Field Trip with อ.แล

วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินลงพื้นที่กับศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ในย่านเยาวราช-สำเพ็ง-ราชวงศ์ การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุดเริ่มต้นในการเดินครั้งนี้ อ.แล มีความตั้งใจที่อยากจะให้เห็นพื้นที่พร้อมๆ กับย้อนทำความเข้าใจการก่อตัวของพื้นที่สำคัญของการก่อตัวทุนนิยมกรุงเทพ ซึ่งพื้นที่นี้ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อมาในอีกหลายๆ ปีในฐานะย่านการค้าสำคัญ รวมถึงยังเป็นพื้นที่สำคัญในทางการเมืองหลายๆ เรื่อง

จุดเริ่มต้นของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้เริ่มจากซอยแปลงนามที่เชื่อมระหว่างถนน (ตรอกป่าช้าหมาเน่า) ที่เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนเยาวราช ก่อนจะเดินออกจากซอยแปลงนามเลาะไปตามถนนเจริญกรุงจนมาถึงแยกเสือป่าตามเส้นทางนี้จะเห็นสถานที่สำคัญคือ วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกรกมลาวาสแล้วจึงข้ามถนนกลับมาเพื่อเดินเลาะไปตามถนนราชวงศ์แล้วจึงมาหยุดที่หมายแรกของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้คือ วัดโผ เพื๊อก (จั่วโผเพื๊อก) หรือพระราชทานนาม วัดกุศลสมาคร

วัดกุศลสมาครเป็นวัดพุทธมหายานฝ่ายอันนัมนิกายหรือญวนนิกาย ในส่วนนี้ อ.แล ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจว่าเยาวราชเป็นชุมชนคนจีน แต่หากพิจารณาแล้วในพื้นที่เรียกว่า เยาวราชมีวัดจีนใหญ่เพียงแค่ 1 แห่งเท่านั้นคือ วัดเล่งเน่ยยี่เท่านั้น (จริงๆ มีวัดจีนขนาดเล็กอีกวัดคือ วัดย่งฮกยี่) แต่กลับมีวัดญวนถึง 3 แห่ง คือ วัดโผ เพื๊อก วัดตื้อเต๊ (จั่วตื้อเต๊) และวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เยาวราชเดิมไม่ใช่แค่ย่านที่คนจีนอยู่ แต่เป็นย่านที่มีทั้งคนญวณและคนจีนอยู่ด้วยกัน

การเข้ามาอยู่ของคนญวณและคนจีนในพื้นที่เริ่มต้นมาจากการสร้างพระบรมมหาราชวัง ซึ่งฝั่งขวาของพระราชวังเดิมฝั่งธนบุรีเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนคนจีนและญวณ โดยคนญวณอาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า ท่าเตียน ซึ่งก็เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งว่ามาจากชื่อเมืองห่าเตียน (พุทไทมาศ) ซึ่งคนญวณได้อพยพมาอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่พักของพระยาราชาเศรษฐี ญวน (ม่อซื่อหลิน) หรือหมักเทียนตื๊อ ก่อนที่ต่อมาจะมีการโยกย้านคนจีนและคนญวนมาอยู่ในพื้นที่เยาวราช-สำเพ็ง

วัดโผเพื๊อกเป็นหนึ่งในวัดเก่าและเป็นวัดเริ่มต้นของคณะสงฆ์อันนัมนิกายในประเทศไทย โดยวัดอันนัมนิกายแห่งแรงในประเทศไทยตั้งอยู่ตรงพื้นที่ตลาดน้อยมีชื่อว่า วัดคั้นเยิง (จั่วคั้นเยิง) หรือพระราชทานนาม วัดอุภัยราชบำรุง หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อวัดญวนตลาดน้อย

อ.แล ได้เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดอันนัมนิกาย แต่คนที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเป็นวัดพุทธมหายานเหมือนกัน และอีกส่วนหนึ่งก็คือ เจ้าคณะอันนัมนิกายในยุคหลังๆ ไม่ใช่คนญวนที่เดินทางมาจากเวียดนามอีกแล้วแต่เป็นลูกหลานคนญวนหรือคนจีนที่บวชเรียนในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เพราะภายหลังจากสงครามอันนามสยามยุทธในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 ทำให้คนญวนเข้ามาในน้อยลง

แม้ว่าจะเป็นวัดของอันนัมนิกาย แต่ก็เป็นวัดพุทธมหายานลักษณะพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ภายในวัดก็ไม่ได้แตกต่างจากวัดพุทธมหายานอื่นมากเท่าใด จุดที่อาจจะแตกต่างกันบ้างคือ วัดการวางพระพุทธรูปแบบวัดพุทธมหายานส่วนใหญ่ เช่น วัดเล่งเน่ยยี่ที่มีพระพุทธรูปสามองค์เรียงกันคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีพุทธะ และพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แต่วัดโผเฟื๊อกมีพระพุทธรูปประธานเพียงแค่องค์เดียว

ความน่าสนใจของวัดอันนัมนิกายก็คือ วัดมักจะมีชื่อเขียนด้วย 3 ภาษาคือ ภาษาจีนโดยใช้ตัวอักษรจีนฮั่น ภาษาเวียนดนาม (จื๋อโกว๊กหงือ) และภาษาไทย ซึ่งเป็นนามพระราชทานที่แปลมาจากภาษาจีนและภาษาเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากมีการตั้งสมณศักดิ์ให้กับพระจีนนิกายและอันนัมนิกายในสมัยรัชกาลที่ 5 (โดยก่อนหน้านี้ การดูแลพระสงฆ์ทั้งสองนิกายอยู่ภายใต้กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา) แม้ในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีการให้พระทั้งสองนิกายเข้าร่วมพิธีสงฆ์ในราชสำนัก

หลังจากเดินออกจากวัดโผเฟื๊อกแล้วคณะของเราได้เดินต่อไปตามถนนราชวงศ์ โดยสองข้างทางนี้ถูกเรียกว่าเป็นย่านย่อยว่า สำเพ็ง ก่อนเลี้ยวเข้าซอยผลิตผลหรือซอยซุนยัดเซ็น ความสำคัญของซอยนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย 2 เรื่องคือ เรื่องแรกคือ ซอยนี้ถูกจดจำในฐานะเป็นที่ๆ ซุนยัดเซ็นมาระดมทุนตอนมาประเทศไทยเพื่อไปนำไปใช้ในการปฏิวัติซินไฮ่ (แม้ว่า อ.แล จะบอกว่า ภาพตอนซุนยัดเซ็นมาระดมทุนจะเป็นภาพตอนอยู่ริมถนนเยาวราชก็ตาม) และเรื่องที่สองคือ ซอยนี้เป็นที่ตั้งของวัดตื้อเต๊ หรือพระราชทานนาม วัดโลกานุเคราะห์

วัดตื้อเต๊ มีความสำคัญต่อการเมืองไทยพอๆ กับเรื่องเล่าที่ว่า ซุนยัดเซ็นเคยมาระดมทุนที่เยาวราช เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดที่เมื่อโฮจิมินห์เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาก่อตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ และได้มาเจอเจ้าอาวาสวัดตื้อเต๊ก่อนจะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มจัดตั้งที่จังหวัดพิจิตร การเดินทางมาที่วัดนี้ของโฮจิมินห์ป็นการมาพบปะกับสหายผู้รักชาติ และเป็นแกนนำที่ติดต่อสื่อสารกับคนเวียดนามในประเทศไทย

วัดตื้อเต๊ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนถูกนไปใช้เป็นพื้นที่เก็บของร้านค้าด้วย ตอนเดินดูในวัดจึงมีทั้งหลวงจีนและผู้ค้าต่างๆ เดินสวนกันไปมา

หลังจากเดินออกจากวัดตื้อเต๊แล้ว อ.แล ได้นำพวกเราเดินไปตามถนนราชวงศ์ต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำราชวงศ์ ตลอดสองข้างทางถนนราชวงศ์คือ ย่านสำเพ็ง ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านขายสินค้าปลีก-ส่ง แต่ก็ยังคงมีธุรกิจสำคัญๆ ที่เติบโตมาจากย่านนี้ เช่น บริษัท ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ UFM และบริษัท ศรีกรุงวัฒนา จำกัด ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าเหล็ก เป็นต้น

ก่อนจะเกินต่อไปจนถึงท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนคณะเรานั่งพักดื่มชากาแฟแถวนั้น พลางอธิบายเกี่ยวกับความแตกระหว่างคนจีนกับญวนในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่แตกต่างระหว่างคนจีนกับญวนก็คือ วัฒนธรรม คนจีนยังคงรักษาแบบแผนของวัฒนธรรมไว้ ตรงกันข้ามกับคนญวน ซึ่งถูกกลืนและปรับเปลี่ยนไปกับคนไทยทั่วๆ ไป เช่นเดียวกันกับเชื้อชาติอื่นๆ ส่วนคนจีนยังคงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ แต่เป็นการรักษาไว้ในเชิงรูปแบบ แม้ว่าจะใช้ภาษาและคำเรียกในลักษณะเดิม แต่ความคิดและความรู้สึกนั้นแตกต่างออกไปแล้ว

ที่ท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนให้เราจินตนาการนึกภาพอดีตของแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะเป็นท่าเรือการค้า การทำการค้าทางไกลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนตั้งกรุงเทพ แต่ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การนำเข้าแรงงานคนจีนเพื่อมาทำงานเป็นกุลี-จับกังในการแบกหามสินค้าหรือเข็นสินค้าไปตามห้างร้านต่างๆ หรือที่ในบริเวณนั้นเรียกว่า กงซีล่ง (โกดังเก็บสินค้าของบริษัท, ห้าง, ร้าน) ตรงถนนทรงวาด

อ.แล ได้อธิบายลักษณะสำคัญของทุนนิยมคือ การขูดรีดแรงงาน เพื่อเอาส่วนเกินมาสร้างเป็นผลกำไร สิ่งนี้จึงทำให้แรงงานต้องทำงานและพักพิงอยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง แต่สภาพความเป็นอยู่ของแรงงานแถวนั้นไม่ค่อยมีคุณภาพ รวมถึงพื้นที่มีความหนาแน่น ทำให้แรงงานจีนมักจะเสียชีวิตจากโรคติดต่อ แบบวัณโรค

การค้าทางไกลของไทยในอดีตอยู่ภายใต้กรมพระคลัง โดยแบ่งออกเป็นกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา (หันหน้าออกสู่ปากน้ำ) กรมท่าซ้ายจะทำการค้ากับประเทศจีน เวียดนาม และโอกินาวา (ริวกิว) โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ส่วนกรมท่าขวาจะทำการค้ากับหัวเมืองมลายู อินเดีย อิหร่าน และยุโรป อยู่ภายใต้การดูแลของพระจุฬาราชมนตรี ซึ่งเกี่ยวพันกับตระกูลบุนนาค

ตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐีนี้ โดยส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งจะเป็นคนจีน ทำให้ในเวลาต่อมาเมื่อคนจีนเหล่านี้เข้ามารับราชการและได้รับพระราชทานนามสกุลจึงพยายามนำชื่อตำแหน่งไปใช้ในนามสกุล อาทิ โชติกเสถียร โชติกสถิตย์ โชติกวาณิชย์

ตรงข้ามกับท่าน้ำราชวงศ์เยื้องๆ กันจะเห็นล้ง 1919 ซึ่งอยู่ข้างๆ กับบ้านตระกูลหวั่งหลี ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทยในช่วงหนึ่ง ตัวอาคารล้ง 1919 เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่า ฮวย จุ่ง ล้ง ซึ่งเป็นตึกแถวที่ทำขึ้นมาในผังรูปตัว U เพื่อใช้เป็นที่พักของคนงาน

เยื้องๆ ไปทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางสะพานพุทธ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นย่าน (กุฎีจีน) ของชุมชนคนโปรตุเกส โดยมีโบสถ์ซางตาครู้สเป็นศูนย์กลาง แม้ว่าต่อมาคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะกลายเป็นคนจีนส่วนใหญ่ก็ตาม (ส่วนตรงข้ามของโบสถ์ซางตาครู้สก็คือ โบสถ์กาลหว่าร์หรือโบสถ์แม่พระลูกประคำ ซึ่งเป็นพวกโปรตุเกสและญวนอพยพจากอยุธยาที่นับถือคริสตศาสนา และไม่ยอมรับอำนาจมิสซังโปรตุเกสที่มาภายหลัง) นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เล่าเกร็ดการมูเตลูเกี่ยวกับสะพานพุทธกับดวงเมืองให้ฟัง

เมื่อเดินย้อนกลับจากท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปทางถนนทรงวาด ซึ่งมีที่มาจากการที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขีดเส้นวาดถนนลงบนแผนที่เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

ที่หัวมุมของถนนทรงวาดมีตึกเก่าที่เรียกว่า ตึกแขก ซึ่งอาคารเป็นศิลปะแบบชิโนโปรตุกีสหรือสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นลักษณะอาคารที่มีความนิยมทำในช่วงรัชกาลที่ 5 ต่อจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่ 6 โดยอาศัยลักษณะนี้มักจะเป็นงานก่อสร้างของคหบดีที่มั่งคั่งในยุคนั้น

ถนนทรงวาดมีความสำคัญในฐานะพื้นที่ตั้งของกงซีล่ง ซึ่งเป็นลักษณะของโกดังร้านค้าต่างๆ ที่เมื่อมีการนำสินค้าขึ้นมาจากเรือแล้วจะมีการนำมาส่งตามร้านต่างๆ เพื่อขาย ปัจจุบันร้านค้าในลักษณะนี้ยังมีอยู่ แต่สินค้าที่ขายโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าเกษตรกรรม แม้ว่าย่านนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยเป็นย่านท่องเที่ยวที่เริ่มพัฒนาใหม่

นอกจากห้างร้านแล้ว ถนนทรงวาดยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนเผ่ยอิง ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2459 โดยพ่อค้าชาวจีนคนสำคัญ 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ พระอนุวัติราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง (แต้หงี่ฮง) ซึ่งเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งจากกิจการโรงบ่อน (ต่อมายี่กอฮงยังได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการพนันและโชคลาภ โดยมีศาลเจ้าอยู่บนสถานีตำรวจพลับพลาชัย)

โรงเรียนเผยอิงนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า โรงเรียนผลิตเจ้าสัว เนื่องจากศิษย์เก่าหลายคนที่จบจากโรงเรียนนี้เป็นเจ้าสัวคนสำคัญ อาทิ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งธนาคารศรีนคร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ คุณเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และคุณธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น

ในพื้นที่เดียวกันกับโรงเรียนเผยอิงยังมีศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงอีกด้วย อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่เยาวราชนี้มีวัดจีนไม่กี่แห่ง แต่มีศาลเจ้าค่อนข้างเยอะ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนจีนส่วนใหญ่นับถือขงจื๊อมากกว่า นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เสริมว่า คนจีนนั้นนับถือปูนเถ้ากงมากก็จริง แต่ยังน้อยกว่าซำปอกงหรือเจิ้งเหอ เพราะในแง่หนึ่งคนจีนโพ้นทะเลมองว่าเจิ้งเหอมีความเก่งกาดสามารถนำขบวนยุทธนาวีขนาดใหญ่เดินทางข้ามผ่านหลายทวีปได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีศาลเจ้าบูชาซำปอกองหลายที่ แต่ที่สำคัญก็คือที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยมีการเข้ามาประเมินและให้มาตรฐานกับศาลเจ้าว่าเป็นศาลเจ้ามาตรฐาน หน้าที่นี้เป็นไปตามกฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานศาลเจ้า ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยดูแล

ข้างๆ โรงเรียนเผยอิงเป็นที่ตั้งของตรอกโรงโคม ซึ่งคำว่า โรงโคมนี้มีที่มาจากโคมเขียวหรือก็คือซ่องโสเภณี สิ่งนี้สะท้อนว่าย่านเยาวราช-สำเพ็งเป็นย่านกิจกรรมด้านความบันเทิง เพราะเป็นแหล่งรวมทั้งบ่อนการพนันและที่ค้าประเวณี

ถัดจากโรงเรียนเผยอิงมาจะพบกับมัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ขุนนางมุสลิมเชื้อสายมลายู ความน่าสนใจของมัสยิดดังกล่าวคือ เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่กลางชุมชนคนจีนและญวน อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า หลวงโกชาอิศหากนี้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาในกรมท่าขวา โดยทำหน้าที่แปลภาษาโปรตุเกสเป็นภาษามลายูแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งสะท้อนภาพของภาษาต่างประเทศที่ใช้ทำการค้ากับตะวันตกก่อนการเข้ามามีบทบาทของภาษาอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

ด้านหน้าของมัสยิดฝั่งที่ติดกับถนนทรงวาดนั้นเป็นตึกแถวเรียงติดกัน อ.แล เล่าให้ฟังว่าเดิมทางเข้านั้นเข้าจากอีกฝั่งหนึ่ง จนต่อมามีการตัดถนนทรงวาดจึงมีการทะลุตึกแถวเดิมออกหนึ่งห้องเพื่อทำทางเข้ามัสยิด ส่วนทางเข้าเดิมในปัจจุบันเป็นกุโบร์หรือสุสาน

เดินต่อเนื่องมาตามถนนทรงวาดเรื่อยๆ จะเจอกับตรอกสะพานญวน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ในย่านนี้เป็นย่านที่เคยมีคนญวนอาศัยอยู่เยอะเช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันเมื่อมองไปแล้วจะไม่เห็นสะพานแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งจุดสำคัญของถนนทรงวาดคือ ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของบริษัท เจียไต๋ จํากัด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเวลาต่อมา เดิมกิจกรรมของบริษัท เจียไต๋ จำกัด ก็เหมือนกับกงซีล่งอื่นๆ แถวนี้คือ เป็นร้านค้าขายสินค้าการเกษตรก่อนจะขยายตัวออกไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและการเกษตรอื่นๆ ในเวลาต่อมา

นอกจากบริษัท เจียไต๋ จำกัดแล้วแถวนั้นยังเป็นที่ตั้งของวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าสำคัญในย่านนี้ และแถวๆ นี้ยังมีที่ตั้งของโรงพิมพ์วัดเกาะ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ราษฎรแรกๆ ที่ผลิตหนังสือวรรณกรรมภาษาไทยฉบับราษฎร

เมื่อเดินออกมาจากถนนทรงวาดก็จะย้อนกลับมาจนถึงถนนเยาวราช ซึ่งหัวมุมของถนนจะเห็นสถานที่เคยเป็นโรงหนังเฉลิมบุรี ซึ่งเคยเป็นโรงหนังที่สร้างขึ้นไล่เลี่ยกับโรงหนังเฉลิมกรุง (ปัจจุบันโรงหนังเฉลิมกรุงยังอยู่) เยาวราชเริ่มเป็นย่านที่มีร้านอาหารแบบที่พอจะเห็นเค้าในปัจจุบันก็เมื่อกรุงเทพมีชีวิตกลางคืนเกิดขึ้น

การมาถึงของไฟฟ้าและความบันเทิงยามกลางคืนได้ทำให้เยาวราชกลายเป็นย่านสำคัญของชีวิตกลางคืน ร้านอาหารต่างๆ อาทิ สีฟ้าภัตราคาร และหยาดฟ้าภัตราคาร (ห้อยเทียนเหลา) ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ อ.แล เล่าว่ายังเด็กร้านอาหารพวกนี้เริ่มมีมากขึ้นและส่วนใหญ่คนที่มาทานอาหารจะเป็นพวกผู้ดี ข้าราชการ และนายทหารและตำรวจ ที่มากินกัน และส่วนใหญ่อาหารที่เสิร์ฟก็จะเป็นจานเล็กๆ เพราะเขาอยากให้กินหลากหลาย

การเดินลงพื้นที่ของเรามาจบลงที่ถนนแปลงนาม ตรงวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) หรือพระราชทานนาม วัดมงคลสมาคม หรือเรียกกันว่า วัดญวนซอยแปลงนาม ซึ่งเป็นวัดญวนเก่าแก่ และอาจจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะเดิมวัดนี้เคยตั้งอยู่ตรงถนนพาหุรัด ซึ่งเมื่อมีพระประสงค์จะสร้างถนนเป็นเส้นทางคมนาคมสมัยใหม่จึงทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดขึ้นใหม่ วัดโห่ยคั้นเป็นวัดขนาดเล็กค่อนข้างเงียบๆ ปัจจุบันวัดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่จอดรถและที่ขายขนมจีบลูกละบาทของแป๊ะเซี๊ยะ