ถอดบทเรียนการเลือก สว. ระบบเลือกคนดีที่ไม่ยึดโยงและไม่สะท้อนความหลากหลาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยเพิ่งมีสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว. ชุดใหม่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่ สว. ชุดเดิมที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) โดย สว. ชุดนี้นับเป็นชุดที่ 13 นับตั้งแต่ประเทศไทยมี สว. มาตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2489

ความแตกต่างระหว่าง สว. ชุดปัจจุบันกับ สว. ชุดก่อน (ชุดที่ 12) ก็คือ วิธีการได้มาของ สว. ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดย สว. ชุดก่อนมีที่มาจากการเลือกของ คสช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสืบทอดอำนาจของ คสช. โดยการตั้งสมาชิกและคนในกลุ่มเครือข่ายให้มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาทิ อดีตสมาชิกในคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ปรึกษา และตลอดจนถึงผู้นำเหล่าทัพ ซึ่ง สว. ชุดก่อนมาพร้อมด้วยอำนาจทางการเมืองที่พิเศษเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ได้ อาทิ การมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วน สว. ชุดปัจจุบัน แม้จะมีที่มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เหมือนกัน แต่ สว. ชุดนี้เป็นชุดแรกที่มาจากกระบวนการตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดให้ สว. ชุดนี้มีจำนวน 200 คน มาจากการเลือกกันเองของประชาชน 20 กลุ่มอาชีพ (ประเภท) ผ่านการเลือก (selection) ไม่ใช่เลือกตั้ง (election) โดยให้ผู้สมัครทั้ง 20 กลุ่มอาชีพเลือกกันเองใน 3 ระดับคือ อำเภอ จังหวัด และประเทศ ซึ่งเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและแปลกประหลาด โดยความซับซ้อนและแปลกประหลาดนี้เป็นผลมาจากเจตนารมณ์อันดีของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ

ระบบเลือกคนดี เพื่อหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมือง

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดที่มาของ สว. ไว้ว่า “วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทำให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้”  ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ไม่ได้กำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการเลือกกันเองของประชาชน

เมื่อย้อนกลับไปอ่านเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้คือ การเลือกกันเองในหมู่ประชาชนที่มีความประสงค์จะเข้ามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เกิดอย่างแท้จริง และได้ผู้สมัครที่มีประสบการณ์หลากหลายจากทุกภาคส่วน รวมถึงหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการที่ผู้สมัครถูกกีดกันหรือถูกคัดกรองโดยองค์กรหรือพรรคการเมืองใด

กระบวนการเลือก สว. ตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฯ ฉบับผ่านๆ มา ซึ่งใช้วิธีการเลือกตั้ง การสรรหา และการผสมผสานกันระหว่างการเลือกตั้งและสรรหา ซึ่งในสายตาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มองว่าเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตหรือร่วมมือกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการเมือง ในลักษณะเดียวกันกับที่เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้ง สว. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และ 2550 ว่า สว. ที่ได้มาเป็นสภาผัวเมีย

ระบบการได้มาซึ่ง สว. นี้จึงเป็นระบบใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้มาก่อนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย สิ่งนี้จึงอาจถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจและเป็นความกล้าหาญชาญชัยของผู้เสนอระบบการได้มาซึ่ง สว. ในครั้งนี้ โดยคาดหมายว่าจะได้คนดีที่มีความสามารถและลดการแทรกแซงทางการเมือง โดย สว. แต่ละคนจะเป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่หลากหลายจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน  ระบบนี้จึงเหมือนสร้างขึ้นบทเจตนาที่ดี และต้องการให้ประชาชนได้ผู้แทนที่เป็นคนดีมีคุณภาพ  ทว่า ระบบการเลือก สว. นี้สัมฤทธิ์ผลสมดังเจตนารมณ์จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

การสร้างผู้แทนที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน และประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ จะต้องการให้ประชาชนเข้าไปเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ในความเป็นจริงประชาชนทั่วๆ ไปแทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการเลือก สว. จริงๆ เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วไป คนที่จะมีสิทธิลงคะแนนเสียงจึงมีเฉพาะกลุ่มผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิลงคะแนนเลือกบุคคลเป็น สว.

จากสภาพดังกล่าว ทำให้ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการดังกล่าวอย่างแท้จริง และไม่ได้มีความยึดโยงกับประชาชน เพราะประชาชนที่ควรจะเป็นนั้นไม่ใช่แค่ผู้สมัครเป็น สว. ที่ลงสมัครเลือกกันเอง แต่ประชาชนชาวไทยทุกคนควรจะมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือก สว. เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป

นอกจาการเรื่องการลงคะแนนเสียงแล้ว ในช่วงแรกของการเลือก สว. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดหลักเกณฑ์ถึงขนาดว่า ผู้สมัคร สว. ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลการแนะนำตัวผู้สมัครต่อประชาชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทำให้ผู้สมัคร สว. คนอื่นๆ สามารถที่จะทำความรู้จักผู้สมัครล่วงหน้าได้  แม้ว่าในท้ายที่สุดศาลปกครองกลางจะได้มีคำวินิจฉัยเพื่อเพิกถอนหลักเกณฑ์ดังกล่าว  แต่สิ่งนี้ก็สะท้อนว่าการไม่ได้ให้ความสำคัญการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในด้านของประชาชน แม้เจตนารมณ์จะกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แต่การมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบการเลือก สว. ทำได้เพียงการเป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น  ซึ่งเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ อาทิ iLaw และภาคีเครือข่าย ก็ได้เข้าไปติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

กระบวนการเลือกซับซ้อนทำให้เกิดความงุนงง

นอกจากความไม่ยึดโยงกับประชาชนในข้างต้นแล้ว ระบบเลือก สว. ยังมีความซับซ้อน กล่าวคือ การเลือก สว. ครั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้แบ่งกลุ่มอาชีพ (ประเภท) ของ สว. ออกเป็น 20 กลุ่ม ตามประเภทความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม

  • กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง
  • กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
  • กลุ่มการศึกษา
  • กลุ่มสาธารณสุข
  • กลุ่มทำนา ทำไร่
  • กลุ่มทำสวน ประมง เลี้ยงสัตว์
  • กลุ่มลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน
  • กลุ่มผู้ประกอบกิจการ SMEs
  • กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น
  • กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม
  • กลุ่มสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน
  • กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม
  • กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
  • กลุ่มศิลปะ ดนตรี บันเทิง กีฬา
  • กลุ่มประชาสังคม
  • กลุ่มสื่อสารมวลชน นักเขียน
  • กลุ่มอาชีพอิสระ
  • กลุ่มสตรี
  • กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ ชาติพันธุ์
  • กลุ่มอื่น ๆ

โดยในการรับสมัคร สว. ผู้สมัครจะต้องระบุกลุ่มที่ตัวเองจะสังกัด โดยผู้สมัคร 1 คนเลือกได้เพียง 1 กลุ่มเท่านั้น และผู้มีคุณสมบัติจะต้องไปสมัคร สว. ณ อำเภอหรือเขตที่ตนมีความเกี่ยวโยงกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

  • อำเภอที่เกิด
  • อำเภอที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี (นับถึงวันสมัคร)
  • อำเภอที่ทำงานติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี (นับถึงวันสมัคร)
  • อำเภอที่เคยทำงาน หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่าสองปี
  • อำเภอของสถานศึกษาที่เคยศึกษาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษาตั้งอยู่

แค่เริ่มต้นมาในขั้นตอนนี้ก็มีความงุนงงเล็กน้อยแล้วว่าผู้สมัครจะเลือกอยู่ในกลุ่มใด เพราะคนหนึ่งคนอาจจะมีบทบาทหรือสถานะในหลายด้าน ซึ่งบทบาทหรือสถานะแต่ละด้านอาจจะมีบทบาทมากหรือน้อยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A เกิดที่กรุงเทพฯ รับราชการทหารและเป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าจังหวัดนครนายก โดยสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงมีงานอดิเรกเป็นคนสะสมผ้าไทยส่งประกวด และมีธุรกิจส่วนตัวเป็นเจ้าของโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี ในกรณีแบบนี้จะเห็นได้ว่า นางสาว A สามารถที่จะเข้ารับสมัครในกลุ่มอาชีพได้มากกว่า 1 กลุ่ม อาทิ นางสาว A อาจจะสมัครในกลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน การศึกษา สตรี วัฒนธรรม การท่องเที่ยว SMEs ฯลฯ แล้วแต่จะนางสาว A คิดได้ว่าตนมีบทบาทหรือสถานะใดบ้างที่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้รับการเลือก

ไม่เพียงแค่ในเชิงบทบาทและสถานะที่ทำให้นางสาว A มีตัวเลือกได้แล้ว ในกรณีนี้นางสาว A ก็อาจจะเลือกที่สมัครได้จากหลาย ๆ สถานที่ ๆ นางสาว A สัมพันธ์ อาทิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านเกิด แม้ตอนหลังนางสาว A จะไม่ได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกเลยก็ได้ หรืออำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ที่นางสาว A สอนหนังสือประจำ หรือจังหวัดชลบุรีที่นางสาว A มีโรงแรมอยู่

ปัญหาสำคัญของการเลือกกลุ่มอาชีพอย่างอิสระหรือการเลือกพื้นที่อย่างอิสระในลักษณะนี้ก็คือ นางสาว A อาจจะมีความสัมพันธ์กับบทบาท สถานะ หรือสถานที่นั้นมากหรือน้อยก็ได้ ซึ่งสุดท้ายสิ่งนี้อาจจะทำให้นางสาว A ไม่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนของกลุ่มในระบบการเลือก สว. ทำให้การสมัคร สว. กลายเป็นการเกมกลยุทธ์ (strategic game) กล่าวคือ ผู้สมัคร สว. แต่ละคนจะต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสียของกลุ่มและพื้นที่ๆ ตนจะสมัคร รวมถึงต้องพิจารณาว่าพื้นที่ใดที่ตนจะได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ อาทิ พื้นที่ๆ ลง จะได้รับเสียงลงคะแนนสนับสนุนจากผู้สมัคร สว. คนอื่น ๆ ในกลุ่ม หรือกลุ่มอื่นๆ เมื่อต้องโหวตข้าม ซึ่งประเด็นนี้จะได้มีการอธิบายต่อไป ผลก็คือ ระบบการเลือกนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมือง เพราะระบบการเลือกนี้ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการจัดตั้งคนมาลงคะแนนสนับสนุน

นอกจากนี้ ระบบการเลือกแบบนี้ ยังทำให้เกิดสถานการณ์ที่ในบางเขตการเลือกไม่มีผู้สมัครในกลุ่มอาชีพนั้น ๆ เลย เนื่องจากผู้สมัครอาจเลือกเขตที่ตัวเองลงโดยได้เปรียบที่สุด

ไม่เพียงแต่ความงุนงงที่เกิดขึ้นจากระบบสังกัดกลุ่มและพื้นที่สมัคร อีกปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือระบบการเลือก สว. ที่ตามกฎหมายกำหนดให้มีการเลือกใน 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ  ซึ่งตามเจตนารมณ์ของผู้ร่างที่กำหนดให้มีการเลือกใน 3 ระดับก็เพื่อให้ขบวนการเลือกอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยประชาชนในแต่ละอำเภอสามารถเลือกกลุ่มที่ตนเองสังกัด และร่วมเลือกบุคคลที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มได้  โดยในแต่ละระดับนั้นขั้นตอนการเลือกจะต้องทำ 2 ครั้งคือ การเลือกกันเอง ซึ่งเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มผู้สมัคร สว. แต่ละกลุ่ม และการเลือกไขว้ ซึ่งเป็นการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มผู้สมัคร สว. แต่ละกลุ่มที่ต่างกัน โดยการเลือกไขว้เป็นผลมาจากการจับสลากแบ่งสายเลือกไข้วกัน ดังปรากฏตามรูปภาพข้างท้ายนี้

อย่างไรก็ดี ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ การเลือกไขว้ ซึ่งเหตุที่กฎหมายกำหนดให้มีการเลือกไขว้นั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มีเจตนารมณ์เพื่อไม่ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสมยอมกันให้บุคคลใดเป็นการเฉพาะ

ด้วยเจตนาอันดีของผู้ร่างข้างต้นที่ต้องการให้การเลือก สว. ปราศจากการสมยอมกัน (ในเชิงหลักการ)  ทำให้เกิดสถานการณ์ที่แปลกประหลาด กล่าวคือ เมื่อมีการจับสลากไขว้สายในกลุ่มเพื่อลงคะแนนเสียงกัน สายๆ หนึ่งจะประกอบไปด้วยตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ผสมกันไม่เกิน 4 สายและแต่ละสายไม่เกิน 3 – 5 กลุ่ม ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้สมัคร สว. กลุ่มหนึ่งต้องไปลงคะแนนเลือกผู้สมัคร สว. อีกกลุ่มหนึ่ง (ข้ามสาย) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตลก เพราะผู้ลงคะแนนเลือกมาจากคนละสายกัน ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าบุคคลที่ตนเลือกนั้นมีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือความถนัดสามารถในสาขาของกลุ่มที่เขาสังกัดจริงหรือไม่

ข้อมูลเดียวผู้สมัคร สว. นำมาใช้ในการตัดสินใจจึงเป็นเพียงข้อมูลแนะนำตัว (สว.3) ที่กำหนดให้ระบุประวัติความยาวไม่เกิน 5 บรรทัดเท่านั้น รวมถึงจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชาชนที่เข้าไปติดตามสถานการณ์การเลือกตั้ง พบว่าในทางปฏิบัติแต่ละเขตการเลือกก็มีแนวปฏิบัติที่ไม่ตรงกันในการให้ผู้สมัครแนะนำตัว เนื่องจากบางเขตเปิดโอกาสให้ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวได้ ในขณะที่บางเขตก็ไม่อนุญาตให้ผู้สมัครแนะนำตัว เพียงแต่กำหนดให้ผู้สมัคร สว. อ่านเอกสาร สว.3 เพื่อทำความรู้จักผู้สมัครโดยเบื้องต้นเท่านั้น

สภาพดังกล่าวข้างต้นคือ ปัญหาในเชิงระบบการเลือก สว. ที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้ระบบเลือก สว. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

ความไม่หลากหลายของ สว. อย่างที่ควรจะเป็น

นอกจากสภาพปัญหาที่เกิดจากตัวระบบการเลือก สว. แล้ว ผลที่ได้รับจากการเลือก สว. ก็ไม่ได้เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลที่ได้มาดำรงตำแหน่ง แต่เป็นผลในภาพรวมที่เกิดขึ้นจากระบบการเลือก สว.

ในด้านความไม่หลากหลายของ สว. จากการศึกษาผลการเลือก สว. ในระดับประเทศ ซึ่งจะได้บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็น สว. ทั้ง 200 คน พบว่าแม้จะมีการแบ่งกลุ่ม สว. ออกเป็น 20 กลุ่มอาชีพ (ประเภท) เพื่อให้มีความหลากหลายในด้านความรู้และประสบการณ์จากอาชีพ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลเบื้องหลังของ สว. ชุดปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ทั้งภูมิหลังการงาน เพศ อายุ และระดับการศึกษาของ สว. ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความหลากหลายขนาดนั้น

ในเรื่องภูมิหลังการงาน หากนำ สว. ชุดปัจจุบันมาจำแนกเป็นกลุ่มที่เคยประกอบอาชีพโดยไม่สังกัด 20 กลุ่มอาชีพข้างต้น จะสามารถจำแนก สว. ออกได้เป็น 10 สาขาอาชีพ ข้าราชการ ผู้ประกอบวิชาชีพ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง นักวิชาการ เจ้าของกิจการ นักการเมือง เกษตรกร พนักงาน/ลูกจ้าง สื่อมวลชน และอื่นๆ พบว่า สว. ส่วนใหญ่มาจากสาขาอาชีพรับราชการและเป็นเจ้าของกิจการ โดยทั้งสองสาขามีจำนวน สว. สาขาละ 57 คน คิดเป็นร้อยละ 28.5 ต่อสาขาของจำนวน สว. ทั้งหมด ส่วนสาขอาชีพที่ลองลงมาคือ พนักงาน/ลูกจ้างมีจำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวน สว. ทั้งหมด

ในด้านเพศของ สว. ชุดปัจจุบันพบว่า สว. ชุดที่ 13 นี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นเพศชาย 155 คน คิดเป็นร้อยละ 77.5 ของจำนวน สว. ทั้งหมด และเป็นผู้หญิง 45 คน คิดเป็นร้อยละ 22.5 ของจำนวน สว. ทั้งหมด เมื่อพิจารณาในเชิงรายละเอียด จะเห็นได้ว่าในหลายๆ สาขาแทบไม่มี สว. ที่เป็นผู้หญิงเลย อาทิ กลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มกฎหมาย กลุ่มการศึกษา กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น

เช่นเดียวกันกับในด้านอายุ สว. ไทยค่อนไปในทางจะเป็นสภาของผู้สูงอายุ  ทั้งนี้ พบว่าอายุเฉลี่ยของ สว. ปัจจุบันอยู่ที่ 58 ปี โดยอายุต่ำสุดอยู่ที่ 40 ปี และอายุสูงสุดอยู่ที่ 78 ปี

เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปในรอบของการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาจากการเก็บข้อมูลของ DataHatch ได้นำข้อมูลผลการเลือกใน 3 ระดับคือ ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศมาวิเคราะห์พบว่า ยิ่งเลือก สว. ในรอบที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มที่ สว. ไทยจะเป็นผู้ชายและมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน


ที่มา: DataHatch (2567)

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของกลุ่มขนาดใหญ่ที่รวมหลายสาขาอาชีพเข้าด้วยกัน อาทิ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น เนื่องจากทั้งสองกลุ่มเป็นการรวมคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลายๆ ด้านมารวมอยู่ภายใต้กลุ่มเดียวกัน ทำให้กลุ่มมีขนาดใหญ่และอาจจะมีความขัดแย้งในเชิงเป้าหมายที่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดการขัดกันระหว่างเป้าหมายของสมาชิกภายในกลุ่ม และเกิดการคัดออกเมื่อมีการลงคะแนนเลือกในรอบการเลือกกันเองภายในกลุ่ม และอาจจะถูกตัดออกจากการเลือกไขว้สาย

ทิ้งท้ายเล็กน้อย

ปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการออกแบบระบบการเลือก สว. โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบอย่างเพียงพอของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ลำพังเฉพาะการมีเจตนาที่ดีอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอในการออกแบบระบบ

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลของการเลือก สว. จะเป็นอย่างไร สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ประชาชนชาวไทยเพิ่งจะได้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญในสภาสูงชุดใหม่ (แม้ว่าในความเป็นจริงบุคคลเหล่านี้จะไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนเลยก็ตาม) สิ่งที่ประชาชนคาดหวังมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการที่ผู้แทนเหล่านี้จะทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชนอย่างเต็มที่จริง ๆ

หมายเหตุ ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณวิศรุต อาศุวณิชย์พันธุ์ เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ได้ไปสังเกตการณ์การเลือก สว. ในครั้งนี้ ที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เขียนบทความ ในส่วนของข้อมูล สว. ที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์สัดส่วน สว. ประสบการณ์ และประวัติการสมัครมาจากเอกสาร สว.3 และเว็บไซต์ของ iLaw The Standard และ BBC ไทย

PRIDI Interview : ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ : สว. 2567 เปลี่ยนสว. เปลี่ยนประเทศ

[:th]

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
สวัสดีครับ วันนี้ PRIDI Interview เราอยู่กับพี่เป๋า ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ แห่ง Ilaw ( โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) นะครับ ก็วันนี้เรามาคุยกันเรื่องในวาระที่วันที่ 11 พฤษภาคมนี้ สว. (สมาชิกวุฒิสภา) ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลงนะครับ PRIDI Interview เราก็เลยชวนพี่เป๋ามาคุยนะครับ ว่ามีมุมมองยังไงบ้างเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง สว. ใหม่ในครั้งนี้นะครับ ก็สวัสดีนะครับพี่เป๋าครับ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
สวัสดีครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ได้เห็นตัวแคมเปญที่ Ilaw กำลังทำเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับการสมัครสว.ปี 67 ก็เลยอยากจะชวนพี่เป๋ามาเล่าให้ฟังหน่อย เกี่ยวกับว่าตอนนี้ Ilaw ทำอะไรเกี่ยวกับโครงการนี้อยู่บ้างในแคมเปญนี้

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ก็เรากำลังจะมีสว. ชุดใหม่นะครับ ที่มาจากกระบวนการคัดเลือกแบบใหม่ เราตั้งชื่อเล่นมันสั้นๆ ว่า กระบวนการแบ่งกลุ่มอาชีพและเลือกกันเองในหมู่ผู้สมัคร อันนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะว่าถ้าประชาชนไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในครั้งนี้ เราก็กลัวว่าเราจะได้สว. ชุดต่อไปที่มีลักษณะวงเล็บนิสัยไม่ต่างจากสว. ชุดที่ผ่านมาแล้วก็เขาก็จะเป็นคนของใคร เป็นคนของกลุ่มการเมือง เป็นคนที่เรียกว่าถูกล็อคมา มี mandate มีใบสั่งมาชัดเจนว่าให้เขาทำอะไรนะครับ ซึ่งเราไม่ได้อยากเห็นสว. ชุดต่อไปเป็นอย่างนั้น และนี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะเปลี่ยนมัน คือเราอยู่กับสว. ชุดเดิม 5 ปีเปลี่ยนมันไม่ได้เลย เสนอแก้รัฐธรรมนูญไปกี่ครั้งเขาก็ไม่ยอมให้แก้ แต่ว่าเราก็ไม่อยากอยู่กับสว. หน้าตาแบบเดิมอีก 5 ปี ดังนั้นเราจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในตั้งแต่ตอนนี้ ในกระบวนการเลือกสว. ชุดใหม่

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนที่มีสิทธิ์เลือกไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่การเลือกตั้งที่คนอย่างเราเดินไปออกเสียงได้ แต่คนที่ยังมีสิทธิ์ออกเสียงคือ คนที่ไปสมัครเข้าร่วมกระบวนการเท่านั้น แล้วก็ขั้นตอนก็ยุ่งยากมีเงื่อนไขเยอะที่คนจะสมัครได้ต้องอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องเคยทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งมา 10 ปี ต้องสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ แล้วก็ต้องไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เคยติดคุกพ้นโทษไม่เกิน 10 ปี คือเงื่อนไขมันเยอะ แต่เราก็เชื่อว่าคนที่มีใจอยากมีส่วนร่วมในการตัดสินอนาคตประเทศ และคุณสมบัติถึงก็มีหลายสิบล้านนะครับ

เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านไปสมัคร ไปสมัครสว. รอบนี้ไม่ได้แปลว่าเราอยากเป็นสว. หรือไม่ได้แปลว่าเราสมัครเพื่อเราอยากจะเข้าสู่อำนาจอยากจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ อยากไปนั่งใส่สูทอยู่ในห้องประชุม การสมัครนั้นมีความหมายก็คือการสมัครเพื่อโหวตเป็นอย่างน้อย เพราะถ้าไม่สมัคร นั่งอยู่บ้านไม่ว่าคุณจะเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโหวตนะครับ แต่ถ้าคุณอยากมีส่วนร่วมตัดสินว่าใครจะมาเป็นสว. ชุดต่อไป โอกาสเดียวก็คือต้องสมัครเข้าร่วมกระบวนการแล้วจะมีสิทธิ์โหวต

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
เท่าที่ได้ดูในตัวในโบรชัวร์นี้มาครับ ทำให้เห็นภาพอย่างหนึ่งคือ การเลือกสว. ครั้งนี้เอง ตัวระบบเองก็ค่อนข้างจะซับซ้อน แล้วก็เท่าที่ได้ยินจากข่าวมาคนก็ค่อนข้างจะบ่นเยอะว่าไม่เข้าใจ ผมเข้าใจว่าระบบนี้ออกแบบมาให้มีการโหวตใน 3 ระดับ คือ ในกลุ่มของอาชีพในระดับอำเภอ จังหวัด แล้วก็ประเทศ แต่ว่าอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระบบของการโหวตในครั้งนี้ มันแตกต่างจากที่ผ่านๆ มายังไง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
เราไม่เคยมีการเลือกสว. แบบนี้มาก่อน ที่ใกล้เคียงบ้างก็คือที่เกิดขึ้น ทดลองทำในปี 61 แต่ตอนนั้นไม่มีโหวตไขว้ อันนี้พิเศษมากนะครับ คือคนที่เขาออกแบบระบบนี้เขาคิดอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ล็อคผลไม่ได้ จัดตั้งไม่ได้ กลุ่มอิทธิพล กลุ่มการเมืองไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้เป็น เขาก็เลยออกแบบระบบให้มันพึ่งดวงค่อนข้างสูง มีการจับสลากเยอะมากนะครับ

หลักการก็คือว่าเราจะต้องเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพก่อน แล้วคนที่ได้รับเลือกคะแนนสูงในกลุ่มอาชีพเดียวกันต้องไปจับสลาก เพื่อไปจับสลากเพื่อไปแบ่งสายกับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในสายหนึ่งอาจจะมี 5 กลุ่มและกลุ่มนี้ก็จะต้องไปโหวตกลุ่มอื่นๆ เช่น ชาวนาอาจจะอยู่สายร่วมกับคุณหมอ นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มนักกีฬา สมมติชาวนาเขาจะต้องเอาคะแนนของตัวเองไปโหวตให้กับนักกฎหมาย ให้กับคุณหมอ ให้กับนักวิทยาศาสตร์ และให้กับกลุ่มนักกีฬา อันนี้มันมาจากการจับสลาก มันก็พอจะบอกได้ว่ามันล็อคยากนะครับ คือสมมตินักกฎหมายคนนึงอยากจะเป็นสว. มาก อาจจะซื้อเสียงในหมู่นักกฎหมายได้ แต่คุณซื้อชาวนาไม่ได้ คุณซื้อนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แล้วคุณก็ไม่รู้ด้วยว่าชาวนากับนักวิทยาศาสตร์จะจับสลากมาเจอคุณหรือเปล่า

เสียงที่คุณซื้อสมมติคุณซื้อนะ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง สมมติคุณซื้อก็ไม่รู้ว่าคนที่คุณจ่ายตังค์ให้เขา เขาจะได้จับสลากมาโหวตคุณหรือเปล่า นี่คือกลไกมันออกแบบมาแบบนี้ แต่ผลเสียของการที่กลไกออกแบบมาแบบนี้ก็คือทำให้สุดท้ายใครเลือกสว. นักกฎหมายที่ได้เป็นสว. ถูกเลือกโดยนักกฎหมายขั้นต้น แต่สุดท้ายจะถูกตัดสินโดยกลุ่มอื่นๆ เลยใครก็ไม่รู้ที่จับสลากมา แล้วชาวนาจะไปรู้ได้ไงว่าในนักกฎหมายจะต้องเลือกใคร นักกีฬาจะไปรู้ได้ยังไงว่านักกฎหมายใครดี นักกีฬาจะเลือกจากอะไร ก็เลือกมั่ว เรียนตรงๆ ดวงมาแล้วก็กามั่ว ก็ดูว่าใครเลขสวย Lucky Number เลข 87 มันเขียนยาก ถ้าใครได้หมายเลข 87 มันได้ยากหน่อย ใครได้หมายเลข 1 มันเขียนง่าย เขียนๆ มา 1 อย่างนี้ คือมันมีดวงอยู่ในกติกาค่อนข้างสูง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้ถามต่อนิดนึงครับ พอดีเมื่อสักครู่นี้พอพี่เป๋าเริ่มพูดว่ามันมีระบบโหวตไขว้ซึ่งมันเป็นตัวตัดสินเลยว่าใครจะได้เป็น ระบบนี้เท่าที่ลองฟังดูก็เริ่มคิดว่าจริงๆ คือมันอาจจะทำให้แก้ปัญหาเรื่องการโกงจริงๆ อย่างที่ผู้ร่างเขาหวังดี แต่ว่าในความเป็นจริงเรื่องคนโกงมันอาจจะมีปัญหาอื่นแทนหรือเปล่า เช่น ถ้าใครเป็นคนที่มีชื่อเสียงหน่อยก็อาจจะได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเรารู้แหละว่าคนนี้หน้าตาแบบนี้ เคยออกทีวีบ่อยๆ เป็นทนายความผู้มีชื่อเสียง หรือว่าเป็นคุณหมอนักออกข่าวคนหนึ่งอะไรอย่างนี้มีโอกาส เปิดโอกาสหรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
มีโอกาสครับ ระบบนี้เอื้อกับคนมีชื่อเสียง แต่ว่ามันต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศเลย พี่เบิร์ด ธงไชยนะ สมมติจะเป็นนักร้อง คุณต้องแบบเป็นเบิร์ด ธงไชย เป็นเสก โลโซ เป็นตูน Bodyslam นะ สมมติคุณเป็นแบบเป็นวงกลางๆ วงหนึ่ง ที่มียอด Views ในเพลง 10,000,000 Views ซึ่งมันดังแล้วนะ คุณเข้าไปเลือกระดับประเทศแล้วคุณต้องคาดหมายให้ชาวนา ชาวสวน คุณครู ชาติพันธุ์มาเลือกนักร้อง เขาไม่รู้จักนะ เพราะฉะนั้นมันต้องดังมากจริงๆ แล้วก็โอเคยอมรับว่าระบบนี้คนมีชื่อเสียงระดับประเทศมีผล แต่ผมคิดว่าวิธีแก้อีกอย่างหนึ่งของระบบนี้ก็คือว่าคุณต้องทำตัวเองให้มีชื่อเสียงนะครับ ก็คือคนที่คิดว่าลงสมัครแล้วอยากจะได้ ถ้าคุณอยู่เงียบๆ แล้วคุณใช้วิธีไปล็อคผล ไปจัดตั้ง ไปซื้อเสียงมา คุณไม่ได้หรอกอันนี้พูดด้วยความหวังดีกับคนที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ คุณไม่มีทางชนะหรอกเพราะว่าสุดท้ายคนที่มาเลือกคุณเป็นใครก็ไม่รู้ คุณจัดตั้งไม่ได้

ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าสำหรับคนที่อยากจะเป็น คือคุณต้องประกาศตัวเองแล้วทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง ให้คนที่เขาจะโหวตคุณเขาอาจจะไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนก็ได้แต่คุณต้องทำให้เขารู้จักตั้งแต่วันนี้ว่าคุณคือตัวจริง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้ถามต่อคือผมไม่แน่ใจว่าอย่างเคสสว. เขาให้เราสามารถหาเสียงได้เหมือนเราเลือกส.ส. หรือเปล่า คือเท่าที่ได้คุยกับคนมาเหมือนเขาบอกว่าในใบสมัครเขาให้แสดงพื้นที่ประสบการณ์มาประมาณ 5 บรรทัดว่าเรามีคุณสมบัติอะไรอย่างนี้ มันดูน้อยมากแล้วเหมือนเราตัดสินคนจากหน้ากระดาษ A4 แผ่นเดียว เหมือนสมัครงานเลยอะไรอย่างนี้

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
การเขียนแนะนำตัว 5 บรรทัดไม่มีระเบียบข้อไหนบอกว่าจะเขียนอะไรก็ได้ จะเขียนอะไรไม่ได้ ดังนั้นแปลว่าถ้าคุณเขียนลงไปในนั้นว่า ฉันตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไปทำอะไร ผมไม่เห็นระเบียบข้อไหนที่กกต. บอกว่าจะต้องตัดออก ไม่เห็นนะ ที่คนกลัวกว่านั้นก็คือว่าโพสต์ Facebook ได้ไหม ให้สัมภาษณ์ได้ไหม ผมตอบคำถามอย่างนี้ในวันที่เราคุยกันวันนี้นะ ไม่มีกฎหมายห้าม กฎหมายไม่ออก ไม่มี ทำได้ 100% อยากทำอะไรทำไปเลย แต่จะมีระเบียบออกมาว่าข้อจำกัดจะเป็นยังไงบ้าง แต่วันนี้ยังไม่ออกและมันยังไม่บังคับใช้ ดังนั้นวันนี้ทำได้ แต่ไม่แน่ใจวันที่ท่านผู้ชมชมมันอาจจะมีออกมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก เพราะว่าทำไมคุณไม่บอกล่วงหน้า มันควรจะแน่นอนกว่านี้ คุณมีเวลาตั้ง 4-5 ปีในการเตรียมระเบียบ อันนี้คุณประกาศออกมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วเลยให้คนมันรู้ว่าถ้าคนจะลงสมัครรอบนี้มันทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ มาบอกใกล้ๆ มันก็เครียดไปหมดครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้อาจจะถามต่อ คือเห็นว่าเขามีการแบ่งกลุ่มค่อนข้างจะย่อยมากแล้วจริงๆ ในแต่ละกลุ่มมันก็ควรจะ Represent กลุ่มต่างๆ ในสังคม แต่ทีนี้เท่าที่เห็นในการแบ่งกลุ่มย่อยมันก็มีปัญหาหลายอย่าง เช่น กลุ่มบางประเภทแบ่งแล้วมันอาจจะไม่เหมาะสม มีสัดส่วนของกลุ่มนายจ้างมากกว่ากลุ่มลูกจ้าง กลุ่มพวกประกอบวิชาชีพอิสระก็จำกัดเฉพาะบางกลุ่ม แต่เราก็จะไม่เห็นคนบางกลุ่มเลยที่เขาอาจจะเป็นอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ หรือแม้แต่กระทั่งการใช้กลุ่มอาชีพเป็นตัวหลักในการเลือกก็อาจจะมีปัญหาในบางพื้นที่ซึ่งมันไม่มีอาชีพแบบนั้นเลย ในลักษณะแบบนี้ อันนี้มันเป็นปัญหาของระบบเลือกตั้งที่ออกแบบมาไว้หรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ใช่ครับ มันผิดตั้งแต่คิดว่าเราจะเลือกตัวแทนของประเทศโดยการแบ่งกลุ่มอาชีพแล้ว มันมีคนตั้ง 60 กว่าล้านคน มันคงมีอาชีพเป็นล้านนะ ที่มันจัดกรุ๊ป 20 กรุ๊ปไม่ได้หรอกนะครับ ตัวอย่างเช่น เรามีกลุ่มเกษตรกร มี 2 กลุ่ม คือ มีกลุ่มทำนา ทำไร่อยู่ด้วยกัน แล้วก็กลุ่มทำสวน ประมง เลี้ยงสัตว์อยู่ด้วยกัน มีประชาชนมาถามผมว่า เขาทำฟาร์มเห็ดเขาลงอะไร ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ผมเลยบอกให้เขาลง SME ผมไม่รู้ว่าเค้าทำนา ทำไร่ หรือทำสวนอะไร แล้วก็กกต. ก็เหมือนจะดี คือเขารู้แหละ เขาคิดไม่ออกหรอกว่ามันมีอาชีพอะไรบ้าง เขาจะมีกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มอื่นๆ นะครับ

กลุ่มอื่นๆ ก็คือให้อาชีพอะไรก็ได้มาสมัครนะ ต่อให้คุณเป็นนักกฎหมายมีกลุ่มกฎหมาย ต่อให้คุณเป็นครูมีกลุ่มการศึกษาคุณก็สมัครกลุ่มอื่นๆ ได้ ดังนั้นกลุ่มอื่นๆ เป็นพื้นที่อันตรายที่สุด อันตรายสองอย่าง

หนึ่ง คือ คนที่อยากเป็นสว. แล้วอยากจัดตั้งเพื่อนมาเลือกตัวเอง แต่เพื่อนมันทำคนละอาชีพ มันก็เอาทุกคนไปอื่นๆ ด้วยกันนี่คือพื้นที่อันตราย

สอง คือ สมมติไม่มีคนแบบนั้น มันไม่มีคนทุจริต มันคือคนที่ทำอาชีพทุกอย่างที่มันไม่เข้ากลุ่มใดเลยมาสมัคร เช่น ฟาร์มเห็ดหรืออะไรก็แล้วแต่มาลงด้วยกัน คำถามก็คือว่าคุณจะให้เขาเลือกกันเองไปทำไม เขาเลือกกันเองเค้าเลือกจากอะไร ในเมื่อเขาทำทุกอย่างมันไม่เหมือนกัน มันไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันเลย มันไม่มีทางจะรู้จักหรือว่ามีความเชี่ยวชาญหรือเข้าใจอะไรกันนะ แต่เขาก็ต้องเลือกกันเองนะครับ เพราะว่ามันผิดระบบนี้มันไม่ใช่ละ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
นอกจากเรื่องนี้มันจะมีประเด็นอื่นๆ เช่น พอเรากำหนดให้มีกลุ่มเฉพาะบางกลุ่ม เช่น กลุ่มตามอาชีพ ถ้าสมมติคนๆ หนึ่งสวมบทบาทมากกว่าหนึ่งบทบาท มันมีอาชีพคนสารพัดความสามารถอยู่อย่างอาชีพทหาร สมมติผมเป็นทหาร ผมก็เป็นกลุ่มข้าราชการก็อาจจะเข้าการปกครอง ความมั่นคง แต่ถ้าผมเป็นนายแพทย์ทหาร ผมไปเข้ากลุ่มแพทย์ได้ด้วยใช่ไหม แล้วถ้าผมเป็นแพทย์ทหารแล้วผมอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎที่เป็นมหาวิทยาลัยด้วย ผมไปลงการศึกษาได้ด้วยใช่ไหม

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ถูกต้องครับ ถ้าคุณสอนด้วยนะ คุณก็ไปลงได้ด้วย

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
แสดงว่าเราสามารถเลือกได้ว่าเรามีโอกาสที่จะลงกลุ่มไหนก็อาจจะชนะหรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ถูกต้อง แล้วถ้าคุณอายุ 60 ปีขึ้นไป คุณยังกลุ่มผู้สูงอายุได้ ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณก็ลงกลุ่มผู้หญิงได้ แล้วถ้าคุณเป็นทั้งหมดทั้งปวงนี้ คุณยังลงกลุ่มอื่นๆ ได้ด้วย

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ท้ายที่สุดมันก็กลับมาว่า แล้วการที่เราเปิดช่องขนาดนี้มัน Represent อะไรใคร ได้ไหมจริงๆ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ไม่ได้ ก็สิ่งที่กังวลที่สุดก็คือกังวลว่าสนามนี้ โอเคสุดท้ายถ้าประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรนะ สุดท้ายมันจะได้ตัวแทน ได้คนที่ผ่านระบบมา ต่อให้เขาสุจริตเลย เขาไม่ได้จัดตั้งไม่ได้ซื้อเสียงเลย เขาไม่ได้เป็นตัวแทนอะไรเลย เขาไม่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพ เพราะว่าสุดท้ายแล้วเขาถูกเลือกโดยกลุ่มอื่นที่จับสลากมานะ ต่อให้กลุ่มนั้นนะ ทั้งอาชีพของคุณนะ ชื่นชอบยกย่องนับถือคุณขนาดไหน คุณจะเป็นสว. ได้คุณต้องถูกเลือกโดยอาชีพอื่นๆ ที่จับสลากมา แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของพื้นที่นะครับ เพราะว่าแม้ว่าคุณจะเป็นที่นับหน้าถือตาในอำเภอหรือจังหวัด สุดท้ายคุณต้องผ่านการเลือกระดับประเทศ ดังนั้นเขาไม่ได้เป็นตัวแทนอะไร

ก็ไม่รู้ว่าสว. ระบบนี้ได้ตัวแทนอะไรนะครับ แต่เราคิดอีกหน่อยก็คือคิดว่า แต่ถ้าประชาชนที่ไปเลือกเป็นประชาชนธรรมดา เจตจำนงเสรี free will อิสระ คือโอเคส่วนหนึ่งที่สมัครเข้าไป เขาสมัครไปเพราะว่าเพื่อนขอให้สมัครเพื่อไปเลือกเพื่อน อันนี้คือเสียงจัดตั้ง ขออนุญาตเสียงจัดตั้งไม่ผิดกฎหมายนะ ถ้าสมมติผมกับคุณทำอาชีพเดียวกัน ผมบอกว่า “เฮ้ยๆ ลงสมัครกับกูหน่อย ไปเลือกกูหน่อย” อย่างนี้ไม่ผิดกฎหมายนะ ไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ถ้าจ่ายตังค์ “เฮ้ย เดี๋ยวกูจ่ายตังค์ให้” อันนี้ผิดละ ดังนั้นคนจำนวนหนึ่งคือเสียงจัดตั้ง เสียงจัดตั้งคุณจัดตั้งให้ตายเหอะ คุณก็ต้องไปจับสลากเลือกไขว้อยู่ดีนะครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าเรามีประชาชนเจตจำนงอิสระเสรีมากกว่าเสียงจัดตั้ง สมมติว่าจัดตั้งกันซัก 100,000 คน แล้วมีประชาชนเจตจำนงอิสระเสรีอีก 200,000 นะครับ ที่เดินเข้าไปโดยคุณไม่มีเป้าหมายอะไร คุณไม่ได้รู้ว่าคุณต้องเลือกใครเท่านั้น คุณไปถึงคุณอ่านประวัติ คุณศึกษาทำการบ้านว่าในกลุ่มนี้ในคนที่คุณมีสิทธิ์โหวตใครดีที่สุดแล้วคุณโหวตนะครับ แบบนี้ผมคิดว่าโอเคสุดท้ายอย่างน้อยผลลัพธ์ออกมาคนนั้นจะเป็นตัวแทนของประชาชน จะเป็นตัวแทนของคน 300,000 จะเป็นตัวแทนของคนจำนวนมากๆ ที่เข้าไปเลือกนะครับ ก็ยังมีจุดเชื่อมโยงอะไรบ้าง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ซึ่งก็อาจจะดีกว่าระบบที่กำลังจะเริ่มใช้ในวันที่ 11 พฤษภาคม

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
เราจึงต้องรณรงค์ให้สมัครเพื่อโหวตกันเยอะๆ ที่สุดครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
คือเข้าใจว่าในแคมเปญรอบนี้ Ilaw มีการทำเว็บไซต์ขึ้นมา ลองเล่นมาเมื่อวานชอบมาก มี Data อะไรน่าสนใจเยอะมาก เข้าใจว่าอันนี้คือได้เราได้ข้อมูลมาจากผู้ที่ไปตั้งใจจะสมัครถูกไหมครับ แล้วเขาเอามาเผยแพร่ให้กับเรา ทีนี้พอได้ไปลองดูแล้วในแคมเปญนี้นอกจากจะได้เห็น information ที่เป็นของผู้สมัครแต่ละคน และสิ่งที่เราได้เห็นต่อก็คือเราได้เห็นมุมมอง วิสัยทัศน์ ทัศนคติ ซึ่งอันนี้อาจจะไม่ได้อยู่ใน 5 บรรทัดตอนกรอกเพราะว่าไม่พอ แต่ว่าอันหนึ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของคนที่เป็นผู้สมัครแต่ละคนค่อนข้างมีความหลากหลายมาก

ทั้งคนกลุ่มคนที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือคนที่อยากจะทำความเปลี่ยนแปลง เพราะว่าในส่วนต่างๆ ก็มีเหมือน hint ให้ว่าแบบประเด็นทางสังคมอย่างนี้เราสนใจอะไรบ้าง สว. คนนี้สนใจอะไรบ้าง ถามพี่เป๋าในส่วนนี้หน่อย ตัวเว็บไซต์ในแคมเปญนี้เข้าใจว่าเบื้องต้นตอนนี้เว็บไซต์เสร็จแล้ว ใช้งานแล้ว แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนถ้ากฎของกกต. ออกมา แต่ว่าอยากรู้ว่าตัวเว็บไซต์นี้ผู้ใช้งานจะได้อะไรจากสิ่งนี้บ้าง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
คือว่าใครที่กำลังรู้สึกว่าสนใจ สมัครดีไหมและไม่แน่ใจว่าตัวเองสมัครได้หรือเปล่า คุณสมบัติพอหรือเปล่านะครับ เข้าไปที่เว็บไซต์จะมีฟังก์ชันสำหรับการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนนะครับ สมมติคุณตรวจแล้วคุณผ่านก็จะมีให้ว่าคุณลงกลุ่มอะไรได้บ้าง อำเภออะไรได้บ้างนะครับ ทีนี้คำถามต่อไปก็คือคนก็จะสงสัยว่า แล้วฉันจะลงที่ไหนดี คนหนึ่งอาจจะลงได้ซัก 5 อำเภอ ลงไว้ซัก 5 กลุ่มอาชีพนะครับ ก็มีทางเลือก 25 แบบ

ก็เป็นการตั้งใจที่จะ Hack ระบบของกกต. ที่ออกแบบมา ที่เอาทุกคนคือระบบการเลือกกกต. คือเอาทุกคนเข้าห้องปิด ยึดมือถือ ห้ามคุยกัน คือไม่ได้ห้ามคุยแบบใครคุยแล้วไปตีมือ แต่ว่าไม่ให้ล็อบบี้ ไม่ให้แนะนำตัว ไม่ให้ประกาศนโยบาย ไม่ให้ประกาศอะไรเลย และอ่าน 5 บรรทัดละไปโหวต นี่คือที่กกต. ต้องการ เราต้องการให้มันคล้ายกับการเลือกตั้งมากที่สุด คือ คนจำนวนมากเป็นล้านๆ มีส่วนร่วมได้ ทำการบ้านก่อนได้ ตัดสินใจก่อนได้ แล้วก็ไปโหวตเพราะว่าเจตจำนงของตัวเองจริงๆ นี่คือสิ่งที่เราอยากจะเห็นครับ

เป้าหมายของเรานั้นชัดเจนอยู่แล้วครับเต้ย เราต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยสสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนจากการเลือกตั้ง 100% โดยตรงนะครับ นี่คือเป้าหมายอยู่แล้ว ถ้าวันนั้นมันมีจริง ประเทศไทยไม่เคยมีนะครับ ประเทศไทยไม่เคยมีสสร. จากการเลือกตั้ง และไม่เคยมีรัฐธรรมนูญจากประชาชนโดยแท้ ถ้ามีวันนั้นได้ซึ่งมันก็จะได้อยู่แต่ไม่ได้ซักที เราจะว่ากันใหม่ทั้งระบบเลือกตั้งส.ส. ทั้งระบบเลือกสว. หรือจะมีสว.ไหม เรื่องอื่นๆ สิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญนะครับ ประกาศคำสั่งคสช. มาตรฐานจริยธรรม ยุทธศาสตร์ชาติ ทุกอย่างจะว่ากันใหม่ ก็อยากจะเห็นวันนั้นอยู่ ไม่รู้ว่าจะไปได้ไหม แต่ถ้าปี 2567 ได้สว. ไม่ถึง 67 คน ยังไม่ได้

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
อยากจะให้พี่เป๋าเล่าให้คนทางบ้านฟัง แม้ว่ารอบนี้เราจะไม่ได้เป็นคนไปเลือกสว. โดยตรง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกสว. โดยตรง แต่อยากให้ฝากความสำคัญของสว. ไว้หน่อยว่าทำไมเราต้องสนใจคนกลุ่มนี้ เพราะว่าอะไร

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
สว. จะเป็นคนบอกว่าเราจะได้แก้รัฐธรรมนูญไหม และจะได้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ไหมนะครับ สว.ชุดต่อไปจะเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 จาก 9 คน จะเลือก กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) 5 จาก 7 คน จะเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินทุกคนนะครับ จะเลือกกรรมการสิทธิ์ (กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) 5 จาก 7 คน คือองค์กรอิรสะทั้งหลายจะต้องเลือกใหม่อยู่แล้วโดยสว. ชุดต่อไป ถ้าเรารู้สึกว่าองค์กรเหล่านี้ทำงานแปลกๆ ที่ผ่านมา แล้วเราอยากจะได้คุณภาพจากพวกเขามากกว่านี้ เราก็ต้องมีสว. ที่ดีกว่านี้ กระบวนการนี้ดีไม่ดีสำคัญกว่าเลือก ส.ส. อีก ถ้าเรื่องเลือก ส.ส. คือทั้งบ้านทั้งเมืองตื่นเต้น กันเดินขบวนสนุกมากนะครับ ในปี 2566 สำคัญไหม สำคัญมากนะครับ แต่ว่าเป็นไงล่ะเลือก ส.ส. ไปเลือกสุดท้ายมีใครมาขัดแข้งขัดขา ส.ส. มากกว่าครึ่งเอาแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส. มากกว่าครึ่งเอาพิธาเป็นนายก สว. เขาไม่เอาอะ มันไปไม่ได้นะครับ

ดังนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ สว. สำคัญกว่าส.ส. อีก ดังนั้นพลังอะไรที่เคยสนใจการเลือกตั้ง 2566 ต้องสนใจเรื่องนี้นะครับ แล้วก็กติกาตอนนี้แก้ไม่ทัน มันจำกัดที่อายุ 40 ปีขึ้นไปไม่เป็นไร ใครน้อยกว่า 40 ภารกิจมีอีกอย่างที่สำคัญมาก คือเราทำแพลตฟอร์ม senate 67 มาเพื่ออยากให้การเลือกสว. เข้าใกล้การเลือกตั้งมากที่สุด คนมีส่วนร่วมมากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่เราคิดได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะคิดได้ ก็ต้องยอมรับว่าพ่อๆ แม่ๆ ลุงๆ ป้าๆ จำนวนมาก ใช้ไม่เป็นนะครับ คือโอเคพี่ๆ อายุ 40 ใช้เป็นแต่ว่าลุงๆ ป้าๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ไปเลือกตั้งวันจริงเดินเข้าคูหาเอาปากกากากบาททำเป็น แต่วันที่จะมาใช้งานตรวจสอบคุณสมบัติ มาประกาศตัว มาดูผู้สมัครคนอื่นอะดูไม่เป็น น้องๆ ช่วยหน่อยนะครับ นี่เป็นภารกิจเลยของคนรุ่นใหม่ เปิดคอม senate67.com เจอป้านั่งแล้วเปิดเชิญชวนเขา ตรวจสอบคุณสมบัติ สมัครได้ ป้าสมัครหน่อย สมัครที่ไหนได้ เว็บบอกแล้ว สมัครที่ไหนดีมีผู้สมัครคนไหนให้ดูบ้าง พาป้าดูแล้วก็พาป้าไปเข้าคูหาให้ถูกนะครับ นี่เป็นภารกิจของพวกเราครับ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ทุกท่านครับเรารู้ว่าสว. ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีความสำคัญมากขนาดไหนนะครับ และถ้าเราไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับกระบวนการเลือกสว. ชุดต่อไปในปี 2567 มันจะกลายเป็นพื้นที่ของคนกลุ่มเล็กๆ เฉพาะคนที่มีอำนาจ มีเครือข่าย มีเวลา มีเงิน มีทรัพยากร เราไม่ได้อยากเห็นแบบนั้น เราอยากเห็นสว. ชุดต่อไปมาจากประชาชน มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนมากที่สุด สิ่งที่ทุกท่านทำได้คือไปสมัครครับผม สมัครเข้าร่วมกระบวนการ สมัครเพื่อจะเป็นสว. เองก็ได้หรืออย่างน้อยสมัครเพื่อท่านจะได้มีสิทธิ์ออกเสียงโหวตก็ได้ หรือสมัครเพื่อท่านจะได้ไปนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วไปจับตากระบวนการว่ามันถูกต้องโปร่งใสสุจริตเป็นธรรมหรือไม่อย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน

หลายปีที่ผ่านมากระบวนการประชาธิปไตยฝากความหวังไว้มากกับคนรุ่นใหม่กับน้องๆ นักเรียน นิสิตนักศึกษาว่าจะโตมาเป็นกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศและประชาธิปไตยต่อไป แต่สำหรับสนามสำคัญในปี 2567 เราฝากความหวังกับน้องๆ ได้ไม่มากเพราะว่าถ้าอายุไม่ถึงสมัครไม่ได้ ปี 2567 จึงเป็นปีสำคัญที่พี่ๆ อาๆ น้าๆ ลุงๆ ป้าๆ พ่อๆ แม่ๆ ต้องทำภารกิจนี้คือการสมัครเข้าไปโหวตแล้วเลือกคนที่จะเดินหน้าประชาธิปไตยเดินหน้าประเทศต่อไปให้เป็นของประชาชนได้ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

วันที่ 11 เมษายน 2567

ณ อาคาร All Rise

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (Ilaw)

[:]

วุฒิสภา (สูงวัย) ในไทยกับบทบาทของสภาสูงในโลก: มองบทบาทวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบต่างประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงล้นหลามจนทำให้เกิดคำถามว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลจะได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะด้วยกลไกอันแปลกประหลาดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้

ความประหลาดดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากที่สุดในเวลานี้จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ในเมื่อสมาชิกวุฒิสภาได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนคัดเลือกมาดำรงตำแหน่ง ประเด็นนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญของสังคมว่า วุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้จะยังควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่

บทความนี้ชวนพิจารณาวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบกับความจำเป็นในบทบาทของสภาสูงในระดับสากลว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และบทบาทของวุฒิสภาเป็นอย่างไรในโลกปัจจุบัน

บทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองจำนวนมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา องค์ประกอบหนึ่งของรัฐสภาก็คือ วุฒิสภา

วุฒิสภาเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นสภาสูงทำงานควบคู่กับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาหลักในการเป็นผู้แทนของประชาชนที่ในประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญและมีอำนาจในการนิติบัญญัติอย่างแท้จริง

บทบาทของวุฒิสภาในแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของการออกแบบระบบการเมืองหรือโครงสร้างของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาทั่วโลกจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

ประการแรก หน้าที่ในการตรากฎหมาย บทบาทหลักของรัฐสภาคือการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมาย เมื่อวุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ฉะนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของวุฒิสภาในการตรากฎหมายจึงเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุดของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หน้าที่ในการตรากฎหมายของวุฒิสภาในแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน วุฒิสภาในบางประเทศไม่มีอำนาจในการเสนอกฎหมาย ทำหน้าที่ได้เพียงทำรายงานการศึกษาและแนะนำให้กับสภาผู้แทนราษฎรในการตรากฎหมาย แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะมีหน้าที่หลักในการอภิปรายและพิจารณาผ่านร่างกฎหมาย[2]

ประการที่สอง หน้าที่เป็นผู้แทน โดยทั่วไปถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นผู้แทนของประชาชน แต่นอกเหนือจากการเป็นผู้แทนของประชาชนแล้ว วุฒิสภายังมีสถานะเป็นผู้แทนของชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐที่เข้ามาประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐ โดยวุฒิสภาเหล่านี้จะมีบทบาทในการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐเหล่านั้น[3] ตัวอย่างเช่น สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นวุฒิสภาของประเทศอังกฤษในอดีตมาจากขุนนางสืบตระกูล แต่ในปัจจุบันสมาชิกสภาขุนนางได้รับการเสนอชื่อโดยนายกรัฐมนตรีให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และมีบทบาทน้อยลงมากๆ ภายหลังการปฏิรูปรัฐสภา[4] หรือในสหรัฐอเมริกาและสหพันธรัฐเยอรมนีวุฒิสภานั้นจะมาจากการเป็นสมาชิกของผู้แทนแต่ละมลรัฐที่เข้าร่วมเป็นสหพันธ์[5]

ประการที่สาม หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอม ในระบบการเมืองส่วนใหญ่ที่มีวุฒิสภามักจะให้อำนาจแก่วุฒิสภาในการให้คำแนะนำและความยินยอมในเรื่องต่างๆ เช่น การแต่งตั้งและการทำสนธิสัญญา ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภามีอำนาจสำคัญต้องยืนยันการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูงที่ตั้งโดยประธานาธิบดี อาทิ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของรัฐบาลกลาง และเอกอัครราชทูต หรือการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่เจรจาโดยฝ่ายบริหาร หรือในบริบทของประเทศไทย วุฒิสภามีบทบาทมากไปกว่านั้นโดยทำหน้าที่ให้การรับรองบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครอง[6]

ประการที่สี่ หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ในระบบการเมืองส่วนใหญ่มักจะให้อำนาจวุฒิสภาในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน โดยสามารถตั้งกรรมาธิการสอบสวน ติดตาม หรือตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นอกจากนี้ ในบางประเทศยังกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่เป็นศาลสูงสุดที่มีอำนาจพิจารณาคดี อาทิ ในอดีตศาลสูงสุดของประเทศสหราชอาณาจักรคือ ศาลสภาขุนนาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร แต่ภายหลังเมื่อสหราชอาณาจักรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปจึงได้มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากสภาขุนนางและตั้งเป็นศาลสูงสุดแทน[7] และ

ประการที่ห้า หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร[8] โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญอาจจะออกแบบระบบการเมืองให้สภาทั้งสองมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยอาจจะกำหนดให้วุฒิสภามีอายุยาวกว่าเพื่อประกันความต่อเนื่องของภารกิจเมื่อสภาผู้แทนราษฎรพ้นวาระไปก่อน นอกจากนี้ ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภามีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[9] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่น นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”[10]

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาบทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภาในข้างต้นแล้ว วุฒิสภาดูมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ในโลกนี้ก็มีหลายประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ออกแบบระบบการเมืองให้มีวุฒิสภา

ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่มีวุฒิสภา

เมื่อพิจารณาจำนวนประเทศในปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 80 ประเทศในโลกที่ออกแบบระบบการเมืองให้ใช้ระบบสองสภา คือ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่างและวุฒิสภาเป็นสภาสูง ดังเช่นปรากฏในภาพของ E-Public Law Project ที่แสดงให้เห็นประเทศที่ใช้ระบบสองสภา คือ ประเทศที่สีแดง และประเทศที่ใช้ระบบสภาเดียวคือ ประเทศสีฟ้า โดยนอกเหนือจากประเทศที่ใช้ระบบสองสภาและสภาเดียวแล้ว ระบบการเมืองในบางประเทศยังมีการกำหนดให้มีรูปแบบขององค์กรนิติบัญญัติที่แตกต่างจากระบบการเมืองข้างต้น (สีเขียวและสีเหลือง) อาทิ ในประเทศจีนที่ระบบการเมืองกำหนดให้มีสภาเดียวคือ สภาประชาชนแห่งชาติเป็นสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว แต่ในทางปฏิบัติและโครงสร้างระบบราชการของจีนก็กำหนดให้องค์กรทางการเมืองแบบคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ มีบทบาทมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือครอบงำการทำงานของสภาประชาชนแห่งชาติ หรือประเทศบรูไนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และไม่มีการตั้งองค์กรนิติบัญญัติที่อยู่ในรูปแบบของรัฐสภาที่มีผู้แทนจากประชาชน

ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีระบบการเมืองแบบสองสภา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทิศทางของหลายประเทศเริ่มปรับตัวไปสู่ระบบการเมืองที่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเป็นสภาเดียว โดยการยกเลิกตำแหน่งสภาสูงในหลายประเทศอาจจะเกิดขึ้นจากการทำประชามติเพื่อพิจารณาบทบาทและความจำเป็นในการมีสภาสูงที่ลดลง และการรัฐประหารทำให้เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มีการตั้งสภาสูง ซึ่งหากย้อนกลับไปพิจารณาสาเหตุของการไม่มีสภาสูงในหลายประเทศ มีที่มาจากความพยายามลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการนิติบัญญัติ หรือบทบาทของสภาสูงในประเทศหมดความจำเป็นแล้ว หรือต้องการประหยัดงบประมาณ หรือสภาสูงเป็นสัญลักษณ์ของระบบการเมืองแบบกษัตริย์และศักดินาที่หมดความจำเป็น ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ระบบการเมืองในหลายประเทศได้เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ระบบสภาเดียว โดยให้น้ำหนักและบทบาทไปที่สภาผู้แทนราษฎร[11]

ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

วุฒิสภาไทยเกิดขึ้นมาอย่างไร

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา โดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[12] โดยเมื่อย้อนกลับไปที่ความคิดของนายปรีดี ซึ่งเห็นว่าไม่ควรนำระบบสองสภามาใช้ในประเทศไทยโดยประเทศไทยควรมีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดังสะท้อนอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475[13]

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องมีระบบการเมืองที่กำหนดให้มีสองสภาจริงๆ นายปรีดี ได้ให้ความเห็นว่า สมาชิกของสภาสูงอย่างน้อยก็ควรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของราษฎร ซึ่งอาจใช้วิธีการเลือกตั้งสองชั้นโดยสภาเทศบาลหรือสภาจังหวัดหรือมิฉะนั้นก็โดยสภาผู้แทนราษฎร และให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกได้โดยเปิดเผย กับให้สภาผู้แทนราษฎรมีเวลาพอที่จะพิจารณาว่า ผู้สมัครคนใดควรได้รับการเลือกตั้ง”[14]

และสภาสูงควรมีบทบาทคือ ทำหน้าที่เพียง “ยับยั้ง” ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรได้เสนอ โดยถือว่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะหรือวัยวุฒิเพียงพอที่จะตริตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาในที่นี้จึงเป็น “ห้ามล้อ” ไม่ใช่เป็นการถ่วง โดยการห้ามล้อนี้ต้องคำนึงดุลยภาพแห่งอำนาจของระบบรัฐสภา ซึ่งในทางวิชาการที่เป็นประชาธิปไตยไม่ปรากฏว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมีการถ่วงดุลโดยอภิสิทธิ์ชน จนทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องทรุดเซไปและเสียดุลยภาพแห่งอำนาจในการบริหารประเทศ[15]

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ประเทศไทยมีสภาสูง ซึ่งนายปรีดีได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ทั้งนี้นายปรีดีไม่เห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้มีสองสภาตามที่รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เสนอให้มีการตั้งพฤฒสภาขึ้นมา[16]

พฤฒสภาซึ่งเป็นสภาสูงแรกที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นั้นยังดำเนินไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตยอยู่บ้าง โดยกำหนดให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยราษฎร[17] อย่างไรก็ดี บทบาทของพฤฒสภานั้นสั้นและสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งถูกล้มล้างโดยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490

ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งวุฒิสภาขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อจากพฤฒสภามาเป็นวุฒิสภาแทน[18] โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวังวนของการเกิดขึ้นของวุฒิสภาแต่งตั้ง[19] โดยสถานการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534[20] และมาถึงจุดที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในช่วงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด[21]

บทบาทของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นไปเพื่อถ่วงและทำลายสมดุลแห่งอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และรักษาความต่อเนื่องของระบอบรัฐประหาร[22] แต่สภาพลักษณะดังกล่าวก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เน้นความสูงวัยแบบไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีอำนาจล้นเหลือ

ก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพ้นวาระไป คณะรัฐประหารได้วางกลไกสืบทอดอำนาจของตัวเองไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกำหนดเรื่องการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา โดยการสรรหานั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของ คสช.[23] ซึ่งกระบวนการสรรหาดังกล่าวนั้นแทบจะทำให้สมาชิกวุฒิสภาชุดที่ 12 นี้ ไม่แตกต่างอะไรจากการได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจาก คสช.

ผลที่ได้รับจากการสรรหาของ คสช. คือ การได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความภักดีต่อ คสช. ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ชาย แก่เกษียณอายุจากวงราชการที่ตบเท้าเข้ามาจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ กองทัพ ข้าราชการ และผู้ทรงภูมิรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ ที่ คสช. เลือกสรรเข้ามา[24]

ปัญหาสำคัญคือ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้สวนทางกับหลักการประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วโลก เพราะในทางหลักการอำนาจควรจะมาพร้อมกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตย องค์กรใดจะมีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญมากก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงต่อประชาชน ทว่า วุฒิสภาชุดนี้กลับมีอำนาจเทียบเท่า ส.ส. ทั้งๆ ที่กระบวนการสรรหามีความไม่โปร่งใสและชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เมื่อพิจารณาอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พบว่าวุฒิสภามีอำนาจทั้งหมด 6 ลักษณะ ได้แก่ การประชุมวุฒิสภาและกรรมาธิการต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง[25] ตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีผ่านการตั้งกระทู้ถาม เปิดอภิปรายคณะรัฐมนตรีและส่งชื่อเพื่อกล่าวหา/ถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ[26] ทำหน้าหน้าที่ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะรัฐสภา[27] พิจารณากฎหมาย[28] ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ[29] และอำนาจอื่นๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ อาทิ ให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระในการจัดทำมาตรฐานจริยธรรม[30] พิจารณาข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ[31] ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ[32] สกัดกั้นกฎหมายยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษสำหรับความผิดทุจริตคอรัปชัน[33]

เหนือสิ่งอื่นใดวุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจในช่วงระยะเวลา 5 ปี แรกในการเห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี[34] ซึ่งเป็นอำนาจวิเศษที่ถูกเพิ่มเติมมาผ่านคำถามพ่วงในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

“ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปกติ ส.ว. เนี่ย ไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่นะ ไม่มีสิทธิไปโหวตใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญ โดยเสนอในสมัยที่ผมยังเป็น สปท. ให้ ส.ว. 250 คนนี้ มีสิทธิร่วมในการโหวตคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเป็นคำถามพ่วง พวกเราจำได้อ๊ะเปล่า คำถามพ่วงนี้โหวตทั่วประเทศได้ 15 ล้านเสียง ว่าเห็นด้วยว่าให้ ส.ว. ที่ คสช. ตั้งมาเนี่ย มีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรี”

วันชัย สอนสิริ

เบื้องหลังของบทบัญญัติมาตรานี้มีที่มาจาก นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งได้ออกมายอมรับอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเป็นผู้ยกร่างหลักการในเรื่องนี้ ดังความข้างต้น[35]

ดังจะเห็นได้ว่า บทบาทของสมาชิกวุฒิสภาในทุกวันนี้กำลังพ้นไปไกลจากวุฒิสภาสากลที่ควรจะเป็นในต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ทรงวุฒิที่ให้คำปรึกษาหรือทำในลักษณะแบบที่นายปรีดีได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า ทำหน้าที่คอยยับยั้งเสมือนเบรกที่ทำหน้าที่เพียงชะลอความเร็วไม่ใช่เป็นสภาถ่วง

แต่วุฒิสภาประเทศไทยในเวลานี้กลับดำเนินการตรงข้ามกับหลักการที่ควรจะเป็น กลายเป็นสภาถ่วงพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และล้มเหลวในการทำหน้าที่อื่นๆ อาทิ การช่วยกลั่นกรองกฎหมายหรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาวุฒิสภาชุดที่ 12 ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ในคาถาของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่ผ่านกฎหมายกว่า 40 ฉบับ โหวตตรงกันเกือบร้อยละ 98 ของจำนวนการโหวตทั้งหมด[36] ยังไม่รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้นำเหล่าทัพที่ตบเท้าเข้ามาดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่แทบจะไม่เคยเข้าร่วมประชุมวุฒิสภา[37]

สภาพดังกล่าวนี้อาจจะถึงเวลาที่สังคมไทยต้องกลับมาทบทวนการดำรงบทบาทของวุฒิสภาในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การปิดสวิตช์วุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ แต่อาจจะถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทางเลือกในการยุบวุฒิสภาทิ้งแล้วหรือไม่ เพราะหากกลับไปที่จุดมุ่งหมายของการมีวุฒิสภาที่ทำหน้าที่ 5 ประการ บทบาทเหล่านี้อาจจะถูกอุดช่องว่างได้แล้วหรือไม่ อาทิ

  • หน้าที่ในการตรากฎหมาย ซึ่งหากเหลือเพียงสภาเดียวกระบวนการพิจารณากฎหมายอาจทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกันข้อกังวลเรื่องการไม่มีกระบวนกลั่นกรองที่ละเอียดเพียงพอและอาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการดังกล่าวก็มีช่องทางอื่นที่รองรับการแก้ไขไว้ อาทิ การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติ
  • หน้าที่เป็นผู้แทน ซึ่งหากพิจารณาบริบทของวุฒิสภาชุดที่ 12 นั้นแทบไม่ได้เป็นผู้แทนของใครนอกจากผู้แทนของ คสช. ซึ่งตั้งวุฒิสภาชุดนี้ขึ้นมา ประกอบกับประเทศไทยไม่มีบริบทเช่นเดียวกับสภาขุนนางอังกฤษหรือวุฒิสภาทำหน้าที่ตัวแทนของมลรัฐ ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาเป็นผู้แทนจึงไม่มีความจำเป็น
  • หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอมให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอาจจะแก้ไขได้ด้วยการมอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎร โดยสภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองขนาดเล็กร่วมกันกับการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่แทนวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรก็ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด รวมถึงมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งมากกว่าอำนาจของวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้สร้างกลไกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไว้มากมาย องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการป้องกันการทุจริตได้โดยไม่ต้องมีวุฒิสภา

ท้ายที่สุดภาคประชาชนคือส่วนสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย กระบวนการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่หลายพรรคการเมืองพูดถึงควรจะมาพร้อมกับการเสริมสร้างอำนาจที่ทำให้รัฐราชการโปร่งใส ให้ข้อมูลและตระหนักถึงสิทธิประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหากทำให้หลักการของความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนมีคุณวุฒิมาชี้นำสังคมในแบบวุฒิสภาปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[3] ibid p. 6.

[4] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาขุนนางอังกฤษ,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 (พ.ค.-มิ.ย. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[5] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาที่สองในระบบรัฐสภา,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-ก.พ. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 และโกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,” วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 5, สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[6] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[7] Legislation.gov.uk, Constitutional Reform Act 2005 Section 23 (1)

[8] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[9] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 250.

[10] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[11] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014), p. 6-7.

[12] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[13] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[14] วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์และวิษณุ วรัญญู, แนวความคิดประชาธิปไตย ของ ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 136.

[15] เพิ่งอ้าง น. 136.

[16] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[17] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 24 และมาตรา 25.

[18] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 8.

[19] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 33.

[20] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 12.

[21] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 121.

[22] ดู บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ใน Dhanadis – ธนดิศ, ‘ส.ว. มีไว้ทำไม ?’ (Youtube, 20 พฤษภาคม 2566),  สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[23] ILaw, ‘ไม่ใช่แค่บิ๊กป้อมนั่งประธาน กรรมการสรรหา ส.ว. คสช. เลือกเอง ทั้งทีม’ (ILaw, 26 กุมภาพันธ์ 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[24] เพิ่งอ้าง และ ILaw, ‘เปิดบันทึกประชุม คสช. ตอนคัดเลือก ส.ว. 250 คน นัดเดียวจบ’ (ILaw, 8 ธันวาคม 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[25] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129.

[26] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 150 มาตรา 153 และมาตรา 236.

[27] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 156 มาตรา 165 มาตรา 177 และมาตรา 178.

[28] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 136 มาตรา 137 มาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 146 มารตรา 148 มาตรา 172 และมาตรา 173.

[29] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 204 มาตรา 222 มาตรา 228 มาตรา 232 มาตรา 238 มาตรา 241 มาตรา 246.

[30] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 219.

[31] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 256.

[32] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 270.

[33] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 271.

[34] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 272.

[35] Wikipedia, ‘วันชัย สอนศิริ’ (Wikipedia, 18 พฤษภาคม 2566), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[36] ILaw, ‘สภาหุ่นยนต์! ส.ว.แต่งตั้ง ผ่านกฎหมายอย่างน้อย 40 ฉบับ โหวตทางเดียวกันไม่แตกแถวถึง 98%’ (ILaw, 23 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[37] ILaw, ‘ส.ว. แต่งตั้ง: ผู้นำเหล่าทัพ รับเงินจากสภาและกองทัพ แต่มาลงมติในสภาไม่ถึง 7%’ (ILaw, 30 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม

ชื่องานศึกษา: รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม

ผู้ศึกษา: คณะทำงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา. (2567). รายงานผลการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา.

คณะทำงานพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการประกอบบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน ภายใต้คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดินได้จัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น โดยรวบรวมผลการศึกษา ข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน และโรงแรม