การแก้ไขสนธิสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เหตุแห่งการทำ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้นเป็นจุดเปลี่ยนของสยามในหลายลักษณะ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และระบบราชการของประเทศ โดยหนึ่งในเรื่องที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ “การเสียเอกราชทางการศาล”

เนื่องจากสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์โดยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในการบังคับใช้กฎหมายเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ประมาณอีก 12 ประเทศที่ได้จัดทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

แม้โดยเนื้อวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาเบาว์ริงจะมีวัตถุประสงค์ในฐานะสนธิสัญญาทางการค้าพาณิชย์ แต่เนื้อหาของสนธิสัญญาโดยส่วนใหญ่มีการพูดถึงเรื่องการค้าไว้เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น (สาระและใจความเกี่ยวกับการค้าจะปรากฏตามข้อ 1 ข้อ 4 และข้อ 8 ซึ่งพูดถึงการรับรองการค้าเสรีกับการไม่จำกัดสิทธิของคู่ค้า และการไม่เก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและไม่เกินร้อยละ 3) 

สำหรับข้ออื่นๆ อีกประมาณ 9 นั้น เน้นเรื่องความคุ้มครองคนในบังคับของของสหราชอาณาจักรและการตั้งสถานีการค้า ห้างร้านและบริษัท โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจคือ การจำกัดเขตอำนาจของศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรในข้อ 2 และ 3 ความดังต่อไปนี้

ภาพ: เนื้อหาในหนังสือสนธิสัญญาเบาว์ริง ข้อ 2 
ที่มา: The National Archives, United Kingdom.

“ข้อ 2 ว่าบันดาการงานของคนที่อยู่ในบังคับอังกฤษซึ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องฟังบังคับบันชาของกงซุนที่เข้ามาตั้งอยู่ ณกรุงฯ กงซุนจะได้ทำหนังสือสัญญานี้ แลข้อหนังสือสัญญาเก่าที่มิได้ยกเสียจงทุกประการแล้ว จได้บังคับบันชาคนในบังคับอังกฤษให้ทำตามด้วย 

แล้วกงซุนจรับรักษากดหมายการค้าขาย แลกดหมายที่จะห้ามปรามมิให้คนที่อยู่ในบังคับอังกฤษทำผิดล่วงเกินกดหมายของอังกฤษกับไทที่มีอยู่แล้ว แลจะมีต่อไปพายน่า ถ้าคนอยู่ในบังคับอังกฤษ จะเกิดวิวาทกันขึ้นกับคนอยู่ในบังคับไท กงซุนกับเจ้าพนักงานฝ่ายไทจะปฤกษาชำระตัดสินคนอยู่ในบังคับอังกฤษทำผิด กงซุนจะทำโทษตามกดหมายอังกฤษ คนอยู่ในบังคับไททำผิดไทจะทำโทษตามกดหมายเมืองไท 

ถ้าคนอยู่ใต้บังคับไทเปนความกันเอง กงซุนไม่เอาเปนธุระ คนอยู่ในบังคับอังกฤษเปนความกันเอง ไทก็ไม่เอาเปนธุระ แลไทกับอังกฤษยอมกันว่า กงซุนซึ่งจเข้ามาตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานครนั้นยังไม่ตั้ง ต่อเมื่อทำหนังสือสัญญาตกลงๆ ชื่อกันแล้ว กำปั่นอังกฤษเข้ามาค้าขาย ณ กรุงเทพมหานคร ใช้ธงอังกฤษมีหนังสือสำหรับลำเปนสำคัญครบ ๑๐ ลำ หนังสือสัญญาปิด์ตราเฃ้ามาถึงเปลี่ยนกันแล้ว กงซุนจึ่งตั้งได้”[1]

ภาพ: เนื้อหาในหนังสือสนธิสัญญาเบาว์ริง ข้อ 3
ที่มา: The National Archives, United Kingdom.

“ข้อ 3 ว่าคนซึ่งอยู่ในบังคับไทจะไปเปนลูกจ้างอยู่ในบังคับอังกฤษก็ดี คนอยู่ในใต้บังคับไทที่มิได้เปนลูกจ้างก็ดี ทำผิดกดหมายเมืองไทจะหนีไปอาไศรยอยู่กับคนในบังคับอังกฤษซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีพยานว่าทำผิดหนีไปอยู่กับคนในบังคับอังกฤษจริง กงซุนจะจับตัวส่งให้กับเจ้าพนักงานฝ่ายไท

ถ้าคนอยู่ในบังคับอังกฤษที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนแลเข้ามาอาไศรยค้าฃายอยู่ในกรุงเทพมหานครทำผิด หนีไปอยู่กับคนในใต้บังคับไท ถ้ามีพยานว่าทำผิดหนีไปอยู่กับคนในบังคับไทจริง กงซุนจะฃอเอาตัวเจ้าพนักงานฝ่ายไทจะจับตัวส่งให้ ถ้าพวกจีนคนไรว่าเปนคนอยู่ในบังคับของอังกฤษไม่มีสำคัญสิ่งไรเปนพยานว่าเปนคนอยู่ในบังคับอังกฤษ กงซุนไม่รับเอาเปนธุระ”[2]

ในมุมมองของอังกฤษ ระบบกฎหมายของสยามในเวลานั้นมีปัญหาเนื่องจากเป็นระบบกฎหมายที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับการทำงานของกลไกตลาดดังจะได้กล่าวต่อไป การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นเป็นไปเพื่อมิให้นำกฎหมายของสยามในเวลานั้นมาใช้กระทบกับการค้าพาณิชย์ระหว่างสยามและสหราชอาณาจักร โดยข้อตกลงดังกล่าวได้กลายมาเป็นต้นแบบของประเทศอื่นๆ อีก 12 ประเทศที่ได้เข้ามาทำสนธิสัญญากับสยามและจำกัดเขตอำนาจศาลของสยามเหนือคนในบังคับของตน

การปฏิรูปกฎหมายภายใต้เงาของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

กระบวนการปฏิรูปกฎหมายเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ โดยจำกัดอำนาจทางการศาลของไทยเอาไว้ไม่ให้นำไปใช้กับคนในบังคับของสหราชอาณาจักร หรือประเทศซึ่งไทยได้เข้าทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าในลักษณะเดียวกันกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

ในทางประวัติศาสตร์กฎหมายไทยนั้น นักกฎหมายไทยที่ให้ความสนใจศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายโดยส่วนใหญ่ได้อธิบายการปฏิรูปกฎหมายไทยนั้นเป็นผลมาจากการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ดังเช่นในงานของ ‘แสวง บุญเฉลิมวิภาส’ ผู้บรรยายและนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์กฎหมายคนสำคัญของประเทศไทย ได้แสดงให้ความเห็นว่า “ในทางประวัติศาสตร์ เรามักจะกล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่หลายประเทศเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ต้องยอมรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกมาใช้ในระบบกฎหมายของตนว่าเนื่องมาจากปัญหาในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต จึงจำเป็นต้องปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย ซึ่งสาเหตุดังกล่าวก็เป็นเหตุผลและความจำเป็นที่มีอยู่ในเวลานั้น”[3]

การสรุปว่าการปฏิรูปกฎหมายภายใต้เงาของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว การปฏิรูปกฎหมายนั้นเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่สยามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกผ่านการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของสยามผูกพันกับระบบเศรษฐกิจของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นสยามจึงต้องปรับตัวเข้ากับระเบียบของโลกใหม่ (New World Order)

ระบบกฎหมายแบบเดิมของสยามที่วางรากฐานอยู่ตามคติพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งแสดงถึงพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์และไม่มีการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เนื่องจากภายใต้บริบทของ “กฎหมายตราสามดวง” ไทยที่รับอิทธิพลจากคติพราหมณ์-ฮินดู และถูกดัดแปลงด้วยบริบทการเมืองเฉพาะของสยามนั้น ไม่ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น กฎหมายตราสามดวงไม่ได้รับรองเสรีภาพทางเศรษฐกิจพื้นฐานอย่างระบบกรรมสิทธิ์ ภายใต้ระบบกฎหมายตราสามดวงของสยาม กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดเป็นของพระมหากษัตริย์ เพียงแต่ทรงอนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น[4] หรือ ระบบกฎหมายสัญญาที่ไม่ได้รับรองสิทธิของคู่สัญญาภายใต้สถานะที่เท่าเทียมกัน เป็นต้น 

หลักกฎหมายทั้งสองประการ เป็นพื้นฐานของโครงสร้างตลาดภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ในขณะที่กฎหมายอาญาก็ไม่ได้เน้นการลงโทษบุคคลที่กระทำการฝ่าฝืนการจัดสรรทรัพยากรโดยกลไกตลาด หากแต่เป็นการลงโทษเพื่อรักษาพระเดชานุภาพในการปกครองเท่านั้น และในแง่ของวิธีพิจารณาคดีที่ศาลใช้ก็เน้นการจารีตนครบาล ซึ่งเป็นรูปแบบของการลงโทษเพื่อให้ยอมรับสารภาพในความผิด[5]

บริบทดังกล่าวแสดงความไม่สอดคล้องของกฎหมายที่จะรองรับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่จะเข้ามา การปฏิรูปกฎหมายของสยามในช่วงแรกจึงกระทำโดยการนำกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษเข้ามาใช้ แต่ในท้ายที่สุดภายใต้การแนะนำของ ‘มงซิเออร์กุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์’ (Gustave Rolin Jaequemyns) หรือ ‘พระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ’

‘มงซิเออร์กุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์’ (Gustave Rolin Jaequemyns) หรือ ‘พระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ’เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชาวเบลเยียม ซึ่งมารับราชการในตำแหน่งที่ปรึกษาราชการทั่วไปของสยามประเทศเป็นเวลาถึง 9 ปี ได้แนะนำให้รัฐบาลสยามเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายเดิมซึ่งรัตนโกสินทร์ได้รับสืบทอดมาจากสมัยอยุธยา โดยการยกร่างประมวลกฎหมายขึ้นมาแบบประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งรัฐบาลสยามของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ดำเนินการจ้างนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมาเพื่อช่วยเหลือกุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์ เพื่อจัดทำประมวลกฎหมาย[6] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงและที่ปรึกษาชาวต่างชาติเป็นอย่างดี 

เว้นเสียแต่ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์’ และ ‘พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์’ จบการศึกษากฎหมายมาจากประเทศสหราชอาณาจักร มองว่าการจัดทำประมวลกฎหมายนั้นทำได้ยาก และใช้เวลานานในการเรียบเรียงกฎหมายให้เป็นระบบ อีกทั้งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ[7]

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดความเห็นของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็เป็นอันตกไป รัฐบาลสยามมุ่งมั่นในการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นมา และแม้จะล่าช้าด้วยความขัดแย้งภายในของคณะกรรมการร่างกฎหมาย แต่ในที่สุดประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทยก็สำเร็จ โดยรัฐบาลสยามได้ประกาศใช้ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127” เป็น “ประมวลกฎหมายฉบับแรก” และต่อมาได้ประกาศใช้ “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บางบรรพ”

‘ปรีดี พนมยงค์’ กับ ภารกิจการแก้ไขสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม

นาย ‘ปรีดี พนมยงค์’ มีความตระหนักและมีความตั้งใจที่จะแก้ไขสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ดังความเคยเล่าไว้ว่า

“ระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชากฎหมายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามหาอำนาจต่างชาติถือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม  ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ  

คนในสังกัดมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เพราะคดีที่มีคู่ความเป็นคนสังกัดต่างชาติเหล่านั้น จะต้องให้ศาลกงสุลหรือศาลคดีระหว่างประเทศตัดสิน ทั้งนี้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศสยาม 

ในศาลคดีระหว่างประเทศ คำวินิจฉัยของผู้พิพากษาชาติยุโรปจะมีน้ำหนักกว่าคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาชาวสยาม ข้าพเจ้าไม่พอใจการอำนาจอธิปไตยเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชอันสมบูรณ์โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม…”[8]

แม้ว่าประเทศสยามจะได้มีการปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยมากขึ้นพร้อมๆ กับการปรับปรุงระบบราชการให้มีความทันสมัย แต่ปัญหาการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขในทันที ดังเช่นที่มีผู้พยายามอธิบายและได้สร้างความเข้าใจผิดว่า ประเทศสยามสามารถแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่รัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ หรือบ้างก็ย้ำว่าได้แก้ไขอย่างเรียบร้อยและสมบูรณ์ไปแล้วในรัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’

อันเนื่องมาจากประเทศสยามเข้าร่วมมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับการพิจารณาและได้รับการรับรองแล้วว่ามีความเจริญตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ[9] แต่แท้ที่จริงแล้ว หากไม่มีการยอมรับการแก้ไขสนธิสัญญาร่วมกันระหว่างประเทศภาคีในสนธิสัญญาแล้ว อันความตกลงซึ่งได้ทำกันเอาไว้ก็ย่อมผูกพันกันต่อไป  

ดังนั้น เมื่อมีการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในมุมมองของนายปรีดีที่เห็นว่าปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตยังคงกัดกร่อนและกระทบกระเทือนต่อเอกราชสมบูรณ์ของประเทศสยาม ดังคำประกาศหลัก 6 ประการ ข้อที่ 1 ที่คณะราษฎรได้เคยประกาศไว้ว่า “จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง”

“คณะราษฎร” โดย ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ หรือ นาย ‘ปรีดี พนมยงค์’ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการแก้ไขบรรดาสนธิสัญญาที่สยามได้เคยทำเอาไว้และสร้างความไม่เสมอภาคทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ โดยเข้าเจรจากับประเทศต่างๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2480 – 2481 ซึ่งนายปรีดี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือ โมฆสงคราม ตอนหนึ่งว่า

“การดำเนินนโยบายการเมืองระหว่างประเทศสมัยพระยาพหลฯ ได้รับผลประจักษ์เป็นรูปธรรม โดยอาศัยวางพื้นฐานประชาธิปไตยภายในประเทศให้เป็นกำลังหลักของปวงชนชาวสยาม และการจัดทำประมวลกฎหมายครบถ้วนเป็นหลักประกันให้แก่ชาวสยามและชาวต่างประเทศที่เข้ามาพึ่งโพธิสมภาร อีกทั้งเราประคับประคองบรรยากาศสันติภาพไว้ให้ดี เราจึงเป็นฝ่ายกุมดุลแห่งอำนาจระหว่างประเทศไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับสยาม  

ดังนั้น เราจึงสามารถบอกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับ 12 ประเทศ แล้วเปิดการเจรจาทำสนธิสัญญาใหม่โดยถือหลักเสมอภาค, ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน, ความเป็นธรรม, ประโยชน์แก่กันและกัน   

นานาประเทศจึงเห็นใจเรายินยอมทำสนธิสัญญานั้น อันเป็นผลให้ปวงชนชาวสยามมีความเป็นเอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์ทุกประการ ศาลต่างประเทศและศาลกงสุลได้ยกเลิกไป ศาลสยามมีอำนาจเต็มที่ในการชำระคดีของคนต่างประเทศด้วย”[10]

กล่าวโดยสรุป ผลประการหนึ่งของการเข้าทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น แม้จะมีผลเป็นการทำให้สยามเปิดตลาดเข้าสู่ตลาดโลกผ่านการค้ากับสหราชอาณาจักร แต่ก็ทำให้สยามมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามเนื้อหาของสนธิสัญญาโดยจำกัดอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของอังกฤษ เนื่องมาจากกฎหมายไทย ไม่สอดคล้องกันกับระเบียบของโลกในเวลานั้นที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ยุโรป และการเติบโตของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม  

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาประเทศสยามก็สามารถดำเนินการปฏิรูปกฎหมายสำเร็จ แต่สถานะความไม่เสมอภาคนั้นยังคงดำเนินอยู่ต่อไปจนกระทั่งภายหลังเมื่อรัฐบาลคณะราษฎรได้เข้ามาบริหารประเทศ และได้ดำเนินนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ผ่านการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคและจัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้นแทนที่ สยามประเทศจึงได้เอกราชกลับคืน ดังปณิธานของคณะราษฎรที่มุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยสมบูรณ์

อ่าน: สนธิสัญญาเบาว์ริง” ต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ประเทศอังกฤษ (The National Archives, United Kingdom) จัดทำเอกสารและถ่ายภาพโดย อาจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

Infographic: การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคทำให้ไทยได้รับเอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ โดย กุลพัชร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

หมายเหตุ: จัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


[1] คัดลอกความจากต้นฉบับสนธิสัญญาเบาว์ริง จาก The National Archives, United Kingdom.

[2] คัดลอกความจากต้นฉบับสนธิสัญญาเบาว์ริง จาก The National Archives, United Kingdom.

[3] แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย (พิมพ์ครั้งที่ 13, วิญญูชน 2557) 136.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ‘กรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 12 มีนาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/03/635&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และ คงสัจจา สุวรรณเพ็ชร, “อ่านประวัติศาสตร์พระปฐมบรมราชโองการ (ใหม่) : คันฉ่องสะท้อนนัยยะทางกฎหมายและการเมืองของกษัตริย์และสยามสมัยใหม่” แปลโดย อัญชลี มณีโรจน์ (2563) 18 ฟ้าเดียวกัน 2, 18 – 19.

[5] แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, (เชิงอรรถที่ 3) 141 – 142.

[6] เพิ่งอ้าง 203.

[7] เพิ่งอ้าง 203 – 204.

[8] ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธาณรัฐราษฎรจีน (แปลโดย พรทิพย์ โตใหญ่ และ จำนง ภควรวุฒิ, เทียนวรรณ 2529) 18 อ้างใน พระกษิดิศ สุหชฺโช, ‘การยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต: จากกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถึงนายปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 สิงหาคม 2563) < https://pridi.or.th/th/content/2020/08/371 > สืบค้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564.

[9] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ใน คำนำของหนังสือการสิ้นสุดแห่งสภาพนอกอาณาเขตต์ในกรุงสยาม ตีพิมพ์ครั้งที่ 3 โดย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2547 หน้า 11; อ้างใน พระกษิดิศ สุหชฺโช, เพิ่งอ้าง.

[10] เพิ่งอ้าง.

บทความที่เกี่ยวข้อง

สนธิสัญญาเบาว์ริง: หนังสือสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องระหว่างราชอาณาจักรสยามกับสหราชอาณาจักร

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th


ภาพ: ปกด้านหน้าของ สนธิสัญญาเบาว์ริง
พร้อมตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
ที่มา: The Nation Archives, UK

สนธิสัญญาเบาว์ริงคืออะไร

“สนธิสัญญาเบาว์ริง” หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม” ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่าอังกฤษกับประเทศไทยหรือสยามในเวลานั้น[1]

ส่วนชื่อ สนธิสัญญาเบาว์ริง นั้น มาจากข้อความบนปกสมุดไทย (สมุดข่อย) ซึ่งใช้ชื่อว่า “หนังสือสัญญาเซอร์ยอนโบวริง”[2] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้าและพาณิชย์เพื่อเปิดการค้าเสรีระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักร

สนธิสัญญาฉบับนี้ไม่ใช่สนธิสัญญาการค้าและพาณิชย์ระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรเป็นฉบับแรก โดยก่อนหน้านั้น สยามได้เคยทำสนธิสัญญากับสหราชอาณาจักรขึ้นแล้วในช่วงปี พ.ศ. 2369 คือ “สนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรสยามกับสหราชอาณาจักร” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สนธิสัญญาเบอร์นีย์” ซึ่งตั้งตามชื่อของ ‘เฮนรี เบอร์นีย์’ พ่อค้า-นักเดินทาง-นักการทูตของบริษัท บริติช อีสอินเดีย ซึ่งทำขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


ภาพ: สำเนาสนธิสัญญาเบอร์นีย์
ที่มา: วิกิพีเดีย

ความแตกต่างระหว่างสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสนธิสัญญาฉบับอื่น

ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับประเทศยุโรปตะวันตก จะเห็นได้ว่าสยามและประเทศทางแถบยุโรปตะวันตกมีความสัมพันธ์กันมาเป็นเวลานาน จากเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก เช่น ในสมัยอยุธยาได้มีการทำการค้ากับโปรตุเกส ฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) หรือเคยรับคณะทูตจากราชอาณาจักรสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น ซึ่งในสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นก็มีเนื้อหาที่แตกต่างกับสนธิสัญญาเบอร์นีย์ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศที่ผ่านมานั้น มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น กรณีของโปรตุเกสกับฮอลันดา มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อทำการค้ากับสยามเท่านั้น หรือ กรณีของฝรั่งเศส ที่มุ่งจะเผยแพร่ศาสนาตามพันธกิจและคตินิยมของกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์คริสตศานาในเวลานั้น เป็นต้น

เป้าหมายของการทำสนธิสัญญาในช่วงรัตนโกสินทร์นั้นเปลี่ยนแปลงไป การค้าขายกับพระคลังสินค้าสร้างความยากลำบากให้กับประเทศยุโรปตะวันตก เนื่องจากพระคลังสินค้าคอยเอาเปรียบและโก่งราคาสินค้า อีกทั้งยังเก็บภาษีซ้ำซ้อน ทำให้ราคาสินค้าที่ต้องซื้อจากสยามมีราคาแพง

ในขณะเดียวกัน บริบทของการค้าในเวลานั้น ต่างถูกควบคุมด้วย “พระคลังสินค้า” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา เนื่องจากในเวลานั้นพระคลังสินค้าได้ทำการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศเอาไว้กับพระคลังสินค้า[3] และพ่อค้ายุโรปตะวันตกไม่สามารถเลือกที่จะทำการค้าโดยไม่ผ่านพระคลังสินค้าได้

แม้ความตั้งใจแรกของสหราชอาณาจักรเมื่อเข้ามาตกลงทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับสยามจะมีความตั้งใจที่จะให้สยามเปิดเสรีการค้า โดยยกเลิกบทบาทการผูกขาดทางการค้าโดยพระคลังสินค้า และแก้ไขปัญหาภาษีดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทว่า ในท้ายที่สุดความตั้งใจในเวลานั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

อย่างไรก็ตาม ผลของการเจรจาในครั้งนั้นก็คือ หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยามฉบับแรก ซึ่งประกอบด้วยความตกลงร่วมกันทั้งหมด 14 ข้อ โดยเนื้อหาในข้อ 1 – 4 จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสยามและสหราชอาณาจักรในเรื่องเขตแดนและคนในบังคับของสหราชอาณาจักร และในข้อ 5 – 14 จะเป็นเรื่องในทางการค้า ด้วยเหตุที่เจรจาในครั้งนั้นยังไม่สำเร็จสมความตั้งใจรัฐบาลสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมาจึงได้ติดต่อเข้ามาเพื่อทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่

การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

การทำ สนธิสัญญาเบาว์ริง นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากความตั้งใจที่ยังไม่บรรลุสมใจหมายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร  ฉะนั้น เมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคตแล้ว และรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้รับสัญญาณจากสยามว่าอยากให้มีการเจรจาทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่ รัฐบาลสหราชอาณาจักรจึงได้แต่งตั้งให้ ‘เซอร์จอห์น เบาว์ริง’ ณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงเกาะฮ่องกงเดินทางมายังราชอาณาจักรสยามเพื่อทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่


ภาพ: เซอร์จอห์น เบาว์ริง

การทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่นั้นมีการลงนามกันใน วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2399 ณ ราชอาณาจักรสยาม เนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับนี้คือ การผนวกรวมเอาเนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับก่อน (เบอร์นีย์) ประกอบเข้ากับเนื้อหาของสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยมีจุดเน้นย้ำสำคัญที่แตกต่างจากสนธิสัญญาฉบับก่อนคือ การกำหนดให้สยามต้องเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งทำให้บทบาทของพระคลังสินค้าหมดลง และกำหนดสินค้าควบคุมไว้เฉพาะฝิ่นเท่านั้นที่จะต้องขายให้กับรัฐบาล และมีการเจรจาตกลงกันในเรื่องภาษีโดยกำหนดห้ามมิให้สยามเก็บภาษีซ้ำซ้อนและเก็บภาษีไม่เกินร้อยละ 3


ภาพ: เนื้อหาบางส่วนในสนธิสัญญาเบาว์ริง

อย่างไรก็ตาม ผลสำคัญที่เป็นผลพลอยเกิดขึ้นไปด้วยก็คือ ภายใต้สนธิสัญญาฉบับนี้รัฐบาลสยามต้องยอมรับเขตอำนาจศาลของอังกฤษเหนือเขตอำนาจศาลไทยในบุคคลภายใต้บังคับของสหราชอาณาจักร ซึ่งคนทั่วไปอาจเรียกกันว่าเป็น การเสียเอกราชทางการศาล หรือ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

ด้วยเหตุว่าในเวลานั้นกฎหมายที่สยามใช้ มีลักษณะเป็นจารีตนครบาลซึ่งในมุมของประเทศยุโรปตะวันตกมองว่า วิธีการดังกล่าวนั้นล้าสมัยและไม่ส่งเสริมการขยายตัวทางการค้า การขอยกเว้นเขตอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งผลประการหนึ่งจากการยกเว้นเขตอำนาจศาลไทยเหนือคนในบังคับของสหราชอาณาจักรถูกถ่ายทอดมาสู่ประเทศไทยและกลายเป็นรากฐานธรรมเนียมทางการค้าของไทยในเวลาต่อมา

ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริง

ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบในหลายลักษณะ ทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและทางการเมือง  (อ่าน: ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม)

อย่างไรก็ตาม ในแง่สำคัญที่สุดก็คือ สนธิสัญญาเบาว์ริงกลายเป็นต้นแบบของการทำสนธิสัญญาอีกหลายฉบับที่ประเทศยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นได้เจรจาขอเข้ามาทำกับประเทศไทยในลักษณะเดียวกัน ซึ่งนักวิชาการบางคนเรียกสนธิสัญญาในลักษณะดังกล่าวว่าเป็น สนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค โดยรวมแล้วรัฐบาลสยามได้ทำสนธิสัญญาไว้ทั้งสิ้น 12 ฉบับ ดังนี้[4]

ประเทศวันที่ (นับแบบเก่า)การทำหนังสือสัญญา
สหรัฐอเมริกา29 พฤษภาคม พ.ศ. 2399ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
ฝรั่งเศส15 สิงหาคม พ.ศ. 2399ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
เดนมาร์ก29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
โปรตุเกส10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2401ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
สันนิบาตฮันเซอ (รัฐอิสระในเยอรมนี)25 ตุลาคม พ.ศ. 2403ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
เนเธอร์แลนด์29 ธันวาคม พ.ศ. 2403ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
ปรัสเซีย7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404ส่งทูตมายังกรุงเทพมหานคร
นอร์เวย์18 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ (เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
เบลเยียม29 สิงหาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
อิตาลี29 พฤษภาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
โปรตุเกส3 ตุลาคม พ.ศ. 2401ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี17 พฤษภาคม พ.ศ. 2402ทำสัญญาโดยผ่านทางพระยามานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ
(เอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป)

ดังนั้น หากเราพิจารณาต่อสนธิสัญญาเบาว์ริงในมิติของความมั่นคงแต่เพียงถ่ายเดียว การเกิดขึ้นของสนธิสัญญาที่ราชสำนักสยามจำยอมต้องลงนามตามข้อตกลง เพราะครั่นคร้ามต่ออิทธิพลของชาติมหาอำนาจใหม่จากดินแดนตะวันตก ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเหนือรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการคุกคาม ให้สยามต้องสูญเสียการควบคุมสิทธิการค้าที่แต่เดิมถูกผูกขาดไว้เฉพาะเพียงชนชั้นนำ ผ่านกลไกการควบคุมของ “พระคลังสินค้า”เปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบการค้าเสรี ที่บริษัทตัวแทนของชาติมหาอำนาจสามารถเข้าถึงสินค้าและเปิดโอกาสของสินค้าเข้าสู่สยามได้อย่างเสรี และนำมาสู่การเปิดทางให้สยามจำต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคต่อประเทศอื่นๆ อีก 12 ฉบับในเวลาต่อมา นั้นว่าเป็นผลเสียต่อผู้ปกครองสยาม แต่หากเราพิจารณาถึงคุณูปการของสนธิสัญญาเบาร์ริง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สยามได้รับความเปลี่ยนแปลงจากการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดเสรีที่ส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของสยามอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงย้อนกลับไปครั้งก่อนการลงนามได้อีกต่อไป

อ่าน: สนธิสัญญาเบาว์ริง” ต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ประเทศอังกฤษ (The National Archives, United Kingdom) จัดทำเอกสารและถ่ายภาพโดย อาจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

อ่าน: ทวิภพ The Siam Renaissance 2547: ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์และจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ตีตราสนธิสัญญาเบาว์ริง โดย เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

หมายเหตุ: จัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


[1] สนธิสัญญาฉบับนี้ทำขึ้นในวันที่ 6 เมษายน 2399 ในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่กับ (สยาม) และสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย (สหราชอาณาจักร).

[2] ปรามินทร์ เครือทอง, พระจอมเกล้า “King Mongkut” พระเจ้ากรุงสยาม (มติชน 2547) 169.

[3] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม’ https://pridi.or.th/th/content/2021/07/774 สืบค้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564.

[4] ชัย เรื่องศิลป์, ประวัติศาสตร์ไทย สมัย พ.ศ. 2352 – 2453 ด้านเศรษฐกิจ (โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ 2527) 181.

บทความที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีผลเป็นจุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศสยาม ทั้งในทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยยนแปลงต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในบทความนี้จะได้อธิบายถึงผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

ภาพของเศรษฐกิจสยามกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

แม้ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” จะมีผลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเปลี่ยน “ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ” มาเป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด” ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่เป็นกิจจะลักษณะและมีการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ในขณะที่นโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสยามประเทศก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจาก “การค้าแบบผูกขาด” โดยพระคลังสินค้าโดยเปลี่ยนไปเป็น “การค้าแบบเสรี”

“สนธิสัญญาเบาว์ริง” เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจสยามเข้ากับโลกเศรษฐกิจของยุโรป สภาพภูมิศาสตร์ของสยามมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการเพาะปลูกข้าวเพื่อตอบสนองอุปสงค์ข้าวจากตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น[1] โดยเฉพาะในฝั่งของราษฎรนั้น ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงมีนัยยะสำคัญต่อการกระตุ้นให้ราษฎรไทยทำการผลิตสินค้าโดยเฉพาะข้าวเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลกและทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่[2] อันดับต้นๆ ของโลก

อย่างไรก็ตาม ลักษณะการผลิตสินค้าของสยามนั้นเน้นไปที่สินค้าปฐมภูมิโดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งจะกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามไปจนกระทั่งทศวรรษที่ 1960 (นับแบบคริสตศักราช) ส่วนการผลิตน้ำตาลของสยามในเวลานั้น ยังอาศัยกระบวนการผลิตแบบกึ่งอุตสาหกรรม ทำให้ไม่อาจแข่งขันกับการผลิตน้ำตาลในฟิลิปปินส์หรือชวาได้ ทำให้ธุรกิจการขายน้ำตาลของสยามซบเซาลง[3]

ด้วยลักษณะของสินค้าปฐมภูมิที่ไม่ได้ผ่านกระบวนผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สินค้าไม่ได้มีราคาสูงมากนักเมื่อเทียบกับแรงงาน และทรัพยากรที่ใช้ไปกับการผลิตข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่มีการบุกร้างถางพงในพื้นที่ ซึ่งเป็นคลองรังสิตในปัจจุบัน และพื้นที่ภาคกลางของประเทศจึงถูกใช้เพื่อการเพาะปลูกข้าว พื้นที่ที่ราบภาคกลางจึงถูกดึงเข้าสู่โลกเศรษฐกิจของยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเจริญเติบโตจากการค้าของป่ากับโลกเศรษฐกิจของจีนก็เสื่อมถอยลงเพราะไม่อาจตอบสนองความต้องการของโลกเศรษฐกิจของยุโรป[4]

ภาพดังกล่าวจะกลายเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อไปในช่วงปี พ.ศ. 2473 และนำมาสู่การอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อตลาดแรงงานของรัฐสยาม

การเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยมได้ทวีความสำคัญของเงินตรา การเก็บภาษีอากร และการค้า ในขณะที่เกษตรกรรมและการควบคุมกำลังคนในฐานะแหล่งที่มาของทรัพย์สินและอำนาจกลับลดความสำคัญลง[5]

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตในสังคมสยามทำให้แรงงานมีความจำเป็นและสำคัญ ทว่า ในเวลานั้นแรงงานถูกยึดโยงอยู่กับระบบไพร่-ทาส ซึ่งสังกัดอยู่กับมูลนายตามระบบศักดินา

ดังนั้น “การยกเลิกระบบไพร่-ทาส” จะทำให้เกิดตลาดแรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการผลิตขึ้น[6] ทำให้ในเวลาต่อมาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีนโยบายในการเลิกระบบไพร่-ทาส ซึ่งเป็นการปลดปล่อยแรงงานให้เป็นอิสระสามารถเข้าทำงานในระบบการผลิตใหม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลมุ่งแสวงหาประโยชน์จากภาษีมากกว่า ซึ่งนำมาสู่แผนการปฏิรูปการคลังในการจัดเก็บภาษีในเวลาต่อมา ซึ่งจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาทางการคลังของประเทศที่มีมาจากระบบศักดินาดังจะได้อธิบายต่อในหัวข้อถัดไป

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อการคลังของรัฐสยาม

ผลของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ที่มีการกำหนดให้รัฐบาลสยามจะต้องไม่เก็บภาษีเกินร้อยละ 3 ทำให้รัฐบาลสยามไม่สามารถใช้นโยบายภาษีในการแสวงหารายได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือ การพัฒนาเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะภาษีค่อนข้างจำกัด[7] ประกอบกับลักษณะโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในช่วงปี พ.ศ. 2398 จนถึง พ.ศ. 2468 นั้น มีลักษณะยึดโยงอยู่กับระบบศักดินาเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

พระมหากษัตริย์ทรงแบ่งอำนาจในการจัดเก็บภาษีกระจายไปอยู่กับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงบางตระกูล/องค์ ทำให้การจัดเก็บภาษีเข้าท้องพระคลังทำได้น้อย เพราะขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงเหล่านั้นก็จะกันเงินบางส่วนที่เก็บได้จากการปฏิบัติหน้าที่มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานของตนและนำส่งเข้าพระคลังเพียงแต่น้อย ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้พระคลังไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย ในขณะที่บทบาทของพระคลังสินค้าลดลงจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้การจัดเก็บภาษีถูกกระจายไปอยู่กับขุนนางหลายกลุ่ม ดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

กลุ่มขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงภาษีอากร
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เสนาบดีกรมท่าภาษีฝิ่น อากรสุรา และอากรขาเข้าและขาออก
กรมหลวงวงศาธิราชสนิทภาษีอากรจากพระคลังสินค้า
พระยาพลเทพ เสนาบดีกรมนาอากรค่านา

โครงสร้างการจัดเก็บภาษีภายใต้ระบบศักดินาจึงเสมือนการแบ่งเค้กระหว่างชนชั้นนำของสยามมากกว่า ในขณะที่ราชสำนักและพระมหากษัตริย์จะได้รับเพียงเงินส่วนน้อยเท่านั้น ขุนนางผู้ใหญ่ถือว่าภาษีอากรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และใช้ทุกโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายเงินเข้าท้องพระคลัง โดยมองว่าการนำรายได้เข้าพระคลังเป็นจำนวนแน่นอนนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ[8]

ดังนั้น แม้เศรษฐกิจของสยามกำลังขยายตัวแต่พระคลังซึ่งเป็นแหล่งเก็บเงินแผ่นดินกลับได้ประโยชน์ในเรื่องนี้น้อยมาก ทำให้ในเวลาต่อจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทางการคลังใหม่โดยการรวมอำนาจการจัดเก็บภาษีไว้ที่หอรัษฎากรพิพัฒน์และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติแทน โดยเป็นเหตุผลในเชิงงบประมาณที่มารองรับการขยายตัวของระบบราชการใหม่ และสร้างประเภทภาษีรูปแบบใหม่เพื่อแสวงหารายได้เข้าสู่รัฐบาล

ผลกระทบในแง่ของการผลิตข้าวสินค้าสำคัญของรัฐสยาม

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง แรงงานและที่ดินทั้งหมดของสยามถูกจัดสรรไปเพื่อใช้ในการผลิตข้าวเพื่อการค้ามากขึ้นตามลำดับ กระบวนการผลิตแบบนี้ได้เข้ามาทดแทนวิถีชีวิตในการผลิตแบบเดิมที่เน้นให้ครัวเรือนเป็นหน่วยการผลิตเพื่อยังชีพและบริโภคภายในครัวเรือน เช่น การทำสินค้าหัตถกรรมแบบสิ่งทอ เป็นต้น

เมื่อสยามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกผ่านการค้าขายกับอังกฤษ การผลิตภายในครัวเรือนโดยเฉพาะสิ่งทอก็ถูกทำลายลงจากการตีตลาดโดยสินค้าต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากวิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม แรงงานส่วนใหญ่ที่เคยทำการผลิตสินค้าอื่นก็ถูกนำมาใช้กับการผลิตข้าว และด้วยความนิยมในการผลิตข้าวนั้นมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพราะเมื่อสยามได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริงและเปิดการค้าเสรีกับอังกฤษและยุโรป ผลที่ตามมาก็คือ การผลิตข้าวต้องใช้แรงงานจำนวนมากจึงเกิดการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานจากภูมิภาค อื่นๆ ของสยาม โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแต่เดิมได้ประโยชน์จากการค้าของป่ากับจีน

การผลิตข้าวเพื่อการส่งออกนั้นนำมาซึ่งนโยบายของรัฐสยาม 4 ประการที่มีผลต่อการขยายตัวและการเจริญเติบโตของการส่งออกข้าว[9]

ประการแรก การพัฒนาระบบการขนส่งระหว่างประเทศ กล่าวคือ ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เรี่ยกับการขุดคลองสุเอช (14 ปี หลังทำสนธิสัญญา) ทำให้เกิดการย่นระยะทางและค่าขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียตะวันออก ทำให้เกิดความต้องการข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้นทุนที่ลดลงจากการส่งสินค้าทำให้มีการนำมาใช้ลงทุนกับการนำเรือกลไฟมาใช้ในการขนส่งข้าวซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการส่งออกข้าวเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานชาวนาให้หันมาปลูกข้าวแบบรับจ้างแทนที่จะปลูกข้าวเพื่อบริโภคยังชีพ

ประการที่สอง การพัฒนาระบบขนส่งภายในประเทศ รัฐบาลได้ขุดคลองเพื่อสนับสนุนการผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยมีการขุดคลองมากกว่า 15 สาย เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ และที่ราบภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2403 – 2453 การขุดคลองเป็นจำนวนมากเพื่อให้ชาวนาผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยรัฐบาลได้ให้สัมปทานในการขุดคลองเป็นจำนวนมาก  นอกเหนือจากคลองแล้วรัฐบาลยังได้ลงทุนในการสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการเพาะปลูกแม้จะไม่เท่ากับเส้นทางคลอง

ประการที่สาม การเพิ่มขึ้นของประชากร โดยนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มีผลทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรของประเทศในเอเชียและยุโรปได้เพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ตลาดการบริโภคข้าวภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ประการที่สี่ นโยบายการเลิกไพร่-ทาส และนโยบายภาษีดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น

ดังจะเห็นได้ว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากในหลายมิติ และยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบริบททางการเมืองของสยาม

นโยบายหลายประการที่ดำเนินในช่วงเวลานั้น เชื่อมโยงกันทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทย จนกระทั่งในปัจจุบันภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม


[1] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย (อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ฟ้าเดียวกัน 2562) 63.

[2] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 15.

[3] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 63.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] เพิ่งอ้าง, 79.

[6] เพิ่งอ้าง, 90.

[7] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 14.

[8] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 66.

[9] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 16 – 21.

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทวิภพ The Siam Renaissance 2547: ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์และจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ตีตราสนธิสัญญาเบาว์ริง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อพูดถึง ‘ทมยันตี’ หรือ ‘วิมล ศิริไพบูลย์’ แล้วหลายคนอาจจะนึกถึงคู่กรรมซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความรักของหญิงสาวชาวไทยกับนายทหารชาวญี่ปุ่นโดยพื้นหลังของเรื่องเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สำหรับผู้เขียนแล้วยังมีงานวรรกรรมของทมยันตีที่ได้รับความนิยมมากไม่แพ้กับคู่กรรมก็คือ “ทวิภพ”

“ทวิภพ” เป็นงานวรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมไทย และได้รับการตีพิมพ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการผลิตซ้ำในรูปแบบสื่อภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครเวที 

โดยส่วนตัวนั้นสำหรับผู้เขียนแล้ว ทวิภพเวอร์ชั่นที่ประทับใจที่สุดก็คือ ภาพยนตร์ทวิภพ ปี พ.ศ. 2547 กำกับโดย ‘สุรพงษ์ พินิจค้า’ นำแสดงโดย ‘วนิดา เฟเวอร์’ ซึ่งเป็นที่มาของภาพประกอบและฉากที่ประทับใจของผู้เขียน

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ประทับใจและชื่นชอบเนื้อเรื่องนี้ นอกจากความรักโรแมนติกของ ‘มณีจันทร์’ และ ‘หลวงอัครเทพวรการ’ ที่มีให้กันเหนือความต่างด้านกาลเวลาแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะการสอดแทรกความรักชาติของวรรณกรรมชิ้นนี้ ซึ่งได้ปลุกจิตปลุกใจให้เกิดความรักชาติผ่านการแสดงพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยในการแก้ไขวิกฤตและการพาประเทศสยามผ่านพ้นวิกฤต 

โดยเฉพาะในช่วงท้ายของเรื่องที่เล่าถึงวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นวิกฤตสำคัญของประเทศและของมณีจันทร์ หากไม่นับการนำเสนอมุมมองของวรรณกรรมและบทประพันธ์รวมถึงมองข้ามเรื่องการสู้รบและคติชาตินิยมที่ปรากฏอยู่ตามท้องเรื่องโดยตลอดแล้ว ทวิภพยังมีพื้นหลังของเรื่องเป็นเหตุการณ์สำคัญคือ การตีตราใน “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษแลประเทศสยาม” หรือที่รู้จักกันว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ในปี พ.ศ. 2398 หรือในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นมีลักษณะเป็น 2 ระบบ กล่าวคือ การค้าภายในนั้นเป็นไปอย่างเสรี แต่ถ้าเป็นการค้ากับชาวต่างชาติจะมีลักษณะเป็นการค้าแบบผูกขาดที่ดำเนินการโดยพระคลังสินค้า ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าของประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองในช่วงอยุธยาตอนต้น โดยพัฒนามาจากการเก็บส่วยของรัฐบาล และเมื่อมีทรัพยากรเกินความต้องการจึงส่งไปขายยังต่างประเทศเพื่อหาเงินเข้ารัฐ

ในเวลาต่อมารูปแบบของการค้าผ่านพระคลังสินค้าเริ่มชัดเจนมากขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เริ่มมีการค้ากับโปรตุเกสเป็นครั้งแรก ซึ่ง ‘สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ’ ได้ทรงให้ความเห็นว่า การจัดตั้งพระคลังสินค้ามีวัตถุประสงค์มาจากไทยต้องการที่จะควบคุมและผูกขาดสินค้าที่ชาติตะวันตกนำมาขายโดยเฉพาะยุทธภัณฑ์ให้ขายกับรัฐบาลเท่านั้น

 รูปแบบการค้าแบบผูกขาดผ่านพระคลังสินค้าถูกใช้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งจากการค้าถูกผูกขาดเอาไว้เฉพาะชนชั้นนำของสยามคือ พระมหากษัตริย์ และบุคคลรอบข้าง เช่น เชื้อพระวงศ์และขุนนาง เป็นต้น ซึ่งการค้าในลักษณะดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อชาติตะวันตกและไม่เป็นผลดีต่อประชาชนชาวสยามด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เนื่องจากรัฐบาลเป็นสยามผูกขาดการค้าทั้งหมดไว้กับตนเอง ทำให้ราคาสินค้ามีเพียงราคาเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีบุคคลอื่นที่สามารถซื้อขายได้แล้วในประเทศนี้ 

เช่นเดียวกันกับประชาชนชาวสยาม เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่ชาวตะวันตกต้องการนำมาซื้อขายเป็นสินค้ามีค่า เช่น ข้าว ไม้สัก เครื่องเทศ และของป่า ซึ่งสร้างขึ้น หรือ หามาได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถูกบังคับว่าจะต้องขายให้กับรัฐบาลเท่านั้น อีกทั้งหากเป็นในช่วงอยุธยาตอนกลางจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นสินค้าเหล่านี้มักจะถูกเรียกเก็บในฐานะส่วยแทนการเกณฑ์แรงงานไพร่ตามระบบศักดินาของไทย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้น อังกฤษกับสยามได้มีการร่วมกันทำสนธิสัญญาขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วคือ “สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์” หรือที่รู้จักกันว่า “สนธิสัญญาเบอร์นี่” โดยมี ‘เฮนรี่ เบอร์นี่’ (Henry Burney) มาเป็นทูตในการเจรจา ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  

อย่างไรก็ตาม การเจรจาในครั้งนั้นไม่ได้มีนัยสำคัญเท่าไร ซึ่งภายหลังสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ทรงขึ้นครองราชสมบัติ รัฐบาลอังกฤษได้ทราบว่ามีความต้องการตกลงทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ จึงได้มีการส่ง ‘เซอร์ จอห์น เบาว์ริง’ (Sir John Bowring) ซึ่งเป็นข้าหลวงฮ่องกงเข้ามาเจรจาการค้ากับสยาม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเรื่องมีหลายฉากที่ได้เล่าถึงการเจรจาและการไม่ยินยอมภายใต้ข้อตกลงที่ทางอังกฤษเสนอมาโดยคณะผู้แทนไทยซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นมา

นัยสำคัญของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้นแตกต่างไปจากสนธิสัญญาฉบับก่อนๆ คือ การแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลอังกฤษ (และตัวของเบาว์ริงเอง) ที่ต้องการเปิดเสรีทางการค้ากับสยามโดยไม่ผ่านคนกลางอย่างพระคลังสินค้าเพื่อให้คนอังกฤษสามารถค้าขายได้อย่างอิสระปราศจากการกดราคาจากพระคลังสินค้า และห้ามการแทรกแซงการค้าระหว่างพ่อค้าอังกฤษกับเอกชนสยาม การตั้งสถานกงสุลอังกฤษ การกำหนดให้คนอังกฤษและคนในบังคับไม่อยู่ภายใต้อำนาจของศาลไทย และยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือ กำหนดอัตราภาษีขาเข้าและขาออกชัดเจนโดยเปลี่ยนมาเก็บภาษีร้อยละ 3 แทน การตีตราในสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นถือเป็นผลงานชิ้นสำคัญและความสำเร็จของเบาว์ริง

“…การค้าขายจะทำให้สยามเปลี่ยนจากป่ากลายเป็นสวน…ประเทศของข้าพเจ้า (อังกฤษ) ก็เคยเป็นป่ามาก่อน เรา (อังกฤษ) เจริญด้วยการค้า…”

– เซอร์จอห์น เบาว์ริง, ทวิภพ (พ.ศ. 2547)

ผลของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจไทยจากระบบเศรษฐกิจที่การผลิตเป็นไปเพื่อยังชีพมาเป็นการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พร้อมๆ กันกับการเข้ามาของธุรกิจต่างของชาติตะวันตกที่เข้ามาสนับสนุนการค้าที่ขยายตัวขึ้น เช่น ที่ทำการแทนธนาคาร เป็นต้น 

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เบาว์ริงคาดหมายไว้ โดยในคำบอกเล่าของเบาว์ริงเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าและเข้าพบผู้นำสยาม บทสนทนาระหว่างสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเบาว์ริงในบันทึกของเขาได้ระบุว่า 

พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “เราไม่ควรคาดหวังจากสยามมากเกินไป เพราะสยามยังเป็นป่าดงอยู่โดยมาก”

ข้าพเจ้ากราบบังคมทูลว่า “การค้าพาณิชย์จะทำป่าดงให้เป็นสวน และประเทศของข้าพเจ้า ซึ่งปัจจุบันเพาะปลูกอย่างดีแล้วนั้นก็เคยเป็นป่าดงมาก่อน”

 พระองค์จึงตรัสว่า “ประเทศของท่านนั้นเป็นสวน ข้าพเจ้าจึงกราบบังคมทูลว่า ‘เราเจริญก้าวหน้าได้เพราะการค้า…”

ซึ่งบทสนทนานี้ได้ถูกดัดแปลงและนำไปกล่าวถึงในภาพยนตร์ทวิภพด้วยเช่นเดียวกัน

นอกเหนือจากการเปิดเสรีทางการค้าแล้ว นัยสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริงที่เกิดขึ้นกับสยามคือ “การปฏิรูปประเทศสยาม” ในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการสร้างระบบราชการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นการแทนที่ระบบศักดินาด้วยระบบราชการสมัยใหม่ และนอกจากนี้ เมื่อสยามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกผ่านการค้ากับอังกฤษแล้ว การผลิตแบบยังชีพจึงไม่เพียงพออีกต่อไประบบไพร่-ทาส ซึ่งเป็นระบบที่กีดขวางแรงงานจากตลาดแรงจึงถูกยกเลิกลงในเวลาต่อมา เพื่อให้แรงงานเข้าสู่การผลิตสินค้าส่งออกสำคัญคือ “ข้าว” และนำไปสู่นโยบายการขุดคลองทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานครเพื่อทำการเพาะปลูกข้าวส่งออก ซึ่งถ้าหากมองในมุมมองนี้ การล้มเลิกระบบไพร่-ทาส จึงมากไปกว่าแค่พระปรีชาญาณเท่านั้น หากแต่มีบริบททางเศรษฐกิจรองรับ

 อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงที่ทำให้สยามเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในการบังคับใช้กฎหมายกับคนอังกฤษและคนในบังคับของอังกฤษนั้นในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นข้อสัญญามาตรฐานที่ถูกไปใช้ในการเจรจาสนธิสัญญาระหว่างสยามกับชาติตะวันตกอื่นๆ ต่อไปด้วย และอัตราภาษีที่กำหนดไว้ต่ำเพียงไม่เกินร้อยละ 3 ก็ทำให้สยามมีปัญหาในการใช้นโยบายภาษีเพื่อแสวงหารายได้

“ทวิภพ” พ.ศ. 2547 เป็นทวิภพในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา เพราะสามารถเก็บเรื่องราวและรายละเอียดของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี และนำมาฉายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงชั่วโมงเศษ โดยรักษาสมดุลระหว่างเรื่องรักโรแมนติกของหนุ่มสาวที่ห่างกันด้วยเวลา กับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มิได้ตกหล่นไปเลยแม้แต่น้อย

หมายเหตุ ทวิภพ เวอร์ชั่นภาพยนตร์ ออกฉายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 นำแสดงโดย วนิดา เฟเวอร์ รับบท มณีจันทร์ รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง รับบท หลวงวิจิตรวาทการ กำกับภาพยนตร์โดย สุรพงษ์ พินิจค้า เขียนบทโดย สุรพงษ์ พินิจค้า วิมล ศิริไพบูลย์ และภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์


อ้างอิง

  • พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย, (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2564)
  • นันทนา กปิลกาญจน์, ผลกระทบของระบบผูกขาดทางเศรษฐกิจที่มีต่อสังคมเกษตรกรรมไทย: สมัยอยุธยาจนถึงสนธิสัญญาเบาว์ริง .ศ. 2398, (โอ. เอส. พริ้นติ้งส์ เฮ้าส์, 2398)
  • กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วิวัฒนาการรัฐไทย, (ฟ้าเดียวกัน, 2562)
  • วีระ สมบูรณ์, ‘การค้าเสรี: จากอดัม สมิธ ถึง เบาว์ริง’ (สัมมนาลุ่มแม่น้ำโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก ในวันที่ 25 – 26 มกราคม 2549 ณ ห้องประชุมโรงแรมรอยัลแม่โขง จังหวัดหนองคาย) <http://www.openbase.in.th/files/ebook/textbookproject/seminakong003.pdf> สืบค้นเมื่อ 14 กรกฎาคม 2564.