เมื่อสื่อวาย (Y) เติบโต ในขณะที่สิทธิความหลากหลายทางเพศถูกละเลย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในขณะสื่อวายกำลังเติบโตในสังคมไทย ทว่า สถานการณ์สิทธิความหลากหลายทางเพศกลับถูกละเลย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างการยอมรับพื้นที่ความหลากหลายทางเพศระหว่างในมิติของความบันเทิงกับในชีวิตจริง

สื่อ (แนว) วาย (Y) คืออะไร

(แนว) วาย (Y) เป็นคำย่อที่นำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกัน (homosexual) โดยพื้นฐานของคำว่า วาย (Y) มาจากคำในภาษาญี่ปุ่น 2 คำ คือคำว่า やおい” (Yaoi: ยาโออิ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน และ 百合” (Yuri: ยูริ) ซึ่งใช้เรียกสื่อบันเทิงที่มีการนำเสนอความสัมพันธ์และความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง  

แม้วายจะถูกนำมาใช้เรียกสื่อประเภทคนรักเพศเดียวกันก็ตาม แต่เดิมความมุ่งหมายของสื่อแนววายไม่ใช่เรื่องของ เพศวิถี (sexuality) ของบุคคล หากแต่เป็นประเภทของเรื่องเล่า (narrative) ประเภทหนึ่งที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรักของคนที่มี เพศกำเนิดเดียวกัน (sex) มากกว่าจะพูดถึงเรื่องเพศวิถีของบุคคลโดยตรง  

ฉะนั้น แต่เดิมเมื่อพูดถึงสื่อแนววาย ตัวละครและความสัมพันธ์อาจจะไม่ใช่คู่รักเกย์เสมอไป (สิ่งนี้ทำให้บางอย่างที่ดูคล้ายจะเป็นสื่อวายก็อาจจะไม่ใช่) และสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ สื่อวายไม่ค่อยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

การเติบโตของอุตสาหกรรมวายมีความเป็นมาอย่างไรในประเทศไทย

ในประเทศไทยแต่เดิมนั้น สื่อแนววายนั้นเป็นพื้นที่เฉพาะกลุ่ม (niche market) ของคนที่เรียกว่า “สาววาย”ซึ่งการบริโภคสื่อวายแต่เดิมถูกจัดประเภทให้เป็นเช่นเดียวกันกับสื่อลามกอนาจาร ที่ผู้บริโภคจะต้องทำแบบลับๆ โดยไม่สามารถโชว์ หรือ นำเสนอสินค้าบนแผงหน้าร้านได้อย่างชัดเจน และเปิดเผยแบบในปัจจุบัน 

กระแสความนิยมและการยอมรับของสื่อค่อยๆ พัฒนาขึ้นในสังคมไทย ในช่วงประมาณปี 2557 เป็นต้นมา ปัจจุบันสื่อแนววายมักปรากฏตัวอยู่ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การ์ตูน นิยาย ภาพยนตร์ ซีรีส์ และละครโทรทัศน์ เป็นต้น 

สื่อวายได้การตอบรับอย่างดีมากจากสังคมวงกว้างในฐานะสื่อบันเทิงประเภทหนึ่งโดยไม่จำกัดเฉพาะสาววายอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อแนววายดัดแปลงจากนิยายมาสร้างเป็นซีรีส์ มักจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษจากฐานนักอ่านเดิมที่เข้ามาสนับสนุน และฐานแฟนคลับใหม่จากความนิยมในตัวนักแสดงคนนั้นๆ

ตัวอย่างของซีรีส์วายที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมาจากการดัดแปลงมาจากนิยายวาย เช่น Love Sick the Series (รักวุ่น วัยรุ่นแสบ) เดือนเกี้ยวเดือน (2 Moons the series) Sotus the series (พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง) เกลียดนักมาเป็นที่รักกันซะดีๆ (Tharn Type) นิทานพันดาว และ เพราะเราคู่กัน (2gether the Series) เป็นต้น

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่เห็นชัดสุดของการเติบโตของสื่อประเภทวายในประเทศไทยก็คือ เมื่อเราเปิดเข้าไปในแอพพลิเคชันประเภทวีดีโอสตริมมิ่ง (Video Streaming) เช่น LINE TV WeTV และ Netflix เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการนำเสนอซีรีส์ หรือ ภาพยนตร์สั้นที่เป็นสื่อแนววายจำนวนมาก โดยในปีๆ หนึ่งมีการพยายามนำผลิต และเผยแพร่ซีรีส์วายมากกว่า 24 เรื่อง (เฉลี่ยเดือนละ 2 เรื่องโดยประมาณ) (สำหรับซีรีส์ตอนยาวโดยไม่รวมมินิซีรีส์) จากค่ายสื่อขนาดใหญ่ที่พร้อมกันกระโจนเข้าสู่ตลาดซีรีส์วาย และแม้แต่กระทั่งช่องโทรทัศน์ในอุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมก็เริ่มพยายามลงเนื้อหา (Content) ในผังรายการโทรทัศน์ของตัวเองด้วยละครโทรทัศน์แนววาย (แม้จะเอาไปลงช่วงดึกมากๆ ก็ตาม) 

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนปัจจัยการส่งเสริมมาจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสื่อประเภทนี้ ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศ แต่สื่อวายไทยนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก และถูกส่งออกไปต่างประเทศในฐานะสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศจีน พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งจากการประเมินของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่า มูลค่ารวมเฉพาะของประเทศไทยรวมกันอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท

ไม่ใช่เพียงแค่สื่อบันเทิงประเภทซีรีส์เท่านั้นที่สร้างรายได้ และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ อุตสาหกรรมสื่อวายได้ขยายวงออกไปสู่การผลิตสินค้าสำหรับแฟนคลับ (loyalty) เช่น ตุ๊กตา นิยาย โฟโต้บุ๊ค โปสการ์ด และสติกเกอร์ไลน์ เป็นต้น โดยของที่ระลึกทั้งหมดดังที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการชื่นชมนักแสดงที่ตนชื่นชอบ บริษัทสื่อรายใหญ่จำนวนมากในประเทศสามารถต่อยอดธุรกิจบันเทิงของตนจากนักแสดงในซีรีส์แนววายโดยการขายประสบการณ์ให้กับแฟนคลับทั่วโลกผ่าน visual fan meeting เช่น กรณีของ Global Live Fan Meeting ของคู่นักแสดงไบร์ท-วิน จากซีรีส์คู่กันที่สามารถดึงดูแฟนคลับได้ถึง 93 ประเทศ มียอดการกดหัวใจมากถึงพันล้านดวง และมียอดรีทวีตถึง 2 ล้านกว่าทวีตจากแฟนคลับทั่วโลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อแนววายนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมาก และแม้แต่กระทั่งรัฐบาลเองก็มีท่าทีที่สนใจเป็นอย่างมาก และอยากกระโดดเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ โดยพยายามออกนโยบายสนับสนุนให้มีการผลิตเนื้อหาแนววายมากขึ้นเพื่อส่งออก

คำถามสำคัญ คือ เมื่อสื่อแนววายในประเทศ ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคเอง หรือ ในฝั่งของธุรกิจเอง ได้รับการตอบรับและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ทำไมอุตสาหกรรมวายดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเลย

สาเหตุสำคัญที่อุตสาหกรรมวายดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยเลย สิ่งนี้ทำให้กลับไปหาพื้นฐานที่ว่า แนววายเป็นประเภทเรื่องเล่าเท่านั้นไม่ใช่เพศวิถีของบุคคล แนววายจึงเป็นเพียงแค่เรื่องแต่ง (fiction) ซึ่งอาจจะไม่ต้องสะท้อนนัยของการเคลื่อนไหว การต่อสู้ และการยอมรับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ 

ในทางตรงกันข้าม แนววายในประเทศนั้น ได้รับอิทธิพลจากแนววายดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นเหมือนเรื่อง แฟนตาซี (หมายถึงการไม่ยึดโยงกับความเป็นจริง) โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง คือ ความรักเป็นนิรันดร์แบบอุดมคติ และความรักจะทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคใดๆ ไปก็ได้ โดยไม่สนใจว่าสภาพความเป็นจริงทางสังคม (social reality) ว่าสังคมมีการยอมรับหรือสถานการณ์สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นอย่างไร

วิถีชีวิตของคน LGBTQs (สิ่งนี้ยังรวมถึงความงามในอุดมคติที่อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และสร้างภาพหลอกว่าคนเป็น LGBTQs ต้องมีภาพแทนในลักษณะดังกล่าวเท่านั้น) เป็นเช่นไร สื่อวายในยุคแรกๆ ของประเทศไทย จึงมีลักษณะไม่ต่างกับนิยายรักโรแมนติกที่เอาตัวละครเอกผู้หญิงมาแต่งตัวเป็นผู้ชายหรือเอาตัวละครเอกผู้ชายมาแต่งเป็นผู้หญิงเท่านั้น  ทั้งๆ ที่ประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นไปไกลเกินกว่าจะมาจำกัดด้วยเพียงแค่บทบาททางเพศที่นำเสนอ

นอกเหนือจากเรื่องความแฟนตาซีของนิยาย และสื่อวายแบบดั้งเดิมแล้ว จะเห็นได้ว่าสื่อวายแบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของสิทธิของคนหลากหลายทางเพศ เพราะด้วยแก่นกลางของเรื่องที่ความรักสามารถชนะทุกอย่างนั้นเป็นการเก็บงำและซ่อนวาระของสังคมที่ว่าในความเป็นจริงเพียงแค่ความรักไม่เพียงพอ หากแต่สถานะ ความสัมพันธ์ และเจตจำนงในการก่อตั้งครอบครัวนั้นยังจำเป็นต้องได้รับการรับรองจากกฎหมาย และการรับรองทางสังคมจากสังคม

อย่างไรก็ตาม สื่อแนววายสมัยใหม่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เริ่มมีแนวโน้มและใส่ไอเดียเกี่ยวกับการต่อสู้ทางสังคม และขบวนการของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งบางเรื่องถึงขนาดใส่ประเด็นเรื่องการสมรสเท่าเทียมเข้าไปในเรื่อง หรือ พยายามสร้างภาพที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นผ่านทางสื่อ เช่น ในเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ ผู้เขียนบทมีการสร้างฉากของการค้นพบความต้องการของตนว่ามีเพศวิถีแบบใด และค่อยเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง หรือการแสดงความเข้าใจของครอบครัวต่อเพศวิถีของตัวะละคร และพร้อมที่จะต่อสู้กับตัวละคร เป็นต้น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีของสื่อวายที่เข้ามาสนับสนุนขบวนการเรียกร้องสิทธิของความหลากหลายทางเพศ เพียงแต่สิ่งนี้ยังเป็นส่วนน้อยในสังคมไทย เพราะสื่อวายในยุคแรกยังคงมีอิทธิพลอยู่และยังคงเรืองอำนาจในการผลิตซ้ำมุมมองต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไม่เข้าใจ

สำรวจสถานการณ์สิทธิของคนหลากหลายทางเพศในประเทศไทย

แม้รัฐบาลจะสนับสนุนสื่อแนววายในฐานะสินค้าในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่เมื่อย้อนกลับเข้าไปสำรวจสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน ยังคงมีปัญหาอยู่อีกมากที่จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไข เริ่มตั้งแต่สิทธิใน การสมรสอย่างเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิสวัสดิการต่างๆ (สิทธิในการลาไปผ่าตัดแปลงเพศ หรือ สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือในการผ่าตัดแปลงเพศ) การได้รับการยอมรับกันโดยเท่าเทียมทางสังคม และบรรดาสิทธิอื่นๆ เท่าที่จะมีได้เพื่อส่งเสริมการดำรงชีวิตของบุคคลและตอบสนองความต้องการในการที่มีตัวตนของเขา (ซึ่งบรรดาสิทธิทั้งหลายเหล่านี้รัฐบาลควรสนับสนุนให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศแท้ๆ)

สิ่งนี้ทำให้สถานการณ์ของ LGBTQs ในประเทศไทยยังคงมีสถานะที่แตกต่างและอาจถูกเลือกปฏิบัติได้จากบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การให้สวัสดิการกับคู่สมรส ซึ่งหากเป็นคู่รัก LGBTQs ก็อาจจะไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว หรือการให้ความยินยอมในการให้รับการรักษาแก่คู่รักกรณีของคนที่เป็น LGBTQs เป็นต้น

แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีกฎหมายรับรองความเสมอภาคทางเพศไว้แล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกฎหมายฉบับดังกล่าวแทบจะเป็นเสือกระดาษที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง และในทางตรงกันข้ามกฎหมายดังกล่าวยังกลายเป็นภาระและสร้างผลประหลาดที่เป็นโทษแก่ผู้อาศัยกฎหมายดักกล่าวเพื่อเข้าถึงสิทธิความเสมอภาคทางเพศ

ในแง่ของการเรียกร้อง จุดหนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศพยายามมาโดยตลอด คือ การให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ การมีกฎหมายคู่ชีวิตที่ใช้กับคนทุกคน (ไม่ใช่แค่คนรักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่เกิดมาและมีสถานะเป็นบุคคลโดยไม่แบ่งแยกเพศ) ซึ่งความพยายามของขบวนการดังกล่าวนั้น มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอดทั้งการเสนอร่างกฎหมาย และการยื่นตีให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่รับรองการสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้น ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

ในประเด็นนี้เอง หากศาลจะได้ตระหนักถึงบทบัญญัติในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง”  ฉะนั้น บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่กำหนดให้เฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะสมรสได้ ย่อมจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (แต่ศาลไม่ได้ตระหนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม)

การตีตกประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียมของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการผลักให้เรื่องการสมรสเท่าเทียมต้องกลับไปสู่ขบวนการทางการเมือง ผ่านการรณรงค์ และเสนอร่างกฎหมายหรือการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ ในสังคมประชาธิปไตยการยอมรับความหลากหลาย และการส่งเสริมเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลและสังคมควรตระหนักและเปิดพื้นที่เพื่อให้สิทธิของ LGBTQs ได้รับการรับรองอย่างเต็มที่

จากสภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันแม้สื่อวายจะกำลังเติบโต แต่ด้วยบริบทดังที่กล่าวข้างต้นว่า เนื้อหาของสื่อในปัจจุบันยังไม่ใช่พื้นที่ของการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ LGBTQs หากแต่ยังเป็นเพียงแต่พื้นที่ของความบันเทิงเท่านั้น แม้จะมีความพยายามใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของ LGBTQs มากขึ้นบ้างก็ตาม 

ในขณะเดียวกัน สิทธิของ LGBTQs ในปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนในหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมยังไม่เข้าใจและตระหนักเกี่ยวกับ LGBTQs อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในด้านของรัฐบาลที่เห็นว่าเรื่องราวแนววายนั้นสามารถเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ แต่กลับไปไม่ตระหนักว่าสิทธิของคนหลากหลายทางเพศก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุน


อ้างอิงจาก

  • ภูวิน บุณยะเวชชีวิน และณัฐนนท์ ศุขถุงทอง, โลกของวาย: ซีรีส์วาย ปรากฏการณ์วาย หัวนมวัยรุ่นชาย และวายาภิวัฒน์ (สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2564).
  • สำนักข่าวออนไลน์ ThaiPublica ‘เมื่อรัฐบาลนี้หนุนซีรีส์วายสู่ตลาดโลก’ (Thaipublica, 18 กรกฎาคม 2021) <https://thaipublica.org/2021/07/series-society15/&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.
  • Narisara Suepaisal, ‘Y-Economy : เมื่ออุตสาหกรรมซีรีส์วายกลายเป็นจักรวาลยิ่งใหญ่ในสื่อบันเทิง’ (the matter, 12 ตุลาคม 2560)
  • อรสุธี ชัยทองศรี, ‘Boys Love Manga and Beyond: History, Culture, and Community in Japan’ (2560) 2 วารสารมนุษยศาสตร์ 344.
  • ไทยรัฐ, ‘ยืนหนึ่งระดับโลก “ไบร์ท-วิน” คู่จิ้นปัง ฟินถล่มทลายปิดท้าย Global Live Fan Meeting’ (ไทยรัฐออนไลน์, 20 มิถุนายน 2563) <https://www.thairath.co.th/entertain/news/1876581&gt; สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2564.

โลกของวาย

ชื่อหนังสือ: โลกของวาย

ผู้เขียน: ภูวิน บุญยะเวชชีวิน และณัฐธนนท์ ศุขถุงทอง

สำนักพิมพ์: สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


“โลกของวาย” เป็นหนังสือเล่มไม่หนาเท่าไร โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือพูดถึงการนำเสนอ “วาย” (ความสัมพันธ์แบบชายรักชาย)ในวัฒนธรรมประชานิยม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโลกของวายในวัฒนธรรมประชานิยมนั้นมีลักษณะเป็นโลกแห่งจินตนาการมากกว่าจะเป็นโลกของความเป็นจริง ซึ่งเหตุดังกล่าวนั้นมีที่มาที่ไปที่หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวไว้

จุดเริ่มต้นของ “สื่อวาย” (Y[aoi] media) นั้นมีขนบมาจากสื่อบันเทิงแนวบอยเลิฟญี่ปุ่น (Japanese boys love) หรือ บีแอล (BL) ซึ่งส่วนใหญ่ปรากฏในรูปแบบของมังงะ (manga) หรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่ ฉะนั้น โดยรากฐานโดยแท้จริงของสื่อที่เรียกว่า “แนววาย” (Y genre) จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนมุมมองของความสัมพันธ์แบบคนรักเพศเดียวกันในโลกของความเป็นจริง ทำให้เนื้อเรื่องแนววายมีลักษณะน่าสนใจ ดังนี้

  1. ตัวละครหลัก (พระเอกและนายเอก) เป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงาม แม้ว่าในความเป็นจริงตัวละครนั้นจะมีอายุหรือเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนก็ตามตัวละครหลักก็จะมีดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงจะล่วงเลยไปจากวัยเด็กหนุ่มแล้วก็ตาม
  2. ตัวละครหลักนั้นมีบทบาทที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางเพศ (sex role) ในความสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบทบาทของความสัมพันธ์ทางเพศเท่านั้น แต่ในบางกรณีบทบาททางเพศนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านบุคลิกลักษณะของตัวละครว่า ตัวละครใดเป็นฝ่ายรุกหรือรับในความสัมพันธ์
  3. เนื้อเรื่องแนวบอยเลิฟญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญเรื่องเล่า (narrative) บนขนบแบบโรมานซ์ (romance) คือ โดยตั้งหลักความรักให้เป็นนิรันดร์และเป็นเส้นชัยของทุกสิ่งทุกอย่าง เสมือนความรักเป็นศาสนา
  4. เนื้อเรื่องไม่ได้สะท้อนจุดยืนหรือความสัมพันธ์ของความรักแบบคนเพศเดียวกันบนการเมืองของญี่ปุ่น
  5. แนววายของประเทศญี่ปุ่นกลุ่มเป้าหมายหลักของเนื้อเรื่องในแนวนี้ คือ ผู้หญิงที่มีเพศวิถีแบบรักต่างเพศ สื่อบันเทิงแนววายจึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้หญิง ซึ่งมีเพศวิถีแบบรักต่างเพศ

แนววายของญี่ปุ่นจึงเป็นการสะท้อนอุดมคติของความรักอันสูงส่ง ความปรารถนา และชายอันเป็นที่รักของผู้หญิงที่มีรักต่างเพศ การ์ตูนวายจึงไม่ต่างอะไรกับการเอาหญิงสาวมาส่วมใส่เครื่องแต่งกายผู้ชาย

ผลของการที่แนววายของประเทศไทยนั้นเป็นของที่รับเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้แนววายของไทยโดยพื้นฐานนั้นไม่แตกต่างจากบริบทของประเทศญี่ปุ่นมากเท่าไร อย่างไรก็ตาม หนังสือโลกของวายได้นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจของวายไทย

  1. วายไทยเป็นโลกของจินตนาการที่แยกความเป็นจริงกับจินตนาการโดยสร้างบทบาทที่เป็นอิสระและไม่ตกอยู่ภายใต้กรอบจารีตหรือวัฒนธรรม​สังคมใดๆ
  2. วายไทยสร้างขึ้นมาแบบศาสนาบูชาความรัก และเป็นความรักบริสุทธิ์​เหนือความโรแมนติกแบบชายหญิง เพราะไม่ได้ยึดติดด้วยความรู้สึกทางเพศ (ถ้าไม่ได้ขายเซอร์วิส)​ หรือพรหมจรรย์
  3. วายไทยอยู่เหนืออประเด็นเรื่องเพศสภาพ ตัวละครไม่ต้องแสดงออกเรื่องเพศสภาพใดๆ (กลับไปที่ข้อ 1.)
  4. วายไทยวางความรักโรแมนติกเหนือสถาบันครอบครัวภายใต้กฎหมาย การสมรสตามกฎหมายจึงไม่จำเป็น (ประเด็นนี้ทำให้วายไทยไม่ใช่พื้นที่ต่อสู้ของ LGBTQs)
  5. ในลักษณะเช่นเดียวกับญี่ปุ่นวายไทยเป็นพื้นที่แสดงออกของอำนาจทางการเมืองของผู้หญิง ภายใต้กรอบสังคมชายเป็นใหญ่ ตัวละครนายเอกจึงไม่ต่างจากตัวละครผู้หญิงที่สวมอาภรณ์​เป็นผู้ชาย
  6. วายไทยมีลักษณะถูกทำให้เป็นสินค้า ซึ่งอาจจะดีกับการเปิดพื้นที่ให้กับ LGBTQs​ ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายวายเป็นเพียงการขีดเส้นทางสังคมขึ้นมาใหม่เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทสื่อเอเชีย และก็ยังแพ้แรงต้านของอนุรักษ์นิยม
  7. ท้ายที่สุดวายไทยโดนส่วนมากยังยึดติดกับ Role ของตัวละครที่ต้องมีบทบาทตายตัว

ตลอดหนังสือเล่มนี้ยังประเด็นอีกมากมายที่เกี่ยวกับโลกของวายที่หนังสือเล่มนี้ได้ทำให้ “โลกของวาย” เป็นหนังสือที่พยายามทำให้ “โลกแห่งจินตนาการ” เข้าสู่ “โลกทางวิชาการ”