ปรับนโยบายการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ ท่ามกลางความร้อนแรงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย หากพิจารณารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงก่อนโควิด-19 คิดเป็นประมาณ 18% ของ GDP ซึ่งแน่นอนว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวไม่ใช่ภาพรวมของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด เพราะถ้ารวมรายได้โดยอ้อมจากการบริโภคของแรงงานในภาคการท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคน จะเห็นได้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

โจทย์สำคัญหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนึ่งก็คือ จะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรายได้ให้กับประเทศ

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปดูภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2567 ที่ผ่านมา World Economic Forum (WEF) ที่ได้ประกาศการจัดระดับโลกด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว (Travel & Tourism Development Index: TTDI) โดยเป็นการวัดผลลัพธ์เชิงนโยบายที่ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 119 ประเทศ พบว่าจากการจัดลำดับประเทศไทย อยู่ลำดับ 47 จากทั้งหมด เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ลำดับการท่องเที่ยวของประเทศไทยลดลงมา 6 ลำดับ จากเดิมที่ได้ลำดับที่ 41 เมื่อเปรียบเทียบจากข้อมูลในปี 2562 โดยในระดับโลกประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศระดับกลาง


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

ดัชนีชี้วัด TTDI นี้แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (enabling environment) นโยบายด้านการท่องเที่ยวและเงื่อนไขที่เหมาะสม (T&T policy and enabling conditions) โครงสร้างพื้นฐานและบริการ (infrastructure and services) ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว (T&T resources) และความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว (T&T sustainability) โดยในแต่ละด้านจะมีเสาหลักย่อย ๆ ลงไปอีก ดังปรากฏตามภาพข้างท้ายนี้


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาผลสำรวจตามตัวชี้วัดต่าง ๆ จะพบว่าในกรณีของประเทศไทยจากตัวชี้วัดจำนวน 17 เรื่อง นั้นในหลาย ๆ เรื่องประเทศไทยได้คะแนนการประเมินอยู่ในเกณฑ์พอใช้ (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย) และมีคะแนนส่วนใหญ่ไม่ถึงคะแนนเต็ม 7 ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก โดยเฉพาะหากพิจารณาในบริบทที่ประเทศไทยพยายามแสดงตนว่าเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยว


Travel & Tourism Development Index 2024
ที่มา : World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

หากพิจารณาในเนื้อหาของตัวชี้วัด จะพบว่าในด้านที่ประเทศไทยค่อนข้างอ่อนแอนั้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ตามเสาหลักเรื่องสุขภาพและสุขอนามัย (health and hygiene) พบว่าประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ที่ 4.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน เมื่อพิจารณาสาเหตุสำคัญที่ได้คะแนนน้อยจะพบว่า เงื่อนไขที่นำมาใช้ในการประเมินก็คือ ความเพียงพอของแพทย์ (และบุคลากรทางการแพทย์) ความเพียงพอของเตียง และการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด หรือในเสาหลักเรื่องความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย (safety and security) จะพบว่าประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ที่ 4.87 จากคะแนนเต็ม 7 และถ้าพิจารณาสาเหตุสำคัญที่ได้คะแนนน้อยจะพบว่า มาจากเงื่อนไขที่นำมาใช้ในการประเมินก็คือ ความเชื่อมั่นต่อตำรวจในพื้นที่ ความปลอดภัยในการเดินทางตอนกลางคืน และอัตราการเสียชีวิตที่เกิดจากฆาตกรรม ในรายละเอียดของเสาหลักแต่ละเรื่องจะเห็นได้ว่า การประเมินดังกล่าวเกิดมาจากการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ทั้งนั้น

เมื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทุกคนลองจินตนาการถึงภาพข่าวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวถูกทำร้ายหรือฆาตกรรม หรือข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวจะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนความปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแต่กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กับคนในพื้นที่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ตามปกติทุกวันด้วยเช่นกัน หรือปัญหาความไม่เพียงพอของบุคลากรทางการแพทย์หรือจำนวนเตียงในโรงพยาบาล สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักท่องเที่ยว แต่เกิดขึ้นกับคนไทยทุกคนที่หากเจ็บป่วยแล้วมาเข้ารับการรักษามักต้องเผชิญความแออัดในโรงพยาบาล

ปัญหานี้สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา แม้ว่าคณะรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและชุดปัจจุบันจะมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในฐานะของแหล่งรายได้และซอฟท์พาวเวอร์ อาทิ การให้ฟรีวีซ่า หรือการยกเว้นการเก็บค่าเหยีบแผ่นดิน นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ในด้านหนึ่งก็เป็นการพยายามส่งเสริมด้านอุปสงค์ของการท่องเที่ยว โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวและใช้จ่ายเงินภายในประเทศ

แต่การเพิ่มเฉพาะอุปสงค์เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอมีประโยชน์ เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาจจะยังไม่ดีพอสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ ระบบขนส่งที่เพียงพอและสะดวกสบาย (ไม่ต้องพึ่งพาแท็กซี่ราคาแพงในการเดินทาง) หรือความปลอดภัยในการท่องเที่ยว แต่สำหรับนักท่องเที่ยวเดินทางคนเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นพื้นฐานที่ต้องกลับมาใส่ใจ รวมถึงเป็นผลกระทบที่รัฐบาลต้องตระหนักถึงก่อนจะจัดทำนโยบายบางอย่างเช่น การยกเว้นการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินที่แม้แง่หนึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เงินดังกล่าวกลับมีความสำคัญในการนำมาใช้จัดทำประกันภัยภาคบังคับให้กับนักท่องเที่ยว และนำมาใช้ในการบูรณะดูแลหรือส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว

หากคำนึงถึงลักษณะของแหล่งท่องเที่ยวในบริบทประเทศไทยที่มีอิงกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแล้ว การกลับมาสนใจและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะหากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเสื่อมโทรมไปแล้วจะต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นฟูดูแล และระหว่างนั้นประเทศไทยก็อาจจะเสียโอกาสในการหารายได้จากการท่องเที่ยวไป

ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ไม่ใช่เพียงแต่คำนึงถึงนโยบายดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่คุณภาพของการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ประเด็นอื่น ๆ นอกจากที่กำหนดไว้ในตัวชี้วัดนี้ เช่น คุณภาพการให้บริการ ราคาสินค้า และบริการที่เป็นธรรมก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องกลับมาใส่ใจ ความต้องการเพียงแค่จะชักจูงให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของประเทศ ความคุ้มทุน และผลประโยชน์ที่จะได้อาจจะเป็นการคิดแบบละโมบเกินไป

สิ่งที่รัฐบาลควรจะตระหนักอีกประการคือ การกลับมาหาประเด็นพื้นฐานที่สุดว่า ถ้ายังจัดการเรื่องภายในบ้านของตัวเองให้ดีและเรียบร้อยไม่ได้ การเปิดบ้านเพื่อต้อนรับแขกก็อาจจะกลายเป็นเรื่องขายหน้าไปที่สุด


เอกสารอ้างอิง

World Economic Forum, (21 May 2024). Travel & Tourism Development Index 2024

คลายปมใบอนุญาต ปั๊มหัวใจโรงแรมเล็ก ดึงรายได้เข้าประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ธุรกิจโรงแรมและที่พักค้างคืนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยก่อนวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รายได้เหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงแรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงที่พักประเภทเกสต์เฮาส์ โฮสเทล และโฮมสเตย์ด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังวิกฤติดังกล่าว ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านท่องเที่ยวของไทยกลับตกจากอันดับที่ 41 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 จากการประเมินตามดัชนี TTDI โดย World Economic Forum ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดพื้นฐานด้านบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยวที่ดีพอ ทำให้ไทยได้คะแนนเพียง 2.18 จาก 7 คะแนน

เงื่อนไขสำคัญที่เป็นปัญหา คือ ที่พักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กและที่พักค้างคืนต่างทยอยปิดกิจการไป หลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรการ SHA ในช่วงโควิด-19ได้ เพราะไม่ใช่ที่พักที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย

ซ้ำร้ายเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ที่พักขนาดเล็กยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีใบอนุญาต ที่เป็นปัญหาซึ่งค้างคามานานอีกระลอกหนึ่ง แล้วอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ที่พักขนาดเล็กไม่สามารถขอใบอนุญาต?

คำตอบคือ ความรุงรังของกฎระเบียบทั้ง กฎหมายธุรกิจโรงแรม อาคาร และเขตพื้นที่ ที่ผูกรัดกันเป็นเงื่อนตายจนบีบที่พักขนาดเล็กเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มหายตายจากเพิ่มเติม

เงื่อนปมแรก กฎหมายธุรกิจโรงแรมมีความล้าสมัย และยังติดภาพกับโรงแรมขนาดใหญ่ที่กำหนดให้ที่พักค้างคืนอื่นๆ ต้องมีลักษณะเดียวกับโรงแรม เช่น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีผู้จัดการโรงแรม โทรศัพท์ภายในห้องพัก หรือต้องติดเลขห้อง ทั้งที่ลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ผู้พักโฮสเทลไม่ได้คาดหวังบริการแบบโรงแรม

ในขณะที่หลายประเทศต่างปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจที่พักขนาดเล็ก อาทิ เกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือแคปซูลโฮเทล รวมไปถึงการรองรับเอกชนที่นำบ้านหรือคอนโดมาให้บริการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทยไม่ได้เปิดช่องเท่าที่ควร

เงื่อนปมที่สอง กฎระเบียบด้านอาคาร แม้ว่าที่ผ่านมากรมโยธาฯ ได้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยออกกฎกระทรวงให้นำอาคารอื่น อาทิ บ้าน หรือตึกแถว มาทำโรงแรมได้ ซึ่งช่วยที่พักขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง แต่กฎกระทรวงนี้มีสถานะชั่วคราว และได้สิ้นอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปัญหาของที่พักยังแก้ไขไม่เรียบร้อย เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องเขตพื้นที่

และเงื่อนปมสุดท้าย เขตพื้นที่ เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทที่พักให้หลากหลาย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับกฎหมายอาคารแล้ว แต่ยังมีเขตผังเมืองกำหนดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเขตห้ามสร้างโรงแรม ก็จะไม่สามารถทำที่พักอื่นได้ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น คูเมืองเชียงใหม่ หรือถนนข้าวสาร ในทางกลับกันหากมีที่พักขนาดเล็กก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้แม้ภาครัฐตื่นตัวในการแก้ไข แต่อาจจะยังไม่ตรงจุดและไม่ครอบคลุม ทำให้เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอาคารแล้ว ก็ยังติดกับเงื่อนไขเขตพื้นที่ สุดท้ายก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้อยู่ดี

จากการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศอื่นที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวนั้น วิธีการหนึ่งคือ การแบ่งประเภทที่พักอย่างชัดเจน เช่น ในฝรั่งเศสกฎหมายแยกโรงแรม ที่พักกลางแจ้ง และโฮสเทลออกจากกัน แม้จะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน

หรือในประเทศญี่ปุ่น แยกการขอใบรับรองที่พักหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เรียวกัง หรือที่พักในลักษณะโฮสเทลที่มีการแชร์ห้องพักหรือที่พักอาศัยส่วนบุคคลที่เรียกว่า Minpaku

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ที่รับรองให้มีที่พักหลายประเภท รวมถึงที่พักรูปแบบใหม่ๆ เช่น อพาร์เทล (ห้องพักที่รวมอพาร์ตเมนต์และโรงแรม) และ Mabuhay (คล้ายโฮมสเตย์ของไทย) ซึ่งรวมคอนโดมิเนียมด้วย

หัวใจของนโยบายแยกประเภทที่พักอยู่ที่ การกำกับดูแลที่จะต้องเป็นไปตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แม้จะให้บริการที่พักคล้ายกันก็ตาม ซึ่งหลักการในลักษณะนี้ยังไม่ปรากฏในกฎหมายไทย

ดังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จึงเสนอให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดประเภทที่พัก 3 ระดับคือ โรงแรม, ที่พักค้างคืนอื่นๆ อาทิ โฮสเทล เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่พักกลางแจ้ง และโฮมสเตย์ โดยที่พักทั้ง 3 ประเภทนี้ มีหน้าที่และวิธีการกำกับที่แตกต่างกัน 

เช่น โรงแรมอาจจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น มีการกำหนดมาตรฐานบริการขั้นต่ำ สิ่งอำนวยความสะดวก การมีผู้จัดการโรงแรม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของอาคารสาธารณะ 

ส่วนที่พักค้างคืนลักษณะอื่นๆ ให้มีเงื่อนไขลดหลั่นกันลงมา อาจกำหนดด้านความสะอาด ความปลอดภัยและอัคคีภัย มีสิ่งอำนวยความเท่าที่จำเป็น รวมถึงต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาคารที่จะนำมาใช้รองรับผู้เข้าพัก ส่วนโฮมสเตย์ เน้นที่ความสะอาดถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการหารายได้เสริมและการส่งเสริมวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ท้องถิ่นควรทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโรงแรมและที่พักค้างคืน โดยมีบทบาทบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาคารและประเภทที่พักได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดและเข้าใจพื้นที่ดี แต่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีระบบลงทะเบียนกลางออนไลน์ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ที่ท้องถิ่นและส่วนกลางใช้ทำงานร่วมกันได้

การแก้ไขกฎระเบียบตามแนวทางข้างต้นนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาของไทยที่ยังการขาดข้อมูลจำนวนที่พักที่แท้จริงในประเทศ

โดยมีข้อมูลจากสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ระบุว่า ข้อมูลที่เก็บจากกรมการปกครองและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คลาดเคลื่อนกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และการวางนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ครอบคลุม

นอกจากข้อดีที่เกิดขึ้นกับภาครัฐแล้ว ขณะเดียวกันการปรับกฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวช่วยให้เอกชนทำธุรกิจได้ถูกกฎหมาย และอุดช่องการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนด้วย

ที่สำคัญยังส่งผลต่อเส้นทางไปสู่เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการทบทวนปัญหานี้ เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังมีปัญหา การดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

Pridi Economic Focus: การศึกษาและราคาของการขยับสถานะทางสังคม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ความเหลื่อมล้ำ” เป็นปัญหาสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอื่นๆ ในสังคมไทย และหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คือ ปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเครื่องมือในการขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม

การขยับสถานะทางสังคม (Social Mobility) หมายถึง การที่คน ครอบครัว และครัวเรือนเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม โดยเปลี่ยนจากตำแหน่งแห่งที่ในสังคมที่เป็นอยู่[1] ซึ่งอาจจะเป็นการเลื่อนสถานะทางสังคมขึ้นหรือลง[2]

การขยับสถานะทางสังคมนั้นส่วนใหญ่มักถูกอธิบายโดยเกี่ยวข้องกับเรื่องทางชนชั้น/สถานะใดๆ[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาการขยับสถานะทางสังคมที่วัดโดยเปรียบเทียบช่วงเวลา ซึ่งพิจารณาความสามารถของเด็กที่จะได้สัมผัสกับชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่ หรืออาจจะวัดในลักษณะช่วงเวลาว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร และเวลา 10 ปีต่อมาจะมีสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร เป็นต้น

นอกจากนี้ การขยับสถานะทางสังคมยังมีส่วนเกี่ยวพันกับการประเมินผลกระทบภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลลัพธ์ต่อชีวิตของแต่ละบุคคล[4]

การขยับสถานะทางสังคมกับความเหลื่อมล้ำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยการลดความเหลื่อมล้ำมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจน ในขณะที่การขยับสถานะทางสังคมมีวัตถุประสงค์เพื่อการให้คนคนหนึ่งสามารถที่จะขยับสถานะทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีขึ้น[5]

ในการประเมินการขยับสถานะทางสังคมนั้น มีดัชนี (Index) ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักในการขยับสถานะทางสังคม ประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 10 ด้าน ได้แก่ การสาธารณสุข (Health) การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Education Accesess) การมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม (Education Quality and Equity) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learing) การได้รับความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) การเข้าถึงเทคโนโลยี (Technology Acceses) การเข้าถึงโอกาสในการทำงาน (Work Opportunities) การได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรม (Fair Wages) การมีเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม (Working Conditions) และการมีสถาบันที่สนับสนุนการเข้าถึงโอกาส (Inclusive Institutions)

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก

ภาพเสาหลักของดัชนีการเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลก ที่มา : World Economic Forum (2020)
ที่มา: World Economic Forum (2020)

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังขาดปัจจัยอันเหมาะสมที่จะทำให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม โดยกลุ่มของเด็กที่ครอบครัวมีสถานะทางเศรษฐกิจเปราะบาง จะส่งผลต่อการเผชิญกับอุปสรรคในการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี[6] โดยปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจคือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และการมีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มรายได้มากขึ้นในอนาคต

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา

การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาเป็นการวัดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการเข้าถึงการศึกษา โดยทำให้เกิดความมั่นใจว่า ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยปราศจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อป้องกันมิให้เด็กต้องขาดโอกาสทางการศึกษา[7]

จากการสำรวจของ World Economic Forum พบว่าระดับการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทยในแง่โอกาสการเข้าถึงการศึกษา ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 51 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 59 คะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (upper-middle-income group average) เพียงนิดหน่อย (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน) ในขณะที่ในด้านคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษา ประเทศไทยนั้นอยู่ในลำดับที่ 44 จากการสำรวจประเทศจำนวน 82 ประเทศ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 44 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยของประเทศรายได้กลุ่มบนกลางค่อนไปทางสูง (คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 55 คะแนน)

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย

ภาพแสดงคะแนนการประเมินประสิทธิภาพในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา และคุณภาพการศึกษาและความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศไทย ที่มา : World Economic Forum (2020)

ที่มา : World Economic Forum (2020)

ในบริบทของประเทศไทย ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เคยอธิบายว่า “เด็กนักเรียนยากจนจะมีต้นทุนในการเรียนที่สูงกว่าคนอื่น คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงไม่มีเงินเก็บ แต่ยังเป็นหนี้ด้วย เขาต้องมีรายได้วันนี้ ถ้าไม่มีรายได้วันนี้ การมาเรียนของเขาจะมีมูลค่าหลายพันบาท เด็กยากจนส่วนใหญ่ยังมีเงินติดลบและมีค่าเสียโอกาส”[8] ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสำคัญว่า ราคาของการศึกษาของเด็กไทยตลอดชีวิตคิดเป็นมูลค่าเท่าใด

ราคาของการศึกษาของเด็กไทยที่พ่อแม่จะต้องใช้จ่ายเพื่อให้ลูกสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น มีค่าใช้จ่ายอยู่หลายๆ ส่วนประกอบกัน ได้แก่ ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าทำกิจกรรม ค่าภาษีสังคมอื่นๆ ค่ากวดวิชา เป็นต้น และเมื่อเข้าสู่ช่วงการศึกษามหาวิทยาลัยแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เช่น ค่าหอพัก เป็นต้น จากการสำรวจของธนาคารกรุงศรี พบว่าเมื่อจำแนกค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ที่ต้องใช้ในการสนับสนุนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรีต่อเทอมดังแสดงตามตารางข้างท้ายนี้

ตารางแสดงค่าใช้จ่ายต่อเทอมตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มหาวิทยาลัย (ปริญญาตรี)

ระดับการศึกษาค่าใช้จ่าย (บาท/เทอม)
อนุบาล20,000 – 80,000
ประถม20,000 – 150,000
มัธยม50,000 – 300,000
มหาวิทยาลัย70,000 – 500,000
ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา.

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านลักษณะของสถาบันการศึกษายังมีส่วนสำคัญต่อการผันแปรของราคาค่าใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าการศึกษาสำหรับเด็กวัยเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับปริญญาตรีไว้ว่า หากเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 ล้านบาท หากเลือกศึกษาในสถาบันการศึกษาของเอกชนค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท และหากเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติ จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 20.1 ล้านบาทตลอดระยะเวลาเล่าเรียน[9]

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาของการเข้าสู่การศึกษาทางการศึกษาของประเทศไทยไม่ได้เป็นราคาน้อยๆ ซึ่งหากครอบครัวใดมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากจนย่อมมีอุปสรรคในการเข้าสู่การศึกษามาก และแม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะรับรองสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาเอาไว้ให้เด็กสามารถได้เรียนฟรี 12 ปี[10] โดยเป็นหน้าที่ของรัฐในการทำให้เด็กสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ฟรี ทว่า ราคาของการศึกษานั้นแพงกว่าเพียงแค่ค่าเล่าเรียน แต่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ตามมา การที่รัฐธรรมนูญเพียงแต่รับรองเรื่องการศึกษาฟรี แต่ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว การศึกษาฟรีก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเข้าถึงการศึกษาจริงๆ

ท้ายที่สุด สิ่งนี้อาจจะต้องทำให้ประเทศไทยกลับมาทบทวนว่า การศึกษาควรจะเป็นเรื่องที่ฟรีและทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริงๆ โดยปราศจากการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ แล้ว การศึกษาที่ฟรีก็อาจจะเป็นเพียงการศึกษาฟรีบนกระดาษเท่านั้น ซึ่งอาจจะถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องทบทวนเรื่องนโยบายสวัสดิการด้านการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง


เชิงอรรถ

[1] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, ‘การขยับสถานะทางสังคม’ (มติชนออนไลน์, 22 ตุลาคม 2562) <https://www.matichon.co.th/columnists/news_1720579#:~:text=อธิบายง่ายๆ%20ว่าในเชิง,สถานะนั้น%20เขามักจะ> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[2] World Economic Forum, ‘The Global Social Mobility Report 2020 Equality, Opportunity and a New Economic Imperative’ (World Economic Forum, January 2020) <https://www3.weforum.org/docs/Global_Social_Mobility_Report.pdf> accessed 21 August 2022, p9.

[3] พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (เชิงอรรถ 1).

[4] เพิ่งอ้าง; World Economic Forum (no 2.), p9.

[5] รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์, ‘โลกเหลื่อมล้ำกับการเปลี่ยนลำดับชั้นทางเศรษฐกิจ’ (The Momentum, 24 กุมภาพันธ์ 2563) <https://themomentum.co/inequality-with-economic-mobility/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[6] World Economic Forum (no 2.), p9.

[7] World Economic Forum (no 2.), p16.

[8] Way Magazine, ‘โอกาสทางการศึกษา บันไดสู่การเลื่อนชั้นทางสังคม’ (สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.), 28 กรกฎาคม 2563) <https://research.eef.or.th/โอกาสทางการศึกษา-บันไดส/> สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2565.

[9] ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ‘จ่ายหนักแค่ไหน? เมื่อเทศกาลเปิดเทอมใกล้เข้ามา (ฉบับพ่อแม่มือใหม่)’ (ธนาคารกรุงศรี) <https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/life/children/จายหนกแคไหน-เมอเปดเทอม> สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2563.

[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54.

Stakeholder Capitalism: เมื่อทุนนิยมไม่ได้เห็นแค่กำไรสูงสุด แต่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก่อนหน้าการระบาดครั้งใหญ่ของเชื่อไวรัส Covid-19 ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมใหญ่ World Economic Forum ณ เมืองดาโวส ประเทศสมาพันธรัฐสวิส โดยในวงสนทนาหนึ่งของการประชุมครั้งนี้ได้มีการตั้งประเด็นว่า ทุนนิยมนั้นจะต้องทำเพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับเจ้าของธุรกิจเสมอไปหรือไม่ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพูดถึงแนวคิดของ “ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย” (Stakeholder Capitalism) ซึ่งหากพิจารณาเพียงแค่ถ้อยคำว่า “ทุนนิยม” และ “ผู้มีส่วนได้เสีย” คำทั้งสองคำนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เท่าไร แต่ในบทความนี้จะได้อธิบายว่าทุนนิยมนั้นสามารถไปได้กับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคืออไร

ในภาพและความเข้าใจของเราเมื่อพูดถึงทุนนิยมแล้ว ภาพที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นภาพของบริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กหรือผูกขาดการประกอบกิจการ หรือหากเป็นผู้ที่มีมุมมองทางเศรษฐกิจแบบมาร์กซิสม์ก็อาจจะเห็นภาพพีระมิดระบบทุนนิยม (Pyramid of Capitalist System) ภาพดังกล่าวอาจจะดูเป็นอคติต่อระบบทุนนิยมและทำให้ระบบทุนนิยมกลายเป็นตัวร้าย (ซึ่งอาจมีบางกรณีที่ความคิดเช่นนั้นอาจถูกต้อง) ทุนนิยมที่จะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็ต่อเมื่อทุนนิยมนั้นปราศจากการแข่งขัน  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบทบาทของการแข่งขันได้ลดน้อยลงไปเนื่องมาจากบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้ใช้กลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและดึงเอาบริษัทคู่แข่งมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตนเอง ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง ฉะนั้น โดยสภาพแล้วทุนนิยมจึงไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่เลวร้ายไปทุกกรณี การแข่งขันที่ลดลงต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ทุนนิยมกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย และจำเป็นต้องระงับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ลดลง

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยมซึ่งบริษัทต่าง ๆ ยังคงแสวงหากำไรอยู่ แต่นอกเหนือไปจากกำไรแล้วก็คือการสร้างมูลค่าในระยะยาวโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดและสังคมโดยรวมทั้งหมด วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคือ การสร้างมูลค่าของธุรกิจในระยะยาว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน ผู้ถือหุ้น และชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น การประกอบธุรกิจแบบทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจึงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (เจ้าของกิจการ) กับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ โดยการปรับผลกำไรระยะสั้นให้เหมาะสมกับผู้ถือหุ้น

พัฒนาการของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย

แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับทุนนิยมนั้นส่วนใหญ่มักจะมีผู้อ้างถึงแนวคิดของ มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อดัง ซึ่งอธิบายว่า บริษัทมีหน้าที่สำคัญคือการสร้างกำไรเพื่อตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากการบริหารงานของบริษัทนั้นก็เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อผผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัท  อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1950 และ 1960 จากการที่ประเทศตะวันตกเริ่มเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผู้มีส่วนได้เสีย (ชุมชน) โดยเฉพาะในบริบทที่บริษัทมีความสัมพันธ์กันกับชุมชนที่บริษัทนั้นดำเนินกิจการอยู่ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับและขยายไปสู่ประเทศยุโรปเหนือและประเทศยุโรปตะวันตก เช่น สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และเยอรมนี เป็นต้น แนวคิดเช่นนี้เองทำให้เกิดระบบไตรภาคีของการร่วมกันระหว่างบริษัท ลูกจ้าง และรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดรัฐสวัสดิการที่บริษัทและลูกจ้างร่วมกันจ่ายเงินสมทบเพื่อให้เกิดสวัสดิการให้กับลูกจ้าง

ในทางตรงกันข้ามการที่บริษัทเน้นผลการสร้างผลกำไรตอบแทนผู้ถือหุ้นมากเท่าไรและคลายความสัมพันธ์กับชุมชนและรัฐบาลลง เพื่อสร้างมูลค่าในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลายของบริษัทนั้นก็อาจจะได้รับผลกระทบในทางอ้อม ซึ่งแนวคิดเช่นนี้เอง โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph E. Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคนจึงเสนอให้แทนที่ความสำคัญของการตอบแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วยการเน้นสร้างมูลค่าระยะยาวแทนในขณะที่บริษัทยังคงสร้างผลกำไรตอบแทนการลงทุนของผู้ถือหุ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็บริษัทก็ควรเปิดกว้างให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่มีการหลอกลวงหรือการฉ้อโกง

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมีไอเดียที่แตกต่างไปจากการทำ CSR ขององค์กรธุรกิจพอสมควร แม้ในบางบริบทเรื่องทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกัน เพราะทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมิได้มีความตระหนักเพียงแค่การปรับภาพลักษณ์ขององค์กรเท่านั้น แต่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นเรื่องของการพัฒนาวิธีคิดและนโยบายขององค์กรที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมที่บริษัท/ธุรกิจนั้นตั้งอยู่ ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมโดยรอบของบริษัท/ธุรกิจนั้นดีขึ้นผลพลอยได้ก็คือบริษัท/ธุรกิจนั้นย่อมได้รับผลดีขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มาจากรูปแบบของผลกำไร

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียกับแนวทางการทำให้เกิดขึ้นจริง

การจะรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์โดยรวมของสังคมที่ดีขึ้นได้นั้น การอาศัยแต่แนวคิดแบบทุนนิยมดั้งเดิมจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ผู้บริหารของบริษัท/ธุรกิจสมัยเองก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประเด็นของสังคมเหล่านี้ และในการเริ่มต้นเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีขึ้นได้นั้นโดยการนำแนวคิดแบบทุนนิยมแบบผู้มีส่วนได้เสียมาใช้แบบรูปธรรมนั้นอาจดำเนินการโดยวิธีการต่างๆ ดังนี้

  • การจ่ายค่าจ้างที่ยุติธรรม
  • ลดอัตราค่าจ้างพนักงานระดับสูงหรือผู้บริหารลงเพื่อเพิ่มค่าตอบแทนหรือสวัสดิการให้พนักงานระดับล่าง
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำงาน
  • ดำเนินการทางภาษีอย่างตรงไปตรงมาและหลีกเลี่ยงการเลี่ยงภาษี
  • การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการต่อผู้บริโภค
  • การมีความซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อนโยบายบริษัทภิบาลอย่างเคร่งครัด
  • การส่งเสริมและร่วมมือกับชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนา
  • การป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะทำให้ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียสำเร็จได้นั้นประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก การโน้มน้าวผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัทให้ยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่มีความท้าทายที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องการก็คือผลกำไรจากการประกอบกิจการ หากการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเช่นนี้จะทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง ผู้ถือหุ้นเองอาจจะไม่พอใจกับการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันก็อาจะมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจหากธุรกิจดังกล่าวยังพอสร้างกำไรให้กับการลงทุนได้บ้าง ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมด้วย

ประการที่สอง กฎระเบียบของรัฐบาล ซึ่งหากบริษัท/ธุรกิจดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านแล้ว แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจากรัฐบาล ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจที่ไม่สนใจต่อผู้มีส่วนได้เสียกลับสร้างกำไรให้กับการลงทุนและประหยัดต้นทุนจากการทำเพื่อสังคมได้ ในบริบทเช่นนี้ย่อไม่มีใครอยากดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างแน่นอน ดังนั้น ในแง่นี้รัฐบาลอาจจะมีการให้แรงจูงใจหรือการสนับสนุนโดยใช้มาตรการทางภาษีเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ

อาจจะกล่าวได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมองสังคมโดยรวมตามหลักภราดรภาพนิยมคือ มองสังคมทั้งหมดเป็นเสมือนพี่น้องที่ร่วมทุกข์รวมสุขกัน ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการสามารถส่งต่อไปสู่คนทุกคนในสังคมได้ผ่านการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ สังคมจะเป็นสังคมที่ดีได้นั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบทบาทของบริษัท/ธุรกิจก็มีความสำคัญ ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจแบบเดิมที่เน้นสร้างประโยชน์หรือผลกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียวนั้ผนอาจจะไม่ใช่กระแสนิยมของยุคนี้สักเท่าไรแล้ว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจะเกิดขึ้นและให้ผลดีกับสังคมได้นั้นในบริบทของประเทศไทยก็อาจจะยังไม่พร้อมขนาดนั้น


อ้างอิง