แม่ เมีย และผู้หญิง : การเมืองไทยใน “มาลัยสามชาย”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ไม่ได้เพียงแต่ให้ความบันเทิงกับผู้อ่าน ซึ่งส่วนสำคัญของความบันเทิงดังกล่าวเกิดจากความสนุกสนานของเนื้อเรื่องที่สื่อสารมายังผู้อ่าน อีกทั้งงานวรรณกรรมที่ดีนั้น ยังมีการใช้ภาษาที่สละสลวยและถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกมายังผู้อ่าน ทำให้เกิดจินตนาการสอดประสานไปกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้

อย่างไรก็ดี คุณค่าของงานวรรณกรรมนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะความบันเทิงหรือความสุนทรียะที่เกิดจากการใช้ภาษาที่สละสลวยเท่านั้น คุณค่าอีกประการหนึ่งที่งานวรรณกรรมกำลังทำหน้าที่ก็คือ “การสะท้อนสังคม”

เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้เคยอธิบายไว้ว่า วรรณกรรมทุกเรื่องมีบทบาทในการสะท้อนสังคมเพียงแต่จะมากหรือน้อย จะถูกต้องหรือบิดเบือนเพียงใดเท่านั้นเอง เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะวรรณกรรมเป็นกิจกรรมที่คนเรากระทำต่อธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสิ่งที่ล้อมรอบอยู่กับตัวของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง อาทิ เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม ซึ่งวรรณกรรมย่อมมีส่วนถ่ายทอดประเด็นทางสังคมเหล่านี้ออกมา รวมถึงทัศนคติของผู้ประพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติ และสภาพสังคมในเวลานั้น[1] โดยเฉพาะหากวรรณกรรมดังกล่าวมีลักษณะเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์แล้ว วรรณกรรมดังกล่าวอาจจะกำลังทำหน้าที่มากไปกว่าความบันเทิง การสร้างสุนทรียภาพ และการสะท้อนสังคม แต่วรรณกรรมดังกล่าวอาจกำลังสร้างปฏิบัติการของการสร้างความทรงจำร่วมกันของคนในสังคม

ในบทความนี้ผู้เขียนจะขอนำผู้อ่านมาพิจารณาเนื้อหาของนวนิยายเรื่อง “มาลัยสามชาย” โดยมองมิติการเมืองผ่านตัวตนของผู้หญิงในนวนิยายเรื่องนี้

คำเตือน บทความนี้มีการหยิบเนื้อหาบางส่วนของนวนิยายเรื่องมาลัยสามชาย และกล่าวถึงเนื้อหาบางส่วนจากละครโทรทัศน์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน หากผู้อ่านประสงค์จะติดตามเนื้อหาของนวนิยายหรือละครโดยละเอียด โปรดอย่าอ่านต่อ

‘มาลัยสามชาย’ และเบื้องหลังของผู้ประพันธ์

“มาลัยสามชาย” เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยรองศาสตราจารย์ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ หรือรู้จักในนามปากกาว่า ว. วินิจฉัยกุล หรือ แก้วเก้า เป็นนักประพันธ์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงจากการเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ และแนวแฟนตาซีหลายเรื่อง

กล่าวเฉพาะเกี่ยวกับมาลัยสามชาย ซึ่งเป็นนวนิยายที่คุณหญิงวินิตา เขียนโดยใช้นามปากกาว่า ว. วินิจฉัยกุล เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารพลอยแกมเพชรโดยเขียนเป็นตอนสั้นๆ ก่อนจะถูกนำไปรวมเล่มในปี พ.ศ. 2550

เนื้อเรื่องโดยรวมของมาลัยสามชายนี้ เป็นการเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของ “ลอออร” หรือ “คุณหญิงโยธาบดี” ในเวลาต่อมา

‘ลอออร’ เกิดและมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 9[2] ผ่านชีวิตการแต่งงานมีครอบครัวมา 3 ครั้ง ก่อนจะพบความสุขในชีวิตคู่ในตอนสุดท้าย โดยชีวิตของลอออรนั้นได้เข้าไปเกี่ยวพันกันกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลานั้นอย่างใกล้ชิดที่นวนิยายในแต่ละช่วงจะได้อธิบายเรื่องดังกล่าวผ่านมุมมองของตัวละครต่างๆ

ในแง่วรรณศิลป์ ผู้เขียนอาจจะไม่แสดงความเห็นต่อนวนิยายเรื่องนี้มาก เนื่องจากนวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทนวนิยาย จากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจากการอ่านผู้เขียนก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับการได้รับรางวัลดังกล่าว[3]

อีกสิ่งที่น่าสนใจของนวนิยายเรื่องมาลัยสามชายนี้คือ การที่ผู้ประพันธ์ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องย้อนหลังจากช่วงเวลาปัจจุบัน โดยอาศัยความทรงจำของตัวละครอื่นในเรื่องเพื่ออธิบายเกี่ยวกับชีวิตของลอออร[4] ซึ่งถูกมองว่ามีความแปลกและแตกต่างไปจากชีวิตของผู้หญิงทั่วๆ ไปในช่วงเวลาเดียวกัน ประกอบกับมีการผูกโยงเรื่องราวเข้ากับเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์อย่างการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475

การเล่าเรื่องในลักษณะดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนเป็นกับการอธิบายชีวประวัติของบุคคลที่เสมือนมีตัวตนอยู่จริง และสร้างน้ำหนักที่มีความสมจริงให้กับบทประพันธ์มากยิ่งขึ้น ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นความแยบคายและเฉียบคมของผู้ประพันธ์ที่ช่วยให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครได้มากขึ้น คล้ายๆ กับที่ผู้อ่านมีความรู้สึกร่วมกันกับบทประพันธ์อย่างสี่แผ่นดิน

อนึ่ง แม้ว่าจะไม่ปรากฏแน่ชัดว่า คุณหญิงวินิตาได้อิทธิพลของตัวละครลอออรมาจากที่ใด (คำกล่าวอ้างจำนวนหนึ่งได้เล่าว่า ผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของผู้หญิงคนหนึ่ง หรือการตามมารดาไปเจอญาติผู้ใหญ่ และอีกส่วนก็กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของคุณหญิงมณี สิริวรสาร)  อย่างไรก็ดี อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ได้นำเสนอแง่มุมการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ ภูมิหลังสำคัญของผู้ประพันธ์มีส่วนสำคัญในการเติมเต็มเรื่องราวของลอออร กล่าวคือ ผู้หญิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายวัลลภ วินิจฉัยกุล และนางกาญจนี วินิจฉัยกุล สมรสกับนายสมพันธ์ ดิถียนต์ และมีบุตรสาวสอง

ด้วยเหตุนี้ การเลือกสร้างตัวละครนำให้เป็นผู้หญิงจึงอาจจะมีความราบรื่นมากกว่า ประกอบกับการที่ผู้อ่านหลักของเรื่องนี้ในช่วงแรกเป็นผู้หญิงในนิตยสารสตรี ทำให้การใช้ตัวละครหญิงเพื่อนำเสนอคุณค่าใหม่ของผู้หญิงทำให้ผู้อ่านรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจตัวละครมากยิ่งขึ้น[5]

บทบาทของแม่ เมีย และผู้หญิงในช่วงเปลี่ยนผ่านสังคมและการเมือง

ด้วยเหตุที่เป้าหมายดั้งเดิมของผู้ประพันธ์ในนวนิยายเรื่องมาลัยสามชายโดยตีพิมพ์ในนิตยสารพลอยแกมเพชรที่เป็นนิตยสารสตรี มีกลุ่มผู้อ่านหลักในเวลานั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งการดำเนินเรื่องโดยตัวละครผู้หญิงอาจจะทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการถึงภาพและทำความเข้าใจบริบทของตัวละครได้ดีกว่า ประกอบกับด้วยภูมิหลังของผู้เขียนดังที่ได้มีการกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นวนิยายไม่เพียงแต่มีตัวละครเอกเป็นผู้หญิง ทว่า การดำเนินเรื่องโดยส่วนใหญ่จะดำเนินผ่านตัวละครผู้หญิงที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครลอออร อาทิ แม่ของลอออร คุณป้าจรวย (ป้าของลอออร) คุณประยงค์ (พี่สาวของสามีคนแรก) เสด็จพระองค์หญิง ทองไพรำ และเครือญาติฝ่ายหญิงของสามีสองคนแรก โดยที่ตัวละครแต่ละตัวนั้นฉายภาพของผู้หญิงในบริบทของสังคมเวลานั้นๆ

ในนวนิยายผู้ประพันธ์สร้างตัวละครลอออรให้เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นบุตรสาวคนโตของพระยาวรพันธ์กับภริยาคนแรก ภายหลังจากมารดาถึงแก่กรรมก็ได้อยู่ภายใต้การอุปการะของคุณป้าจรวยโดยถวายตัวเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิง จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 18 ปี ลอออรได้แต่งงานกับ ยศ พลาธร บุตรชายคนเดียวของพระยาพลาธรกับภริยาเอกที่เพิ่งกลับมาจากเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ชีวิตสมรสก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะในเวลาต่อมายศได้พาทองไพรำเข้ามาในบ้าน ทำให้ลอออรได้ตัดสินใจเลิกลา และกลับเข้าวังเพื่อรับราชการเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิงอีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งเสด็จพระองค์หญิงสิ้นพระชนม์จึงได้ออกมาอยู่นอกวัง ได้พบรักและแต่งงานกับนายพันโทพระสุรกิจเกรียงไกร หรือ เทพ ราชศักดิ์ มีครอบครัวด้วยกันจนกระทั่งชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ทำให้เทพต้องลี้ภัยทางการเมืองตามเจ้านายพระองค์หนึ่ง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนท้ายที่สุดลอออรได้ตกหลุมรักและตกลงแต่งงานกับเจ้าดิเรกรุจ ผู้มีสถานะเป็นเจ้านายวงศ์ล้านนา

ตลอดนวนิยายเรื่องนี้จะนำเสนอบทบาทของผู้หญิงใน 3 แง่มุม คือ การเป็นแม่ เมีย และผู้หญิงที่ดีในกรอบขนบของสังคมไทย แม้ว่าตัวละครบางตัวจะไม่ได้ต้องดำรงบทบาททั้ง 3 บทบาท แต่ต้องดำรงบทบาทของผู้หญิงที่ดีในกรอบขนบของสังคมไทยที่ได้รับการส่งเสริมด้วยสถานะของผู้หญิงที่ทรงศักดิ์ที่จะมีอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้บทบาทที่สังคมคาดหวังให้เป็นแม่และเมีย ดังจะเห็นได้จากกรณีของเสด็จพระองค์หญิง ซึ่งเป็นเจ้านายที่ลอออรได้เข้ามาถวายตัวเป็นนางข้าหลวงตั้งแต่ยังเด็ก หรือกรณีของคุณจรวย และคุณประยงค์ ซึ่งทั้งสองคนก็มีสถานะเป็นนางข้าหลวงและเป็นลูกหลานของผู้ดีที่มีสถานะได้รับการยอมรับจากสังคม (แม้ว่าในนวนิยายจะอธิบายเหตุที่คุณประยงค์ไม่ได้สมรสเอาไว้ แต่การอยู่โดยมีสถานะทางสังคมที่สูงก็ทำให้รอดพ้นจากความคาดหวังดังกล่าว)[6]

โดยทั่วไปบทบาททั้งสามนั้น ครอบคลุมกับตัวละครเกือบทุกตัวในนวนิยายเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลอออร ที่แม้ว่าผู้ประพันธ์พยายามเน้นย้ำกับผู้อ่านว่า ลอออรไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นในยุคสมัยเดียวกัน[7] ดังปรากฏตามบทประพันธ์ว่า

“เริ่มตั้งแต่ชื่อ คุณย่า (ลอออร)  ก็ไม่เหมือนคนแก่ในวัยเดียวกันเสียแล้ว ยิ่งถ้ารู้จักคุณย่า ก็จะพบว่ามีอีกหลายๆ อย่างผิดแผกจากคนรุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่รุ่นหลังท่าน” หรือ “ชีวิตส่วนตัวของคุณย่า (ลอออร) เป็นอีกอย่างที่ไม่เหมือนคนแก่คนอื่นๆ…คุณปู่กับคุณย่ารับประทานขนมปังทาเนยบางๆ สลับกับข้าวต้มเครื่องในบางวัน ตอนบ่ายแม่บ้านยกน้ำชาฝรั่งมาให้คุณย่ากับคุณปู่ที่ลานสนามข้างบ้าน พร้อมของว่างประเภทแซนด์วิช…”[8]

ความแตกต่างที่ผู้ประพันธ์พยายามเน้นย้ำให้ผู้อ่านทราบในนวนิยายก็คือ การปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมัยใหม่หรือการรับเอาวัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นอกจากเรื่องการกิน ดังยกตัวอย่างมาแล้วในข้างต้น ในบทประพันธ์จะอธิบายว่า ลอออรมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าป่านหรือลูกไม้ คอปก แขนสามส่วน กับนุ่งผ้าไหมยาวเลยน่อง สีสันไปทางเดียวกัน และไม่เดินเท้าเปล่า แม้แต่เวลาที่อยู่ในบ้านก็จะใส่รองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้าน หรือการมีกิจวัตรประจำวันในการดูการ์ตูนสั้นขาวดำที่นำเข้าจากต่างประเทศ การเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงฟังเพลงสากล รวมถึงการมีทักษะการทำงานบ้าน อาทิ การทำบัญชี การปักผ้าครอสติช ถักโครเชต์ ถักแท็ตติดผ้าเช็ดหน้า จัดดอกไม้ และทำอาหารฝรั่งประเภทสตูว์ เนื้ออบ และมันฝรั่งอบยัดไส้ รวมถึงลอออรสามารถขับรถและยิงปืนได้อีกด้วย[9]

การอธิบายคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นในนวนิยายเป็นการอธิบายว่า ลอออรมีลักษณะแตกต่างไปจากผู้หญิงทั่วไปในยุคสมัยเดียวกัน แต่ผู้ประพันธ์ยังคงสร้างตัวละครลอออรให้เป็นผู้หญิงตามขนบของหญิงไทยที่เพียบพร้อมในสมัยก่อน[10] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นการรับมือกับการเปลี่ยนผ่านทางยุคสมัยและความเป็นสมัยใหม่ภายใต้อิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาสู่สังคมไทยของชนชั้นนำ ซึ่งแม้จะมีการปรับเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางอย่าง อาทิ การกิน การแต่งกาย และการใช้ชีวิตความบันเทิง แต่ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบภายนอก ในทางตรงกันข้ามองค์ประกอบทางจิตใจนั้นยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งคุณค่าของความเป็นไทยบางอย่างที่ถูกยกย่องให้สูงส่งกว่า อาทิ ความเป็นกุลสตรีไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างตัวตนของความเป็นไทย[11]

ความเป็นกุลสตรีไทยที่ถูกเน้นย้ำนั้น ยึดโยงกับบทบาทของการเป็นนางแก้ว ตามการวิเคราะห์ของ อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ได้อธิบายว่า ลอออรเป็นหญิงสาวผู้มีคุณสมบัติของการเป็นศรีภริยา กล่าวคือ เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและคุณสมบัติของความเป็นผู้ดี รวมถึงการมีชาติตระกูลและภูมิหลังที่ดีโดยได้รับการอบรมจากในวังของเสด็จพระองค์หญิง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลทางความคิดและเป็นตัวแบบให้กับลอออร[12] การสร้างตัวละครเสด็จพระองค์หญิงขึ้นมาจึงอาจมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำว่าลอออรได้รับการถ่ายทอดคุณลักษณะของความเป็นกุลสตรีชาววังมาโดยตรง

บทบาทของการเป็นนางแก้วผู้เป็นเมียของลอออรยังได้รับการเน้นย้ำจากผู้ประพันธ์ไว้ในหนังสือ โดยเมื่อลอออรแต่งงานกับยศ สามีคนแรก ดังปรากฏในบทประพันธ์ว่า “ไม่รักก็บ้าแล้ว นางแก้วอย่างน้องอรไปหาได้ที่ไหนอีก เรารักมาตั้งแต่เห็นหน้า”[13]

การเปรียบเทียบลอออรเป็นนางแก้วซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิตามคติแบบไตรภูมินั้นเป็นการยกย่องลอออรไว้ในสถานะที่สูงส่ง เพราะไม่เพียงการเป็นศรีภริยาทั่วไปนั้น แต่ยังเป็นผู้หญิงที่ดี เป็นเมียที่ดี รู้จักปรนนิบัติสามีให้ได้รับความสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ[14]

มิเพียงเท่านั้นเมื่อลอออรจบความสัมพันธ์กับยศ และได้ไปแต่งงานกับนายพันโทพระสุรกิจเกรียงไกรหรือเทพ ที่ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นพันเอกพระยาโยธาบดี สามีคนที่สอง ลอออรยังคงปฏิบัติหน้าที่ศรีภริยาโดยการดูแลปรนนิบัติสามี รวมถึงคอยต้อนรับเพื่อนร่วมงานของสามีไม่ให้สามีต้องขายหน้า ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของภริยาตามขนบของการเป็นช้างเท้าหลังได้เป็นอย่างดี รวมถึงปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่ที่ดีทั้งกับลูกของตัวเองและลูกติดของสามี

บทบาทของการเป็นกุลสตรีไทยนี้มีเป็นจุดสำคัญของเรื่อง แม้ว่าลอออรจะท้าทายขนบธรรมเนียมของสังคมด้วยการเป็นหญิงสามผัว ซึ่งตามคติของคนไทยที่มีคำพังเพยว่า “หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์คบไม่ได้” ซึ่งเป็นการมองว่า ผู้หญิงที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้วหลายหนย่อมต้องเป็นผู้หญิงที่มีปัญหา รวมถึงการผ่านชีวิตสมรสมามากก็อาจจะมีเล่ห์กลสามารถออดอ้อนมารยาสาไถยสามีได้[15]

ในกรณีของลอออรนั้น ด้วยการเป็นกุลสตรีที่วางตัวมาอย่างดีทำให้เมื่อมีการสิ้นสุดความสัมพันธ์กับสามีคนที่หนึ่งและคนที่สอง จนมาแต่งงานกับเจ้าดิเรกรุจ สามีคนที่สามก็ไม่มีใครว่ากล่าวในทางเสียหาย โดยมองว่าการสิ้นสุดความสัมพันธ์กับยศสามีคนแรกก็เป็นเพราะยศนั้นเป็นคนไม่ดีเองที่ทอดทิ้งลอออรไปมีผู้หญิงใหม่ คือ ทองไพรำ เป็นเหตุให้ลอออรขอหย่ากับสามี

ส่วนการแต่งงานครั้งที่สองสิ้นสุดลงเป็นเสมือนการสิ้นบุญวาสนากัน แต่การวางตัวดีของลอออรนั้นทำให้แทนที่จะถูกนินทาว่าร้ายจากคนในสังคม ในทางตรงกันข้ามคนในสังคม รวมถึงญาติตระกูลของยศก็กลับเชิดชูลอออรเสมือนเป็นคนในครอบครัวและยังคงไปมาหาสู่กันอยู่ หรือแม้แต่เมื่อพระยาโยธาบดีถึงแก่กรรมลอออรก็ยังคงวางตัวเป็นอย่างดี โดยพยายามสกัดกั้นความสัมพันธ์และความรู้สึกที่มีต่อเจ้าดิเรกรุจ

การหย่าขาดกับสามีคนแรกมีลักษณะแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในเวลานั้น เพราะด้วยว่าธรรมเนียมในอดีตกาลที่ผู้ชายมีหลายเมียนั้นเป็นเรื่องปกติ คติของการมีผัวเดียวเมียเดียวเป็นสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นจากการรับวัฒนธรรมแบบวิกตอเรียนเข้ามาในสังคมไทยในช่วงราวๆ รัชกาลที่ 6 และเป็นรูปเป็นร่างเมื่อภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475[16] ประกอบกับผู้หญิงในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 นั้นมีโอกาสทางอาชีพค่อนข้างน้อย[17] ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อลอออรหย่าขาดจากยศแล้ว จึงเลือกที่จะกลับไปเป็นนางข้าหลวงของเสด็จพระองค์หญิงแทน แต่การหย่าดังกล่าวไม่ได้ทำให้ลอออรถูกมองในแง่ร้าย ในทางกลับกันตัวละครต่างๆ ในเรื่องกลับมองว่าลอออรเป็นผู้หญิงที่ดีและมีคุณค่าจนเสียดาย

จากที่ได้อธิบายมาข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า นวนิยายเรื่องมาลัยสามชายเป็นตัวแสดงอำนาจทางการเมืองของจารีตแบบไทยที่ทาบทับบนตัวตนของผู้หญิงแบบลอออร เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ว่าในลักษณะใดๆ ก็ตามในสังคมนั้น ถูกกำกับโดยกติกาและกลไกในการทำให้สยบยอม เรื่องความสัมพันธ์จึงเป็นมิติหนึ่งของการเมือง[18] ซึ่งแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการแต่งตัว และวิถีชีวิตบางด้านให้เป็นไปตามแนวทางสมัยใหม่จากตะวันตก แต่บทบาทและจุดยืนเบื้องหลังของลอออรยังคงยึดโยงอยู่กับคุณค่าของความเป็นไทย ทำให้ตัวตนของผู้หญิงเป็นพื้นที่ต่อรองทางการเมืองลักษณะหนึ่ง

อย่างไรก็ดี นวนิยายเรื่องมาลัยสามชายนั้น ไม่ได้แสดงความเป็นการเมืองเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์ที่กำกับเหนือตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิงอย่างลอออร แต่ตัวนวนิยายเองก็เป็นผลผลิตของการเมืองด้วยเช่นกัน

การเมืองใน ‘มาลัยสามชาย’ ภาพสะท้อนผ่านผู้หญิง

ไม่เพียงแต่ความสนุกที่ได้จากเรื่องราวของนวนิยาย แต่จากการวิเคราะห์บทบาทของลอออรผ่านความเป็นแม่ เมีย และกุลสตรีไทยนั้นจะทำให้เห็นภาพของอำนาจทางการเมืองของจารีตแบบไทยที่ทาบทับบนตัวตนของผู้หญิงแบบลอออร นอกจากนี้ นวนิยายเรื่องนี้ยังให้นัยทางการเมืองแอบแฝงเอาไว้ในเนื้อเรื่อง

นัยอย่างหนึ่งที่นวนิยายเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ประพันธ์จะจงใจหรือไม่ก็ตาม มาลัยสามชายได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความทรงจำรวมหมู่ (collective memory) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องย้อนหลังจากปัจจุบันมาสู่อดีต โดยอาศัยข้อเท็จจริงและมีการอ้างอิงถึงตัวบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริง แม้จะไม่ได้สื่อสารไปในลักษณะที่ชัดเจนว่าหมายถึงตัวบุคคลใดตรงๆ[19] แต่ความคล้ายกันและความคลุมเครือดังกล่าวทำให้นวนิยายที่นำเสนอเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน จนยากที่จะแยกว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ในขณะเดียวกันการสื่อสารในลักษณะดังกล่าวอาศัยข้อได้เปรียบของการเป็นนวนิยาย ทำให้ปฏิเสธความแม่นยำหรือความถูกต้องของพยานหลักฐาน  ทว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ถูกนำเสนอเข้าไปในความทรงจำรวมหมู่ของคนในสังคมแล้ว[20]

แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของมาลัยสามชายจะกล่าวถึงการแต่งงาน ความสัมพันธ์ของตัวละคร และชีวิตสมรส แต่ผู้ประพันธ์ก็ผูกเรื่องการเมืองไว้กับชีวิตแต่งงานของตัวละครอย่างแยบยล[21] ตัวอย่างของการเมืองในมาลัยสามชายนี้ที่สะท้อนผ่านชีวิตของลอออร อาทิ การนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 และทัศนคติของตัวละครที่มีต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว

ในนวนิยายเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามเกิดขึ้นในช่วงที่ตัวลอออรได้แต่งงานครั้งที่ 2 กับพันเอกพระยาโยธาบดี ซึ่งเป็นบุตรชายของพระยาราชศักดิ์ นายทหารคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันพันเอกพระยาโยธาบดีรับราชการเป็นราชองค์รักษ์ของจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงสถานะของพันเอกพระยาโยธาบดีในฐานะของตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมที่อยู่ตรงกันข้ามกับคณะราษฎร โดยที่ไม่ปรากฏชัดว่าผู้ประพันธ์จะจงใจหรือไม่ แต่ตัวละครที่ผู้ประพันธ์เลือกนำมาใช้นำเสนอภาพแทนคณะราษฎร คือ พระยานราภิบาล โดยอธิบายบุคลิกลักษณะของตัวละครทั้งสองให้ตรงข้ามกัน

ภาพการอธิบายตัวละครพระยาโยธาบดีนั้น จะถูกนำเสนอในรูปแบบของนายทหารผู้มีเกียรติ มีภริยาที่เพียบพร้อม และมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ แต่ในนวนิยายผู้ประพันธ์กลับอธิบายลักษณะของพระยานราภิบาลในด้านลบ อาทิ การอธิบายว่าพระยานราภิบาลเป็นคนไม่จงรักภักดี เป็นคนแปดเหลี่ยมสิบสองคม ความประพฤติไม่น่าไว้ใจ เกลียดเจ้า และมักใหญ่ใฝ่สูง[22] ดังตัวอย่างปรากฏในบทประพันธ์ว่า

“ผมทราบว่าเจ้าคุณนราเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง…วิ่งเต้นประจบประแจงเจ้านายไม่สำเร็จ ก็หันไปทางอื่น จึงไม่อยากเกี่ยวดองด้วย ไม่อยากให้แปดเปื้อนมาถึงสกุลราชศักดิ์”[23]

สิ่งนี้ทำให้พระยาโยธาบดีพยายามกีดกันเพื่อไม่ให้ลูกสาวและนรินทร์ ลูกชายของพระยานราภิบาลได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกัน ถึงขนาดลงโทษลูกสาวอย่างหนักเมื่อทราบว่าไปพบเจอกับนรินทร์[24] แม้ว่าในช่วงต้นของนวนิยาย ผู้ประพันธ์จะปูเรื่องมาให้เข้าใจว่า พระยาโยธาบดีไม่ชอบพอวิธีการเลี้ยงลูกของพระยานราภิบาล ดังปรากฏในบทประพันธ์ว่า

“หมายถึงบ้านนั้น เขาเลี้ยงลูกไม่เหมือนเรา พี่ไปรับลูก เห็นหนุ่มๆ นั่งกันอยู่เต็มสนาม ปนเปกับสาวๆ หัวร่อต่อกระซิก ไม่มีผู้ใหญ่ให้เห็นสักคน มัวขึ้นไปอยู่บนตึกกันหมด ไม่งาม ไม่รู้ว่าเจ้าคุณนรากับคุณหญิงคิดอย่างไร”[25]

ข้อความดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพความแตกต่างระหว่างจุดยืนของพระยาโยธาบดีกับพระยานราภิบาล ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ประพันธ์ยังได้สร้างภูมิหลังของพระยานราภิบาลให้มีลักษณะห่างไกลจากการเป็นคนมีชาติตระกูลที่ดีเป็นแค่คนมีฐานะพอมีพอกิน เติบโตในหน้าที่การงานด้วยเส้นสายและเงินทองของภริยา คุณหญิงประไพ ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าสัวในย่านสำเพ็งไม่ใช่ลูกผู้ดีมีชาติตระกูลแบบลอออร[26]

นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์ยังได้ขยายความขัดแย้งระหว่างพระยาโยธาบดีและพระยานราภิบาลให้มากขึ้น โดยอธิบายว่า เมื่อมีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระยานราภิบาลได้อาศัยอำนาจทางการเมืองทำเรื่องเลวร้าย อาทิ การยุแยงให้ผู้นำของคณะราษฎรเนรเทศให้พระยาโยธาบดีออกจากสยามไปพร้อมกับเจ้านายที่พระยาโยธาบดีรับใช้ และการพยายามข่มเหงให้ลอออรมีความสัมพันธ์กับตนเพื่อแลกกับจดหมายของพระยาโยธาบดี เนื่องจากพระยานราภิบาลประสงค์จะได้ลอออรมาเป็นภริยาอีกคนหนึ่ง

การที่บทประพันธ์กำหนดให้พระยานราภิบาลพยายามเกี้ยวพาราสี และคอยที่จะข่มเหงลอออรนั้น โดยที่ผู้ประพันธ์กำหนดให้พระยานราภิบาลเป็นสมาชิกและเป็นตัวแทนของคณะราษฎรโดยรวม การคุกคามต่อผู้หญิงของพระยานราภิบาลจึงกลายเป็นการสะท้อนว่า ความเป็นสมัยใหม่นั้นไม่ได้มีแต่ด้านดีแต่มีอันตรายที่ต้องตระหนัก[27]

การอธิบายความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระยานราภิบาลยังได้ถูกตีความและขยายออกไปเมื่อมีการนำนวนิยายเรื่องนี้ไปทำละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2553 เมื่อทั้งสองได้พบเจอกัน ดังปรากฏในฉากของละครว่า

พระยานราภิบาลและเพื่อนร่วมงานได้เดินเข้ามาในห้องอาหารและกล่าวว่า “สังคมผู้ดีบ้านเรามันแคบเกินไป เพราะมีเพียงไม่กี่นามสกุลที่ร่ำรวยจนล้นฟ้าแล้วยึดพื้นที่ มีอิทธิพลในทุกกิจการ ไม่ว่าจะเป็นราชการงานเมือง หรือเรื่องการค้าการขาย เพราะฉะนั้นมันสมควรแก่เวลาแล้วที่สังคมเราจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงสักที (หัวเราะ)” โดยมีนายทหารคนหนึ่งกล่าวตอบว่า “สังคมเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วนะเจ้าคุณนรา ไม่ว่าจะนามสกุลอะไร หากเป็นคนดีมีความสามารถ ผมก็เห็นเจริญด้วยกันด้วยตนเองทั้งนั้น…”[28]

จากบทสนทนาข้างต้น ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของพระยานราภิบาลดังกล่าวเป็นการแสดงอุดมการณ์ในการพยายามลดทอนอำนาจของชนชั้นนำในสังคมไทยเพื่อให้เกิดความเสมอภาค อันเป็นอุดมการณ์ของคณะราษฎรที่ได้ประกาศไว้ (ในประกาศคณะราษฎร) หากแต่อุดมการณ์ดังกล่าวกลับถูกหักล้างด้วยข้อโต้แย้งว่า ความเจริญรุ่งเรืองของคนทุกชั้นมาจากความสามารถเป็นหลัก ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกันหากมีความสามารถมากพอ[29]

อนึ่ง การโต้แย้งดังกล่าวเป็นการพิจารณาจากทรรศนะของผู้อยู่ภายใต้ระบบอภิสิทธิ์ชน โดยไม่ได้มองพื้นฐานของสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในเวลานั้นที่อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรถูกจำกัดเอาไว้ด้วยคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น[30]  นอกจากนี้ การโต้แย้งอุดมการณ์ของพระยานราภิบาลยังเป็นการโต้แย้งอุดมการณ์ของคณะราษฎรประชาธิปไตยและความเสมอภาคของคณะราษฎร[31]

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของนวนิยายฉบับนี้ คือ การอุปมาสถานการณ์ของการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร[32] เข้ากับช่วงชีวิตของลอออร และครอบครัวที่พระยาโยธาบดีจำต้องเดินทางออกจากสยามไป การแตกสลายของครอบครัวนี้เน้นย้ำถึงอารมณ์ความรู้สึกของการแตกสลายของประเทศชาติบ้านเมือง

ชีวิตทาบทับด้วยความสุข ความทุกข์ และความสงบของชายทั้งสาม

ประเด็นสุดท้ายที่เป็นข้อสังเกตต่อนวนิยายฉบับนี้ก็คือการนำเสนอความสุข ความทุกข์ และความสงบของตัวลอออรที่ได้รับจากผู้ชายแต่ละคน แต่หากพิจารณาผู้ชายทั้งสามคนในแง่ตามชนชั้น และภูมิหลังของตัวละครแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า สามีแต่ละคนของลอออรกำลังนำเสนอคุณค่าบางอย่าง

“ยศ พลาธร” เป็นหนุ่มนักเรียนนอกจากประเทศอังกฤษ แม้ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาแต่ก็ได้มีโอกาสไปเรียนรู้วัฒนธรรมและความรู้จากตะวันตก ยศจึงกลายเป็นตัวแทนของความสมัยใหม่ แม้ในนวนิยายจะอธิบายว่าในบางช่วงยศอาจจะดีกับลอออร และช่วยเหลือกันในบางช่วงเวลาด้วยความรัก แต่ความดีดังกล่าวไม่ได้สม่ำเสมอ เสมือนกันกับความทันสมัยนั้นไม่ใช่จะมีข้อดีเสียทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับลอออรในฐานะตัวแทนของการนำเสนอภาพของความเป็นกุลสตรีไทย หรือกล่าวให้ถึงที่สุดแล้วแสดงถึงความเป็นไทย

“เทพราชศักดิ์” หรือ “พระยาโยธาบดี” นายทหารหนุ่มผู้รักชาติ และมีความมั่นคงซื่อสัตย์ในเกียรติยศและศักดิ์ศรี เป็นตัวแทนของคุณค่าความเป็นไทย ความสัมพันธ์ระหว่างพระยาโยธาบดีกับลอออรเป็นความสัมพันธ์ของคู่ชีวิตที่เติมเต็มกันและกันโดยมีความสุขสมบูรณ์ เปรียบเสมือนความเป็นไทยที่ให้ความสุขสมบูรณ์ได้มากกว่าความเป็นตะวันตก

และท้ายที่สุด คือ “เจ้าดิเรกรุจ” ผู้มีเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือและเป็นหมอหนุ่มผู้มีความสามารถ โดยเป็นคนรักคนสุดท้ายของลอออรที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนจากกันด้วยความตาย การนำเสนอภาพของเจ้าดิเรกรุจให้เป็นเชื้อพระวงศ์ จะเป็นเจ้านายทางเหนือ แต่หากพิจารณาสถานะดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เจ้าดิเรกรุจเป็นภาพแทนของสถาบันกษัตริย์ที่ให้ความร่มเย็นและความสงบสุขทางจิตใจตลอดชีวิต ในลักษณะเดียวกันกับตัวละครของเสด็จพระองค์หญิงที่ผู้ประพันธ์สร้างขึ้นที่ให้ลอออรได้พึ่งพิงในยามที่ตกยาก ทั้งตอนที่มารดาถึงแก่กรรมและตอนที่ต้องแยกทางกับยศ[33]

กล่าวโดยสรุป หากพิจารณาเพียงผิวเผินมาลัยสามชายเป็นนวนิยายที่ดีเล่มหนึ่งโดยทรงคุณค่าทั้งในเชิงวรรณศิลป์และมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักโรแมนติกที่น่าประทับใจชวนให้น่าติดตาม

หากแต่ในขณะเดียวกัน ‘มาลัยสามชาย’ ก็เป็นนวนิยายที่มีความน่าสนใจในการชวนให้เพ่งพินิจพิจารณาในแง่ของการนำเสนอเรื่องทางการเมือง โดยอาจจะมองนัยทางการเมืองที่ถูกนำเสนออย่างแยบยลต่างด้วยมิติที่หลากหลาย อาทิ ผ่านบทบาทความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านการนำเสนอประเด็นทางการเมืองที่แสดงผ่านตัวของผู้หญิง และผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้น


เชิงอรรถ

[1] รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, วรรณกรรมปัจจุบัน, พิมพ์ครั้งที่ 12, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2540), 133.

[2] วินิตา ดิถียนต์, มาลัยสามชาย (นนทบุรี: Meb (Mobile e-Book), 2560), 7.

[3] ศศิพริมม์ มัธยัสถ์สุข, “วิถีชีวิตและค่านิยมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ 7 ถึงรัชกาลที่ 8 ในนวนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล,” (วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต แขนงวิชาไทยคดีศึกษา สาขาศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556), 29-30.

[4] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, “มาลัยสามชาย: ความย้อนแย้งในการนำเสนอคุณค่าใหม่ของผู้หญิง,” (2564) วิวิธวรรณสาร 5(2) 25: 49.

[5] เพิ่งอ้าง, 48-50.

[6] ดู ศศิพริมม์ มัธยัสถ์สุข, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 32-34.

[7] ผู้เขียนได้รับอิทธิพลการวิเคราะห์มาจากบทความของอาจารย์อธิพร ประเทืองเศรษฐ์ ซึ่งผู้เขียนต้องขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้. ดู อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4, 33-36.

[8] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 7-9.

[9] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 7-13 และ 1173-1188.

[10] เพิ่งอ้าง, 36.

[11] ดู ธงชัย วินิจจะกุล, เมื่อสยามพลิกผัน ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 32-37.

[12] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 3, 36 และ 46.

[13] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 88.

[14] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 3, 37.

[15] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, “หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์ คบไม่ได้ ?,” ศิลปวัฒนธรรม, 18 กันยายน 2566, สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2567 สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_13781.

[16] ดู สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ, ผัวเดียวเมียเดียว อาณานิคมครอบครัวในสยาม, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561), 111-124.

[17] ชานันท์ ยอดหงส์, “สาวๆ ทำอะไร เมื่อแรกมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475,” the Matter, 10 ธันวาคม 2562, สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2567 สืบค้นจาก https://thematter.co/thinkers/women-and-the-constitution-in-2475/93587.

[18] ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์, “การเมืองเรื่องเพศและเพศสภาพ: ความปรารถนาและกติกาเรื่องเพศในปรมจารย์ลัทธิมาร,” ใน การเมือง อำนาจ ความรู้: หลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นสำนักธรรมศาสตร์, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2564), 373.

[19] ตัวอย่างเช่น เจ้านายที่เทพราชศักดิ์ต้องติดตามไปก็คือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ หรือเสด็จพระองค์หญิงที่ลอออรและคุณป้าจรวยรับใช้ผู้เขียนสันนิษฐานว่าตัวละครนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.

[20] เจษฎา บัวบาล, “พระอรหันต์รักในหลวง: การสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ผ่านการสอนวิปัสสนาและพุทธศาสนาแบบอิงคัมภีร์ในธรรมนิกายของ สุทัสสา อ่อนค้อม,” (2567) วารสารมานุษยวิทยาศาสนา 5(2) 4: 8-9.

[21] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 4, 43.

[22] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 529-530.

[23] วินิตา ดิถียนต์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 530.

[24] ดู เพิ่งอ้าง, 516-531.

[25] เพิ่งอ้าง, 438.

[26] เพิ่งอ้าง, 452-453.

[27] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิง อรรถที่ 4, 46.

[28] ดู ละครมาลัยสามชาย (2533) ตอนที่ 21 อ้างใน เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ, “มองการปฏิวัติสยาม 2475 ผ่านเรื่องเล่าและผู้หญิงในละครโทรทัศน์,” ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 11 เปิดโลกสุนทรีย์ในวิถีมนุษยศาสตร์ ในวันที่ 8-9 กันยายน 2560 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 544.

[29] เพิ่งอ้าง, 545.

[30] ดู คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, แปลโดย ซิม วีระไวทยะ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2525).

[31] เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 21, 545.

[32] ในฉบับนวนิยายผู้ประพันธ์จงใจจะใช้คำว่า “คณะราษฎร์” เพื่อลดทอนสถานะและความมุ่งหมายของคณะราษฎร.

[33] อธิพร ประเทืองเศรษฐ์, อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 4, 46.

นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย ภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมและความมั่นคง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ประชาธิปไตยต้องการทั้งนิติรัฐและนิติธรรมที่เป็นเสมือนเสาหลักค้ำยันซึ่งกันและกัน เพื่อการรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำกัดอำนาจรัฐ และยึดถือประโยชน์มหาชนเป็นใหญ่

ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นิติรัฐนิติและนิติธรรมไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นรัฐชาติแบบสัญชาติไทย ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การล่าอาณานิคม และการปรับสังคมไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกภายใต้การนำของสถาบันกษัตริย์ แต่รัฐชาติ (nation state) แบบใหม่ ดังเช่นแบบชาติตะวันตก กลับให้อำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือ กรุงเทพฯ ผิดจากอดีตที่กระจายอยู่รอบนอก

ในบทความนี้จึงจะมาทำความเข้าใจพัฒนาการของนิติรัฐนิติธรรมภายใต้อุดมการณ์แบบไทยบางประการ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากนิติรัฐนิติธรรมสากล

นิติรัฐ (Legal state) และนิติธรรม (Rule of law)[1] เป็นถ้อยคำทางเทคนิค (Technical term)

ทางนิติศาสตร์ในฐานะหลักการหรือระบอบการปกครองซึ่งเรียกให้การใช้อำนาจของรัฐจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและความยุติธรรม กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐตลอดจนบุคคลที่ได้รับมอบหมายอำนาจรัฐจะต้องผูกพันตนกับกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย ภายใต้หลักประกันการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง[2]

ทั้งนี้ หลักการดังกล่าวนี้เป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยถึงขนาดกล่าวได้ว่า “การไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีนิติรัฐนิติธรรม” ฉันใดฉันนั้น “การไม่มีนิติรัฐนิติธรรม ก็ไม่มีประชาธิปไตย” เพราะประชาธิปไตยและนิติรัฐนิติธรรมต่างเป็นเสมือนเสาหลักค้ำยันซึ่งกันและกันหากมีเสาต้นใดหักโค่นลงไป เสาอีกต้นหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ วัตถุประสงค์หลักที่ถูกต้องตรงกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐนิติธรรมคือ การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยการเข้าไปจำกัดอำนาจรัฐ ยึดถือประโยชน์มหาชนเป็นใหญ่[3]

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 หลักนิติรัฐนิติธรรมถูกพูดถึงมากขึ้นในสังคมไทยโดยนักกฎหมาย นักการเมือง ตลอดจนนักวิชาการและผู้สนใจด้านรัฐธรรมนูญในฐานะอุดมคติของหลักการแห่งการปกครองที่ดีและพึงปรารถนา[4] ความสำคัญของนิติรัฐนิติธรรมได้รับการยอมรับถึงที่สุดเมื่อหลักการดังกล่าวถูกนำมาบัญญัติเอาไว้ถาวรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ว่า

“…การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม[5]

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลักการนิติธรรมปรากฏในรัฐธรรมนูญไทย ก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ได้มีการระบุถึงคำว่า “นิติธรรม (นิติรัฐ)” เอาไว้ในเช่นกันในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นบันทึกเจตนารมณ์ของการยกร่างและสถานการณ์ของสังคมในเวลานั้นความว่า

“แม้หลายภาคส่วนจะได้ใช้ความพยายามแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กลับมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนถึงขั้นเข้าปะทะกันซึ่งอาจมีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ นับว่าเป็นภยันตรายใหญ่หลวงต่อระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของประเทศ จำเป็นต้องกำหนดกลไกทางปกครองที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ไปพลางก่อน โดยคำนึงถึงหลักนิติธรรมตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

อารัมภบทดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะมีความย้อนแย้งบางประการที่น่าสนใจ กล่าวคือ นิติรัฐนิติธรรมในอารัมภบทดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเหตุในการอธิบายถึงความจำเป็นของการรัฐประหารในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2549 และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาองค์กรที่ควรจะต้องทำหน้าที่พิทักษ์นิติรัฐนิติธรรมแบบศาลรัฐธรรมนูญ[6] กลับละเลยต่อการรักษานิติรัฐนิติธรรม แต่กลับมุ่งใช้อำนาจที่ได้รับตามรัฐธรรมนูญในการเป็นปรปักษ์กับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมถึงตีความกฎหมายอำเภอใจและทำให้ผลทางกฎหมายคาดเคลื่อนไป

ดังนี้ การที่นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติในไทยถูกใช้เป็นเหตุอ้างในการรัฐประหาร และการที่องค์กรพิทักษ์รักษานิติรัฐนิติธรรมกลายมาเป็นผู้มุ่งทำลายนิติรัฐนิติธรรมเสียเองสิ่งนี้มีความน่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษาถึงบริบทของนิติรัฐนิติธรรมในไทยที่แตกต่างจากบริบทสากลที่กล่าวมาข้างต้น โดยในกรณีนี้ผู้เขียนจะขอเล่าถึงกรณีศึกษาของการออกกฎหมายฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า พระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491

บทความนี้จะเริ่มต้นจากการอธิบายประเด็นเรื่องความชอบธรรมแห่งนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยก่อนเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจบริบทของคุณค่าในความชอบธรรมของนิติรัฐนิติธรรมไทย ก่อนจะต่อด้วยการอธิบายเรื่องการยอมรับให้ออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อวัตถุประสงค์ของความมั่นคงของชาติ และกลับมาที่สภาพปัจจุบันคือ การสืบสาน (รักษา) และต่อยอดนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

ความชอบธรรมแห่งนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เจตนารมณ์ของคณะราษฎรในครั้งนั้นคือ ต้องการให้เกิดสิทธิเสมอกันและให้ราษฎรทุกคนมีเสรีภาพที่มีความเป็นอิสระ[7] โดยให้รัฐธรรมนูญเป็นที่มาและกรอบของการใช้อำนาจของรัฐในการปกครองประเทศ[8]

ในลักษณะเสมือนว่าประเทศไทยได้มีการสถาปนาหลักนิติรัฐนิติธรรมขึ้นในประเทศไทย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ  อย่างไรก็ดี รัฐไทยไม่ได้เป็นเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 พร้อมๆ กันกับการสถาปนาการปกครองแบบใหม่โดยคณะราษฎร แต่มีความเป็นมาก่อนหน้านั้น กล่าวเฉพาะในช่วงเวลาของการปกครองภายใต้ราชวงศ์จักรีคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325

ตลอดช่วงระยะเวลา 150 ปี ประเทศไทย (สยามในขณะนั้น) เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมโดยตรงของประเทศตะวันตก แต่ความผูกพันตามสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นก็ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะกึ่งอาณานิคม กล่าวคือ ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการปกครองและเศรษฐกิจเพื่อให้ตอบสนองต่อการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

การปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกดำเนินการไปภายใต้การนำของสถาบันกษัตริย์นี้ อำนาจส่วนใหญ่ตกอยู่กับชนชั้นนำไทยคือ สถาบันกษัตริย์ คณะสงฆ์ และระบบราชการที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในส่วนของกองทัพและข้าราชการพลเรือน[9] โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการฝ่ายปกครอง ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของรัฐชาติ (Nation state) ใหม่แบบชาติตะวันตกที่มีการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือ กรุงเทพฯ แตกต่างจากในอดีตที่อำนาจกระจายอยู่รอบนอก[10] ที่เมื่อยิ่งห่างไกลจากกรุงเทพฯ อำนาจของรัฐกรุงเทพฯ ก็จะเบาบางลง ประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกมีอิสรภาพในการปกครองตนเอง[11]

อย่างไรก็ดี ชนชั้นนำไทยไม่ได้ดำเนินการตามแบบตะวันตกทุกประการ ในทางตรงกันข้ามชนชั้นนำมีแนวทางที่เลือกรับเลือกทำตามแบบอย่างตะวันตก โดยชนชั้นนำสยามมีแนวโน้มจะแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน ระหว่างวัตถุกับจิตวิญญาณ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของขุนนางและปราชญ์คนสำคัญของประเทศไทยคือ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ซึ่งได้เขียนหนังสือแสดงกิจจานุกิจขึ้นในปี พ.ศ. 2410 โดยหนังสือเล่มนี้ได้ยอมรับความรู้วิทยาศาสตร์ที่รับมาจากมิชชันนารีชาวตะวันตกที่เผยแพร่ในสยาม แต่ก็มีการแสดงความเห็นโต้แย้งปรัชญาของศาสนาคริสต์ และอธิบายความเหนือกว่าของพระพุทธศาสนาในการเชิงปรัชญาทางศาสนา ทำให้เกิดการแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วนคือ ทางโลกและทางธรรมหรือจิตใจ โดยความรู้แบบตะวันตกเป็นความรู้ทางโลก วิทยาการและวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกช่วยให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ความรู้แบบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยเป็นความรู้ทางธรรมที่ตอบสนองต่อความหมายและคุณค่าของชีวิตได้มากกว่าในฐานะของกรอบทางศีลธรรม ซึ่งอยู่เหนือกว่าเรื่องทางโลก[12]

ไม่เพียงแต่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีความคิดเห็นไปในลักษณะเดียวกัน ดังปรากฏตามพระราชดำรัสที่มีไปถึงนักเรียนไทยที่ได้ไปศึกษาในต่างประเทศว่า

“ให้พึงนึกในใจว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะมาเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง[13]

พระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีทรรศนะที่แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ส่วนคือ ความรู้แบบตะวันตก และความรู้แบบไทย และการทรงเน้นย้ำว่า การเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง จึงเป็นการสะท้อนว่า ความเป็นไทยนั้นดีกว่าและอยู่เหนือกว่าความเป็นฝรั่งเพียงแต่คนไทยจะต้องเรียนรู้ความรู้ของตะวันตกที่เป็นความก้าวหน้าภายนอกเพื่อมาปรับใช้

ดังนี้ ทรรศนะว่าความเป็นแบบอย่างตะวันตกเป็นเรื่องในทางภายนอก ส่วนในเรื่องภายในจิตใจชนชั้นนำไทยกลับมาองว่า คุณค่าแบบไทยดั้งเดิมนั้นสูงส่งและดีงามกว่า ทำให้ยังคงลักษณะแบบแผนในเชิงวัฒนธรรมแบบเดิมเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามแนวทางแบบตะวันตก โดยแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในหมู่ชนชั้นนำเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดไปสู่ระบบราชการที่สร้างขึ้นมาจากการปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย และตกทอดต่อมาถึงช่วงภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม

สภาพดังกล่าวนี้ทำให้เวลากล่าวอ้างความชอบธรรมในสังคมไทยนั้นชนชั้นในระบบราชการของไทยจึงมักกล่าวอ้างคุณค่าบางประการที่จากจารีตในระบอบการปกครองเดิมมาเป็นส่วนหนึ่งพร้อมๆ กับความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ แนวคิดเรื่องความชอบธรรมของสามารถจำแนกได้เป็น 2 แนวทางคือ แนวคิดดั้งเดิมซึ่งพัฒนามาอย่างยาวนานพร้อมๆ กันการปกครองดั้งเดิมที่กลายมาเป็นรากฐานของสังคมไทย และแนวคิดสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งยังคงไม่ตั้งมั่นเพียงพอในสังคมไทย เพราะถูกขัดขวางด้วยกระบวนการรัฐประหารและกลุ่มชนชั้นนำไทยที่ต้องการรักษาอำนาจเอาไว้[14]

แนวคิดเรื่องความชอบธรรมแบบดั้งเดิมก็คือ แนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของความชอบธรรมดังกล่าวในฐานะตัวแทนของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งแนวคิดนี้ถูกอธิบายว่าเชื่อมโยงกับคุณค่าของความเป็นไทยบนวิถีคิดแบบพุทธศาสนาว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระมหาบุรุษผู้นำพามวลมนุษย์[15] ในขณะที่ความชอบธรรมใหม่ที่ถูกสถาปนาขึ้นมาคือ แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและการสร้างกลไกการควบคุมอำนาจรัฐแบบหลักนิติรัฐนิติธรรมเพื่อป้องกันและคุ้มครองสิทธิของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวถูกรับมาในฐานะของความรู้จากตะวันตก[16]

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดนี้จึงทำให้กลายเป็นแนวคิดดั้งเดิมนี้เป็นแกนหลักของสังคมไทย ในขณะเดียวกันแนวคิดแบบประชาธิปไตยถูกใช้ในลักษณะเป็นเพียงแค่กรอบคิดหนึ่งๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อระงับหรือปิดปากและสร้างความชอบธรรมให้การกระทำใดๆ ที่ขับเคลื่อนแนวคิดแบบดั้งเดิม[17] สิ่งนี้คือต้นเค้าของแนวคิดที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ[18] ซึ่งกลายมาเป็นการสร้างระบบประชาธิปไตยเฉพาะบริบทของไทยที่ถูกอธิบายให้แตกต่างจากประชาธิปไตยสากล โดยพยายามขับเคลื่อนคุณค่าเก่ากับคุณค่าใหม่ไปด้วยกัน ในลักษณะที่คุณค่าเก่าถูกทำให้มีความสำคัญ และทำให้ยอมรับสถานะของประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นเพียงแค่เปลือกที่ซ่อนรูปเผด็จการไว้ให้แนบเนียนเท่านั้น[19]

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับนิติรัฐนิติธรรมของประเทศไทยเช่นเดียวกัน สภาวะของนิติรัฐนิติธรรมที่ต้องโอบรับแนวคิดดั้งเดิมและคุณค่าเก่าเข้ามาทำให้เกิดการยอมรับนิติรัฐนิติธรรมที่ยอมรับว่า ความมั่นคงของชาติ (ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์) เป็นข้อยกเว้นใหญ่ของการคุ้มครองสิทธิของประชาชน สิ่งนี้นำไปสู่การเรียกของนักวิชาการว่า นิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรม ดังจะกล่าวถึงต่อไป

การยอมรับให้ออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อวัตถุประสงค์ของความมั่นคงของชาติ

ดังกล่าวมาแล้วว่า หลักการของประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นนิติรัฐและนิติธรรมถือเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาและคุ้มครองระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคง ซึ่งรวมถึงการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ไม่ให้ถูกผู้ทรงอำนาจรัฐนำอำนาจดังกล่าวมาใช้ในการบีบคั้นหรือกลั่นแกล้ง

หนึ่งในหลักการย่อยที่สำคัญของหลักนิติรัฐและนิติธรรมก็คือ หลักการกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับบุคคล กล่าวคือ รัฐห้ามตรากฎหมายย้อนหลังไปเพื่อบังคับใช้เป็นโทษกับบุคคลทั้งในการลงโทษหรือจำกัดสิทธิที่บุคคลเคยมี ผลของหลักการนี้จึงเป็นการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากอำนาจรัฐ และผูกพันการใช้อำนาจรัฐไว้เฉพาะกับกฎหมายที่มีอยู่ในเวลานั้น อำนาจรัฐจึงมีความชอบธรรมที่จะนำไปบังคับใช้กับประชาชน[20] ดังนี้โดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองโดยนิติรัฐนิติธรรมและเป็นประชาธิปไตยจึงไม่สามารถที่จะออกกฎหมายย้อนหลังมาลงโทษกับบุคคลได้

อย่างไรก็ดี ในกรณีของประเทศไทยนั้นแตกต่างออกไป นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยที่สร้างขึ้นมาในบริบทเฉพาะของสังคมไทยที่ยอมให้เกิดการละเมิดนิติรัฐนิติธรรมโดยทั่วไปได้ หากการละเมิดนิติรัฐนิติธรรมนั้นกระทำไปเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างของการออกกฎหมายมาให้มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับประชาชนคือ กรณีของพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 ซึ่งเสนอโดยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อใช้กับการขยายระยะเวลาคุมขังจำเลยในคดีปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลในการควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งขังผู้ต้องหาหลายๆ ครั้งติดกันแต่ครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 วัน และรวมกันไม่เกิน 180 วัน[21]

ผลของกฎหมายฉบับนี้คือ การขยายอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหา ซึ่งยังไม่ใช่บุคคลที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความผิด ให้ถูกคุมขังต่อไปเกินกว่าระยะเวลาปกติที่กฎหมายกำหนดไว้คือ 48 ชั่วโมง เว้นแต่ศาลจะร้องขอให้ศาลพิจารณาสั่งขัง ซึ่งอาจสั่งขังคราวหนึ่งไม่เกิน 15 วัน รวมกันไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งหากเกินระยะเวลา ดังกล่าวศาลต้องออกหมายปล่อยผู้ต้องหา[22] จึงเท่ากับเป็นการออกกฎหมายมาเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาและขัดต่อหลักการนิติรัฐนิติธรรม

ทั้งนี้ กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยเคยมีการตรากฎหมายให้มีผลย้อนหลังโดยมีผลเป็นโทษกับบุคคล ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้เคยมีการตราพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เพื่อมาดำเนินการจับกุมและฟ้องร้อง จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตผู้นำทางการทหารและการเมืองกับพวก ในข้อหาอาชญากรสงคราม[23] 

อย่างไรก็ดี ศาลยุติธรรมโดยศาลฎีกาทำหน้าที่ศาลอาชญากรสงครามได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เฉพาะที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำก่อนวันใช้กฎหมายเป็นความผิดนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ จอมพล ป. พิบูลสงครามกับพวก จึงได้รับการปล่อยตัวพ้นข้อหา[24] 

ดังนี้ หากสถาบันการเมืองไทยดำเนินการตามบรรทัดฐานในลักษณะเดียวก็ควรจะต้องหลีกเลี่ยงการตรากฎหมายฉบับนี้หรือทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้ตกเป็นโมฆะ แต่สถาบันการเมืองไทยกลับทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะในเชิงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ การตรากฎหมายฉบับนี้เป็นไปสอดคล้องกับข้อยกเว้นสำคัญของนิติรัฐนิติธรรมไทยที่อนุญาตให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายกับกรณีของความมั่นคงของชาติ ซึ่งสะท้อนภาพของนิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรม

นิติรัฐอภิสิทธิ์: ภายสะท้อนความไม่ลงหลักปักฐานของนิติรัฐที่แท้จริง

นิติรัฐอภิสิทธิ์เป็นคำที่ ธงชัย วินิจจะกูล นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทยหยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบาย สภาวะที่ระบบกฎหมายให้อภิสิทธิ์แก่รัฐใช้อำนาจละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและทรัพย์สินเอกชนได้ด้วยข้ออ้างเพื่อประโยชน์สาธารณะ[25] โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์สาธารณะนั้นคือความมั่นคงของชาติ

หากพิจารณาในชั้นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 ในพฤฒสภา (ขณะนั้นใช้วุฒิสภาแทนสภาผู้แทนราษฎร) จะพบว่าทรรศนะของรัฐบาลนั้นไม่ได้มีความสนใจต่อประเด็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องขังแต่อย่างใด ดังปรากฏตามคำชี้แจงของ พล.ท. หลวงสิงหนาดโยธารักษ์ (ชิต มั่นศิลป์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยความว่า

“…เมื่อรัฐบาลนี้ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ได้ถือว่ากรณีนี้เป็นกรณีสำคัญซึ่งควรจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ จึ่งได้เร่งรัดทำการสอบสวน ทั้งทำการจับกุมคุมขังบุคคลที่อยู่ในข่ายสงสัยว่าสมคบกันลอบปลงพระชนม์และเริ่มดำเนินการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามลำดับ แต่โดยพฤติการณ์ในกรณีนี้ได้ถูกปล่อยปละละเลยมาแต่ต้นดังกล่าวแล้ว จึ่งเป็นการพ้นวิสัยที่พนักงานสอบสวนจะกระทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้นได้ภายในกำหนดเวลาที่จะขังผู้ต้องหาไว้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะพฤติการณ์ณืเหล่านั้นกระทำให้เกิดความยุ่งยากและลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนเนิ่นนานไปกว่าปกติ จึ่งจะปิดสำนวนการสอบสวนได้ และในบัดนี้ กรณีก็ได้คลี่คลายกระจ่างขึ้นมาแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ รัฐบาลนี้จึงถือว่ากรณีนี้มีความสำคัญเป็นิย่างยิ่งในอันที่จะต้องดำเนินการสอบสวนให้ได้ความจริงโดยกระจ่างและให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามโทษานุโทษ เมื่อกรณีมีความสำคัญเป็นพิเศษเช่นนี้ ประกอบทั้งพฤติการณ์ที่เป็นมายุ่งยากลึกลับซับซ้อนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนต้องตกอยู่ในฐานะที่จะต้องทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกรณีปกติไม่ได้ จึ่งจำต้องขอขยายเวลาขังผู้ต้องหาออกไปเป็นกรณีพิเศษฉะเพาะเรื่อง เพื่อให้ผลของคดีเป็นไปโดยสมบูรณ์…[26]”

ในทางตรงกันข้ามนักนิติศาสตร์คนสำคัญที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมแบบพฤฒสภา อาทิ พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (อดีตอธิบดีกรมอัยการ เทียบอัยการสูงสุด และเคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) กลับไม่ได้แสดงความเห็นที่จะคัดค้านเรื่องนี้ในฐานะนักนิติศาสตร์ ทั้งๆ ที่การตรากฎหมายให้มีผลย้อนหลังเคยถูกพิจารณาโดยศาลฎีกาเมื่อปี พ.ศ. 2489

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐไทยยอมรับให้การยกเว้นกฎหมายเพื่อความมั่นคงแห่งชาติกลายมาเป็นอภิสิทธิ์มากกว่า รัฐสามารถที่จะงดใช้กฎหมายและกระบวนการตุลาการตามปกติได้หากสถานการณ์นั้นเป็นสถานการณ์พิเศษ โดยต้องเลือกความมั่นคงของชาติเหนือสิ่งอื่นใด[27]

ราชนิติธรรม: ภาพสะท้อนความบกพร่องขององค์กรตุลาการไทย

ในลักษณะเดียวกันกับนิติรัฐอภิสิทธิ์ องค์กรตุลาการไทยก็มีความบกพร่องในลักษณะเดียวกัน โดยอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ‘ราชนิติธรรม’ ซึ่งเป็นคำที่ ธงชัย วินิจจะกูล หยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบาย สภาวะที่กษัตริย์เป็นหลักสูงสุดของกฎหมายและความยุติธรรม มิใช่รัฐธรรมนูญหรือรัฐสภาดังที่ถือกันเป็นบรรทัดฐานทางสากล[28]  ทั้งนี้ ด้วยสถาบันกษัตริย์ไทยเติบโตและมีความชอบธรรมผ่านการอธิบายบนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา ธรรมะและศาสนาซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อความคิดที่ถ่ายทอดในวิธีคิดของวงการตุลาการไทย

บทบาทของผู้พิพากษาและตุลาการไทยจึงวางตัวไว้ในฐานะของผู้มีบทบาทในการชี้กรรม โดยไม่ถือว่าตนนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจทก์หรือจำเลย แต่พิจารณาว่าผู้กระทำความผิดพลาดนั้นได้สร้างบาปสร้างกรรมขึ้นเอง และต้องรับผลแห่งกรรมนั้นด้วยตัวเอง ผู้พิพากษาและตุลาการจึงเป็นคนชี้กรรมเท่านั้น[29] สิ่งนี้ทำให้ผู้พิพากษาหรือตุลาการไทยละเลยต่อเรื่องอื่นๆ หรือการคำนึงถึงคุณค่าของความยุติธรรมหรือการรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

นอกจากนี้ การที่สถาบันตุลาการที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแนบแน่นในฐานะผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู่หัว ทำให้สถาบันตุลาการวางตัวว่าอยู่ข้างผู้มีอำนาจโดยตลอด กล่าวคือ สถาบันตุลาการไม่เคยปฏิเสธผลทางกฎหมายของการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ อาทิ การรัฐประหาร[30]

ในคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ ผู้พิพากษาองค์คณะในศาลฎีกาทั้งสามคนคือ พระยาธรรมบัณฑิตสิทธิ์ศฤงคาร (ธรรมบัณฑิต บุณยะปานะ, บุญจ๋วน บุญยะปานะ) พระนาถปรีชา (เอี่ยม นิติพน) และพระนนทปัญญา (โต มกรานนท์) ได้พิจารณาคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พ.ศ. 2491 เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ เช่นเดียวกันกับพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 ศาลกลับวินิจฉัยว่า การที่พนักงานอัยการได้ฟ้องผู้ต้องหาเป็นความผิดแล้วและศาลได้สั่งขังในระหว่างสอบสวน และต่อมาศาลสั่งประทับรับฟ้องไว้แล้ว ดังนี้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์หรือผลแก่คดีของผู้ต้องหาอย่างใดที่จะวินิจฉัยว่า กฎหมายที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาเสีย[31]

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ศาลละเลยต่อการพิจารณาประเด็นว่าการควบคุมตัวที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อรักษาหลักการของนิติรัฐนิติธรรม หรือเพียงแค่ดำเนินการให้สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนๆ ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า สถาบันตุลาการยังเลือกวางตนไว้โดยไม่ลงหลักปักฐานกับนิติรัฐนิติธรรม แต่การเลือกที่จะยืนอยู่ข้างผู้มีอำนาจคือ คณะรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในเวลานั้น

สรุปแล้วสังคมไทยยังคงสืบสาน (รักษา) และต่อยอดนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

กระบวนการตราพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 และคำพิพากษาของศาลนั้นได้สะท้อนให้เห็นว่า นิติรัฐนิติธรรมที่เป็นสากลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ดังเช่นที่ ธงชัย วินิจจะกูล ได้อธิบายเรียกสภาพของรัฐไทยที่เรียกนิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรมว่าเป็นเสมือนนิติรัฐนิติธรรมแบบสากลนั้นเป็นการอำพรางนิติศาสตร์แบบอำนาจนิยมให้ดูน่าเชื่อถือด้วยกฎหมายและธรรมะ[32] ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย สิ่งนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยหรือข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ ที่กลายมาเป็นประเพณีทางการปกครองและการเมืองของสังคมไทย[33]

การที่สถาวะนิติรัฐนิติธรรมไทยไม่ใช่นิติรัฐนิติธรรมสากลนั้นทำให้สถานการณ์ของการใช้อำนาจรัฐเข้ามารุกล้ำสิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันองค์กรตุลาการไทยนั้นก็เพิกเฉยต่อการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยเพราะองค์กรตุลาการนั้นยืนหยัดอยู่ในข้างเดียวกันกับฝ่ายอำนาจนิยม ทำให้สถานการณ์ของการใช้อำนาจเพื่อคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ

ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมานี้ ขบวนการยุติธรรมไทยเริ่มสั่นคลอนลงในเรื่องของความน่าเชื่อถือ รัฐได้ผลิตซ้ำและอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือในการคุกคามและทำลายขั้วตรงข้ามทางการเมือง ผ่านการตีความกฎหมายและการออกกฎหมายมากคุกคาม โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐ อาทิ การเลื่อนกฎหมายซ้อมทรมานและอุ้มหาย การอนุมัติต่ออายุการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการยอมรับให้บทบัญญัติของกฎหมายอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นเครื่องมือสำคัญในการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เป็นขั้วตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งเป็นการขยายช่องว่างของข้อยกเว้นนิติรัฐนิติธรรมให้กว้างขวางเสมือนความเป็นปกติ

สภาวะที่นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยดำรงอยู่นี้ อาจจะเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสังคมไทยจะเดินหน้าต่อไป จะสะสางความไม่เป็นธรรมอย่างไรในสังคม และจะทำอย่างไรให้นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยกลายเป็นนิติรัฐนิติธรรมแบบสากลที่กลับมาคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่าแท้จริง


เชิงอรรถ

[1] ในบทความนี้ผู้เขียนไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเด็นที่มาของหลักการหรือความแตกต่างของหลักนิติรัฐและนิติธรรม แต่เน้นการอธิบายหลักนิติรัฐและนิติธรรมในฐานะกรอบของการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ เนื่องจากในทรรศนะของผู้เขียนเห็นว่า นักกฎหมายไทยให้ความสนใจกับถ้อยคำและเนื้อหาความแตกต่างของหลักการจนละเลยคุณค่าที่แท้จริงของหลักการทั้งสองว่า สิ่งนี้ไม่เคยลงหลักปักฐานในสังคมไทย.

[2] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, คำสอนว่าด้วยรัฐและหลักกฎหมายมหาชน, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อ่านกฎหมาย, 2564) 257.

[3] พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, “ปฏิรูปประเทศไทยด้วยแนวคิดประชานิติศาสตร์,” Pub-Law Net, 24 เมษายน 2554 สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก http://www.public-law.net/publaw/view.aspx?id=1580.

[4] เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, “นิติธรรมไทย: เฟื่องฟู และล้มเหลว” ใน นิติรัฐนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2567), X.

[5] มาตรา 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผู้ร่างจงใจใช้คำว่า “นิติธรรม” ซึ่งในชั้นของการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญได้มีการถกเถียงถึงที่มาในเชิงถ้อยคำของรัฐธรรมนูญ. ดู สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “เอกสารรายงานการประชุมทางวิชาการ เนื่องในวาระศาลรัฐธรรมนูญครบรอบ 20 ปี (เอกสารภายใน),” การประชุมในวันที่ 9-10 เมษายน 2561 ณ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย, 14 อ้างใน กล้า สมุทวณิช, “ศาลรัฐธรรมนูญกับการแปลความหมาย สร้าง และบังคับใช้หลักนิติธรรมไทย,” ใน นิติรัฐนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2567), 182.

[6] ธีระ สุธีวรางกูร, “รายงานฉบับสมบูรณ์ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้,” (รายงานวิจัยเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมงานวิจัย คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), 118; อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558), 27.

[7] สถาบันปรีดี พนมยงค์, “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126.

[8] เพิ่งอ้าง และ ดู เจตนารมณ์ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475.

[9] Björn Dressel, “When Notions of Legitimacy Conflict: The Case of Thailand,” 2010 Politics & Policy 38 (3) 445: 447.

[10] บรรจง ตันตยานนท์, “ปัญหาการรวมชาติในสมัยรัชกาลพระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,” ใน การเมือง-การปกครองไทยสมัยใหม่: รวมงานวิจัยทางประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2522), 27-28. การปกครองของไทยก่อนทศวรรษที่ 2440 (ตามปี พ.ศ.) มีลักษณะเป็นการปกครองแบบจารีตตามคติจักรพรรดิราชที่ไม่มีเขตแดนของรัฐที่ชัดเจน และผู้อยู่ใต้ปกครองปรับเปลี่ยนไปตามขอบเขตแห่งพระเดชานุภาพของกษัตริย์ผู้ปกครองสูงสุดเสมือนพระจักรพรรดิราชในพระพุทธศาสนา. ดู อเนก มากอนันต์, จักรพรรดิราช: คติอำนาจเบื้องหลังชนชั้นนำไทย, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561), 3-9.

[11] สมชาย ปรีชาศิลปกุล, นิติศาสตร์ไทยเชิงวิพากษ์, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2549), 19-20.

[12] ธงชัย วินิจจะกูล, เมื่อสยามพลิกผัน ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 31-37.

[13] ดู พระราชดำรัสตอบพวกนักเรียนในกรุงเทพฯ ที่พลับพลาท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 มกราคม ร.ศ. 116 ใน กรมศิลปากร, พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, (กรุงเพทฯ: โรงพิมพ์สามมิตร, 2513), 31.

[14] Björn Dressel, supra note 9, 449.

[15] ตามอัคคัญญสูตรแนวคิดในพระพุทธศาสนาสนับสนุนให้กษัตริย์มีสถานะเป็นผู้เป็นใหญ่เพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ อบรมสั่งสอนธรรม และระงับความขัดแย้งของมนุษย์ในสังคม ดู มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 11, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539), 96-99. ในขณะเดียวกันชนชั้นนำในสังคมไทยยอมรับว่า นิติรัฐนิติธรรมในสังคมไทยมาจากหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน อาทิ หลักทศพิธราชธรรมหรือหลักจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ซึ่งหลักการเหล่านี้เป็นหลักธรรมของผู้ปกครอง.

[16] ดังจะเห็นได้ว่า คณะราษฎรพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่สร้างความหมายของชาติเข้าแทนที่สถาบันกษัตริย์และทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นศูนย์กลางของระบอบการปกครอง แต่กระบวนการสร้างวัฒนธรรมใหม่นี้ทำได้ไม่ต่อเนื่องเพราะสถานการณ์ทางการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและถูกตัดตอนจากการรัฐประหาร.

[17] Björn Dressel, supra note 9, 455.

[18] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ประชาธิปไตย: ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ (ตอนจบ)” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 3 ตุลาคม 2566, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2023/10/1700.

[19] เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 4, XXII-XXIII.

[20] ณัฐพงษ์ โปษกะบุตร, “หลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง (Ex Post Facto Law),” ใน รพี’50 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, (กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, 2550), 27.

[21] พระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 มาตรา 3.

[22] ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87.

[23] ธโนชัย ปรพัฒนชาญ, “อาชญากรสงคราม,” ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=อาชญากรสงคราม.

[24] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2489.

[25] ธงชัย วินิจจะกูล, “ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 17 วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563 นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของ Rule by Law แบบไทย,” Way, 9 มีนาคม 2563, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://waymagazine.org/thongchai-winichakul-rule-by-law/.

[26] รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2/วันที่ 15 มกราคม 2491.

[27] ธงชัย วินิจจะกูล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 25.

[28] เพิ่งอ้าง.

[29] ธานินทร์ กรัยวิเชียร, “จริยธรรมของนักกฎหมาย,” ใน รวมคำบรรยายหลักวิชาชีพนักกฎหมาย, (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2548), 235.

[30] กฤตพล วิภาวีกุล, “ระบบกฎหมายและสถาบันตุลาการในนิติรัฐอภิสิทธิ์ ตอนที่ 2,” สมติ, 6 สิงหาคม 2564, สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://www.sm-thaipublishing.com/content/9914/nitirat-law-2.

[31] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2491.

[32] ธงชัย วินิจจะกูล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 25.

[33] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการจิตสำนึก, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: มติชน 2557), 115.

อีกครั้งกับงบฯ กลาง เมื่อประเทศไทยใช้งบกลางเป็นเสมือนสิ่งจำเป็น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ล่าช้ามาจากกรอบเวลาปกติค่อนข้างมากเนื่องจากช่วงของการเสนองบประมาณนั้นต่อเนื่องจากช่วงการเลือกตั้ง ทำให้ในท้ายที่สุด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 มาถูกเสนอในช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับงบประมาณในครั้งนี้ มีหลายเรื่อง อาทิ การตั้งรายการชดเชยเงินคงคลังไว้ในจำนวนที่ค่อนข้างสูง การตั้งงบประมาณของบางหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีรายละเอียด และที่มีการถกเถียงบ่อยครั้งคือ การตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากปีนี้รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้ 6.06 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดปัญหาว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลจึงเลือกตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้สูง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรายการใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว งบประมาณรายจ่ายงบกลางมากเป็นอันดับ 3 ดังปรากฏตามภาพ

งบประมาณรายจ่ายงบกลางคืออะไร

งบกลางหรืองบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลตั้งขึ้นสำหรับรายจ่ายที่ไม่ได้เป็นรายจ่ายเฉพาะของหน่วยรับงบประมาณ อาทิ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ, ค่าใช้จ่ายเพื่อชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน, ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ, เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ, และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง

นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายงบกลางอาจจะเป็นการตั้งรายการสำรองสำหรับการนำไปใช้จ่ายในฐานะเป็นเงินสำรองจ่ายของรัฐบาล อาทิ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ หรือเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

วัตถุประสงค์ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางจึงมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลในการใช้งบประมาณได้คล่องตัวในการดำเนินนโยบาย และสามารถจัดการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันต่อเหตุการณ์ หรือสาเหตุที่มาจากความไม่แน่นอนของรายจ่ายในอนาคต[1]

ทั้งนี้ในประเทศที่ปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย (รวมถึงไทย) จะมอบอำนาจสูงสุดทางการคลังให้เป็นการตัดสินใจของรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชนการกำหนดงบประมาณใดๆ จึงต้องสะท้อนต่อความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชน[2] ในทางหลักการจึงกำหนดสิ่งที่เรียกว่า “งบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง” กล่าวคือ การกำหนดให้งบประมาณต้องมีการระบุรายละเอียดของการใช้จ่ายให้ชัดเจนเพื่อควบคุมมิให้รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนในรูปของงบประมาณรายจ่ายไปใช้จ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควร[3] และระบุแน่นอนว่ารัฐบาลเอางบประมาณไปใช้เพื่อการใด โดยเสนอกรอบวงเงินงบประมาณและเรื่องที่จะนำงบประมาณนั้นไปใช้ต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมัติ

ดังนี้ การมีอยู่ของงบประมารายจ่ายงบกลางจึงเป็นข้อยกเว้นของหลักการงบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง โดยยินยอมรัฐบาลตั้งงบประมาณไว้เพื่อสถานการณ์เฉพาะเรื่องโดยไม่กำหนดเป้าหมายหรือวงเงินค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุอันไม่แน่นอน

เมื่องบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นข้อยกเว้นของการตั้งงบประมาณทั่วๆ ไปแล้ว รัฐบาลก็ควรจะต้องงบประมาณส่วนนี้เท่าที่จำเป็นเสมือนเงินติดกระเป๋าเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจำเป็น เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางไม่สามารถระบุรายละเอียดหรือแผนของการใช้จ่าย และหน่วยรับงบประมาณลงไปได้อย่างชัดเจนผิดกับงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ รัฐสภาทำได้แต่เพียงการอนุมัติกรอบวงเงินของการใช้จ่ายเท่านั้น แต่ไม่อาจทราบรายละเอียดของการใช้จ่ายได้เลยจนกว่าจะมีการใช้จ่ายจริงเกิดขึ้นว่า งบประมาณดังกล่าวได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยหน่วยงานใด การใช้จ่ายงบประมาณงบกลางจึงเป็นการปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวตามดุลยพินิจของตน ดังคำที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ตีเช็คเปล่า”[4] ในลักษณะนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะของงบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น (lesser evil)

ในทางปฏิบัติของงบประมาณไทย

งบประมาณรายจ่ายงบกลางของประเทศไทยนั้นสวนทางกับการเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น แต่เป็นความจำเป็นอันชั่วร้าย กล่าวคือ ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ มีแนวโน้มที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มสูงขึ้นดังปรากฏตามภาพ อ้างอิงจากเอกสารวิชาการของสำนักงบประมาณรัฐสภาในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 โดยพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีการจัดสรรงบกลางไป 4.96 ล้านล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ย 4.96 แสนล้านบาทต่อปี[5]

ส่วนหนึ่งก็เพราะรายจ่ายที่อยู่ในวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น โดยอันดับต้นๆ นั้นอยู่ในรายการที่รัฐจำเป็นต้องจ่ายคือ เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ 2.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.24% หรือเฉลี่ย 2.24 แสนล้านบาทต่อปี (คำนวณจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566)[6] โดยในปีนี้รัฐบาลตั้งเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญไว้ 3.29 แสนล้านบาทโดยเป็นเงินจำนวนกว่ากึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายงบกลาง

ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความจำเป็นในการตั้งงบประมาณได้ รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ค่อยๆ มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จึงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น

แต่งบประมาณรายจ่ายงบกลางที่น่าจะมีปัญหามากที่สุดก็คือ งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณรายการนี้แตกต่างจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางประเภทอื่นๆ คือ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่าย กล่าวคือ แม้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น จะถูกกำหนดว่าต้องใช้เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น แต่กรณีของความฉุกเฉินและจำเป็นนี้คืออะไร ผิดกับกรณีของเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่มีความชัดเจนในแง่ของวัตถุประสงค์ เพียงแต่ไม่ชัดเจนในกลุ่มเป้าหมายผู้รับว่ามีกี่คน

เมื่อพิจารณาแนวโน้มในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทยจะพบว่า นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมาจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีแนวโน้มจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในช่วงปี 6 ปีหลังจำนวนเงินจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เว้นแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้มากเพื่อรับมือกับปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

แต่ในความเป็นจริงจะไม่ได้มีการเบิกจ่ายเต็มจำนวนที่ตั้งไว้ โดยสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการตั้งงบประมาณของประเทศไทยไม่ค่อยมีพื้นที่เหลือสำหรับการนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นและไม่อาจคาดหมายได้ ทำให้การรัฐบาลขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณไปกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านั้นการตั้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้สูง หากตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมากเกินไป ย่อมเสียโอกาสในการตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยรับงบประมาณอื่นที่มีรายการค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว[7] ทำให้รายการสำคัญๆ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายอาจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายจริง

นอกจากนี้ ในเรื่องของการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉิน จากข้อสังเกตของสำนักงบประมาณของรัฐสภาพบว่า[8] รัฐบาลที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564) มีพฤติกรรมที่จะใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล โดยนำเงินงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ 3 เรื่อง ได้แก่

  1. การใช้จ่ายเพื่อแก้ไข ป้องกัน บรรเทาความเสียหายจากสถานการณ์ต่างๆ โดยมีสัดส่วนการใช้จ่ายทั้งสิ้นร้อยละ 53.5 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ได้แก่ การฟื้นฟูเยียวยา ป้องกันภัยพิบัติ พัฒนาด้านการเกษตร รวมถึงแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
  2. การใช้จ่ายเพื่อนโยบายของรัฐบาลร้อยละ 25.26 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 อาทิ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการชิม ช้อป ใช้
  3. การใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานที่เป็นภารกิจประจำของหน่วยรับงบประมาณ เช่น การดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่า บางรายการงบประมาณรัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณรายการงบประมาณให้กับหน่วยรับงบประมาณปกติได้ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเผื่อไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉิน

นอกจากนี้ พบว่าในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลโอนงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณต่างๆ มาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉินเพื่อมาดำเนินการใช้จ่ายเพื่อแก้ไข เยียวยา และลดผลกระทบจากโควิด-19[9] ซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้เป็นในแผนงานหรือโครงการของกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยรับงบประมาณที่มีอำนาจในการเบิกจ่ายรองรับกับสถานการณ์โควิด-19 โดยที่รัฐสภาและประชาชนสามารถทราบแผนการใช้จ่ายได้ แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นแทน

จะควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางอย่างไร

ดังกล่าวมาแล้วว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เป็นจำนวนมาก ในทางหลักการรัฐบาลควรจะใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเสมือนกับเงินติดกระเป๋าในกรณีฉุกเฉิน เพราะในทางหลักการปฏิเสธไม่ได้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นมีข้อเสียที่ทำให้เกิดความยากในการติดตามและตรวจสอบความใช้จ่ายโดยรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชน รวมถึงเราไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการเบิกจ่ายดังกล่าวจะทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนเมื่อเทียบกับงบประมาณที่มีการใช้จ่ายไปหรือไม่

ในทางหลักการจึงมีความพยายามควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้ โดยกำหนดกรอบในการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้  อย่างไรก็ดี กรอบในการดำเนินการในปัจจุบันนั้นยังคงไม่ครอบคลุมและทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ดังนี้

เรื่องที่หนึ่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง[10] ซึ่งสะท้อนหลักการว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางควรมีเท่าที่จำเป็น  นอกจากนี้ ภายใต้พระราชบัญญัตินี้ยังให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดกรอบวงเงินของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ไม่เกินร้อยละ 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี[11]

อย่างไรก็ดี การกำหนดสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้นในทางปฏิบัติไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากการปรับเปลี่ยนเพดานสัดส่วนดังกล่าวสามารถทำได้โดยคณะกรรมการการเงินการคลังของรัฐที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นรองประธาน ทำให้ในทางปฏิบัติรัฐบาลมีดุลพินิจในการปรับสัดส่วนดังกล่าวได้ตามอำเภอใจ ดังเช่นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ปรับเพดานสัดส่วนเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นใหม่

เรื่องที่สอง พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประกอบกับระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดเรื่องวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีความต้องการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดและจำนวนงบประมาณที่จะขอใช้ และยื่นคำขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง พร้อมกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้น ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 แต่ระเบียบดังกล่าวนั้นก็เพียงแต่กำหนดกรอบของเรื่องที่จะเบิกจ่ายไว้เพียงกว้างๆ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของกฎหมายไทยที่มีปัญหาในการตีความว่า “ความจำเป็นเร่งด่วน” ซึ่งเป็นเหตุในการใช้จ่ายนั้นคืออะไร[12]

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนความไม่เพียงพอของรายละเอียดของเรื่องที่จะขอเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ควรจะมีเงื่อนไขที่ชัดเจนกำกับว่าเรื่องใดคือเงื่อนไขที่จำเป็นบ้าง เพื่อปิดไม่ให้รัฐบาลนำโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลมาแทรกไว้ในงบประมาณส่วนนี้ ทั้งที่รัฐบาลสามารถตั้งรายการงบประมาณในส่วนนี้ได้ในรายการและแผนงานปกติ[13]

นอกจากนี้ กรอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในเชิงรายละเอียดที่เพียงพอ กฎหมายควรกำหนดกรอบในการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนโดยควรแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยรับงบประมาณที่ดำเนินการ แผนงาน โครงการ กิจกรรม หรือมาตรการ วงเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้จ่าย วัตถุประสงค์และความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อแสดงถึงความพร้อมความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบการดำเนินการและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวได้[14]

กล่าวโดยสรุป งบประมาณรายจ่ายงบกลางยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ แต่ปัญหาของการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพ


เชิงอรรถ

[1] อัญชลี ทองอุ่น, “ปัญหาการใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทย,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565), 34-35 และ 39.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “มหากาพย์งบประมาณรายจ่ายงบกลาง: วิธีคิดและมุมมองต่อความเหมาะสม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 สิงหาคม 2564, สืบค้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/08/802#_ftn1.

[3] สุปรียา แก้วละเอียด, กฎหมายการคลัง: ภาคงบประมาณแผ่นดิน (วิญญูชน 2563), 240.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[5] วนิยดา ชูชาย, “งบประมาณรายจ่ายงบกลางของไทย: การจัดสรรและการบริหารงบประมาณ,” สำนักงบประมาณของรัฐสภา, 35.

[6] เพิ่งอ้าง, 38.

[7] สิทธิกร นิพภยะ, “งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น,” เศรษฐสาร, 31 ตุลาคม 2562, สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://setthasarn.econ.tu.ac.th/blog/detail/33#:~:text=งบประมาณรายจ่ายงบกลาง%20เป็น,หน่วยรับงบประมาณได้โดยตรง.

[8] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74-75.

[9] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74.

[10] มาตรา 22 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561.

[11] ประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[13] ดู วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 84.

[14] เพิ่งอ้าง, 83-84.

ความสำคัญของเงินคงคลังในประเทศไทย และระบบการคลังไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้จะเริ่มต้นช้ากว่าที่ผ่านมา เนื่องจากขั้นตอนและกระบวนการเสนองบประมาณอยู่ระหว่างลอยต่อของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลทำให้งบประมาณประจำปีที่ควรจะต้องมีการเสนอและผ่านออกมาก่อนสิ้นเดือนกันยายนล่วงเลยมาจนเพิ่งจะเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี แม้งบประมาณจะยังไม่ผ่านออกมาก็ไม่ได้หมายความว่า ประเทศชาติจะไม่มีงบประมาณที่เปรียบเสมือนน้ำมันในการขับเคลื่อนการทำงานของประเทศ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ให้รัฐบาลใช้งบประมาณของปีที่แล้วไปพลางก่อนได้  นอกจากนี้ หากจำเป็นจริงๆ ประเทศยังมีสิ่งที่เรียกว่า “เงินคงคลัง” ที่อาจจะนำมาใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับการบริหารประเทศของรัฐบาลได้

ทว่า “อันว่าเงินคงคลังสำคัญไฉน” เพราะในการจัดทำงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2567 นี้รัฐบาลได้ตั้งรายการงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 118,361,130,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ทั้งหมด (3,480,000,000,000 บาท)

ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขออธิบายความรู้โดยสังเขปเกี่ยวกับ “เงินคงคลัง” ในแง่ของความหมาย ความสำคัญ การนำเงินคงคลังมาใช้ และปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้

เงินคงคลังคืออะไร : ความหมายและความสำคัญ

ในทางตำรานั้นได้อธิบายว่า ในอดีตเงินคงคลังหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Treasury Reserve” ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการใช้จ่ายของรัฐบาลในแต่ละปี และเนื่องจากภารกิจของรัฐบาลในอดีตมีไม่มากทำให้มีแนวคิดว่า ยิ่งมีเงินคงคลังมากเท่าใดก็ยิ่งดี เงินคงคลังจึงมีสถานะเป็นเงินสะสมของรัฐบาลที่เหลือจากการใช้งบประมาณรายจ่ายในปีก่อนๆ สะสมไว้เพื่อเป็นเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามจำเป็น[1] แต่ในปัจจุบันการอธิบายเงินคงคลังในลักษณะนี้ไม่ได้รับความนิยมแล้ว เนื่องจากรัฐส่วนใหญ่ในปัจจุบันลดความสำคัญเกี่ยวกับการสะสมเงินเหลือจ่ายไว้เป็นเงินสำรอง[2]

“เงินคงคลัง” ในปัจจุบันอยู่ในฐานะเป็น Treasury Balance โดยหมายถึงเงินที่รัฐบาลมีอยู่และใช้หมุนเวียนจ่ายอยู่ทุกวัน[3] ซึ่งเป็นการอธิบายเงินคงคลังในฐานะการบริหารเงินสด (และสิ่งที่ใกล้เคียงเงินสด) ที่รัฐมีไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานของรัฐ โดยเป็นตัวเลขของปริมาณเงินที่รัฐบาลมีอยู่ในคลัง ณ ขณะใดขณะหนึ่ง[4]

เงินคงคลัง

ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปี = เงินคงคลังเมื่อต้นปี + รายได้ของรัฐบาล + เงินกู้ของรัฐบาล + รายรับเงินนอกงบประมาณ – รายจ่ายเงินในงบประมาณ – รายจ่ายเงินนอกงบประมาณ

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (2555)

ส่วนประกอบของเงินคงคลังประกอบไปด้วยเงินสดและสิ่งที่ใกล้เคียงเงินสด ได้แก่ (1) เงินคงคลัง ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย (2) เงินสด ณ สำนักงานคลังจังหวัด/อำเภอ (3) ธนบัตร/เหรียญกษาปณ์ ณ กรมธนารักษ์ (4) เงินคงคลังระหว่างทาง (5) เงินฝากที่ธนาคารกรุงไทย[5] ซึ่งเป็นรายการตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นเงินรายได้แผ่นที่รัฐบาลรับไว้โดยไม่มีข้อผูกพันที่ต้องจ่าย และเงินที่รัฐบาลรับไว้โดยมีข้อผูกพันต้องจ่าย[6]

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเงินคงคลัง

ดังกล่าวมาแล้วว่า “เงินคงคลัง” คือ ปริมาณเงินสด (และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน) ที่รัฐบาลถืออยู่ในเวลาหนึ่ง  ฉะนั้น เงินคงคลังจึงไม่ได้สะท้อนถึงความมั่นคงทางการคลังของประเทศ การมีเงินคงคลังมากจึงไม่ได้สะท้อนว่า ประเทศไทยมีความมั่นคงทางการคลังมากเช่นกัน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เคยกล่าวว่า “…สมมติว่าอยากให้มีเงินคงคลังเยอะๆ ก็ไปกู้มาเยอะๆ…”[7] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเงินคงคลัง

ในอดีตที่ผ่านมาอาจจะมีข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ว่า นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยจะนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่างๆ ในเชิงว่าเสถียรภาพของการคลังประเทศชาติกำลังดีเพราะมีเงินเก็บสะสมไว้มาก เพื่อใช้เป็นเงินสำรองที่ใช้ในยามจำเป็น

เนื่องจากเงินคงคลังที่อยู่ในฐานะเงินออม (เงินคงคลังเมื่อต้นปี) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินคลังทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ตั้งข้อสังเกตว่าการอธิบายในลักษณะนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากระดับของเงินคงคลังขึ้นอยู่กับการรับจ่ายเงินของรัฐบาล

ในขณะเดียวกันเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาล แต่ควรพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย[8] ว่าในเวลานั้นมีภาระผูกพันในลักษณะใดบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การขาดดุลทางการคลังของประเทศจากการก่อหนี้สาธารณะในสัดส่วนที่สูงจากการกู้เงินไปใช้ในเรื่องที่ไม่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางการคลังที่แท้จริง

เราจะใช้เงินคงคลังในบริบทไหน : การนำเงินคงคลังมาใช้

ความสำคัญของเงินคงคลัง คือ การทำหน้าที่เป็นบัญชีการเงินของรัฐบาล[9] โดยทำหน้าที่เป็นบัญชีเงินขาข้าและบัญชีเงินขาจ่ายตามที่กฎหมายกำหนดในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พระราชกำหนดเฉพาะที่ออกตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ[10] โดยการนำเงินคงคลังไปใช้สามารถเอาไปใช้ได้ใน 5 ลักษณะ ดังนี้[11]

  1. รายการจ่ายที่มีการอนุญาตให้จ่ายเงินได้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่เงินที่ตั้งไว้มีจำนวนไม่พอจ่าย หรือพฤติการณ์เกิดขึ้นให้มีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  2. รายการจ่ายตามกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายเงินเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายนั้นๆ และมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  3. รายการจ่ายตามข้อผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่กระทำให้ต้องจ่ายเงินและมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  4. รายการจ่ายเพื่อซื้อคืนหรือไถ่ถอนพันธบัตรของรัฐบาล หรือตราสารเงินกู้ของกระทรวงการคลัง หรือชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้ ตามจำนวนที่รัฐบาลเห็นสมควร
  5. รายการจ่ายเพื่อซื้อเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรของรัฐบาลต่างประเทศหรือหลักทรัพย์ที่มั่นคงในต่างประเทศที่ไม่ใช่หุ้น ในสกุลเงินตราที่ต้องชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และในวงเงินไม่เกินจำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการชำระหนี้เมื่อถึงกำหนด

จากลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเงินคงคลังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสร้างสภาพคล่องทางการคลังให้กับรัฐบาลในการทำกิจกรรมทางการคลังต่างๆ โดยนำเงินจากบัญชีเงินคงคลังมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย[12] หรือกำหนดให้ใช้ไปพลางก่อนระหว่างที่ยังไม่มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีในรายการที่รัฐบาลต้องการดำเนินการ[13]

ตามกฎหมายกำหนดให้เมื่อมีการจ่ายเงินทั้ง 5 รายการดังกล่าวไปแล้วจะต้องตั้งเงินรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่าย หรือกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป[14]

ปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้

ปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า ระดับเงินคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่แบบแต่ก่อน แต่ปัญหาสำคัญของการนำเงินคงคลังไปใช้อยู่ที่การใช้ในสถานการณ์ที่จริงๆ แล้วควรจะครอบคลุมอยู่ในรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี ดังเช่นในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ก็คือ การตั้งรายการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 118,361,130,500 บาท

ในความเป็นจริงเงินคงคลังเป็นเงินที่ช่วยเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายของรัฐบาลในกรณีที่เงินงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอจะเอาไปใช้กับเรื่องที่รัฐบาลจะทำ ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า ในกรณีที่รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือจัดสรรงบประมาณไม่ตรงกับความต้องการใช้งบประมาณ ทำให้รัฐบาลต้องนำเงินคงคลังมาใช้แทน

ซึ่งในกรณีของรายการชดใช้เงินคงคลังในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 นี้ถูกเอาไปชดใช้เงินเดือนบุคลากรและบำเหน็จบำนาญ ทั้งๆ ที่งบประมาณส่วนนี้รัฐบาลน่าจะสามารถคาดหมายปริมาณของเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ แต่กลายเป็นว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลที่แล้วตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง จึงทำให้ต้องนำเงินคงคลังมาใช้เพื่อจ่ายไปพลางก่อนแล้วจึงค่อยมาจ่ายคืนในภายหลัง[15]

สภาพปัญหานี้ทำให้เกิดเรื่องตามมา 2 ประการ คือ ประการแรก ตัวเลขค่าใช้จ่าย (เงินเดือนบุคลากรและบำเหน็จบำนาญ) ของการใช้จ่ายจริงของรัฐบาลไม่ถูกรับรู้ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ ประการที่สองการต้องคอยตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยเงินคงคลังทำให้เกิดข้อจำกัดในการตั้งงบประมาณ และทำให้รัฐบาลมีพื้นที่ในการนำงบประมาณไปใช้จำกัดลง (รายการชดใช้เงินคงคลังมากเป็นอันดับ 3 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี)

สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นซ้ำได้เช่นกัน เนื่องจากการจัดทำงบประมาณของประเทศไทยในปัจจุบันมีข้อจำกัดค่อนข้างมากเนื่องจากในวงเงินงบประมาณของประเทศจำนวน 3,480,000,000,000 บาท รัฐบาลต้องนำงบประมาณไปใช้กับรายการใช้จ่ายที่มีลักษณะเป็นการใช้จ่ายตามสิทธิ ค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน และค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐาน ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายประจำที่รัฐบาลต้องจ่าย ทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณสำหรับการดำเนินนโยบายของตัวเอง ทำให้รัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณไว้ต้องตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้มีการตั้งรายการเอาไว้ในงบประมาณแล้วนำเงินคงคลังมาใช้ในส่วนที่ขาดไป

กล่าวโดยสรุป เงินคงคลังนั้นไม่ได้เท่ากับเงินสำรองของประเทศ แต่หมายถึงเงินสด (และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน) ในมือของรัฐบาล การใช้จ่ายเงินคงคลังจึงไม่เท่ากับการนำเงินสำรองของประเทศออกมาใช้ แต่เป็นการจ่ายเงินตามปกติในการบริหารราชการของรัฐบาล การนำเสนอข้อมูลโดยเอาตัวเลขของสัดส่วนเงินคงคลังออกมานำเสนอเพื่อแสดงความมั่นคงทางการคลังจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง


เชิงอรรถ

[1] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, “เงินคงคลัง,” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟันนี่พับบลิชชิ่ง, 2533), 91.

[2] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด,” (2548) วารสารการงบประมาณ 2 (5) 7:9.

[3] เพิ่งอ้าง, 14.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, เงินคงคลังในระบบเศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528), 7.

[5] พรชัย ฐีระเวช, “โครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาระดับเงินคงคลังที่เหมาะสม,” (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, 2555), 34.

[6] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 95.

[7] เอกพล บรรลือ, “เงินคงคลังที่หายไปสะท้อนอะไร?,” The Momentum, 7 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], เข้าถึงเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://themomentum.co/เงินคงคลังที่หายไปสะท้/.

[8] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 86 และ 97.

[9] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4, 32.

[10] ณัฐพงศ์ พันธุ์ไชย, “เงินคงคลัง,” สภาผู้แทนราษฎร [Online], เข้าถึงเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=29451.

[11] มาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[12] มาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[13] มาตรา 6 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[14] มาตรา 6 และมาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[15] ThaiPBS, “ศิริกัญญาเปิดใต้พรมงบฯ รัฐบาลเศรษฐาหลายเรื่องต้องจ่าย แต่ไม่ได้ตั้งงบฯ,” ThaiPBS 4 มกราคม 2567 [Online], เข้าถึงเมื่อ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/335614.

จะช่วยแรงงานยุคใหม่ รัฐควรต้องปรับตัว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ธุรกิจแพลตฟอร์ม” เป็นการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากการประกอบธุรกิจที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากสั่งสมและพัฒนาเทคโนโลยีหลายด้านๆ เข้าด้วยกัน วัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มคือ การเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นฐานในชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้สะดวกสบายมากขึ้น อาทิ การเดินทาง โดยเข้ามาช่วยเติมเต็มและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงรถโดยสารสาธารณะหรือการไม่มียานยนต์ขับขี่ส่วนตัว หรือการส่งอาหาร ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่ทุกร้านอาหารจะมีบริการส่งอาหาร

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนำมาสู่ปัญหาใหม่ๆ ในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ด้วยลักษณะของธุรกิจแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานและความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีอดีต ทำให้กรอบทางกฎหมายที่เคยใช้ในการคุ้มครองแรงงานอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มก็ได้รับผลกระทบจากการมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการต่อรองกับธุรกิจแพลตฟอร์มได้เหมือนกับแรงงานในอดีต

มิเพียงเท่านี้บทบาทของรัฐในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ของแรงงานกลุ่มนี้ทำได้จำกัด เพราะลักษณะของธุรกิจที่ซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้รัฐไม่สามารถที่จะตามธุรกิจแพลตฟอร์มเหล่านี้ทันและสร้างมาตรการเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของแรงงานแพลตฟอร์มได้

บทความนี้ต้องการจะนำเสนอรายละเอียดของสภาพปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่แรงงานในแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นหลัก พร้อมทั้งให้แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นกับรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ลักษณะธุรกิจที่ผิดแปลกจากอดีต

ในอดีตเวลาเราต้องการสั่งพิซซ่าจากร้าน เราอาจจะโทรศัพท์ไปที่ Call Center โดยตรง (ถ้าไม่ได้สั่งที่ร้าน) และร้านพิซซ่าก็จะให้พนักงานขับรถมาส่งอาหาร ลักษณะของการขายสินค้าจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างร้านอาหารกับผู้บริโภคโดยตรง ยอดขายและความสามารถในการส่งสินค้าขึ้นอยู่กับโปรโมชันและศักยภาพในการส่งสินค้าของร้านอาหารโดยตรง

แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจนั้นได้เปลี่ยนไปเมื่อธุรกิจแพลตฟอร์มมาถึง แพลตฟอร์มเข้ามาทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สาม ในการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริโภคและ Partner ซึ่งได้แก่ ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร สภาพดังกล่าวทำให้เกิดความสัมพันธ์ 3 ฝ่ายระหว่างผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร

ทั้ง 3 ฝ่ายนี้ถูกเชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นตัวกลางในการจับคู่ธุรกรรม กล่าวให้ง่ายขึ้นคือ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการความต้องกลางของผู้บริโภคสินค้า ร้านอาหารในการขายของ และคนขับรถส่งอาหารในการหารายได้จากการทำงาน

สิ่งนี้ทำให้เกิดสภาพการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มแตกต่างจากอดีตที่โดยทั่วไปแล้วเป็นตลาดด้านเดียว (Single-sided Market) กล่าวคือเป็นตลาดระหว่างผู้บริโภคกับผู้ขายสินค้า แต่ในกรณีของแพลตฟอร์มที่มีทั้งผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหารลักษณะของตลาดการประกอบธุรกิจจึงกลายเป็นตลาดหลายด้าน (Multi-sided Market) ด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์หลายคู่ที่เชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มอยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์เหล่านั้น ดังปรากฏตามภาพประกอบข้างท้ายนี้

ที่มา: FourWeekMBA

ความสัมพันธ์แบบตลาดหลายด้านนี้ ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากอำนาจทางเศรษฐกิจแบบเดิมคือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

อำนาจแพลตฟอร์มเหนือการควบคุมแบบเดิม

อำนาจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบเดิมในอดีตคือ การมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกรรมหลายฝ่ายในตลาดหลายด้านทำให้แพลตฟอร์มเกิดอำนาจใหม่คือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

การเกิดขึ้นของอำนาจแพลตฟอร์มนี้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก ผลกระทบเชิงเครือข่าย (Network effect) ที่เกิดจากความสัมพันธ์หลายฝ่ายบนธุรกรรมแพลตฟอร์ม เมื่อแพลตฟอร์มสามารถดึงเอาผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกัน ทำให้ลักษณะการทำงานของตลาดแพลตฟอร์มแตกต่างธุรกิจดั้งเดิมโดยเป็นตลาดหลายด้าน (Muti-sided market) ตลาดแต่ละด้านจะส่งผลเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน กล่าวคือ เมื่อตลาดด้านผู้บริโภคเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ตลาดด้านผู้ขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทำให้เกิดความอยากขายสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในส่วนของตลาดด้านคนขับรถส่งอาหารก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกันจากการเล็งเห็นว่ามีงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เรียกว่าผลกระทบเชิงเครือข่ายที่เกิดจากผลกระทบในตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง

ประการที่สอง ความสามารถในการสกัดกั้น ควบคุม และวิเคราะห์ข้อมูล โดยความสามารถนี้เกิดขึ้นมาจากการสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าปกติ ซึ่งในอดีตการเก็บข้อมูลเพื่อรู้จักตัวผู้บริโภคกระทำผ่านการสำรวจความต้องการทางการตลาด แต่การที่แพลตฟอร์มสามารถเก็บรวบรวมคนจำนวนมาก และเก็บข้อมูลได้ในระดับพฤติกรรมแบบ Real time ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพในการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้วิเคราะห์ รวมถึงควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ขายสินค้า และคนขับรถขนส่งอาหารบนแพลตฟอร์ม ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะรายบุคคล และผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจกับผู้ขายสินค้าและคนส่งอาหาร รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้สร้างเงื่อนไขในการใช้บริการ

ประการที่สาม ต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม เนื่องจากการเปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่เพียงความไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ใช้งานของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน แต่การย้ายไปสู่แพลตฟอร์มใหม่มีต้นทุนที่มากกว่านั้น ในแง่หนึ่งคือผลประโยชน์ในเชิงของชื่อเสียง ที่ได้รับจากการให้คะแนนรีวิวสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม รวมถึงการสร้างระบบผลประโยชน์ตอบแทนในระบบบิดภายใต้แพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถโอนย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ อาทิ คะแนนสะสม และเครดิตเงินคืน สิ่งนี้กระทบต่อคนส่งอาหารในฐานะแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ เพราะเท่ากับว่าแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการโยกย้ายแพลตฟอร์ม เพราะแรงงานจะสูญเสียคะแนนจากการรีวิว และแม้ว่าในทางปฏิบัติเราจะเห็นว่าแรงงานอาจจะทำงานให้มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งนี้มีข้อจำกัดและไม่ได้สะดวกอย่างที่เห็นซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

ไม่เพียงแต่อำนาจของแพลตฟอร์มเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มแตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมและกระทบต่อความสัมพันธ์ในทางแรงงานคือ การอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ธุรกิจแพลตฟอร์มอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่รองรับความสัมพันธ์ของแรงงานแบบเดิม ทำเกิดภาวะสุญญากาศในการคุ้มครองแรงงานและคนงาน กล่าวคือ กฎหมายแรงงานเดิมออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับความสัมพันธ์ในทางแรงงานในสถานประกอบการ และสัญญาจ้างแรงงานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น

ในขณะเดียวกันอำนาจของแพลตฟอร์มนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน จากงานวิจัยของของโจอันนา มาซูร์ และมาร์ซิน เซราฟิน ในปี ค.ศ. 2022 ได้ระบุว่าในกรณีของธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้นหากธุรกิจเหล่านี้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม รัฐอาจจะดำเนินการปิดกิจการนั้นเสีย หรือพยายามเข้าไปควบคุมผ่านการดำเนินการลงโทษหรือปรับเงิน แต่ธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น แตกต่างออกไปผลกระทบเชิงโครงข่ายไม่ได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีอำนาจทางทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันผลกระทบเชิงโครงข่ายได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีไพ่เหนือกว่ารัฐไปด้วย ผ่านการที่แพลตฟอร์มเข้าถึงผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมจำนวนมาก ซึ่งบรรดาคนเหล่านี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาล ทำให้เมื่อรัฐพยายามเข้ามากำกับดูแลแพลตฟอร์ม อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้บริโภคของแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ รัฐยังมีข้อจำกัดในการเข้ามาควบคุมการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม เนื่องจากปัญหาความไม่สมมาตรกันของข้อมูลของรัฐกับธุรกิจแพลตฟอร์ม เพราะว่าลักษณะของการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  เนื่องมาจากปัจจัยที่สลับซับซ้อนในการวิเคราะห์และอัลกอริธึมภายหลังระบบ ซึ่งรัฐไม่สามารถเข้าใจข้อมูลดังกล่าวได้ จากการเข้าไม่ถึงข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบของแพลตฟอร์มต่อแรงงาน

ผลกระทบของธุรกิจแพลตฟอร์มต่อแรงงานนั้น ส่งผลสำคัญมากๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากการที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปควบคุมและกำกับกิจกรรมของแพลตฟอร์มได้

การที่กฎหมายปัจจุบันไม่คุ้มครองในแรงงานในมิติต่างๆ ได้แก่

ประการแรก สัญญาจ้างแบบยืดหยุ่น การไม่นำความสัมพันธ์แบบการจ้างงานมาใช้ ทำให้ลักษณะของการทำงานของแรงงานมีความไม่มั่นคง นายจ้างมีอำนาจต่อรองและสามารถยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา

ประการที่สอง สภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง และการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านต้นทุนของการทำงานไปยังแรงงาน สภาพการทำงานที่พ้นไปจากสัญญาจ้าง ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานภายใต้แพลตฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานแรงงานทั่วไป

ประการที่สาม การไม่มีอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกัน ผลจากการไม่มีสถานะทางสัญญาจ้างแรงงานและการมีความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เหลื่อมล้ำกัน ส่งผลให้แรงงานแพลตฟอร์มต่าง ๆ นั้นจะมีระบบการจัดสรรงานและโอกาสในการทำงานให้กับแรงงานไม่เท่ากัน ในขณะเดียวกันแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แม้ว่าในทางปฏิบัติจะสามารถย้ายแพลตฟอร์มทำงานได้ แต่การย้ายแพลตฟอร์มก็มาพร้อมข้อจำกัด เนื่องจากแพลตฟอร์มสามารถตั้งเงื่อนไขให้ในกรณีที่ไม่ได้รับงานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเป็นเวลานาน  อาจทำให้ถูกปฏิเสธการเข้าใช้งานและถูกบล็อกออกจากระบบ

ประการที่สี่ การตั้งเงื่อนไขให้แรงงานแพลตฟอร์มสะสมทุนผ่านชื่อเสียง การสะสมอิทธิพลของแรงงานแพลตฟอร์ม กระทำผ่านการสะสมชื่อเสียงจากการรีวิวการทำงาน เงื่อนไขเหล่านี้ถูกนำมากำหนดเป็นความดีความชอบในการทำงาน โดยแรงงานได้ประโยชน์จากการอยู่ในระบบหนึ่งๆ แต่ไม่สามารถย้ายชื่อเสียงหรือผลงานของตัวเองออกไปยังระบบอื่นๆ ได้ โดยเมื่อออกมาจากระบบแล้ว ชื่อเสียงดังกล่าวแทบไม่มีประโยชน์ต่อแรงงานเลย

รัฐจะช่วยแรงงานได้อย่างไร

การแก้ไขปัญหานี้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายแรงงานและสัญญาจ้าง การแก้ไขกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมถึงแรงงานแพลตฟอร์มในเรื่องชั่วโมงการทำงาน การมีหลักประกันความเสี่ยงภัยในการทำงาน และความคุ้มครองที่เกิดขึ้นจากการจ่ายเงินทดแทน เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองจากที่ไม่เคยได้รับการคุ้มครองมาก่อน รวมถึงการกำหนดให้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงานล่วงหน้าเพื่อให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถตัดสินใจได้

การเข้ามาแทรกแซงนิติสัมพันธ์ในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นช่วยให้แรงงานสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การดำเนินการกำกับกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม รัฐต้องเข้าไปดำเนินการมากกว่าการควบคุมธุรกิจในแบบเดิม


อ้างอิงจาก

  • Sebastian Wismer and Arno Rasek, “Market Definition in Multi-sided Markets,” OECD [Online], accessed 16 November 2023, from https://one.oecd.org/document/DAF/COMP/WD%282017%2933/FINAL/En/pdf#:~:text=As%20multi%2Dsided%20markets%20involve%20distinct%20groups%20of%20customers%2C%20there,market%20encompassing%20all%20customer%20groups
  • ธร ปิติดล, เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย: บทเรียนจากโครงการชุมชนนโยบายเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2564).
  • สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ, “รายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาผลกระทบและนำเสนอมาตรการในการกำกับดูแล Digital Platform ในประเทศไทย,” (รายวิจัยเสนอต่อสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), 2566).
  • เดือนเด่น นิคมบริรักษ์, “การผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ,” TDRI [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2013/05/A151_Chapter2.pdf
  • ธร ปีติดล, “เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย (2): การผูกขาด การแข่งขัน และโจทย์ใหญ่ของการกำกับดูแล,” the 101.world [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://www.the101.world/platform-econ-challenge-thai-2/
  • อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ และเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร, แพลตฟอร์มอีโคโนมีและผลกระทบต่อแรงงานในภาคบริการ: กรณีศึกษาในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2561).
  • Platform Revolution, “How digital platforms increase inequality,” Platform Thinking Labs [Online] accessed on 16 November 2022, from https://platformthinkinglabs.com/materials/how-digital-platforms-increase-inequality/
  • Joanna Mazur and Marcin Serafin, “Stalling the State: How Digital Platforms Contribute to and Profit From Delays in the Enforcement and Adoption of Regulations,” Comparative Political Studies, 56(1), 101-130, https://doi.org/10.1177/00104140221089651.

สุขสันต์วันเกิด 91 ปี รัฐธรรมนูญไทย: การเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ไม่ได้เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการสถาปนาระบอบการปกครองประชาธิปไตยขึ้นมาแทนที่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง มาสู่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทยเท่านั้น แต่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว สิ่งที่ถูกสถาปนาขึ้นพร้อมๆ กันก็คือ การปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารทางการเมืองสำคัญที่กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทั้งหมด รวมถึงกำหนดรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ภายหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 วันดังกล่าวได้กลายมาเป็นวันรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงปีปัจจุบันนี้ การมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ได้ล่วงเลยมาแล้ว 91 ปีแล้ว บทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย ผ่านเรื่องราวของการเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ถูกประการใช้มาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วเป็นระยะเวลา 91 ปี (เกือบ 1 ชั่วอายุคน) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอาจจะถือได้ว่า ประชาธิปไตยยังมีอายุน้อยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานแบบสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส แต่ก็ยังมีอายุมากกว่าประเทศเกิดใหม่ (เพิ่งได้รับเอกราช) อาทิ อินเดีย ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์

ส่วนญี่ปุ่นแม้จะไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่ แต่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกยกร่างขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูปเมจิ (Meji restoration) ที่ใช้มาตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ. 1890 – 1947 โดยเป็นรัฐธรรมนูญแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1947 นี้เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการวางระบบการเมืองการปกครองใหม่โดยประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 91 ปีที่ผ่านมารัฐธรรมนูญไทยไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เฉยๆ หากแต่มีการเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดมักจะลงเอยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทน นับถึงปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ฉบับชั่วคราว 7 ฉบับ และฉบับถาวร 13 ฉบับ) การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทย

การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยสะท้อนอะไรให้กับเราบ้าง สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาจากจำนวนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนความสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก บริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลา และประการที่สอง พลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา

ในแง่ของบริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลานั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นตราสารทางการเมืองที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมสะท้อนกลายๆ คล้ายกับที่วรรณกรรมเรื่องหนึ่งสะท้อนว่าสังคมในเวลานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องใด ในแง่นี้รัฐธรรมนูญก็สะท้อนให้เห็นว่าในเวลาที่มีการร่างรัฐธรรมนูญนั้นสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องใด

ส่วนในแง่ของพลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลานั้นเป็นการมองลงไปลึกในอีกระดับหนึ่ง โดยมองไปว่าในช่วงเวลานั้น กลุ่มการเมืองภายในสังคมใดที่เข้าไปมีพลังในการผลักดันให้เกิดบทบัญญัติในเรื่องใดในรัฐธรรมนูญ

การเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย

โดยทั่วไปแล้วบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะกำหนดบทบัญญัติพื้นฐาน 2 เรื่อง คือ เรื่องแรกคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐตามหลักการแบ่งแยกอำนาจคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ และอีกเรื่องหนึ่งคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งบทบัญญัติส่วนนี้เป็นการรับรองสิทธิของประชาชนที่มีอยู่และสามารถยกขึ้นนำมาใช้กับรัฐได้ บทบัญญัติดังกล่าวทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ในโลกมีร่วมกัน

นอกจากนี้ ดังที่กล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ชัดเจนในบริบทของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 91 ปี ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและรัฐธรรมนูญชั่วคราว) ซึ่งจำนวนดังกล่าวทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยฉบับละ 4.5 ปี ทำให้เนื้อหาในรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ยุติบทบาทการใช้งานลงเป็นผลมาจากการรัฐประหาร

ทุกครั้งที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่อง คือ การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ

เรื่องแรก การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา ในกรณีนี้เป็นการที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามา โดยเพิ่มเติมจากเนื้อหาเดิมที่มีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ตัวอย่างเช่น ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประเทศไทยไม่ได้มีการบัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐหรือแนวนโยบายแห่งรัฐมาก่อน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดหลักการและกรอบแนวทางชี้นำให้รัฐบาลไปตรากฎหมายดังกล่าว[1] แม้ว่าในเวลาต่อมารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยการนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 มาใช้บังคับ แต่รัฐบาลไทยในเวลานั้นก็ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 โดยเพิ่มเติมหมวดเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ได้รับเอาแนวคิดนี้ไปบัญญัติไว้เช่นกัน[2] เว้นแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้นที่มีการตัดบทบัญญัติหลายเรื่องออกไป โดยมองว่ารัฐบาลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อาจไม่ตอบสนองต่อนโยบายที่จำเป็นต่อสังคม

เมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีความพยายามสร้างกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาให้ใช้อำนาจส่วนหนึ่งจากรัฐธรรมนูญ อาทิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยเป้าหมายของการสร้างองค์กรในลักษณะนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ถูกมองว่ามีมาอย่างยาวนานในสังคมไทย

เรื่องที่สอง การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีเนื้อหาในเรื่องดังกล่าวบัญญัติไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวจะคงอยู่แบบเดิมตลอด กล่าวคือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนในเรื่องนั้นจะถูกนำมาบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจจะถูกบัญญัติไว้แตกต่างจากที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน

ในช่วงนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ของประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 200 มาตรา ด้วยบริบทของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป  รัฐธรรมนูญจึงอาจจะมีเนื้อหาหรือหมวดหมู่ของบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้มีการบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ การเกิดขึ้นของบทบัญญัติในมาตรานี้มาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังในสังคมที่เรียกร้องให้รัฐหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนามากขึ้นในฐานะศาสนาประจำชาติ แต่สุดท้ายกลุ่มพลังดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันวาระดังกล่าวนี้  อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้รับรองหน้าที่ของรัฐในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ[3] บทบัญญัติในเรื่องนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จนกระทั่งมามีการเปลี่ยนแปลงในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติในเรื่องนี้ได้มีเนื้อหาเพิ่มเติมโดยระบุให้รัฐมีหน้าที่มากกว่าเดิม โดยเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท และป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด รวมถึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกดังกล่าว[4]

สาเหตุที่มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาเถรวาทที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ นั้น ประกีรติ สัตสุต ให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนของกลุ่มพลังในสังคมที่มีอำนาจ รวมถึงการรักษาฐานที่มั่นของอำนาจของชนชั้นนำในสังคมไทย ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมๆ กับการสร้างขบวนการของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ในการนำอำนาจในการแต่งตั้งพระสังฆราช และพระสังฆาธิการระดับสูงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์[5]

การเปลี่ยนแปลงภายในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในโครงสร้างของบทบัญญัติ ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติเรื่องใหม่เข้ามา แต่บ่อยครั้งการเปลี่ยนแปลงภายในของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทหรือพลังในสังคม

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทย

รัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างจากคน คนยิ่งมีอายุมากขึ้นศักยภาพและกำลังกายอาจจะลดลง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างกัน ยิ่งการปกครองล่วงเลยเข้ามามีอายุเพิ่มมากขึ้นในความเป็นจริงแล้วระบอบการปกครองควรจะต้องได้มีการเรียนรู้มากขึ้นในการปรับตัวเข้าหาความท้าทายที่เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ทว่า สิ่งนี้อาจจะไม่สามารถนำมาใช้อธิบายกับระบอบรัฐธรรมนูญไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะตลอด 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญของไทยนั้น รัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยเพียง 4.5 ปีเท่านั้น และเกือบครึ่งหนึ่งของการปกครองประเทศไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการปกครองประเทศภายใต้คณะรัฐประหาร

ความเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทยเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหารและความพยายามนำเศษเสี้ยวของการรัฐประหารมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อความต่อเนื่องจากการรัฐประหาร กลไกเหล่านี้โดยสภาพแล้วเป็นการขัดกับหลักการของรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นหรือเป็นอุดมคติของรัฐธรรมนูญ

ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยอธิบายรัฐธรรมนูญอุดมคติว่าต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐธรรมนูญจะต้องเน้นให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวสอดคล้องกับหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 4 และหลักที่ 5[6] นอกจากนี้ ปรีดี พนมยงค์ ยังได้แสดงความเห็นอีกประการหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญที่ดีควรจะต้องสอดคล้องกลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอีกด้วย[7]

ดังนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าอุดมคติของรัฐธรรมนูญในสายตาของปรีดี พนมยงค์ จะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ หลักความเสมอภาค หลักสิทธิและเสรีภาพ และหลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ในเรื่องความเสมอภาคนั้น ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า ความเสมอภาค (egalité) หรือความสมภาคเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความเป็นอิสระของตนเองเสมอกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น ความเสมอภาคในแง่มุมนี้ มุ่งเน้นเฉพาะความเสมอภาคทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่บุคคลมีสิทธิและหน้าที่ในกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ  ไม่ใช่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่จะมีทรัพย์สินมากเท่าเทียมกัน[8]

ในสายตาของปรีดี พนมยงค์ ความเสมอภาคตามกฎหมายจะต้องมีความเสมอภาคในสิทธิ กล่าวคือ การมีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายเดียวกัน ภายใต้องค์กรตุลาการเดียวกัน และไม่ได้รับสิทธิแตกต่างกันไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ในขณะเดียวกันบุคคลมีความเสมอภาคในหน้าที่ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ บุคคลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมเหมือนกัน อาทิ หน้าที่ในการเสียภาษีอากร[9]

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าภายหลังการรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะรับรองความชอบธรรมและนิรโทษกรรมการกระทำของคณะรัฐประหารเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้การกระทำของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว[10]

ส่วนในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า หลักความเป็นอิสระหรือเสรีภาพ (liberté) หมายถึงความเป็นอิสระที่บุคคลอาจจะทำการใดๆ ได้โดยไม่เป็นที่รบกวนละเมิดต่อสิทธิของบุคคลอื่น[11] โดยทั่วไปแล้วการรับรองสิทธิและเสรีภาพในที่นี้มีเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ อาทิ เสรีภาพในตัวบุคคล หมายถึง การที่มนุษย์มีอิสระในตัวเองในการกระทำเรื่องใดๆ เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองได้ การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐไปจับกุมคุมขังหรือจำกัดเสรีภาพของบุคคลจะต้องอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเท่านั้น[12]

การรับรองสิทธิและเสรีภาพถูกทำให้แย่ลงภายหลังจากการรัฐประหาร ในช่วงรัฐประหารประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านการรัฐประหารหรือออกมาชุมนุม แต่ด้วยผลของประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารได้กำหนดให้ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ แม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ แม้ว่าจะเป็นการรับรองโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราว อย่างไรก็ดี เมื่อคณะรัฐประหารพ้นจากอำนาจไป ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น เพราะประกาศหรือคำสั่งดังกล่าวได้ถูกรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้การคุกคามสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวยังคงถูกเลือกปฏิบัติต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ในช่วงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังคงมีผู้ต้องโทษจากการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรัฐประหารต้องไปต่อสู้คดีต่อไปในศาลทหารตามประกาศหรือคำสั่ง คสช.

มิเพียงเท่านั้นปฏิบัติการของประกาศหรือคำสั่ง คสช. ยังมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิหรือเข้าไปแทรกแซงการจัดสรรผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติหลายประการ อาทิ การยกเว้นเขตผังเมืองหรือการออกประกาศหรือคำสั่งเพื่ออำนวยความสะดวกในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สิ่งเหล่านี้เป็นการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายในสภาวะปกติที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การที่รัฐธรรมนูญรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของเรื่องเหล่านี้ ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิเพื่อต่อสู้คดีหรือเรียกร้องให้รัฐชดเชยได้อย่างเต็มที่

ในเรื่องสุดท้ายที่เป็นอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ก็คือ การให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หัวใจสำคัญของการมีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนก็คือ การยอมรับและรับรองให้ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจองค์กรต่างๆ ภายในรัฐ ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจใดๆ ควรจะต้องมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่ยึดโยงอยู่กับประชาชน กล่าวคือ องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดๆ ควรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนให้เข้ามาสู่อำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสมาชิกวุฒิสภานั้น มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. โดยคัดเลือกจากบุคคลในเครือข่ายของ คสช. ให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง สภาพดังกล่าวทำให้หลายครั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ทำหน้าที่ตามเจตจำนงหรือความต้องการของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการเปิดโอกาสให้มีการใช้ระบอบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแอบแฝงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดความสัมพันธ์ขององค์กรที่ใช้อำนาจรัฐและกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน สภาพดังกล่าวทำให้บ่อยครั้งรัฐธรรมนูญไม่สะท้อนคุณค่าของประชาธิปไตย และในทางกลับกันรัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดผลร้ายที่ขัดขวางต่อขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งต่อต้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย อาทิ การที่สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหรือแม้แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะตีความให้การใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดกับรัฐธรรมนูญ

ดังจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันระบอบรัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นผลมาจาการยกเลิกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่มากถึง 20 ครั้ง และการเพิ่มและขยายตัวของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของกลุ่มพลังในสังคมไทยที่พยายามผลักดันวาระของของตัวเองเข้าไปในรัฐธรรมนูญ

ตลอดระยะเวลา 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญไทยเหมือนจะยาวนาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญทั่วโลก ก็จะเห็นได้ว่า ระบอบรัฐธรรมนูญไทยยังมีอายุน้อย การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญจึงอาจจะผิดพลาดบ้างหรือเกิดปัญหาบ้าง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยนั้น จะยอมให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดได้แสดงเจตจำนงแก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้การปกครองที่มีปัญหาได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดีขึ้น เพราะท้ายที่สุดหัวใจของประชาธิปไตยที่อยู่ในรัฐธรรมนูญคือ การย้อนกลับมาตอบสนองต่อประชาชน ในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดอยู่ดี


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/528.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ดู สัมภาษณ์ประกีรติ สัตสุต ใน ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, “พุทธศาสน์ปราศจากรัฐไม่ได้ฉันใด สงฆ์ไทยย่อมข้องเกี่ยวกับการเมืองฉันนั้น – คุยการเมืองเรื่องของสงฆ์กับประกีรติ สัตสุต,” the 101.world, 1 ธันวาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก the101.world/prakirati-satasut-interview/.

[4] มาตรา 67 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[5] ดู ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, อ้างแล้วใน เชิงอรรถที่ 3.

[6] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: เสรีภาพ เสมอภาค,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/529.

[7] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: กลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 9 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/530.

[8] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (กรุงเทพฯ: สำนักงานทนายความพิมลธรรม, 2513), น. 18.

[9] สมคิด เลิศไพฑูรย์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

[10] มาตรา 279 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[11] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 8, น.3.

[12] เพิ่งอ้าง, น.14.

ความรุนแรงต่อสตรีต้องยุติด้วยการแก้ไขวัฒนธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในโอกาสที่วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล  (International Day for the Elimination of Violence against Women) ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำเสนอถึงประเด็นวัฒนธรรมว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบและส่งอิทธิพลต่อความประพฤติของคนในสังคม อิทธิพลของวัฒนธรรมปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษผ่านสื่อบันเทิง โดยสื่อบันเทิงไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เฉพาะในแง่ดีแต่ผลของการทำสื่อบันเทิงอาจส่งผลกระทบในเชิงลบได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อคนบางกลุ่ม อาทิ เด็กและผู้หญิง ทั้งในฐานะของผู้รับสารจากสื่อบันเทิงและผู้รับผลลัพธ์ของความรุนแรงนั้นๆ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยควรย้อนกลับมาพิจารณาเมื่อประเทศไทยต้องการก้าวเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของผู้ส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมต่างๆ และเริ่มมีบทบาทในการเมืองโลกผ่านวัฒนธรรม

บทความชิ้นนี้จึงพยายามสำรวจความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เป็นผลมาจากสื่อบันเทิง

ความรุนแรงในครอบครัว คือความรุนแรงต่อผู้หญิง

จากการสำรวจสถิติความรุนแรงในครอบครัวไทยของกรมกิจการสตรีและครอบครัวในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 พบว่า สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยเกิดขึ้นกับผู้หญิงกว่าร้อยละ 82.78 ของจำนวนกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในขณะที่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 90.5 ของจำนวนผู้กระทำความรุนแรงทั้งหมดเป็นผู้ชาย

ในแง่ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 เฉลี่ยเดือนละ 196 รายต่อเดือน โดยเดือนที่มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน 2564 จำนวน 247 ราย และเมื่อย้อนกลับไปมองภาพความรุนแรงย้อนหลังในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2566) พบว่า จำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีความรุนแรงเฉลี่ยเกิดขึ้น 1,660 รายต่อปี

นอกจากนี้ จากการสำรวจดังกล่าวระบุว่า ความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 จำนวนกว่าร้อยละ 42.8 ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภริยา

โดยสาเหตุ 10 อันดับแรกของความรุนแรงในครอบครัวเกิดมาจาก

  1. ยาเสพติด ร้อยละ 19.3
  2. สุรา ร้อยละ 11.8
  3. ความหึงหวง ร้อยละ 10.8
  4. สุราและการบันดาลโทสะ ร้อยละ 9.9
  5. บันดาลโทสะ ร้อยละ 8.6
  6. ความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่า ร้อยละ 8.1
  7. หย่าร้าง ร้อยละ 6.3
  8. ปัญหาสุขภาพจิต ร้อยละ 4.9
  9. สุราและยาเสพติด ร้อยละ 4.7
  10. ปัญหาอื่นๆ อาทิ ความเครียดทางเศรษฐกิจ และการพนัน ร้อยละ 15.6

ผลของความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้กระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ เพศ และชีวิตของผู้ถูกกระทำความรุนแรง โดยผลกระทบต่อร่างกายถือว่าเป็นผลกระทบอันดับแรกๆ ที่เกิดขึ้น

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุการใช้ความรุนแรงในครอบครัวประการหนึ่งก็คือ สาเหตุที่ว่าตนมีความรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงวัฒนธรรมที่สร้างบทบาทของหญิงและชาย

สื่อบันเทิงกับความรุนแรงต่อผู้หญิง

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา สื่อบันเทิงไทยมีการนำเสนอละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ที่มีชื่อดังหรือละครที่ประสบความสำเร็จในการถ่ายทำตลอดกาล โดยบรรดาละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์เหล่านี้บางเรื่องมีการทำซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายเรื่องมีการทำซ้ำหลายครั้ง (มากถึง 5-6 ครั้งในรูปแบบที่แตกต่าง)

ปัญหาของการนำบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหรือละครที่ประสบความสำเร็จนี้คือ การผลิตซ้ำความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง บทประพันธ์หรือละครเหล่านี้ส่วนหนึ่งสร้างขึ้นบนวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ กล่าวคือ บทประพันธ์เหล่านี้ให้ความชอบธรรมแก่ผู้ชายกับพฤติกรรมแบบผู้ชายกระแสหลัก ซึ่งทำให้เกิดการตั้งท่าทีรังเกียจกับคนที่เป็น LGBTQ+ หรือยอมรับการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงหรือสร้างบทบาทของผู้หญิงให้ด้อยกว่าหรือต้องพึ่งพาผู้ชาย

จุดที่น่ากังวลที่สุดก็คือ การให้ความชอบธรรมกับการข่มขืน ละครโทรทัศน์ส่วนหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เก่าหรือละครที่มีชื่อเสียงในอดีตบางเรื่องได้พยายามนำเสนอภาพของความชอบธรรมเกี่ยวกับการข่มขืนในหลายๆ ลักษณะ อาทิ ตัวละครเอกฝ่ายหญิงถูกตัวละครเอกฝ่ายชายข่มขืน กรณีนี้เป็นการใช้การข่มขืนเป็นเงื่อนไขของความรักและเป็นการทำให้การข่มขืนกลายเป็นเรื่องโรแมนติก ซึ่งในตอนสุดท้ายเรื่องก็จะจบลงอย่าง Happy Ending หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ ตัวละครหญิงฝ่ายร้าย (ผู้เขียนลำบากใจมากที่จะเรียกว่านางร้าย) ซึ่งทำเรื่องไม่ดีมาทั้งหมดตลอดทั้งเรื่องอาจจะมีจุดจบคือ การถูกข่มขืน การถูกนำไปค้าประเวณี หรือการติดโรคร้ายแรงทางเพศสัมพันธ์ หรือไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้คือการที่ผู้เขียนบทประพันธ์พยายามนำเสนอภาพของการสั่งสอนและชี้ให้เห็นผลร้ายของการทำตัวเป็นคนไม่ดีตามบทประพันธ์ ปัญหาก็คือ การที่ตัวละครหญิงฝ่ายร้ายถูกข่มขืนกับกลายเป็นเรื่องสะใจหรือที่พึงพอใจของผู้ชม เพราะมองว่าเหมาะสมกับสิ่งเลวร้ายที่ตัวละครนั้น ความเลวร้ายในเรื่องดังกล่าวถูกจัดให้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าการถูกดำเนินคดีหรือถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันตัวละครชายที่ข่มขืนตัวละครหญิงฝ่ายร้ายนี้ก็ไม่ได้รับผลร้ายจากการกระทำ

สถานการณ์ของการฉายวนภาพของความรุนแรงกับผู้หญิงและการข่มขืนในละครไทยเริ่มกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงขาลงของธุรกิจโทรทัศน์ไทยที่หลายๆ ช่องเริ่มนำละครที่เคยได้รับความนิยมกลับมาฉายซ้ำในช่วงเวลาที่ไม่ได้ไพรม์ไทม์ (ช่วงเวลายอดนิยม)

สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ไม่ควรมีใครสมควรถูกข่มขืน สิ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่สุด

นอกจากเรื่องการข่มขืนแล้ว ละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์จำนวนหนึ่งยังให้ความสำคัญหรือกำหนดคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่แบบแผนที่สังคมปรารถนาหรือมาตรฐานความสวยงามไว้กับรูปแบบที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจมากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลายหรือสร้างเรื่องราวที่เสริมสร้างให้ยอมรับความหลากหลาย แน่นอนว่าในปัจจุบันเราเริ่มเห็นผลงานที่นำเสนอในประเด็นนี้แล้วและคาดหวังว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

อีกรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงที่ปรากฏในละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์คือ การสร้างภาพของการทำร้ายร่างกายของตัวละครฝ่ายหญิงเพื่อแย่งชิงฝ่ายชาย ซึ่งทำให้ภาพของความภราดรภาพในหมู่ผู้หญิงอ่อนแอลง โดยทำให้ผู้หญิงเข้าสู่ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงผู้ชายกัน มากกว่าการสร้างคุณค่าของตัวละครหญิงเอง

การสร้างความตระหนักรู้ต่อความรุนแรงคือเรื่องสำคัญ

ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นปัญหาโดยรวมของสังคม กลไกการสร้างความตระหนักรู้มีส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงที่ยั่งยืนที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม

การเปลี่ยนแปลงในระดับวัฒนธรรม โจทย์ที่สำคัญจึงมาตกอยู่กับการทำอย่างไรให้สามารถขับเคลื่อนคุณค่าของผู้หญิงและการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงไปสู่สังคมที่ผู้หญิงมีคุณค่าและได้รับการเสริมพลังอย่างเต็มที่

การสร้างความตระหนักรู้ควรจะเริ่มต้นจากการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ให้กับคนในสังคมเข้าใจ แม้ว่าผู้เขียนจะพูดถึงบทประพันธ์เก่าหรือที่เราเรียกว่างานคลาสสิกว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน แต่ในการนำเสนองานดังกล่าวอาจต้องผ่านการปรับปรุงหรืออย่างน้อยที่สุด สื่อควรมีบทบาทในการอธิบายพฤติกรรมดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้ข้อมูลกับผู้เสพสื่อเพื่อให้เขาสามารถตัดสินใจต่อไปได้

บทบาทของสื่อบันเทิงควรเปลี่ยนไป สื่อควรจะต้องสร้างภาพแทนใหม่ให้ผู้หญิงมีความเข้มแข็งมากขึ้นสามารถก้าวออกไปใช้ชีวิตและมีพื้นที่ทัดเทียมกันกับผู้ชาย รวมถึงควรเลิกสร้างสื่อที่ผลักดันหรือสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง ปัญหาสำคัญที่สุดของสื่อปัจจุบันคือ การทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ผู้ชายรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ศักยภาพของผู้ผลิตสื่อไทยสามารถที่จะนำเสนอประเด็นความรักโรแมนติกโดยที่ไม่ต้องมีการข่มขืนหรือการทำร้ายร่างกายกันได้

ในแง่ของรัฐบาลที่ต้องการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมออกไปสู่ต่างประเทศ รัฐบาลอาจจะต้องกลับมาทบทวนก่อนว่า สินค้าที่จะส่งออกนี้มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ที่จะใช้เป็นฐานในการขยายผลและสร้างที่มั่นทางการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อเทียบกับการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมในต่างประเทศที่มีการปรับตัวเข้าสู่บริบทของสังคมใหม่ๆ แล้ว ภาพของการใช้ความรุนแรง การหึงหวงแบบเกินเลย หรือการข่มขืนไม่ควรจะต้องอยู่ในชั้นวางขายสินค้าอีกต่อไป


อ้างอิงจาก

ความจน ชาวนา แรงงาน: ภาพสะท้อนของการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยรัฐ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ เกี่ยวกับแรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475 บทสัมภาษณ์นี้ อาจารย์แล ได้ฉายภาพให้เห็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำผ่านการต่อสู้ของแรงงาน ชาวนา และบทบาทของรัฐ ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้มีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจประกอบกับผู้เขียนได้มีโอกาสไปฟังการนำเสนอบทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธร ปิติดล ในบทความชื่อ “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” ผู้เขียนใคร่ขอนำมุมมองจากทั้งสองเรื่องมาชวนผู้อ่านคิดตามไปเกี่ยวกับบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ

เริ่มต้นจากบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล  ที่ฉายภาพให้เห็นปัญหาเศรษฐกิจไทย 3 เรื่องสำคัญภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามปี พ.ศ. 2475 คือ (1) การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน (2) เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม และ (3) บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยผู้เขียนขอนำประเด็นที่ได้จากการสัมภาษณ์อาจารย์แล มาสรุปไว้ตรงนี้

เรื่องแรก การต่อสู้ของแรงงานไทยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความคุ้มครองสิทธิแรงงาน ในบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล ได้เล่าถึงขบวนการแรงงานไทยมีการต่อสู้และเรียกร้องของแรงงานไทย ที่มีการรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ การเปลี่ยนสังคมไทยที่อดีตไม่มีการคุ้มครองแรงงานใดๆ มาสู่กฎหมายคุ้มครองแรงงานซึ่งช่วยสร้างมาตรฐานให้แก่สิทธิของแรงงานให้ได้รับความคุ้มครอง และกฎหมายประกันสังคมที่ช่วยจัดสวัสดิการให้กับแรงงานไทย

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มาจากการต่อสู้ของขบวนการแรงที่มีมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์แลได้ชี้ให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันบทบาทของขบวนการแรงงานไทยอยู่ในช่วงที่เผชิญกับความท้าทายจากรูปแบบความสัมพันธ์แรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของความสัมพันธ์แรงงานรูปแบบใหม่ที่เข้าไปทำงานในแพลตฟอร์มออนไลน์ ขบวนการแรงงานในเวลานี้จึงอยู่ในช่วงของการปรับกระบวนการใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว

เรื่องที่สอง เสียงของขบวนการชาวนาไทยที่ถูกทำให้หยุดนิ่งและหลงลืม อาจารย์แล เน้นย้ำว่าประเด็นชาวนาเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทยมาโดยตลอดและเป็นแรงผลักดันให้เกิดการอภิวัฒน์การปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 นอกจากนี้ อาจารย์แล ชี้ให้เห็นว่าภาพจำของสังคมไทยที่ถูกนำเสนอผ่านเรื่องความอุดมสมบูรณ์แบบในน้ำมีปลาในนามีข้าวนั้นอาจจะไม่เป็นความจริง เพราะแม้ว่าอุตสาหกรรมเกษตรจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยก่อนการอภิวัฒน์สยาม แต่สภาพสังคมไทยในเวลานั้นชาวนาเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคง ชาวนาไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ และวิธีทำการเกษตรยังมุ่งเน้นการใช้แรงงานคนมากกว่าการใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำชาวนาไทยมีความยากลำบาก

สภาพดังกล่าวทำให้ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม คณะราษฎรได้มอบหมายให้ นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยที่เป็นอยู่ในเวลานั้นให้ดีขั้นทั้งในแง่การจัดสรรที่ดินใหม่ เพื่อให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ได้ รวมถึงการเสนอให้ชาวนารวมตัวกันเป็นสหกรณ์เพื่อให้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น แต่การที่เค้าโครงการเศรษฐกิจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นวิธีการแบบคอมมิวนิสต์ดังปรากฏในสมุดปกขาวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้ความมุ่งหมายที่จะช่วยเหลือชาวนาถูกขัดขวาง และสร้างภาพจำสังคมไทยให้เห็นว่าการพยายามช่วยเหลือชาวนามีความเกี่ยวโยงกับคอมมิวนิสต์

ประกอบกับในเวลาต่อมาขบวนการชาวนาได้รวมกันเป็นแนวร่วม 3 ประสาน (กรรมกร ชาวนา และนักศึกษา) ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมนั้นขบวนการชาวนาถูกกวาดล้างอย่างจริงจังแบบถอนรากถอนโคน เพราะถูกรัฐไทยเชื่อมโยงขบวนการชาวนากับขบวนการคอมมิวนิสต์

การเชื่อมโยงชาวนากับคอมมิวนิสต์ทำให้ชาวนาอยู่ในสถานะตัวร้ายและคนที่พยายามจะช่วยเหลือชาวนาก็อยู่ในสถานะตัวร้ายเช่นกัน ดังนั้น ความช่วยเหลือจากรัฐไปสู่ชาวนามักจะเป็นไปอย่างจำกัด รัฐไม่เน้นการช่วยเหลือชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เน้นการช่วยเหลือผ่านการสงเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การให้เงินช่วยเหลือผ่านการผันเงินไปลงหรือการช่วยประกันราคาสินค้าเกษตร แต่ไม่ลงไปถึงการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชาวนาจริงๆ ในทางตรงข้ามเมื่อชาวนารวมตัวกันเป็นขบวนการเมื่อไร รัฐจะปฏิบัติต่อชาวนาอย่างไม่ไว้วางใจ

เรื่องที่สาม บทบาทของรัฐไทยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ในช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ อาจารย์ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสำคัญของสังคมไทยกลับมาอยู่ที่บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาฐ บทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาทั้งในกรณีของแรงงานหรือชาวนา รัฐจะตั้งบทบาทไว้ในฐานะผู้สงเคราะห์มากกว่าจะแก้ไขปัญหา และมองปัญหาความยากจนไว้กับเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าจะมองว่า ความยากจนเป็นผลผลิตของสังคมโดยรวม ข้อเสนอแนะของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจึงมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาที่ตัวบุคคลมากกว่า อาทิ การให้เงินสงเคราะห์ การรับซื้อสินค้าเกษตรกร หรือการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือ ทำอย่างไรให้ชาวนาไม่เป็นหนี้หรือมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แม้ว่าบทสัมภาษณ์ของ อาจารย์แล จะเน้นอธิบายบทวิเคราะห์ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านบริบททางประวัติศาสตร์ แต่ดังจะเห็นได้ว่า ภาพดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องในปัจจุบัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยความเหลื่อมล้ำนั้นมีที่มาจากปัจจัยหลายๆ ประการ ทั้งปัจจัยภายนอก ปัจจัยเชิงนโยบาย และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำหายไป

จากการศึกษาวิจัยของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เรื่อง เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดขึ้นจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข้อสำคัญที่ตรงกับบทวิเคราะห์ที่ อาจารย์แลให้สัมภาษณ์ไว้บางประการ โดยปัจจัยความเหลื่อมล้ำที่ถูกยกขึ้นมา คือ (1) ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เนื่องจากคนไทยสัดส่วนร้อยละ 31 ทำงานอยู่ในภาคเกษตร เมื่อการเติบโของรายได้เกษตรอยู่ในระดับต่ำทำให้ความเหลื่อมล้ำกว้างขวางขึ้น สะท้อนภาพของชาวนาที่มีความไม่มั่นคง (2) ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เกิดจากโอกาสทางการศึกษาไม่ครอบคลุมและมีคุณภาพแตกต่างกัน สิทธิแรงงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าแรงเติบโตช้ากว่าเศรษฐกิจ และภาครัฐขาดมาตรการสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยอย่างเป็นระบบ (3) วิกฤตโควิด-19 เร่งให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะโควิด-19 ได้กระทบรายได้ของกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการและความคุ้มครองทางสังคม อาทิ เงินชดเชยในช่วงที่ไม่มีงาน และ (4) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยและเป็นปัจจัยที่เร่งเร้าให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแย่ลง

นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังเน้นย้ำว่า สาเหตุสำคัญที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการเมืองไทย โดยงานวิจัยระบุว่า สังคมไทยนั้นการเมืองมีลักษณะไม่เชื่อมโยงกับความรับผิดต่อส่วนรวม (accountability) การเมืองปล่อยให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดำเนินต่อไป

คำถามสำคัญต่อมาคือ เพราะเหตุใดรัฐจึงลอยตัวเหนือปัญหาความเหลื่อมล้ำ? ในส่วนนี้บทความของ อาจารย์ธร ปิติดล น่าจะช่วยตอบคำถามดังกล่าวได้

งานวิจัยของ อาจารย์ธร ปิติดลชื่อว่า “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย” เป็นส่วนหนี่งของเวทีนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์: แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” โดยงานวิจัยนี้ได้ใช้วิธีการศึกษาแบบการวิเคราะห์วาทกรรม(discourse analysis) และการวิเคราะห์เรื่องเล่า (narrative analysis) เป็นวิธีการศึกษาแนวคิดหรือความคิดที่มีอิทธิพลในการกำกับสังคม

งานวิจัยศึกษามิติเกี่ยวกับแนวคิดและอุดมการณ์สวัสดิการผ่านมุมมองสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐ ชุมชนและครอบครัว และความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ดี บทบาทสำคัญที่ผู้เขียนอยากชวนให้ผู้อ่านทุกคนลองคิดตามงานของ อาจารย์ธร คือ เรื่องบทบาทของรัฐและมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำ

อาจารย์ธร อธิบายแนวคิดเบื้องหลังของสังคมไทยเกี่ยวกับรัฐ โดยเริ่มต้นจากการอธิบายความชอบธรรมของรัฐที่เชื่อมโยงกับคติความเชื่อในอดีต ซึ่งเชื่อว่าผู้ปกครองต้องมีบุญบารมีที่จะนำพาให้เกิดความสงบสุขในสังคม ประชาธิปไตยแบบไทยจึงมุ่งเน้นหาคนดีเข้ามาปกครอง ในขณะที่โครงสร้างการปกครองก็ควรจะต้องมีการจัดลำดับการปกครองลดหลั่นลงมาจากผู้มีบุญบารมีสูงสุดลงมาสู่ผู้มีบุญบารมีต่ำสุด

รัฐและผู้นำของรัฐ จึงวางตัวเสมือนเป็นพ่อขุนอุปถัมภ์ ซึ่งปกครองประชาชนด้วยความห่วงใยและเมตตา ประชาชนจึงไม่ได้อยู่ในสถานะของพลเมืองที่ได้รับสิทธิจากรัฐ แต่อยู่ในฐานะผู้รับการสงเคราะห์จากรัฐ รัฐและผู้นำให้ด้วยความเมตตาไม่ใช่สิทธิ (มุมมองนี้ผู้เขียนคิดว่า อาจารย์ธร หยิบยืมมาจากงานเขียนของ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เรื่อง การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ)

ในส่วนของความเหลื่อมล้ำ อาจารย์ธร นำเสนอว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยไม่ถูกแก้ไขเพราะสังคมไทยมีมุมมองต่อความเหลื่อมล้ำในฐานะสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ กล่าวคือ ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่มีขึ้นพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นมากับความเป็นคน แนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกับความคิดเรื่องบุญกรรม ทำให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเข้าไปให้สิทธิแก่บุคคลที่ต้องได้รับการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเปรียบเสมือนการทำให้เกิดความแตกร้าวในวิถีทางของสังคมและไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ อาจารย์ธร นำเสนอต่อไปว่า ในสังคมไทยมีการอธิบายปัญหาความเหลื่อมล้ำสามารถถูกเอาชนะได้ด้วยความเพียรพยายามและการทำงานหนัก โดยยกตัวอย่างของการต่อสู้ของชาวจีนที่พกเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกทำให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลมากกว่าปัญหาของสังคมในภาพรวม

การอธิบายบทบาทของรัฐและความเหลื่อมล้ำโดยใช้กรอบแนวทางการวิเคราะห์วาทกรรมของ อาจารย์ธร ข้างต้นทำให้เห็นปัญหาต่อไปว่า เพราะเหตุใดรัฐสวัสดิการถึงไม่สามารถตั้งมั่นในประเทศไทยได้ในฐานะของสิทธิ ขณะเดียวกันเพราะเหตุใดรัฐถึงวางตัวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจนโดยลอยตัว เพราะมองว่าบทบาทของรัฐในการให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องหน้าที่ในการสงเคราะห์มากกว่าเป็นสิทธิของพลเมือง

ผู้เขียนคิดว่างานวิจัยของ อาจารย์ธร มีความน่าสนใจและคิดว่าหากงานวิจัยฉบับเต็มได้เผยแพร่น่าจะได้มีการนำงานวิจัยนี้มาพูดถึงอย่างจริงจังอีกครั้งในอนาคต

บทสัมภาษณ์ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ “แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475” โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์


อ้างอิงจาก

  • สถาบันปรีดี พนมยงค์, (6 พ.ย. 2566), “PRIDI Interview : แล ดิลกวิทยรัตน์ : แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475,” สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ, (21 เม.ย. 2564), “เจาะลึกความเหลื่อมล้ำไทย แก้ได้ไหม แก้อย่างไร,” กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร.  สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566.
  • ธร ปิติดล, “แนวคิดและอุดมการณ์กับพัฒนาการระบบสวัสดิการไทย,” เอกสารประกอบการนำเสนอผลการศึกษา “อุดมการณ์ รัฐ และการลงทุนในมนุษย์ : แง่มุมสำคัญในการผลักดันระบบสวัสดิการในประเทศไทย” จัดโดยมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย รวมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรม Grand Center Point Terminal.

พูดคุยกับ คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ส.ส. เก๋าเกมแห่งพรรคประชาธิปัตย์

[:th]

ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาสถาบันปรีดี พนมยงค์ มีความตั้งใจจะสัมภาษณ์ คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร คุณอุทัยเป็นคนหนึ่งที่มีมุมมองน่าสนใจจากประสบการณ์ทางการเมืองที่โชคโชน และมุมมองทางการเมืองที่มีต่อสังคมไทยอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะแง่มุมเรื่องประชาธิปไตยและบทบาทของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นประชาธิปไตย การสัมภาษณ์ครั้งนี้อยู่ภายใต้หัวข้อ อุทัย พิมพ์ใจชน “ปรีดี พนมยงค์ และรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย


เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ได้ทราบมาว่า ท่านอุทัยเป็นคนหนึ่งที่ไปรับอัฐิของท่านอาจารย์ปรีดี ในวันที่อัฐิของท่านอาจารย์ปรีดีมาถึง และท่านก็เป็นนักการเมืองเพียงคนเดียวที่ได้ออกไปรับอัฐิในวันนั้น อยากให้ท่านช่วยเล่าบรรยากาศ และเหตุผลที่ท่านตัดสินใจเข้าไปรับอัฐิของท่านอาจารย์ปรีดี

อุทัย พิมพ์ใจชน :

ต้องยอมรับว่า ประการที่หนึ่ง ผมสนใจการเมือง และตอนนั้นผมก็เป็นนักการเมือง ประการที่สอง ผมมีการศึกษา ผมจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ประศาสน์การคือเป็นผู้ก่อตั้ง ต้องถือว่าเป็นคนสำคัญในชีวิตเรา ในความทรงจำของเราส่วนหนึ่ง

และก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจท่าน ผมถือว่าท่านเป็นผู้เสียสละ เอาชีวิตเข้าเสี่ยง เพื่อจะเอาความรู้ที่เรียนมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้มันเจริญทัดเทียมกับต่างประเทศ

เราเป็นนักการเมือง เราก็มาเส้นทางเดียวกัน คือ อยากจะทำให้บ้านเมืองเจริญ ทัดเทียม หรือไม่ก็ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น อย่างน้อยเราก็จบจากมหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้ง และอย่างน้อยก็อยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ท่านได้รวบรวมกับพรรคพวกมาเปลี่ยนแปลงเอาชีวิตเข้าเสี่ยง และท่านก็ลำบากในการดำเนินการช่วงเปลี่ยนผ่านเปลี่ยนแปลง อำนาจเก่าก็เข้มแข็ง ชีวิตท่านก็ยังเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา และตลอดเวลาที่ดำเนินการทางเมืองที่เราทราบ ท่านก็มีแต่การต่อสู้ คำว่าต่อสู้ในที่นี่ ไม่ใช่การต่อสู้แบบใช้กำลังวังชาเลยนะ แต่คือสู้กับความคิด สู้กับการปฏิบัติ สู้กับแนวทางที่พาไปคือชีวิต และท่านก็ลำบากตลอดจนกระทั่งสุดท้ายต้องไปจบชีวิตที่ต่างแดน

เพราะฉะนั้น พอได้ข่าวว่า กระดูกท่าน อัฐิธาตุท่านจะกลับมา ด้วยความเคารพนับถือมาก่อนแล้ว ก็อยากจะไปแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านด้วยตัวเองในขณะที่มีโอกาส และบังเอิญที่เราก็เป็นประธานสภาฯ อยู่ แล้วสภานี้ที่มีได้ก็เพราะท่าน

ท่านเป็นคนร่วมกับคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็นคนก่อตั้งสภาผู้แทนฯ และเป็นเลขาธิการสภาฯ คนแรก ของประเทศไทย ตั้งแต่มีสภาฯ มาเท่าที่รู้ในประวัติศาสตร์ เรามีความภาคภูมิใจที่ได้ไปต้อนรับอัฐิธาตุ ต้อนรับวิญญาณท่าน มีความภาคภูมิใจ ผมถึงได้แต่งเครื่องแบบทางการปกติขาวในฐานะประธานสภาฯ

ผมถือว่าผมไปรับในฐานะประธานสภาฯ ถึงแม้ว่ารัฐบาลตอนนั้น ไม่ได้จัดการต้อนรับ แต่ว่าผมไปนี้ถือว่าผมไปต้อนรับในนามของประธานสภา ในนามของตัวแทนคนทั้งประเทศ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

เป็นที่เข้าใจว่าขณะนั้น แม้แต่คณะรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการจัดเตรียมการต้อนรับ ตอนนั้นท่านอาจารย์ปรีดีกลับมาในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่เรียบร้อยดี คนยังมองท่านในเชิงลบอยู่ แต่ที่ท่านอุทัยไปเป็นเหมือนกับการแสดงความกล้าหาญมาก ไม่ทราบว่ามีผลกระทบอะไรกับท่านหรือไม่

อุทัย พิมพ์ใจชน :

ไม่มี เพราะว่าผมอยู่แบบไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าจะมีก็แต่เบื้องหน้า แต่ไม่มีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามีอย่างเดียวทำยังไงให้บ้านเมืองเจริญ ประชาชนดีขึ้น และคนไหนที่ทำตัวเสียสละเราต้องยกย่องให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไปเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับคนรุ่นหลังว่า ทำดีไม่เสียเปล่า อย่างน้อยก็มีคนเห็นความดี เราก็คิดเช่นนั้นส่วนหนึ่ง และส่วนตัวภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสไปแสดงความกตัญญูกตเวที แม้จะไม่ได้แสดงต่อหน้าท่านแต่แสดงด้วยจิตสำนึก ซึ่งผมก็ภูมิใจ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ท่านมองว่ารัฐสภาที่ได้รับมาจากมรดกของคณะราษฎร มีหลักการอะไรที่ท่านคิดว่าเป็นส่วนสำคัญและเป็นข้อดีของระบบนี้

อุทัย พิมพ์ใจชน :

หลักการสำคัญหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยนี้ ก็เพื่อประชาชนของประชาชนตามคำจำกัดความของ อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเป็นหลักการสำคัญ และช่วงแรกๆ ก็ยังไม่มีการเลือกตั้งโดยตรง แต่ตอนหลังได้ดำเนินการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นการพัฒนาการมาจากคณะราษฎร โดยมีท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่วมคนสำคัญในคณะราษฎรถือว่าเป็นมรดก เป็นความเจริญ เป็นความคืบหน้า ในหลักการที่ท่านได้นำเข้ามาสู่บ้านเมืองเรา เพราะตอนนั้นเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย ก็ถือว่าเป็นคนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง

เพื่อจะให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้นตรงกับเจตนารมณ์ของระบบการปกครองมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถือเป็นความก้าวหน้า แม้จะก้าวหน้าไม่มากก็ยังถือเป็นความก้าวหน้า แต่มันก้าวหน้ามากไม่ได้ เพราะจะโดนอำนาจเก่ายึดอำนาจ เราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายสิบปีหรือ 90 กว่าปี แล้วทำไมเราถึงไม่เจริญกว่านี้ จำต้องบอกตรงๆ ว่า เราเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ก็ไม่ได้ปกครองอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป และมากกว่าการได้ปกครองหลังการเปลี่ยนแปลง คือเราถูกยึดกลับตลอด มันก็เลยเหมือนเดินหน้าแล้วก็ถอยหลังมานานอยู่เช่นนี้ จึงเอาดีไม่ได้ เอาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าโอเคแล้วใช้ได้

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ท่านอุทัยเป็นทั้ง สส. และท่านก็เคยเป็น ประธานสภา ด้วยจึงอยากจะขอเริ่มจากบทบาทของ สส. ก่อน ท่านอุทัยมองว่าบทบาทของ สส. ที่ดีควรจะเป็นเช่นไร

อุทัย พิมพ์ใจชน :

สส. ที่ดี ต้องรู้ว่าเมื่อคุณเข้ามาเป็น สส. คุณมาทำอะไร คุณมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน เป็นตัวแทนในสาม เรื่องที่ชาวบ้านต้องการ เรื่องที่ชาวบ้านเดือดร้อน และเรื่องที่ทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม สามอย่างนี้ทั้งหมด ก็เพื่อประชาชนทั้งนั้น ถ้าคุณคิดเช่นนี้คุณก็ทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว

แต่ถ้าคุณคิดจะทำหน้าที่อย่างอื่นก็ต้องมีเป้าหมายว่า อย่างอื่นที่ว่านี้เพื่ออะไร ซึ่งก็ต้องเป็นอย่างที่ผมว่า (เป็นนักการเมืองเพื่อประชาชน) เป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่ดีแล้ว ส่วนใครจะทำได้แค่ไหน หรือเอาประโยชน์อะไรแอบแฝงก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาให้ประชาชนพิจารณากันไป

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ถ้าเปรียบเทียบกันกับวุฒิสภาที่ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งบทบาทของ สส. คือตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน แต่สำหรับวุฒิสภาแล้ว ท่านอุทัยมองว่าอย่างไรครับ

อุทัย พิมพ์ใจชน :

คือคุณ (เขมภัทร) อายุขนาดนี้ เห็นการปฏิวัติเมืองไทยสองถึงสามครั้ง ปฏิวัติเมื่อไรเขาก็ตั้งวุฒิสภาเป็นของพวกเขา เพราะกลัวว่า สส. ที่มาจากราษฎร จะไปอีกทางหนึ่ง และจะทำให้พวกเขาไปไม่เป็น ไปไม่ได้ มันเรียกว่าใครมีอำนาจก็จะพยายามปกป้องอำนาจตนเองไว้

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ในมุมของท่านอุทัย ประธานสภาฯ ควรทำหน้าที่อย่างไร และผมเคยได้เห็นบทสัมภาษณ์ท่านที่กล่าวถึงเรื่อง ทรราชคอนดักเตอร์ คือมองว่าประธานสภาฯ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูงหรือมีอายุมาก แต่ว่าขอให้เป็นคนที่มีความเข้าใจ แล้วก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในสภาได้ ท่านมีมุมมองอย่างไรบ้าง

อุทัย พิมพ์ใจชน :

ประธานสภาฯ ในเบื้องต้น ทุกคนในที่ประชุมก็อยากเห็นประธานสภาวางตัวเป็นกลาง ถ้าทำหน้าที่เป็นกลางได้เท่าไรก็ถูกวัตถุประสงค์ การเป็นประธานสภาฯ มากเท่านั้น เพียงแต่ว่า ในมุมมองของผู้เข้าประชุมให้เป็นกลางโดยสายตานี่ยาก ถ้าประธานสภาฯ ชี้ให้ใครสักคนพูด เมื่อคนนั้นพูดแล้วพูดโจมตีฝ่ายตรงข้ามก็จะโดนบอกว่าประธานสภาฯ เข้าข้างคนนี้ประมาณนี้ พอชี้มาอีกทางหนึ่งแล้วพูดมากหน่อยหรือว่าพอพูดแล้วมีเรื่องติดฟันอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่พอใจ ประธานสภาฯ ก็จะถูกหาว่าเข้าข้างทางนี้ คือจะต้องถูกข้อหาตลอด แต่ว่าเรื่องถูกข้อหาประธานสภาฯ จะต้องไม่ไปหวั่นไหว ต้องรู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไร

การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำอย่างไรให้เรียบร้อย ในสภานั้นมีทั้งคนพูดดุเดือด คนพูดหยาบคายก็มี พูดแบบนักเลงโตก็มี  อย่างนี้จึงอาจจะมีวางมือวางมวยกัน ในต่างประเทศก็มีเยอะแยะ ประธานสภาฯ จะทำอย่างไรให้เหตุการณ์แบบนี้มันไม่เกิดขึ้นในที่ประชุมสภา

พูดตามจริงแล้วมันต้องมีทั้งตึงอย่างคอนดักเตอร์ที่ผมพูดเปรียบเสมือนว่า ประธานสภาเหมือนคอนดักเตอร์ เวลามีประชุมก็เหมือนดนตรีกำลังเล่น เล่นให้ประชาชนดู เล่นให้ประชาชนฟัง ถ้าดนตรีมันไพเราะจังหวะเพลงที่มันเร้าใจ ดนตรี ออกมาเร้าใจคนก็เห็นชอบ แต่ถ้าดนตรีจังหวะอ่อย เอื้อน อ้อยสร้อย บรรยากาศควรจะอ่อนอ้อยสร้อย ทำอย่างไรให้เข้ากับบรรยากาศได้ ถ้าบรรยากาศดุเดือดตลอด คนประชุมเครียด มันก็วุ่นวาย อ้อยสร้อยตลอด มันก็น่าเบื่อ นั่งหลับอะไรอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้ที่ประชุมตื่นเต้นแล้วก็ไม่ถึงกับว่าต้องดุเดือดเกินไป แต่ก็ต้องมีดุเดือดบ้าง เพราะคนที่มาประชุมก็มาถ่ายทอดอารมณ์ในที่ประชุมเอา อารมณ์ของชาวบ้านมาปล่อย

นักการเมืองที่อยู่ในสภาเป็นคนเล่นละครทั้งนั้น เขาจึงบอกว่าคนที่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้วตำแหน่งมันเป็นเหมือนหัวโขน เมื่อคุณรู้ว่าคุณเป็นโขนอะไร คุณก็เล่นให้สมบทบาท แต่เวลาเลิกคุณเป็นคนธรรมดา ถ้าคุณยังสำคัญตัวผิดว่าคุณเป็นยักษ์ไปเดินกระทืบตึงตังอยู่ ชาวบ้านเขาหมั่นไส้ ก็จะเป็นเรื่องเป็นราวเอา หรือว่ายังเป็นนวยนาถ เป็นพระลักษณ์พระรามอยู่ ก็จะถูกถามว่าเป็นตุ๊ดอีก ซึ่งก็วุ่นวายอีกเพราะฉะนั้น อุปมาอุปไมยดีมาก ประเทศไทยเก่งเรื่องอุปมาอุปไมย

ตำแหน่งทางการเมืองเหมือนหัวโขน คุณเคยเป็นรัฐมนตรีไปไหนมีคนตั้งแถวรับ พอเลิกแล้วคุณอย่าไปหวังว่าจะมีคนมาตั้งแถว ให้รู้ว่าหัวโขนคุณได้ถอดแล้ว อย่างนี้ทำให้เป็นคติเตือนใจของนักการเมืองว่า เล่นก็เล่นให้สมบทบาท เวลาเลิกก็เป็นคนธรรมดาอย่าเอาบทบาทมาติด

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ที่ท่านอุทัยได้บอกว่า ประธานสภาฯ ต้องคอยควบคุมบรรยากาศทั้งตอนที่เร่าร้อนเกินไปก็ต้องทำให้เย็นลง ในขณะที่ช่วงไหนที่นิ่งมากไปก็ต้องพยายามควบคุมบรรยากาศให้มีความคึกคัก ถ้าสมมติว่า เวลาประธานสภาฯ ต้องตัดสินใจเรื่องอะไรบางอย่าง เช่น เรื่องนี้สมควรถูกนำมาเป็นญัตติไหม หรือว่าจะระงับเอาเรื่องไหนไว้ จากประสบการณ์ของท่านในฐานะที่เคยเป็นประธานสภาฯ หลายครั้ง มีมุมมองอย่างไรบ้าง

อุทัย พิมพ์ใจชน :

เราเป็นประธานสภาฯ มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องกล่าวเช่นนี้ก่อนว่า ทำไมประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง คือ บางคนพอเห็นสภาวุ่นวาย หรือบางทีประธานสภาฯ ก็พูดแบบเชยๆ ก็จะโดนกล่าวหาว่ามีไปทำไมประธานรัฐสภาเป็นสภาผู้ทรงเกียรติไม่เข้าท่าเอาคัดสรรดีกว่า เอาคนที่มีความรู้เข้ามา อันนี้ผิดหลัก เพราะมีคำตรัสของพระพุทธเจ้า บอกไว้เลยว่าคนที่จะเป็นผู้นำต้องมีความกล้าหาญ แต่คนที่จะมีความกล้าหาญไม่ได้หมายความว่า กล้าตี กล้าต่อย กล้าชก กล้ายิง กล้าบุก กล้าฝ่า พระองค์ทรงตรัสว่า คนที่จะเป็นผู้นำได้ต้องมีความกล้าหาญ แต่คนที่จะมีความกล้าหาญได้ต้องมีธรรมประจำตัวอยู่ เรียกว่า “เวสารัชชกรณธรรม”

ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 อย่าง อย่างแรกคือ ต้องมีศรัทธา อย่างที่สองคือ มีศีล อย่างที่สามคือ เป็นคนมีพหุสัจจะ อย่างที่สี่คือ เป็นคนที่มีวิริยารัมภะ อย่างที่ห้าคือ เป็นคนมีปัญญา คนที่จะมีห้าอย่างนี้ได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีหรือไม่มี การเลือกตั้งจะทำให้เรารู้ว่าคนนี้มีหรือไม่มี เราเลือกตั้งคนมาเป็นผู้นำประเทศ ต้องการเลือกผู้นำ คุณต้องมีความกล้าหาญอยู่ในตัวและรู้ได้ว่าคนนี้มี เวสารัชชกรณธรรม ต้องผ่านห้าอย่าง คือมีศรัทธา มีศีล มีพหุสัจจะ มีวิริยารัมภะ มีปัญญา

การเลือกตั้งจะทำให้ต้องแสดงตัวว่าคุณมีหรือไม่มีในห้าอย่างนี้ หนึ่ง คุณชอบหรือไม่ชอบศรัทธา ถ้าไม่สนใจ บอกว่าพ่อให้เป็น (นายกฯ) มา คุณจะเป็นคนดีได้อย่างไร ลูกพี่ให้มาเป็นอย่างนี้จะเป็นคนดีได้อย่างไร ต้องสมัครใจเป็น ผมชอบการเมือง ผมรักชาวบ้านอย่างนี้มาสมัครเข้าข้อที่ 1 ศรัทธาแล้ว

อันที่ 2 คุณต้องมีศีล คุณไม่เคยไปปล้นคน คุณไม่เคยไปข่มขืนคน คุณไม่เคยไปฆ่าคน คุณไม่เคยไปโกหกคน คุณไม่เคยกินเหล้าเมายำเป เพราะฉะนั้น คุณอยู่แถวหน้าได้เพราะจะไม่มีใครมาชี้หน้าว่าคุณโกหกหรือว่าขี้เมาอะไรก็ตามแต่ ถ้าคุณไม่มีศีล คุณจะไม่กล้าอยู่นำหน้า เพราะคุณก็จะกลัวตำรวจจับ กลัวชาวบ้านชี้หน้าด่า คุณจะอยู่นำหน้าได้อย่างไร

ข้อที่ 3 คุณจะมาเป็นตัวแทนของชาวบ้าน คุณจำเป็นต้องรู้ว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไร เค้าถึงให้มีเบอร์ติดหลัง ไปหาเสียงตำบลต่างๆ ตำบลหนึ่งนาแล้ง ตำบลหนึ่งน้ำท่วม ตำบลหนึ่งแล้งทั้งปี ตำบลหนึ่งน้ำท่วม ตำบลหนึ่งถนนขาด ตำบลหนึ่งสะพานไม่มี ตำบลหนึ่งเป็นป่ารกเดินทางลำบาก ตำบลหนึ่งไม่มีสถานีอนามัย พอมีเบอร์ติดหลัง คุณก็ต้องไปหาเสียง คุณเข้ามาเป็นผู้แทนคุณก็เป็นผู้รู้แล้ว และอย่าเอาดอกเตอร์หรือเอาปริญญามา ให้รู้ว่าชาวบ้านอยู่อย่างไร ต้องการอะไร อยากเป็นอะไร แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความรู้ของผู้แทนแล้ว เขาจึงให้มีการหาเสียง คือจำไว้ในระบอบประชาธิปไตย

ข้อที่ 4 คือวิริยารัมภะ คือความอดทน คุณต้องอดทนไปเจอชาวบ้านฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ชอบชี้หน้าด่าก็ต้องฟังว่าเขาไม่ชอบเราเรื่องอะไร จำเป็นต้องทน หากไม่ทนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ชอบเราเรื่องอะไร เขาด่าก็ต้องทนฟัง เหมือนกับพวกรัฐมนตรี สส. ขึ้นมาอัดตั้งกระทู้ คุณก็ต้องฟังอภิปรายไปถึงก้นครัวหรือห้องนอนคุณก็ต้องฟัง ไม่ใช่ผมไม่รู้และเดินออกมา หรือว่าชาวบ้านเดินขบวนมาไม่ไปรับหน้ารับฟัง คุณต้องมีความอดทนที่ไหนเดือดร้อน ไกลอย่างไรคุณก็ต้องไป แดดร้อนคุณก็ต้องไป ต้องมีความอดทนเค้าว่าคุณก็ต้องฟัง เค้าแนะนำคุณก็ต้องฟัง

ข้อที่ 5 คือมีปัญญา แต่รู้ได้อย่างไรใครมีปัญญา จึงจำเป็นต้องมีดีเบต คนที่เป็นผู้นำพรรคนี้กับผู้นำพรรคนี้ใครเก่งกว่ากัน การคัดเลือกผู้นำในทางการเมืองก็คือ การคัดผู้นำแบบที่พระพุทธเจ้าสอนมา เพียงแต่คนไม่รู้ว่าเรื่องพระพุทธเจ้าสอนนั้นมันตรงกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ทำไมถึงต้องมีการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีพหุสัจจะ รู้มาก ฟังมาก เห็นมาก เวลาไปเจอสรรพากร เขาก็จะเล่าว่า เดียวนี้พ่อค้าหลีกเลี่ยงภาษีจึงจัดเก็บภาษีไม่เข้าเป้า กลับกันพ่อค้าเขาก็เล่าว่าสรรพากรรีดเหลือเกิน วันที่ขายไม่ได้สรรพากรไม่สน สนใจเฉพาะวันที่เราขายได้มาคำนวนภาษี จนเดือดร้อนอยู่ไม่ได้

คุณจำเป็นต้องรู้หมด อย่างเวลาไปเจอกันที่โรงพัก ยังไม่ทันเจอผู้การหรือผู้กำกับ ชาวบ้านก็จะบอกว่า “ลูกผมโดนจับ เหตุการณ์มันไม่จริงนะ มีตำรวจซ้อมลูกผมหัวแตก ตำรวจเฮงซวยซ้อม” พอเรื่องไปถึงผู้การก็บอกว่า “ผู้ร้ายเดียวนี้มันฉลาด ไม่ซ้อมไม่รับความผิด” อย่างนี้เห็นไหม คุณก็จำเป็นต้องรู้ทั้งสองฝ่าย เขาจึงได้มีการหาเสียงเพื่อที่จะมีพหุสัจจะ พหุสัจจะคือ รู้มาก ฟังมาก เห็นมาก ถ้ารู้มากๆ ถึงที่สุดก็เขาจะเรียกกว่าพหูสูต เพราะฉะนั้น การที่เขาให้มีการหาเสียง เพราะเขาให้คุณอยู่ในคุณสมบัติข้อที่ 3 คือ มีพหุสัจจะ เขาให้หาเสียงเพราะว่าให้มีความอดทน ทนฟัง ทนเขาบรรยาย ทนเขาแนะนำ ทนเขาด่า ทนร้อนทนหนาว ทนสั้นทนไกล ทนทางไกลก็ต้องไปทางสั้นก็ต้องไป การเลือกตั้งมันจึงเป็นกรรมาวิธีคัดผู้นำสร้างผู้นำในการปกครองบ้านเมือง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

อย่าง สส. พิจารณาคัดเลือกผ่านหลักธรรม 5 ประการ โดยใช้วิธีการเลือกตั้ง แต่ถ้าเป็นนายกคนนอก เขาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีหลักธรรมครบ 5 ประการ

อุทัย พิมพ์ใจชน :

มันก็รู้อยู่แล้วไง คือคุณไม่ผ่านเลือกตั้งก็อย่าเอามา ตราบใดที่คุณเป็นระบอบประชาธิปไตย คุณจำไว้เลยว่าอย่าเอาคนนอก ถึงแม้จะบอกว่าเป็นเทวดาตัวมันเขียว ก็อย่าเอามา มันไม่ใช่หลักของคนที่มาแบบประชาธิปไตย ยังไงก็ไม่เข้าทำนองคลองธรรม หาประโยชน์ไม่ได้ มันมาด้วยอำนาจ ซึ่งทุกวันนี้คนก็รังเกียจกัน อย่าง สว. พูดกันตามปัจจุบันที่มาขวางการจัดตั้งรัฐบาลของ สส. จำนวนสามร้อยกว่าคน เกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภาแล้ว ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งพวกนี้มาจากการเลือกตั้ง ถ้ามาจากเลือกตั้งไม่กล้าทำ (ขวาง) เพราะคือความต้องการของราษฎรเขา ถ้าคุณไม่เอาคนที่เขาต้องการ ไปถาม สว. แล้วคุณจะเอาใคร (เป็นนายกฯ ) ถ้าผมเจอหน้าผมจะถามตรงๆ แล้วคุณจะเอาใคร (เป็นนายกฯ ) ถ้าคุณไม่เอา (นายกฯ ) คนที่ สส. มีมติมาแล้ว เป็นต้น

ฉะนั้น คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จะรู้เลยว่า มันไม่รู้เรื่อง ผมใช้คำนี้เลย ที่บอกว่าคนนี้เก่งนะ นั่งทางในทะลุปรุโปร่ง รู้แจ้งเห็นจริง หลับตาทางในเห็นหมด หน้าเป็นนายกฯ บอกเลยไม่ใช่หรอก ไม่รู้เรื่องอะไร คนที่รู้เรื่องจะต้องไปสัมผัสชาวบ้านมา มันต้องมาจากการเลือกตั้ง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

จากประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานของท่าน ในปัจจุบันท่านมองพวกองค์กรอิสระทั้งหลาย เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง สามารถทำหน้าที่อย่างเหมาะสมหรือไม่

อุทัย พิมพ์ใจชน :

วัตถุประสงค์ขององค์กรอิสระเป็นเรื่องที่ดีมาก คำว่า “อิสระ” เพราะจะได้ไม่ขึ้นตรงกับอำนาจรัฐ แต่ว่าบังเอิญการเข้าสู่องค์กรอิสระมีข้อผิดพลาดคือ องค์กรอิสระเกิดขึ้นในสมัยที่ผมร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ผมเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ ปี 40 อยู่ ตอนนั้นก็คิดเรื่องระบบโควต้า เพื่อความเป็นธรรม ก็คิดว่าพรรคไหนมีผู้แทนเยอะต้องมีกรรมการคัดสรรมากกว่าคนอื่นตามสัดส่วน เราพลาดตรงนี้ กลับกลายเป็นว่ากรรมการคัดสรรส่วนหนึ่งเมื่อพรรคมีขนาดใหญ่ ก็มีแต่พวกตัวเอง บังคับใครก็ได้ กลายเป็นคนพวกเดียวกันหมด อยากได้น้ำส้มจากผลไม้ สมมติอีกพวกเป็นพวกมะนาว อีกพวกเป็นพวกมะกรูด อีกพวกเป็นพวกมะยม เมื่อพวกมะนาวมันเยอะกว่า เวลาเสนออะไรมามันก็เอาพวกมะนาวหมด หรือสมมติว่าพวกมันเป็นพวกมะยม ทั้งๆ ที่มะนาวมีประโยชน์กว่าแต่มันก็จะเอามะยม เราผิดพลาดตรงนี้ พลาดที่ไปเอาโควตา แท้ที่จริงเราต้องหาผู้ทรงคุณวุฒิมาก่อน แล้วก็เอาผู้ทรงคุณวุฒิมาคัด พอคัดเสร็จเป็นประธานองค์กรอิสระ ต่อไปก็เป็นกรรมการคัดสรรควรเอาประธานแต่ละองค์กรอิสระเป็นกรรมการคัดสรรจะดีกว่า เพราะองค์กรอิสระมันมีนับเป็นสิบกว่าองค์กร เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

โดยผมขอฝากไว้ก่อนเรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอยู่ เพราะคน 7 คน สามารถไม่สามารถตัดสินในกฎหมายใหญ่ได้ ความรู้มันไม่หลากหลาย ผมว่าถ้ามีปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตัดสินให้ดีที่สุด ในความเห็นผมนะ ณ ปัจจุบัน เพราะว่าคนที่จะเป็นศาลฎีกาได้ มันผ่านศาลชั้นต้นมา 20-30 ปี ผ่านคดีที่เป็นปัญหาของประชาชนสารพัดประเภท ประเภทผัวเมียหย่ากัน ประเภทพ่อแม่ตีลูก ทำลายทรัพย์สมบัติ ผ่านคดีบริษัทห้างร้าน ผ่านคดีอะไรติดโกงเบี้ยว ผ่านคดีการบุกรุก ผ่านคดีการรังแกกัน พวกศาลฎีกาผ่านคดีมาเยอะ จึงได้มาเป็นผู้พิพากษาสูง ซึ่งปัจจุบันก็ตั้งมีร้อยกว่าคน เพราะฉะนั้น ถ้าปัญหาอะไรขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญให้คนร้อยกว่าคนในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตัดสินดีที่สุด ถือว่าเป็นศาลสูงสุด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ 7 หรือ 9 คนนี้ดูๆ แล้วก็ยังบอกตรงๆ นะไม่ค่อยสนิทใจ แต่ถ้าหากผ่านที่ประชุมศาลฎีกาน่าเชื่อถือกว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่า และก็ไม่จำเป็นต้องไปคัดสรรให้เสียเวลา เพราะว่าคุณสมบัติบอกอยู่แล้วว่าคือศาลสูง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

กระแสสังคมต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในฐานะที่ท่านเป็นอดีตประธานรัฐสภา ท่านคิดว่าจะสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และจะใช้ประสบการณ์ในอดีต มองอนาคตการเมืองประเทศไทยจะสมบูรณ์มากขึ้นท่านคิดว่าการทำรัฐธรรมนูญใหม่และการมีสภาร่างรัฐธรรมนูญควรจะเป็นเช่นไร

อุทัย พิมพ์ใจชน :

ที่เราเคยวางหลักเกณฑ์กันมา คือสมัยเรียกว่าตัวย่อ สสร. เมื่อปี 2539 ที่ผมเป็นอยู่ ส่วนหนึ่งคัดตัวแทนแต่ละจังหวัดมา 1 คน อีกส่วนหนึ่งเขาเอาผู้ทรงคุณวุฒิทางหลักวิชาการ จบกฎหมายมหาชน หรือพวกที่เคยอยู่ต่างประเทศที่เจริญกว่า อีกส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่เคยบริหารราชการแผ่นดินในประเทศ เช่น เป็นปลัดกระทรวง หรือไม่ก็เคยเป็นรัฐมนตรี เมื่อเข้ามารวมกันในที่ประชุมจะได้มองออกว่า อย่างในมุมรัฐมนตรีทำได้หรือไม่ เมื่อเป็นรัฐบาลบางทีคนคิดในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้โดยไม่รู้ตัวแต่พวกนี้ก็จะรู้ว่ามันจะไปขัดอะไรไม่ขัดอะไร เหมือนเราเอาคนขับรถเป็น มาประชุมเรื่องเราจะออกแบบรถยังไงมันก็จะมีส่วนได้ประสบการณ์หนึ่งเข้ามา ผมว่าเอาอย่างปี 2539 คัดผมว่ามันจะครอบคลุมดี

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ท่านมองการเมืองในอนาคตที่จะเกิดขึ้นนี้อย่างไรบ้าง ข้อกังวลอะไรที่อยากฝากไว้

อุทัย พิมพ์ใจชน :

ผมไม่กังวล ผมกลับดีใจ ดีใจที่ความเลวทั้งหลายที่พวกเราไม่อยากเห็น มันเริ่มจะปรากฏให้เห็น และทำให้ค่อยๆ หมดไป ความเลวที่เราเห็น ความไม่ดีในแง่ของการปกครองประชาธิปไตย และความไม่ดีที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เกิดในเมืองไทยมันค่อยๆ หายไปเยอะ จะให้หายหมดทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้

อย่างคราวนี้ก็เห็นชัดว่า คนเริ่มรู้แล้วว่า สว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำอะไรมันก็ไม่ใช่ ไปกับชาวบ้านไม่ได้ เขาเริ่มเห็นแล้ว ต่อไปถ้าประชาชนหรือว่าสังคมมีโอกาสร่างกฎหมาย สิ่งเหล่านี้จะหายไป ต้องยอมรับนะว่าการปกครองประชาธิปไตยบ้านเรา มันไปเร็วและก็ดีมากในแง่ของการเดินหน้าประชาธิปไตย แต่ในแง่ถอยหลังก็ยังมีอยู่ เช่นคราวที่แล้ว การยึดอำนาจมาปี 2549 ก็ดี ปี 2557 ก็ดี การถอยหลังก็ยังมีอยู่

ผมเคยพูดไว้ตั้งนานแล้วว่า คนไทยมีความน่ารักในทางการปกครอง แต่ที่เรายังไปไม่ได้ เรายังขาดนักปกครองที่น่ารักที่มาโดยสถาปนาตัวเองบ้าง ประกาศยึดอำนาจอะไรอย่างนี้ เห็นชัดเก่งไม่เก่งไม่รู้ เพราะไม่เคยไปแสดงภูมิปัญญากับประชาชน แต่อยู่ๆ ก็มีอำนาจ เพราะฉะนั้น การที่เราจะได้นักปกครองที่น่ารักคือ ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะคัดสรรคนขึ้นมา คือถ้าไม่น่ารักก็เปลี่ยน 4 ปีเปลี่ยน 2 ปี 3 ปี ยุบสภาก็ไปเปลี่ยน เราเปลี่ยนได้โดยอาศัยการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผมจึงสรรเสริญและยกย่องท่านปรีดี พนมยงค์ ว่าเป็นผู้นำการปกครองระบอบประชาธิปไตยมา และผมก็ยอมรับประชาธิปไตยอย่างเดียว

ผมลงเลือกตั้ง ผมแอนตี้เผด็จการ เผด็จการเคยจะแต่งตั้งผมไม่ต่ำกว่าสองครั้ง ผมไม่เคยรับ ถ้าผมรับผมเป็นนายกไปนานแล้ว ผมไม่รับรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมก็ไม่สมัคร ผมแอนตี้รัฐธรรมนูญโดยไม่สมัครผู้แทนมาแล้ว ทั้งที่ถ้าสมัครก็ได้ที่หนึ่ง เพราะผมเชื่อและผมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย

ผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งในงานศพพ่อผมว่า ระบอบประชาธิปไตยนี้เป็นศาสนาหนึ่งในโลกแต่เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา ระบอบการปกครองประชาธิปไตยเป็นศาสนาหนึ่ง เพราะศาสนาทุกศาสนามันก็มาจากเหตุผลในการปกครองทั้งนั้นแหละ  อย่างศาสนาอิสลาม เกิดการทะเลทรายเกิดมาเพื่อให้สังคมในทะเลทรายอยู่ได้ รู้จักอดน้ำ ถ้าหลงทะเลค่อยถือศีลอด เอาผ้าคลุมหัว บางท่านจะเขียนยังไง ผมไม่เคยอ่าน แต่จากที่ผมคิดเอง ผู้หญิงอยู่ในทะเลทราย ถ้าไม่คลุมหัวทรายมันปลิวใส่หัวเหงื่อออก คันทั้งคืนก็นอนไม่ได้ เค้าถึงได้ให้เอาผ้ามาคลุมหัว คลุมคิ้ว ให้เหลือแต่ลูกกะตาเพราะกลัวทรายจะเข้าหัว นั่นคือความชาญฉลาดของศาสดา สรุปว่าทุกศาสดาก็เกิดมาเพื่อจะสร้างสังคมให้อยู่อย่างสงบร่มเย็น ตามธรรมชาติของแต่ละศาสดา

ศาสนากับประชาธิปไตยไปด้วยกันได้ เป็นศาสนาหนึ่งที่ไม่มีศาสดา อยู่ด้วยกันตกผลึกของความต้องการร่วมกัน แต่ศาสนาอื่นๆ อยู่ด้วยคำสอนของศาสดา แต่ศาสนาประชาธิปไตยอยู่ด้วยการตกผลึกของคนที่อยู่ร่วมกันในร้อยคนต้องการอะไรบ้างมาพูดกัน เอาอย่างนี้ ศีลสามก็อยู่ด้วยกันได้ ไม่ต้องมีศาสดา อยู่ด้วยการตกผลึกของความต้องการร่วมกัน ผมจึงถือว่าประชาธิปไตยเป็นศาสนาหนึ่งในศาสนาทั่วไป แต่เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา ผมใช้คำนี้แล้วกัน

และนี่รู้แล้วหรือยังว่า ผมยอมถึงตายต่อสู้กับคณะปฏิวัติ โดนเขาสั่งจำคุกมาแล้ว แต่ว่าผู้พิพากษาไม่มีความกล้าหาญมากพอ ผมฟ้องว่าคณะปฏิวัติเป็นกบฏ ผู้พิพากษาไม่กล้าพิพากษาว่าเป็นกบฏ ถ้ากล้าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ความไม่กล้าของผู้พิพากษา ต่อไปถ้ามีการยึดอำนาจ อย่าเรียกหัวหน้าคณะปฏิวัติ ต้องเรียกว่า โจรปล้นอำนาจประชาชน ถ้าไม่ใช่โจรจะออกนิรโทษกรรมตัวเองทำไม คุณ (เขมภัทร) ก็เป็นคนรุ่นหลังผมฝากเอาไว้เลย ต่อไปบอกว่า ประกาศคณะปฏิวัติได้ยินไหม ไม่ใช่ (เป็น) ประกาศพวกโจร และคนที่ควรจะทำตัวเป็นตัวอย่างให้สำเร็จคือ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สอนเหลือเกินประชาธิปไตย แต่เวลาเขาปฏิวัติก็ไปเป็นรัฐมนตรีให้เขา ไปเป็นนักวิชาการให้เขาวิ่งเขาหาเขากัน

คืออนาคตนี้นะ มันอยู่ที่ความต้องการของคนปัจจุบัน เวลานี้ผมเป็นคนที่เรียกว่า คนที่ไม่มีอนาคต เพราะว่าผมอายุ 80 จะตายวันนี้พรุ่งนี้จะลืมอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เรื่องอนาคตผมพูดไม่ได้ ผมหวังไม่ได้ เมื่อผมพูดไม่ได้ ผมก็พูดแทนคนอื่นไม่ได้ว่าเค้าต้องการอย่างไร จะต้องเป็นอย่างไร ผมจะไม่พูด คุณต้องไปถามอนาคตพวกคุณเป็นอย่างไร ต้องไปถามคนผู้มีอนาคต

ปัจจุบันผมก็ไม่รู้ว่ามันจะไปอย่างไร มันจะคดหรือจะตรงก็ไม่รู้ ก็แล้วแต่คนส่วนใหญ่เขาจะเอากัน ผมก็ไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการอย่างไรในเวลานี้ ฝ่ายผู้มีอำนาจเขาก็อยากจะครองอำนาจต่อ อย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ ฝ่ายที่ต้องการที่จะให้อำนาจไปสู่ประชาชนก็ขอให้มันจริง แต่เวลานี้มันไม่มีจริง ยกตัวอย่าง 312 เสียงในสภาเป็นของประชาชนส่วนใหญ่อยู่แล้ว ทำไมไม่กอดเอาไว้ให้แน่น ปล่อยให้ 250 คนเอาตีนมาขวางไว้นะ แหย่ตีนไม่ให้ขึ้นบันได คุณก็ไปยอมเขาทำไม ต้องบอกว่าท่านจะอยู่อย่างนี้ จะถือความต้องการประชาชนให้สำเร็จ จะไม่เปลี่ยน แต่นี่เปลี่ยนมันไม่จริง

ผมถึงบอกไงคนไทยมีความน่ารักในการปกครอง แต่ยังขาดนักปกครองที่น่ารักไปหาเสียงบอกให้เราเปลี่ยนอำนาจเก่า ราษฎรเอาไหม น่ารักไหม แต่พอได้มาเมื่อไร คนที่ได้เป็นตัวแทนก็ไปเปลี่ยนกลางอากาศ ชาวบ้านก็ยอม เพราะฉะนั้น ผมถึงว่ามันสำคัญ ผู้นำเรามาทำตัวมาเล่นการเมืองนี้ แสดงว่าคุณประกาศตัวที่จะเป็นผู้นำประชาชนแล้ว คุณต้องสร้างภูมิหรือความเป็นผู้นำในตัวคุณให้มันเข้มแข็งขึ้นที่จริงแล้วกอดกันให้แน่นนะ เพราะว่าคุณตั้งใจจะมารื้อนั่งร้านเผด็จการแล้ว ก็ต้องรื้อนั่งร้านให้สำเร็จ ไม่ใ่ช่ไปอาศัยนั่งร้านอยู่ต่อ

[:]

คุยกับ อ.แล ดิลกวิทยรัตน์ เรื่อง แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475

[:th]

เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีโอกาสได้พบเจอ อ.แล ดิลกวิทยรัตน์ อีกครั้งหนึ่ง การพบกันคราวนี้ได้มีโอกาสชวน อ.แล คุยเกี่ยวกับเรื่อง แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 อ.แล ได้นำเสนอแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย 3 ด้าน คือ การเปลี่ยนแปลงและความท้าทายของขบวนการแรงงานไทย การสูญหายไปของบทบาทของชาวนา และบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสัมภาษณ์บุคคลของสถาบันปรีดี พนมยงค์ ภายใต้หัวข้อ แล ดิลกวิทยรัตน์ : แรงงาน รัฐสวัสดิการ และเศรษฐกิจหลัง 2475


เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

รบกวนอาจารย์เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่อาจารย์แลได้พบเจอกับท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

จริงๆ แล้วผมรู้จักท่านอาจารย์ปรีดี ไม่ใช่โดย face to face แต่ว่าผมรู้จักมาก่อนในแง่ของผลงาน ทั้งที่ท่านอาจารย์ปรีดีเขียนและทั้งที่คนอื่นเขียนถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือก่อนหน้านั้น ผมรับทราบ รับรู้ มาก่อนนานพอสมควร แต่ว่าเพิ่งจะมีโอกาสไปพบหน้าพบตาท่าน ไปเยี่ยมคารวะท่านก็เมื่อปี 2523 ตอนนั้นผมอายุ 33 ท่านอาจารย์ปรีดีอายุ 80 พอดี ได้มีโอกาสไปพบพร้อมกับอาจารย์วิทยากร เชียงกูลและภรรยาอาจาย์วิทยากร มีเวลาสนทนาเรียนถามอะไรท่านอยู่ประมาณสักชั่วโมง

ถ้าจะให้บอกว่า มีความรู้สึกอย่างไร ผมคิดว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ ค่อนข้างจริงจัง และตรงไปตรงมาพอสมควร จำได้ว่าท่านถามอาจารย์วิทยากรในฐานะที่อาจารย์เป็นที่ปรึกษาวารสารซ้ายๆ หน่อย ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เพราะในวารสารพวกนั้นพูดถึงมุมมองต่อคณะราษฎรเหมือนกับองค์ความรู้ที่พูดถึงคณะราษฎรในช่วงประมาณผมเรียนใหม่ๆ ก็ตั้งแต่ พ.ศ 2510 เป็นต้นมา

จุดยืนอันหนึ่งที่สำคัญ คือบอกว่า พวกคณะราษฎรเป็นพวกชิงสุกก่อนห่าม เป็นพวกที่ร้อนวิชา และไม่รอบคอบอะไรต่างๆ ซึ่งท่านก็ดูจะเคืองๆ ก็ถามวิทยากรว่า คุณในฐานะที่ปรึกษาทำไมไม่ถามอะไร ไม่เช็คอะไรให้รอบคอบ อย่างนี้เป็นการให้ร้ายพวกคณะราษฎรใช่ไหมอะไรอย่างนี้ วิทยากรก็บอกว่าก็พอรับทราบว่า จะต้องไตร่ตรองมากกว่านี้ แต่ว่าในแง่ของที่ปรึกษาของวารสารหากเขาไม่ปรึกษาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่บรรณาธิการ ก็เรียนท่านไป

อีกประเด็นหนึ่งผมว่าสำคัญมาก และผมอยากจะฝากต่อเพราะอันนี้เป็นความตั้งใจของท่านมากที่ท่านฝากพวกเราทุกคนว่า สิ่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนเป็นการดิสเครดิตคณะราษฎร อย่างเดียวกับข้อแรกที่พูดว่า พวกคณะราษฎรนั้นชิงสุกก่อนห่าม เป็นคนที่เร่าร้อนเกินการ

ประเด็นที่ 2 ที่ท่านฝากก็คือ ขอร้องให้เรียกคณะราษฎรเต็มๆ อย่าเรียกว่าคณะราษฎร์ เพราะว่าคณะราษฎร์เรียกไปเรียกมามันกลายเป็นอะไรที่ไม่มีความหมายเพราะว่าคำว่า “คณะราษฎร” มันชัดเจนในตัวของมันเองว่าเป็นการเคลื่อนไหวและเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงของราษฎรซึ่งใช้คำว่า People Party 

ฉะนั้น สิ่งนี้ท่านฝากจริงๆ  และท่านก็ไม่อยู่แล้ว และพวกเราก็อาจจะอยู่ไม่นานก็ฝากต่อนะว่า ขอให้เรียกว่าคณะราษฎร เพราะท่านย้ำมากว่าเราไม่เคยใช้ตัวการันต์ เราใช้คณะราษฎรเต็มๆ นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรีดีเล่าให้ฟัง

อีกอย่างหนึ่งถ้าจะถามว่า มีความประทับใจอะไร ลักษณะท่านเป็นอย่างไร ผมว่าท่านเป็นคนที่ให้เกียรติคนที่เข้าพบ ถ้านึกว่าเราอายุ 33 เด็กๆ ไล่ๆ กับคุณ (เขมภัทร) ท่านใส่สูทอย่างดี มีผ้าพันคอ และออกมายืนรับเราที่ข้างหน้าตึก และเชิญเราเข้าไปเป็นพิธีคือค่อนข้าง formal (ทางการ) ถ้าเราก็นึกว่าปกติผู้ใหญ่ ไม่ได้รับเด็กขนาดนี้ แต่ท่านให้เกียรติมาก พร้อมๆ กันนั้น ท่านก็พูดจาอะไรอย่างจริงจัง เวลาจะฝากอะไรก็ฝากอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาก อันนี้ก็คือภาพประทับใจที่มีกับท่านอาจารย์ปรีดี

นั่นก็คือสิ่งที่เราพบ แต่แน่นอนคือ ในระยะเวลาสั้นๆ เราก็ได้ในแง่ของ impression แบบนี้ แต่ว่าแน่นอนพวกเราศึกษามาก่อน พวกเราหาองค์ความรู้เกี่ยวกับท่าน มีภูมิหลังเกี่ยวกับท่านอะไรอย่างนี้ อ่านมาก่อนเพราะฉะนั้นเวลาคุยอะไร ก็พอจะมีพื้นฐานที่จะคุย อันนั้นก็คือสิ่งที่อยากจะบอกในการไปพบคราวนั้น

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ประเด็นที่อาจารย์พูดเรื่องที่ท่านอาจารย์ปรีดีฝากไว้ในเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ณ ตอนนี้ มีคนพยายามมสื่อสารเหมือนกับว่าจริงๆ คำว่า “คณะราษฎร” เป็นคำที่เริ่มใช้มาจากคำว่า “คณะราษฎร์” แต่ต่อมาอาจารย์ปรีดีถึงมาเปลี่ยนเป็นคณะราษฎร ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นความพยายามดิสเครดิตอย่างที่อาจารย์พูดจริงๆ และปัจจุบันมันก็ยังมีอยู่

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

ผมเข้าใจพวกที่พยายามจะอธิบาย ในคณะราษฎรเองก็มีตัวแทนแม้แต่ชนชั้นกรรมกรเข้ามาร่วมด้วย และยกตัวอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย เขาก็มีรูปของผู้นำกรรมกรที่เข้าร่วมกับคณะราษฎร คือคุณถวัติ ฤทธิเดช ถือว่าเป็นหัวหน้าคนงาน ถ้าผมจำไม่ผิดเป็นคนงานรถราง เข้าร่วมคณะราษฎร เพราะฉะนั้นจะไปบอกว่ามันเป็นเรื่องของนักเรียนนอก เป็นเรื่องของขุนนางแย่งอำนาจจากคนชั้นสูงด้วยกัน อันนี้มันก็มีหลักฐานว่าจริงๆ แล้วมีคนชั้นล่างเข้าไปร่วมด้วย ก็เป็นประเด็นที่โต้แย้งกันมา

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

เห็นอาจารย์พูดถึงผู้นำกรรมกร คือ คุณถวัติ ผู้นำกรรมกรรถราง ทำให้นึกถึงข้อเขียนอาจารย์ปรีดีที่ท่านก็เคยกล่าวถึงกลุ่มกรรมกรรถราง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มกรรมกรที่ขยันขันแข็งที่สุดในแง่ของการเรียกร้องสิทธิผู้ใช้แรงงาน

มองย้อนกลับมาจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างนี้ ภาพแรงงานไทยในปัจจุบันดูเหมือนมีความพยายามในการรวมตัวกัน เพียงแต่ว่าความพยายามดูเหมือนกับอ่อนแอลง ภาครัฐก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาคของแรงงานหรือว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานเหมือนแต่ก่อน

ขณะเดียวกันกลุ่มแรงงานเองก็เหมือนเกาะกลุ่มกันยากขึ้น ปัจจุบันเองมีประเด็นปัญหา อย่างเช่น กลุ่มไรเดอร์ที่พยามยามรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องสิทธิในเรื่องของสวัสดิการตามกฎหมาย ถามว่ากลายเป็นว่าการเรียกร้องก็ยากเพราะว่าถ้าพูดตามตรงไรเดอร์ก็แบ่งเป็น 2 ปีก กลุ่มที่รู้สึกว่าพอใจแล้วกับกลุ่มที่รู้สึกไม่พอใจ และรู้สึกว่ามันมีการเคลื่อนไหว มันจะกลายเป็นว่า จะไม่ได้อะไรเลย อันนี้ก็เป็นประเด็นที่อยากชวนอาจารย์คุยเหมือนกันว่า ทำไมมุมมองเกี่ยวกับแรงงานไทย ทำไมเราถึงดูเหมือนอ่อนแอลง

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

อ่อนแอหรือเข้มแข็ง ผมอยากเรียนอย่างนี้ว่า มีอดีตผู้นำแรงงานระดับชาติคนหนึ่ง ในช่วงหนึ่งก็ได้รับแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิกสมัย รสช. แล้วเขาไปสมัครเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย พอดีผมเป็นกรรมการอยู่ด้วย และถามว่าเขาจะทำเรื่องอะไร เขาก็จะทำเรื่องความเข้มแข็งของขบวนการแรงงาน เราก็พยายามจะซักไซ้ไล่เลียงว่า คุณวัดความเข้มแข็งจากอะไร ไปๆ มาๆ มันตอบไม่ได้หรืออย่างน้อยสุดพยายามตอบเท่าที่เขาเข้าใจ แต่มันไม่ชัด เขาก็เลยไม่ผ่านหัวข้อก็เลยไม่ได้เข้าเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น

ดังนั้น การวัดว่าอะไรเป็นตัววัดความเข้มแข็ง วัดกันยาก แต่ผมขอเล่าให้ฟังเช่นนี้ว่า ช่วงก่อน 14 ตุลาคม มีการเคลื่อนไหวที่คึกคักมาก เราเรียกว่า สามประสาน มีทั้งกรรมกร ชาวนา นักศึกษา แล้วพวกนี้มีการเคลื่อนไหวนอกระบบเยอะ เพราะว่าสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายอะไรที่ให้หลักประกันลูกจ้าง ค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่มี ประกันสังคมยังไม่มี คนงานที่เป็นคนงานเหมาช่วง เช่น แถวสะพานสาทร เช้าขึ้นมาก็จะมีเหมือนกับตลาดนัดแรงงาน กรรมกรนุ่งขาสั้น เอาผ้าขาวม้ามาสะพาย นั่งอยู่ตรงสาทร รอคนๆหนึ่ง แล้วมาเรียก 10 คน 15 คน มากับอั๊ว ไปขนของจากเรือใหญ่ลงเรือเล็กในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดยานนาวา วันดีคืนดีคนที่ขนเป็นลมตกน้ำตายใครรับผิดชอบ คนที่ติดต่อเอาไปทำงาน “ผมไม่เกี่ยว” เขากินค่านายหน้าอย่างเดียว จำได้ภาษาเขาเรียกกันสมัยนั้นว่า “เกี่ยวเท่าล้อ” แปลว่าอะไรไม่รู้  พอไปถึงเจ้าของเรือ คนตกน้ำตาย เจ้าของเรือรับผิดชอบไหม “ผมไม่เกี่ยว” ผมไม่ได้เป็นคนจ้างเขา แล้วมันเกิดปัญหาอย่างนี้ที่เราเรียกว่าความไม่มั่นคง มันมีอยู่ตลอดเวลาตอนนั้น เพราะไม่มีประกันสังคม

ทีนี้เราเห็นช่วง 14 ตุลาคม พวกนี้คึกคักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมกร กรรมกรก็มีหลายปีกด้วย ไอ้ที่เข้ามาจริงๆ มันผ่าน อย่างเช่น NGO ของศาสนาคริสต์ มาจากฟิลิปปินส์ เราเรียก Brotherhood of Asian Trade Unions (BATU) ก็คึกคักนะ มันก็เหมือนกับพวกเครดิตยูเนี่ยน (Credit Unions) เข้ามาสายศาสนา อีกซีกหนึ่งก็มาจากสายประชาธิปไตยนักศึกษา อีกซีกหนึ่งก็ต้องยอมรับมาจากการจัดตั้งของ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) เพราะพคท. เขาทำงานกรรมกรมาก่อน พวกโรงไม้ขีดไฟ โรงพิมพ์ โรงทอผ้า พคท.เขาทำมาก่อนฉะนั้นก็เข้ามาเกี่ยวข้องกัน ก็เลยเกิดอาการที่เราเรียกว่า สามประสาน เสร็จแล้วก็เรียกร้องจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม

ผลของ 14 ตุลาคม นอกจากก่อให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว อันหนึ่งคือต้องตอบรับคำเรียกร้องของกรรมกร ด้วยการออกกฎหมายแรงงาน ก่อนที่จะเกิด 14 ตุลาคมมีประกาศเรื่องการคุ้มครองแรงงานมาก่อนที่ทุกคนรู้ กรรมกรและผู้นำกรรมกรรู้ ว่าเราเรียกว่าประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 กำหนดไว้ว่าทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าเกินไปก็ให้โอทีอะไรพวกนี้ แต่มันเบาบางมากแล้ว มันไม่ได้เป็นกฎหมายทั้งฉบับ มันเป็นประกาศคณะปฏิวัติเลิกเมื่อไรก็ได้ พอหลัง 14 ตุลา เริ่มมีการออกกฎหมายที่ยอมให้มีการตั้งสหภาพแรงงานด้วยการจดทะเบียนเรียกว่า กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ 2518

คำถามคือปฏิวัติตุลาคม 16 ปลายปีแล้ว พอมาปี 17 ก็มีความพยายาม Reorganize (ปฏิรูป,จัดระเบียบใหม่) อะไรหลายๆ อย่าง ตลอดทั้งปี ก็มีการถกเถียงเรื่องการจัดตั้งขบวนการแรงงาน จดทะเบียนแรงงาน การยอมรับสิทธิแรงงานไว้ในรัฐธรรมนูญ และจึงมีการพยายามที่จะออกกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งการเจรจาต่อรอง เรียกว่าพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 ดังนั้นที่ออกเป็นพระราชบัญญัติจริงๆ 2518

ในวงการแรงงานจะมี 2 กฎหมายที่สำคัญที่สุด หนึ่ง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน อยู่ในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 และสอง เป็นเรื่องของสิทธิในการจัดตั้งองค์กร มันก็มาอยู่ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 อันนี้พูดง่ายๆ คือ มันได้อำนาจรัฐระดับหนึ่งของการต่อสู้ ทีนี้เวลาผ่านไป มันก็มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานมากขึ้น เรียกร้องเจรจาต่อรองรัฐหยุดงาน

ซึ่งก่อนหน้านี้ ผิดกฎหมายคณะปฏิวัติ รวมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองผิด แต่อันนี้ทำได้ เพราะฉะนั้น หลายเรื่องที่เคยต้องต่อสู้ มีกฎหมาย accommodate (รองรับ) สิ่งเหล่านี้ไว้ได้แล้ว เราก็ดูว่ามันจะช้าลง ในขณะเดียวกัน พอมันขึ้นมามีสิทธิ์มีเสียงอะไรมาก มีการใช้สิทธิ์มากขึ้น ฝ่ายขวาก็จะรู้สึกสั่นคลอน เพราะฉะนั้นจึงเกิด 6 ตุลาคม พอเกิด 6 ตุลา การเคลื่อนไหวบนดินมันทำไม่ได้ ผู้นำแรงงานปีกซ้ายส่วนหนึ่งก็เข้าป่า ไอ้กลางๆ ก็ต้องหยุดกิจกรรม

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณจะจัดประชุมสหภาพคุณจะยื่นข้อเรียกร้อง คุณต้องไปแจ้งตำรวจท้องที่ ตำรวจท้องที่ ก็จะบอกว่าไปขออนุญาตผู้รักษาความสงบในพระนคร เข้าไปหาผู้รักษาความสงบบอกไปถามตำรวจท้องที่ก่อนว่าได้หรือเปล่า มันก็โยกกันไปโยกกันมา โอเคเขาไม่ได้ยกเลิกสิทธิ แต่การใช้สิทธิ์ทำไม่ได้หลัง 6 ตุลา เป็นอย่างนั้น พอเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ พอเกิดปี 20 ขึ้นมาใช่ไหม เกรียงศักดิ์ ขึ้นมาปฏิวัติธานินทร์ แล้วก็เริ่มคลี่คลายเริ่มผ่อนคลาย พอผ่อนคลายมันก็คืนสิทธิ์ค่อยๆ คืนสิทธิ์ ทางคนงานก็รู้สึกได้ใช้สิทธิ์อะไรอย่างนี้ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลายเรื่องเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือว่า หลังปี 2540 ธุรกิจบูมมาก จนกระทั่งฟุบในปี 40 คนงานถูก เลย์ออฟเยอะแยะ คำถามคือ นั่นกระทบสิทธิแรงงานไหม เริ่มเกิดปรากฏการณ์อันหนึ่งซึ่งเป็นการหลีกหนีการคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานที่เคยได้ นั่นคือ มีการเริ่มจ้างแรงงาน sub-contract (สัญญาจ้างระยะสั้น) เป็นครั้งแรก ด้วยการอ้างว่า สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวหลังวิกฤตปี 40 เพราะฉะนั้นจะจ้างยาวนานหรือจ้างถาวรไม่ได้ ขอจ้างแบบยืดหยุ่นมีสตางค์ก็จ้าง ไม่มีสตางค์ก็ไม่จ้าง งาน sub-contract มาจากนี้

ในแง่ของขบวนการแรงงาน นี่คือการเจาะรูให้พ้นไปจากการคุ้มครองของกฎหมายแรงงานที่กรรมกรเรียกร้องได้มาหลัง 14 ตุลาคม เพราะฉะนั้น sub-contract พอมันมาแล้ว มันไม่เลิกจนทุกวันนี้

ขณะเดียวกันพอเศรษฐกิจฟื้นตัว พวกนี้ก็เริ่มเรียกร้อง ตัวอย่างอันหนึ่ง อยากจะยกตัวอย่าง กรณีการออกกฎหมายประกันสังคม สมัยชาติชาย จริงๆ แล้วพอเปรมลง ชาติชายเป็นรัฐบาลเลือกตั้งครั้งแรก ชาติชายก็ไม่มั่นใจว่าจะปกครองได้เพราะเปรมปกครองมานาน ก็เลยพยายามซื้อความนิยมจากกรรมกร พอชาติชายขึ้นมาปีแรก ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 2 ครั้งในปีเดียว และพยายามออกกฎหมายประกันสังคมเป็นครั้งแรกๆ เพราะฉะนั้นก็ซื้อใจกรรมกร จะเห็นได้ว่าหลัง 14 ตุลาคมเป็นต้นมา ความต้องการของกรรมกร ความไม่มั่นคง หลักประกันต่างๆ เริ่มที่จะ establish (จัดตั้ง)  กลายมาเป็นสถาบันและได้รับการรับรองมากขึ้น เพราะการที่จะออกไปเรียกร้องกันลงถนนอะไรอย่างที่เคยเป็นมา ก็หมดความจำเป็นในส่วนนี้ เริ่มเล่นกันในระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันหลัง 6 ตุลานี้ พวกขบวนการกรรมกรส่วนที่เข้าป่าไป เขาก็โอเคที่จะเข้าป่าไป ภายหลัง จากนั้นมาตรการ 66/23 ดึงพวกนี้กลับมา

ที่น่าเห็นใจมากคือ ขบวนการชาวนาโดนเด็ดหัวหมดเลย ดังนั้นขบวนการชาวนา ก็เงียบไป ขณะเดียวกันก็ซื้อใจด้วยกัน เปรมเอาพวกนี้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย พูดง่ายๆ คือรัฐเองก็พยายาม accommodate นะจากการที่เขาเคย radical (ถอนรากถอนโคน, รุนแรง) เขาก็ลงหลักปักรากได้นั้น แต่พอมาถึงวันนี้ ถามว่าทำไมเงียบไป ก็ต้องอธิบายว่าส่วนหนึ่งเขาได้มาหลายคืบ หลายศอกพอสมควร ที่จะต้องไปลงแรงเหมือนเก่ามันก็ไม่ต้องลงแรง ผมคิดว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งแล้ว ขณะเดียวกันประเทศไทยก็เปลี่ยนฐานะด้วย จากประเทศที่มีแรงงานว่างงานเยอะ ประเทศที่ต้องส่งแรงงานออกนอก กลายเป็นประเทศที่นำเข้าแรงงาน ยกเว้นไปอิสราเอลอะไรนี้ ต้องมีรายได้ที่สูงกว่า สังเกตสถานะมันเปลี่ยนไป การลงทุนในประเทศเริ่มกลายมาเป็นเรื่องของโลกาภิวัตน์ ทุนไทยไปลงต่างประเทศ ต่างประเทศมาลงทุนในเมืองไทยอะไรอย่างนี้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น ขบวนการแรงงานได้ถูกระบบดูดเข้าไป ไม่ให้ radical (ถอนรากถอนโคน, รุนแรง)  อย่างที่เคยเป็นมา แต่ถามว่า มันแปลว่าอ่อนแอด้วยหรือเปล่า ถ้าจะวัดกันด้วยความ radical อาจจะดูอ่อนแอ แต่ถ้าถามว่า มันได้ลุกคืบเข้าไปในความเป็นสถาบันมากน้อยแค่ไหน มันก็สามารถที่จะตั้งตัวหรือเข้าไปมีบทบาทในสถาบันมากขึ้น

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

มุมนี้เราอาจจะมองได้ว่าแรงงานมีพัฒนาการมากขึ้น เช่นที่อาจารย์บอกว่า ตั้งเป็นสถาบันได้เรียบร้อยแล้ว หมายถึงลงหลักปักฐานในระบบการเมือง สังคม เศรษฐกิจได้ แต่ทีนี้ก็มีประเด็นเหมือนกับว่า แรงงานที่เราพูดถึงกันเป็นแรงงานในลักษณะที่เป็นแรงงานดั้งเดิม บางคนใช้คำนี้ แต่ว่าก็มีแรงงานกลุ่มใหม่ๆ ที่มันเกิดขึ้นมาเพราะทุน วิธีการของทุนมันเปลี่ยนอะไรทำนองนี้ ทำให้เกิดแรงงานพวกที่จะเรียกว่ากึ่งๆ สถานะก็ได้ นายจ้างมีอำนาจควบคุมเขาได้ผ่านทางระบบที่นายจ้างออกแบบ แต่ว่าเขาก็อาจจะไม่ใช่แรงงานแบบในกลุ่มของแรงงาน

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

ต่อจากที่ผมจะพูดเมื่อกี้ก็คือว่า หลังจากที่มีการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจแล้ว เราเริ่มที่จะขาดแคลนแรงงานระดับล่าง พูดง่ายๆ คือ ทุนนิยมไทยพัฒนามาจากการใช้แรงงานราคาถูก เรามีรัฐบาลประเภทเผด็จการและกดค่าแรง โครงสร้างของการผลิตเราเปลี่ยนไปไม่ทัน โครงสร้างส่วนใหญ่ยังใช้แรงงานราคาถูก แต่ว่าเราเองไม่มีแรงงานราคาถูกอีกแล้ว เพราะฉะนั้น จึงทำให้กลายมาเป็นประเทศที่นำเข้าแรงงานแทนที่จะส่งออกดังเดิม และก็มีแรงงานต่างด้าวเข้ามา

มองในแง่หนึ่งคือ แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ ก็เข้ามาเหมือนกับทดแทนหรือต่ออายุให้ระบบทุนนิยมแบบล้าหลังนี่ยังดำรงอยู่ได้ การขูดรีดแบบล้าหลังยังดำรงอยู่ได้ อันนี้คือสิ่งสำคัญ และแล้วมันก็ทำให้พวกนี้หลบรอดการคุ้มครองตามกฎหมายไปได้ ก็คุณเป็นแรงงานต่างด้าว และเราก็รู้ว่ากระบวนการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวมันจำกัดจำเขี่ย หนึ่งคือ เข้าถึงยาก สองคือ อยู่ได้ไม่นาน และในที่สุดคนเหล่านี้ 3 ใน 4 ก็กลายเป็นคนนอกกฎหมาย ทีนี้เมื่อคุณเป็นคนนอกกฎหมาย ก็ง่ายต่อการควบคุม นายจ้างไม่เซ็นรับรองให้คุณ คุณกลายเป็นเถื่อน เพราะฉะนั้นการขูดรีดมันผ่านการกระทำแบบนี้ชัดเจน ทุนนิยมแบบโบราณที่ขูดรีดแบบโจ่งแจ้งมันจึงอยู่ได้

ขณะเดียวเทคโนโลยีในการผลิตมันเปลี่ยนไป เรื่องหุ่นยนต์ เรื่องอาชีพใหม่ๆ การทำงานแบบใหม่ๆ ในช่วงโควิดอย่างนี้ ทำให้เกิดการทำงานแบบ work from home, work from anywhere คุณจะให้ตอกบัตรได้อย่างไร ระบบการควบคุมแรงงานแบบตอกบัตรใช้ไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือ คุณจะควบคุมต่อไปอย่างไร มันเกิดวิกฤตในการควบคุมแรงงานเหมือนกัน โควิดมันก็ทำให้เกิด Rider เกิด Uber เกิด Grab เกิดอะไรพวกนี้  ทั้งในแง่การควบคุมและการคุ้มครองมันโตไม่ทัน ก็เลยเกิดอาการแบบ ถ้ายังไม่มีการคุ้มครองอะไรก็ต้องสู้กันต่อไปเหมือนก่อน 14 ตุลาคม

เพราะฉะนั้นในแง่ของขบวนการแรงงานจะต้องมีการ organize (จัดระเบียบ) และ re-organize Concept (ปรับระเบียบความคิดใหม่) เรื่องสหภาพแรงงาน แต่เดิมคุ้มครองคนที่อยู่ในหลังคาโรงงานเดียวกัน แต่ปัจจุบันต้องคุ้มครองคนที่อยู่ต่างโรงงานเดียวกันที่เราเรียกมันว่าสหพันธ์หรือสหภาพระดับชาติ คุณอยู่สิ่งทอเหมือนกัน ในยุโรปมันเป็นสหภาพเดียวสหภาพสิ่งทอ แต่ถ้าในเอเชียก็คือว่าเขาไม่ให้จดเป็นสหภาพเดียวกัน จัดตั้งให้มันเป็นสหภาพคนละสหภาพ แต่อยู่สหพันธ์เดียวกัน อันนี้คือทางแก้ของขบวนการแรงงาน แต่ว่าพอมาเจอเรื่อง grab มาเจอเรื่อง uber มาเจอเรื่อง rider คำถามคือ ขบวนการแรงงานมีวิธีที่จะ organize กันอย่างไร ก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายขบวนการแรงงานด้วย ซึ่งก็ศึกษาว่าในยุโรปเป็นอย่างไร เรื่องของ grab uber rider อะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็มีหลายสิ่งที่กำลังศึกษากันอยู่

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ตอนนี้เหมือนเรากำลังกลับไปสู่กระบวนการที่เรากำลัง re-process (ปรับกระบวนการใหม่) ของขบวนการแรงงานอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่า เมื่อมีกลุ่มแรงงานใหม่เกิดขึ้นมา เราก็พยายามที่จะปรับโครงสร้างของสถาบันแรงงานที่เซ็ตตัวแล้วให้มันเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทใหม่ที่เกิดขึ้น

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

ณ ขณะเดียวกันก็คงจะต้องเรียกร้องให้กลไกอำนาจรัฐนออกแบบและตอบคำถามของขบวนการแรงงานให้ได้ การที่ขบวนการแรงงานเรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำ เรียกร้องกฎหมายประกันสังคม กฏหมายคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ และจนกระทั่งวันนี้กฎหมายคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ก็เพราะแต่เดิมเราไม่เคยสนใจ กฎหมายแรงงานเรา โดยเฉพาะกฎหมายประกันสังคมเรา เป็นกฎหมายที่โกหกเพราะจริงๆ ไม่ได้ประกันสังคม มันประกันลูกจ้างและมันก็ไม่ได้ประกันคนงานโดยทั่วไปด้วย เพิ่งมาพูดถึงมาตรา 39 อะไรทีหลัง แต่สิ่งนี้มันเรียกว่า มันอ้าขาผวาปีกว่า นี้คือประกันสังคม แต่คนในสังคมส่วนใหญ่ไม่ได้ประกันก็ต้องไปขยายพวกนี้

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ขบวนการของชาวนาที่สุดท้ายโดนขัดขวาง โดนรัฐเองใช้อำนาจเข้ามาทำลายขบวนการของชาวนา เพราะว่าอย่างที่อาจารย์บอกว่า ตอนท้ายสุดภาคแรงงานสามารถเติบโตได้ เป็นสถาบันได้ ตั้งข้อเรียกร้องของตัวเองจนถึงขั้นที่รัฐยอมรับได้ แต่ชาวนาคือคนที่หายไป

ซึ่งประเด็นเรื่องชาวนาก็เป็นเรื่องหนึ่งที่อาจารย์ปรีดีสนใจ คืออาจารย์ปรีดีเคยอธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองต้องเปลี่ยนไป เพราะว่าต้องการให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มของชาวนาที่ทำการเกษตรแบบดั้งเดิมซึ่งหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน พี่งพาธรรมชาติ แต่ในมุมนี้ อยากสอบถามอาจารย์เหมือนกันว่า มุมมองเกี่ยวกับเรื่องของชาวนา หลายๆ รัฐบาลที่เปลี่ยนผ่านเข้ามาเอง ก็ให้นโยบายในเรื่องของการช่วยเหลือชาวนา ช่วยเหลือเกษตรกร แต่ว่าสิ่งที่ชาวนาควรจะต้องได้รับจริงๆ ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

ผมว่าเวลาใช้คำว่าพัฒนาประเทศ หัวใจมันอยู่ที่ชาวนา การเปลี่ยนแปลง 2475 โจทย์สำคัญในทางเศรษฐกิจ คือเรื่องของการบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ฐานแรก คือเรื่องของพลังการผลิต พลังการผลิตนี่ทำอย่างไรให้การผลิตของประเทศดีขึ้น การผลิตของประเทศในปี 2475 คือเกษตร การอุตสาหกรรมยังไม่มี โจทย์ของมันนอกจากการผลิตล้าหลังแล้ว คนที่อยู่ในการผลิตเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งลำบาก เราจะไม่บอกว่ายากจนลำบาก และโจทย์นี้มีมาก่อน 2475 ถ้าไปดูคำปรารภของกบฏ ร.ศ. 130 หมอเหล็ง ศรีจันทร์ เขียนชัดว่าแถวนครชัยศรี เวลาที่น้ำท่วม น้ำมันท่วมนาหมด ผู้ชายต้องรวมตัวกันไปปล้นหรือไม่ก็ไปขอ ผู้หญิงก็รวมไปขอทาน คนหนุ่มไปปล้น คนสาวไปขอทาน ที่อยู่กับบ้านคือหลานกับยาย หลานกับตาซึ่งบางทีก็ตกน้ำตาย เพราะฉะนั้นอู่ข้าวอู่น้ำแบบบ้านเรา เอาเข้าจริงไม่มีความมั่นคง ทำอย่างไรชาวนาถึงมีความมั่นคง ทำอย่างไรชาวนาถึงไม่เจอฝนแล้ง เจอน้ำท่วมอะไรแบบนี้ ผมว่าโจทย์สืบต่อตั้งแต่ ร.ศ 130 มาถึง 2475 คือ ร.ศ. 150 หรือ 20 ปี

เพราะฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์ปรีดีเสนอ คณะราษฎรเสนอในเค้าโครงเศรษฐกิจบอกชัดว่า เขาจะต้องมีการจัดสรรที่ดินใหม่ เพื่อให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ได้ เช่น รถแทรกเตอร์ และในแง่ของคนที่เป็นชาวนา เขาจะต้องรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ งั้นต้องรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ นี่คือโจทย์แรกๆ ของเศรษฐกิจไทยเลย

ทีนี้ประเด็นสำคัญคือ อย่างอาจารย์ปรีดีนี่สมุดปกเหลือง พอเจอสมุดปกขาว รัชกาลที่ 7 ก็ระบุชัดว่า ถ้านายปรีดีไม่ลอกมาจากสตาลิน สตาลินก็ลอกมาจากนายปรีดี เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือชาวนามันถูก Associate (เกี่ยวโยง) กับความเป็นคอมมิวนิสต์ เสร็จแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของชาวนา ถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์และเราสู้กับคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ปลายจอมพล ป. ผ่านจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม มาถึง 14 ตุลาคม

เพราะฉะนั้น ชาวนาจะเป็นผู้ร้ายในมุมมองของรัฐตลอด เพราะฉะนั้น เรื่องจะไปช่วยก็ไม่ช่วย นอกจากไปซื้อความภักดี สังเกตว่าถนอมเข้ามาก็เงินผัน ผมคิดว่าเรื่องกรรมกรมันยังมาทีหลังไง แต่ถ้าเรื่องชาวนารัฐมองด้วยอคติมาตั้งแต่ 2475 เพราะว่าคุณจะช่วยชาวนา แล้วคุณเป็นใคร คุณเป็นคณะราษฎรใช่ไหม คุณเป็นปรีดี พนมยงค์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดมันคือผู้ร้าย ในมุมมองของรัฐการช่วยเหลือชาวนาจะช่วยในลักษณะของสงเคราะห์ ไม่ใช่เป็นการช่วยแบบรับรองสิทธิในฐานะเป็นพลเมือง

ผมว่านี้สำคัญคือเราให้การสงเคราะห์ น้ำท่วมก็ให้ช่วย นาแล้งก็ให้ช่วย แต่ว่าให้เขาเป็นเจ้าของสิทธิ์ เราไม่เคยให้ตอบสนองการเรียกร้องสิทธิ์ในฐานะที่เป็นพลเมือง เราไม่ได้มองในแง่นี้เสมอ และผมคิดว่าตรงนี้น่าสนใจ แม้กระทั่งเวลาธรรมศาสตร์ตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ ชื่อมันก็ผิดเพราะภาษาอังกฤษใช้คำว่า Social Administration แต่ของภาษาไทยเป็นสังคมสงเคราะห์ แปลว่าช่วยเฉพาะคนจน ไม่ได้รับรองสิทธิ์ที่ว่า เฮ้ย!! ทุกคนเป็นพลเมืองจึงมี welfare (สวัสดิการ) ผมว่ามุมมองพวกนี้สำคัญ มันถูกกดทับโดยวัฒนธรรมที่เหลื่อมล้ำมาแต่ไหนแต่ไร

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

พอมองในประเด็นนี้อาจารย์ได้ฉายภาพให้เห็นแล้วว่า ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้ต่างๆ ทั้งของชาวนาก็ดีหรือของกรรมกรก็ดี ทั้ง 2 ฝั่งคือ ต้องการขอให้มันมีเรื่องของการรับรองเรื่องความมั่นคงของเขา รับรองในเรื่องของสิทธิต่างๆ แต่พอขบวนการชาวนาอาจารย์ ก็ฉายภาพให้เราเห็นเหมือนกันว่ามันถูกตัดทอนจากมุมมองของรัฐเองที่มองชาวนาเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ มองชาวนาในฐานะที่แบบว่าไม่ได้เป็นเหมือนกับมองกลุ่มขบวนการแรงงาน

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

มองขบวนการชาวนาค่อนข้างที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ คือไม่เป็นขบวนการ รัฐอาจจะสงเคราะห์ได้ แต่เมื่อใดคุณตั้งขบวนการเข้ามา รัฐจะมองอย่างไม่ไว้วางใจมาแต่ไหนแต่ไร ที่จริงก่อน 2475 ด้วยซ้ำ เพราะกบฏที่แล้วๆ มาในอยุธยาก็ดี มันคือกบฏชาวนาทั้งนั้น

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

เราเพิ่งผ่านการเลือกตั้งมา รัฐบาลใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง อาจารย์มีมุมมองอย่างไรบ้าง มองว่าเศรษฐกิจและสังคมไทยตอนนี้ priority (ลำดับความสำคัญ) เรื่องต่างๆ ที่คิดว่าสำคัญ และเราควรกลับมาโฟกัส มีอะไรบ้างไหม

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

ผมคิดถึงปัญหาที่เราพูดกันเลยเป็นปัญหาเรื้อรัง เป็นปัญหาที่แฝงฝังอยู่ในโครงสร้างสังคมไทย คือไม่ยอมรับสิทธิของคนข้างมาก เราไม่ยอมรับเรื่องสวัสดิการของคนข้างมาก คือชนชั้นแรงงาน ถึงแม้ว่าวันนี้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นเกษตรกรอาจจะมีครึ่งหนึ่ง แต่รายได้เค้ารวมกันแล้วประมาณ 10% ขณะที่คนที่อยู่นอกภาคเกษตร ครึ่งหนึ่งรายได้ 90% ผมว่าภาพอย่างนี้ คนชอบถามว่าจะแก้หนี้ชาวนาอย่างไร แต่เราไม่ถามว่าทำอย่างไรให้ชาวนาไม่เป็นหนี้ คุณไปไล่แก้หนี้ แต่ว่าคุณยอมรับการเป็นหนี้ของชาวนา คุณพูดถึงเรื่องสิทธิของชาวนา นักเศรษฐศาสตร์จะพูดถึงเรื่อง 2-3 อย่าง ที่จะทำให้ฐานะคนดีคือ

หนึ่ง ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตแค่ไหน ในเรื่องของที่ดินที่ทำกิน ในเรื่องของเครื่องจักร เครื่องมือ สมัยก่อนก็คือควายเป็นเจ้าของแค่ไหน หรือต้องเช่าเขา

อีกหนึ่งคือเรื่องการตลาด ใครผูกขาดการตลาด เวลามองไปที่ไร่นา ลองไปที่ชนบทคุณมีคน สองพวกใช่ไหม ชาวนาและเถ้าแก่โรงสี ใครแปลว่ารวย ใครแปลว่าจนใช่ไหม ลูกเถ้าแก่โรงสี ผู้ฟังเพลงลูกทุ่งก็จะรู้ “มันหนีไปกับใคร มันหนีไปกับลูกเถ้าแก่โรงสี” เพราะฉะนั้น หนุ่มชาวนาช้ำใจ แต่ไหนแต่ไร

ภาพมันเป็นอย่างนั้น และผมคิดว่าทำไมไม่มีใครจับตรงนี้ แล้วทำไมคนพูดว่าเราจะแก้ปัญหาชาวนาอย่างไร เราจะแก้หนี้สินชาวนาอย่างไร ทำไมคุณไม่ทำให้ชาวนาไม่มีหนี้สิน คุณต้องลงไปตรงนี้ ถามเขาว่ากรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตมันเป็นอะไร

อย่างสมัย 2475 สิ่งที่เขาพูดถึงอะไรคือ หนึ่งขอซื้อที่ดินของคนที่เป็นเจ้าของ ซึ่งไม่มีปัญญาทำมาหากินกับที่ดิน เพราะเยอะเกินไปเอามาจัดสรรให้ เอามาขายผ่อนให้กับชาวไร่ชาวนาที่ไม่มีที่ดิน   สอง ก็คือในกรณีที่ผิดพลาดร้ายแรงอะไรอย่างไร ห้ามยึดปัจจัยการผลิต ที่เรียกพระราชบัญญัติห้ามยึดทรัพย์กสิกร แปลว่าอะไร มันแปลว่ายังไงก็แล้วแต่ ชาวนาถ้ามีแรงทำมากินได้เพราะว่าปัจจัยการผลิตยังอยู่เป็นตัวใช่ไหม

หนึ่ง ความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต สอง เรื่องตลาดไม่เคยไปแตะเลย ทำไมคนปลูกข้าวจน คนขายข้าวรวย คนส่งออกข้าวรวย คือคุณไม่รู้สึกประหลาดเลย ในกระบวนการผลิต ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งข้าวออกนอก แต่ไอ้ทำไมคนปลูกจนกว่าคนขายอะไรอย่างนี้ คือประเด็นที่ถามว่าเศรษฐกิจต้องแก้ไข ต้องแก้ตรงนี้ใช่ไหม คุณไปพูดถึงเรื่องส่งออก ผมว่ามันปลายเหตุเพราะไม่ใช่เรื่องของคนข้างมาก เรื่องของคนข้างมากก็คือ หนึ่งชนชั้นแรงงานเป็นอย่างไร เพราะเป็นคนข้างมาก ถ้าคนข้างมากนี้ไม่เจริญขึ้น คุณไม่มีทางพูดได้ว่าประเทศชาติเจริญ ถ้าคุณไม่พัฒนาคนข้างมากเหล่านี้ คุณไม่มีทางพูดได้เลยว่าคุณกำลังพัฒนาประเทศ ประเด็นสำคัญก็คือว่า คุณต้องมีคำตอบ เศรษฐกิจไทยต้องมีคำตอบให้กับคนที่เป็นเกษตรกร คุณต้องมีคำตอบให้กับคนที่ขายแรงงานเป็นกรรมกร แล้วเรื่องอื่นว่ากันทีหลัง เรื่องการคุ้มครองอาชีพใหม่ๆ คนนอกระบบ คนต่างด้าว สิ่งเหล่านี้พูดกันในรายละเอียดทีละเรื่องได้ แต่ว่ามันต้องพูดถึงเรื่องหลักเกณฑ์ คือผมรำคาญมากว่ารัฐบาลนี้ จะแก้หนี้ชาวนาได้อย่างไร แก้หนี้เกษตรกร ก็คุณไม่คิดอย่างที่บอก ก็อย่าให้เขาเป็นหนี้สิ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

จริงๆ ประเด็นที่อาจารย์เล่ามา จะเห็นว่าเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องกันไป จากหลายๆ อย่างคือเราเห็นว่าตั้งแต่เริ่มต้นที่เราคุยกันมาจนถึงตอนนี้ เราก็เริ่มเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองไทยเป็นภาพต่อเนื่องของอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาของชาวนา เรื่องที่คณะราษฎรโดยอาจารย์ปรีดีพยายามเสนอ เรื่องการซื้อที่ดินมาเพื่อเอามาจัดสรรใหม่ เพราะว่าที่ดินเดิมเป็นที่ดินที่แปลงเล็กซอยย่อย ในขณะเดียวกันคนที่เป็นเจ้าของที่ดินก็เป็นแค่คนบางกลุ่ม แต่นี่คือต้องการจัดสรรทรัพยากรใหม่กันอีกครั้งหนึ่ง เอาที่ดินมากระจายใหม่

เรื่องปัญหาของแรงงานก็เป็นเรื่องที่แต่เดิมไม่มีการคุ้มครอง ปัจจุบันก็ต้องมีการคุ้มครองแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุม ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่จริงๆ รัฐบาลเองหรือว่าใครต่างก็ควรจะกลับเข้ามาดูตรงนี้เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าที่จะไปแก้ปัญหาปลายเหตุ

พอมาถึงจุดนี้หลายคนเขาก็เลยเริ่มเหมือนตั้งคำถามและ พยายามชวนมองกัน ซึ่งมีคำพูดที่หลายๆ คนในสังคมปัจจุบันกล่าวไว้ว่า “ที่สังคมเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าตัวผู้มีอำนาจเองก็ดี หรือกลไกของภาครัฐเองก็ดี ไม่ได้เอาปัญหาพวกนี้หรือเอาเรื่องของประชาชนมาเป็นเรื่องหลักในการพิจารณา” เลยเหมือนพยายามพูดว่า “เราเลยต้องพยายามร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เหมือนมีสัญญาประชาคมใหม่” หรือที่อาจารย์ปรีดีเรียกว่า เป็นสัญญาสังคมอย่างนี้

อาจารย์มีมุมมองอย่างไร ความจำเป็นในเรื่องนี้ควรจะไปในทิศทางไหน การมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิมอย่างไร

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

หลักคงเป็นอย่างนี้ ที่เป็นมาทั้งหมดหรือที่ส่วนใหญ่ไม่ได้อานิสงส์ของความเปลี่ยนแปลงเลยก็เพราะว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีปากมีเสียงในการกำหนดนโยบาย พูดอีกอย่างคือการควบคุมอำนาจรัฐ ไม่ได้มาจากคนส่วนมากที่มีเสียงเบาๆ การควบคุมอำนาจรัฐมันอยู่ในมือคนส่วนน้อยที่มีเสียงดังๆ ตลอดมา

ถ้าดูกรณี 2475 ก็เห็นชัดว่า หลักการง่ายๆ ก็คือว่าทำอย่างไรถึงจะให้การตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย และการบริหารประเทศนั้น กระทำโดยเจตจำนงของคนข้างมาก และดำเนินการโดยตัวแทนของคนข้างมาก อันนี้คือหัวใจของ 2475 เพียงแต่ว่าการต่อสู้ในทางการเมือง ทำให้เจตจำนงอันนี้ก็ดี วิธีการเหล่านี้ก็ดี ถูกจำกัดมาโดยตลอด จะเรียกว่าสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ดี อะไรก็ดี ทำให้อำนาจหลุดจากประชาชนในฐานะที่เป็นเจตจำนงของ 2475 ไปตกในมือของทหารในช่วงจอมพล ป. ซึ่งมันใกล้สงคราม

เข้าใจได้ว่าคนก็ต้องการทหารเป็นผู้นำ แต่ถ้าพูดกันจริงๆ จอมพล ป. เองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำเพื่อคนส่วนน้อย เพราะจอมพล ป. นั้นเน้นเรื่องของชาติ จอมพล ป. หลบใน เมื่อปีกอาจารย์ปรีดีค่อนไปทางซ้าย และถูกต่อต้านเยอะ อาจารย์ปรีดีก็อาจจะลดอำนาจลง จอมพล ป. ขึ้นมา งั้นก็บอก ถ้างั้นไม่ต้องไปทางซ้ายก็ไปทางขวา ก็เอาแบบฟาสซิสม์เข้ามา ชาตินิยมเข้ามา แต่ชาติก็คือชาติของคนส่วนใหญ่ แต่ว่าที่สำคัญก็คือพอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป. กลับมาอีกที ทีนี้มันมันถูกบีบด้วยการเติบโตของระบบทุนนิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ การพูดถึงการกระจายทรัพยากรไปสู่คนข้างมาก การพูดถึงประชาชนก็เป็นอาชญากรรมแล้ว การพูดถึงประชาชนก็เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยเปิดช่องให้คนชั้นสูงจำนวนน้อยที่มีทุน มีอำนาจ มีบารมี เข้าไปควบคุมธุรกิจได้

เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นว่า ตอนส่งเสริมการลงทุนก็จะมีทุนต่างชาติ ทุนของรัฐและอภิสิทธิ์ชนที่เข้าไปคุมอำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ต่อกัน อย่างที่เรารู้กันว่าธนาคารแรกๆ ที่ตั้งขึ้นมา ประภาส จารุเสถียร เป็นประธานธนาคารกรุงเทพ ถนอม กิตติขจร เป็นประธานธนาคารกสิกรไทย ประเสริฐ รุจิรวงศ์ เป็นประธานธนาคารกรุงศรีอยุธยา คุณจะเอาใคร อำนาจรัฐ อำนาจทุนร่วมมือกันอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางลงไปอยู่ข้างล่างได้ถูกไหม ผมคิดว่า การพูดถึงเรื่องของการออกแบบและผลักดันให้รัฐเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่เป็นปัญหาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ที่อย่างไรก็ต้องถือว่าเป็นภารกิจของชั่วคน เราอย่าไปบอกว่าต้องล้าง ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฟังดูตีกรอบอะไรที่อยู่แค่กลไกอย่างหนึ่ง แต่ว่าจะต้องมีการพยายามผลักดันให้เกิดการเข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งในตัวกฎหมาย ทั้งในแง่ของสถาบัน ทั้งในแง่ของการยอมรับทางสังคมด้วย ไม่ใช่สังคมมัวแต่มานั่งประนามว่า “ นี่ชอบสร้างความวุ่นวาย ไอ้นี่เก่ง ไอ้นั่นล้มสถาบัน” มันต้องให้เกิดการยอมรับการเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นเราเรียกร้องอะไร เราเรียกร้องสถาบันความเชื่อทางการเมืองของสังคมไทย ว่าคุณต้องส่งต่อ ต่อสู้หลายปี แน่นอนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญต้องมี แต่ตัวอื่นถ้าไม่เข้ามาช่วยกันรัฐธรรมนูญอยู่ได้ไม่ทน ปี 40 รัฐธรรมนูญดีไม่ใช่เหรอ แล้วมันอยู่ได้หรือเปล่า ต้องเอาตัวอื่นเข้ามาคุ้มครอง เข้ามาห่อหุ้มรัฐธรรมนูญจริงๆ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

ในมุมของอาจารย์ มองว่าการเรียกร้องเรื่องร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นเป็นแค่กลไกหนึ่ง  เป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ตัวที่เราต้องไปต่อคือ การทำให้เกิดสถาบันต่างๆ ที่อาจารย์บอกว่าเป็นสถาบันของความเชื่อมั่นซึ่งในเรื่องนี้ก็เป็นจุดที่สังคมก็ต้องพยายามเหมือนพูดคุยกันใช่ไหม สื่อสารกันและทำให้เกิดพื้นที่ที่สามารถคุยกันได้เพราะอย่างเรื่องของการขับเคลื่อนแรงงานเกิดจากการที่แรงงานในตอนแรก Radical ออกมาเรียกร้อง จนสุดท้ายคือ ทำให้เกิดการยอมรับแต่ในจุดนี้เองปัญหาของสังคมไทย คือเราเองดูเหมือนยังไม่ค่อยมีที่ให้กับการพูดคุยกันเท่าไร

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

การต่อสู้เพื่อให้มีพื้นที่ก็เป็น agenda (วาระ) หนึ่งของการต่อสู้ถูกไหม เพราะว่าทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ยกเลิกกฎหมาย อย่างกฎหมายแรงงานนี้เห็นชัด ไม่ยกเลิกแต่มันติดพื้นที่นึกออกไหม คุณมีสิทธิ์นัดหยุดงาน แต่คุณนัด คุณต้องขออนุญาต และในที่สุดคุณก็หยุดไม่ได้ คุณมีสิทธิ์ประชุมกฎหมายไม่ได้ยกเลิก แต่คุณหาที่ประชุมไม่ได้

เพราะฉะนั้นการสร้างพื้นที่ต่อสู้เพื่อให้มีพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ การต่อต้านการปิดพื้นที่ก็เป็นเรื่องสำคัญ การปฏิรูปไม่ใช่ปฏิรูปกฎหมาย มันต้องปฏิรูปสังคมโดยรวม และต้องปฏิรูปก็คือมุมมองของคน แต่พูดกันจริงๆ ถ้าเราเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็จะเห็นว่านอกจากทางด้านแรงงานจะได้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ทางการเมืองก็ได้พอสมควร ลองๆ เทียบนโยบายหาเสียงทางการเมืองที่เพิ่งผ่านมา คำถามหลายๆ คำถามไม่เคยถูกตั้งเป็นประเด็นของการหาเสียง วันนี้หลายเรื่องที่คุณใช้หาเสียงเป็นเรื่องใหม่ทั้งนั้นที่สังคมไม่เคยแตะ นี่ก็เป็นความก้าวหน้าอย่างที่เรามักจะมองข้าม เพราะเราไปมองไปข้างหน้า แต่เราไม่ได้มองเดี๋ยวนี้หรือเมื่อวานนี้

ผมคิดว่าการไปข้างหน้าเป็นเรื่องดี แต่บางทีเพื่อให้มีกำลังใจ ต้องกลับมาดูว่า so far ก็ so good นะ เพราะว่าก็ไม่เลวเหมือนกัน จะได้มีกำลังใจเหมือนกันที่จะเดินหน้าต่อไปเพราะว่าช่วงผมมา เป็นช่วงช่วงหนึ่งนับตั้งแต่ช่วง 1960 เราเห็นการเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาประชาธิปไตย เห็นกระบวนการต่อสู้ เห็นการล้มลุก การล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้มมาตลอด การเมืองมันเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะหมุนอยู่มีขึ้นมีลง แต่ผมคิดว่ามันหมุนเหมือนควัน ควันไฟถึงจะม้วนก็ม้วนขึ้นนะ ช่วงระยะเวลาสัก 60 ปี อะไรที่ผ่านมา เราเห็นอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญถึงแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนั่นเป็นความสำเร็จในการแก้ปัญหาที่ผ่านมา

แต่ทุกวันมันมีปัญหาใหม่ๆ คำถามก็คือเราต้องไล่ตามแก้ปัญหาใหม่ๆ ตามทันหรือเปล่าใช่ไหมเรื่อง Grab เรื่องการคุ้มครองแรงงานไรเดอร์ก็เป็นเรื่องใหม่ เป็นพันธกิจของเราใช่หรือไม่ที่จะต้องตามแก้ให้ทัน เพราะถ้าไม่ทันก็จะมีคนที่ถูกเอาเปรียบ คนที่เสียเปรียบ คนที่ขาดความมั่นคง คนที่แม่เป็นไรเดอร์ เอาลูกนั่งข้างหน้าเพื่อไปส่งของอย่างนี้ แล้วทำอย่างไร ทีนี้เวลาที่เราต้องตามให้ทัน

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :

คิดว่าวันนี้เราน่าจะได้คุยกับอาจารย์ในหลายๆ มุม และก็ได้มุมมองที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงอาจารย์ได้ฝากข้อที่เป็นเหมือนกับ concern (กังวล) ว่าอนาคตเราจะไปทางทิศทางไหน

ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ :

จริงๆ ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้ แต่ว่าให้นึกถึงตอนนี้ ผมก็คิดว่าการต่อสู้ของคน เป็นพระเอก เป็นผู้ร้าย ทำถูก ทำผิด มักจะมีตัวกำกับตัวหนึ่งคือ “เวลา” เราจะเห็นคนดีในช่วง 14 ตุลาคม แต่หลังจากนั้นก็อาจจะเป็นผู้ร้าย เราอาจจะเห็นคนดี คนเสียสละหลัง 6 ตุลาคม แต่หลังจากนั้นก็อาจจะเป็นผู้ร้าย เราจะพูดว่าคนหนึ่งดีตลอดไม่ได้ คนหนึ่งเลวตลอดไม่ได้ เวลาพูดถึงบทบาทของใครก็แล้วแต่ เราจะต้องจำกัดเสมอว่าเมื่อไร ผมคิดว่าการกระทำของมนุษย์จะเป็นอย่างนี้และจะเป็นตลอดเวลา ประวัติศาสตร์เดินไป แต่ว่ามนุษย์คนหนึ่งอาจจะเดินตามมันไม่ได้ จากคนที่ก้าวหน้าในวันหนึ่ง ได้กลายเป็นคนที่ล้าหลังในวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะพูดก้าวหน้าจะพูดว่าล้าหลัง ต้องถามวันไหน ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ

มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ผมอยากจะโยงไปถึงเรื่อง รัฐสวัสดิการ คือหลายคนพูดถึง เพราะฝ่ายที่เรียกร้องให้มีรัฐสวัสดิการ และบอกว่า ทุกคนควรที่จะได้สิทธิ์ในการรับการดูแลจากรัฐ โดยที่ไม่ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ไม่ต้องพิสูจน์ว่าจนกว่าคนอื่น เคราะห์ร้ายกว่าคนอื่น เรากำลังพูดถึงสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่การสงเคราะห์โดยรัฐ ทำอย่างไรให้เรื่องสวัสดิการเป็นเรื่องสิทธิ์ก็คือเหมือนกับสวัสดิการถ้วนหน้า อีกฝ่ายหนึ่งก็จะบอกว่าทำอย่างนั้นก็ดีแต่เอาเงินที่ไหน

ผมคิดว่ามุมมองเรื่องนี้ต้องไม่เป็นมุมมองที่ตายตัวหรือที่เราเรียกว่า static ไม่ใช่ว่า “เมืองไทยอย่างวันนี้ จะไปสร้างรัฐสวัสดิการได้อย่างไร” คำถามคือ อย่างนี้ “ไอ้เมืองไทย” อย่างวันนี้ ทำอย่างไรให้มันไม่ใช่อย่างวันนี้ได้ไหม ถ้าเมืองไทยอย่างวันนี้ คุณก็อาจจะต้องตอบว่า “คุณก็ไปโยกเอาภาษีรายได้ของบริษัทยักษ์ใหญ่ลงไปให้ชาวไร่ชาวนาสิ” ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมได้ถูกไหม เพราะว่ารัฐคุมโดยใคร ทุนกับอำนาจรัฐมันเป็นหนึ่งเดียวกัน จะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง ก็คือคุณต้องทำให้คนส่วนใหญ่มีปัญญาจ่ายภาษีด้วย คนส่วนใหญ่จะมีปัญญาจ่ายภาษีได้อย่างไร คุณต้องทำให้ฐานะเขาดีขึ้น พูดอีกอย่างก็คือว่า คุณต้องสร้างคนชั้นกลางขึ้นมาเยอะๆ ชาวไร่ชาวนาอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องทำให้เป็นคนชั้นกลาง คุณต้องทำให้ชนชั้นกลางเป็นคนข้างมากของสังคม และคนเหล่านี้ก็จะจ่ายภาษีอะไร และความเหลื่อมล้ำมันก็จะน้อยลง ซึ่งผมคิดว่ามันต้องใช้เวลา

อย่าไปบอกว่า ณ วันนี้เราต้องโยกเอาของคนนั้นมาให้คนนี้ มันจะเกิดการต่อสู้ทางการเมือง มันจะเกิดการต่อต้านทางการเมืองสูงมาก แต่จะต้องมองในมุมที่ไม่หยุดนิ่ง แต่มองในมุมที่เคลื่อนไหว ว่าเราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างไร เราจะต้องขอให้เกิดการเคลื่อนไหวทางชนชั้นอย่างไร ในอดีตที่ผ่านมา เราล๊อกคนจนให้จนตลอด เพื่อให้ได้รับการสงเคราะห์ เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือ ไม่งั้นเราไม่ได้ทำบุญ คนรวยไม่ได้ทำบุญ แต่ว่าจริงๆ แล้วสิทธิของคนงาน ของคนเรามันรวมทั้งสิทธิในการที่จะยกระดับมาให้เสมอหน้ากับคนอื่น ถ้าคนชั้นกลางมีมากขึ้น ก็เก็บภาษีได้มากขึ้น เก็บภาษีได้มากขึ้นความขัดแย้งก็ไม่ได้มากอย่างที่คิดว่า คุณจะต้องไปหักคอเศรษฐีมาให้ชาวนา มันอาจจะไม่ใช่แล้ว

ผมคิดว่าพูดถึงรัฐสวัสดิการอาจจะต้องพูดให้มองในมุมกว้าง และมองในมุมทางการเคลื่อนไหวทางชนชั้นด้วย และกะว่าจะต้องทำ ต้องมุ่งมั่นทำอันนี้สำคัญ อีกอย่างก็คือ อยากจะย้ำคำว่าสวัสดิการไม่ได้แปลว่าสงเคราะห์ แต่ว่าสิทธิ “สิทธิของความเป็นพลเมือง”

[:]