วัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดที่ขยายช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม เหตุการณ์สำคัญที่จะต้องหยิบมาพูดถึงคือ เหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในหน้าการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ทั้งสอง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการลอยนวลพ้นผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการลอยนวลพ้นผิดนี้สร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยในหลายๆ ด้าน ทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังถ่างช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น

การลอยนวลพ้นผิด : อภิสิทธิ์ปลอดความผิด

การลอยนวลพ้นผิด (impunity) หรือ อภิสิทธิ์ปลอดความผิด ถูกอธิบายในฐานะของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการหยิบยื่นความรับผิดชอบให้แก่ผู้กระทำความรุนแรง ซึ่งได้กระทำลงในนามของอำนาจรัฐต่อประชาชน[1]

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิด คือ การใช้ความรุนแรงโดยรัฐกับประชาชนโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ โดยหลักการทั่วไปแล้ว รัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นใหญ่ มีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่แบบในสังคมไทย กลับเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรง และ การลอยนวลพ้นผิด เกิดขึ้นและดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันได้ในบางกลุ่มคน ซึ่งมักจะมีมายาคติและคำพูดที่ใช้กันจนชินว่า “มันก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ”

หากนับตั้งแต่การอภิวัฒน์สยามหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเรื่องมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยต้องเผชิญกับการใช้ความรุนแรงในหลายๆ ลักษณะ  อิทธิพล โคตะมี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการลอยนวลพ้นผิดและความรุนแรงได้สรุปว่า

“งานศึกษาความรุนแรงบางชิ้นเสนอว่า คนไทยที่เกิดหลังปี 2475 เป็นต้นมา จะต้องมีชีวิตผ่านปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอย่างน้อยถึง 14 รูปแบบ ในแง่นี้จึงไม่น่าแปลกใจหากคนไทยจะคุ้นชินกับความรุนแรงและเห็นมันตั้งแต่ยามค่ำจนยันกลางวันแสกๆ”[2]

ตัวอย่างของความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยรัฐ (และเครือข่ายของรัฐ) ที่ชัดเจนก็คือ การใช้กำลังปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือการสังหารหมู่กลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519

นอกจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว ความรุนแรงดังกล่าวยังเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เกิดการรัฐประหาร และมีการใช้กำลังกับผู้เห็นต่างทางการเมือง การอุ้มฆ่า การซ้อมทรมาน การดำเนินคดี และการสังหารผู้มีความเห็นต่างทางศาสนา โดยปฏิบัติการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจด้วยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ความรุนแรงที่หลุดลอยไปจากการตรวจสอบ : วัฒนธรรมหนึ่งของสังคมไทย

คำถามสำคัญและน่าสนใจก็คือ “ทำไมถึงไม่มีการดำเนินการใดๆ กับบุคคลเหล่านี้เลย?”

คำตอบของคำถามดังกล่าว คือ ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหารนั้น สิ่งที่ตามมา คือ การนิรโทษกรรมในทางการเมือง ทั้งการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นความรับผิดใดๆ ที่ตนเคยได้ทำ หรือ การรับรองให้การกระทำใดๆ ของตนล้วนชอบด้วยกฎหมายและด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้กระทำ ซึ่งรวมแล้วมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเกือบ 23 ฉบับ โดยแบ่งเป็น พ.ร.ก. ได้ 4 ฉบับ พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ[3] ซึ่งบรรดากฎหมายเหล่านี้เป็นที่มาของการลอยนวลพ้นผิด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดความรู้สึกว่า การลอยนวลพ้นผิดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และดูเหมือนจะเป็นเรื่องชั่วคราว  แต่ทว่า การยกเว้นความผิดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่โดยทั่วไปกฎหมายไม่อาจให้กระทำได้ เพราะเป็นการทำลายความยุติธรรมและการปกครองแบบนิติรัฐ

ในทุกๆ ครั้งที่มีการลอยนวลพ้นผิดย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสังคมโดยไร้ข้อจำกัดด้านเวลา และกลายเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย รวมทั้งกลายเป็นการปูทางให้มีการใช้ความรุนแรงในนามของรัฐในกาลข้างหน้าต่อไป[4]

ภาพที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ภายใต้คำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 นั้น ให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งใดๆ ก็ตาม ซึ่งถูกรับรองความชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะไม่ถูกตรวจสอบ และแม้จะพ้นยุคสมัยของ คสช. ไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ยังคงรับรองความชอบด้วยกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผลิตซ้ำการลอยนวลพ้นผิดยังค่อยๆ ถูกแทรกซึมเข้ามาในสถานการณ์ปกติ ผ่านกลไกทางกฎหมายต่างๆ ที่ให้อำนาจรัฐยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายโดยอาศัยข้ออ้างในด้านความมั่นคง อาทิ การห้ามมิให้ศาลปกครองตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองใดๆ ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน[5] หรือการพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยอาศัยข้ออ้างในการตีความที่ไม่ชัดเจนและมีขอบเขตกว้าง อาทิ การพยายามยกเว้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของรัฐบาลปัจจุบัน โดยให้เหตุผลด้านประโยชน์สาธารณะและความมั่นคง[6] ตัวอย่างดังกล่าวเป็นเพียงการลอยนวลพ้นผิดที่มีการรองรับโดยกฎหมายเท่านั้น

ซึ่งยังไม่รวมถึงกรณีเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายอาศัยอำนาจที่ไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพของการสร้างอภิสิทธิ์พิเศษแก่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการตามคำสั่งรัฐในการกระทำการใดๆ ที่จะละเมิดสิทธิของประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมายและในนามของกฎหมายได้

ภาพดังกล่าว คือ การฉายซ้ำของการลอยนวลพ้นผิดที่ได้แปรรูปแบบ และสะท้อนภาพกลายเป็นวัฒนธรรมหรือเป็นสถาบันของสังคมไทยอย่างหนึ่งที่กำหนดให้รัฐมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ในสังคม[7] ซึ่งไม่เพียงแต่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของสังคมไทยได้ถูกทำให้ปกติอย่างถูกกฎหมายและในนามของกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการบั่นทอนระบอบนิติรัฐ

การลอยนวลพ้นผิดสัมพันธ์อย่างไรกับความเหลื่อมล้ำ

นิติรัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะโดยหลักการแล้ว นิติรัฐเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อ่อนแอจากผู้มีอำนาจ[8] แต่การที่กฎหมายเข้ามาทำหน้าที่ตรงกันข้ามเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก เมื่อคนคนหนึ่งทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะขาดแรงจูงใจที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น และไม่พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดการทำร้ายนั้น[9] บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้อาจจะละเลยความใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งมิเพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้ ในบางกรณีผู้มีอำนาจอื่นๆ ก็อาจจะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าแทรกแซง รวมถึงโน้มน้าวการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น เพื่อให้ได้ผลสมปรารถนาที่พวกเขาต้องการ อาทิ การติดสินบน และการใช้อิทธิพลหรืออำนาจ

กรณีที่สอง การทำให้สถานะของมนุษย์ที่ควรจะเท่ากันอย่างน้อยในทางกฎหมายเกิดความไม่เท่ากัน (กับคนอื่นๆ) เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้ถูกทำลายลงจากการลอยนวลพ้นผิด (หรืออย่างน้อยก็พยายามจะทำให้ลอยนวลพ้นผิด จนกว่าจะถูกตัดสินโดยศาล)

ตัวอย่างของสถานการณ์ที่ส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจนี้ เช่น ในคดีของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล การที่ศาลไม่ได้ยึดถือหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นบริสุทธิ์ (แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรอง) และเรียกหลักประกันในอัตราที่สูงหรือสร้างข้อยุ่งยาก ผิดกับคดีในลักษณะอื่นๆ ที่ศาลไม่ได้เรียกหลักประกันหรือให้เงื่อนไขที่ทำให้มีอิสระในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ต้องหาในคดีเหล่านี้ต้องอาศัยหลักประกันที่มีทุนทรัพย์เป็นจำนวนมากมาใช้ในการต่อสู้คดี ซึ่งในกรณีนี้หากรัฐบาลใดๆ ใช้กลไกอำนาจรัฐในการบังคับลงโทษกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ผู้เรียกร้องเรื่องสิทธิและเสรีภาพ หรือผู้ต่อสู้เพื่อสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า การบั่นทอนนิติรัฐนั้นกำลังดำเนินปฏิบัติการบางอย่างที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำ

กล่าวโดยสรุป การลอยนวลพ้นผิดนั้นสร้างผลร้ายต่อสังคม มิเพียงแต่บั่นทอนนิติรัฐ แต่กลับให้อำนาจรัฐในการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และวัฒนธรรมของการลอยนวลพ้นผิดก็เชื่อมโยงเข้ากับสถานะทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นในทุกขณะ


เชิงอรรถ

[1] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 4 อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง, ‘กฎหมายในความรุนแรง ความรุนแรงในกฎหมาย: การลอยนวลพ้นผิดทางกฎหมายของรัฐไทยในกรณีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง’ (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) 58.

[2] อิทธิพล โคตะมี, ‘ลอยนวลพ้นผิด: สำรวจ ‘วัฒนธรรมเฉพาะ’ เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล’ (Way Magazine, 10 ธันวาคม 2562) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[3] ปรับแก้ตัวเลขจากบทความของ อิทธิพล โคตะมี ซึ่งในบทความที่กล่าวถึงนี้มีการนับจำนวนกฎหมายไว้ 22 ฉบับ; เพิ่งอ้าง.

[4] Tyrell Haberkorn, In Plain Sight: Impunity and Human Rights in Thailand (The University of Wisconsin Press 2018) 6; อ้างถึงใน ภาสกร ญี่นาง (เชิงอรรถ 1) 60.

[5] บทวิพากษ์ของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์; ดู ธีระ สุธีวรางกูร, ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้บังคับ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 150.

[6] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ช่องโหว่กฎหมาย PDPA เมื่อ ‘Big Brother’ จ้องคุกคามความเป็นส่วนตัวของประชาชน’ (Way Magazine, 26 กรกฎาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565; เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘ยกเว้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลที่อาจตามมา’ (กรุงเทพธุรกิจ, 10 สิงหาคม 2565) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ‘รัฐลอยนวล’ (มติชนออนไลน์, 3 กันยายน 2561) สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2565.

[8] โจเซฟ อี. สติกลิตซ์, ราคาของความเหลื่อมล้ำ – The Price of Inequality: How Today’s Divided Society Endangers Our Future (สฤณี อาชวานันทกุล แปล, สำนักพิมพ์ Openworlds 2556) 318.

[9] เพิ่งอ้าง 318.

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในเดือนตุลาเริ่มต้นจากการเคลื่อนเข้าสู่การเกิดขึ้นของแรงงานในช่วงก่อนพุทธศักราช 2475 สภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของแผ่นดินสยามจะเกี่ยวข้องกับการเกษตรมากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

จนเมื่อ “คณะราษฎร” เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ขึ้นและนำเสนอโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและปรับปรุงผลผลิตและทรัพยากรในสังคม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมเข้าสู่สังคมแรงงานมากขึ้นสิทธิของผู้ใช้แรงงานก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ในบทความนี้จะได้พูดถึงการเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยในช่วงเหตุการณ์สำคัญในเดือนตุลาคม 2 เหตุการณ์ คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

การเคลื่อนเข้าไปสู่การเกิดขึ้นของแรงงาน

ในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 2475 นั้นสภาพเศรษฐกิจและการผลิตหลักของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มากกว่าการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ดังจะเห็นได้จากอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นข้าราชการกับเกษตรกรมากกว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ จัดทำร่างนโยบายเศรษฐกิจของคณะราษฎร หรือที่เรียกว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับปรุงการปันผลผลิตในสังคม โดยมุ่งใช้ทรัพยากรการผลิตให้เต็มที่ด้วยการแปลงกระบวนการผลิตของไทย โดยอาศัยรัฐวิสาหกิจเข้ามาดำเนินการผลิตในอุตสาหกรรม[1] 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเนื้อหาในเค้าโครงการเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและพัฒนาพื้นที่ชนบท และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในเวลานั้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจในเมืองเป็นประเด็นรอง[2] 

ทว่า ในท้ายที่สุดข้อเสนอในเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติเนื่องจากมีกระแสคัดค้านทางการเมืองจากชนชั้นสูงและกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบเก่าโดยอ้างพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงการเศณษบกิจ[3]  นอกจากนี้ การช่วยเหลือชาวนายังหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มนายทุนในเมือง เพราะพวกนี้เป็นพวกขูดรีดส่วนเกินมาจากชาวนาทั้งในรูปแบบของหนี้สินและการเอารัดเอาเปรียบต่างๆ[4]

ในท้ายที่สุดรัฐบาลคณะราษฎรก็ไม่ได้นำเค้าโครงการเศรษฐกิจมาใช้และต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินการทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมโดยมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศณษฐกิจดังกล่าว โดยข้อเสนอหลายประการของหลวงวิจิตรวาทการนั้นยังคงต่อต้านระบบศักดินาเดิม เพียงแต่เบากว่าที่ปรีดีได้เสนอไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ เช่น การซื้อที่ดินของรัฐทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอของหลวงวิจิตรวาทการนั้นไม่ได้ขัดขวางการเติบโตและขยายตัวของทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพียงแต่อุตสาหกรรมเหล่านั้นถูกควบคุมโดยชาติผ่านระบบราชการของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม[5]

การเกิดขึ้นของชนชั้นแรงงานไทยเกิดขึ้นจริงๆ อย่างเป็นกิจลักษณะภายหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบริษัทห้างร้านโดยส่วนใหญ่ที่เป็นของชาติตะวันตกที่เป็นคู่สงครามมีบทบาทลดลง ทำให้เกิดการเปิดกิจการต่างๆ ของคนไทยโดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามาทดแทนกิจการเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดชนชั้นแรงงานเพิ่มมากขึ้น

การรับรองสิทธิของแรงงานในกฎหมาย

การรับรองสิทธิแรงงานั้นในทางกฎหมายนั้นทั้งประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในโลกโดยส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นมาจากความตกลงกันบนพื้นฐานของกฎหมายสัญญาบนความตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในบริบทของประเทศไทยกฎหมายที่เข้ามารับรองเรื่องสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนั้นเป็นไปตามบรรพ 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ซึ่งได้ประกาศใช้ในปี 2471[6] 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่ไม่เท่ากันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้รัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงโดยออกกฎหมายเฉพาะเข้ามาดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งในประเทศไทยในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อประสานงานตลอดจนความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง[7] ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศตั้งแต่ต้น โดยภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการรับรองสิทธิแรงงานในหลายลักษณะตามมาตรฐานสากล เช่น การรับรองสหภาพแรงงานในฐานะองค์การของลูกจ้างที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผลประโยชน์ในการทำงานและเพื่อสวัสดิการของลูกจ้างหรือการคุ้มครองแรรงานในเรื่องเวลาการทำงาน วันหยุดงาน การใช้แรงงานหญิงหรือแรงงานเด็ก การกำหนดค่าจ้าง และการกำหนดสภาพการจ้างแรงงานอื่นๆ เป็นต้น

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กับการเคลื่อนไหวของแรงงาน

แม้ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดชนชั้นแรงงานไทยขึ้นมาจะมาพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของกฎหมายแรงงาน แต่พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมากเพียงแค่ 3 ปี ก็ถูกคณะรัฐประหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีประกาศของคณะรัฐประหารฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501 โดยกล่าวหาว่าเป็นการเปิดช่องให้เป็นเครื่องมือยุยงส่งเสริมให้เกิดความร้าวฉานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เป็นโอกาสให้ตัวแทนคอมมิวนิสต์อาศัยใช้ลูกจ้างเป็นเครื่องมือยุยงในทางมิชอบ ทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในการประกอบอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็นภัยร้ายแรงแก่การดำเนินการเศรษฐกิจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ[8] เนื่องจากในเวลานั้นรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้นต้องการสร้างบรรยากาศลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำ[9]

ผลของประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้มีผลทำให้บรรดาสิทธิแรงงานที่เคยได้รับตามพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 และแทนที่ด้วยสิทธิแรงงานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้แทน ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 เพื่อใช้แทนกฎหมายแรงงานที่ได้ถูกยกเลิกไป ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ยังพอมีข้อดีอยู่บ้างเนื่องจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ได้รับรองสิทธิของลูกจ้างในการตั้งสมาคมลูกจ้างได้ แต่ไม่ให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของลูกจ้างในการตั้งข้อเรียกร้องเพื่อต่อรองและเจรจากับนายจ้าง[10] ผลของการยอมจัดตั้งสมาคมลูกจ้างได้นั้นประกอบกับการมีนิสิตนักศึกษาเข้าไปช่วยจัดตั้งทำให้เกิดสมาคมลูกจ้างพระประแดงขึ้นมา ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงาน โดยในช่วงปี 2515 – 2516 นั้นมีการนัดหยุดงานมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งการรวมกันระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงานกับนักศึกษานั้นเป็นแนวร่วมสำคัญในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถอนม กิตติขจร

ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น สังคมไทยเกิดความตื่นตัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระแสการใช้สิทธิและเสรีภาพทั้งในทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นประกอบกับแนวร่วมสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรนั้นทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมเพื่อให้เกิดสังคมที่เป็นธรรมในขอบเขตทั่วประเทศ

ในด้านสิทธิแรงงานนั้นกระแสความเคลื่อนไหวของแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งให้สิทธิคนงานในการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้นความเข้มแข็งของผู้ใช้แรงงาน และแรงสนับสนุนจากแนวร่วมสามประสานนั้นทำให้เกิดการจัดตั้งสภาแรงงานแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2519 โดยมีนายไพศาล ธวัชชัยนันท์เป็นประธานสภาผู้ใช้แรงงานแห่งประเทศไทย[11] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานของผู้ใช้แรงงาน โดยอาศัยการรวมตัวเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับรัฐบาล

การรวมตัวกันของผู้ใช้แรงงานอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนนี้ ประกอบกับการมีอยู่ของแนวร่วมสามประสานนี้เองทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวการเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นสามารถทำได้สำเร็จโดยมีการปรับเปลี่ยนค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตอบสนองความต้องการนี้ของประชาชนเป็นอย่างดี[12]

ตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พ.ศ. 2516 – 2520)

ฉบับที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันที่ประกาศใช้
112 บาท4 กุมภาพันธ์ 2516
216 บาท30 พฤศจิกายน 2516
320 บาท13 มิถุนายน 2517
418 บาท1 สิงหาคม 2517
525 บาท1 ตุลาคม 2517
628 บาท23 สิงหาคม 2520
835 บาท30 สิงหาคม 2521
ที่มา: กระทรวงแรงงาน

6 ตุลาคม 2519 กับจุดผลิกผันของขบวนการแรงงาน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการสังหารหมู่กลางกรุงเทพในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นส่งผลให้กลุ่มสามประสานระหว่างนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาเกษตรกรถูกทำลายลง คณะรัฐประหารได้สร้างกระบวนการ (อ) ยุติธรรมของตนเองขึ้นมาโดยการเพิ่มอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ซึ่งการบีบบังคับดังกล่าวนั้นทำให้ผู้ต้องหาบางส่วนหนีเข้าป่าแล้วไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในขณะเดียวกันขบวนการแรงงานก็ถูกฝ่ายขวากล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และก็ถูกทยอยจับกุมเข้าเรือนจำ[13]

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ได้นำการรัฐประหารมาสู่ประเทศไทยในเวลานั้น ได้มีคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 22 ได้กำหนดข้อหา “ภัยสังคม” ขึ้นมา โดยรวมกำหนดให้การ “ร่วมหยุดงาน หรือปิดงานงดจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เป็นภัยสังคมในลักษณะหนึ่ง บรรยากาศของการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานค่อยๆ ลดลงไป

ระบอบรัฐประหารนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำลายระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่กลายเป็นระบอบรัฐประหารนั้นได้ทำลายการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานลง คณะรัฐประหารนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของผู้ใช้แรงงาน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุนและต้องการเสริมสร้างการลงทุนเพื่อแสวงหาประโยชน์จึงพยายามกดผู้ใช้แรงงานเอาไว้ ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2564 นั้นกลายเป็นชวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงานอย่างไม่หวนกลับมา

ในปัจจุบันสิทธิของผู้ใช้แรงงานยังคงมีปัญหาอยู่ แม้ว่ารูปแบบการดำเนินกิจการจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ปัญหาของกลุ่มผู้ใช้แรงงานก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม กลุ่มผู้ใช้แรงงานในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การใช้แรงกายเท่านั้น แต่ยังมีแรงงานในลักษณะอื่น เช่น การไม่มีสถานะเป็นผู้ใช้แรงงานของฟู๊ดไรเดอร์ (Food Rider) และคนขับรถที่ให้บริการผ่านแอพลิเคชั่น หรือผู้ให้บริการอิสระ (Freelance) ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากความตกลงที่อาจจะไม่เป็นธรรม และแม้แต่ “Sex Worker” ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการรับรองตามกฎหมาย เป็นต้น ปัญหาของผู้ใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสัญญาหรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากสภาพการจ้าง สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกเพิกเฉยละเลยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

หมายเหตุ กฤษณัย ราชพิบูลย์ ผู้ช่วยค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหา


เชิงอรรถ

[1] พอพันธ์ อุยยานนท์, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2564) 106

[2] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (พิมพ์ครั้งที่ 6, ซิลค์เวอร์ม 2566) 146

[3] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 107

[4] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์ (เชิงอรรถ 2) 146.

[5] พอพันธ์ อุยยานนท์ (เชิงอรรถ 1) 108

[6] พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่

[7] หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499

[8] ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501

[9] บันทึก 6 ตุลา, ‘การต่อสู้ของกรรมกร’ (บันทึก 6 ตุลา) <https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-2/2-2-1> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[10] Voice Labour, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงาน เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์’ (Voice Labour, 28 สิงหาคม 2556) <https://voicelabour.org/14-ตุลากับขบวนการแรงงาน-เ/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[11] นภาพร อติวานิชยพงศ์, ‘14 ตุลากับขบวนการแรงงานไทย’ (ประชาไท, 12 ตุลาคม 2557) <https://prachatai.com/journal/2014/10/55959> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘6 ตุลา ชนวนสำคัญของการหยุดยั้งการเติบโตของขบวนการสิทธิแรงงาน’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 กันยายน 2564) <https://pridi.or.th/th/content/2021/09/845> สืบค้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564

[13] สุภชาติ เล็บนาค, ‘จากคุกถึงคุก: กระบวนการ(อ)ยุติธรรรม สามารถทำร้ายคนหนึ่งคนได้มากแค่ไหน’ (The Momentum, 17 เมษายน 2564) <https://themomentum.co/lostinthought-fromjailtojail/> สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564