รัฐนาฏกรรมของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในความเปลี่ยนแปลงของสังคม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันพืชมงคลเป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่ถูกกำหนดไว้ในปฏิทินของประเทศไทย ทั้งในฐานะวันหยุดราชการและวันที่ถูกอธิบายยึดโยงกับชาวนาผ่านภาพของชาวนาและประชาชนทั่วไปที่ไปเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีการหว่านไว้เมื่อจบพระราชพิธีเหมือนที่ปรากฏในภาพยนตร์ และอีกภาพหนึ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำของคนส่วนมากคือ ภาพของพระยาแรกนาหยิบข้าวโปรยลงในแปลงนาจำลองและมีพระโคเสี่ยงทายความเจริญงอกงามของการเพาะปลูก

ทว่า ภาพดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในพระราชพิธีดังกล่าวเท่านั้น ในความเป็นจริงพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นเป็นชื่อของพระราชพิธี 2 พระราชพิธีประกอบกันคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เมื่อสืบย้อนกลับไปแล้วพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นมีความเป็นมาที่ยาวนาน ส่วนพระราชพิธีพืชมงคลเป็นประดิษฐกรรมใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน ซึ่งแบบแผนการจัดพระราชพิธีดังกล่าวมีความเปลี่ยนแปลงไปตามนัยทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงฐานคิดระหว่างรัฐกับสังคม[1] บทความนี้จะอธิบายความสำคัญของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในฐานะรัฐนาฏกรรม (theatre state) และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในสังคมผ่านพระราชพิธีดังกล่าว

รัฐคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

ก่อนจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในฐานะรัฐนาฏกรรม ขออธิบายเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวสักเล็กน้อย ก่อนจะไปทำความเข้าใจตัวอย่างของแนวคิดนี้ผ่านพระราชพิธี

แนวคิดเรื่องรัฐนาฏกรรมเป็นแนวคิดของ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz) ซึ่งใช้อธิบายระบบสัญลักษณ์ที่รัฐแสดงเพื่อทำออกในโลกภายนอกที่ส่งผลต่อโลกภายใน ซึ่งก็คือการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของประชาชน[2] หรือกล่าวให้ง่ายกว่านั้น แนวคิดเรื่องการมองรัฐเป็นเสมือนโรงละคร และกิจกรรมที่รัฐกระทำคือ การเล่นละคร โดยมีประชาชนเป็นผู้ชมที่รับเอาอารมณ์และความรู้สึกจากการแสดงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในความคิดจิตใจ  ดังนี้ การแสดงของรัฐในที่นี้จึงไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายเพื่อการปกครอง โดยเน้นย้ำไปที่ค่านิยมที่มีการยึดถือในสังคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม

ความเป็นรัฐนาฏกรรมนั้นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วนคือ[3]

(1) “โรงละคร” ซึ่งก็คือตัวรัฐไม่ว่าจะอธิบายตัวรัฐในฐานะชุมชนทางจินตกรรมหรือในฐานะทางกายภาพที่มีเขตแดนแน่นอน รัฐทั้งรัฐคือพื้นที่ใช้แสดงละคร โดยอาจจะไม่ได้มีเวทีที่แสดงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่มีศูนย์กลางการแสดงอาจจะพื้นที่จำกัดเฉพาะสถานที่ รวมถึงอาจจะไม่ต้องมีฉากหรือของตกแต่งที่วิจิตรอลังการก็ได้ เพราะสาระสำคัญจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ฉากหรือของตกแต่ง

(2) “บท(บาท)” ที่มีการกำหนดไว้ให้กับตัวแสดงแต่ละตัว รวมถึงการกำหนดเนื้อหาในการมีส่วนร่วมของผู้ชม บทบาทเหล่านี้ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจสำคัญซึ่งอาจจะเรียกว่า “ผู้กำกับ” ก็ได้ โดยบทบาทมีขึ้นเพื่อให้การแสดงตอบสนองต่อเป้าหมายสำคัญคือ การปกครอง

(3) “ตัวแสดง” ในระดับต่างๆ ทั้งตัวละครเอกที่มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เล่าเรื่อง ตัวประกอบที่บางทีก็อาจจะมีบทบาทหรืออาจจะไม่มีบทบาทในนาฏกรรมนั้นๆ และ

(4) “ผู้ชม” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเล่นนาฏกรรมของรัฐ เพราะหากปราศจากผู้ชมแล้วการแสดงใดๆ ก็ไม่มีความหมาย โดยผู้ชมในที่นี้อาจจะเป็นประชาชนทั่วๆ ไป หรือแม้แต่กระทั่งตัวประกอบฉากที่แทบจะไม่มีบทพูดในละครเรื่องนั้น

องค์ประกอบทั้ง 4 ประการข้างต้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างให้เรื่องราวเข้าไปมีส่วนสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึกของผู้คน และทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งและเป็นพวกเดียวกัน[4] หรือที่สมัยนี้เราเรียกว่า อินกับละคร ความรู้สึกดังกล่าวมีความสำคัญ เนื่องจากจะกลับมาสู่เป้าหมายของนาฏกรรมก็คือ การเน้นย้ำค่านิยมที่มีการยึดถือในสังคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม ในฐานะเครื่องมือทางการปกครอง

นาตาแฮก สู่ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

ดังกล่าวมาแล้วว่าพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นเป็นพระราชพิธีมีความเก่าแก่หากพิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลในกฎหมายตราสามดวงที่เชื่อกันว่าน่าจะตราขึ้นในช่วง พ.ศ. 2001 ได้ระบุถึงพระราชพิธีที่เรียกว่า “จรดพระอังคัล” โดยระบุความตอนหนึ่งว่า

“เดือนไพศาข จรดพระอังคัล เจ้าพญาจันทกุมารถวายบังคัม ณ หอพระ ทรงพระกรุณายื่นพระขรรค แลพระพลเทพ (ตำแหน่งเสนาบดีกรมนา) ถวายพระบังคม สั่งอาชาสิทธิ ธรงพระกรุณาลดพระบรมเดช มิได้ไขหน้าล่อง มิได้ตรัสคดีถ้อยความ มิได้เบิกลูกขุน มิได้เสดจ์ออก ส่วนเจ้าพญาจันทกุมารมีเกยช้างหน้าพุทธาวาส 100 นา 100000 นา กรมการในกรมนาเฝ้า แลขุนหมื่นชาวสาน ทังปวง เฝ้าตามกระบวน”

– กฎมณเฑียรบาล (คงการสะกดตามแบบเดิมและขยายความในวงเล็บโดยผู้เขียน)[5]

ในแง่แบบแผนการทำพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในสมัยอยุธยาเอกสารต่างๆ ได้ระบุถึงการทำพิธีไปในลักษณะเดียวกันว่า พระมหากษัตริย์อยุธยาจะทรงมอบหมาย (มอบพระราชอำนาจ จะเห็นได้จากการพระราชทานพระขรรค์ชัยศรีซึ่งเป็นพระราชศาสตราวุธแสดงพระราชอำนาจ) ให้กับพระจันทกุมารไปทำหน้าที่แทนพระองค์เป็นผู้แรกนา[6] โดยพระมเหสีจะเลือกนางเทพีทำหน้าที่แทนพระองค์นั่งเสลี่ยงเงิน โดยมีการจัดกระบวนเกียรติยศแห่ไปยังโรงพิธี เมื่อถึงฤกษ์จึงให้พระจันทกุมารถือคันไถเทียมด้วยวัว (โคอุศุภราช) ให้ออกญาพลเทพเสนาบดีกรมนา จูงคันไถ 3 รอบ นางเทพีหว่านพันธุ์ข้าว เสร็จแล้วปลดพระโคออกเสี่ยงทายผลคำทำนาย[7]

อย่างไรก็ดี เค้าของการทำพิธีกรรมดังกล่าวนั้นอาจจะเก่ากว่าสมัยอยุธยา จากการศึกษาของ รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กรมศิลปากร ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นเป็นการสืบทอดแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างขวัญและกำลังใจในการเพาะปลูกมาจากพิธีกรรมที่เรียกว่า นาตาแฮก ซึ่งมีลักษณะเป็นการทำนาจำลองเพื่อทำพิธีบูชายัญทางศาสนาผีก่อนลงมือทำนาจริงของชุมชนชาวนาดึกดำบรรพ์ที่สืบทอดมาโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง[8] โดยเมื่อพิจารณาจากที่มาของคำว่า “แฮก” ที่เป็นคำลาวมีความหมายในลักษณะเดียวกันกับคำว่า “แรก” ในภาษาไทย  ดังนั้น คำว่า แรกนาขวัญกับแฮกนาขวัญ จึงมีความหมายในลักษณะเดียวกัน[9]

นาตาแฮกเป็นพิธีกรรมที่นิยมจัดขึ้นในเดือนหก ซึ่งเป็นช่วงที่ผ่านพ้นจากการเก็บเกี่ยวและเตรียมตัวสำหรับการทำนาใหม่อีกครั้งหนึ่ง[10] โดยในพิธีกรรมนี้จะเริ่มต้นจากการทำนาจำลองขึ้นมาโดยมีขนาดประมาณ 1 ตารางเมตร และดำกล้าข้าวลงในนานั้นประมาณ 5-6 กล้าหรือที่เรียกว่า ปักกกแฮก และมีการบูชายัญเอาเลือดควายเซ่นสรวงผีแม่ข้าวตามความเชื่อของศาสนาผีดั้งเดิมที่เชื่อว่า ต้นข้าวเมื่อเกี่ยวข้าวแล้วก็คือตาย แต่ขวัญข้าวยังคงอยู่ ซึ่งต้องมีการเซ่นสรวงขวัญข้าวเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร[11] และก่อให้เกิดสิริมงคลกับเกษตรกร[12] ในประเด็นนี้ รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ขวัญ” ที่อยู่ในชื่อพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญมีความหมายในลักษณะเดียวกันกับการทำขวัญข้าว[13]

การปรับเปลี่ยนสาระของพระราชพิธีสู่พืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

แม้ในเวลาต่อมาศูนย์กลางการปกครองจะเปลี่ยนจากกรุงศรีอยุธยามาสู่กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตามลำดับ โดยพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญยังคงได้รับการสืบทอดต่อมา โดยสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชพิธียังคงแบบแผนในลักษณะเดิมที่เคยทำมา โดยดำเนินการโดยพราหมณ์ดังปรากฏหลักฐานตามหมายรับสั่งกำหนดการพระราชพิธี เรียกพระราชพิธีนี้ว่า “พระราชพิธีจรดพระนังคัล” โดยพระมหากษัตริย์จะทรงมอบอำนาจให้พระยาพลเทพ ผู้ดำรงตำแหน่งเกษตราธิบดีเป็นผู้แรกนา (เสนาบดีกรมนา)[14]

ไม่เพียงแต่รูปแบบของพระราชพิธีที่เหมือนเดิม แต่เป้าหมายของพระราชพิธีก็ยังคงลักษณะตามความเชื่อแบบเดิมของคนพื้นเมืองที่ถูกทำมาอย่างต่อเนื่องกว่า 2,500 ปี และพัฒนาขึ้นมาเป็นพระราชพิธี 12 เดือน[15] ซึ่งเมื่อเป็นพระราชพิธีแล้วหัวใจสำคัญของพระราชพิธีจึงเป็นการเน้นย้ำบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้นำทางสังคม และตำแหน่งแห่งที่ของพระมหากษัตริย์ในฐานะสมมติเทพที่อำนวยความอุดมสมบูรณ์[16] และไม่เพียงเท่านั้นการทำพระราชพิธีดังกล่าวยังสะท้อนนัยสำคัญคือ การกำหนดจุดเริ่มต้นของการทำนาโดยราชสำนัก กล่าวคือ หากไม่มีการทำพระราชพิธีดังกล่าวราษฎรจะไม่สามารถริเริ่มการทำนาได้[17]

จุดเปลี่ยนสำคัญของพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2394 ถึง 2411 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชสมบัติได้โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติม “พระราชพิธีพืชมงคล” เข้ามาเป็นพิธีสงฆ์แบบพุทธ โดยให้พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อเสกเมล็ดพันธุ์ธัญพืชให้มีความเป็นสิริมงคลและอุดมสมบูรณ์ และให้ผู้ทำหน้าที่แรกนาจะต้องเข้าฟังสวดพระพุทธมนต์ในวันประกอบพระราชพิธีด้วย[18]

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่า พระราชพิธีพืชมงคลจะจัดในวันก่อนวันทำพระราชพิธีจรดพระนังคัลในตอนค่ำ จนมาถึงตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง โดยพระราชพิธีนี้จะทำที่ท้องสนามหลวง ส่วนพระราชพิธีจรดพระนังคัลจะไปทำที่ทุ่งส้มป่อย (สวนจิตรลดา) นอกพระนคร[19]

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงอธิบายอีกด้วยว่า พระราชพิธีพืชมงคลเกิดขึ้นมาจากพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เพิ่มเติมพิธีสงฆ์เข้าไปในพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งก่อนหน้ามีการจัดพระราชพิธีดังกล่าว พระยาพลเทพผู้รับผิดชอบพระราชพิธีก็ไม่ได้มีการไปนั่งฟังสวดพระพุทธมนต์ก็จะต้องไปฟังการสวดพระพุทธมนต์ก่อน[20]

ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากบทบาทของพระมหากษัตริย์ที่ลดลง เนื่องจากอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นมาของพวกขุนนาง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กำลังจะสูญเสียบทบาทสำคัญที่เคยมีมาในอดีต[21] ไม่เพียงแต่พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ แม้แต่งานโสกันต์เจ้านายบางครั้งขุนนางผู้ใหญ่ก็อาจจะไม่มาเข้าร่วมด้วย ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระมหากษัตริย์มิได้มีสถานะเป็นจุดศูนย์กลางหรือจุดสุดยอดของระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ซึ่งครอบงำสังคมไทยทั้งหมด[22]

การสถาปนาพระราชพิธีพืชมงคลภายใต้คติแบบพระพุทธศาสนานี้มีนัยสำคัญในการพยายามดึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ให้เพิ่มขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานมาจากพระบารมีส่วนพระองค์ที่สะสมมาจากดำเนินบทบาททางพระพุทธศาสนา ตั้งแต่การสถาปนาธรรมยุติกนิกาย และการนำเสนอความรู้พระพุทธศาสนาแบบใหม่[23] ในลักษณะจึงเป็นความพยายามสร้างความหมายในเชิงสัญลักษณ์ถึงความสำคัญของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้อุปถัมภ์ค้ำชูและผู้สร้างแบบแผนใหม่ของพระราชพิธีพืชมงคลภายใต้คติพระพุทธศาสนาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง

ในทางวิชาการอาจจะมีผู้ให้ความเห็นว่าการปรับเปลี่ยนพระราชพิธีดังกล่าวสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของโลกทัศน์ชนชั้นนำไทยที่เริ่มมีความเชื่อค่อนไปในทางเหตุผลนิยมแบบวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ชนชั้นล่างยังมีโลกทัศน์แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนัก พระราชพิธีดังกล่าวจึงเป็นการเอาใจราษฎรที่ยังขาดความรู้สมัยใหม่[24] เสมือนว่าชนชั้นนำไทยลดความสำคัญของพระราชพิธีดังกล่าวลง ทว่า การนำเอาความรู้แบบวิทยาศาสตร์มาประยุกต์กับโลกทัศน์เพื่ออธิบายคุณค่าความเป็นไทยที่เหนือกว่านั้น และสร้างตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงอำนาจนำเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 2390 เป็นต้นมา[25]

นอกเหนือจากการเพิ่มเติมพระราชพิธีแล้ว พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกขวัญได้มีการปรับเปลี่ยนอีกครั้งซึ่งเป็นผลจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398 รวมถึงสนธิสัญญากับชาติต่างๆ ที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอย่างเต็มตัว[26]

ในช่วงทศวรรษที่ 2440 เป็นต้นมาการผลิตสินค้าการเกษตรของประเทศไทยกลายเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ กล่าวคือ การผลิตสินค้าการเกษตรเพื่อขาย ไม่ใช่แค่เพียงยังชีพอย่างที่ผ่านมา ข้าวกลายมาเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลต่อรูปแบบการจัดพระราชพิธีดังกล่าว อาทิ การยกเลิกประกาศห้ามราษฎรทำนาก่อนการประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัล ซึ่งนัยดังกล่าวหมายความว่า เป้าหมายของพระราชพิธีที่แต่เดิมเป็นสัญลักษณ์ของการทำนาครั้งแรกที่กำหนดโดยราชสำนักได้หมดความสำคัญลง และเปลี่ยนมาเป็นการทำนาอย่างเป็นอิสระ สิ่งนี้เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการผลิตข้าวจำนวนมากเพื่อส่งออก ประกอบกับการทำนาหลังพระราชพิธีจรดพระนังคัลอาจจะไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางสภาพอากาศที่ในแต่ละปีมีความแห้งแร้งไม่เท่ากัน เนื่องจากเกษตรของสยามต้องพึงพาธรรมชาติสูง เพราะขาดระบบชลประทานที่ดี[27]

อีกความเปลี่ยนแปลงประการหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ใช้พื้นที่ของพระราชพิธีเพื่อสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี อาทิ การพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมแจก การคัดสรรพันธุ์ข้าวที่ดีมาใช้ในพระราชพิธี[28]

ในลักษณะดังกล่าวนัยของนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจึงไม่เพียงแต่แสดงภาพของพระมหากษัตริย์ตามคติแบบสมมติเทพเท่านั้นที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของพระราชพิธี แต่ยังมีบทบาทในฐานะผู้นำความรู้ทางการเกษตรสมัยใหม่ ในขณะที่องค์ความรู้หรือความเชื่อแบบดั้งเดิมของราษฎรอาจถูกมองในฐานะความรู้ที่ไม่ตอบสนองต่อวิถีโลกสมัยใหม่หรืองมงายเหลวไหล

การยกเลิกพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

แบบแผนของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ที่มีความพยายามเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแนวทางการจัดพระราชพิธีดังกล่าว

ความเคลื่อนไหวที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนของพระราชพิธีดังกล่าวเริ่มมีเค้ามาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2473 ที่มีบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์เป็นภาษาอังกฤษ และถูกแปลเป็นภาษาไทยเผยแพร่ในวารสารชื่อว่า พิธีแรกนาขวัญ โดยนายหวังดี  ทั้งนี้ ในบทความดังกล่าวได้มีการกล่าวถึงความไม่สอดคล้องกันของบริบทสังคมระหว่างพิธีกรรมที่ไม่ได้อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาพัฒนาการเพาะปลูกของประเทศ ดังความตอนหนึ่งว่า

“…พิธีเช่นนี้จะเสื่อมความขลังในการทำนายพืชผล ในการทำนายดินฟ้าอากาศและในการทำให้ขวัญของกสิกรดีขึ้นก็จริง แต่มันยังเป็นพิธีที่ดำรงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบรรพบุรุษให้ยืนยงคงอยู่ ใช่แต่เท่านั้นพิธีแรกนาขวัญยังเป็นพิธีที่ช่วยให้ระลึกถึงความจริงว่า มนุษย์เราต้องอยู่ในความควบคุมหรือในกฎแห่งธรรมชาติเสมอตลอดมา”[29]

ทั้งนี้ ความมุ่งหมายในการแปลบทความนี้ของนายหวังดี คือ ต้องการเผยแพร่ความเห็นของบรรณาธิการบางกอกเดลิเมล์ และต้องการเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรออกมาโต้แย้งความเห็นดังกล่าว[30] ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและปัญหาของเกษตรกรที่มีอยู่ในสังคมไทยในเวลานั้น ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน[31] อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้นทำไปได้ช้าประกอบกับปัญหาหลายอย่างเป็นปัญหาสะสมในเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลของคณะราษฎรที่เข้ามาบริหารประเทศแทนรัฐบาลในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้มีแนวทางในการปรับเปลี่ยนพระราชพิธีดังกล่าวเสียใหม่ โดยเริ่มปรากฏตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา แต่ยังไม่เป็นกิจจะลักษณะจนล่วงมาถึงปลายปี พ.ศ. 2476 ถึง 2477 ที่การปรับปรุงพระราชพิธีดังกล่าวเริ่มเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้การจัดพระราชพิธีในปี พ.ศ. 2476 ยังคงธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่เคยทำมา

พระราชพิธีดังกล่าวถูกมองว่าล้าสมัยในสายตาของคณะราษฎรและควรที่จะยกเลิก แต่การยกเลิกก็อาจจะกระทบต่อจิตใจของราษฎร ประกอบกับถ้าการเกษตรกรรมไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็อาจจะนำมาสู่ความโกรธเกรี้ยวของราษฎรได้ รัฐบาลคณะราษฎรจึงพยายามปรับปรุงพระราชพิธีให้มีนัยสะท้อนต่อประชาชนมากขึ้น โดยไม่จำกัดเฉพาะบทบาทในฐานะผู้ชม แต่เข้ามามีส่วนสำคัญในพระราชพิธี จนกระทั่งรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้พยายามปรับองค์ประกอบของพระราชพิธีที่มีลักษณะเหนือธรรมชาติลง โดยเฉพาะในส่วนของพิธีที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และเสนอให้เพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับราษฎรมากขึ้น โดยเฉพาะราษฎรที่เป็นเกษตรกร[32]

ความเปลี่ยนแปลงในการจัดพระราชพิธีได้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2477 นายทวี บุญเกตุ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐการได้จัดทำข้อเสนอว่าพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญควรเพิ่มเรื่องการประกวดสินค้าทางการเกษตร หัตถกรรม และอุตสาหกรรมอันเป็นส่วนเสริมของพระราชพิธี โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการจัดประกวดทุกปีอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ดี ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้มีการตอบรับ และทำให้ในการจัดพระราชพิธีในปี พ.ศ. 2477 ยังคงรูปแบบตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม[33]

จนกระทั่งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2477 ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางใหม่ในการดำเนินการกับพระราชพิธีดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้มีการเสนอให้มีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญทั่วประเทศตามจังหวัดต่างๆ โดยให้ผู้ทำการแรกนาเป็นชาวนาผู้ทำนาตามหลักวิทยาศาสตร์ที่กรมเกษตรวางไว้ในการกสิกรรม และให้มีการตั้งรางวัลแก่ผู้ทำการแรกนาด้วย จึงเสนอให้กระทรวงเศรษฐการรับเรื่องไปตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป[34] ซึ่งกระทรวงเศรษฐการได้ไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อโดยมีการเสนอแผนการจัดงานที่รูปธรรมมากขึ้นกลับมารายงานนายกรัฐมนตรี (พระยาพหลพลพยุหเสนา) โดยแผนดังกล่าวให้ความสำคัญกับการประกวดพันธุ์ข้าวมากกว่าพระราชพิธี เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสนำเสนอข้าวพันธุ์ดี และอธิบายเนื้อหาของการจัดพระราชพิธีในแต่ละจังหวัดโดยไม่ต้องจัดพร้อมกันก็ได้ โดยเน้นว่าเริ่มเดินกระบวนจากศาลากลางจังหวัดโดยมีพระยาแรกนาเป็นเกษตรกร และเทพีแรกนาเป็นภริยาของเกษตรกร[35]

นอกจากนี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังได้แสดงความเห็นสนับสนุนในหลักการดังกล่าว พร้อมได้เสนอว่า ควรให้พระยาแรกนาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัด เพื่อให้พิธีกรรมดังกล่าวได้มีส่วนสนับสนุนระบอบการปกครองใหม่[36]

ทว่า ต่อมาเมื่อกระทรวงวังได้รับรายงานดังกล่าวและได้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการทรงทราบ พระองค์ทรงเห็นด้วยกับการจัดพระราชพิธีในทุกจังหวัดนอกพระนคร แต่ทรงเห็นว่าต้องให้ข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้แรกนา และทรงไม่เห็นด้วยที่จะให้ชาวนาเป็นผู้แรกนา เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าพระราชพิธีดังกล่าวมาจากการที่พระมหากษัตริย์และพระมเหสีในสมัยโบราณเสด็จมาทรงทำนาเพื่อชักชวนราษฎร แม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะไม่เสด็จมาทรงทำนาเอง แต่ทรงให้ผู้แทนมาทำนาแทน ทรงเห็นว่าการตั้งชาวนาและภริยามาเป็นพระยาแรกนาและเทพีถือเป็นการเล่นละครตลก ส่วนการจัดประกวดพันธุ์ข้าวสามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธี แต่ถ้าจะมาจัดในวันพระราชพิธีก็ไม่ขัดข้อง ทั้งนี้ ความเห็นของกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์นั้นทำให้คณะรัฐมนตรีต้องกลับไปทบทวนแผนการดังกล่าวอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่อยู่ในช่วงการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎรที่การสละราชสมบัติทำให้สุดท้ายแผนการดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ[37]

ปราการ กลิ่นฟุ้ง ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนในเวลานั้นทำให้รัฐบาลเลือกที่จะไม่นำแผนการดังกล่าวมาปฏิบัติ แม้จะมีแผนการที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็ตาม ทำให้ในปี พ.ศ. 2478 พระราชพิธียังคงถูกจัดขึ้นอีกครั้งตามธรรมเนียมปฏิบัติ[38]

ภายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลได้ลดบทบาทของกระทรวงวังลงให้เป็นสำนักพระราชวังมีสถานะเป็นหน่วยงานระดับกรมภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี การถกเถียงเรื่องการแก้ไขพระราชพิธีหรือยกเลิกพระราชพิธีนั้นได้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2479 ในระหว่างนั้นพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญยังคงดำเนินต่อไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม

จนกระทั่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2479 พระยาฤทธิอัคเนย์ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตราธิการได้ทำข้อเสนอเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีขึ้นใหม่ แม้ว่าในเชิงข้อเสนอแนะจะไม่ได้แตกต่างจากที่ผ่านๆ มาสักเท่าใดคือ การกำหนดให้การประกวดกสิกรรม อุตสาหกรรม และหัตถกรรมเป็นส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธี และให้จัดงานในทุกจังหวัด แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ข้อเสนอนั้นมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมถึงมีการเสนอให้ผู้เป็นพระยาแรกนาอาจเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้แทนราษฎรประจำจังหวัด หรือชาวนาผู้ประสบความสำเร็จก็ได้ตามแต่คนในจังหวัดจะเลือก

ในการนำเสนอความคิดดังกล่าวพระยาฤทธิอัคเนย์ได้เสริมว่า การแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชเฉพาะในเขตกรุงเทพทำให้ไม่ได้ผลอย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ เพราะจะแจกได้จำกัด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี (พระยาพหลพลพยุหเสนา) ในเวลานั้นเห็นว่ายังควรจัดพระราชพิธีเฉพาะในพระนครเท่านั้น ส่วนงานประกวดให้จัดในทุกจังหวัด โดยมีมติให้จังหวัดพระนครและธนบุรีเป็นผู้จัดงานพระราชพิธีแรกนาขวัญ ซึ่งแตกต่างไปจากอดีตที่การจัดงานทำโดยกระทรวงวังและกระทรวงเกษตราธิการ[39]

การกำหนดให้จังหวัดเป็นผู้จัดงานนั้นนอกจากจะเป็นการลดระดับความสำคัญของงานลงจากงานระดับประเทศมาเป็นงานระดับจังหวัดแล้ว ยังมีประเด็นต่อไปอีกว่าใครจะเป็นพระยาแรกนา ซึ่งแต่เดิมเมื่อเป็นงานที่จัดโดยกระทรวงวังและกระทรวงเกษตราธิการตามธรรมเนียมเดิมย่อมถือว่าเป็นงานของราชสำนัก และเป็นพระราชพิธีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้น  ทว่า เมื่อเป็นงานระดับจังหวัดก็เท่ากับความสำคัญลดลงไป

เมื่อคณะรัฐมนตรีได้นำความไปปรึกษากับคณะผู้สำเร็จราชการก็ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาล และได้ปรึกษาเพิ่มเติมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานนทมหิดลจะต้องเสด็จพระราชดำเนินด้วยหรือไม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ปรึกษาหารือกันและลงมติว่า ไม่ประสงค์ให้งานดังกล่าวเป็นพระราชพิธีอีกต่อไป เนื่องจากเป็นพิธีทางไสยศาสตร์ (คำที่ใช้เรียกพิธีพราหมณ์อีกแบบหนึ่ง บางครั้งเรียกศาสนาพราหมณ์ว่าศาสนาพระไสยศาสตร์) โดยไม่ให้มีการเสี่ยงทายเช่นแต่ก่อน และไม่อยากให้พิธีกรรมรบกวนเบื้องพระยุคลบาทด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเช่นเดิมเป็นทางการ[40]

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญได้หลุดจากการเป็นพระราชพิธีไปเป็นรัฐพิธีหนึ่งเท่านั้น นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้คือ การทำให้พิธีกรรมดังกล่าวลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีมาและตอบสนองต่อเป้าหมายในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น โดยที่เอกสารส่วนใหญ่ในเวลานั้นได้นำเสนอความคิดในการจัดงานให้เน้นไปที่การจัดการประกวด ส่วนการจัดกระบวนเดินยังคงมีการทำต่อไปแต่ไม่มีพิธีพราหมณ์เช่นแต่ก่อน เมื่อมีการไถนาครบ 3 ครั้งก็เปิดให้ประชาชนมาเก็บเมล็ดพันธุ์พืช[41] ภาพดังกล่าวสะท้อนให้นาฏกรรมของรัฐในระบอบประชาธิปไตยที่พยายามปรับศูนย์กลางของพิธีกรรมมาสู่ประชาชนมากขึ้น และมีเป้าหมายไปที่การตอบสนองการปกครองที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการทำเกษตร

การกลับมาของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

การนำพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญกลับมาเป็นพระราชพิธีเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2503 โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญตามที่กระทรวงเกษตรเสนอและอนุมัติให้ดำเนินการต่อไปได้ส่วนการเงินให้ใช้เงินงบประมาณของกรมการข้าว โดยติดต่อทำความตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้กับสำนักงบประมาณต่อไป[42]

รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในเวลานั้นได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบเพื่อขอพระราชทานจัดงานพิธีดังกล่าวรวมกับรัฐพิธีพืชมงคล ดังความปรากฏตามหายกำหนดรัฐพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พ.ศ. 2503 ความว่า

“…เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่ารัฐพิธีพืชมงคลนั้น แต่เดิมมาได้จัดเป็นงาน 2 วัน เพราะมีพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญรวมอยู่ด้วย ต่อมาได้ระงับไป คงไว้แต่รัฐพิธีพืชมงคล ซึ่งจัดทำเป็นงานประจำทุกปี สำหรับปีนี้ทางรัฐบาลเห็นสมควรจัดให้มีการแรกนาขวัญขึ้นอย่างเดิม จึงได้นำความกราบทูลขอพระราชทานจัดงานพืชมงคล เช่นเดียวกับในกาลก่อน เพื่อรักษาบุรพประเพณีอันเป็นมิ่งขวัญของการเกษตรไว้สืบต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดดังรายการต่อไปนี้…”[43]

ในหมายกำหนดการในปี พ.ศ. 2503 ยังคงกำหนดให้พืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นรัฐพิธีของรัฐบาล จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2506 ที่มีการเปลี่ยนชื่อรัฐพิธีมาเป็นพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ[44]

การนำพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญกลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนัยสำคัญในทางการเมือง กล่าวคือ จอมพลสฤษดิ์ประสงค์จะใช้ประโยชน์จากสถาบันกษัตริย์ในฐานะเครื่องมือทางการเมืองภายใต้ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการ กล่าวคือ ในช่วงก่อนหน้าทศวรรษ 2500 สถาบันกษัตริย์ถูกลดบทบาทลงเพื่อสอดรับกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่หลังการรัฐประหารและเข้าสู่อำนาจของจอมพลสฤษดิ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ได้มีความพยายามเสริมสร้างความมั่นคงและแข็งแกร่งให้สถาบันกษัตริย์ผ่านการแสดงความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์และเทิดทูลสถาบันกษัตริย์อย่างยิ่ง

การรื้อฟื้นพระราชพิธีกลับมานี้จอมพลสฤษดิ์ประสงค์ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จไปร่วมพิธีดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนทั่วไปที่ร่วมพิธีได้และได้ชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และเมื่อเสร็จพระราชพิธีประชาชนก็จะเข้ามาแย่งเมล็ดข้าวที่มีการหว่านไถ่ ซึ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นของพระราชทานที่ได้รับการปลุกเสกมาอย่างดี สิ่งนี้ช่วยสร้างความนิยมให้กับจอมพลสฤษดิ์มากยิ่งขึ้น[45]

แม้ภายหลังจะมีความพยายามส่งเสริมให้มีการนำพันธุ์ข้าวที่ได้มีการศึกษาในแปลงสาธิตในพระตำหนัก (สวน) จิตรลดารโหฐานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดชทรงเพาะปลูกไว้มาเป็นแจกจ่ายในงานพระราชพิธีเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาวนาผู้เพาะปลูก[46]

อย่างไรก็ดี นัยสำคัญของการนำพระราชพิธีกลับมาใหม่จึงเป็นไปเพื่อสื่อสารกับสังคมผ่านพระราชพิธีว่า ตำแหน่งแห่งที่ของรัฐบาลในฐานะผู้ปกครองเป็นผู้จงรักภักดีและเทิดทูลสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างสูง ซึ่งเป็นการแอบอ้างพระบารมีมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มากไปกว่านั้นการเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ดังกล่าวเป็นการอ้างความชอบธรรมของสถาบันกษัตริย์ที่มีตามจารีตเดิมมาใช้เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมเฉพาะตัวของจอมพลสฤษดิ์

กล่าวโดยสรุป พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาโดยตลอด ในแง่หนึ่งพระราชพิธีนั้นเป็นตัวแสดงออกถึงนาฏกรรมของรัฐที่มีเป้าหมายทางการปกครองในแต่ละช่วงเวลา แม้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของพระราชพิธีไปบ้าง แต่ประชาชนในฐานะผู้ชมยังต้องเข้าฉากเพื่อดูนาฏกรรมของรัฐเสมอเพื่อให้ทราบสารที่รัฐต้องการสื่อสารผ่านโลกภายนอกส่วนโลกภายในจิตใจของประชาชน ส่วนบทบาทของประชาชนจะเกี่ยวข้องหรือสำคัญในนาฏกรรมนั้นเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองนั้นให้ความสำคัญกับประชาชนมากน้อยเพียงใด


เชิงอรรถ

[1] นิธิ เอียวศรีวงศ์, “เสด็จพ่อ ร.5 วีรบุรุษในวัฒนธรรมไทย และประชาชนในรัฐนาฏกรรม,” (กรุงเทพฯ: มติชน, 2567), 9.

[2] เพิ่งอ้าง, 191-192.

[3] เพิ่งอ้าง, 193-200.

[4] เพิ่งอ้าง, 7.

[5] วินัย พงศ์ศรีเพียร และคณะ, กฎมณเฑียรบาล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2548), 157-158. พระราชพิธีจรดพระอังคัลเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี 12 เดือนตามกฎมณเฑียรบาล โดยจัดในเดือนหก (เดือนหกพิธีไพศาขย์ จรดพระราชนังคัล) ตามปฏิทินจันทรคติ.

[6] พระจันทกุมาร หรือเจ้าพญาจันทกุมาร หรือพระภิกุมารล้วนเป็นตำแหน่งที่ในพระราชพิธี 12 เดือน พระมหากษัตริย์อยุธยาจะทรงมอบหมายให้ตำแหน่งพระจันทกุมารไปทำพระราชพิธีแทน แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นตำแหน่งใด เช่น พิธีธานยเทาะห์ พระมหากษัตริย์จะทรงให้พระจันทกุมารเป็นผู้ฉลองพระองค์ออกไปทำพิธีมีกระบวนแห่เหมือนพิธีแรกนา แล้วเอารวงข้าวมาทำเป็นฉัตรปักไว้หน้าโรงพิธีจากนั้นนําไฟ จุดรวงข้าว มีการสมมติคนให้เป็นพระอินทร์ฝ่ายหนึ่งและ พระพรหมฝ่ายหนึ่งเข้าแย่งรวงข้าวกัน ข้างใดแย่งได้มีคำทำนายซึ่งล้วนแต่เป็นคำทำนายในทางที่ดีทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับผู้คน. ดู คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง, “พินิจพิเคราะห์ “พระราชพิธีธานยเทาะห์” และโหลิ (holi) ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสยาม-ภารตะ?,” [Online] มติชนสุดสัปดาห์, 28 พฤษภาคม 2563, สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.matichonweekly.com/column/article_309631.

[7] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 30.

[8] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ: การเปลี่ยนแปลงจากอดีตสู่ปัจจุบัน, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2565), 25.

[9] สุจิตต์ วงษ์เทศ, “แม่โพสพ “เทวีข้าว” รัฐนาฏกรรม มาจากแม่ข้าวในศาสนาผี,” [Online] มติชนสุดสัปดาห์, 9 มิถุนายน 2563], สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.matichonweekly.com/sujit/article_313411.

[10] กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, “แรกนาขวัญ-นาตาแฮก การสร้างขวัญและกําลังใจของเกษตรกร,” [Online] ศิลปวัฒนธรรม, 17 พฤษภาคม 2566, สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567, สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_32683.

[11] สุจิตต์ วงษ์เทศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 7.

[12] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 35.

[13] เพิ่งอ้าง, 35.

[14] เพิ่งอ้าง, 35.

[15] สุจิตต์ วงษ์เทศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 7.

[16] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 38-40.

[17] ดู ปราการ กลิ่นฟุ้ง, “รายงานวิจัย เรื่อง พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475” (รายงานวิจัยเสนอต่อคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2566), 13-14.

[18] เพิ่งอ้าง, 35-44.

[19] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “พระราชพิธีสิบสองเดือน,” [Online] วัชรญาณ, สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567, สืบค้นจาก https://vajirayana.org/พระราชพิธีสิบสองเดือน/พระราชพิธีเดือนหก/พระราชพิธีพืชมงคล-และจรดพระนังคัล.

[20] เพิ่งอ้าง.

[21] ดู นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 4, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), 68-154.

[22] นิธิ เอียวศรีวงศ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 200.

[23] ปวีณา หมู่อุบล, อำนาจนำพระนั่งเกล้าฯ: การเมืองวัฒนธรรมของชนชั้นนำต้นรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2567), 9.

[24] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 58-59.

[25] ดู ธงชัย วินิจจะกูล, เมื่อสยามพลิกผัน: ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 33 และ 150.

[26] ดู ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ, “ระบบเศรษฐกิจไทย พ.ศ. 2394 – 2543,” ใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสุธี ประศาสน์เศรษฐ (บก), ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยจนถึง พ.ศ. 2444 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527) 169-174.

[27] ปราการ กลิ่นฟุ้ง, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 13, 13-14.

[28] เพิ่งอ้าง, 16-17.

[29] นายหวังดี, “พิธีแรกนาขวัญ,”  (2473) 4(1) กสิกร 37: 37.

[30] เพิ่งอ้าง, 39-40.

[31] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 1: สภาพเศรษฐกิจและสังคม และความไม่เที่ยงแท้ของเศรษฐกิจ,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, 22 มิถุนายน 2563, สืบค้นเมื่อ 21 เมษายน 2567 จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/06/312.

[32] ปราการ กลิ่นฟุ้ง, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 13, 24.

[33] เพิ่งอ้าง, 26.

[34] รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 19/2477 (สมัยรัฐบาลวันที่ 22 กันยายน 2477), 7 พฤศจิกายน 2477 อ้างใน เพิ่งอ้าง, 27.

[35] เพิ่งอ้าง, 28.

[36] เพิ่งอ้าง, 29.

[37] เพิ่งอ้าง, 30-31.

[38] เพิ่งอ้าง, 33.

[39] เพิ่งอ้าง, 49-50.

[40] เพิ่งอ้าง, 50.

[41] เพิ่งอ้าง, 51-54.

[42] มติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 29 มีนาคม 2503 เรื่อง การฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ; มติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 เมษายน 2503.

[43] หมายกำหนดการรัฐพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พุทธศักราช 2503 อ้างใน รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 95.

[44] เพิ่งอ้าง, 95.

[45] ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ, พรรณี ฉัตรพลรักษ์ และคณะ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2561), 355-361.

[46] รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, 99.

ความสัมพันธ์ของเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้เศรษฐกิจไม่ดี จริงหรือไม่ ? รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถจัดการเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ จริงหรือไม่ ? สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง

ปฏิสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมือง

‘ลิขิต ธีรเวคิน’ นักวิชาการรัฐศาสตร์คนสำคัญของประเทศไทยได้เคยอธิบายว่า การเมืองและเศรษฐกิจมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา (intertwine) อย่างแยกกันไม่ออก การเมืองอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และกลับกันเศรษฐกิจก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการเมืองหรือเศรษฐกิจนั้น โครงสร้างใดจะส่งผลต่ออีกโครงสร้างหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับในยุคสมัยใด ตัวแปรใดเป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง[1] ซึ่งในกรณีนี้หากเราลองย้อนเวลากลับไปพิจารณาสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแล้วเราอาจจะเห็นความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างชัดเจนผ่านบทเรียนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ 3 ประเทศ

กรณีประเทศอังกฤษ กรณีของประเทศอังกฤษนั้น เริ่มต้นจากการบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในมหากฎบัตรแมคนาคาตา (Magna Carta) เพื่อจำกัดพระราชอำนาจของพระเจ้าจอห์นในการจัดเก็บภาษี บริบทนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้อังกฤษก้าวไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย ผลของการเป็นประเทศประชาธิปไตยนี้เองได้เกิดการประกันสิทธิของประชาชนในทรัพย์สินจากการใช้อำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและใช้ทรัพย์สินแสวงหาประโยชน์สูงสุดให้กับตนเอง เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่การเกิดขึ้นของลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
กรณีประเทศฝรั่งเศส กรณีของประเทศฝรั่งเศส การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 (คริสตศักราช) นั้นมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจความเป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างทางสังคมเนื่องมาจากระบอบศักดินาเดิมของฝรั่งเศส สภาพเศรษฐกิจ   ในเวลานั้นชาวนาซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ 3 กลายเป็นผู้ต้องรับผิดชอบภาระภาษีทั้งหมดของประเทศ ทั้งๆ ที่ฐานันดรศักดิ์ที่ 3 นั้นยากจนเพราะถูกเอาเปรียบด้วยระบบศักดินาและมีรายได้จำกัดจากการทำการเกษตร แต่ฐานันดรศักดิ์ที่ 2 และที่ 1 กลับไม่ต้องรับภาระภาษีและโดยหลักการแล้วฐานันดรทั้งสองนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมากแท้ๆ   เมื่อเกิดภัยพิบัติและความอดอยากเกิดขึ้นทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความโกรธเกรี้ยวต่อการบริหารงานของรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงนำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 นั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศในที่สุด
กรณีประเทศรัสเซีย ในประเทศรัสเซียนั้นจากการบริหารประเทศของพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟนั้นมีสภาพที่เศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่กับชนชั้นสูง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสติดที่ดิน (serf) ตามระบอบการปกครองแบบศักดินาเดิมไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงพอในการดำรงชีวิต จึงนำไปสู่การปฏิวัติรัสเซียโดยพรรคบอลเชวิกโค่นล้มพระเจ้าซาร์นิโคลัสในที่สุด

เมื่อพิจารณากรณีศึกษาข้างต้นหลายกรณีจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายประการนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายกรณีนั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นไม่เสมอไปที่จะต้องนำไปสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตย บางกรณีนั้นอาจนำไปสู่ระบอบการปกครองแบบเผด็จการก็ได้เช่นกัน เช่น กรณีของประเทศรัสเซีย ซึ่งเมื่อมีการปฏิวัติและโค่นล้มระบอบการปกครองโดยพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบการปกครองแบบเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

ฉะนั้น แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสมอ สิ่งที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มาสนับสนุนทางเลือกของสังคมที่จะกำหนดว่าจะใช้ระบอบการเมืองแบบใดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองในเวลานั้นๆ สนใจ เช่น ในช่วงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศรัสเซียนั้น ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในเวลานั้นมีความเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเชื่อมั่นในการจัดการทรัพยากรโดยร่วมกันของประชาคมโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นศูนย์กลางของประชาคม

ด้วยเหตุประการนี้เอง ‘วลาดิเมียร์ เลนิน’ จึงเชื่อว่าควรจะปกครองประเทศโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ตัดสินใจหลักในทางการเมืองและเป็นองค์กรสูงสุดในการตัดสินใจทางการเมือง เป็นต้น

การใช้ระบอบเผด็จการนำมาสู่ปัญหา เพราะการที่รัฐเข้ามาผูกขาดการดำเนินการทางเศรษฐกิจเองก็ทำให้เกิดการไม่กระจายตัวของรายได้อย่างเพียงพอ และรัฐไม่มีข้อมูลสมบูรณ์พอที่จะดำเนินการทางเศรษฐกิจได้ การเข้าผูกขาดทางเศรษฐกิจของรัฐเองจึงทำให้บ่อยครั้งที่รัฐดำเนินแผนการทางเศรษฐกิจผิดพลาด ลักษณะข้อนี้เองก็เป็นผลที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและจีนในเวลาต่อมาที่รัฐเซียต้องทลายม่านเหล็กลงและเริ่มใช้นโยบายใหม่ในยุคของ ‘มิคาอิล กอบอชอฟ’ ซึ่งใช้กลัสนอสต์และเปเรสตรอยก้า หรือประเทศจีนที่เมื่อ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ เข้ามาบริหารประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยการเปิดรับนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมากขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจในบริบทโลก

ในบริบทโลกนั้นความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเหตุได้ชัดจากกรณีศึกษาต่างๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเทศที่ปกครองโดยประชาธิปไตยโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นประเทศที่มี GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ของประชาชนในประเทศค่อนข้างสูง[2] เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการหรือระบอบผสมแล้วจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน (ภาพที่ 1 และภาพที่ 2)

ภาพที่ 1 แสดงดัชนีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ที่มา:  The 2020 Economist Intelligence Unit Democracy Index map, Improved by Wikipedia.

ภาพที่ 2 แสดง GDP เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita)

ที่มา:  Wikipedia.

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแต่ GDP แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียแม้จะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยอาจมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ประเทศอินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่ GPD เฉลี่ยต่อหัวต่ำ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำและความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนที่เป็นระบอบการปกครองค่อนไปทางเผด็จการแต่มี GDP ต่อหัวสูงกว่า 

นอกจากนี้ ในบางประเทศที่แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการแต่หากเกิดเหตุการณ์เฉพาะบางอย่างขึ้นมาก็สามารถทำให้รายได้ต่อหัวของประชากร (GDP เฉลี่ยต่อหัว) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีประเทศสาธารณรัฐอิเควทอเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา แม้จะปกครองโดยระบอบเผด็จการ โดยในกลางทศวรรษ 1990 (นับตามแบบคริสตศักราช) จนถึงปี 2010 (2553) นั้นมีรายได้ต่อหัวมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการค้นพบแหล่งแร่มีค่าที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีมากขึ้น[3]

หรือในบริบทของประเทศจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจเศรษฐกิจของประเทศจีนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ส่วนหนึ่งประเทศจีนก็มีบริบทเฉพาะของตัวเองทั้งในแง่ของการเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และเป็นฐานการบริโภคขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งก็เป็นบริบทพิเศษเฉพาะของประเทศจีน เป็นต้น

แม้ว่า GDP ต่อหัวจะไม่สามารถนำมาใช้ในแง่ของการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศประชาธิปไตยจะมีเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศเผด็จการ แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าโดยส่วนใหญ่ประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นค่อนข้างจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า

ในขณะเดียวกันด้วยระบอบการปกครองที่ต้องให้ความสำคัญกับประชาชนในฐานะเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดแล้ว แนวโน้มที่นโยบายทางเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญกับประชาชนต้องมาที่หนึ่งน่าจะมากกว่าประเทศเผด็จการที่อาจจะไม่สนใจประชาชนจะเป็นอย่างไร เพียงแต่คิดว่าได้ทำเพื่อประชาชนแล้วโดยไม่สนใจว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นดีจริงหรือไม่

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่มีพื้นหลังมาจากเรื่องทางเศรษฐกิจ

ในลักษณะเดียวกันกับบริบทของต่างประเทศที่เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีปฏิสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มา ในบริบทของสังคมไทยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่มีผลสำคัญให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตัวแปรที่มีปฏิสัมพันธ์ไขว้กันอย่างแยกไม่ออกของเศรษฐกิจและการเมือง[4]

เมื่อพิจารณาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นั้น ‘ปรีดี พนมยงค์’ สมาชิกคนสำคัญและเปรียบเป็นมันสมองของคณะราษฎรนั้น ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยไว้ว่า

สังคมมนุษย์ทุกสังคมประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ประการแรก คือ เศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐาน (โครงสร้างเบื้องล่าง) ของสังคม ประการที่สอง คือ การเมือง ซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนของสังคม โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบแก่กันและกัน  และ ประการที่สาม คือ ทรรศนะทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดจิตใจอย่างหนึ่งของคนในสังคม และเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”[5]

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเป็นไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของปรีดีว่า

“…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[6]

ผลของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจะเห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นในสังคมไทย (ภาพที่ 3) และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศที่มีความยากลำบากจากโครงสร้างทางสังคมในช่วงก่อนหน้านี้

ภาพที่ 3 เปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคมก่อนและหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475

Table

Description automatically generated

ที่มา:  ลิขิต ธีรเวคิน.

เมื่อคณะราษฎรเข้ามาบริหารประเทศก็ได้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจสำคัญตามหลัก 6 ประการ ที่ได้ประกาศไว้ ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ก็เกิดชนชั้นกลางในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนนี้ก็คือเศรษฐกิจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 

นอกจากนี้ ในทางสังคมการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยทำให้เกิดอัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้นตามนโยบายของคณะราษฎร ซึ่งการเพิ่มจำนวนของผู้รู้หนังสือนั้นมีความสำคัญต่อการเมืองของประเทศไทย ผลผลิตของการเกิดขึ้นของชนชั้นใหม่ และนโยบายทางการศึกษาที่คณะราษฎรได้สร้างไว้ทำให้เกิดกลุ่มนิสิตนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยนิสิตนักศึกษากลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการต่อต้านระบบเผด็จการทหาร[7]

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจและการเมืองนั้นมีความสัมพันธ์ไขว้ไปไขว้มาอย่างใกล้ชิด และบ่อยครั้งความสัมพันธ์ทั้งสองนั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งดังปรากฏให้เห็นมาแล้วในบทเรียนทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งระบอบการเมืองในบางเวลาก็มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และระบบเศรษฐกิจก็มีผลต่อระบอบการเมือง


เชิงอรรถ

[1] ลิขิต ธีรเวคิน, ‘ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ’ 1 (1) วารสารวิทยาการจัดการ <https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/113874/88457&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[2] แม้ว่า GDP จะไม่ได้เป็นดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนภายในประเทศนั้นๆ แต่ในด้านหนึ่งการนำตัวเลขจีดีพีนี่แหละมาหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด เป็นตัวเลขกลางๆ ที่จะบอกว่าคนในชาตินั้นโดยเฉลี่ยแล้วผลิตสินค้าหรือบริการมูลค่าเท่าไหร่ต่อปี ซื่งสามารถอธิบายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ได้ในระดับหนึ่ง โปรดดู รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, จีดีพี ดัชนีที่ไม่ได้วัดความเป็นอยู่ที่ดี, https://themomentum.co/beyond-gdp/

[3] วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร, เศรษฐกิจสามสี – เศรษฐกิจแห่งอนาคต (บริษัท บุ๊คสเคป จำกัด 2563) 45 – 46

[4] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

[5] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304&gt; สืบค้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564

[6] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) (พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 2552) 150

[7] ลิขิต ธีรเวคิน, (อ้างแล้วเชิงอรรถที่ 1)

ศิริกัญญา ตันสกุล “ความสำคัญถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ”

การสัมภาษณ์คุณศิริกัญญา ตันสกุล ในครั้งนี้เพื่อพูดถึงแนวคิดและอนาคตของรัฐสวัสดิการไทย ในสายตาของคุณศิริกัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล

“เรามีความเชื่อเรื่องแนวคิดของรัฐสวัสดิการก็ตรงไปตรงมาว่ารัฐจะต้องเป็นผู้ให้สวัสดิการกับประชาชน”

แนวคิดเบื้องต้นของ “รัฐสวัสดิการ” ในมุมมองของศิริกัญญา

สำหรับเรื่อง “รัฐสวัสดิการ” จะต้องเรียกว่าเป็น แนวคิด เพราะมันยังไม่ใช่ตัวที่เป็นนโยบาย ทางพรรคก้าวไกลซึ่งเราก็สืบทอดเอาตัวนโยบายที่เราได้หาเสียงไว้ ตั้งแต่สมัยเป็นอนาคตใหม่นำมาขับเคลื่อนต่อ และเรามีความเชื่อเรื่องแนวคิดของรัฐสวัสดิการ ก็ตรงไปตรงมาว่า “รัฐ” จะต้องเป็นผู้ให้สวัสดิการกับประชาชนนะคะ ซึ่งมันก็มีได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการให้เงินโอนเป็นเงินสด หรือว่าจะให้เป็นบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาเรื่องสาธารณสุข รวมไปถึงสวัสดิการสำหรับเด็ก หรือว่าสำหรับผู้สูงอายุ

ตรงนี้จะเป็นแนวคิดที่เรียกได้ว่ายอมยกบทบาทนี้ให้กับรัฐเป็นผู้ให้บริการ โดยที่หน้าที่ตรงนี้ก็จะเป็นหน้าที่ตัวกลางที่จะคอยจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการกระจายทั้งรายได้และความมั่งคั่ง เพื่อสุดท้ายจะนำไปสู่การที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วก็สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันนี้ก็จะเป็นแนวคิดเบื้องต้นของรัฐสวัสดิการ

รัฐสวัสดิการแนวนโยบายทางการเมืองที่กำลังผลักดัน

ชุดนโยบายที่เราเคยใช้เมื่อตอนหาเสียง ก็จะเป็นในเรื่องของรัฐสวัสดิการ คือนำเสนอการให้เงินอย่างถ้วนหน้า ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ 0 ถึง 6 ปี แล้วยงมีเงินช่วยเหลือสำหรับเยาวชนตั้งแต่ 7 ถึง 18 ปี ในส่วนของเงินบำนาญที่เป็นบำนาญพื้นฐานจะอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาทต่อคน ตรงนี้เรียกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่ประชาชนสมควรจะได้รับนะคะ

นอกจากนั้นเรายังผลักดัน และขับเคลื่อนบริการอื่น ๆ ที่สมควรจะได้รับไปพร้อมกับการได้รับเงินช่วยเหลือตรงนี้ด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องการที่รัฐควรจะต้องเป็นผู้ให้บริการ Day Care สถานเลี้ยงดูเด็กแบเบาะที่ไม่ใช่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ให้บริการกับเด็กที่มีอายุในวัยก่อนเข้าเรียน

เรายังมีการพูดถึงการปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุข ถึงแม้ว่าเราจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ในเรื่องของคุณภาพ เราก็ยังมี room ที่จะสามารถปรับปรุงไปได้อีกนะคะ ในเรื่องของสวัสดิการผู้สูงอายุ เรามีเรื่องของบํานาญพื้นฐานแล้ว แต่ว่าเราก็ยังไม่หยุดคิดในเรื่องของการบริการผู้สูงอายุเป็นศูนย์สำหรับในชุมชน หรือว่าเป็นบริการช่วยเหลือต่าง ๆ ของผู้ป่วยที่ติดเตียง ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุเช่นเดียวกันค่ะ ก็จะเห็นว่านโยบายที่หาเสียงก็จะเป็นในรูปแบบหนึ่งแต่ว่านโยบายที่จะขับเคลื่อน จะมีความครอบคลุมและมีความหลากหลายมากกว่านั้นอีกค่ะ

จาก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ 2476” สู่การผลักดันนโยบาย “รัฐสวัสดิการ 2564”

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” มี keyword ที่สำคัญก็คือ หลักประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ถูกต้องไหมคะ ซึ่งอันนี้ก็จะสอดคล้องโดยตรงกับกับแนวคิดของรัฐสวัสดิการที่สำคัญ และหัวใจสำคัญที่คิดว่าน่าจะนำมาปรับใช้อย่างแรกเลยก็คือเรื่องของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะถือว่าเป็นเป้าหมายหลักในทางเศรษญกิจ

ใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ได้เน้นย้ำถึงเรื่องของความสุขสมบูรณ์ ซึ่งมันก็คือเรื่องของคุณภาพชีวิต เรื่องของสวัสดิภาพของประชาชน ตรงนี้ถ้ารัฐบาลเอานโยบายนี้มาชูเป็นประเด็นสำคัญ ก็จะสะท้อนให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พูดถึงเรื่องพายที่มันใหญ่ขึ้นแต่อย่างเดียว แต่ว่าเรื่องของการแบ่งพายในแต่ละก้อนให้กับประชาชนในแต่ละกลุ่มอย่างเป็นธรรม แล้วก็กระจายความเท่าเทียมให้ทั่วถึง

ประเด็นต่อมานะคะก็คือเรื่องของ “การการันตีการจ้างงาน” อันนี้เป็นเรื่องที่ในเค้าโครงเศรษฐกิจพูดไว้ค่อนข้างมาก หลักก็คือ “จะไม่มีประชาชนที่ไม่มีงานทำ หรือว่าจะต้องอดอยากจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นเพราะว่ารัฐบาลจะเข้าไปเป็นผู้จ้างงาน” นี่ก็เป็นนโยบายที่เราสามารถปรับใช้ได้ในปัจจุบันได้ เพราะว่าถ้าเรามองย้อนมองบริบทในช่วงที่อาจารย์ปรีดีฯ เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ จะพบว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำ กำลังเผชิญกับ great depression ประเทศไทยเองก็เจอกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเวลานี้ที่เราก็เจอกับวิกฤติโควิด แล้วก็เศรษฐกิจตกต่ำ แล้วก็ทำให้การจ้างงานมีปัญหา มีประชาชนที่จะต้องว่างงาน หรือว่าทำงานต่ำกว่าชั่วโมงทำงานปกติค่อนข้างมาก

ดังนั้นบทบาทของรัฐอีกบทบาทหนึ่งที่จะต้องเข้ามา ก็คือต้องเป็นผู้จ้างงานเสียเอง เพื่อทำให้คนยังมีงานทำและยังมีรายได้ ในนั้นก็จะมีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้สวัสดิการกับคนที่เจ็บป่วย คนที่สูงอายุ หรือแม้แต่ว่าเป็นคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เราสามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ ในเรื่องของบำนาญได้ก็เช่นเดียวกัน เราสามารถที่จะให้สวัสดิการกับคนที่อาจจะเปราะบางทางสังคม อย่างเช่นคนเจ็บป่วย หรือว่าคนพิการ รวมถึงผู้สูงอายุที่ยังไม่มีระบบบำนาญใด ๆ มารองรับก็ควรจะต้องได้รับบำนาญขั้นพื้นฐานไปด้วย ซึ่งนโยบายตรงนี้ที่เราถอดและหยิบยกมาจากเค้าโครงการเศรษฐกิจของอาจารย์ปรีดี

ก็ประมาณนี้ที่เป็นนโยบายที่เราสามารถที่จะหยิบยกถอดมาจากเค้าโครงเศรษฐกิจของอาจารย์ปรีดีมาใช้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้ค่ะ

การขับเคลื่อน “รัฐสวัสดิการ” ในบทบาทของนักการเมือง

ต้องยอมรับว่าแนวคิดนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นที่เคยชินในสังคมไทย ในสังคมที่ประชาชนต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก แล้วก็ไม่เคยได้รับบริการสาธารณะอะไรจากรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรียกได้ว่าที่ผ่านมา สวัสดิการจะเป็นใน รูปแบบของการสงเคราะห์ เป็นสวัสดิการอนาถา สำหรับคนจนเป็นหลัก

จากการที่เรานำเสนอนโยบาย หรือว่าหาเสียงในเรื่องนี้ เราพบกับปัญหาแบบนี้เข้ามาเรื่อย ๆ เพราะว่าชนชั้นกลางส่วนหนึ่งจะเข้าใจว่าการที่จะใช้แนวคิดเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ หรือว่ามีนโยบายที่เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า จะต้องเป็นภาระทางภาษีโดยเฉพาะกับชนชั้นกลางที่ถูกรีดภาษีเงินได้มาโดยตลอด แล้วก็รู้สึกว่าจะเป็นภาระ ทำให้เกิดแรงต่อต้านส่วนหนึ่งจากกลุ่มที่เป็นชนชั้นกลาง

ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถที่จะทำให้ประชาชนรู้สึก และเข้าใจว่า ทำไมประเทศถึงต้องเป็นรัฐสวัสดิการ? ก็อาจจะต้องทำให้ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งสามารถที่จะเข้าถึงบริการสาธารณะได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง เช่น ทุกวันนี้บัตรทองต้องยอมรับว่าไม่ใช่ชนชั้นกลางที่จะเข้าถึงบริการนี้ อันเนื่องมาจากว่าด้วยความที่ระบบสุขภาพที่ยังมีความไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การรอคิวต่าง ๆ ก็ดี หรือว่าการที่โรงพยาบาลไม่ได้อยู่ใกล้บ้านเองก็ดี ทำให้ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็ไม่ได้เข้าไปใช้บริการเหล่านั้น

แต่ถ้าเราสามารถที่จะปรับปรุงบริการสาธารณะพวกนี้ให้มีคุณภาพมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โอกาสที่ชนชั้นกลางจะเข้าไปใช้มีมากขึ้น และเมื่อไหร่ที่มีคนส่วนมากที่เข้าไปใช้บริการสาธารณะพวกนี้ เขาก็จะเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญ ถึงความจำเป็นที่ประเทศจำเป็นที่จะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ

นี่เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียวสำหรับทางฝั่งการเมืองเองก็ดี หรือว่าผู้กำหนดนโยบายเองก็ดี ที่จะสามารถที่จะทำให้ประชาชน buy in กับนโยบายพวกนี้แล้วก็เป็นที่มาด้วยว่าหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ นโยบายที่เราจะต้องยืนยันถึงความเป็นสวัสดิการถ้วนหน้า ก็เป็นปัจจัยนี้ว่าการที่เราไม่จำกัดสิทธิเฉพาะกับใครคนใดคนหนึ่ง หรือว่าตามกลุ่มเป้าหมายและทำให้มีประชาชนที่ได้รับสวัสดิการส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อไหร่ที่เขาได้รับ และเขารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ เขาก็จะสนับสนุนนโยบายพวกนี้ และเต็มใจที่จะมาร่วมเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขกับคนทั้งประเทศ โดยการจ่ายภาษีที่มากขึ้นหรือว่าการที่สนับสนุนนโยบายพวกนี้กับทางฝั่งการเมืองค่ะ

พูดถึงสถานการณ์ผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ และ COVID-19 ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้แรงงาน ควรจะได้รับจากประกันสังคม

สำหรับแรงงานสามารถที่จะได้รับประโยชน์จากรัฐสวัสดิการเช่นเดียวกัน จริง ๆ ในประเทศไทยเราก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเกี่ยวกับการต่อสู้เรื่องของประกันสังคมถูกไหมคะ ทำให้สุดท้ายแล้วประเทศนี้ก็มีระบบประกันสังคม ที่จะสามารถคุ้มครองแรงงาน มีสวัสดิการที่ช่วยเหลือคนที่ว่างงาน หรือว่าเจ็บป่วยทุพพลภาพมีเงินทดแทน รวมไปถึงการมีบำนาญสำหรับผู้ประกันตนด้วย

แต่ก็อย่างที่บอกว่า แรงงานไทยก็ยังรู้สึกเปราะบางอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 อยู่ดี อันเนื่องมาจากว่าแรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วยซ้ำไป แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศนี้ราว 20 ล้านคนเป็นแรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ไม่ได้อยู่ในระบบใด ๆ และไม่ได้มีสวัสดิการใด ๆ ที่จะคุ้มครองแรงงานเหล่านี้

ดังนั้น การที่มีวิกฤตโควิด-19 ทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่ายังมีรายงานอีกกลุ่มใหญ่ กลุ่มที่เป็นส่วนใหญ่ของแรงงานด้วยซ้ำไป ที่ไม่มีตาข่ายใด ๆ มารองรับ เมื่อประเทศเกิดวิกฤต จะเห็นว่าตอนที่มีการระบาดระลอกแรก ก็จะมีการเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือเยียวยากับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรัฐที่ไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการแห่งรัฐบาลปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นว่าก็จะเกี่ยงงอนกับการที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนเหล่านี้

แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปรับปรุงหรือว่าปฏิรูปประชาสังคมให้ครอบคลุมไปถึงแรงงานนอกระบบที่เป็นคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป ตรงนี้ก็ตามแนวคิดของรัฐสวัสดิการ แรงงานไม่ว่าจะเป็นแรงงานประเภทไหน ก็ควรจะต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นจากการว่างงาน หรือว่าจากเมื่อเกษียณอายุ และต้องมีบำนาญคุ้มครอง

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เราผลักดันเช่นเดียวกัน ที่จะต้องปฏิรูปประกันสังคมในเรื่องของมาตรา 40 หรือว่ามาตรา 39 สำหรับมาตรา 40 ให้มีสิทธิประโยชน์ที่จูงใจให้ประชาชนอยากที่จะเข้ามาร่วมเป็นผู้ประกันตนมากขึ้น และมีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมไปถึงบำนาญที่ประชาชนที่เป็นแรงงานสามารถที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เรื่องงบประมาณของรัฐ ถูกใช้ไปกับเรื่องความมั่นคงค่อนข้างสูง ถ้าให้เทียบกับสัดส่วนงบประมาณที่ใช้ไปในเรื่องของสาธารณสุขค่อนข้างต่ำ เมื่อเกิดวิกฤตโควิด รัฐก็ยังคงใช้งบประมาณไปกับความมั่นคงมากกว่า ในฐานะนักการเมืองมีการตั้งข้อสังเกตอะไรบ้าง

ถ้าโยงมากับแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ แน่นอนว่าเราจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการที่จะให้สวัสดิการอย่างถ้วนหน้ากับประชาชน ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นว่า เราจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ และการจัดเก็บภาษีแน่นอน

ทุกวันนี้จากประสบการณ์ที่เป็นนักการเมือง และไปนั่งในกรรมาธิการงบประมาณมา 2 ปี เราก็เห็นว่าการจัดสรรงบมาณสามารถที่จะปรับปรุงให้มันให้มันตรงจุดตรงเป้าได้มากกว่านี้ แต่นี่มันเป็นเรื่องของวิธีคิดเป็นเรื่องของแนวคิดมากกว่าว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มีความคิดว่าสวัสดิการของประชาชนที่เป็นสวัสดิการถ้วนหน้าเป็นเรื่องจำเป็น  ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองไหนก็ตามที่เคยหาเสียงด้วยนโยบายที่จะให้สวัสดิการถ้วนหน้า แล้วก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะผลักดันในการจัดสรรงบให้ไปสู่สวัสดิการอย่างถ้วนหน้าอย่างแท้จริง

เราก็ยังเห็นการเน้นความมั่นคงในด้านในทางทหารมากกว่าความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข หรือ ความมั่นคงในคุณภาพชีวิตของประชาชน ตรงนี้ก็เลยนำไปสู่การที่เราจะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ในสภา มีการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น ที่ผ่านมาเราก็มีการฉายภาพที่เห็นว่าสวัสดิการประชาชนมัน fragment มาก ๆ มันกระจัดกระจาย มันไปอยู่ตามกระทรวงกรมต่าง ๆ เป็น 10 กว่ากระทรวง สำหรับการให้สวัสดิการของประชาชนทั้งประเทศ แต่เมื่อรวมงบประมาณกันแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับงบประมาณที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการ ซึ่งข้าราชการที่มีจำนวนคนที่รับผลประโยชน์ในประมาณ 5 ล้านคน กลับได้งบประมาณที่ใกล้เคียงกับประชาชนทั้งประเทศได้รับสวัสดิการ

ตรงนี้แสดงถึงความคิดวิธีคิด และ ความเชื่อต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในปัจจุบันนี้แล้วว่าเขาไม่ได้เชื่อ และไม่ได้คิดว่าสวัสดิการมันควรจะต้องเป็นสิทธิของประชาชน แต่ว่าจะเน้นไปที่สวัสดิการ อย่างเช่น บัตรคนจนหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งที่จะเป็นการให้ในเชิงสงเคราะห์ที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้

ผลกระทบของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด จนสถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อย ๆ การเป็นหนี้สินภาคครัวเรือน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องของหนี้ครัวเรือนแน่นอนว่า การที่คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุมาจากการที่รายได้ต่ำลง ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคระบาดในอย่างทุกวันนี้ ซึ่งรายได้ที่ลดลงของประชาชนไม่ได้เกิดจากการความผิดของประชาชนเอง

ดังนั้นรัฐมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปประคับประคองหรือว่าเยียวยา เพื่อทำให้รายได้ของประชาชนไม่ได้ตกลงไปมากกว่านี้ แต่ยังไงก็ตามถึงแม้ว่ารัฐจะมีมาตรการเยียวยาอะไรออกมา ก็อาจจะไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ว่าก็ต้องคิดอย่างนี้ค่ะ ว่าทุกบาทที่รัฐต้องเป็นคนแบกรับหนี้ให้เป็นหนี้สาธารณะของประเทศ อาจจะทดแทนหนี้ที่เป็นหนี้ของครัวเรือนได้ หมายความว่ามันก็เหมือนกับเป็นกระเป๋าเดียวกัน ถ้ารัฐไม่ทำอะไรเลย หนี้ของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น แต่การที่รัฐจะทำอะไร ก็เหมือนกับว่าแบ่งเบาหนี้ที่ควรต้องเป็นหนี้ของประชาชนมาเป็นหนี้ของรัฐเอง

เรื่องหนี้ครัวเรือน ทางพรรคเองก็มีแนวคิดที่จะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบกับปัญหาเรื่องหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนี้เริ่มกลายเป็นหนี้ที่ไม่สามารถที่จะผ่อนจ่ายต่อได้แล้ว ประสบการณ์จากหลายประเทศที่ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องของการที่จะไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ต่าง ๆ เพื่อที่ทำให้ประชาชนไม่ต้องประสบกับปัญหา ต้องกลายมาเป็นบุคคลล้มละลาย ถูกฟ้องต่าง ๆ โดยที่เกิดจากความผิดที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโควิดแบบนี้ หนี้ต่าง ๆ ถ้าเราสามารถที่จะไกล่เกลี่ยเจรจาแทนประชาชนได้ เป็นตัวกลางที่จะเจรจาระหว่างธนาคารต่าง ๆ หรือว่าบริษัทบัตรเครดิตต่าง ๆ แทนประชาชน ก็ทำให้ประชาชนสามารถที่จะได้รับข้อเสนอที่เป็นธรรมมากขึ้นกับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ด้วย อันนี้ก็จะเป็นแนวคิดที่เราจะช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาของหนี้ครัวเรือน

ตอนนี้ในสถานการณ์ที่จำเป็นอยู่อาจเป็นเรื่องของวัคซีน ในแง่หนึ่งคือการฉีดวัคซีนให้กับคนทั้งประเทศ 66 ล้านคน แต่ปัจจุบันฉีดได้ 1 แสนคน ในภาพแบบนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง

วิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ แน่นอนว่าเราอาจจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละรอบได้ด้วยการเยียวยา เงินที่มีอยู่ในหน้าตัก ถ้ามันไม่พอสำหรับการเยียวยาช่วยเหลือเราก็สามารถที่จะกู้เพิ่มได้ แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะวนลูปนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ได้ตลอดไป

ดังนั้นหนทางเดียวที่เป็นกุญแจออกจากการวนลูปนี้ก็คือ การที่ประชาชนได้รับวัคซีน แล้วก็สามารถที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเชื้อหรือว่าจะแพร่เชื้อไปให้กับบุคคลอื่นได้ แต่ว่าปัญหาเรื่องวัคซีนมันก็กลายเป็นคอขวดที่น่าจะเป็นปัญหาที่ปวดหัวของรัฐบาล

เนื่องจากว่าไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดหาอย่างล่าช้า การที่เราไม่ได้กระจายความเสี่ยงของประเภทของวัคซีนอย่างมากพอ แล้วก็ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการกระจายว่าจะมีกลวิธี ยุทธวิธีอย่างไรที่จะสามารถกระจายวัคซีนได้อย่างตรงจุดตรงเป้า ทุกวันนี้เราก็ไม่รู้แน่ชัดว่าใครกันแน่ที่จะเป็นเป้าหมายในการฉีดวัคซีนของรัฐบาล จะเป็นคนผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน หรือว่าคนที่มีโรคประจำตัว

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ความเชื่อมโยงบนความที่น่าจะเป็นไปได้กับสังคมไทยยุคปัจจุบัน

ถ้าเรามองบริบทตอนที่อาจารย์ปรีดีนำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ เราจะเห็นว่ามันก็จะเป็นตอนที่ช่วงที่ประเทศกำลังประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ คล้าย ๆ ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องของ great depression นะคะแล้วก็เศรษฐกิจโลกตกต่ำทั่วโลก การส่งออกก็ย่ำแย่ ตอนนั้นประเทศก็เพิ่งที่จะเข้าสู่การมีรัฐสมัยใหม่ และที่สำคัญก็คือว่าประชาชนมีความทุกข์ยาก อดอยาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ 90% ก็ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินทำกินนะคะ

ดังนั้นเราอาจจะหยิบยกเอาบางส่วนของเค้าโครงเศรษฐกิจมาปรับใช้กับในปัจจุบันได้ แต่ว่าบริบทจะเปลี่ยนไป เพราะตอนนั้นมีประชากร 11 ล้านคน ปัจจุบันเรามีประชากร 67 ล้านคน แต่ว่าก็ยังไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินอยู่ดี

ตอนนั้นเรามีวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลก ตอนนี้เราก็มีวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกที่เกิดจากโรคระบาดเช่นเดียวกัน ตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มเข้าสู่การมีรัฐสมัยใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตรงนี้ที่เป็นจุดแตกต่างที่ค่อนข้างสำคัญ เนื่องจากว่า 90 ปี เกือบ ๆ 90 ปีผ่านไป หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราก็พบว่ารัฐสมัยใหม่ที่เราได้มาก็อาจจะไม่ใช่รัฐที่มีประสิทธิภาพ หรือว่ามีความสามารถที่จะจัดการกับเศรษฐกิจอย่างที่อาจารย์ปรีดีฯ เคยได้วางแผนไว้ ตอนที่เขียนเค้าโครงทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น เพื่อที่จะทำให้เราไปสู่รัฐสวัสดิการ นำไปสู่หลักการเรื่องของการประกันความสุขสมบูรณ์ของของราษฎร เราก็อาจจะให้รัฐไม่จำเป็นจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่กลายมาเป็นตัวกลางที่จะช่วยจัดสรรทรัพยากร ให้มันเกิดความเท่าเทียม เกิดการกระจาย ทั้งรายได้ และความมั่นคงมั่งคั่งมากขึ้น โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธระบบตลาด ทุกคนยังมีตัวเสรีภาพทางเศรษฐกิจและสามารถที่จะทำธุรกิจอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นของประชาชนเอง โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้รัฐเป็นเป็นผู้ตัดสินใจอยู่เพียงฝ่ายเดียว

เพราะว่าด้วยความที่กาลเวลาก็ผ่านมา ก็มีการพิสูจน์แล้วว่า รัฐสวัสดิการไปได้ดีกับระบบที่ใช้ระบบตลาด ที่เป็นระบบนำเช่นเดียวกับเสรีภาพทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐสวัสดิการในหลาย ๆ ประเทศประสบความสำเร็จ 

เนื่องในโอกาสที่จะถึงวันปรีดีวันที่ 11 พฤษภาคมนะคะ ดิฉันเองด้วยความที่เป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ก็จะได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติหรือว่าผลงานของอาจารย์ปรีดีฯ มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่เราในฐานะนักศึกษาได้ก็มีการพูดคุยถกเถียงกันในชั้นเรียนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม

ดังนั้นก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้นำเอาหลักการแนวคิดของเค้าโครงการเศรษฐกิจมาคุยกันอีกรอบหนึ่ง ในวาระที่สถานการณ์มันเริ่มที่จะกลับมาย้อนรอยกับสถานการณ์ในช่วงที่อาจารย์ปรีดีฯ นำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งค่ะ