พัฒนาการของการรับรองสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในเดือนธันวาคมนี้ จะมีวันสำคัญของชาติไทยอีกวันหนึ่ง คือ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งความสำคัญของวันดังกล่าวคือเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่ถูกนับเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย”

บทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ แม้ว่าในเวลาต่อมาคณะรัฐประหารทั้งหลายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะของเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจให้กับคณะรัฐประหารทั้งหลาย

การเปลี่ยนผ่านเข้ามาของคณะรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่องนี้มีความน่าสนใจบางอย่างที่เกิดขึ้นตามมา คือทุกๆ ครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มิเพียงแต่อาศัยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมเท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เพิ่มเติมกลไกต่างๆ เข้ามาเสมอๆ โดยกลไกหนึ่งที่มีความน่าสนใจ คือ กลไกในเรื่องการรับรองสิทธิและเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่มีการรับรองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ หรือจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

บทความฉบับนี้มิได้ต้องการสื่อสารว่า การฉีกรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเพิ่มเติมและรับรองสิทธิและเสรีภาพประเภทต่างๆ เป็นเรื่องดี ในทางตรงกันข้าม ปรากฏการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าการรับรองสิทธิและเสรีภาพเป็นด้านที่รัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จน้อยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการรับรองสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะสิทธิในทางเศรษฐกิจยิ่งมากกว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมา แต่ทว่าในยุคสมัยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะเรียกได้ว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกคุกคามโดยรัฐในหลายๆ มิติ และแม้กระทั่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญควรคุ้มครองก็ถูกทำลายลงด้วยอำนาจแห่งกลุ่มทุน

เป้าหมายสำคัญของบทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นรูปแบบของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญไทยในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจว่ามีพัฒนาการอย่างไร ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญโดยไล่เรียงตามลำดับเวลา และเน้นเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยไม่รวมบรรดาธรรมนูญการปกครองแผ่นดินและรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ต่างๆ

ในเดือนธันวาคมนี้ จะมีวันสำคัญของชาติไทยอีกวันหนึ่ง คือ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งความสำคัญของวันดังกล่าวคือเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่ถูกนับเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย” บทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ แม้ว่าในเวลาต่อมาคณะรัฐประหารทั้งหลายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะของเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจให้กับคณะรัฐประหารทั้งหลาย

พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475

แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญอย่างฉบับอื่นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ในขณะนั้นที่ยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ จึงเลือกนำคำว่า “พระราชบัญญัติ” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกฎหมายในเวลานั้น และคำว่า “ธรรมนูญ” ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่จัดวางระเบียบแบบแผนหรือระบบต่างๆ มาใช้เป็นคำที่เรียกรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย (สยาม)

รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความน่าสนใจว่าเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้น แม้ว่าโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้เป็นการชั่วคราวตามชื่อ เพราะบทบัญญัติในหลายๆ มาตรามีการบัญญัติหลักการและกรอบของการปกครองประเทศต่อไปในอนาคตอย่างเป็นขั้นตอน อาทิ การกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีผลใช้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น[1]

ในแง่ของสิทธิและเสรีภาพ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเอาไว้มากมาย โดยหากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้เพียงแค่สิทธิในการเลือกตั้งเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในแง่สิทธิและเสรีภาพอื่นๆ ของประชาชนได้มีรับการรับรองไว้ในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ที่มีการประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎรและกำหนดหลัก 6 ประการเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ[2] ซึ่งในเวลาต่อมาคณะรัฐมนตรีชุดแรกก็ได้รับเอาหลัก 6 ประการมาเป็นนโยบายของรัฐบาล[3]

“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”

หลักการสำคัญๆ ในหลัก 6 ประการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปรากฏในหลักที่ 3 กล่าวคือจะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ และไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

ยุคเริ่มต้นของการรับรองสิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

ในช่วงแรกของการรับรองสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ สิทธิและเสรีภาพจะมีลักษณะเป็นการรับสิทธิพื้นฐานที่สุด 2 ประการ คือ ประการแรก สิทธิในทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยที่รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซงอย่างไม่มีเหตุผลสมควร และประการที่สอง เสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนมีเสรีภาพที่จะประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องการของตนเอง โดยรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือควบคุมการตัดสินใจเลือกของประชาชน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 (รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยสิทธิที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองเอาไว้โดยส่วนใหญ่จะเป็นสิทธิในทางการเมือง อาทิ การรับรองสิทธิในทรัพย์สิน และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพดั้งเดิมที่ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ก็ได้รับรองไว้เช่นกัน

โดยสิทธิและเสรีภาพทั้งสองประการนี้จะกลายเป็นสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานในทางเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงในอนาคตจะได้ขยายต่อสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวไปในลักษณะต่างๆ เช่น สิทธิในการไม่โดนโอนทรัพย์สินเป็นของรัฐ (เวนคืน) ซึ่งเป็นการยกระดับสิทธิในทรัพย์สินขึ้นมากล่าวในมุมเฉพาะ หรือ สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งเป็นการยกระดับเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยยกระดับให้กลายเป็นสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับโดยอำนาจรัฐเพื่อใช้แรงงาน สิทธิทั้งสองประการนี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ซึ่งมาพร้อมกับการรับรองสิทธิในการได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม

การเกิดขึ้นของบทบัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

บทบัญญัติเกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเป็นหมวดใหม่ที่รัฐธรรมนูญในยุคหลังๆ เพิ่มขึ้นมาเพื่อกำหนดกรอบและทิศทางในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการออกกฎหมายมาเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องนั้นๆ โดยรัฐธรรมนูญในอดีตจะกำหนดให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่นำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อให้รัฐบังคับตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ[4]

แนวนโยบายดังกล่าวเป็นเสมือนความฝันที่ไม่ได้มีการกำหนดแนวทางอย่างจริงจังเนื่องจากรัฐบาลบางรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2492 เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. 2540 เป็นรัฐบาลที่นำโดยทหารจากการรัฐประหาร และมีกองทัพคอยสนับสนุน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจเท่าที่ควร ทำให้บทบัญญัติในส่วนแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติไว้เป็นเพียง “ส่วนเกิน” ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ[5]

แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ รวมถึงการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน ตัวอย่างของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมีดังนี้

  • การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการกำหนดอุดมการณ์เสรีนิยม
  • ส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
  • การส่งเสริมการศึกษา
  • การส่งเสริมการสาธารณสุข
  • การได้รับบริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคระบาดฟรี
  • การส่งเสริมด้านสาธารณสุขของมารดาและเด็ก
  • การส่งเสริมการเข้าถึงสาธารณสุขของผู้มีรายได้น้อย
  • การส่งเสริมการทำงาน การหางาน และคุ้มครองแรงงาน
  • การส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำ
  • การส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์
  • การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
  • การลดความเหลื่อมล้ำ
  • จัดระบบกรรมสิทธิ์และการครอบครองที่ดิน
  • ส่งเสริมเกษตรกรรม
  • สนับสนุนสหกรณ์
  • การส่งเสริมและสนับสนุนพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
  • การส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์
  • การส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะและกิจการเคหะของผู้มีรายได้น้อย
  • สงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส

การกำหนดหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจ

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับบทบัญญัติทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่มีการตราบทบัญญัติหมวดใหม่เกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ โดยกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่อประชาชน รวมถึงให้สิทธิประชาชนสามารถฟ้องร้องรัฐให้ดำเนินการดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายได้กำหนดไว้[6] โดยหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจมี 3 หน้าที่ ดังนี้

  • ดำเนินการให้ได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง และพัฒนาการบริการสาธารณสุข
  • ดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน
  • รักษาคลื่นความถี่และดำเนินการจัดสรรอย่างเป็นอิสระ

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาการใช้สิทธิในการฟ้องร้องรัฐยังไม่มีหลักเกณฑ์วิธีการที่ชัดเจนรองรับสิทธิของประชาชนในเรื่องนี้แต่อย่างใด


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 มิถุนายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/06/748> สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.

[2] วัลยา, ‘การอภิวัฒน์สยาม 2475 : “ข้อมูลใหม่” เรื่องความเป็นมาแห่งหลัก 6 ประการของคณะราษฎร (ตอนที่ 2)’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 มิถุนายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1142> สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.

[3] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่ 1/2475 (28 มิถุนายน 2475), 6 – 7.

[4] บทบัญญัติที่กำหนดห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐปรากฏตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2492 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[5] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ‘เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540’ (รายงานวิจัยเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย 2545) 4.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 51.

เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตรของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ pridi.or.th

เศรษฐกิจกับรัฐธรรมนูญสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกัน โดยรัฐธรรมนูญมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระบบเศรษฐกิจของรัฐนั้น ๆ  ในบทความนี้จะได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญกับเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญทางเศรษฐกิจ พัฒนาการของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบทบัญญัติทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และการนำแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐมาปฏิบัติ

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญกับเศรษฐกิจ

ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้…”

ปรีดี พนมยงค์

ข้อความข้างต้นของปรีดี พนมยงค์ เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานว่าประชาธิปไตยสมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 สิ่ง คือ ประชาธิปไตยทางการเมือง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย 

ในการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย (Liberal democracy) บรรดารัฐธรรมนูญของรัฐเสรีประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญในฐานะตราสารทางกฎหมายและทางการเมืองที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเหล่านี้ต่อกันและกัน[1]  อย่างไรก็ตาม นอกจากบทบาทในฐานะตราสารทางกฎหมายและทางการเมืองแล้ว รัฐธรรมนูญยังมีฐานะตราสารทางเศรษฐกิจด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดกฎกติกาทางเศรษฐกิจระหว่างนักการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และราษฎรทั้งที่มีและไม่มีสิทธิเลือกตั้ง[2] ซึ่งกระจายอยู่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทั้งในบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ หรือบทบัญญัติว่าด้วยแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ ซึ่งกำหนดหลักการแห่งนโยบายซึ่งรัฐจะต้องปฏิบัติจัดทำ ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะมีนโยบายอย่างไร และจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างใด[3]

การที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติในทางเศรษฐกิจ ทั้งในบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ หรือแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐเอาไว้ มีผลสะท้อนสำคัญใน 2 ประการแรก คือ 

ประการแรก บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทางเศรษฐกิจเป็นการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และเป็นการสร้างพันธะระหว่างรัฐกับประชาชนในทางเศรษฐกิจ แม้ว่าบทบัญญัติในหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ นั้นอาจไม่มีผลผูกพันให้รัฐบาลต้องจัดทำเสมอไป แต่ก็กำหนดหลักการกว้าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับรัฐบาล และเป็นช่องทางให้เกิดการเร่งรัดในทางการเมืองให้รัฐบาลต้องดำเนินการ

ประการที่สอง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจนั้น ได้จัดตั้งระบบเศรษฐกิจที่สังคมปรารถนาขึ้นมา ไม่ใช่แต่เพียงเป็นภาพสะท้อนของระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในสังคม โดยกำหนดระบบเศรษฐกิจของรัฐว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบใด ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด[4] รัฐธรรมนูญจะต้องรับรองสิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจของบุคคลเบื้องต้นที่สุด คือ สิทธิในทรัพย์สิน เพื่อให้ประชาชนมีอิสระในการจำหน่ายจ่ายโอนและเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ รัฐต้องกำหนดกฎเกณฑ์กติกาเกี่ยวกับการใช้สิทธิดังกล่าวของประชาชนผ่านกฎหมาย และท้ายที่สุดคือรัฐต้องกำหนดความสัมพันธ์ของรัฐกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมโดยอาศัยกลไกตลาดนี้อย่างไร

รัฐธรรมนูญทางเศรษฐกิจ

แรกเริ่มนั้นรัฐธรรมนูญของประเทศส่วนใหญ่ในโลกมิได้มีการบัญญัติถึงแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐเอาไว้ บทบัญญัติทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จึงกำหนดเอาไว้ในบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นผลผลิตทางปรัชญาการเมืองแบบเสรีนิยมของจอห์น ล็อค (John Lock) ซึ่งส่งอิทธิพลให้กับอดัม สมิธ (Adam Smith) ก่อนจะได้รับการยอมรับผ่านบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของประเทศต่าง ๆ

ลักษณะของบทบัญญัติทางเศรษฐกิจในยุคแรกจึงเป็นบทบัญญัติรับรองกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 ซึ่งเกิดขึ้นในการปฏิวัติฝรั่งเศสและมีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญและส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในข้อ 2 ระบุว่า “วัตถุประสงค์แห่งสังคมการเมือง ได้แก่ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสิทธิทั้งหลาย (ที่กำเนิดขึ้นและมีมา) ตามธรรมชาติและ (เป็นสิทธิซึ่ง) มิอาจยกเลิกเพิกถอนได้ของมนุษย์ สิทธิทั้งหลายเหล่านี้ ได้แก่ เสรีภาพ กรรมสิทธิ์ (ในทรัพย์สิน) ความปลอดภัย (ในชีวิตและร่างกาย)และ (สิทธิใน) การขัดขืนต่อการกดขี่ (ไม่ว่าในรูปแบบใด)[5] เป็นต้น ซึ่งหากจะสืบย้อนกลับไปหลักการดังกล่าวนี้เป็นหลักการร่วมกันของบรรดารัฐเสรีประชาธิปไตยที่ต้องรับรองสิทธิในทรัพย์สินของปัจเจกบุคคล ทั้งจากปัจเจกบุคคลด้วยกันและจากอำนาจของรัฐที่ปราศจากอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ในเวลาต่อมาบรรดาบทบัญญัติทางเศรษฐกิจในส่วนของสิทธิและเสรีภาพทางรัฐธรรมนูญก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ และครอบคลุมมากขึ้นตามพัฒนาการของสังคม เช่น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1853 ของประเทศอาร์เจนตินาได้บัญญัติรับรองสิทธิของผู้ใช้แรงงานและสหภาพแรงงานเอาไว้ในมาตรา 14BIS เป็นต้น

ในส่วนของบทบัญญัติทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐนั้นได้บัญญัติขึ้นเป็นครั้งแรกโดยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับไวมาร์ ค.ศ. 2461 ของเยอรมนี โดยบัญญัติเอาไว้ภายใต้หมวดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน[6] สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐแยกเป็นหมวดหมู่ต่างหากคือ รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ค.ศ. 2465 โดยใช้คำว่า “แนวนโยบายสังคม” (Directive Principles of Social Policy)[7]

พัฒนาการของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบทบัญญัติทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

ก่อนปี พ.ศ. 2492 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้มีบทบัญญัติว่าด้วยแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ แม้แต่ในบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็มิได้มีบทบัญญัติทางเศรษฐกิจ  อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาได้มีความพยายามสร้างแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐในทางเศรษฐกิจขึ้นมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากการจัดทำเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากปัญหาทางการเมือง (รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู ว่าด้วย เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตอนที่ 4: มองเค้าโครงเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต) การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจขึ้นมาครั้งแรกในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม

การเกิดขึ้นของหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 และเป็นต้นแบบให้กับรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ ดังแสดงตามตารางจำนวนมาตราและนโยบายในหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 – 2560 สำหรับธรรมนูญการปกครองและรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) นั้นโดยส่วนใหญ่จะไม่ได้บัญญัติเอาไว้ถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ และแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ เพราะวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญนั้นมีไว้เพื่อธำรงรักษาและสืบทอดอำนาจของระบอบเผด็จการเท่านั้น

ตารางจำนวนมาตราและนโยบายในหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492–2560

ลำดับรัฐธรรมนูญมาตราจำนวนมาตราจำนวนนโยบาย
1.รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2492มาตรา 54–721917
2. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475 ซึ่งนำกลับมาใช้ใหม่ พุทธศักราช 2495 มาตรา 38–4477
3. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511มาตรา 53–701815
4. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2517มาตรา 62–943339
5. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521มาตรา 53–732136
6. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2534มาตรา 59–802246
7. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2534 และแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2538มาตรา 58–893254
8. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2540มาตรา 71–891949 (54)
9. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2550มาตรา 75–871352 (67)
10. รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2560มาตรา 64–781532 (54)

หมายเหตุ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540-2560 มีแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐปะปนอยู่ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยและในหมวดหน้าที่ของรัฐด้วย ตัวเลขในวงเล็บรวมแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐทั้งหมด

ที่มา: ดัดแปลงและเพิ่มเติมจาก รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, “เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540,” (รายงานวิจัยเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2545).

การบัญญัติเรื่องแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐมีวัตถุประสงค์อยู่ใน 2 ประการ คือ[8] ประการแรก กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวนโยบายเพื่อให้รัฐบาลเลือกดำเนินการหรือที่เรียกว่า “เมนูนโยบาย” (Policy Menu) และประการที่สอง กำหนดแนวทางให้กับรัฐบาลในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยไม่จำกัดว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งปรากฏในคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ว่า “…กำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐเพื่อช่วยรักษาไว้ซึ่งความต่อเนื่องกันโดยสม่ำเสมอในการบริหารราชการ…” และในมาตรา 54 บัญญัติว่า “…บทบัญญัติในหมวดนี้มีไว้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการตรากฎหมายและการบริหารราชการตามนโยบายดั่งกำหนดไว้…”  อย่างไรก็ตาม การกำหนดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐไม่ได้หมายความว่า พรรคการเมืองและรัฐบาลไม่ต้องมีนโยบายของตนอีกต่อไป เพราะแนวนโยบายแห่งรัฐนี้เป็นเพียงแต่หลักการแห่งนโยบายเท่านั้นไม่ใช่ตัวนโยบาย[9]  ดังนั้น โดยสภาพแล้วแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย[10]

ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้สร้างต้นแบบในการบัญญัติหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐขึ้นมา แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้น้ำหนักแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไปในเรื่องความมั่นคงของรัฐมากกว่าในเรื่องหน้าที่ของรัฐในทางเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญที่มีความสำคัญมากที่สุดในการกำหนดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ ก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 เป็นรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมโดยนำฉันทามติแบบเคนส์ (Keynesian Consensus) และได้ก่อตัวแนวคิดรัฐสวัสดิการ (Welfare State) มาบัญญัติไว้ในหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐใน 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองเรื่องการจ้างงานเต็มอัตรา (Full Employment) โดยกำหนดให้รัฐพึงส่งเสริมให้ประชากรวัยทำงานมีงานทำ และได้คุ้มครองสิทธิของแรงงานให้ได้รับค่าตอบแทนตามอัตภาพ จัดให้มีการคุ้มครองแรงงานให้เป็นไปโดยเป็นธรรม และจัดให้มีสวัสดิการเพื่อประกันการเจ็บป่วยและชราภาพของแรงงาน[11]

ประการที่สอง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองเรื่องรัฐสวัสดิการเอาไว้ โดยกำหนดให้รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ ส่งเสริมกิจการเคหะสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ส่งเสริมการสาธารณสุขตลอดถึงการอนามัยครอบครัวและคุ้มครองสุขภาพของบุคคล จัดให้มีการรักษาพยาบาลแก่ผู้ยากไร้โดยไม่คิดมูลค่า[12]

ประการที่สาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองเรื่องการบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมและธรรมชาติเอาไว้ โดยกำหนดให้รัฐพึงบำรุงรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อมและความงามทางธรรมชาติ รวมทั้งป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร และน่านน้ำ[13]

ระการที่สี่ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม โดยได้บัญญัติเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคมลดน้อยลง[14] และการปฏิรูปที่ดินและการจัดรูปที่ดิน[15]

แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 นั้นจะใช้บังคับเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ 2 ปีอันเป็นผลมาจากการรัฐประหารโดย คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยมีพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ซึ่งดึงให้ประเทศไทยเข้าสู่วังวนของการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2539 เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 เพื่อเปิดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งบทบัญญัติในเรื่องแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐได้สืบทอดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517

การนำแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐมาปฏิบัติ

ในความเป็นจริง แม้รัฐธรรมนูญจะได้กำหนดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐเอาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492  ทว่า การกำหนดนโยบายเอาไว้รัฐธรรมนูญเปรียบได้กับ “ความฝัน” (เป็นคำที่ศาสตราจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์นำมาใช้) เพราะนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 เป็นต้นมา นโยบายที่ได้บรรจุไว้ในหมวดแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐนั้นมิได้มีการดำเนินการในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง เนื่องจากรัฐบาลส่วนใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ. 2492 เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. 2540 นั้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจเท่าที่ควร ทำให้บทบัญญัติในส่วนแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐที่บัญญัติไว้เป็นเพียง “ส่วนเกิน” ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ[16]

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจกับรัฐธรรมนูญสัมพันธ์กันในลักษณะที่ทั้งเป็นการรับรองสิทธิของประชาชนภายในรัฐในทางเศรษฐกิจ และกำหนดกรอบทิศทางระบบเศรษฐกิจของรัฐจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร  นอกจากนี้  เมื่อเวลาผ่านพัฒนาการของบทบัญญัติทางเศรษฐกิจในรัฐธรรมนูญก็มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ แต่เดิมบทบัญญัติทางเศรษฐกิจมักปรากฏในรูปของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐรับรองไว้ให้ แต่ในช่วงหลังมานี้บทบัญญัติทางเศรษฐกิจได้ปรากฏในรูปแบบของแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ หรือบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ  อย่างไรก็ตามบทบัญญัติในส่วนของแนวนโยบาย (พื้นฐาน) แห่งรัฐ ในความเป็นจริงแทบจะไม่มีการนำมาปฏิบัติ เสมือนเพียงแต่ความฝันที่ไม่เป็นจริง


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 9, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2539), น. 39.

[2] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, “เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540,” (รายงานวิจัยเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2545), น. 4.

[3] หยุด แสงอุทัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 159.

[4] มาตรา 87 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[5] สำนวนแปลของฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล.

[6] หยุด แสงอุทัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 161-162.

[7] เพิ่งอ้าง, น. 162.

[8] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 348.

[9] หยุด แสงอุทัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 162.

[10] มาตรา 54 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492.

[11] มาตรา 89 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517.

[12] มาตรา 91 และมาตรา 92 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517.

[13] มาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517.

[14] มาตรา 79 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517.

[15] มาตรา 81 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517.

[16] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 359.