใหม่ Where is the rainbow ends” โดย ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุตรดี