ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบกฎหมายจีน

ชื่อหนังสือ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบกฎหมายจีน

ผู้เขียน : อาร์ม ตั้งนิรันดร

สำนักพิมพ์ : วิญญูชน


ในหนังสือเล่มนี้ อ.อาร์ม ตั้งนิรันดร ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐานของกฎหมายจีน ซึ่งตั้งอยู่บนอิทธิพลของของแนวคิดปรัชญาต่างๆ ซึ่ง อ.อาร์ม ได้อธิบายผ่านปรัชญาที่มีอิทธิพลในแต่ละยุคโดยแบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ

ยุคที่หนึ่ง กฎหมายสมัยราชวงศ์ แก่นแท้ของกฎหมายคือ ปรัชญาแบบขงจื้อ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน คือความสัมพันธ์แบบครอบครัวฉบับขยาย แนวคิดทางกฎหมายจึงเป็นความสัมพันธ์แบบเน้นไปที่สังคมโดยรวม โดยมีหน่วยเล็กสุดของสังคมคือ ครอบครัว ตรงข้ามกับกฎหมายโรมันที่มีหน่วยเล็กสุดคือ บุคคล ทำให้บรรดากฎหมายของจีนสมัยราชวงศ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุคคลเท่ากับกฎหมายที่มีฐานจากโรมัน เช่น เรื่องกรรมสิทธิ์กฎหมายจีนยุคราชวงศ์สนใจกรรมสิทธิ์เฉพาะในเชิงภาษี แต่กฎหมายโรมันสนใจกรรมสิทธิ์ในฐานะที่ัเชื่อมโยงกับสิทธิของปัจเจกบุคคล

ยุคที่สอง เป็นยุคปฏิรูปกฎหมายปลายสมัยราขวงศ์ชิง จีนกำลังพยายามพัฒนากฎหมาย โดยส่งคนไปศึกษากฎหมายประเทศต่างๆ ในช่วงของการเรียนรู้วัฒนธรรม แม้ประเทศจีนจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ แนวคิดทางกฎหมายดังกล่าวก็ยังคงได้รับการรักษาไว้

ยุคที่สาม เป็นช่วงที่จีนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ระบบกฎหมายที่จีนคณะชาติวางไว้ถูกยกเลิก เพราะมองเป็นกฎหมายของนายทุน กฎหมายแบบสังคมนิยมเข้ามามีบทบาท เช่น กรรมสิทธิ์ถูกยกเลิก ที่ดินเป็นของคอมมูน

ยุคที่สี่ จีนหลังเติ้งเสียวผิง กฎหมายจีนเริ่มเปิดรับมากขึ้นในสาขากฎหมายต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายแบบคอมมิวนิสต์บ้าง

หนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าเพียงแค่การ Introduction เพื่อทำความเข้าใจระบบกฎหมายจีน แต่เป็นการอธิบายถึงปรัชญาของกฎหมายที่อยู่เบื้องหลังระบบกฎหมายทั้งหมด

Enola Holmes เล่าเรื่องอำนาจผ่านการผจญภัย

“Enola Holmes” เป็นภาพยนตร์จอเงินของ “Neflix” โดยเล่าเรื่องราวของ Enola Holmes หญิงสาววัย 16 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวของนักสืบชื่อดัง Sherlock Holmes ซึ่งเป็นตัวละครจากผลงานสร้างสรรค์ของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (Arthur Conan Doyle)

โดยในเรื่องนั้นจะบอกเล่าเรื่องราวของ Enola ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ของเธอแล้วจนวันหนึ่ง แม่ของเธอก็ได้หายออกไปจากบ้านเพื่อไปทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับ Enola เป็นอย่างมาก และนำไปสู่การออกตามหาแม่ที่หายไป ซึ่งในระหว่างทางเธอได้เข้าไปช่วยชีวิต Lord Tewsbury ขุนนางหนุ่มซึ่งมีความฝันจะเดินตามรอยพ่อที่จะ “ปฏิรูป” ประเทศอังกฤษจากการถูกปองร้าย ทำให้ Enola ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายในครั้งนี้

การ “ปฏิรูป” ที่ถูกพูดถึงในเรื่องนั้นมีความสำคัญอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่

ประการแรก คือ การปฏิรูประบบการเลือกตั้องของอังกฤษในปี ค.ศ. 1884 โดยรัฐบาลผลักดันให้เกิดการพระราชบัญญัติปฏิรูป ค.ศ. 1884 หรือ “Third Reform Act 1884” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ขยายสิทธิการเลือกตั้งแก่ผู้ใช้แรงงานในภาคการเกษตรหรือแรงงานรับจ้างในไร่ โดยผลของกฎหมายฉบับนี้ทำให้ชาวนาอังกฤษมีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 2.5 ล้านคน จึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ได้ทำให้เกณฑ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเปลี่ยนไปเป็น “ชาย” บรรลุนิติภาวะทุกคนและเป็นเจ้าของหรือเช่าที่อยู่อาศัยมีสิทธิเลือกตั้งทุกคน

ประการที่สอง คือ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน (ประเด็นนี้ถูกพูดถึงไม่มากมีประมาณ 2 ฉาก)

ประการที่สาม คือ กระแสสตรีนิยมที่เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมอังกฤษ ซึ่งจะเห็นได้จากหลายๆ ฉากในหนังแม้จะไม่ได้พูดถึงตรงๆ เช่น การที่แม่ของ Enola อ่านหนังสือแนวคิดแบบสตรีนิยม การที่แม่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับ Enola หรือแม้แต่ในตอนท้ายของเรื่องที่แม่ของ Enola พูดถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงโลกที่ลูกสาวของเธอจะเติบโตขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งการปฏิรูปสำคัญที่สุดของกลุ่มเคลื่อนไหวสตรีนิยมในขณะนั้นคือ การเรียกร้องให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้งเสมอภาคกับผู้ชาย

ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหนังนั้นหยิบประเด็นทางสังคมและการเมืองต่างๆ มาเล่าได้อย่างสนุกสนานผ่านการผจญภัยของ Enola และนอกจากนี้ตัวหนังยังพยายามที่จะเล่าความคิดทางการเมืองผ่านบรรดาตัวละครสำคัญต่างๆ อาทิ ทั้งท่านหญิงย่าของ Lord Tewsbury หรือ Mycroft พี่ชายของ Enola ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม แม่ของ Enola ที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยมหรือบรรดาผู้หญิงในสมาคมของแม่ และ Sherlock ซึ่งเป็นตัวแทนของคนชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงที่มีความพึ่งพอใจในสถานะและไม่ถูกกดขี่ทางสังคมจึงเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญหรือสนใจกับปัญหาทางการเมือง

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองและอำนาจไปได้ไกลกว่าเพียงแค่ในภาพใหญ่ระดับการเมืองของชาติ แต่ตัวหนังยังสะท้อนเรื่องราวของอำนาจทางการเมืองต่างๆ ที่ปกคลุมอยู่บนตัวผู้คน เช่น ในตอนที่ Enola ถูกส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนกุลสตรี ซึ่งฉากนั้นนำเสนอภาพของอำนาจที่กดทับตัวผู้หญิงชั้นสูงของอังกฤษที่ต้องมีมารยาท กริยา และบุคลิกสอดคล้องกับมาตรฐานแบบวิกตอเรียน หรือประเด็นเรื่องความแตกต่างระหว่างช่วงวัยและอำนาจที่กดทับกันระหว่างความอาวุโส ซึ่งส่วนนี้จะเห็นได้ชัดในครอบครัวของ Lord Tewsbury

สำหรับสิ่งสุดท้ายที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือ การกล่าวถึงความเชื่อมมั่นและการพยายามทำให้เห็นถึงโลกที่เราคาดหวังจะให้เป็นโดยอุทิศกำลังและแรงกายในการทำสิ่งนั้น ซึ่งจะเห็นได้จากความพยายามขับเคลื่อนของแม่ของ Enola กับ Lord Tewsbury และแม้กระทั่งตัวของ Enola เอง

กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา: ความเป็นธรรม และผลกระทบของกฎหมาย

บทความนี้ดัดแปลงจากบทความชื่อ “คณะราษฎรกับการพิทักษ์ความเป็นธรรมในคิดดอกเบี้ยกู้ยืมเงิน” ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรมุ่งหมายที่จะบำบัดทุกข์บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน เป็นไปตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร  คณะราษฎรจึงได้วางหลักการรากฐานทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเรื่องหนึ่งในความตั้งใจนั้นก็คือ การตรากฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

ความเป็นมาของกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

เมื่อคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรต้องการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) และทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นของชาติ (National Solidarity)

ในบรรดาสิ่งทั้งหลายที่คณะราษฎรได้เข้ามาจัดทำ ก็คือ การตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 โดยมุ่งหวังจะบำรุงการกู้ยืมให้เป็นไปในทางที่ควร ไม่เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันโดยการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ซึ่งเจ้าหนี้ลูกหนี้ต่างร่วมใจร่วมมือกันหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะฝ่ายหนึ่งอยากได้ อีกฝ่ายหนึ่งตกอยู่ภายใต้กฎความจำเป็นบังคับ ในที่สุดก็ได้ผลอันไม่พึงปรารถนา คือ “การเอารัดเอาเปรียบกัน”[1]

เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันในการแสวงหาดอกเบี้ย คณะราษฎรจึงได้ตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 โดยกำหนดว่า บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ร้อยละ 15 ต่อปี[2] จะต้องได้รับโทษทางอาญาเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[3] ซึ่งอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนั้นในช่วงปี พ.ศ. 2475 เป็นเงินจำนวนมาก

พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้รับการบังคับใช้มาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ซึ่งแทบไม่มีความแตกต่างจากพระราชบัญญัติฉบับเดิมเลย เว้นเสียแต่ในส่วนของโทษทางอาญาที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาเป็นจำคุกไม่เกิน 12 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสาเหตุของการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับใหม่เกิดมาจากการที่พระราชบัญญัติฉบับเดิมนั้นใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้บทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เกิดการแก้ไขปรับปรุงอัตราโทษเสียใหม่[4]

เจตนารมณ์ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ความมุ่งหมายสำคัญของคณะราษฎรในช่วงแรกนั้น คือ การแก้ไขสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้น ทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะจากการศึกษาของ คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle C. Zimmerman) ซึ่งรัฐบาลไทยจ้างมาทำการศึกษาสภาพเศรษฐกิจของชนบทในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2473 พบว่า สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนโดยส่วนมากของประเทศนั้นเป็นชาวนา ซึ่งในการทำนาแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ทำให้ชาวนาจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการทำนา  ในแต่ละครั้ง ทว่า ผลตอบแทนที่ได้กลับมานั้นน้อยมาก ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงนั้นทำให้ชาวนาไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยได้

สภาพดังกล่าวเป็นวัฏจักร เพราะชาวนายังคงต้องทำนาทุกปี ซึ่งเมื่อจะทำนาก็ต้องกู้เงินมาเพื่อลงทุน แต่ผลประกอบการที่ได้มาน้อยเกินกว่าจะชำระดอกเบี้ยที่สูงได้  ดังนั้น เมื่อคณะราษฎรเข้ามาเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงประสงค์ที่จะแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว เพราะเห็นว่า “…ถ้าดอกเบี้ยเรียกแรงเกินไปแล้ว ลูกหนี้ได้ผลไม่พอที่จะใช้ดอกเบี้ยได้ ย่อมต้องย่อยยับไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย…”[5] คณะราษฎรจึงได้วางนโยบายของรัฐบาลเพื่อกำหนดแนวทางของการกู้ยืมเงินที่ไม่เป็นการแสวงหาผลประโยชน์กันจนเกินไป อันเป็นการตอบสนองต่อหลักปรัชญาภราดรภาพนิยมในความคิดของปรีดี พนมยงค์ ที่เน้นว่า “มนุษย์ในสังคมควรเกื้อกูลกัน”

ผลกระทบของกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่มุ่งป้องกันและลงโทษผู้ที่แสวงหาประโยชน์จากการปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด เพื่อส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมในสังคมและความเป็นปึกแผ่นของชาติ

อย่างไรก็ตาม ในแง่ผลกระทบของกฎหมายนั้นเมื่อกฎหมายถูกบังคับใช้มาเป็นระยะเวลานานและไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปกฎหมายฉบับนี้แทนที่จะสร้างประโยชน์กับสร้างโทษเสียมากกว่า และแทนที่รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศจะยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ไปกลับตรากฎหมายหมายฉบับนี้ใหม่โดยเพิ่มอัตราโทษให้ร้ายแรงขึ้นแทน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกฎหมายฉบับนี้นั้นมีอยู่หลายประการ ในชั้นนี้ผู้เขียนขอแจกแจงปัญหานี้ออกเป็น 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงที่กฎหมายกำหนดเอาไว้นั้น คือ ร้อยละ 15 ต่อปีนั้นกำหนดเอาไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2475 นั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงมากในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไปและปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดังนั้น แม้จะได้มีการแก้ไขกฎหมายในปี พ.ศ. 2560 แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว

ประการที่สอง กฎหมายฉบับนี้ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันการในตลาดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 นั้นกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงผู้ให้กู้ยืมสามารถเรียกได้จากผู้กู้ยืมทำให้เกิดการจำกัดการแข่งขั้นกันในตลาดเงินกู้ เพราะบุคคลทุกคนย่อมที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วยกันทั้งหมดทำให้กลไกตลาดของอัตราดอกเบี้ยไม่ทำงานเป็นเหตุให้ไม่เกิดการแข่งขันกันในตลาดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กล่าวคือ การที่กฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงเอาไว้ทำผู้ให้กู้ยืมเงินไม่แข่งขันกันกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่ากัน เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ยืมเงินจากตนเอง

ประการที่สาม การทำให้ขาดแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจ ในทางตรงกันข้าม การไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างอิสระ ทำให้ผู้ให้กู้ยืมเงินขาดแรงจูงใจที่จะประกอบกิจการให้กู้ยืมเงิน  อย่างไรก็ตาม การกำหนดห้ามเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีนี้ไม่นำมาใช้กับสถาบันการเงิน[6] ทำให้สถาบันการเงินอาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ แต่อยู่ภายใต้กรอบที่กำหนดไว้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่โดยลักษณะการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินนั้นมีข้อจำกัดที่ทำให้บุคคลธรรมดาสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยาก

ประการที่สี่ การเกิดตลาดมืดของธุรกิจการกู้ยืมเงิน ผลของการที่กฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงที่จะสามารถเก็บได้ตามกฎหมายทำให้ผู้ให้กู้ยืมเงินที่คิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นการประกอบการภายในตลาดมืด[7] ซึ่งโดยสภาพของการปล่อยเงินกู้นั้นผู้ให้กู้ต้องคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า หากไม่ได้รับเงินคืนจะต้องสูญเสียเงินต้นให้น้อยที่สุด แต่เมื่อกฎหมายไม่ให้คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ผลที่เกิดขึ้น คือ การปล่อยเงินกู้ในอัตราสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้นยังคงมีอยู่ แต่กฎหมายไม่ให้ความคุ้มครองให้เจ้าหนี้จึงต้องเข้าใช้กำลังบังคับเพื่อให้ได้เงินกู้คืนมา ทำให้เกิดการทวงหนี้เถือน

ข้อพึงสังเกตคือ การกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ากฎหมายกำหนดนั้นยังมีอยู่นั้นก็เป็นเพราะประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการของสถาบันการเงินได้ อันเนื่องมาจากหลักเกณฑ์ของสถาบันการเงิน เพราะฉะนั้นลูกหนี้จึงยังต้องยอมตกลงเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอยู่ดี

กล่าวโดยสรุปนั้น แม้หลักการและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 (ปัจจุบันพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560) จะมุ่งสร้างความเป็นธรรมและส่งเสริมให้เกิดความเป็นปึกของชาติ โดยไม่มุ่งให้เกิดการแสวงหาดอกเบี้ยในเชิงเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน แต่ในความเป็นจริงการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้สร้างผลกระทบใน 4 ประการดังได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ซึ่งทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปกฎหมายฉบับนี้ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ อาจจะถึงเวลาแล้วที่จำเป็นต้องยกเลิกกฎหมายฉบับนี้


เชิงอรรถ

[1]   คำแถลงการณ์ คณะกรรมการราษฎรเกี่ยวแก่พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475.

[2]   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, มาตรา 654; กำหนดห้ามมิให้เรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละ 15 ต่อปี

[3]   พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475, มาตรา 3.

[4]   หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560.

[5]   อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1.

[6]   พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523, มาตรา 4 และมาตรา 5.

[7]   ตลาดมืด (Black market) คือ ตลาดซื้อขายสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย เกิดจากผลการควบคุมราคาสินค้าและบริการโดยรัฐบาล.

ตัดวงจรรัฐประหาร

ชื่อหนังสือ : ตัดวงจรรัฐประหาร (Circuit breaker Coup d’Etat)

ผู้เขียน : ธีรภัทร เสรีรังสรรค์

สำนักพิมพ์ : วิญญูชน


หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการ “ตัดวงจรรัฐประหาร” ซึ่งเป็นเป็นกับดักที่หยุดยั้งความเจริญของประเทศ โดยในช่วงแรกของหนังสือเป็นการกล่าวถึงอารัมภบทของงานวิจัย โดยผู้เขียนชี้ให้เห็นบทบาทของกองทัพในฐานะที่เป็นองค์กรซึ่งความหมายและความสำคัญต่อการคงอยู่ของรัฐ ทั้งในแง่การป้องกันประเทศและการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน โดยกองทัพมีบทบาทสำคัญที่มีไว้เพื่อสนับสนุนอำนาจทางการเมืองของผู้ปกครอง และยังได้แสดงแนวทางแทรกแซงการเมืองของคณะทหารในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาล การขู่ว่าจะใช้กำลัง การเปลี่ยนตัวผู้บริหาร และการยึดอำนาจ และจบด้วยการแสดงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงของทหาร

ในบทที่ 4 ของหนังสือจะเป็นการพูดถึงประสบการณ์ของต่างประเทศในแต่ละประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐประหาร เช่น สเปน กรณีของอดีตกษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส และ กรีซ เป็นต้น

ในบทที่ 5 ของหนังสือ เป็นการพูดถึงการตัดวงจรรัฐประหารของไทย ซึ่งผู้เขียนใช้วิธีการอธิบายผ่านมุมมองจากปัจจัยภายนอกเข้าสู่ปัจจัยภายในตามทฤษฎีระบบการเมือง โดยหาตัวแปรที่จะเป็นฉนวนในการป้องกันการรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านกลไกต่างๆ

โดยส่วนตัวรู้สึกว่า การเรียบเรียงเนื้อหาในหนังสือค่อนข้างอ่านยาก และวิธีการเขียนอธิบายเป็นลำดับตามแนวทางของการเขียนงานวิจัยทำให้ในการอ่านมีส่วนที่ไม่ต่อเนื่อง มีสะดุด และรู้สึกว่าบางส่วนไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้

แด่ RBG

ในวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563 สำนักข่าวต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาหลายสำนักข่าวได้เผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของ รูธ เบเดอร์ ดินสเบิร์ก (Ruth Bader Ginsburg) ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (U.S. Supreme Court) วัย 87 ปี สตรีผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมที่เป็นธรรมในสังคม

บทบาทของ RGB นั้นมีบทบาทอยู่ด้วยกันหลายเรื่องด้วยกัน RGB มีบทบาทอย่างมากในการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเพศ อาจจะกล่าวได้เลยว่าตั้งแต่การเริ่มต้นชีวิตกฎหมายของเธอเลยก็ว่าได้ ในฐานะบัณฑิตสตรีทางกฎหมายนั้น RGB ประสบปัญหาอย่างมากในการเริ่มต้นวิชาชีพ เพราะสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นยังเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ ไม่มีที่ใดรับบัณฑิตสตรีเข้าทำงานทางด้านกฎหมายเลย แม้แต่กระทั่งในตำแหน่งเสมียนศาล จนกระทั่งในท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือจาก Gerald Gunther ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายจาก Columbia Law School ที่กดดันให้ Edmund L. Palmonieri ผู้พิพากษาศาลในมหานครนิวยอร์กรับ RGB เข้าทำงานในตำแหน่งเสมียนศาล

RGB ทำงานให้กับ Palmonieri ได้อยู่ 2 ปี ก็ได้หันเหเส้นทางไปทำงานด้านวิชาการโดยเป็นผู้บรรยายอยู่ที่ Ruthers Law School โดยได้รับเงินเดือนต่ำกว่าอาจารย์ผู้ชายที่มีตำแหน่งทางวิชาการเท่ากัน และได้ย้ายไปทำงานที่ Columbia Law School ในปี พ.ศ. 2515 จนถึง พ.ศ. 2523

การเข้าสู่กระบวนการประชาสังคมของ RGB นั้น เกิดจากการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีให้เสมอภาคกับบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ RGB ต่อสู้อยู่ตลอดชีวิต แม้กระทั่งในตอนที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาก็ตาม

ในปี พ.ศ. 2515 ได้ร่วมกับมิตรสหายก่อตั้งโครงการ The Women’s Right Project ภายใต้องค์กร The American Civil Liberties Union (ACLU) ซึ่งทำให้เกิดการนำคดีการเหยียดเพศขึ้นสู่การพิจารณาของศาล โดย RGB นั้นรับหน้าที่เป็นทนายความในคดีด้วยขอบเขตการให้ความช่วยของโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะ คดีการเหยียดเพศในผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรับคดีที่เกิดกับผู้ชายด้วย เพราะเห็นว่าการเหยียดเพศนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็สามารถตกเป็นเหยื่อในคดีเหยียดเพศด้วยเช่นกัน ซึ่งคดีจำนวนมากที่ RGB ได้ว่าความเป็นจำนวนมาก และชนะคดีเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

ผลของการนำคดีเหยียดเพศมาสู่การพิจารณาของศาล ทำให้นายจ้างในที่ทำงานมีการเหยียดเพศน้อยลง ทำให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน ไม่เฉพาะแต่ในที่ทำงาน แม้แต่กระทั่งนักการเมืองก็ต้องระมัดระวังและเปลี่ยนท่าทีของตนเองในการนำเสนอกฎหมายที่มีนัยต่อการเหยียดเพศ

ภาพ RBG จาก www.wavy.com

RGB ทำงานในฐานะทนายความภายใต้โครงการ ACLU จนกระทั่งประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้ง RGB ให้เป็นผู้พิพากษาในปี พ.ศ. 2523 โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาในศาล U.S. Court of Appeals for the District of Columbia Circuit และต่อมาประธานาธิบดี William Jefferson Clinton ก็ได้ตั้งให้ RGB เป็น Associate Justice of the Supreame Court ในปี พ.ศ. 2536 เนื่องจาก Clinton ไม่ต้องการให้ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาถูกครอบงำโดยผู้พิพากษาฝั่งอนุรักษ์นิยม (Conservative)

ด้วยเหตุที่ RGB เป็นผู้หญิงและเป็นชาวยิวนั้นยิ่งส่งเสริมภาพของเธอในฐานะผู้พิพากษาฝั่งเสรีนิยม (Liberalism) ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อได้รับตำแหน่งในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา RGB ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงแบบของชุดครุยผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแนวคิดที่เธอได้แสดงออกผ่านคำพิพากษาในฐานะเจ้าของสำนวน

การเสียชีวิตของ RBG นี้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่าใจหายและสลดหดหู่ใจมากในหมู่เสรีนิมชาวอเมริกัน และเป็นการสูญเสียบุคลากรทางกฎหมายคนสำคัญของโลกคนหนึ่ง

ภาพประชาชาชนชาวอเมริกันมาร่วมแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของ RBG ที่มา: POLITICO

ในทางการเมืองของสหรัฐอเมริกานั้นเท่ากับว่าฝ่ายเสรีนิยมในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาได้เสียบุคลากรสำคัญไปคนหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานี้เป็นตำแหน่งตลอดชีพ และไม่มีวาระ (เว้นแต่จะลาออกเอง) โดย RGB นั้นเป็นหนึ่งในผู้พิพากษาฝ่ายเสรีนิยมที่มีอยู่เพียง 4 คน ท่ามกลางหมู่ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยม

บทบาทของผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานั้นมีความสำคัญมาก เพราะผู้พิพากษาศาลสูงสุดทั้ง 9 คนนั้นมีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ต่างๆ เช่น การรับรองสิทธิของประชาชนในเรื่องต่างๆ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีจำนวนผู้พิพากษาเป็นฝ่ายข้างน้อยของจำนวนทั้งหมด แต่ด้วยความที่มีผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยมบางคน เช่น Anthony M. Kennedy เป็นต้น ที่พยายามวางตัวเป็นกลางและรับบท Swing Voter ในคดีสำคัญๆ หลายคดี ทำให้เกิดความสมดุลขึ้นมา และแม้ในเวลาต่อมา Kennedy จะได้ลาออกจากตำแหน่งก็ตาม แต่ก็ยังมี John G. Roberts, Jr. ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลนั้นพยายามวางตัวเป็นกลาง และรับบทบาทนี้ต่อมาก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสถานะของฝ่ายเสรีนิยมในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานั้นเปราะบางมาก ทำให้ RBG จำเป็นต้องระมัดระวังสุขภาพและพยายามปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่มาแทน Donald J. Trump ซึ่งเป็นประธานาธิบดีฝ่ายอนุรักษ์นิยม

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะหนีไม่พ้นสถานะของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เปราะบางในสังคมอเมริกาเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดเหตุการณ์ตุลาการภิวัฒน์ (Judicial Activism) ขึ้นมา

ชีวประวัติของพลเมืองไทย: กำเนิด พัฒนาการและอุปสรรคกับการพิทักษ์ประชาธิปไตย (2475 – ปัจจุบัน)

ชื่อหนังสือ : ชีวประวัติของพลเมืองไทย: กำเนิด พัฒนาการและอุปสรรคกับการพิทักษ์ประชาธิปไตย (2475 – ปัจจุบัน)

ผู้เขียน : ณัฐพล ใจจริง

สำนักพิมพ์ : สถาบันปรีดี พนมยงค์


ชีวประวัติของพลเมืองไทย: กำเนิด พัฒนาการและอุปสรรคกับการพิทักษ์ประชาธิปไตย (2475 – ปัจจุบัน) เป็นหนังสือเล่มบางๆ ในซีรีส์ชุดปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ที่ ดร.ณัฐพล ใจจริง ได้แสดงไว้ในปี 2556 

จุดเน้นของหนังสือเล่มนี้คือ การนำเสนอมุมมองทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับที่ทางในทางประวัติศาสตร์ของ “สามัญชน” โดยชวนตั้งคำถามถึงพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ไม่ค่อยมีพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวของสามัญชน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักบอกเล่าประวัติศาสตร์แบบ “มหาบุรุษ” หรือ “ราชาชาตินิยม” 

ในหนังสือเล่มนี้ ดร.ณัฐพล ใจจริง ได้ตั้งสมมุติฐานว่า การที่ประชาธิปไตยของไทยนั้นมีลักษณะไม่ยั่งยืนนั้นมาจากความไม่สมดุลของความรู้ของผู้คนที่มีต่อการจัดวางสถานะของตนเองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเหมาะสมด้วย เนื่องจากในสังคมไทยนั้นกระบวนการทำให้ความรู้ที่เกิดประโยชน์นั้นมีเพียงแต่กระบวนการทำให้เกิดความรู้ที่เกิดประโยชน์ต่ออภิชนคนชั้นสูงเท่านั้น การที่ประวัติศาสตร์ไม่ค่อยได้กล่าวถึงคนธรรมดา “สามัญชน” จึงทำให้ไม่เกิดความตระหนักถึงความรู้และความสำคัญของ “สามัญชน”

สำหรับในช่วงต้นของหนังสือเริ่มต้นจากการสำรวจความหมายของ “สามัญชน” ผ่านมุมมองทางเวลาและลัทธิทางการเมือง การให้นิยามความหมายของ “สามัญชน” “ไพร่” “พลเมือง” และ “ราษฎร” คำทั้ง 4 คำนั้น มีการปรับเปลี่ยนความหมายกาลเวลา

ในขณะเดียวกันผู้มีอำนาจได้พยายามสร้างสถานะของ “สามัญชน” ให้แตกต่างกันไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกัน ในช่วงก่อน 2475 ทัศนะของผู้มีอำนาจต่อ “สามัญชน” นั้นมีลักษณะเป็นไปในเชิงดูถูกและมองว่า “สามัญชน” นั้นไม่สามารถทำให้เป็นอารยะได้หากปราศจากชนชั้นนำจารีตที่เป็นผู้ปกครอง และแม้ “สามัญชน” คนใดจะพยายามข้ามพรมแดนทำหน้าที่ปัญญาชนซึ่งเป็นงานสงวนไว้สำหรับเจ้านายและขุนนางก็จะถูกกล่าวหาว่า “ทำเทียมเจ้าเทียมนาย” ดังเช่นที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์

ตัวอย่างของทัศนะของเจ้านายที่มองว่า “สามัญชน” นั้นไร้เหตุผลและไม่เจริญปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง “โคลนติดล้อ” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า “ราษฎรชอบเล่นการพนันและหวย เงินไม่มีประโยชน์สำหรับราษฎร หากจะมีประโยชน์สำหรับราษฎรเพียง ประการเท่านั้น คือ เสียภาษี และเล่นการพนัน”

อย่างไรก็ตาม สถานะของราษฎรนั้นเปลี่ยนแปลงไปภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 คณะราษฎรได้พยายามเปลี่ยนแปลงสถานะของ “สามัญชน” ที่ต่ำต้อย ไม่ได้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และเป็นผู้รับใช้ มาสู่การเป็นผู้มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงบริบททางการเมืองที่นำมาสู่การสร้างความหมายและคุณค่าของคำที่เปลี่ยนแปลงไป  อย่างไรก็ตาม สถานะเช่นว่านั้นก็ไม่ได้มั่นคงมากนัก เมื่อภายหลังปี 2490 ซึ่งกลุ่มอภิชนคนชั้นสูงได้กลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองและสามารถฟื้นฟูตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในทางการเมืองได้สำเร็จ และได้เริ่มเกิดงานเขียนประเภทปฏิกิริยาที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพชีวิตแสนสุขของ “สามัญชน” ภายใต้ร่มพระบารมี ซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งกับภาพความขัดแย้ง ความไม่สงบ และความยุ่งเหยิงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าปี 2490 ตัวอย่างงานเขียนในลักษณะนี้ก็คือ “สี่แผ่นดิน” วรรณกรรมชิ้นเอกของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

จุดเปลี่ยนของสถานะ “สามัญชน” ในประวัติศาสตร์ไทยได้รับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งอย่างสำคัญเมื่อมีการรัฐประหารในปี 2549 ที่เป็นการลดทอนคุณค่าของ “สามัญชน” อีกครั้งหนึ่ง และนำกลับมาสู่กระแสการโต้ตอบกลับเพื่อและเสียดสีการรัฐประหาร 2549ท้ายที่สุดแล้ว สถานะของ “สามัญชน” นั้นก็ยังไม่มีความปลอดภัย และยิ่งไปกว่านั้นสถานะดังกล่าวกลับคลุมเครือยิ่งกว่าเดิมเมื่อสังคมไทยได้ผ่านการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในปี 2557

ภาวะเงินเฟ้อกับชีวิตคนไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เศรษฐกิจของประเทศจะดีหรือไม่ อาจพิจารณาได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน แต่ปัจจัยหนึ่งที่สามารถนำมาชี้วัดได้ ก็คือ ความเพียงพอของสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต หากประเทศนั้นไม่มีสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตแล้ว แม้จะมีปริมาณเงินในระบบมากก็ไม่สำคัญ เพราะปริมาณเงินในระบบนั้นไม่สอดคล้องกับปริมาณสินค้าและบริการ

ในบทความนี้จะนำผู้อ่านย้อนกลับไปพิจารณาสภาพเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง

สาเหตุของเงินเฟ้อหลังมหาสงคราม

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพปัญหาทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่ต่างกันมาก ด้วยต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนสินค้าจำเป็น และภาวะเงินเฟ้อ กล่าวเฉพาะในด้านปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ผู้เขียนได้ชี้แจงสาเหตุไว้แล้วในบทความก่อน และข้อยกมาสรุปเอาไว้ในบทความนี้ถึงสาเหตุทั้ง 2 ประการที่นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ดังนี้

ประการแรก คือ ประเทศไทยออกจากมาตรฐานปริวรรตเงินปอนด์สเตอร์ลิง (Sterling exchange standard) กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมานั้นประเทศไทยใช้มาตรฐานปริวรรตสเตอร์ลิงโดยเอาค่าเงินบาทไปผูกไว้กับค่าเงินปอนด์ของประเทศสหราชอาณาจักร แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาเริ่มต้นขึ้นประเทศไทยได้เข้าเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ต้องตัดขาดความสัมพันธ์ทางการค้าและรวมถึงการจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานปริวรรตเงินเยน (Yen exchange standard) พร้อมทั้งกำหนดค่าเงินบาทให้เท่ากับเงินเยน กล่าวคือ กำหนดให้ 100 บาท เท่ากับ 100 เยน ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นค่าเงินบาทมีมากกว่าค่าเงินเยนโดยอัตราเปรียบเทียบ 100 บาท ต่อ 155.70 เยน สภาพดังกล่าวทำค่าเงินบาทลดลงประมาณร้อยละ 36

ประการที่สอง คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องพิมพ์ธนบัตรเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล และต้องพิมพ์ธนบัตรเพื่อให้จักรวรรดิญี่ปุ่นใช้ในราชการสงครามภายในประเทศไทย

ผลจากปัจจัยทั้งสองประการนี้ทำให้ประเทศไทยมีปริมาณเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว นับตั้งแต่สงครามมหาเอเชียบูรพาเริ่มต้นขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาสงครามรัฐบาลจะได้พยายามด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาประการเพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่การแก้ไขดังกล่าวก็ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เพราะสาเหตุของปัญหาบางประการไม่สามารถแก้ไขได้ในสภาวะที่สงครามยังดำเนินอยู่ต่อไป เช่น รัฐบาลไม่สามารถลดการพิมพ์ธนบัตรเพื่อให้จักรวรรดิญี่ปุ่นใช้ในราชการสงครามภายในประเทศไทยไทยได้ เป็นต้น

การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลงปัญหาเงินเฟ้อก็ยังดำเนินต่อไปโดยรัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย ดังเช่นที่นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า

“…ภาวะเงินการเงินของเราเวลานี้เปรียบเสมือนคนไข้หนัก การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องใช้การผ่าตัด…”[1]

คำกล่าวของนายควงในข้างต้นนั้นไม่ได้เกินจริงไปเสียเลย เพราะหากพิจารณาจากปริมาณเงินเฟ้อในปี พ.ศ. 2488 มีปริมาณเงินหมุนเวียนจำนวน 2,560,579,208 บาท และได้เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2489 เป็น 3,029,570,987 บาท[2] ปริมาณเงินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แม้รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อตลอดช่วงเวลาที่สงครามเดินไปนั้นกระทำได้ยากมาก

ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการหลายวิธีด้วยกันเพื่อจะลดอัตราเงินเฟ้อ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2488 รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้ธนบัตรใบละ 1,000 บาท โดยกำหนดให้ธนบัตรใบละ 1,000 บาทไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย[3] แต่ผู้ครอบครองธนบัตรสามารถนำธนบัตรใบละ 1,000 บาท ไปจดทะเบียนที่คลังทุกแห่งทั่วไปประเทศเพื่อขอเปลี่ยนเป็น “พันธบัตรออมทรัพย์” ที่ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปีแทนได้[4] และพันธบัตรดังกล่าวจะไถ่ถอนไม่ได้จนกว่าจะครบระยะเวลา 1 ปี[5] วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่าเป็นการ “แช่เย็น” ธนบัตร ซึ่งทำเพื่อดึงเงินออกจากมือของประชาชน ด้วยวิธีการดังกล่าวทำให้สามารถลดเงินหมุนเวียนในระบบไปได้ประมาณ 371.5 ล้านบาท[6] และทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นบางอย่างลดลง สาเหตุที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ก็เพื่อทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเก็งกำไรซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเงินเฟ้อ[7] อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวนั้นไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ผลดีไปตลอด เพราะในท้ายที่สุดปัญหาสำคัญก็ยังคงดำรงอยู่คือการพิมพ์ธนบัตรเพื่อให้ทหารญี่ปุ่นใช้ในช่วงสงคราม

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2489 ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลเข้ามากำกับการประกอบกิจการธนาคารเป็นครั้งแรก โดยผลของพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดให้ธนาคารทุกธนาคารจะต้องตั้งเงินสดสำรองไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงินฝาก และอย่างน้อยร้อยละ 10 จะต้องนำไปฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย[8] โดยอัตราส่วนเงินสดสำรองนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งเงินสดสำรองนี้เป็นวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้อันจะทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินออกสู่ระบบมากจนเกินไป[9]

อีกวิธีการหนึ่งที่รัฐบาลเคยคิดจะนำมาใช้เพื่อลดปริมาณเงินในระบบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นำมาใช้ คือ การแบ่งขายทองคำจากทุนสำรองเงินตราภายในประเทศ เพื่อหวังไถ่ถอนธนบัตรจากการหมุนเวียนอย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าว รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเห็นในส่วนของวิธีการที่แตกต่างกันในแง่รูปแบบของการไถ่ถอน จึงเป็นเหตุให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ทรงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย[10]

ความท้าทายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อหลังสงคราม

ในเวลาต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย โดยรัฐบาลมีความท้าทายอยู่ 2 ประการ ได้แก่

ประการแรก รัฐบาลต้องพยายามจับจ่ายใช้สอยเงินในการฟื้นฟูประเทศอย่างไรที่จะไม่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ทำได้ยากมาก ด้วยเหตุที่สภาวะหลังสงครามประชาชนได้รับความบอบช้ำทางเศรษฐกิจรัฐบาลจึงเก็บภาษีได้น้อย ทำให้การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลทำได้ยาก แต่รัฐบาลก็ต้องบูรณะประเทศทำให้รัฐบาลต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้รัฐบาลกู้ยืมเงิน

ประการที่สอง ปัญหาข้าวที่เกิดขึ้นตามความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบ (รายละเอียดได้กล่าวไว้ในบทความก่อน) เพราะในช่วงแรกนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีตามความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบในการซื้อข้าวจากประชาชนเพื่อส่งมอบให้กับสหประชาชาติ

อย่างไรก็ตาม เมื่อในเวลาต่อมาได้เจราจาแก้ไขปัญหาข้าวตามความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบแล้ว ประจวบกับสินค้าส่งออกของไทยมีราคาดีขึ้น ประกอบกับสินค้าส่งออกของไทยมีราคาดีขึ้น ทำให้รัฐบาลได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากขึ้นในช่วง พ.ศ. 2491-2494[11] และด้วยการที่รัฐบาลสามารถควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ระบบแลกเปลี่ยนเงินหลายอัตรา[12] ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสะสมเงินตราต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก สถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในตอนนี้จึงเป็นการได้เปรียบดุลการค้า

ในช่วงหลัง พ.ศ. 2491 เป็นต้นมาถือได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น ดัชนีค่าครองชีพของประชาชนมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อยในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2491-2494 ดัชนีค่าครองชีพลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจซื้อของเงินบาท แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อได้คลี่คลายลงบ้าง ราคาสินค้าและบริการปรับตัวลดลง (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: แสดงอำนาจการซื้อของเงินบาทและดัชนีค่าครองชีพ[13]

พ.ศ.อำนาจซื้อของเงินบาทดัชนีค่าครองชีพ
2491100.0100.0
2492104.196.0
2493100.999.2
249490.8116.1
249581.6122.6
249674.1134.9
249773.9135.3
249870.7141.5

ที่มา:   เงิน ศรีสุรักษ์, แรงงานในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2504), น. 122; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 178.

สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาประสบวิกฤตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2495 เพราะสินค้าออกที่สำคัญของไทยกลับมามีราคาต่ำลงอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวและยางพาราซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ เป็นผลให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบดุลการค้าอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังต้องบูรณะฟื้นฟูประเทศ ทำให้จำเป็นต้องจัดงบประมาณแบบขาดดุลอีกครั้ง ซึ่งรัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยการขอกู้เงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปริมาณหมุนเวียนเงินมากขึ้นอีกครั้งทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออีกครั้งหนึ่ง

ในท้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่า การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไทยนั้นเป็นปัญหายืดเยื้อและใช้ระยะเวลาแก้ไขอย่างยาวนาน รัฐบาลต้องทุ่มเทความตั้งใจเป็นอย่างมากเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ในครั้งนั้น และเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นได้ไม่นาน ประเทศไทยก็ต้องกลับมาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492-2498 งบประมาณรายจ่ายของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทางด้านการคลังประเทศไทยมีแนวโน้มจะจัดนโยบายการคลังแบบขาดดุลโดยตลอด ในขณะที่อัตราการขาดดุลทางงบประมาณก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันพร้อม ๆ กับปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบที่เพิ่มขึ้น (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2: แสดงจำนวนดุลงบประมาณแผ่นดินและปริมาณเงิน (ล้านบาท)

พ.ศ.งบประมาณรายได้งบประมาณ
รายจ่าย
+ งบเกินดุล
– งบขาดดุล
เงินกู้จาก
ธนาคารชาติ
จำนวนเงินหมุนเวียน
2490966.01,217.2– 221.211.82,044.8
24911,962.21,685.0+ 7.2[14]36.62,206.6
24921,929.82,237.3– 307.5330.92,363.2
24932,143.32,591.7– 447.9333.83,042.8
24942,523.33,418.5– 888.2910.73,756.5
24953,346.94,433.9– 1,087.01,844.33.676.3
24963,940.95,240.6– 1,299.71,478.94,016.9
24974,265.95,493.8– 1,227.91,478.94,548.3
24984,383.05,025.5– 645.3552.35,178.7

ที่มา:   ธนาคารแห่งประเทศไทย, ที่ระลึกวันครบรอบปีที่ยี่สิบ 10 ธันวาคม 2505, (กรุงเทพฯ: ศิวพรการพิมพ์, 2505), น. 56; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 180.


เชิงอรรถ

[1]    สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 126.

[2]    เพิ่งอ้าง, น. 176.

[3]    พระราชกำหนดพันธบัตรออมทรัพย์ในภาวะคับขัน พุทธศักราช 2488, มาตรา 4.

[4]    พระราชกำหนดพันธบัตรออมทรัพย์ในภาวะคับขัน พุทธศักราช 2488, มาตรา 5.

[5]    ธนาคารแห่งประเทศไทย, “เมื่อ ‘บาท’ เกือบเป็น ‘เหรียญ’,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, (2557) สืบค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563, จาก https://www.bot.or.th/Thai/phrasiam/Documents/Phrasiam_3_2557/No.17.pdf, น. 42-43.

[6]    เพิ่งอ้าง.

[7]    เพิ่งอ้าง.

[8]    พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช 2488, มาตรา 10.

[9]    ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504,” ใน เศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2553), น. 290.

[10] ธนาคารแห่งประเทศไทย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, น. 43.

[11] สมศักดิ์ นิลนพคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 179.

[12] ระบบการแลกเปลี่ยนหลายอัตรา เกิดขึ้นมาจากความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเพื่อควบคุมปริมาณเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย จึงกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราขึ้นมาเป็นอัตราเดียวในตอนแรก แต่การกำหนดในลักษณะดังกล่าวล้มเหลวเนื่องจากอัตราดังกล่าวต่ำกว่าอัตราในตลาดมืด ทำให้ในเวลาต่อมามีการกำหนดอัตรา 2 อัตราคือ อัตราทางการ และอัตราในท้องตลาด (ยอมรับอัตราในตลาดมืด).

[13] ดัชนีเป็นฐานดัชนี 100.

[14] ในปี พ.ศ. 2491 ประเทศไทยมีงบประมาณเกินดุล เนื่องจากรัฐบาลสามารถเจรจากับอังกฤษให้สามารถขายข้าวตามราคาตลาดโลกได้ ทำให้รัฐบาลมีรายได้เกินดุล.

ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

แม้ประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกมากนักเมื่อเทียบกับบางประเทศ แต่สันติภาพของประเทศไทยนั้นก็มีราคาแพงไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2  ผลของสงครามก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยเช่นกัน โดยในบทความที่ผ่านมา ผู้เขียนได้กล่าวถึงปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคไปแล้ว ในบทความนี้ผู้เขียนจะเล่าถึงปัญหาข้าว ซึ่งเป็นผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีต่อประเทศไทย ปัญหาข้าวนี้เป็นปัญหาสำคัญและสร้างผลพลอยได้ที่เป็นพิษแก่คนบางกลุ่มในประเทศไทย

การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2

การสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นมาจากแนวรบทางตะวันตกเมื่อกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถเข้าบุกยึดเบอร์ลินได้ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2487  ทว่า ในแนวรบทางตะวันออก สงครามหาเอเชียบูรพา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังดำเนินต่อไปโดยกองทัพของสหรัฐอเมริกาสามารถตอบโต้และขับไล่กองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นออกจากพื้นที่ต่าง ๆ จนกระทั่งในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 บรรดาประเทศผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดการประชุมเพื่อเสนอข้อเรียกร้องยุติสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จักรวรรดิญี่ปุ่นที่จะต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ในท้ายที่สุดจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว จนนำไปสู่การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาในการทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก บนแผ่นดินญี่ปุ่นที่ฮิโรชิมาและนะงะซะกิ ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 จากนั้นสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะมีพระราชดำรัสทางวิทยุ แพร่สัญญาณไปทั่วจักรวรรดิโดยประกาศว่า ญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488

ในส่วนของประเทศไทยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนามใน “ประกาศสันติภาพ” ว่า

“การประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย เพราะการประกาศสงครามดังกล่าวเป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง ประชาชนชาวไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่นฐานะที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติผู้รักที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว… ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธไมตรีอันดีอันเคยมีมากับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้…”[1]

ประเทศไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้สงครามแต่อย่างใด[2] อย่างไรก็ตาม การประกาศสันติภาพนับเป็นการแสดงจุดยืนของประเทศไทยถึงเจตนาที่ไม่ต้องการจะประกาศสงครามกับอังกฤษ (สหราชอาณาจักร) และสหรัฐอเมริกาแต่แรก และถือได้ว่า การประกาศสันติภาพเป็นจุดสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นนำไปสู่การทำเจรจายุติสงครามและการทำสนธิสัญญาสันติภาพ (ความตกลงสมบูรณ์แบบ) ระหว่างประเทศสัมพันธมิตรและประเทศไทยต่อไป

การเจรจายุติสงครามและการทำความตกลงสมบูรณ์แบบ

การเจรจายุติสงครามและการทำความตกลงสมบูรณ์แบบนั้น เกิดจากการที่ประเทศไทยได้เจรจาและทำสนธิสัญญากับอังกฤษเป็นประเทศแรก สาเหตุมาจากในทางนิตินัยประเทศไทยย่อมถูกนับว่าเป็นฝ่ายอักษะด้วย เพราะได้ยินยอมให้ญี่ปุ่นใช้ดินแดนในการโจมตีมลายูและสิงคโปร์ และยังได้เข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงประเทศไทยไม่ได้มีสถานะเป็นผู้แพ้สงคราม และถูกจัดการเช่นเดียวกับผู้แพ้สงครามคือ จักรวรรดิญี่ปุ่น แต่ในทัศนะคติของประเทศสัมพันธมิตรต่อประเทศไทยนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันไป

ในสายตาของอังกฤษถือว่า ประเทศไทยเป็นศัตรู โดยพิจารณาได้จากแถลงการณ์ของนายเออร์เนอสต์ เบวิน รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศอังกฤษขณะนั้นว่า “…รัฐบาลอังกฤษรับรู้ในการที่ขบวนเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือ แต่จะลบล้างการที่ไทยได้ประกาศสงครามต่ออังกฤษซ้ำยังรับเอาดินแดนของอังกฤษไปจากมือญี่ปุ่น หรือไม่ประการใดนั้น ต้องดูเจตนารมณ์ของไทยต่อไปในการรับรองทหารฝ่ายอังกฤษที่จะเข้าไปในประเทศไทย…”[3]

ท่าทีของประเทศอังกฤษชัดเจนมากขึ้นเมื่อในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 ผู้แทนของอังกฤษได้ขอให้รัฐบาลไทยส่งคณะผู้แทนไปเจรจาทำสัญญาทางทหารกับรัฐบาลอังกฤษที่เกาะลังกา

โดยอังกฤษได้เสนอความตกลงจำนวน 21 ข้อ และภาคผนวก A และ B ให้กับรัฐบาลไทย  อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในความตกลงจำนวน 21 ข้อ มีเนื้อหาที่จะทำลายเอกราชและอธิปไตยของไทยทันที โดยข้อเสนอดังกล่าวมุ่งควบคุมกิจการของประเทศไทยทั้งในด้านการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ ซึ่งคณะผู้แทนไม่ได้ตกลง และนำเรื่องดังกล่าวกลับมาให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจ

ความพยายามในการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับอังกฤษดำเนินไปอย่างยากลำบาก แม้จะมีความพยายามของสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือไทยอยู่บ้างเป็นระยะ แต่ท่าทางของผู้แทนรัฐบาลอังกฤษที่มีต่อประเทศไทย ไม่อาจทำให้การเจรจาสามารถผ่อนปรนลงได้เลย  ในท้ายที่สุดประเทศไทยจึงยินยอมลงนามในความตกลงกับอังกฤษโดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย

ผลของความตกลงสมบูรณ์แบบนั้นส่งผลกับประเทศไทยในหลายด้าน แต่ในด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลมากที่สุดคือความตกลงในข้อ 14 ซึ่งกำหนดว่า “รัฐบาลไทยรับว่า โดยเร็วที่สุดที่พอจะกระทำได้ โดยเอาข้าวไว้ให้เพียงพอแก่ความต้องการภายในของไทยแล้ว จะจัดให้มีข้าวสาร ณ กรุงเทพฯ โดยไม่คิดมูลค่า เพื่อให้องค์การที่รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรจะได้แจ้งให้ทราบนั้นใช้ประโยชน์ได้เป็นปริมาณเท่ากับข้าวส่วนที่เหลือซึ่งสะสมไว้และมีอยู่ในประเทศไทย ณ บัดนี้ แต่ไม่เกินหนึ่งกับกึ่งล้านตันเป็นอย่างมาก หรือจะตกลงกันให้เป็นข้าวเปลือกหรือข้าวกล้องในปริมาณอันมีค่าเท่ากันก็ได้…”[4]

ความตกลงสมบูรณ์แบบกับปัญหาข้าว

ผลของความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องส่งข้าวจำนวน 1.5 ล้านตันให้กับองค์การสหประชาชาชาตินั้น (ซึ่งเป็นองค์การที่อังกฤษกำหนดไว้ในภายหลัง)​ สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะในขณะนั้นข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศไทย โดยมูลค่าของข้าวในเวลานั้นตันละประมาณ 28 ปอนด์ (1 ปอนด์เท่ากับ 60 บาท) คิดเป็นเงิน 2,520 ล้านบาท[5] ซึ่งปริมาณข้าว 1.5 ล้านตันนั้นเทียบได้กับข้าวที่ประเทศไทยส่งออกในรอบ 1 ปี และคิดเป็นมูลค่าได้เท่ากับร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมดจากการส่งออกไปขายยังต่างประเทศของไทย[6]

การที่ประเทศไทยจะดำเนินการส่งข้าวให้กับสหประชาชาติโดยไม่มีมูลค่าตามความตกลงสมบูรณ์แบบได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเท่ากับว่ารัฐบาลไทยไม่เพียงแต่มีภาระในการจัดหาข้าวตามความตกลงดังกล่าว แต่รัฐบาลยังจำเป็นต้องแบกรับต้นทุนในการซื้อข้าวนั้นเอาไว้เองทั้งหมดเช่นกัน สภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนั้นก็ย่ำแย่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ในความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบ รัฐบาลจึงได้จัดตั้งสำนักงานข้าวเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาข้าวส่งออกนอกประเทศโดยตรง อยู่ในสังกัดของกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่ผูกขาดการส่งข้าวออกกไปจำหน่ายนอกประเทศแต่ผู้เดียว[7]

นอกจากนี้ เพื่อให้รัฐบาลสามารถซื้อข้าวได้ในราคาถูกอันเป็นการประหยัดเงิน รัฐบาลจึงต้องกดราคาข้าวในประเทศให้ต่ำกว่าราคาตลาด โดยใช้อำนาจกฎหมายในการแทรกแซงกลไกราคาข้าวเป็นเหตุให้รัฐบาลตราพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 เพื่อควบคุมการขนย้ายข้าวออกนอกเขตและป้องกันการกักตุนข้าว เพื่อไม่ให้เกิดการกักตุนและเคลื่อนย้ายข้าวอันจะทำให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติตามพันธกรณี และรัฐบาลยังได้ตราพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489 เข้ามาควบคุมเกี่ยวกับผู้ประกอบการค้าข้าว การซื้อขายข้าว การเปลี่ยนแปลงสภาพข้าว และการกำหนดราคาสูงสุดของข้าว

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะได้พยายามกดราคาข้าวให้ต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว ทำให้เอกชนไม่อยากขายข้าวให้กับรัฐบาล เพราะเอกชนสามารถขายข้าวได้ในราคาดีกว่าในตลาดมืด ทำให้ข้าวทะลักออกไปขายยังตลาดมืดเป็นจำนวนมาก และรัฐบาลก็ประสบปัญหาไม่สามารถจัดซื้อข้าวเพื่อส่งให้กับสหประชาชาติได้ตามพันธกรณี

รัฐบาลของควง อภัยวงศ์[8] ในขณะนั้นจึงดำเนินการหาวิถีทางเจรจาหาลู่ทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนในที่สุดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ก็ได้ตกลงให้เปลี่ยนจากการส่งข้าวโดยไม่คิดมูลค่าเป็นการขอซื้อข้าว โดยลดจำนวนลงเหลือเพียง 1.2 ล้านตัน และกำหนดราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นเป็น 12 ปอนด์ 10 ชิลลิง ต่อตัน และจ่ายค่าพรีเมียมอีกตันละ 3 ปอนด์ สำหรับที่ส่งออกในเดือนพฤษภาคม ส่วนที่ส่งออกระหว่างวันที่ 1-15 มิถุนายน จะได้ค่าพรีเมียมตันละ 1 ปอนด์ 10 ชิลลิง[9] แต่ราคาที่กำหนดไว้ก็ยังต่ำกว่าราคาท้องตลาด ราคาข้าวในตลาดสิงคโปร์ในขณะนั้นสูงถึง 600 ปอนด์ต่อตัน ทำให้เอกชนไม่ต้องการขายข้าวให้กับรัฐบาล แต่ต้องการกักตุนเอาไว้เพื่อส่งออกไปขายในต่างประเทศซึ่งได้ราคาที่ดีกว่า ในท้ายที่สุดจึงต้องเพิ่มราคาข้าวกันอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2490 เป็นตันละ 33 ปอนด์ 6 ชิลลิง 8 เพนนี พร้อมกับได้ยกเลิกคณะกรรมการผสมข้าวไทย และตั้งคณะกรรมการอาหารฉุกเฉินระหว่างประเทศเพื่อพิจารณาว่าประเทศใดสมควรได้รับข้าวจากประเทศไทย และคณะกรรมการประสานงานส่งข้าวขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ส่งข้าวให้ประเทศที่ได้รับการจัดสรร[10]

ผลพลอยได้จากปัญหาข้าวและความยากจนของชาวนา

พันธกรณีในการส่งข้าวให้กับสหประชาชาติได้สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2492 โดยประเทศไทยได้ส่งข้าวเกินจำนวนที่ต้องการจัดสรร ผลพลอยได้ที่ประเทศไทยได้รับจากการแก้ไขปัญหานี้ ก็คือ การจัดตั้งสำนักงานข้าวขึ้นมาทำให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการค้าขายข้าวระหว่างประเทศ แม้รัฐบาลจะได้เจรจาเพื่อแก้ไขความตกลงสมูบรณ์ได้โดยไม่ต้องส่งมอบข้าวให้กับสหประชาชาติโดยไม่คิดราคาแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลก็ยังคงใช้สำนักงานข้าวในการผูกขาดการค้าข้าวต่อไป แต่ได้เปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเครื่องมือในการลดภาระด้านรายจ่ายของรัฐบาลมาเป็นเครื่องมือในการหารายได้ให้กับรัฐบาล เพราะสำนักงานข้าวจะทำหน้าที่เก็บภาษีจากการส่งออกข้าว และยังประกอบการค้าเองอีกด้วย

โดยปรากฏว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2491–2498 สำนักงานข้าวทำรายได้ประมาณร้อยละ 15 ของงบประมาณรายได้ทั้งหมด และหากรวมภาษีส่งออกข้าวด้วยแล้วจะเป็นร้อยละ 25 ของงบประมาณรายได้ทั้งหมด[11]  อย่างไรก็ตาม การที่สำนักงานข้าวมีอำนาจในการผูกขาดการค้าข้าวกับต่างประเทศได้นั้น ทำให้สำนักงานข้าวมีอำนาจในการกำหนดราคาข้าวได้ด้วยตนเอง จึงสามารถกำหนดราคาข้าวให้ต่ำกว่าตลาดโลกได้[12]

ผลกระทบของการกำหนดราคาข้าวให้ต่ำกว่าราคาตลาดโลกนั้น สร้างผลกระทบต่อชาวนาเป็นอย่างมาก เพราะชาวนาคือผู้รับภาระจากการกดราคาข้าวที่แท้จริง กล่าวคือ เมื่อสำนักงานข้าวกดราคาข้าวลงต่ำกว่าราคาตลาดโลกส่งผลให้ราคาข้าวที่รัฐบาลรับซื้อจากพ่อค้าคนกลางลดลงไปด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดพ่อค้าคนกลางก็ผลักภาระนี้ไปให้แก่ชาวนา

การที่ราคาข้าวต่ำลงนี้เป็นการซ้ำเติมฐานะที่ยากจนของรัฐบาล โดยในปี พ.ศ. 2496 กระทรวงเกษตรได้ทำการสำรวจสถานะทางเศรษฐกิจของชาวนา ปรากฏว่าชาวนามีหนี้สินเฉลี่ยทุกภาคประมาณร้อยละ 20.69 ของครัวเรือน ส่วนครอบครัวของชาวนาที่ไม่มีหนี้สินอีกประมาณร้อยละ 79.31 ก็มีรายได้แค่เพียงพอแก่การดำรงชีวิตเท่านั้น[13]

ปัญหาดังกล่าวได้รับการยืนยันจากรายงานของจอห์น แคสเซโม (John Kassamo) เจ้าหน้าที่ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization) ซึ่งสรุปได้ว่า ชาวนามีพื้นที่การทำนาเฉลี่ยครอบครัวละ 25 ไร่ ชาวนาทำนาของตนเองประมาณร้อยล 87 พื้นที่เก็บเกี่ยวประมาณร้อยละ 78.84 ของพื้นที่ทำนา ในแต่ละปีชาวนามีรายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 2,149 บาท ต่อปี ต้องใช้ในการบริโภค 1,776 บาท ส่วนที่เหลือต้องใช้ในการทำพิธีการตามความเชื่อ และซื้อสินค้าอื่นๆ เป็นผลให้ชาวนามีหนี้สินประมาณร้อยละ 26.9 ของครอบครัวชาวนาทั้งหมดและหนี้เฉลี่ยของครอบครัวที่เป็นหนี้ประมาณครอบครัวละ 421 บาท[14]

ผลพลอยได้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ซ้ำเติมความยากจนของชาวนาเป็นอย่างมาก แม้เวลาจะผ่านไป ภาพของชาวนายากลำบากที่เคยถูกกล่าวไว้ในรายงานการสำรวจของคาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน ในช่วงปี พ.ศ. 2473 ยังคงดำรงอยู่เป็นเช่นนั้นมาจนถึงปัจจุบัน และย้ำเตือนให้นึกถึงความพยายามของปรีดี พนมยงค์ ในการแก้ไขปัญหานั้นในเค้าโครงการเศรษฐกิจ


เชิงอรรถ

[1] ราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ 44 เล่ม 62 วันที่ 16 สิงหาคม 2488.

[2] สำหรับสาเหตุที่ประเทศไทยไม่ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับประเทศผู้แพ้สงครามนั้นมีข้อถกเถียงในทางวิชาการพอสมควรว่าเป็นเพราะเหตุใด ในส่วนที่ปรากฏในคำประกาศอิสรภาพของปรีดี พนมยงค์นั้น เป็นการอธิบายในแง่ของการแสดงเจตนารมณ์ประกาศสงครามของประเทศไทยนั้นไม่สมบูรณ์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม : บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558). และศิลปวัฒนธรรม, “ข้อเท็จจริงที่ทำให้ไทย “ไม่แพ้” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เพราะไทย เพราะนโยบายสหรัฐ?,” เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_22833.

[3] สมบูรณ์ ศิริประชัย, “ปฐมลิขิตว่าด้วยบันทึกของป๋วย อึ๊งภากรณ์,” ใน อัตชีวประวัติ : ทหารชั่วคราว, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), น. 205.

[4] เอกสารอัดสำเนาแถลงการณ์เรื่องการยกเลิกสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ.

[5] สมบูรณ์ ศิริประชัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3 , น. 209.

[6] ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504,” ใน เศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2553), น. 288.

[7] สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488–2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 97.

[8] ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงข้อความตอนหนึ่งว่า “…ส่วนการเจรจาให้ซื้อข้าวทั้งหมดนั้น รัฐบาลเมื่อครั้งท่านควงก็ได้เจรจาไว้แล้ว…”; สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 18/2489 (สามัญ), น.16.

[9] ธารทอง ทองสวัสดิ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6, น. 291.

[10] เพิ่งอ้าง.

[11] อัมมาร์ สยามวาลา, ข้าวในเศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2552), น. 167-168.

[12] กรมบัญชีกลาง กระทวงการคลัง, รายงานเงินรายได้รายจ่ายแห่งราชอาณาจักรไทย ประจำปี พุทธศักราช 2488 – 2498, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สหกรณ์ขายส่ง, 2505), น. 383; อ้างถึงใน สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น.163.

[13] เพิ่งอ้าง, น. 164.

[14] เพิ่งอ้าง, น. 164-165.

การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก  สินค้าบางอย่างที่ในปัจจุบันไม่ได้หายากอย่างเช่น ผ้าห่ม และเสื้อผ้า กลับมีค่า มีราคา และมีความสำคัญเป็นอย่างมาก  

ด้วยน้ำพระทัยของสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อเสด็จไปประทับที่พระราชวังบางปะอิน จึงได้พระราชทานผ้าห่มและเสื้อผ้าแก่เหล่าชาวบ้านละแวกพระราชวังบางปะอินที่มาเข้าเฝ้า หาอะไรมาแสดงให้ทอดพระเนตร เพื่อทรงพระสำราญ เพื่อช่วยแบ่งเบาความยากลำบากของราษฎรได้  ทั้งนี้ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้จัดหาบรรดาเครื่องใช้เหล่านี้จากร้านค้าของทางราชการ[1]

การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นปัญหาใหญ่มาก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นการทั่วไปในช่วงสงคราม เพราะวัตถุดิบนั้นหายาก ไม่สะดวกในการขนย้าย และหลายสิ่งก็จำเป็นในการใช้เป็นยุทธปัจจัย  ผลของการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคนี้มีผลยาวนาน จนกระทั่งแม้สงครามสิ้นสุดลง ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยดีได้

สาเหตุของการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค

ประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2484 ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม สินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตนั้นเป็นสินค้าเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีข้าวเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ประเทศไทยยังละเลยไม่ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ  สินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จึงต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น ผ้า น้ำตาล น้ำมันเชื้อเพลิง และกระดาษ เป็นต้น

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นและมาถึงประเทศไทย ทำให้การลำเลียงสินค้าเพื่อการขนส่งทำได้ยากขึ้น ประกอบกับในเวลาต่อมาเมื่อประเทศไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ทำให้ประเทศไทยต้องตัดขาดความสัมพันธ์และยุติการค้าขายกับประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ

ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมใดก็ตามที่ผลิตภายในประเทศ ก็จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ผลิตในประเทศ เมื่อสงครามเกิดขึ้นและการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศตะวันตกคู่สงครามยุติลง ทำให้ประเทศไทยประสบภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรนั้นก็ไม่สามารถพึ่งพาได้ เพราะในขณะนั้นประเทศญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงการผลิตไปโดยเน้นการผลิตยุทธปัจจัยเป็นหลัก ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลนเช่นกัน ไม่เพียงพอแก่การส่งออกขายให้กับประเทศไทยได้

รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค

การแก้ไขปัญหาความขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอื่น ๆ อันจำเป็นแก่การดำรงชีวิตของประชาชน รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดำเนินการแก้ไขการขาดแคลนดังกล่าวโดยใช้วิธีการ 2 ประการ คือ การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชดเชยในส่วนที่ขาดไป และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชดเชยในส่วนที่ขาดไป

การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชดเชยในส่วนที่ขาดไปเป็นความตั้งใจเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น  อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของประเทศไทยในเวลาดังกล่าวยังไม่ขาดแคลนเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม การผลิตด้วยมือและเครื่องจักรที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอแก่การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ดังจะเห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งกล่าวถึงการผลิตผ้าเพื่อชดเชยการขาดแคลนว่า “…เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ยืนยันว่า ประเทศไทยมีเจตจำนงที่จะปลูกฝ้ายให้มากยิ่งขึ้น ประเทศไทยมีที่ดินและกรรมกรเพียงพอที่จะดำเนินการให้สมประสงค์ได้ ทั้งเครื่องปั่นและเครื่องทอที่จำเป็นก็สามารถผลิตเองได้เพียงพอในประเทศ…”[2]

เรื่องดังกล่าวได้รับการเน้นย้ำในบันทึกการเสด็จไปประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น  ในระหว่างวันที่ 6-8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ว่าทรงได้เจรจากับผู้แทนของญี่ปุ่นถึงความจำเป็นที่ต้องการเครื่องจักรโดยระบุตอนหนึ่งว่า “การบำรุงเศรษฐกิจโดยการจัดตั้งโรงงาน เช่น โรงงานน้ำตาล โรงงานท่อผ่านั้น ดำเนินไปถึงไหนแล้ว ฉันตอบว่ายังอยู่ในการเจรจากัน เพราะข้อเรื่องเครื่องจักรในตอนนี้ได้ทำความตกลงกันว่า จะตั้งโรงงานทอผ้าขึ้น เพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะราษฎร ชาวนา ไม่มีผ้าจะใช้ บางแห่งต้องเปลือยกายก็มี บางแห่งนักเรียนในครอบครัวเดียวกันต้องผลัดกันไปโรงเรียน เพราะผ้ามีไม่ทั่วถึง  ด้วยเหตุนี้รัฐบาลญี่ปุ่นช่วยให้ประเทศไทยได้เครื่องจักรเกี่ยวกับการทอผ้าจะเป็นการดีมาก…”[3]

แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณามูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศในยามสงคราม ก็ปรากฏว่า จำนวนการนำเข้าเครื่องจักรลดน้อยลงจากปี พ.ศ. 2484 เป็นอย่างมาก (รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 1) สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการที่รัฐบาลจะผลิตสินค้าทดแทนความขาดแคลนจึงไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นสภาพปกติของสงครามที่ทรัพยากรจะถูกใช้ไปเพื่อผลิตอาวุธยุทธปัจจัย ประกอบกับการไม่มีแหล่งไฟฟ้าและพลังงานในการผลิตสินค้า

ตารางที่ 1: มูลค่าเครื่องจักรที่นำเข้าประเทศในช่วง พ.ศ. 2484 – 2488

พ.ศ.มูลค่า/บาท
24847,280,234
24851,881,521
24864,576,610
24873,764,449
24881,763,843
ที่มา: W.A.M. Doll, Report of the Financial Adviser Covering the years 2484 – 2493, (Bangkok: Office of the Financial Adviser, 1951), p.9-10; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 49.

อีกปัจจัยหนึ่งที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขึ้นเพื่อทดแทนความขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคได้ในช่วงเวลานั้น ก็ด้วยเหตุที่ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงก็เป็นสิ่งขาดแคลนเช่นกัน

สถานการณ์ก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเริ่มต้น บริษัทไฟฟ้าที่เป็นทุนของไทยและต่างประเทศรวมกัน คือ บริษัทไฟฟ้าวัดเลียบ และโรงไฟฟ้าสามเสนที่เป็นของรัฐบาล มีกำลังการผลิตรวมกันประมาณ 26,000 กิโลวัตต์ ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อประเทศไทยเข้าร่วมสงครามและโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งถูกระเบิดเสียหาย โรงไฟฟ้าทั้งสองได้รับความเสียหาย  โรงไฟฟ้าวัดเลียบไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เลย  สำหรับโรงไฟฟ้าสามเสนมีกำลังการผลิตลดลง ทำให้ในช่วงปี พ.ศ. 2487-2490 ผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 22,000 กิโลวัตต์[4]

ส่วนโรงไฟฟ้าต่างจังหวัดมีประมาณ 53 โรง มีกำลังการผลิตประมาณ 6.524 กิโลวัตต์/โรงไฟฟ้า (ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อผลิตไฟฟ้าในภูมิภาค) เมื่อสงครามเกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้า แต่โรงไฟฟ้าต่างจังหวัดไม่มีผลต่อการผลิตในทางอุตสาหกรรม เพราะกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ดังนั้น พลังงานไฟฟ้าซึ่งจำเป็นในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคจึงไม่สามารถดำเนินการได้

ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของประเทศนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ด้วยผลของสงคราม ทำให้ประเทศไทยต้องตัดขาดทางการค้ากับต่างประเทศ แม้รัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันโดยการขอซื้อจากญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ประเทศญี่ปุ่นก็ไม่สามารถขายให้กับประเทศไทยได้เต็มที่ เพราะน้ำมันเป็นยุทธปัจจัยที่จำเป็นในการใช้ทำสงคราม จึงไม่สามารถนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมได้เพียงพอแก่ความต้องการ น้ำมันเชื้อเพลิงจึงเป็นสินค้าขาดแคลนจำเป็นต้องมีการปันส่วนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปันส่วนน้ำมัน พ.ศ. 2483 เพื่อให้เกิดการแจกจ่ายน้ำมันให้ทั่วถึงครอบคลุม

2. การบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า

นอกจากการผลิตสินค้าทดแทนแล้ว อีกวิธีการหนึ่งที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้ในช่วงสงคราม คือ การพยายามกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอยู่ในประเทศให้ไปถึงประชาชนที่ต้องการให้มากที่สุด  วิธีการที่รัฐบาลนำมาใช้ คือ การบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า ซึ่งรัฐบาลดำเนินการโดยอาศัยกฎหมายหลายฉบับเข้าควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการกำหนดราคาขั้นสูงของสินค้าอุปโภคบริโภค (ซึ่งในช่วงระยะเวลา 6 เดือน มีประกาศควบคุมราคาสินค้าถึง 29 ฉบับ) การห้ามกักตุน การรายงานจำนวน และการห้ามขนย้ายสินค้าอุปโภคบริโภค

บรรดากฎหมายทั้งหลายเหล่านั้น ได้แก่ พระราชบัญญัติการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2480 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกฎหมายหลักสำคัญในการแก้ไขปัญหาสินค้าขาดแคลน และพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่น ๆ ในภาวะคับขัน พ.ศ. 2488 เป็นกฎหมายฉบับสุดท้าย ซึ่งในบรรดากฎหมายทั้งหลายเหล่านี้หากฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษทางอาญาร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต[5]

ในเวลาต่อมาเมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 บรรดากฎหมายทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกทยอยยกเลิกไปตามความเหมาะสม ซึ่งเป็นการเปิดให้มีการค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเสรี  อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ได้หายไปในทันที รัฐบาลจึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีการอื่นเข้าร่วมด้วยในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลน

ปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไข

แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคก็ยังคงอยู่ สาเหตุสำคัญมาจากการที่การค้าระหว่างประเทศไม่สามารถดำเนินการไปได้ตามปกติ เพราะประเทศต้องพึ่งพาสินค้าทางอุตสาหกรรมจากต่างประเทศเกือบทั้งหมดตลอดมา[6]  ดังนั้น เมื่อสงครามยุติลงรัฐบาลจำเป็นต้องฟื้นฟูการค้าขายระหว่างประเทศให้เข้าสู่สภาพปกติ แต่ปัญหาของรัฐบาลในการซื้อขายสินค้าจากต่างประเทศ คือ รัฐบาลขาดเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้าควบคุมการค้าระหว่างประเทศ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกและนำเข้าในพระราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2482 โดยรัฐบาลจะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดประเภทว่าสินค้าใดเป็นสินค้าควบคุม

รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการส่งออกสินค้าทุกชนิด เพราะรัฐบาลต้องการสงวนเงินตราต่างประเทศกับการป้องกันการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ แต่เมื่อรัฐบาลกำหนดให้การนำเข้าส่งออกต้องขออนุญาตทำให้เกิความล่าช้า เพราะต้องผ่านขั้นตอนการอนุญาตต่าง ๆ มากมาย ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคยังคงมีความขาดแคลน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องผ่อนผันโดยอนุญาตการนำสินค้าเข้าได้บางประเภท เฉพาะสินค้าที่ไม่เสียเงินตราต่างประเทศ

สำหรับการบรรเทาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลดำเนินการโดยการเข้ามาจัดสรรการกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐเพื่อประกอบการค้า โดยจัดตั้งองค์การจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (อ.จ.ส.) ขึ้นมา[7] เพื่อทำหน้าที่จัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย และเป็นตัวแทนกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคนี้ต่อไปยังประชาชนอีกทีหนึ่ง[8] 

องค์การนี้มีสถานะเป็นวิสาหกิจมหาชนดำเนินการโดยรัฐ ดำเนินการซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายให้ตัวแทนขององค์การที่อยู่ในกรุงเทพฯ และตัวแทนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็จะนำมาจำหน่ายสินค้าไปยังตัวแทนไปในส่วนกลาง ส่วนตามต่างจังหวัด บริษัทพาณิชย์จังหวัดจะเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด[9] นำสินค้าจำหน่ายให้ประชาชนอีกทอดหนึ่ง[10] แม้เจตนาของ อ.จ.ส. จะทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยการจัดจำหน่ายสินค้าในราคาถูก แต่ปรากฏว่า องค์การจำหน่ายสินค้าขายสินค้าที่ไม่จำเป็นแก่การครองชีพ เช่น เสื้อผ้าที่มีราคาแพง ตุ๊กตา เครื่องกระป๋อง และเครื่องสำอาง เป็นต้น[11] เพราะเป็นสินค้าที่ขายสะดวกและสะอาด สินค้าที่จำเป็นในการครองชีพขายแต่เพียงข้าวสารกับน้ำตาลเท่านั้น ประกอบกับการบริหารงานของ อ.จ.ส. กระทำโดยข้าราชการที่ไม่ชำนาญในเรื่องทางธุรกิจ และที่มีขั้นตอนปฏิบัติมาก ทำให้สินค้าของ อ.จ.ส. มีราคาที่ไม่สมเหตุสมผล เมื่อเปรียบเทียบกับราคาสินค้าในท้องตลาด ทำให้ในที่สุดการประกอบการของ อ.จ.ส. มีแต่ขาดทุน และยกเลิก อ.จ.ส. ไปในปี พ.ศ. 2497 โดยรัฐบาลต้องจ่ายหนี้สินที่ อ.จ.ส. ค้างชำระเป็นเงินถึง 20 ล้านบาท[12] และทำให้บริษัทพาณิชย์จังหวัดล้มเลิกกิจการลงไปด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากการจัดตั้ง อ.จ.ส. แล้ว รัฐบาลได้จัดตั้งร้านค้าสหกรณ์ผู้บริโภคขึ้นมาในรูปแบบต่าง ๆ กัน โดยมีกรมสหกรณ์พาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ออกทุนดำเนินการทั้งหมด และให้เจ้าหน้าที่ในกรมสหกรณ์พาณิชย์หาสมาชิก ปรากฏว่า ในช่วง พ.ศ. 2493-2497 มีร้านสหกรณ์รูปแบบต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 257 ร้าน จำแนกประเภทได้ดังแสดงตามตารางที่ 2

ตารางที่ 2: แสดงสัดส่วนร้านสหกรณ์ที่รัฐบาลเปิดในช่วงปี พ.ศ. 2493 – 2497

ประเภทจำนวน
ร้านสหกรณ์252 ร้าน
ร้านสหกรณ์กลาง1 ร้าน
ร้านสหกรณ์ขายส่ง1 ร้าน
ร้านสหกรณ์สาธารณูปโภค3 ร้าน
ที่มา: แฟ้มที่ 34 เรื่อง รายงานการลงทุนในงบประมาณประจำปี 2498 กรมสหกรณ์พาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์, กองบรรณสาร กระทรวงการคลัง; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488 – 2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 119.

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีสหกรณ์จำนวนมากถึง 257 ร้านก็ตาม แต่การประกอบกิจการสหกรณ์ดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องมาจากการดำเนินการของสหกรณ์ไม่ได้เกิดจากความคิดริเริ่มของสมาชิกสหกรณ์ แต่เกิดมาจากการริเริ่มของรัฐบาล ซึ่งเมื่อรัฐบาลเป็นผู้คิดริเริ่มและดำเนินการเองจึงมีปัญหาในเรื่องการหาสมาชิกของสหกรณ์ ราษฎรที่มีรายได้ต่ำไม่มีความรู้ จึงไม่สนใจเป็นสมาชิก ในขณะที่ผู้มีการศึกษาดีมีรายได้สูง เข้าใจถึงผลประโยชน์ของสหกรณ์ดี ได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกของสหกรณ์[13] ทำให้สินค้าที่ขายในสหกรณ์ไม่ตรงกับความต้องการของราษฎร

กล่าวโดยสรุป นอกจากการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงกลไกตลาดอันเป็นเครื่องมือที่สะดวกที่สุดแล้ว การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคของรัฐบาลภายหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยวิธีการอื่น ๆ นั้นไม่มีประสิทธิภาพและไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ ซึ่งในท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปและเศรษฐกิจได้ค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงหลังความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบในปี พ.ศ. 2491 สิ้นสุดลง[14]

สถานการณ์ความขาดแคลนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแต่เพียงสาเหตุหนึ่งของปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมีปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาการขาดดุลทางการค้า และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำเนินต่อไปเป็นอีกระยะเวลาหนึ่ง และถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการส่งข้าวให้กับสหประชาชาติตามความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบ


เชิงอรรถ

[1]    กษิดิศ อนันทนาธร, “เรื่องของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กับนายปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2,” the 101 world (17 สิงหาคม 2560) เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2563, จาก https://www.the101.world/pridi-in-ww2/.

[2]    “การให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีต่อนายคาร์ล เมลเธอร์ ผู้แทนผู้สื่อข่าวทรานสโอชั่นเยอรมัน,” ไทยนิกร, (3 กันยายน 2485), น. 8; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, “ปัญหาเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแก้ไขของรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2488-2489,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557), น. 47-48.

[3]    เอกสารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ส.ร. 0201.24/46 เรื่อง การประชุมนานาชาติแห่งมหาเอเชียบูรพาที่โตเกียว (พ.ศ. 2486 – 2487); อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, เพิ่งอ้าง, น. 48.

[4]    สมศักดิ์ นิลนพคุณ, เพิ่งอ้าง, น. 50.

[5]    พระราชบัญญัติมอบอำนาจให้รัฐบาลในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2485, มาตรา 3.

[6]    สมศักดิ์ นิลนพคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 121.

[7]    พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดซื้อและจำหน่ายสินค้า พ.ศ. 2497, มาตรา 4.

[8]    พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดซื้อและจำหน่ายสินค้า พ.ศ. 2497, มาตรา 6.

[9] บริษัทพาณิชย์จังหวัดเป็นบริษัที่จัดตั้งขึ้นโดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวั2ด โดยรับซื้อพืชผลและสินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือนทุกประเภท และเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นทุกประเภทแก่ร้านค้ารายย่อยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนให้ตั้งขึ้น และทำหน้าที่ส่งเสริมการผลิตอุตสาหกรรมในครัวเรือนของแต่ละจังหวัด.

[10] สมศักดิ์ นิลนพคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 118.

[11] เรื่องเดียวกัน.

[12] สำนักงานสถิติแห่งชาติ, สมุดสถิติรายปีของประเทศไทย พ.ศ. 2488-2498, น. 403; อ้างอิงจาก สมศักดิ์ นิลนพคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, 118.

[13] สมศักดิ์ นิลนพคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 119.

[14] ความตกลงสัญญาสมบูรณ์แบบเป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งมีความสำคัญมากในทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ในเนื้อหาส่วนนี้จะได้อธิบายต่อไปในบทความถัดไป; ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488–2504,” ใน เศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2553), น. 290.

สงครามโลกครั้งที่ 2 กับสภาวะเงินเฟ้อ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในบทความที่แล้ว ผู้เขียนได้เล่าถึงบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านการใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมปริมาณเงินตราภายในประเทศมีมากจนเกินไปไม่สัมพันธ์กับปริมาณสินค้า ทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นมา[1] หลายท่านอาจสงสัยว่าภาวะเงินเฟ้อนั้น จะเฟ้อถึงขนาดไหน

เงินเฟ้อกับความรับรู้ของนายปรีดีฯ

คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร ผู้ล่วงลับ เคยเขียนเล่าเอาไว้ในบทความชื่อ “ทำไมดิฉันจึงรัก เคารพและบูชาท่านปรีดี พนมยงค์”[2] โดยเล่าถึงสภาวะเงินเฟ้อ กับนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ว่า

ในครั้งหนึ่งคุณจิตราภา บุนนาค ซึ่งเป็นหลานสาวของนายปรีดีฯ ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือน 600 บาท ทำให้นายปรีดีฯ ตกใจ ถึงขั้นกล่าวว่า “ได้เท่าอธิบดีเชียวหรือ” และเมื่อคุณจิตราภาฯ มาหา นายปรีดีฯ ก็มักจะล้อว่า “อธิบดีมาแล้ว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ครั้งนั้น เงินจำนวน 600 บาท มากพอที่จะเป็นเงินเดือนของข้าราชการระดับอธิบดีเลยทีเดียว

และอีกครั้งหนึ่งที่คุณฉลบชลัยย์ฯ ได้กล่าวถึง คือ เมื่อมีผู้มาเยี่ยมนายปรีดีฯ ที่บ้านพักราว ๆ 4 – 5 คน นายปรีดีฯ ได้ชักชวนให้ลูกน้องที่มาเยี่ยมเยือนนั้นอยู่ทานอาหารกลางวัน และได้ให้เงินจำนวน 20 บาท แก่คนรับใช้ ไปซื้อขนมจีบซาลาเปา ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้ผู้มาเยี่ยมเยือน เพราะสภาวะณ์เงินเฟ้อในขณะนั้น ทำให้แม้กระทั่งเงิน 100 บาทก็ยังไม่พอจะซื้อขนมจีบซาลาเปาเลยด้วยซ้ำ

เรื่องข้างต้นนั้น แม้คุณฉลบชลัยย์ฯ ต้องการจะเล่าให้เห็นว่า อุปนิสัยของนายปรีดีฯ ไม่ใช่คนให้ความสำคัญกับเรื่องของเงิน และไม่เคยแตะต้องเงินเดือนของตนเอง จึงไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในอีกแง่หนึ่งเรื่องนี้ได้บอกเล่าว่า สภาวะเงินเฟ้อนั้น ทำให้มูลค่าของสิ่งของเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดไหน

เงินเฟ้อกับค่าครองชีพ

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทความก่อนว่า ในช่วงสถานการณ์รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินและธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องจัดหาเงินเพิ่มให้กับรัฐบาลในส่วนที่ขาดไป ทำให้การเพิ่มขึ้นของอุปทานเงินตราถึง 7 เท่าตัว โดยเมื่อเริ่มสงครามในปี พ.ศ. 2484 มีปริมาณธนบัตรหมุนเวียนอยู่ 275 ล้านบาท แต่เมื่อสงครามยุติลงในปี พ.ศ. 2488 มีธนบัตรหมุนเวียนอยู่ถึง 1,992 ล้านบาท[3]

การที่ปริมาณเงินตราในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสวนทางกับปริมาณสินค้าที่ลดน้อยลงเพราะผลของสงคราม ทำให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยจากการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงปี พ.ศ. 2481 – 2488 พบว่า ผู้คนในกรุงเทพมหานครมีค่าครองชีพเพิ่มขึ้นสูงเป็น 10 เท่าตัว โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของสงครามที่อัตราค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือน ดังแสดงตามตารางแสดงอัตราเพิ่มของค่าครองชีพระหว่างปี พ.ศ. 2481 – 2488[4]

ปี พ.ศ.เลขดัชนี
2481100.00
2484139.90
2485176.99
2486 (ธันวาคม)291.56
2487 (มกราคม)301.12
2487 (กุมภาพันธ์)409.17
24881,069.54

ในด้านราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคนั้น ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นหลายเท่าตัว โดยในปี พ.ศ. 2488 ราคาน้ำตาลทรายขาวสูงกว่าในช่วงปี พ.ศ. 2480 – 2483 ถึง 39 เท่าตัว และราคาเสื้อผ้าฝ้ายสูงขึ้น 29 เท่าตัว[5]

การที่สงครามดำเนินไปเป็นระยะเวลาหลายปี ยิ่งซ้ำเติมภาวะขาดแคลนสินค้าและบริการ เพราะนอกจากจะไม่สามารถผลิตสินค้าและบริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในภาวะสงครามแล้ว การค้ากับชาติตะวันตกก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะเป็นประเทศคู่สงครามทำให้ไม่อาจนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ เช่น ยารักษาโรค ผ้า เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น 

ส่วนสินค้าที่เหลือค้างอยู่ในประเทศก็ถูกกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดในฐานะทรัพย์สินของชาติคู่สงคราม ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ามากว้านซื้อสินค้าจำเป็นสำหรับการทำสงคราม ยิ่งซ้ำเติมความขาดแคลนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในบางพื้นที่ของประเทศราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่น เพราะการขนส่งสินค้าและบริการหยุดชะงักลง เพราะกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดรถไฟเพื่อใช้ในการลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ในการทำสงคราม ทำให้เกิดการขาดแคลนในบางพื้นที่ส่งผลต่อราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาข้าวในต่างจังหวัดสูงกว่าในกรุงเทพฯ โดยในกรุงเทพฯ ราคาข้าวถังละ 6 บาท แต่ลำปางราคาถังละ 120-200 บาท เป็นต้น[6]

การแก้ปัญหา

รัฐบาลที่เข้าบริหารประเทศในช่วงนั้นได้พยายามเข้าแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการใช้กฎหมายเข้าควบคุมมิให้เกิดการกักตุนสินค้าและบริการเพื่อเก็งกำไร และกำหนดให้ผู้มีสิ่งของไว้เพื่อจำหน่ายรายงานปริมาณสินค้าที่ครอบครองไปยังอำเภอภายในกำหนดเวลา ซึ่งหากฝ่าฝืนก็มีโทษทางอาญาโดยปรับเป็นเงิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี[7] โดยในเวลาต่อมาได้ปรับเปลี่ยนโทษอย่างสูงถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือไม่เกิน 20 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท[8]

ในเวลาต่อมารัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกาควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่น ๆ พุทธศักราช 2485 กำหนดเรื่องการปันส่วนการซื้อขายเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อให้กระจายการเข้าถึงสินค้าต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึง  อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร เนื่องจากในท้ายที่สุดจำนวนสินค้าและบริการยังคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในช่วงสงครามขณะนั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการอื่นแล้ว การลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามทำจึงน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่การลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจนั้นก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน เพราะสาเหตุหลักของการพิมพ์เงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มเติมก็เกิดมาจากการใช้จ่ายของทหารญี่ปุ่นในราชการสงคราม  ดังนั้น แม้จะพยายามลดปริมาณเงินในระบบมากแค่ไหนก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นกัน

แม้จนกระทั่งภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาสิ้นสุดลงราคาสินค้าและบริการยังคงไม่ลดลงในทันที และภาวะเงินเฟ้อก็ยังคงดำรงอยู่จนกระทั่งภายหลังสงคราม พร้อม ๆ กับรัฐบาลต้องพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ลงอันมีผลมาจากสงคราม ในส่วนของความพยายามแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวจะมีอยู่เป็นเช่นไร ผู้เขียนจะได้นำเสนอต่อไปในบทความต่อไป


เชิงอรรถ

[1]     เงินเฟ้อ หมายถึง สภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปภายในประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง ตรงข้ามกับเงินฝืด ซึ่งเป็นสภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปภายในประเทศลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง.

[2]     ฉลบชลัยย์ พลางกูร, “ทำไมดิฉันจึงรัก เคารพและบูชา ท่านปรีดี พนมยงค์,” ใน หนังสือวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2535, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2535), น. 45-74.

[3]     แล ดิลกวิทยรัตน์, “ปัญหาเศรษฐกิจในช่วงสงครามและการแก้ไข,” ใน เศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2535), น. 264.

[4]     เพิ่งอ้าง, น. 265.

[5]     เพิ่งอ้าง, น. 264.

[6]     เพิ่งอ้าง, น. 266.

[7]     พระราชบัญญัติมอบอำนาจให้รัฐบาลในภาวะคับขัน พุทธศักราช 2484, มาตรา 4.

[8]     พระราชบัญญัติมอบอำนาจให้รัฐบาลในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2485, มาตรา 3.