Field Trip with อ.แล

วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินลงพื้นที่กับศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ในย่านเยาวราช-สำเพ็ง-ราชวงศ์ การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุดเริ่มต้นในการเดินครั้งนี้ อ.แล มีความตั้งใจที่อยากจะให้เห็นพื้นที่พร้อมๆ กับย้อนทำความเข้าใจการก่อตัวของพื้นที่สำคัญของการก่อตัวทุนนิยมกรุงเทพ ซึ่งพื้นที่นี้ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อมาในอีกหลายๆ ปีในฐานะย่านการค้าสำคัญ รวมถึงยังเป็นพื้นที่สำคัญในทางการเมืองหลายๆ เรื่อง

จุดเริ่มต้นของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้เริ่มจากซอยแปลงนามที่เชื่อมระหว่างถนน (ตรอกป่าช้าหมาเน่า) ที่เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนเยาวราช ก่อนจะเดินออกจากซอยแปลงนามเลาะไปตามถนนเจริญกรุงจนมาถึงแยกเสือป่าตามเส้นทางนี้จะเห็นสถานที่สำคัญคือ วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกรกมลาวาสแล้วจึงข้ามถนนกลับมาเพื่อเดินเลาะไปตามถนนราชวงศ์แล้วจึงมาหยุดที่หมายแรกของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้คือ วัดโผ เพื๊อก (จั่วโผเพื๊อก) หรือพระราชทานนาม วัดกุศลสมาคร

วัดกุศลสมาครเป็นวัดพุทธมหายานฝ่ายอันนัมนิกายหรือญวนนิกาย ในส่วนนี้ อ.แล ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจว่าเยาวราชเป็นชุมชนคนจีน แต่หากพิจารณาแล้วในพื้นที่เรียกว่า เยาวราชมีวัดจีนใหญ่เพียงแค่ 1 แห่งเท่านั้นคือ วัดเล่งเน่ยยี่เท่านั้น (จริงๆ มีวัดจีนขนาดเล็กอีกวัดคือ วัดย่งฮกยี่) แต่กลับมีวัดญวนถึง 3 แห่ง คือ วัดโผ เพื๊อก วัดตื้อเต๊ (จั่วตื้อเต๊) และวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เยาวราชเดิมไม่ใช่แค่ย่านที่คนจีนอยู่ แต่เป็นย่านที่มีทั้งคนญวณและคนจีนอยู่ด้วยกัน

การเข้ามาอยู่ของคนญวณและคนจีนในพื้นที่เริ่มต้นมาจากการสร้างพระบรมมหาราชวัง ซึ่งฝั่งขวาของพระราชวังเดิมฝั่งธนบุรีเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนคนจีนและญวณ โดยคนญวณอาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า ท่าเตียน ซึ่งก็เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งว่ามาจากชื่อเมืองห่าเตียน (พุทไทมาศ) ซึ่งคนญวณได้อพยพมาอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่พักของพระยาราชาเศรษฐี ญวน (ม่อซื่อหลิน) หรือหมักเทียนตื๊อ ก่อนที่ต่อมาจะมีการโยกย้านคนจีนและคนญวนมาอยู่ในพื้นที่เยาวราช-สำเพ็ง

วัดโผเพื๊อกเป็นหนึ่งในวัดเก่าและเป็นวัดเริ่มต้นของคณะสงฆ์อันนัมนิกายในประเทศไทย โดยวัดอันนัมนิกายแห่งแรงในประเทศไทยตั้งอยู่ตรงพื้นที่ตลาดน้อยมีชื่อว่า วัดคั้นเยิง (จั่วคั้นเยิง) หรือพระราชทานนาม วัดอุภัยราชบำรุง หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อวัดญวนตลาดน้อย

อ.แล ได้เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดอันนัมนิกาย แต่คนที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเป็นวัดพุทธมหายานเหมือนกัน และอีกส่วนหนึ่งก็คือ เจ้าคณะอันนัมนิกายในยุคหลังๆ ไม่ใช่คนญวนที่เดินทางมาจากเวียดนามอีกแล้วแต่เป็นลูกหลานคนญวนหรือคนจีนที่บวชเรียนในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เพราะภายหลังจากสงครามอันนามสยามยุทธในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 ทำให้คนญวนเข้ามาในน้อยลง

แม้ว่าจะเป็นวัดของอันนัมนิกาย แต่ก็เป็นวัดพุทธมหายานลักษณะพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ภายในวัดก็ไม่ได้แตกต่างจากวัดพุทธมหายานอื่นมากเท่าใด จุดที่อาจจะแตกต่างกันบ้างคือ วัดการวางพระพุทธรูปแบบวัดพุทธมหายานส่วนใหญ่ เช่น วัดเล่งเน่ยยี่ที่มีพระพุทธรูปสามองค์เรียงกันคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีพุทธะ และพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แต่วัดโผเฟื๊อกมีพระพุทธรูปประธานเพียงแค่องค์เดียว

ความน่าสนใจของวัดอันนัมนิกายก็คือ วัดมักจะมีชื่อเขียนด้วย 3 ภาษาคือ ภาษาจีนโดยใช้ตัวอักษรจีนฮั่น ภาษาเวียนดนาม (จื๋อโกว๊กหงือ) และภาษาไทย ซึ่งเป็นนามพระราชทานที่แปลมาจากภาษาจีนและภาษาเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากมีการตั้งสมณศักดิ์ให้กับพระจีนนิกายและอันนัมนิกายในสมัยรัชกาลที่ 5 (โดยก่อนหน้านี้ การดูแลพระสงฆ์ทั้งสองนิกายอยู่ภายใต้กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา) แม้ในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีการให้พระทั้งสองนิกายเข้าร่วมพิธีสงฆ์ในราชสำนัก

หลังจากเดินออกจากวัดโผเฟื๊อกแล้วคณะของเราได้เดินต่อไปตามถนนราชวงศ์ โดยสองข้างทางนี้ถูกเรียกว่าเป็นย่านย่อยว่า สำเพ็ง ก่อนเลี้ยวเข้าซอยผลิตผลหรือซอยซุนยัดเซ็น ความสำคัญของซอยนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย 2 เรื่องคือ เรื่องแรกคือ ซอยนี้ถูกจดจำในฐานะเป็นที่ๆ ซุนยัดเซ็นมาระดมทุนตอนมาประเทศไทยเพื่อไปนำไปใช้ในการปฏิวัติซินไฮ่ (แม้ว่า อ.แล จะบอกว่า ภาพตอนซุนยัดเซ็นมาระดมทุนจะเป็นภาพตอนอยู่ริมถนนเยาวราชก็ตาม) และเรื่องที่สองคือ ซอยนี้เป็นที่ตั้งของวัดตื้อเต๊ หรือพระราชทานนาม วัดโลกานุเคราะห์

วัดตื้อเต๊ มีความสำคัญต่อการเมืองไทยพอๆ กับเรื่องเล่าที่ว่า ซุนยัดเซ็นเคยมาระดมทุนที่เยาวราช เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดที่เมื่อโฮจิมินห์เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาก่อตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ และได้มาเจอเจ้าอาวาสวัดตื้อเต๊ก่อนจะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มจัดตั้งที่จังหวัดพิจิตร การเดินทางมาที่วัดนี้ของโฮจิมินห์ป็นการมาพบปะกับสหายผู้รักชาติ และเป็นแกนนำที่ติดต่อสื่อสารกับคนเวียดนามในประเทศไทย

วัดตื้อเต๊ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนถูกนไปใช้เป็นพื้นที่เก็บของร้านค้าด้วย ตอนเดินดูในวัดจึงมีทั้งหลวงจีนและผู้ค้าต่างๆ เดินสวนกันไปมา

หลังจากเดินออกจากวัดตื้อเต๊แล้ว อ.แล ได้นำพวกเราเดินไปตามถนนราชวงศ์ต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำราชวงศ์ ตลอดสองข้างทางถนนราชวงศ์คือ ย่านสำเพ็ง ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านขายสินค้าปลีก-ส่ง แต่ก็ยังคงมีธุรกิจสำคัญๆ ที่เติบโตมาจากย่านนี้ เช่น บริษัท ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ UFM และบริษัท ศรีกรุงวัฒนา จำกัด ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าเหล็ก เป็นต้น

ก่อนจะเกินต่อไปจนถึงท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนคณะเรานั่งพักดื่มชากาแฟแถวนั้น พลางอธิบายเกี่ยวกับความแตกระหว่างคนจีนกับญวนในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่แตกต่างระหว่างคนจีนกับญวนก็คือ วัฒนธรรม คนจีนยังคงรักษาแบบแผนของวัฒนธรรมไว้ ตรงกันข้ามกับคนญวน ซึ่งถูกกลืนและปรับเปลี่ยนไปกับคนไทยทั่วๆ ไป เช่นเดียวกันกับเชื้อชาติอื่นๆ ส่วนคนจีนยังคงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ แต่เป็นการรักษาไว้ในเชิงรูปแบบ แม้ว่าจะใช้ภาษาและคำเรียกในลักษณะเดิม แต่ความคิดและความรู้สึกนั้นแตกต่างออกไปแล้ว

ที่ท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนให้เราจินตนาการนึกภาพอดีตของแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะเป็นท่าเรือการค้า การทำการค้าทางไกลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนตั้งกรุงเทพ แต่ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การนำเข้าแรงงานคนจีนเพื่อมาทำงานเป็นกุลี-จับกังในการแบกหามสินค้าหรือเข็นสินค้าไปตามห้างร้านต่างๆ หรือที่ในบริเวณนั้นเรียกว่า กงซีล่ง (โกดังเก็บสินค้าของบริษัท, ห้าง, ร้าน) ตรงถนนทรงวาด

อ.แล ได้อธิบายลักษณะสำคัญของทุนนิยมคือ การขูดรีดแรงงาน เพื่อเอาส่วนเกินมาสร้างเป็นผลกำไร สิ่งนี้จึงทำให้แรงงานต้องทำงานและพักพิงอยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง แต่สภาพความเป็นอยู่ของแรงงานแถวนั้นไม่ค่อยมีคุณภาพ รวมถึงพื้นที่มีความหนาแน่น ทำให้แรงงานจีนมักจะเสียชีวิตจากโรคติดต่อ แบบวัณโรค

การค้าทางไกลของไทยในอดีตอยู่ภายใต้กรมพระคลัง โดยแบ่งออกเป็นกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา (หันหน้าออกสู่ปากน้ำ) กรมท่าซ้ายจะทำการค้ากับประเทศจีน เวียดนาม และโอกินาวา (ริวกิว) โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ส่วนกรมท่าขวาจะทำการค้ากับหัวเมืองมลายู อินเดีย อิหร่าน และยุโรป อยู่ภายใต้การดูแลของพระจุฬาราชมนตรี ซึ่งเกี่ยวพันกับตระกูลบุนนาค

ตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐีนี้ โดยส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งจะเป็นคนจีน ทำให้ในเวลาต่อมาเมื่อคนจีนเหล่านี้เข้ามารับราชการและได้รับพระราชทานนามสกุลจึงพยายามนำชื่อตำแหน่งไปใช้ในนามสกุล อาทิ โชติกเสถียร โชติกสถิตย์ โชติกวาณิชย์

ตรงข้ามกับท่าน้ำราชวงศ์เยื้องๆ กันจะเห็นล้ง 1919 ซึ่งอยู่ข้างๆ กับบ้านตระกูลหวั่งหลี ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทยในช่วงหนึ่ง ตัวอาคารล้ง 1919 เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่า ฮวย จุ่ง ล้ง ซึ่งเป็นตึกแถวที่ทำขึ้นมาในผังรูปตัว U เพื่อใช้เป็นที่พักของคนงาน

เยื้องๆ ไปทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางสะพานพุทธ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นย่าน (กุฎีจีน) ของชุมชนคนโปรตุเกส โดยมีโบสถ์ซางตาครู้สเป็นศูนย์กลาง แม้ว่าต่อมาคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะกลายเป็นคนจีนส่วนใหญ่ก็ตาม (ส่วนตรงข้ามของโบสถ์ซางตาครู้สก็คือ โบสถ์กาลหว่าร์หรือโบสถ์แม่พระลูกประคำ ซึ่งเป็นพวกโปรตุเกสและญวนอพยพจากอยุธยาที่นับถือคริสตศาสนา และไม่ยอมรับอำนาจมิสซังโปรตุเกสที่มาภายหลัง) นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เล่าเกร็ดการมูเตลูเกี่ยวกับสะพานพุทธกับดวงเมืองให้ฟัง

เมื่อเดินย้อนกลับจากท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปทางถนนทรงวาด ซึ่งมีที่มาจากการที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขีดเส้นวาดถนนลงบนแผนที่เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

ที่หัวมุมของถนนทรงวาดมีตึกเก่าที่เรียกว่า ตึกแขก ซึ่งอาคารเป็นศิลปะแบบชิโนโปรตุกีสหรือสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นลักษณะอาคารที่มีความนิยมทำในช่วงรัชกาลที่ 5 ต่อจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่ 6 โดยอาศัยลักษณะนี้มักจะเป็นงานก่อสร้างของคหบดีที่มั่งคั่งในยุคนั้น

ถนนทรงวาดมีความสำคัญในฐานะพื้นที่ตั้งของกงซีล่ง ซึ่งเป็นลักษณะของโกดังร้านค้าต่างๆ ที่เมื่อมีการนำสินค้าขึ้นมาจากเรือแล้วจะมีการนำมาส่งตามร้านต่างๆ เพื่อขาย ปัจจุบันร้านค้าในลักษณะนี้ยังมีอยู่ แต่สินค้าที่ขายโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าเกษตรกรรม แม้ว่าย่านนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยเป็นย่านท่องเที่ยวที่เริ่มพัฒนาใหม่

นอกจากห้างร้านแล้ว ถนนทรงวาดยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนเผ่ยอิง ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2459 โดยพ่อค้าชาวจีนคนสำคัญ 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ พระอนุวัติราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง (แต้หงี่ฮง) ซึ่งเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งจากกิจการโรงบ่อน (ต่อมายี่กอฮงยังได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการพนันและโชคลาภ โดยมีศาลเจ้าอยู่บนสถานีตำรวจพลับพลาชัย)

โรงเรียนเผยอิงนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า โรงเรียนผลิตเจ้าสัว เนื่องจากศิษย์เก่าหลายคนที่จบจากโรงเรียนนี้เป็นเจ้าสัวคนสำคัญ อาทิ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งธนาคารศรีนคร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ คุณเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และคุณธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น

ในพื้นที่เดียวกันกับโรงเรียนเผยอิงยังมีศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงอีกด้วย อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่เยาวราชนี้มีวัดจีนไม่กี่แห่ง แต่มีศาลเจ้าค่อนข้างเยอะ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนจีนส่วนใหญ่นับถือขงจื๊อมากกว่า นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เสริมว่า คนจีนนั้นนับถือปูนเถ้ากงมากก็จริง แต่ยังน้อยกว่าซำปอกงหรือเจิ้งเหอ เพราะในแง่หนึ่งคนจีนโพ้นทะเลมองว่าเจิ้งเหอมีความเก่งกาดสามารถนำขบวนยุทธนาวีขนาดใหญ่เดินทางข้ามผ่านหลายทวีปได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีศาลเจ้าบูชาซำปอกองหลายที่ แต่ที่สำคัญก็คือที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยมีการเข้ามาประเมินและให้มาตรฐานกับศาลเจ้าว่าเป็นศาลเจ้ามาตรฐาน หน้าที่นี้เป็นไปตามกฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานศาลเจ้า ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยดูแล

ข้างๆ โรงเรียนเผยอิงเป็นที่ตั้งของตรอกโรงโคม ซึ่งคำว่า โรงโคมนี้มีที่มาจากโคมเขียวหรือก็คือซ่องโสเภณี สิ่งนี้สะท้อนว่าย่านเยาวราช-สำเพ็งเป็นย่านกิจกรรมด้านความบันเทิง เพราะเป็นแหล่งรวมทั้งบ่อนการพนันและที่ค้าประเวณี

ถัดจากโรงเรียนเผยอิงมาจะพบกับมัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ขุนนางมุสลิมเชื้อสายมลายู ความน่าสนใจของมัสยิดดังกล่าวคือ เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่กลางชุมชนคนจีนและญวน อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า หลวงโกชาอิศหากนี้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาในกรมท่าขวา โดยทำหน้าที่แปลภาษาโปรตุเกสเป็นภาษามลายูแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งสะท้อนภาพของภาษาต่างประเทศที่ใช้ทำการค้ากับตะวันตกก่อนการเข้ามามีบทบาทของภาษาอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

ด้านหน้าของมัสยิดฝั่งที่ติดกับถนนทรงวาดนั้นเป็นตึกแถวเรียงติดกัน อ.แล เล่าให้ฟังว่าเดิมทางเข้านั้นเข้าจากอีกฝั่งหนึ่ง จนต่อมามีการตัดถนนทรงวาดจึงมีการทะลุตึกแถวเดิมออกหนึ่งห้องเพื่อทำทางเข้ามัสยิด ส่วนทางเข้าเดิมในปัจจุบันเป็นกุโบร์หรือสุสาน

เดินต่อเนื่องมาตามถนนทรงวาดเรื่อยๆ จะเจอกับตรอกสะพานญวน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ในย่านนี้เป็นย่านที่เคยมีคนญวนอาศัยอยู่เยอะเช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันเมื่อมองไปแล้วจะไม่เห็นสะพานแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งจุดสำคัญของถนนทรงวาดคือ ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของบริษัท เจียไต๋ จํากัด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเวลาต่อมา เดิมกิจกรรมของบริษัท เจียไต๋ จำกัด ก็เหมือนกับกงซีล่งอื่นๆ แถวนี้คือ เป็นร้านค้าขายสินค้าการเกษตรก่อนจะขยายตัวออกไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและการเกษตรอื่นๆ ในเวลาต่อมา

นอกจากบริษัท เจียไต๋ จำกัดแล้วแถวนั้นยังเป็นที่ตั้งของวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าสำคัญในย่านนี้ และแถวๆ นี้ยังมีที่ตั้งของโรงพิมพ์วัดเกาะ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ราษฎรแรกๆ ที่ผลิตหนังสือวรรณกรรมภาษาไทยฉบับราษฎร

เมื่อเดินออกมาจากถนนทรงวาดก็จะย้อนกลับมาจนถึงถนนเยาวราช ซึ่งหัวมุมของถนนจะเห็นสถานที่เคยเป็นโรงหนังเฉลิมบุรี ซึ่งเคยเป็นโรงหนังที่สร้างขึ้นไล่เลี่ยกับโรงหนังเฉลิมกรุง (ปัจจุบันโรงหนังเฉลิมกรุงยังอยู่) เยาวราชเริ่มเป็นย่านที่มีร้านอาหารแบบที่พอจะเห็นเค้าในปัจจุบันก็เมื่อกรุงเทพมีชีวิตกลางคืนเกิดขึ้น

การมาถึงของไฟฟ้าและความบันเทิงยามกลางคืนได้ทำให้เยาวราชกลายเป็นย่านสำคัญของชีวิตกลางคืน ร้านอาหารต่างๆ อาทิ สีฟ้าภัตราคาร และหยาดฟ้าภัตราคาร (ห้อยเทียนเหลา) ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ อ.แล เล่าว่ายังเด็กร้านอาหารพวกนี้เริ่มมีมากขึ้นและส่วนใหญ่คนที่มาทานอาหารจะเป็นพวกผู้ดี ข้าราชการ และนายทหารและตำรวจ ที่มากินกัน และส่วนใหญ่อาหารที่เสิร์ฟก็จะเป็นจานเล็กๆ เพราะเขาอยากให้กินหลากหลาย

การเดินลงพื้นที่ของเรามาจบลงที่ถนนแปลงนาม ตรงวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) หรือพระราชทานนาม วัดมงคลสมาคม หรือเรียกกันว่า วัดญวนซอยแปลงนาม ซึ่งเป็นวัดญวนเก่าแก่ และอาจจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะเดิมวัดนี้เคยตั้งอยู่ตรงถนนพาหุรัด ซึ่งเมื่อมีพระประสงค์จะสร้างถนนเป็นเส้นทางคมนาคมสมัยใหม่จึงทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดขึ้นใหม่ วัดโห่ยคั้นเป็นวัดขนาดเล็กค่อนข้างเงียบๆ ปัจจุบันวัดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่จอดรถและที่ขายขนมจีบลูกละบาทของแป๊ะเซี๊ยะ

การทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ: จากวิธีการคอมมิวนิสต์สู่หลักการสำคัญในปัจจุบัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

หมายเหตุ บทความนี้สรุปเนื้อหาส่วนใหญ่มาจากบทที่ 3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใน ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐสร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ (เสมสิกขาลัย, 2564) 34 – 41. สรุปและเพิ่มเติมเนื้อหาโดย เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในช่วงต้นว่าเป็นการนำแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์โซเวียตมาใช้ในประเทศไทย  ทว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดของเนื้อหาในเค้าโครงการเศรษฐกิจหลายๆ หัวข้อประกอบกับคำชี้แจงแล้วจะเห็นได้ว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นมิได้ใช้แนวคิดทางเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เป็นหลักการสำคัญ หากแต่ประกอบไปด้วยแนวคิดทางเศรษฐกิจจากหลายๆ สำนัก

ในทางกลับกัน แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติที่ถูกนำมาใช้ในเวลาต่อมาในประเทศไทยนั้น กลับไม่ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาในบริบทของการเกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่ง ‘รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ’ ได้อธิบายความเป็นมาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ “สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ” โดยในบทความนี้ผู้เขียนได้สรุปสาระสำคัญและเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเพื่อนำมาเล่าให้ผู้อ่านทุกคนทราบ

เค้าโครงการเศรษฐกิจกับแผน 5 ปีของรัฐบาลโซเวียต

แนวคิดเรื่องการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (และสังคม) แห่งชาตินั้นเป็นอิทธิพลของต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยในช่วงประมาณ พ.ศ. 2500 ในรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผ่านการแนะนำของประเทศสหรัฐอเมริกา (ดูเพิ่มเติม กาลครั้งหนึ่งเมื่อประเทศไทยริเริ่มมีองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ) สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย  ทว่า หากย้อนกลับไปพิจารณาข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ไทย การวางแผนทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ของประเทศไทย แต่เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 

กล่าวคือ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลและคณะราษฎรได้มอบหมายให้ ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ (ปรีดี พนมยงค์) เป็นผู้จัดทำเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการวางแผนทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเหมือนกัน

ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจก็คือ เมื่อเค้าโครงการเศรษฐกิจเสร็จสิ้นและถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เค้าโครงการเศรษฐกิจถูกโจมตีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะแผน 5 ปี คิดเรื่องการทำตามคำสั่งของรัฐบาลเหมือนรัสเซียยุคสตาลิน (Joseph Stalin)[1] (ผู้สรุป: ทว่า เมื่อทำความเข้าใจและคำชี้แจงของปรีดี พนมยงค์ จะเห็นได้ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นไม่ได้มีเนื้อหาไปในลัทธิหรือสำนักคิดทางเศรษฐกิจหนึ่งเศรษฐกิจใดเป็นการเฉพาะ หากแต่อาศัยหลักการของสังคมนิยมมาเป็นแกนกลางเท่านั้น ดูเพิ่มเติม มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์

ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจนั้น พยายามเดินตามลอยโซเวียตรัสเซีย หากเปรียบเทียบในเชิงหลักการแล้วเค้าโครงการเศรษฐกิจ มีความแตกต่างจากแผน 5 ปีของสตาลินพอสมควร กล่าวคือ แผน 5 ปีของสตาลินนั้นประกอบไปด้วยหลักการสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1) การวางแผนจากส่วนกลาง(central planning) 2) การใช้อำนาจเผด็จการกรรมาชีพ (dictatorship of the proletariat) ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ 3) การเน้นอุตสาหกรรม และ 4) การหาเงินทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถกระทำได้ใน 2 วิธี คือ การใช้กลไกราคาด้วยการแลกเปลี่ยนแบบไม่เสมอภาค (unequal exchange) โดยการบังคับซื้อสินค้าการเกษตรในราคาถูกเพื่อเอามาทำสินค้าอุตสาหกรรมในราคาแพงเพื่อสร้างกำไร และการเก็บภาษี วิธีการนี้เป็นไปเพื่อดึงรายได้จากภาคเกษตรกรรมมายังภาคอุตสาหกรรม 

ดังจะเห็นได้ว่า หลักการ 4 ประการนี้มีลักษณะส่งเสริมกันเพื่อที่จะให้รัฐสามารถวางแผนการทางเศรษฐกิจและควบคุมการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ โดยใช้อุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ[2]

ทว่า หากย้อนกลับมาพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจแล้ว จะเห็นได้ว่าหลักการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นแตกต่างจากแผนการ 5 ปี ของรัสเซียโซเวียตในหลายประเด็น ประการแรก หลักการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ถือเอาแนวคิดเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์มาใช้ แต่เป็นการใช้แนวคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในรูปแบบสหกรณ์ (association socialism หรือ cooperative socialism)[3] 

ภายใต้แนวคิดดังกล่าว เค้าโครงการเศรษฐกิจจึงเน้นการจัดสรรทรัพยากรโดยสหกรณ์ภายใต้การวางกรอบจากรัฐบาล ส่วนในการปฏิบัติตามแผนนั้นการตัดสินใจจะเป็นไปตามการตัดสินใจของสมาชิกสหกรณ์[4] โดยไม่ต้องยึดโยงกับแผนการจากรัฐบาลส่วนกลางทั้งหมด[5]  นอกจากนี้ แนวคิดแบบคอมมิวนิสต์นั้น ยังให้ความสำคัญกันระหว่างการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเป็นสำคัญ[6] แต่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นแต่เน้นเรื่องการประสานความร่วมมือกันตามหลักภราดรภาพนิยม[7]

ผลของงานของแผน 5 ปี + ฉันทามติแบบเคนส์ = การวางแผนชี้นำทางเศรษฐกิจของรัฐบาล

‘อ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ’ ได้อธิบายไว้ในหนังสือสร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ แผน 5 ปีของโซเวียตนั้นประสบความสำเร็จในการทำให้โซเวียตมีการเติบโตด้านอุตสาหกรรมได้ภายใน 10 ปี (ค.ศ. 1929 – 1939) หรือที่เรียกว่า “Russia Economic Miracle” โดยหลักฐานประการหนึ่งที่ อ.ณรงค์ อ้างถึงก็คือ สภาพของโซเวียตที่มียุทโธปกรณ์และเครื่องจักรเครื่องมือพร้อมรบกับเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2[8]

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั่วโลกประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression) ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญหาไปหมดตั้งแต่ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยที่กินระยะเวลายาวนาน 12 ปี ผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในครั้งนี้ได้พลิกโฉมหน้าวงการเศรษฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจของ ‘จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์’ (John Maynard Keynes)

เคนส์ได้อธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจแตกต่างไปจากเดิมที่เคยเชื่อๆ กันมาก่อนว่ากลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่ดีที่สุด และในขณะเดียวกันแนวคิดทางเศรษฐกิจแบบคลาสสิกที่เน้นว่ารัฐไม่ควรจะต้องเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจเริ่มไม่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายใต้แนวคิดของเคนส์ ซึ่งต่อมาจะถูกเรียกว่า ฉันทามติแบบเคนส์นั้นได้อธิบายบทบาทของรัฐใหม่ว่ารัฐควรเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายทางการคลัง เพื่อชดเชยในกรณีที่ตลาดอ่อนแรงลงและการจ้างงานไม่เต็มที่[9]

อ.ณรงค์ ชี้ให้เห็นว่า ผลของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบเคนส์ที่สนับสนุนให้รัฐเข้าไปแทรกแซงในทางเศรษฐกิจนี้เองเป็นเหตุให้สหรัฐอเมริการอดจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี ค.ศ. 1929–1933 และเป็นการเปิดมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งให้มาสนใจแผน 5 ปี ของโซเวียตมาศึกษา[10]

ผลของสมการที่เกิดจากการรวมกันของแผน 5 ปี บวกกับฉันทามติแบบเคนส์ จึงเท่ากับการวางแผนชี้นำทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้เนื้อหาของแผนการชี้นำทางเศรษฐกิจรัฐบาลอาจจะมีบทบาทและความเป็นเผด็จการน้อยกว่าแผน 5 ปี แบบโซเวียต แต่รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทผ่านการสร้างนโยบายในรูปของแผนการชี้นำการตัดสินใจของเอกชนว่า ควรจะทำอะไร และหากปฏิบัติตามจะได้รางวัลอะไรเป็นสิ่งตอบแทน การวางแผนชี้นำทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการจูงใจผ่านบรรดาสิทธิประโยชน์ทั้งหลาย

การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (และสังคม) แห่งชาติกับเผด็จการทหารไทย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติเริ่มถูกนำมาใช้ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในหลายๆ ประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติและธนาคารโลก จึงเริ่มมีการวางแผนเศรษฐกิจจริงจัง เช่น อินเดีย (พ.ศ. 2493) ฟิลิปปินส์ (พ.ศ. 2494) และอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2498) เป็นต้น[11]

อย่างไรก็ดี อ.ณรงค์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลของการนำแผน 5 ปี แบบโซเวียตมาปรับเป็นการวางแผนชี้นำทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น ประเทศสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศด้อยพัฒนาหลายประเทศนำการวางแผนชี้นำทางเศรษฐกิจของรัฐบาลมาใช้ผ่านหน่วยงานจากสหรัฐอเมริกา เช่น United State Operation Mission (USOM) ที่มาช่วยวางแผน 5 ปีให้กับประเทศที่เป็นรัฐเผด็จการ เช่น ฟิลิปปินส์ โดยเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส และอินโดนีเซียโดยเผด็จการซูฮาร์โต เป็นต้น 

ประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาช่วยในการวางแผนการชี้นำทางเศรษฐกิจที่ต่อมาถูกตั้งชื่อให้ดีๆ ว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ในปี พ.ศ. 2500 เมื่อ ‘จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์’ ทำการยึดอำนาจจาก ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ เสร็จแล้ว และไปรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้เข้าพบพูดคุยกับประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) และธนาคารโลก (World Bank)[12]

การแลกเปลี่ยนระหว่างจอมพลสฤษดิ์กับประเทศสหรัฐอเมริกาและธนาคารโลกเกิดขึ้นบนข้อตกลงแบบพึ่งพาอาศัยกัน โดยจอมพลสฤษดิ์ดำเนินการตามแผนที่แนะนำเพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเมือง ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับจากแผนการในครั้งนี้คือ การอาศัยประเทศไทยเป็นจุดสำคัญในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามทฤษฎีโดมิโน[13]

ส่วนจอมพลสฤษดิ์ก็ได้รับการันตีความมั่นคงในตำแหน่ง  ดังนั้น เมื่อจอมพลสฤษดิ์กลับจากการรักษาตัวเขาจึงดำเนินรัฐประหารจอมพลถนอม กิตติขจร และตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นมาโดยใช้โครงสร้างเดิมที่จอมพล ป. เคยวางไว้[14]

ข้อวิจารณ์ที่น่าสนใจในงานชิ้นนี้ของ อ.ณรงค์ คือ การชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติที่ถูกตั้งชื่อให้ดูดีนั้นแท้จริงแล้วก็มีที่มาจากแผน 5 ปีของโซเวียตสมัยสตาลิน ซ้ำร้ายแผนดังกล่าวนั้นถูกใช้และสนับสนุนโดยไม่สนใจว่าที่มาของแผนจะมาจากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ แบบที่เกิดขึ้นในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ และในขณะเดียวกันแผนการในเค้าโครงการเศรษฐกิจก็มีส่วนที่แตกต่างจากแผน 5 ปี ของโซเวียตพอสมควรในหลายๆ จุด[15] ซึ่งอาจารย์ปรีดี ได้ชี้แจงเอาไว้ว่าตนไม่ได้อาศัยแนวคิดทางเศรษฐกิจแบบใดแบบหนึ่ง[16]

ผลของการรับนโยบายทางเศรษฐกิจจากประเทศสหรัฐอเมริกาและธนาคารโลกนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการตามหลักการชี้นำประการหนึ่งก็คือ การหาเงินทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งวิธีการที่ประเทศไทยใช้ภายใต้แนวทางของธนาคารโลกอาจจะแตกต่างจากแผน 5 ปีของโซเวียต ประเทศไทยใช้วิธีการแลกเปลี่ยนที่ไม่เสมอภาค โดยการซื้อสินค้าเกษตรกรรมในราคาถูกและขายสินค้าอุตสาหกรรมในราคาแพง การกำหนดให้ราคาซื้อสินค้าเกษตรในราคาถูกนั้นทำให้ราคาอาหารถูก และค่าครองชีพถูกโดยกดค่าจ้างให้ต่ำลงไปด้วย ทำให้ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมได้กำลังจากการขายสินค้าราคาแพง ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2521 – 2515 สินค้าเกษตรมีแต่ราคาคงที่หรือลดลง สวนทางกับสินค้าอุตสาหกรรมที่มีแต่คงที่และเพิ่มขึ้น[17] รวมถึงการพยายามใช้กฎหมายเพื่อกดราคาค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยเอาไว้ให้ต่ำเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ[18]

กล่าวโดยสรุป ข้อกล่าวหาที่ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นมีที่มาจากแผน 5 ปีของโซเวียตนั้น แท้จริงแล้วหลักการของเค้าโครงการเศรษฐกิจและแผน 5 ปีของโซเวียตนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควร ในขณะที่ทายาทที่แท้จริงของแผน 5 ปีของโซเวียตกลับเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติที่ถูกนำมาใช้ในเวลาต่อมา ผนวกกับบริบทของประเทศไทยที่ตกอยู่ในสภาวะกึ่งอาณานิคมของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยน้อมรับเอาชุดนโยบายทางเศรษฐกิจมาใช้นี้เองได้กลายมาเป็นปัญหาให้กับประเทศไทยผ่านการกดขี่ทางเศรษฐกิจและขูดรีดส่วนเกินจากผู้ใช้แรงงาน แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติในปัจจุบันนี้จึงกลายเป็นวิธีการคอมมิวนิสต์สู่หลักการสำคัญในปัจจุบันของประเทศไทย


เชิงอรรถ

[1] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, สร้างสังคมไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ (เสมสิกขาลัย, 2564) 34.

[2] เพิ่งอ้าง 34 – 35.

[3] เพิ่งอ้าง 32.

[4] เพิ่งอ้าง; และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 3: สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ (ต่อ)’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 กรกฎาคม 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/07/335> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565.

[5] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 32 และ 34.

[6] คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือคำแถลงพรรคคอมมิวนิสต์ว่า ประวัติศาสตร์ของทุกสังคมคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น; ดู ฮาจุน ชาง, เศรษฐศษสตร์ (ฉบับทางเลือก) = Economics: the user’s guide (วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2) 128 – 129.

[7] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 มิถุนายน 2563) <https://pridi.or.th/th/content/2020/06/304> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565; และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘คำอธิบายเค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)’ ใน ณภัทร ปัญกาญจน์ (บรรณาธิการ) ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ 2654 รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ 2564) 69.

[8] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 35 – 36.

[9] ฮาจุน ชาง (เชิงอรรถที่ 4) 142 – 146.

[10] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 36.

[11] รุจน์ รฐนนท์, ‘ย้อนรอยอดีตเมื่อไทยเริ่มวางแผน “พัฒนาเศรษฐกิจ” (ตอนที่ 1)’ (The Paper Thailand, 13 พฤษภาคม 2563) <https://thepaperthailand.com/2020/05/13/economichistory1/> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565.

[12] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 36 – 37.

[13] ดู ณัฐพล ใจจริง, ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 (ฟ้าเดียวกัน 2563) 85 – 125; และ เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 กุมภาพันธ์ 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/02/599> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565.

[14] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘กาลครั้งหนึ่งเมื่อประเทศไทยริเริ่มมีองค์กรวางนโยบายทางเศรษฐกิจ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 17 พฤศจิกายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/11/891> สืบค้นเมื่อ 10 ธันวาคม 2565.

[15] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 37.

[16] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (เชิงอรรถที่ 5).

[17] ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (เชิงอรรถที่ 1) 38.

[18] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘เผด็จการที่หยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565; และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ปกิณกะว่าด้วยพัฒนาการของกฎหมายแรงงานไทยบนเส้นทางของเศรษฐกิจและการเมือง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 6 ธันวาคม 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/12/915> สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2565.

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีผลเป็นจุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศสยาม ทั้งในทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยยนแปลงต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในบทความนี้จะได้อธิบายถึงผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงในทางเศรษฐกิจของสยาม

ภาพของเศรษฐกิจสยามกับสนธิสัญญาเบาว์ริง

แม้ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” จะมีผลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเปลี่ยน “ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ” มาเป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด” ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่เป็นกิจจะลักษณะและมีการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ในขณะที่นโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสยามประเทศก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจาก “การค้าแบบผูกขาด” โดยพระคลังสินค้าโดยเปลี่ยนไปเป็น “การค้าแบบเสรี”

“สนธิสัญญาเบาว์ริง” เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจสยามเข้ากับโลกเศรษฐกิจของยุโรป สภาพภูมิศาสตร์ของสยามมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการเพาะปลูกข้าวเพื่อตอบสนองอุปสงค์ข้าวจากตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น[1] โดยเฉพาะในฝั่งของราษฎรนั้น ผลของสนธิสัญญาเบาว์ริงมีนัยยะสำคัญต่อการกระตุ้นให้ราษฎรไทยทำการผลิตสินค้าโดยเฉพาะข้าวเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลกและทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่[2] อันดับต้นๆ ของโลก

อย่างไรก็ตาม ลักษณะการผลิตสินค้าของสยามนั้นเน้นไปที่สินค้าปฐมภูมิโดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งจะกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามไปจนกระทั่งทศวรรษที่ 1960 (นับแบบคริสตศักราช) ส่วนการผลิตน้ำตาลของสยามในเวลานั้น ยังอาศัยกระบวนการผลิตแบบกึ่งอุตสาหกรรม ทำให้ไม่อาจแข่งขันกับการผลิตน้ำตาลในฟิลิปปินส์หรือชวาได้ ทำให้ธุรกิจการขายน้ำตาลของสยามซบเซาลง[3]

ด้วยลักษณะของสินค้าปฐมภูมิที่ไม่ได้ผ่านกระบวนผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สินค้าไม่ได้มีราคาสูงมากนักเมื่อเทียบกับแรงงาน และทรัพยากรที่ใช้ไปกับการผลิตข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่มีการบุกร้างถางพงในพื้นที่ ซึ่งเป็นคลองรังสิตในปัจจุบัน และพื้นที่ภาคกลางของประเทศจึงถูกใช้เพื่อการเพาะปลูกข้าว พื้นที่ที่ราบภาคกลางจึงถูกดึงเข้าสู่โลกเศรษฐกิจของยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเจริญเติบโตจากการค้าของป่ากับโลกเศรษฐกิจของจีนก็เสื่อมถอยลงเพราะไม่อาจตอบสนองความต้องการของโลกเศรษฐกิจของยุโรป[4]

ภาพดังกล่าวจะกลายเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อไปในช่วงปี พ.ศ. 2473 และนำมาสู่การอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของสยาม

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อตลาดแรงงานของรัฐสยาม

การเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยมได้ทวีความสำคัญของเงินตรา การเก็บภาษีอากร และการค้า ในขณะที่เกษตรกรรมและการควบคุมกำลังคนในฐานะแหล่งที่มาของทรัพย์สินและอำนาจกลับลดความสำคัญลง[5]

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตในสังคมสยามทำให้แรงงานมีความจำเป็นและสำคัญ ทว่า ในเวลานั้นแรงงานถูกยึดโยงอยู่กับระบบไพร่-ทาส ซึ่งสังกัดอยู่กับมูลนายตามระบบศักดินา

ดังนั้น “การยกเลิกระบบไพร่-ทาส” จะทำให้เกิดตลาดแรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการผลิตขึ้น[6] ทำให้ในเวลาต่อมาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีนโยบายในการเลิกระบบไพร่-ทาส ซึ่งเป็นการปลดปล่อยแรงงานให้เป็นอิสระสามารถเข้าทำงานในระบบการผลิตใหม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลมุ่งแสวงหาประโยชน์จากภาษีมากกว่า ซึ่งนำมาสู่แผนการปฏิรูปการคลังในการจัดเก็บภาษีในเวลาต่อมา ซึ่งจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาทางการคลังของประเทศที่มีมาจากระบบศักดินาดังจะได้อธิบายต่อในหัวข้อถัดไป

ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริงต่อการคลังของรัฐสยาม

ผลของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ที่มีการกำหนดให้รัฐบาลสยามจะต้องไม่เก็บภาษีเกินร้อยละ 3 ทำให้รัฐบาลสยามไม่สามารถใช้นโยบายภาษีในการแสวงหารายได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือ การพัฒนาเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะภาษีค่อนข้างจำกัด[7] ประกอบกับลักษณะโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในช่วงปี พ.ศ. 2398 จนถึง พ.ศ. 2468 นั้น มีลักษณะยึดโยงอยู่กับระบบศักดินาเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

พระมหากษัตริย์ทรงแบ่งอำนาจในการจัดเก็บภาษีกระจายไปอยู่กับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงบางตระกูล/องค์ ทำให้การจัดเก็บภาษีเข้าท้องพระคลังทำได้น้อย เพราะขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงเหล่านั้นก็จะกันเงินบางส่วนที่เก็บได้จากการปฏิบัติหน้าที่มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานของตนและนำส่งเข้าพระคลังเพียงแต่น้อย ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้พระคลังไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย ในขณะที่บทบาทของพระคลังสินค้าลดลงจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้การจัดเก็บภาษีถูกกระจายไปอยู่กับขุนนางหลายกลุ่ม ดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

กลุ่มขุนนางและเชื้อพระวงศ์ระดับสูงภาษีอากร
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เสนาบดีกรมท่าภาษีฝิ่น อากรสุรา และอากรขาเข้าและขาออก
กรมหลวงวงศาธิราชสนิทภาษีอากรจากพระคลังสินค้า
พระยาพลเทพ เสนาบดีกรมนาอากรค่านา

โครงสร้างการจัดเก็บภาษีภายใต้ระบบศักดินาจึงเสมือนการแบ่งเค้กระหว่างชนชั้นนำของสยามมากกว่า ในขณะที่ราชสำนักและพระมหากษัตริย์จะได้รับเพียงเงินส่วนน้อยเท่านั้น ขุนนางผู้ใหญ่ถือว่าภาษีอากรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และใช้ทุกโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายเงินเข้าท้องพระคลัง โดยมองว่าการนำรายได้เข้าพระคลังเป็นจำนวนแน่นอนนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ[8]

ดังนั้น แม้เศรษฐกิจของสยามกำลังขยายตัวแต่พระคลังซึ่งเป็นแหล่งเก็บเงินแผ่นดินกลับได้ประโยชน์ในเรื่องนี้น้อยมาก ทำให้ในเวลาต่อจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทางการคลังใหม่โดยการรวมอำนาจการจัดเก็บภาษีไว้ที่หอรัษฎากรพิพัฒน์และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติแทน โดยเป็นเหตุผลในเชิงงบประมาณที่มารองรับการขยายตัวของระบบราชการใหม่ และสร้างประเภทภาษีรูปแบบใหม่เพื่อแสวงหารายได้เข้าสู่รัฐบาล

ผลกระทบในแง่ของการผลิตข้าวสินค้าสำคัญของรัฐสยาม

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของสยามภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง แรงงานและที่ดินทั้งหมดของสยามถูกจัดสรรไปเพื่อใช้ในการผลิตข้าวเพื่อการค้ามากขึ้นตามลำดับ กระบวนการผลิตแบบนี้ได้เข้ามาทดแทนวิถีชีวิตในการผลิตแบบเดิมที่เน้นให้ครัวเรือนเป็นหน่วยการผลิตเพื่อยังชีพและบริโภคภายในครัวเรือน เช่น การทำสินค้าหัตถกรรมแบบสิ่งทอ เป็นต้น

เมื่อสยามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกผ่านการค้าขายกับอังกฤษ การผลิตภายในครัวเรือนโดยเฉพาะสิ่งทอก็ถูกทำลายลงจากการตีตลาดโดยสินค้าต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากวิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม แรงงานส่วนใหญ่ที่เคยทำการผลิตสินค้าอื่นก็ถูกนำมาใช้กับการผลิตข้าว และด้วยความนิยมในการผลิตข้าวนั้นมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพราะเมื่อสยามได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริงและเปิดการค้าเสรีกับอังกฤษและยุโรป ผลที่ตามมาก็คือ การผลิตข้าวต้องใช้แรงงานจำนวนมากจึงเกิดการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานจากภูมิภาค อื่นๆ ของสยาม โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแต่เดิมได้ประโยชน์จากการค้าของป่ากับจีน

การผลิตข้าวเพื่อการส่งออกนั้นนำมาซึ่งนโยบายของรัฐสยาม 4 ประการที่มีผลต่อการขยายตัวและการเจริญเติบโตของการส่งออกข้าว[9]

ประการแรก การพัฒนาระบบการขนส่งระหว่างประเทศ กล่าวคือ ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เรี่ยกับการขุดคลองสุเอช (14 ปี หลังทำสนธิสัญญา) ทำให้เกิดการย่นระยะทางและค่าขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียตะวันออก ทำให้เกิดความต้องการข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้นทุนที่ลดลงจากการส่งสินค้าทำให้มีการนำมาใช้ลงทุนกับการนำเรือกลไฟมาใช้ในการขนส่งข้าวซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการส่งออกข้าวเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานชาวนาให้หันมาปลูกข้าวแบบรับจ้างแทนที่จะปลูกข้าวเพื่อบริโภคยังชีพ

ประการที่สอง การพัฒนาระบบขนส่งภายในประเทศ รัฐบาลได้ขุดคลองเพื่อสนับสนุนการผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยมีการขุดคลองมากกว่า 15 สาย เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ และที่ราบภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2403 – 2453 การขุดคลองเป็นจำนวนมากเพื่อให้ชาวนาผลิตข้าวเพื่อส่งออก โดยรัฐบาลได้ให้สัมปทานในการขุดคลองเป็นจำนวนมาก  นอกเหนือจากคลองแล้วรัฐบาลยังได้ลงทุนในการสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการเพาะปลูกแม้จะไม่เท่ากับเส้นทางคลอง

ประการที่สาม การเพิ่มขึ้นของประชากร โดยนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์มีผลทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรของประเทศในเอเชียและยุโรปได้เพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ตลาดการบริโภคข้าวภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ประการที่สี่ นโยบายการเลิกไพร่-ทาส และนโยบายภาษีดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น

ดังจะเห็นได้ว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” นั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากในหลายมิติ และยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบริบททางการเมืองของสยาม

นโยบายหลายประการที่ดำเนินในช่วงเวลานั้น เชื่อมโยงกันทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทย จนกระทั่งในปัจจุบันภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม


[1] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย (อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ฟ้าเดียวกัน 2562) 63.

[2] พอพันธุ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 15.

[3] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 63.

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] เพิ่งอ้าง, 79.

[6] เพิ่งอ้าง, 90.

[7] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 14.

[8] กุลลาดา เกษบุญชู มี้ด, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 66.

[9] พอพันธุ์ อุยยานนท์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 16 – 21.

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาต้องห้ามในประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเรียนรู้วิทยาการจากตะวันตก

เมื่อสยามเริ่มเรียนรู้วิทยาการจากโลกตะวันตกในช่วง “การปฏิรูปประเทศ” สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งหลายวิทยาการที่นำเข้ามาจากโลกตะวันตกได้รับความนิยมชมชอบจากชนชั้นนำของสยามในเวลานั้น ตัวอย่างเช่น วิชานิติศาสตร์สมัยใหม่ของไทยเป็นผลมาจากการปฏิรูปประเทศจนกลายมาเป็นเครื่องมือของผู้ปกครอง ภายใต้กำกับของกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 

การ “ปฏิรูปกฎหมาย” ในสยามเกิดขึ้นเพื่อสนองรัฐสมัยใหม่ที่อ้างอำนาจเหนือดินและรวมอำนาจที่ศูนย์กลาง[1] ซึ่งนอกเหนือจากวิชานิติศาสตร์แล้ว วิทยาการจากโลกตะวันตกอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับความสนใจคือ “วิชาการทหาร” ซึ่งมาพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพเพื่อตอบสนองต่อการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์

อย่างไรก็ตาม วิชาการอีกอย่างหนึ่งที่ชนชั้นนำสยามได้เริ่มศึกษาก็คือ “วิชาเศรษฐศาสตร์” ซึ่งเป็นวิชาการใหม่ที่สยามในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จัก ความสนใจในวิชาเศรษฐศาสตร์ในชนชั้นนำของสยามมีอยู่มากถึงขนาดว่า ‘พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ’ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสวรรควิไสยนรบดี) พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาเป็น “ด็อกเตอร์” คนแรกๆ ของประเทศไทยในสาขาเศรษฐศาสตร์ และมีผลงานตีพิมพ์คือ เป็นหนังสือชื่อว่า “เกษตรกรรมในสยาม: บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม” (Die Landwirtschaft in Siam) โดยเป็นงานนิพนธ์เศรษฐศาสตร์เล่มแรกๆ ของไทย  

อย่างไรก็ตาม งานนิพนธ์ฉบับดังกล่าวของพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย ทำให้วงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไทยไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควร ในขณะที่องค์ความรู้โดยส่วนใหญ่ถูกจำกัดเอาไว้ที่ชนชั้นนำ

‘พระยาสุริยานุวัตร’ กับ “ทรัพยศาสตร์” ตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกของไทย

ตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกที่ตีพิมพ์ในประเทศไทยชื่อว่า “ทรัพยศาสตร์” โดย ‘พระยาสุริยานุวัตร’[2]เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ภายหลังจากลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ โดยเกิดจากการสังเกตเห็นความเจริญของต่างประเทศดีกว่าของประเทศไทยในเวลานั้น และด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ประเทศดีขึ้นจนเท่าเทียมกับชาติอื่นได้บ้าง จึงเป็นเหตุให้ที่ทำให้พระยาสุริยานุวัตรเขียนหนังสือทรัพยศาสตร์ขึ้น โดยความหวังว่าจะให้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์นี้ได้เกิดการริเริ่มและสร้างรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย[3]

สำหรับในครั้งแรกที่ได้มีการตีพิมพ์หนังสือทรัพยศาสตร์ ได้แบ่งหนังสือออกเป็น 2 เล่ม คือ ทรัพยศาสตร์ชั้นต้นเล่ม 1 และ ทรัพยศาสตร์ชั้นต้นเล่ม 2 โดยได้รับการรับรองจากกระทรวงธรรมการให้เป็นตำราเรียน[4] แต่เมื่อหนังสือฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยชนชั้นนำของสังคม และได้รับการขอความร่วมมือจากรัฐบาลมิให้เผยแพร่หนังสือ[5]

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. 2475 หนังสือทรัพยศาสตร์ได้รับการนำกลับมาตีพิมพ์ใหม่เฉพาะในส่วนเล่มที่ 1 โดย ‘ศาสตราจารย์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ’แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “เศรษฐวิทยาชั้นต้น” และคงเนื้อหาไว้เช่นเดิม ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มในชื่อทรัพยศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

ทรรศนะของ ‘พระยาสุริยานุวัตร’ กับระบบเศรษฐกิจไทย

งานนิพนธ์ทางเศรษฐกิจในยุคต้นของประเทศไทยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจของไทยนั้นมีปัญหาเชิงโครงสร้าง หนังสือทรัพยศาสตร์ของพระยาสุริยานุวัตรนั้นเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว

ในหนังสือทรัพยศาสตร์ พระยาสุริยานุวัตได้ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตราษฎรไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะชาวนาที่ยากจนขัดสนด้วยทุน ต้องออกแรงทำงานแต่ลำพังตัวด้วยความเหน็ดเหนื่อย และในเวลาที่ทำนาอยู่เสบียงอาหารและผ้านุ่งห่มไม่เพียงพอก็ต้องซื้อเชื่อโดยเสียราคาแพง หรือ ถ้าต้องกู้เงินไปซื้อก็ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างแพงเหมือนกัน และเมื่อถึงคราวเกี่ยวข้าวได้ผลผลิตออกมาแต่ไม่มีกำลังและพาหนะพอจะขนข้าวไปจากลานนวดข้าว หรือ ไม่มียุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวไว้ขาย เมื่อเวลาข้าวในตลาดจะขึ้นราคา จึงจำเป็นต้องขายข้าวในราคาตามที่มีผู้มาซื้อที่ลานโดยจะซื้อในราคาใดก็ต้องยอมรับและจำใจขาย เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีเงินไปใช้ชำระหนี้ทันกำหนดสัญญา[6] สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2473 – 2475 ดังปรากฏในรายงานการศึกษาของ ‘คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน’(Carle C. Zimmerman) ก็ได้อธิบายสภาพเศรษฐกิจสยามในช่วงเวลานั้นว่ามีปัญหาเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ‘ฉัตรทิพย์ นาถสุภา’ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ภายใต้บริบทของโครงสร้างระบบศักดินา แม้ขยันทำการผลิตสักเท่าใด ผลผลิตส่วนใหญ่ก็หาตกเป็นของตนไม่ เพราะนอกจากจะต้องชำระหนี้สินแล้วประชาชนยังต้องส่งส่วยให้รัฐบาลและเจ้าของที่ดินแทบไม่เหลือไว้บริโภค[7] ซึ่งส่วนเกินดังกล่าวนั้นจึงตกอยู่ในมือรัฐบาล ชนชั้นศักดินา คือ เจ้านาย เจ้าของที่ดิน ข้าราชการและนายทุนชาวจีนและชาวต่างชาติอื่นๆ[8]

ทรรศนะของพระยาสุริยานุวัตรที่ได้แสดงไว้ในหนังสือทรัพยาศาสตร์นั้น มีความสำคัญโดยชี้ให้เห็นสภาพความยากจนของประเทศไทย แนวทางแก้ไขด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจ และการจัดระบบเศรษฐกิจไทยใหม่ เพื่อขจัดการเอารัดเอาเปรียบ และลดความแตกต่างในรายได้และทรัพย์สิน[9] ทรรศนะในหลายๆ ส่วนของหนังสือจึงได้มีการพูดถึงประเด็นของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสยามในเวลานั้นโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ

ระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยในระยะที่พระยาสุริยานุวัตรได้เขียนไว้ คือ ระบบศักดินาเสริมด้วยนายทุน ภายใต้ระบบนี้ส่วนเกินถูกขูดรีดจากชาวนาและนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้การผลิตเกษตรเพิ่มขึ้นและถูกส่งออกตลาดโลกมากขึ้น ส่วนเกินนั้นก็ถูกใช้หมดไปไม่ถูกนำมาลงทุน การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจเปลี่ยนเทคนิคการผลิตและพัฒนาการอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้นเชื่องช้า[10]

ทรรศนะของชนชั้นนำสยามเกี่ยวกับทรัพยศาสตร์

ด้วยทรรศนะการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจของสยามในเวลานั้น ทำให้ชนชั้นนำสยามโดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือทรัพยศาสตร์เอาไว้ใน วารสารสมุทสารของราชนาวีสมาคม (สมุทสาร ปีที่ 2 เล่ม 9 กันยายน 2458) โดยทรงใช้นามปากกาว่า “อัศวพาหุ” 

ท่านทรงวิจารณ์หนังสือทรัพยศาสตร์และการศึกษาเศรษฐศาสตร์ในเวลานั้นว่าไม่มีความเหมาะสมโดยทรงอธิบายเหตุผลประการสำคัญในทำนองว่า

ทรัพยศาสตร์นั้นริเริ่มในประเทศยุโรปและอเมริกา เนื่องจากทรัพย์สมมติไปรวมอยู่ในมือบุคคลบางกลุ่มหรือบางตระกูลซึ่งในอดีตเคยเป็นนักรบ ประกอบกับด้วยในประเทศยุโรปและอเมริกานั้นมีปัญหาว่าที่ดินมีจำกัด 

เมื่อมีคนเกิดเพิ่มขึ้นก็ยิ่งต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่เมื่อที่ดินไปตกอยู่ในมือบุคคลบางกลุ่ม จึงมีไม่พอกับการอยู่อาศัยทำให้ผู้คนไม่มีทรัพย์สินรู้สึกเสียหาย วิชาเช่นทรัพยศาสตร์จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความไม่เพียงพอของทรัพยากรเช่นว่านั้น แต่ในประเทศไทย มิได้มีผู้มั่งมีเช่นในสังคมยุโรปและอเมริกา และก็ไม่ได้มีคนยากจนเท่ากับยุโรปและอเมริกา การศึกษาทรัพยศาสตร์จึงทำให้มีแต่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นกับคนในสังคมเท่านั้น และจะทำลายน้ำใจไมตรีของคนในสังคมที่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามคติแบบพุทธศาสนาคือ การให้ทาน[11]

การที่องค์ประมุขสูงสุดของประเทศออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนังสือทรัพยศาสตร์นั้นทำให้เกิดการพยายามเกลี้ยกล่อมให้มีการเผยแพร่หนังสือทรัพยศาสตร์โดยจำกัด โดยขอให้พระยาสุริยานุวัตรไม่เผยแพร่หนังสือดังกล่าว การดังกล่าวสร้างความเสียใจให้กับพระยาสุริยานุวัตรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ความประสงค์ของพระยาสุริยานุวัตรต้องการจะให้ประเทศไทยพัฒนาได้ทัดเทียมนานาประเทศ

การยิ่งซ้ำแล้วเมื่อในเวลาต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีรับสั่งไม่ให้มีการสอนวิชาเศรษฐวิทยาหรือลัทธิทางเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งก็ทำให้พัฒนาการของวิชาเศรษฐศาสตร์หยุดชะงักไป

ทรัพยศาสตร์ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม

หนังสือ “ทรัพยศาสตร์” นั้น มีความสำคัญในฐานะการก่อให้เกิดจิตสำนึกขึ้นในหมู่ชนชาวสยามโดยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาพื้นฐานโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองไทย ซึ่งในเวลาต่อมาทำให้เกิดนักคิดทางเศรษฐกิจไทยอีกหลายคนโดยเฉพาะในช่วงภายหลัง พ.ศ. 2475 เช่น ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ได้แสดงทรรศนะสำคัญเอาไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจของ ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ซึ่งพยายามวางโครงสร้างและรื้อถอนระบบเศรษฐกิจลูกผสมศักดินาทุนนิยม หรือ ‘สมสมัย ศรีศูทรพรรณ’ (จิตร ภูมิศักดิ์) ซึ่งได้เขียนหนังสือโฉมหน้าศักดินาไทยวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทย ซึ่งรวมถึงระบบเศรษฐกิจลูกผสมศักดินาทุนนิยม เป็นต้น 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความคิดริเริ่มของพระยาสุริยานุวัตรที่ต้องการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อให้เกิดถกเถียงและเผยแพร่องค์ความรู้วิทยาการทางเศรษฐศาสตร์ต่อไป

หมายเหตุ: แก้ไขและจัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ


เชิงอรรถ

[1] ธงชัย วินิจจะกูลนิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของ Rule of law แบบไทย(นิตยสาร WAY, 2563) 101.

[2] พระยาสุริยานุวัตรกราบบังคมทูลลาออกจากราชการเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของนายอากรฝิ่น ภายหลังจากได้เสนอแนะให้โอนกิจการฝิ่นจากเจ้าภาษีผูกขาดให้กลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น แต่เจ้าภาษีนายอากรและข้าราชการบางคนไม่ให้ความร่วมมือ ในท้ายที่สุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการเฉพาะแนะนำให้ลาออกจากราชการเพื่อระงับเหตุ; ‘ทรัพยศาสตร์ ตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย วิชาต้องห้ามในอดีต’ (ศิลปวัฒนธรรม, 22 พฤษภาคม 2564) <www.silpa-mag.com/history/article_45640> สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564.

[3] พระยาสุริยานุวัตร, ทรัพยศาสตร์ (สำนักพิมพ์โฆษิต, 2547), 21.

[4] อัศวพาหุ, ‘ทรัพยศาสตร์ (ความเห็นเอกชน)’ (2458) 2 สมุทสาร 9, 113.

[5] อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[6] พระยาสุริยานุวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 97.

[7] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ‘ความคิดทางเศรษฐกิจของพระยาสุริยานุวัตร’ (2519) 12 สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 9, 24-29 อ้างใน พระยาสุริยานุวัตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 34.

[8] เพิ่งอ้าง, 36.

[9] เพิ่งอ้าง, 23.

[10] เพิ่งอ้าง, 37.

[11] อัศวพาหุ, ‘ทรัพยศาสตร์ (ความเห็นเอกชน)’ (2458) 2 สมุทสาร 9, 127 – 129.