วุฒิสภา (สูงวัย) ในไทยกับบทบาทของสภาสูงในโลก: มองบทบาทวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบต่างประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงล้นหลามจนทำให้เกิดคำถามว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลจะได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะด้วยกลไกอันแปลกประหลาดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เปิดทางให้สมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้

ความประหลาดดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากที่สุดในเวลานี้จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ในเมื่อสมาชิกวุฒิสภาได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนคัดเลือกมาดำรงตำแหน่ง ประเด็นนี้จึงนำมาสู่คำถามสำคัญของสังคมว่า วุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้จะยังควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่

บทความนี้ชวนพิจารณาวุฒิสภาไทยเปรียบเทียบกับความจำเป็นในบทบาทของสภาสูงในระดับสากลว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และบทบาทของวุฒิสภาเป็นอย่างไรในโลกปัจจุบัน

บทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองจำนวนมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา องค์ประกอบหนึ่งของรัฐสภาก็คือ วุฒิสภา

วุฒิสภาเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นสภาสูงทำงานควบคู่กับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาหลักในการเป็นผู้แทนของประชาชนที่ในประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญและมีอำนาจในการนิติบัญญัติอย่างแท้จริง

บทบาทของวุฒิสภาในแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของการออกแบบระบบการเมืองหรือโครงสร้างของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาทั่วโลกจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

ประการแรก หน้าที่ในการตรากฎหมาย บทบาทหลักของรัฐสภาคือการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมาย เมื่อวุฒิสภาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ฉะนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของวุฒิสภาในการตรากฎหมายจึงเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุดของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หน้าที่ในการตรากฎหมายของวุฒิสภาในแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน วุฒิสภาในบางประเทศไม่มีอำนาจในการเสนอกฎหมาย ทำหน้าที่ได้เพียงทำรายงานการศึกษาและแนะนำให้กับสภาผู้แทนราษฎรในการตรากฎหมาย แต่โดยทั่วไปแล้ววุฒิสภาจะมีหน้าที่หลักในการอภิปรายและพิจารณาผ่านร่างกฎหมาย[2]

ประการที่สอง หน้าที่เป็นผู้แทน โดยทั่วไปถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นผู้แทนของประชาชน แต่นอกเหนือจากการเป็นผู้แทนของประชาชนแล้ว วุฒิสภายังมีสถานะเป็นผู้แทนของชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐที่เข้ามาประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐ โดยวุฒิสภาเหล่านี้จะมีบทบาทในการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้น กลุ่มอาชีพ หรือมลรัฐเหล่านั้น[3] ตัวอย่างเช่น สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นวุฒิสภาของประเทศอังกฤษในอดีตมาจากขุนนางสืบตระกูล แต่ในปัจจุบันสมาชิกสภาขุนนางได้รับการเสนอชื่อโดยนายกรัฐมนตรีให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และมีบทบาทน้อยลงมากๆ ภายหลังการปฏิรูปรัฐสภา[4] หรือในสหรัฐอเมริกาและสหพันธรัฐเยอรมนีวุฒิสภานั้นจะมาจากการเป็นสมาชิกของผู้แทนแต่ละมลรัฐที่เข้าร่วมเป็นสหพันธ์[5]

ประการที่สาม หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอม ในระบบการเมืองส่วนใหญ่ที่มีวุฒิสภามักจะให้อำนาจแก่วุฒิสภาในการให้คำแนะนำและความยินยอมในเรื่องต่างๆ เช่น การแต่งตั้งและการทำสนธิสัญญา ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภามีอำนาจสำคัญต้องยืนยันการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งระดับสูงที่ตั้งโดยประธานาธิบดี อาทิ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของรัฐบาลกลาง และเอกอัครราชทูต หรือการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่เจรจาโดยฝ่ายบริหาร หรือในบริบทของประเทศไทย วุฒิสภามีบทบาทมากไปกว่านั้นโดยทำหน้าที่ให้การรับรองบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครอง[6]

ประการที่สี่ หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ในระบบการเมืองส่วนใหญ่มักจะให้อำนาจวุฒิสภาในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน โดยสามารถตั้งกรรมาธิการสอบสวน ติดตาม หรือตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นอกจากนี้ ในบางประเทศยังกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่เป็นศาลสูงสุดที่มีอำนาจพิจารณาคดี อาทิ ในอดีตศาลสูงสุดของประเทศสหราชอาณาจักรคือ ศาลสภาขุนนาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร แต่ภายหลังเมื่อสหราชอาณาจักรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปจึงได้มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากสภาขุนนางและตั้งเป็นศาลสูงสุดแทน[7] และ

ประการที่ห้า หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร[8] โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญอาจจะออกแบบระบบการเมืองให้สภาทั้งสองมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยอาจจะกำหนดให้วุฒิสภามีอายุยาวกว่าเพื่อประกันความต่อเนื่องของภารกิจเมื่อสภาผู้แทนราษฎรพ้นวาระไปก่อน นอกจากนี้ ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภามีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[9] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่น นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”[10]

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาบทบาทและหน้าที่ของวุฒิสภาในข้างต้นแล้ว วุฒิสภาดูมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ในโลกนี้ก็มีหลายประเทศที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ออกแบบระบบการเมืองให้มีวุฒิสภา

ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่มีวุฒิสภา

เมื่อพิจารณาจำนวนประเทศในปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 80 ประเทศในโลกที่ออกแบบระบบการเมืองให้ใช้ระบบสองสภา คือ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่างและวุฒิสภาเป็นสภาสูง ดังเช่นปรากฏในภาพของ E-Public Law Project ที่แสดงให้เห็นประเทศที่ใช้ระบบสองสภา คือ ประเทศที่สีแดง และประเทศที่ใช้ระบบสภาเดียวคือ ประเทศสีฟ้า โดยนอกเหนือจากประเทศที่ใช้ระบบสองสภาและสภาเดียวแล้ว ระบบการเมืองในบางประเทศยังมีการกำหนดให้มีรูปแบบขององค์กรนิติบัญญัติที่แตกต่างจากระบบการเมืองข้างต้น (สีเขียวและสีเหลือง) อาทิ ในประเทศจีนที่ระบบการเมืองกำหนดให้มีสภาเดียวคือ สภาประชาชนแห่งชาติเป็นสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว แต่ในทางปฏิบัติและโครงสร้างระบบราชการของจีนก็กำหนดให้องค์กรทางการเมืองแบบคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ มีบทบาทมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือครอบงำการทำงานของสภาประชาชนแห่งชาติ หรือประเทศบรูไนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และไม่มีการตั้งองค์กรนิติบัญญัติที่อยู่ในรูปแบบของรัฐสภาที่มีผู้แทนจากประชาชน

ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่1: แสดงประเทศที่มีการใช้ระบบสภาเดียวและประเทศที่ใช้ระบบสองสภา
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีระบบการเมืองแบบสองสภา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทิศทางของหลายประเทศเริ่มปรับตัวไปสู่ระบบการเมืองที่องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเป็นสภาเดียว โดยการยกเลิกตำแหน่งสภาสูงในหลายประเทศอาจจะเกิดขึ้นจากการทำประชามติเพื่อพิจารณาบทบาทและความจำเป็นในการมีสภาสูงที่ลดลง และการรัฐประหารทำให้เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มีการตั้งสภาสูง ซึ่งหากย้อนกลับไปพิจารณาสาเหตุของการไม่มีสภาสูงในหลายประเทศ มีที่มาจากความพยายามลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการนิติบัญญัติ หรือบทบาทของสภาสูงในประเทศหมดความจำเป็นแล้ว หรือต้องการประหยัดงบประมาณ หรือสภาสูงเป็นสัญลักษณ์ของระบบการเมืองแบบกษัตริย์และศักดินาที่หมดความจำเป็น ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ระบบการเมืองในหลายประเทศได้เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ระบบสภาเดียว โดยให้น้ำหนักและบทบาทไปที่สภาผู้แทนราษฎร[11]

ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง ที่มา: E-Public Law Project (2022)
ภาพที่ 2: ประเทศที่ภายหลังยกเลิกสภาสูง
ที่มา: E-Public Law Project (2022)

วุฒิสภาไทยเกิดขึ้นมาอย่างไร

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา โดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[12] โดยเมื่อย้อนกลับไปที่ความคิดของนายปรีดี ซึ่งเห็นว่าไม่ควรนำระบบสองสภามาใช้ในประเทศไทยโดยประเทศไทยควรมีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดังสะท้อนอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475[13]

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องมีระบบการเมืองที่กำหนดให้มีสองสภาจริงๆ นายปรีดี ได้ให้ความเห็นว่า สมาชิกของสภาสูงอย่างน้อยก็ควรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของราษฎร ซึ่งอาจใช้วิธีการเลือกตั้งสองชั้นโดยสภาเทศบาลหรือสภาจังหวัดหรือมิฉะนั้นก็โดยสภาผู้แทนราษฎร และให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกได้โดยเปิดเผย กับให้สภาผู้แทนราษฎรมีเวลาพอที่จะพิจารณาว่า ผู้สมัครคนใดควรได้รับการเลือกตั้ง”[14]

และสภาสูงควรมีบทบาทคือ ทำหน้าที่เพียง “ยับยั้ง” ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรได้เสนอ โดยถือว่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะหรือวัยวุฒิเพียงพอที่จะตริตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งบทบาทของวุฒิสภาในที่นี้จึงเป็น “ห้ามล้อ” ไม่ใช่เป็นการถ่วง โดยการห้ามล้อนี้ต้องคำนึงดุลยภาพแห่งอำนาจของระบบรัฐสภา ซึ่งในทางวิชาการที่เป็นประชาธิปไตยไม่ปรากฏว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมีการถ่วงดุลโดยอภิสิทธิ์ชน จนทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องทรุดเซไปและเสียดุลยภาพแห่งอำนาจในการบริหารประเทศ[15]

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ประเทศไทยมีสภาสูง ซึ่งนายปรีดีได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ทั้งนี้นายปรีดีไม่เห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้มีสองสภาตามที่รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เสนอให้มีการตั้งพฤฒสภาขึ้นมา[16]

พฤฒสภาซึ่งเป็นสภาสูงแรกที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 นั้นยังดำเนินไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตยอยู่บ้าง โดยกำหนดให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยราษฎร[17] อย่างไรก็ดี บทบาทของพฤฒสภานั้นสั้นและสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งถูกล้มล้างโดยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490

ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งวุฒิสภาขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อจากพฤฒสภามาเป็นวุฒิสภาแทน[18] โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวังวนของการเกิดขึ้นของวุฒิสภาแต่งตั้ง[19] โดยสถานการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534[20] และมาถึงจุดที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในช่วงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด[21]

บทบาทของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นไปเพื่อถ่วงและทำลายสมดุลแห่งอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และรักษาความต่อเนื่องของระบอบรัฐประหาร[22] แต่สภาพลักษณะดังกล่าวก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เน้นความสูงวัยแบบไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีอำนาจล้นเหลือ

ก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพ้นวาระไป คณะรัฐประหารได้วางกลไกสืบทอดอำนาจของตัวเองไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกำหนดเรื่องการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา โดยการสรรหานั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของ คสช.[23] ซึ่งกระบวนการสรรหาดังกล่าวนั้นแทบจะทำให้สมาชิกวุฒิสภาชุดที่ 12 นี้ ไม่แตกต่างอะไรจากการได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจาก คสช.

ผลที่ได้รับจากการสรรหาของ คสช. คือ การได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความภักดีต่อ คสช. ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ชาย แก่เกษียณอายุจากวงราชการที่ตบเท้าเข้ามาจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ กองทัพ ข้าราชการ และผู้ทรงภูมิรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ ที่ คสช. เลือกสรรเข้ามา[24]

ปัญหาสำคัญคือ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้สวนทางกับหลักการประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วโลก เพราะในทางหลักการอำนาจควรจะมาพร้อมกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตย องค์กรใดจะมีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญมากก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งและยึดโยงต่อประชาชน ทว่า วุฒิสภาชุดนี้กลับมีอำนาจเทียบเท่า ส.ส. ทั้งๆ ที่กระบวนการสรรหามีความไม่โปร่งใสและชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เมื่อพิจารณาอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พบว่าวุฒิสภามีอำนาจทั้งหมด 6 ลักษณะ ได้แก่ การประชุมวุฒิสภาและกรรมาธิการต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง[25] ตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีผ่านการตั้งกระทู้ถาม เปิดอภิปรายคณะรัฐมนตรีและส่งชื่อเพื่อกล่าวหา/ถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ[26] ทำหน้าหน้าที่ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะรัฐสภา[27] พิจารณากฎหมาย[28] ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ[29] และอำนาจอื่นๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ อาทิ ให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระในการจัดทำมาตรฐานจริยธรรม[30] พิจารณาข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ[31] ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ[32] สกัดกั้นกฎหมายยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษสำหรับความผิดทุจริตคอรัปชัน[33]

เหนือสิ่งอื่นใดวุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจในช่วงระยะเวลา 5 ปี แรกในการเห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี[34] ซึ่งเป็นอำนาจวิเศษที่ถูกเพิ่มเติมมาผ่านคำถามพ่วงในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

“ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปกติ ส.ว. เนี่ย ไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่นะ ไม่มีสิทธิไปโหวตใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญ โดยเสนอในสมัยที่ผมยังเป็น สปท. ให้ ส.ว. 250 คนนี้ มีสิทธิร่วมในการโหวตคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเป็นคำถามพ่วง พวกเราจำได้อ๊ะเปล่า คำถามพ่วงนี้โหวตทั่วประเทศได้ 15 ล้านเสียง ว่าเห็นด้วยว่าให้ ส.ว. ที่ คสช. ตั้งมาเนี่ย มีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรี”

วันชัย สอนสิริ

เบื้องหลังของบทบัญญัติมาตรานี้มีที่มาจาก นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ซึ่งได้ออกมายอมรับอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเป็นผู้ยกร่างหลักการในเรื่องนี้ ดังความข้างต้น[35]

ดังจะเห็นได้ว่า บทบาทของสมาชิกวุฒิสภาในทุกวันนี้กำลังพ้นไปไกลจากวุฒิสภาสากลที่ควรจะเป็นในต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ทรงวุฒิที่ให้คำปรึกษาหรือทำในลักษณะแบบที่นายปรีดีได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า ทำหน้าที่คอยยับยั้งเสมือนเบรกที่ทำหน้าที่เพียงชะลอความเร็วไม่ใช่เป็นสภาถ่วง

แต่วุฒิสภาประเทศไทยในเวลานี้กลับดำเนินการตรงข้ามกับหลักการที่ควรจะเป็น กลายเป็นสภาถ่วงพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และล้มเหลวในการทำหน้าที่อื่นๆ อาทิ การช่วยกลั่นกรองกฎหมายหรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาวุฒิสภาชุดที่ 12 ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ในคาถาของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่ผ่านกฎหมายกว่า 40 ฉบับ โหวตตรงกันเกือบร้อยละ 98 ของจำนวนการโหวตทั้งหมด[36] ยังไม่รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้นำเหล่าทัพที่ตบเท้าเข้ามาดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่แทบจะไม่เคยเข้าร่วมประชุมวุฒิสภา[37]

สภาพดังกล่าวนี้อาจจะถึงเวลาที่สังคมไทยต้องกลับมาทบทวนการดำรงบทบาทของวุฒิสภาในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การปิดสวิตช์วุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ แต่อาจจะถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทางเลือกในการยุบวุฒิสภาทิ้งแล้วหรือไม่ เพราะหากกลับไปที่จุดมุ่งหมายของการมีวุฒิสภาที่ทำหน้าที่ 5 ประการ บทบาทเหล่านี้อาจจะถูกอุดช่องว่างได้แล้วหรือไม่ อาทิ

  • หน้าที่ในการตรากฎหมาย ซึ่งหากเหลือเพียงสภาเดียวกระบวนการพิจารณากฎหมายอาจทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกันข้อกังวลเรื่องการไม่มีกระบวนกลั่นกรองที่ละเอียดเพียงพอและอาจจะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการดังกล่าวก็มีช่องทางอื่นที่รองรับการแก้ไขไว้ อาทิ การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติ
  • หน้าที่เป็นผู้แทน ซึ่งหากพิจารณาบริบทของวุฒิสภาชุดที่ 12 นั้นแทบไม่ได้เป็นผู้แทนของใครนอกจากผู้แทนของ คสช. ซึ่งตั้งวุฒิสภาชุดนี้ขึ้นมา ประกอบกับประเทศไทยไม่มีบริบทเช่นเดียวกับสภาขุนนางอังกฤษหรือวุฒิสภาทำหน้าที่ตัวแทนของมลรัฐ ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาเป็นผู้แทนจึงไม่มีความจำเป็น
  • หน้าที่ให้คำแนะนำและความยินยอมให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอาจจะแก้ไขได้ด้วยการมอบอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎร โดยสภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองขนาดเล็กร่วมกันกับการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่แทนวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรก็ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด รวมถึงมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งมากกว่าอำนาจของวุฒิสภา
  • หน้าที่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้ไม่มีวุฒิสภาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้สร้างกลไกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไว้มากมาย องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการป้องกันการทุจริตได้โดยไม่ต้องมีวุฒิสภา

ท้ายที่สุดภาคประชาชนคือส่วนสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย กระบวนการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่หลายพรรคการเมืองพูดถึงควรจะมาพร้อมกับการเสริมสร้างอำนาจที่ทำให้รัฐราชการโปร่งใส ให้ข้อมูลและตระหนักถึงสิทธิประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหากทำให้หลักการของความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนมีคุณวุฒิมาชี้นำสังคมในแบบวุฒิสภาปัจจุบัน


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[3] ibid p. 6.

[4] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาขุนนางอังกฤษ,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 (พ.ค.-มิ.ย. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[5] ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “สภาที่สองในระบบรัฐสภา,” จุลนิติ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-ก.พ. 2558), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 และโกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,” วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 5, สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[6] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[7] Legislation.gov.uk, Constitutional Reform Act 2005 Section 23 (1)

[8] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014) p. 6.

[9] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง เล่ม 2 (ม.ป.ท.: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 250.

[10] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[11] Elliot Bulmer, Bicameralism (n.p.: International IDEA, 2014), p. 6-7.

[12] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[13] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[14] วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์และวิษณุ วรัญญู, แนวความคิดประชาธิปไตย ของ ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 136.

[15] เพิ่งอ้าง น. 136.

[16] วิเชียร เพ่งพิศ, ‘ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 1 ตุลาคม 2563), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[17] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 24 และมาตรา 25.

[18] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 8.

[19] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 33.

[20] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, “‘วุฒิสภาไทย : รากฐานที่มาและภารกิจ,”’ วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค. 2548), น. 12.

[21] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 121.

[22] ดู บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ใน Dhanadis – ธนดิศ, ‘ส.ว. มีไว้ทำไม ?’ (Youtube, 20 พฤษภาคม 2566),  สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[23] ILaw, ‘ไม่ใช่แค่บิ๊กป้อมนั่งประธาน กรรมการสรรหา ส.ว. คสช. เลือกเอง ทั้งทีม’ (ILaw, 26 กุมภาพันธ์ 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[24] เพิ่งอ้าง และ ILaw, ‘เปิดบันทึกประชุม คสช. ตอนคัดเลือก ส.ว. 250 คน นัดเดียวจบ’ (ILaw, 8 ธันวาคม 2562), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[25] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129.

[26] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 150 มาตรา 153 และมาตรา 236.

[27] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 156 มาตรา 165 มาตรา 177 และมาตรา 178.

[28] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 136 มาตรา 137 มาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 146 มารตรา 148 มาตรา 172 และมาตรา 173.

[29] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 204 มาตรา 222 มาตรา 228 มาตรา 232 มาตรา 238 มาตรา 241 มาตรา 246.

[30] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 219.

[31] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 256.

[32] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 270.

[33] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 271.

[34] ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 272.

[35] Wikipedia, ‘วันชัย สอนศิริ’ (Wikipedia, 18 พฤษภาคม 2566), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[36] ILaw, ‘สภาหุ่นยนต์! ส.ว.แต่งตั้ง ผ่านกฎหมายอย่างน้อย 40 ฉบับ โหวตทางเดียวกันไม่แตกแถวถึง 98%’ (ILaw, 23 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

[37] ILaw, ‘ส.ว. แต่งตั้ง: ผู้นำเหล่าทัพ รับเงินจากสภาและกองทัพ แต่มาลงมติในสภาไม่ถึง 7%’ (ILaw, 30 มิถุนายน 2565), สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2566.

เลือกตั้งเสมอภาคในบริบทรัฐธรรมนูญไทยและเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือที่ นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดสิทธิทางการเมืองของประชาชนภายในรัฐ

เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพื่อให้ผู้แทนราษฎรเข้าไปเป็นตัวแทนในการใช้สิทธิและเสียงแทนประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และตรากฎหมายที่สำคัญมีผลกับประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร[1] โดยหลักการสำคัญประการหนึ่งของการเลือกตั้งได้แก่ความเสมอภาค กล่าวคือ เสียงของประชาชนทุกๆ คนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะยากจนหรือร่ำรวย หรือมีชาติกำเนิดอย่างไร[2]

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ราษฎรทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในอดีตสิทธิการเลือกตั้งอาจมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดสิทธิสำหรับคนบางกลุ่ม อาทิ ผู้หญิง และผู้ชายที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน เป็นต้น หรือในกรณีของประเทศไทยปัจจุบันรัฐธรรมนูญยังจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช[3]

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในอดีตจะพบว่า เจตนารมณ์เริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น กฎหมายต้องการให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งที่เสมอภาคกัน

เมื่อสิทธิการเลือกตั้งถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ตอกหมุดหมายแห่งความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ถือเงื่อนไขด้านเพศหรือทรัพย์สินมาเป็นเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง ดังปรากฏในบทบัญญัติของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กำหนดให้ใช้วิธีเลือกตั้งโดยทางอ้อมผ่านผู้แทนหมู่บ้าน[4] โดยรับรองสิทธิของบุคคลในการเลือกตั้งไว้ว่า ราษฎรไม่ว่าเพศใดเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ไร้หรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่ถูกศาลพิพากษาให้เสียสิทธิในการออกเสียง และมีสัญชาติไทย ย่อมมีสิทธิออกเสียงลงมติเลือกผู้แทนหมู่บ้านได้[5] บทบัญญัติในมาตรานี้เป็นจุดกำเนิดของการรับรองความเสมอภาคในการใช้สิทธิเลือกผู้แทนราษฎร

ภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้กำหนดเรื่องสิทธิการเลือกตั้งเอาไว้ โดยกำหนดให้คุณสมบัติแห่งผู้เลือกตั้งให้ไปกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[6] หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

พระราชบัญญัติฉบับนี้ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการยกร่างพระราชบัญญัตินี้ขึ้นมา[7] โดยตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม[8] และประเภทที่ 2 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตั้งโดยพระมหากษัตริย์โดยมีวิธีการปลดหรือตั้งเพิ่มเติมแตกต่างกับประเภทที่ 1[9]

กล่าวเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 นั้นกระบวนการเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยกำหนดให้กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ ให้ราษฎรเลือกตั้งผู้แทนตำบล และให้ผู้แทนตำบลไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดละหนึ่งคน[10]

ในแง่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนตำบลจะต้องมีสัญชาติไทย มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่เป็นผู้ต้องคุมขังอยู่โดยหมายศาลในขณะเลือกตั้ง ไม่เป็นภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชขณะเลือกตั้ง และไม่ถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง[11]

พึงสังเกตไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการกำหนดข้อจำกัดการเลือกตั้งอะไรที่จะกระทบต่อความเสมอภาค อาทิ ข้อจำกัดเรื่องเพศ ข้อจำกัดเรื่องการศึกษา หรือการถือครองที่ดิน จะมีแต่ข้อจำกัดเรื่องการห้ามภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช ซึ่งในอดีตกฎหมายต้องการห้ามมิให้นักบวชในศาสนาซึ่งควรจะต้องเป็นกลางทางการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นการเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังจากเมื่อมีการพิจารณาในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ดี พึงตั้งข้อสังเกตว่าการจำกัดสิทธิของภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวชยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ในบริบทสังคมการเมืองปัจจุบัน

มองรัฐธรรมนูญในแดนเทศเปรียบเทียบไทย

ในบริบทของต่างประเทศนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) จากการสำรวจของ CONSTITUTE Project พบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่มีรัฐธรรมนูญในเวลานั้นคิดเป็นร้อยละ 77 ได้มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งสำหรับประชาชนบางกลุ่มเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายการเลือกตั้ง อาทิ ประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการกำหนดข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนเอาไว้ (แต่อาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน) แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีประวัติศาสตร์ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน

ในกรณีของประเทศสหราชอาณาจักรในช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาสิทธิในการเลือกตั้งเป็นสิทธิที่จำกัดไว้เฉพาะประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น แม้ว่ารัฐสภาจะทำหน้าที่ออกกฎหมายมาใช้บังคับกับคนทุกคนภายในประเทศ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิเลือกตั้ง ในช่วงปี ค.ศ. 1492 – 1832 สิทธิการเลือกตั้งในประเทศสหราชอาณาจักรยังถูกสงวนไว้ให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพักอาศัยรวมถึงต้องมีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 40 ปอนด์ขึ้นไป ในขณะที่สิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการยอมรับในปี ค.ศ. 1869 แต่ผู้หญิงที่จะมีสิทธิในการเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้หญิงส่วนใหญ่ เพราะกฎหมายยังคงกำหนดเงื่อนไขเรื่องการเป็นผู้มีทรัพย์สินเอาไว้[12] ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ในเวลานั้นไม่สามารถใช้สิทธิในการเลือกตั้งได้ จากข้อมูลของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1918 มีประชาชนเพียงแค่ร้อยละ 58 เท่านั้นที่เป็นผู้ชายและมีสิทธิเลือกตั้ง[13] แม้ว่าจะมีประชากรชายมากกว่าร้อยละ 21 ที่มีสิทธิเลือกตั้ง[14] ผู้ชายบางคนที่มีเกณฑ์มีสิทธิเลือกตั้งอาจเสียสิทธิเนื่องจากไม่ได้อยู่ในประเทศสหราชอาณาจักร (ในเกาะอังกฤษ) ในเวลานั้น อาทิ ทหาร[15]

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงเริ่มมีความเสมอภาคทัดเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1918 เมื่อ Representation of the People Act 1918 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ขยายสิทธิในการเลือกตั้งให้กับผู้ชายทุกคนที่มีอายุ 21 ปี โดยไม่ต้องมีการนำเงื่อนไขเรื่องทรัพย์สินและรายได้มาเป็นเงื่อนไขการมีสิทธิ ในขณะเดียวกันพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ให้สิทธิกับผู้หญิงทุกคนที่มีอายุมากว่า 30 ปี และเป็นเจ้าของบ้านหรือภริยาของเจ้าของบ้านก็มีสิทธิเลือกตั้งได้เช่นกัน[16] ซึ่งทำให้ผู้หญิงประมาณ 8.5 ล้านคนมีสิทธิเลือกตั้ง แต่จำนวนดังกล่าวก็เป็นเพียง 2 ใน 3 ของประชากรผู้หญิงทั้งหมดในสหราชอาณาจักร[17] อย่างไรก็ดี  แม้กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่มีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในการเลือกตั้ง

สิทธิการเลือกตั้งของผู้หญิงได้รับการรับรองให้เท่าเทียมกับผู้ชายในปี ค.ศ. 1928 เมื่อมีการประกาศใช้ Equal Franchise Act 1928 ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป มีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เช่นเดียวกันกับผู้ชาย พระราชบัญญัติฉบับนี้ทำให้จำนวนของผู้หญิงที่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านคน[18]

ในประเทศสหรัฐอเมริกาปัญหาการใช้จำกัดสิทธิในการเลือกตั้งมีความซับซ้อนมากกว่านี้ เพราะในประเทศสหรัฐอเมริกาการเลือกตั้งไม่ได้มีเฉพาะในระดับประเทศเท่านั้น เพราะในแต่ละมลรัฐก็มีอำนาจที่จำกัดหลักเกณฑ์ในเรื่องการเลือกตั้งไว้ในกฎหมายของแต่ละมลรัฐได้เช่นกัน ในขณะที่รัฐธรรมนูญไม่ได้มีข้อกำหนดว่าบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นบุคคลประเภทใด[19]

ช่วงแรกที่มีการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา บางรัฐได้เริ่มต้นตรากฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยกำหนดเงื่อนไขด้านศาสนา ความสามารถในการเสียภาษี และเชื้อชาติ  ด้วยเหตุนี้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1789 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นชายผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการผ่อนคลายเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิการเลือกตั้งลง และค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดสิทธิเลือกตั้งที่เดิมห้ามมิให้ทาส และชนพื้นเมืองในอเมริกามีสิทธิในการเลือกตั้ง พร้อมๆ กับกระแสที่พยายามรณรงค์สิทธิความเท่าเทียมในการเลือกตั้ง ข้อจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งต่างๆ ถูกขจัดสิ้นลงในปี ค.ศ. 1965 เมื่อ Voting Rights Act ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติสำคัญที่กำหนดห้ามการกระทำใดๆ หรือมีเงื่อนไขใดๆ ที่จำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง[20]

ความสำคัญของการเลือกตั้งโดยเสมอภาค คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเข้าไปมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทางการเมืองผ่านการเลือกผู้แทนของตน เพื่อไปทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ในสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเมื่อเริ่มต้นปกครองในระบอบประชาธิปไตยหลักการเลือกตั้งโดยเสมอภาคได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกและได้ถูกส่งต่อมาเป็นมรดกสำคัญ เมื่อเทียบกับในบริบทของต่างประเทศแล้วสิ่งนี้อาจจะเป็นความโชคดีของประเทศไทยและวิสัยทัศน์ของผู้ยกร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ที่ได้วางหลักการสำคัญนี้เอาไว้


เชิงอรรถ

[1] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล, ‘การเลือกตั้ง: ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย’ (ศาลรัฐธรรมนูญ, ไม่ระบุวันที่) <https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=1353> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 96.

[4] เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล (เชิงอรรถ 1).

[5] ระบบการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 กำหนดกระบวนการเลือกตั้งเอาไว้เป็นขั้นตอน โดยในระยะแรกการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะใช้การเลือกตั้งทางอ้อมแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ ขั้นแรกราษฎรเลือกผู้แทนหมู่บ้านแล้วผู้แทนหมู่บ้านไปเลือกผู้แทนตำบล จากนั้นให้ผู้แทนตำบลไปเลือกผู้แทนราษฎร.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2547 มาตรา 17.

[7] รวินทร์ คำโพธิ์ทอง, ‘แนวคิดของปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร เรื่องการเลือกตั้งครั้งแรกของสยาม’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 15 พฤศจิกายน 2565) <https://pridi.or.th/th/content/2022/11/1324#_ftn2> สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565.

[8] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 1 (ตั้งแต่มาตรา 3 ถึงมาตรา 46).

[9] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภาค 2 (มาตรา 47); สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นี้ตั้งขึ้นตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 นี้ โดยกฎหมายกำหนดให้เมื่อครบวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 แล้ว ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงตำแหน่งอยู่ดำเนินการคัดเลือกเพื่อให้ได้สมาชิกเท่ากับจำนวนเดิม.

[10] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[11] พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติฉะเพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3.

[12] Norfolk Record Office, ‘Key developments in voting rights’ (Norfolk Record Office) <https://www.archives.norfolk.gov.uk/help-with-your-research/family-history/electoral-registers/key-developments-in-voting-rights> accessed 16 December 2022.

[13] Ibid.

[14] UK Parliament, ‘Women get the vote’ (UK Parliament) <https://www.parliament.uk/about/living-heritage/transformingsociety/electionsvoting/womenvote/overview/thevote/> accessed 16 December 2022.

[15] Norfolk Record Office (n 14).

[16] Ibid.

[17] UK Parliament, (n 16).

[18] Ibid.

[19] Amy Tikkanen, ‘Voting in the U.S.A.’ (Encyclopedia Britannica, 7 November 2016) <https://www.britannica.com/story/voting-in-the-usa> accessed 16 December 2022.

[20] Ibid.