ปรับนโยบายการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ ท่ามกลางความร้อนแรงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย หากพิจารณารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงก่อนโควิด-19 คิดเป็นประมาณ 18% ของ GDP ซึ่งแน่นอนว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวไม่ใช่ภาพรวมของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด เพราะถ้ารวมรายได้โดยอ้อมจากการบริโภคของแรงงานในภาคการท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคน จะเห็นได้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

โจทย์สำคัญหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนึ่งก็คือ จะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรายได้ให้กับประเทศ

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปดูภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2567 ที่ผ่านมา World Economic Forum (WEF) ที่ได้ประกาศการจัดระดับโลกด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว (Travel & Tourism Development Index: TTDI) โดยเป็นการวัดผลลัพธ์เชิงนโยบายที่ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 119 ประเทศ พบว่าจากการจัดลำดับประเทศไทย อยู่ลำดับ 47 จากทั้งหมด เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ลำดับการท่องเที่ยวของประเทศไทยลดลงมา 6 ลำดับ จากเดิมที่ได้ลำดับที่ 41 เมื่อเปรียบเทียบจากข้อมูลในปี 2562 โดยในระดับโลกประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศระดับกลาง


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

ดัชนีชี้วัด TTDI นี้แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (enabling environment) นโยบายด้านการท่องเที่ยวและเงื่อนไขที่เหมาะสม (T&T policy and enabling conditions) โครงสร้างพื้นฐานและบริการ (infrastructure and services) ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว (T&T resources) และความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว (T&T sustainability) โดยในแต่ละด้านจะมีเสาหลักย่อย ๆ ลงไปอีก ดังปรากฏตามภาพข้างท้ายนี้


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาผลสำรวจตามตัวชี้วัดต่าง ๆ จะพบว่าในกรณีของประเทศไทยจากตัวชี้วัดจำนวน 17 เรื่อง นั้นในหลาย ๆ เรื่องประเทศไทยได้คะแนนการประเมินอยู่ในเกณฑ์พอใช้ (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย) และมีคะแนนส่วนใหญ่ไม่ถึงคะแนนเต็ม 7 ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก โดยเฉพาะหากพิจารณาในบริบทที่ประเทศไทยพยายามแสดงตนว่าเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยว


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

หากพิจารณาในเนื้อหาของตัวชี้วัด จะพบว่าในด้านที่ประเทศไทยค่อนข้างอ่อนแอนั้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ตามเสาหลักเรื่องสุขภาพและสุขอนามัย (health and hygiene) พบว่าประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ที่ 4.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน เมื่อพิจารณาสาเหตุสำคัญที่ได้คะแนนน้อยจะพบว่า เงื่อนไขที่นำมาใช้ในการประเมินก็คือ ความเพียงพอของแพทย์ (และบุคลากรทางการแพทย์) ความเพียงพอของเตียง และการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด หรือในเสาหลักเรื่องความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย (safety and security) จะพบว่าประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ที่ 4.87 จากคะแนนเต็ม 7 และถ้าพิจารณาสาเหตุสำคัญที่ได้คะแนนน้อยจะพบว่า มาจากเงื่อนไขที่นำมาใช้ในการประเมินก็คือ ความเชื่อมั่นต่อตำรวจในพื้นที่ ความปลอดภัยในการเดินทางตอนกลางคืน และอัตราการเสียชีวิตที่เกิดจากฆาตกรรม ในรายละเอียดของเสาหลักแต่ละเรื่องจะเห็นได้ว่า การประเมินดังกล่าวเกิดมาจากการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ทั้งนั้น

เมื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทุกคนลองจินตนาการถึงภาพข่าวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวถูกทำร้ายหรือฆาตกรรม หรือข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวจะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนความปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแต่กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กับคนในพื้นที่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ตามปกติทุกวันด้วยเช่นกัน หรือปัญหาความไม่เพียงพอของบุคลากรทางการแพทย์หรือจำนวนเตียงในโรงพยาบาล สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักท่องเที่ยว แต่เกิดขึ้นกับคนไทยทุกคนที่หากเจ็บป่วยแล้วมาเข้ารับการรักษามักต้องเผชิญความแออัดในโรงพยาบาล

ปัญหานี้สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา แม้ว่าคณะรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและชุดปัจจุบันจะมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในฐานะของแหล่งรายได้และซอฟท์พาวเวอร์ อาทิ การให้ฟรีวีซ่า หรือการยกเว้นการเก็บค่าเหยีบแผ่นดิน นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ในด้านหนึ่งก็เป็นการพยายามส่งเสริมด้านอุปสงค์ของการท่องเที่ยว โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวและใช้จ่ายเงินภายในประเทศ

แต่การเพิ่มเฉพาะอุปสงค์เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอมีประโยชน์ เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาจจะยังไม่ดีพอสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ ระบบขนส่งที่เพียงพอและสะดวกสบาย (ไม่ต้องพึ่งพาแท็กซี่ราคาแพงในการเดินทาง) หรือความปลอดภัยในการท่องเที่ยว แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเดินทางคนเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นพื้นฐานที่ต้องกลับมาใส่ใจ รวมถึงเป็นผลกระทบที่รัฐบาลต้องตระหนักถึงก่อนจะจัดทำนโยบายบางอย่างเช่น การยกเว้นการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินที่แม้แง่หนึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เงินดังกล่าวกลับมีความสำคัญในการนำมาใช้จัดทำประกันภัยภาคบังคับให้กับนักท่องเที่ยว และนำมาใช้ในการบูรณะดูแลหรือส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว

หากคำนึงถึงลักษณะของแหล่งท่องเที่ยวในบริบทประเทศไทยที่มีอิงกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแล้ว การกลับมาสนใจและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะหากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเสื่อมโทรมไปแล้วจะต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นฟูดูแล และระหว่างนั้นประเทศไทยก็อาจจะเสียโอกาสในการหารายได้จากการท่องเที่ยวไป

ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ไม่ใช่เพียงแต่คำนึงถึงนโยบายดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่คุณภาพของการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ประเด็นอื่น ๆ นอกจากที่กำหนดไว้ในตัวชี้วัดนี้ เช่น คุณภาพการให้บริการ ราคาสินค้า และบริการที่เป็นธรรมก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องกลับมาใส่ใจ ความต้องการเพียงแค่จะชักจูงให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของประเทศ ความคุ้มทุน และผลประโยชน์ที่จะได้อาจจะเป็นการคิดแบบละโมบเกินไป

สิ่งที่รัฐบาลควรจะตระหนักอีกประการคือ การกลับมาหาประเด็นพื้นฐานที่สุดว่า ถ้ายังจัดการเรื่องภายในบ้านของตัวเองให้ดีและเรียบร้อยไม่ได้ การเปิดบ้านเพื่อต้อนรับแขกก็อาจจะกลายเป็นเรื่องขายหน้าไปที่สุด


เอกสารอ้างอิง

World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

คลายปมใบอนุญาต ปั๊มหัวใจโรงแรมเล็ก ดึงรายได้เข้าประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ธุรกิจโรงแรมและที่พักค้างคืนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยก่อนวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รายได้เหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงแรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงที่พักประเภทเกสต์เฮาส์ โฮสเทล และโฮมสเตย์ด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังวิกฤติดังกล่าว ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านท่องเที่ยวของไทยกลับตกจากอันดับที่ 41 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 จากการประเมินตามดัชนี TTDI โดย World Economic Forum ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดพื้นฐานด้านบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยวที่ดีพอ ทำให้ไทยได้คะแนนเพียง 2.18 จาก 7 คะแนน

เงื่อนไขสำคัญที่เป็นปัญหา คือ ที่พักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กและที่พักค้างคืนต่างทยอยปิดกิจการไป หลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรการ SHA ในช่วงโควิด-19ได้ เพราะไม่ใช่ที่พักที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย

ซ้ำร้ายเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ที่พักขนาดเล็กยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีใบอนุญาต ที่เป็นปัญหาซึ่งค้างคามานานอีกระลอกหนึ่ง แล้วอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ที่พักขนาดเล็กไม่สามารถขอใบอนุญาต?

คำตอบคือ ความรุงรังของกฎระเบียบทั้ง กฎหมายธุรกิจโรงแรม อาคาร และเขตพื้นที่ ที่ผูกรัดกันเป็นเงื่อนตายจนบีบที่พักขนาดเล็กเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มหายตายจากเพิ่มเติม

เงื่อนปมแรก กฎหมายธุรกิจโรงแรมมีความล้าสมัย และยังติดภาพกับโรงแรมขนาดใหญ่ที่กำหนดให้ที่พักค้างคืนอื่นๆ ต้องมีลักษณะเดียวกับโรงแรม เช่น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีผู้จัดการโรงแรม โทรศัพท์ภายในห้องพัก หรือต้องติดเลขห้อง ทั้งที่ลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ผู้พักโฮสเทลไม่ได้คาดหวังบริการแบบโรงแรม

ในขณะที่หลายประเทศต่างปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจที่พักขนาดเล็ก อาทิ เกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือแคปซูลโฮเทล รวมไปถึงการรองรับเอกชนที่นำบ้านหรือคอนโดมาให้บริการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทยไม่ได้เปิดช่องเท่าที่ควร

เงื่อนปมที่สอง กฎระเบียบด้านอาคาร แม้ว่าที่ผ่านมากรมโยธาฯ ได้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยออกกฎกระทรวงให้นำอาคารอื่น อาทิ บ้าน หรือตึกแถว มาทำโรงแรมได้ ซึ่งช่วยที่พักขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง แต่กฎกระทรวงนี้มีสถานะชั่วคราว และได้สิ้นอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปัญหาของที่พักยังแก้ไขไม่เรียบร้อย เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องเขตพื้นที่

และเงื่อนปมสุดท้าย เขตพื้นที่ เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทที่พักให้หลากหลาย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับกฎหมายอาคารแล้ว แต่ยังมีเขตผังเมืองกำหนดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเขตห้ามสร้างโรงแรม ก็จะไม่สามารถทำที่พักอื่นได้ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น คูเมืองเชียงใหม่ หรือถนนข้าวสาร ในทางกลับกันหากมีที่พักขนาดเล็กก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้แม้ภาครัฐตื่นตัวในการแก้ไข แต่อาจจะยังไม่ตรงจุดและไม่ครอบคลุม ทำให้เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอาคารแล้ว ก็ยังติดกับเงื่อนไขเขตพื้นที่ สุดท้ายก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้อยู่ดี

จากการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศอื่นที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวนั้น วิธีการหนึ่งคือ การแบ่งประเภทที่พักอย่างชัดเจน เช่น ในฝรั่งเศสกฎหมายแยกโรงแรม ที่พักกลางแจ้ง และโฮสเทลออกจากกัน แม้จะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน

หรือในประเทศญี่ปุ่น แยกการขอใบรับรองที่พักหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เรียวกัง หรือที่พักในลักษณะโฮสเทลที่มีการแชร์ห้องพักหรือที่พักอาศัยส่วนบุคคลที่เรียกว่า Minpaku

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ที่รับรองให้มีที่พักหลายประเภท รวมถึงที่พักรูปแบบใหม่ๆ เช่น อพาร์เทล (ห้องพักที่รวมอพาร์ตเมนต์และโรงแรม) และ Mabuhay (คล้ายโฮมสเตย์ของไทย) ซึ่งรวมคอนโดมิเนียมด้วย

หัวใจของนโยบายแยกประเภทที่พักอยู่ที่ การกำกับดูแลที่จะต้องเป็นไปตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แม้จะให้บริการที่พักคล้ายกันก็ตาม ซึ่งหลักการในลักษณะนี้ยังไม่ปรากฏในกฎหมายไทย

ดังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จึงเสนอให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดประเภทที่พัก 3 ระดับคือ โรงแรม, ที่พักค้างคืนอื่นๆ อาทิ โฮสเทล เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่พักกลางแจ้ง และโฮมสเตย์ โดยที่พักทั้ง 3 ประเภทนี้ มีหน้าที่และวิธีการกำกับที่แตกต่างกัน 

เช่น โรงแรมอาจจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น มีการกำหนดมาตรฐานบริการขั้นต่ำ สิ่งอำนวยความสะดวก การมีผู้จัดการโรงแรม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของอาคารสาธารณะ 

ส่วนที่พักค้างคืนลักษณะอื่นๆ ให้มีเงื่อนไขลดหลั่นกันลงมา อาจกำหนดด้านความสะอาด ความปลอดภัยและอัคคีภัย มีสิ่งอำนวยความเท่าที่จำเป็น รวมถึงต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาคารที่จะนำมาใช้รองรับผู้เข้าพัก ส่วนโฮมสเตย์ เน้นที่ความสะอาดถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการหารายได้เสริมและการส่งเสริมวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ท้องถิ่นควรทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโรงแรมและที่พักค้างคืน โดยมีบทบาทบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาคารและประเภทที่พักได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดและเข้าใจพื้นที่ดี แต่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีระบบลงทะเบียนกลางออนไลน์ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ที่ท้องถิ่นและส่วนกลางใช้ทำงานร่วมกันได้

การแก้ไขกฎระเบียบตามแนวทางข้างต้นนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาของไทยที่ยังการขาดข้อมูลจำนวนที่พักที่แท้จริงในประเทศ

โดยมีข้อมูลจากสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ระบุว่า ข้อมูลที่เก็บจากกรมการปกครองและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คลาดเคลื่อนกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และการวางนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ครอบคลุม

นอกจากข้อดีที่เกิดขึ้นกับภาครัฐแล้ว ขณะเดียวกันการปรับกฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวช่วยให้เอกชนทำธุรกิจได้ถูกกฎหมาย และอุดช่องการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนด้วย

ที่สำคัญยังส่งผลต่อเส้นทางไปสู่เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการทบทวนปัญหานี้ เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังมีปัญหา การดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ